สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 6
เวลาเดียวกัน ในอีกฟากหนึ่ง วงดนตรีวัยรุ่นกำลังเล่นดนตรีอย่างเมามันบนเวทีในผับนั้น กัมปนาท กำลังสนุกสนานด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ เต้นโยกไปมาอยู่ตรงเค้าท์เตอร์ ผู้จัดการสาวคนเดิม แต่งตัวเปรี้ยวปรี๊ด เต้นอยู่กับกัมปนาท
ธนูเดินเข้ามาหา เอาเหล้าแก้วใหม่มาให้ ทุกคนต้องพูดด้วยเสียงตะโกน แข่งกับเสียงดนตรี
“ธนูนี่เขาบริการได้ทุกระดับ ประทับใจจริงๆ นะคะ ทั้งเวลางาน นอกเวลางาน ได้หมดเลย” ผู้จัดการ
กัมปนาทเย้า ตาเป็นประกาย “ยกเว้นเรื่องเต้น...ไม่เป็นเลยละ พ่อคนเนี้ยะ”
“จริงเหรอ...ไหนมาลองกับพี่หน่อยซิ”
สาวใหญ่ดึง ธนูมาเป็นคู่เต้น คลอเคลีย และยั่วยวน กัมปนาทหัวเราะชอบใจ ส่วนธนูนั้นเขินมากๆ
“สงสัยต้องรอจังหวะ สโลว์ มั้งจ๊ะ...จะได้เต้นง่ายๆ หน่อย” ผู้จัดการสาวใหญ่ว่า
ทั้งสามสนุกสนานท่ามกลางบรรยากาศเมามันของอโคจรสถานแห่งนี้
ตะวันฉายเดินเข้ามาในผับ ชายหนุ่มสองคน บุคลิก เป็นลูกผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ เดินตามเข้ามาใกล้ชิด ตะวันฉายมองไปรอบๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ถ้าพี่ชอบบรรยากาศแบบนี้ ผมพาพี่เที่ยวได้ทั้งคืน เอาแบบไม่ซ้ำที่เลยครับ เป็นเดือนก็ยังไม่ทั่ว รับรอง” หนุ่ม 1 ว่า
“บรรยากาศ โอเค. แต่ความตื่นเต้นยังน้อยไป ดูธรรมดาไปนิด”
“พี่อยากได้ตื่นเต้นแบบไหนล่ะ” หนุ่ม 2 ถาม
กลุ่มสาวใจแตกสองสามคน เต้นเข้ามาชนตะวันฉายอย่างตั้งใจ
“อุ๊บ...หล่นเลย...”
สาวใจแตกก้มลงเก็บกระดาษที่พื้น แล้วเสียบใส่กระเป๋ากางเกงตะวันฉาย
“เบอร์โทร.หนูหล่น ลงไปในกระเป๋ากางเกงพี่อ้ะ...ฝากหน่อยนะ”
สาวเจ้าทำปากส่งจูบ แล้วเต้นออกไป
หนุ่ม 2 กระเซ้า “ตื่นเต้นแบบนี้ เอามั้ยครับ”
“แบบนี้ฉันชินแล้ว ขอเร้าใจแบบมีคลาสกว่านี้ดีกว่า แบบเงียบๆ เป็นส่วนตัวพกพาง่ายๆ น่ะ”
“งั้นต้องผ่านเอเย่นต์ครับ...โน่นแน่ะ เจ๊ขาใหญ่ กำลังแด๊นซ์กระจายอยู่โน่น”
ตะวันฉายมองตามไป เห็นกัมปนาท และ ผู้จัดการสาวใหญ่คนนั้นกำลังเต้นกันกระจาย เขามองดูกัมปนาทอย่างแปลกตา
“นั่นญาติแฟนฉันนี่หว่า” ตะวันฉายพึมพำ
ผู้จัดการสาวใหญ่ก้าวขึ้นไปบนเวที ยืนพูดใส่ไมโครโฟน อาการเมาแล้ว
“ผู้มีเกียรติทุกท่าน นักร้องรับเชิญกิตติมศักดิ์จากกรุงเทพ หนึ่งในผู้ถือหุ้นของ M.S. Jewelry...คุณกัมปนาท มหาโชคตั้งศิริ จะขอร้องเพลงหนึ่งเพลงค่า...”
วงดนตรี ขึ้นอินโทรเพลง I don't want to miss a thing ของ Aerosmith กัมปนาทวิ่งขึ้นไปบนเวที คว้าไมโครโฟนร้องอย่างไม่เคอะเขิน เสียงปรบมือ แหกปากของนักเที่ยวดังสนั่น ลีลาของกัมปนาท ราวกับนักร้องผู้เข้าประกวด KPN music award ก็ไม่ปาน
หนุ่มใหญ่ขี้เมาคนหนึ่ง เดินแหวกผู้คนเข้ามายืนชิดติดขอบเวที ตะโกนลั่น
“เฮ้ย...ไอ้ตุ๊ด...เมื่อไหร่จะหุบปากซะทีวะ”
กัมปนาทยังคงร้องเพลงต่อไปอย่างมีสมาธิ
ขี้เมาตะโกนต่อ “บอกให้หุบปาก ได้ยินรึเปล่า อีตุ๊ดบ้า กูไม่อยากฟังเสียงมึง”
ขาดคำหนุ่มขี้เมา กระโดดขึ้นเวที คว้าไมค์ออกมาจากมือกัมปนาท
“มึงจะกระแดะอีกนานมั้ย หุบปากไม่เป็นหรือไง...หรือต้องมีอะไรอุดปาก...มานี่ มาเอาของกูอุดปากนี่ มา กูสละให้”
หนุ่มขี้เมาจับแล้วกดหัวกัมปนาทให้มาอยู่ใกล้บริเวณเป้ากางเกงของมัน กัมปนาทพยายามขืนไว้
นักเที่ยวส่วนใหญ่เมามาย หัวเราะงอหายไปตามเรื่อง
ธนูกระโดดขึ้นไปบนเวที กระชากหนุ่มขี้เมาออกมา
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
ขี้เมาสำรอกต่อ “มึงเป็นใคร...อ้อ ผัวอีตุ๊ดนี่เหรอ”
“หยาบคายมากไปแล้ว ช่วยสุภาพกับคุณกัมปนาทหน่อยได้มั้ย”
“ได้...งั้นกูหยาบคายเฉพาะกับมึงแล้วกัน”
หนุ่มขี้เมา คว้าขวดเบียร์ฟาดลงไปกลางหัวธนู ร่างธนูทรุดลงไป หนุ่มขี้เมาเงื้อเท้าเตะซ้ำ ร่างของธนูกระเด็นลอยตกลงจากเวที กัมปนาทกรีดร้องอย่างตกใจ นักเที่ยวกระจายเป็นวง หนุ่มขี้เมากระโดดตามลงมากระทืบซ้ำ พรรคพวกขี้เมาอีกสองสามคนพุ่งเข้าไปร่วมวงยำธนูด้วย
ตะวันฉายยิ้มมุมปากด้วยอารมณ์สนุก
“ชักมันแล้วว่ะ”
ผู้จัดการสาวแทบสร่างเมา วิ่งเข้าไปใช้ของแข็งที่คว้าได้ ฟาดลงไปที่หลังหนุ่มขี้เมาเต็มแรง หนุ่มขี้เมาหันมา คว้าตัวผู้จัดการได้ แล้วเงื้อมือตบลงไปฉาดใหญ่
ตะวันฉายล้วงปืนกระบอกไม่ใหญ่นักออกมาจากกระเป๋า เขาเหนี่ยวไกยิงขึ้นเพดาน ประมาณ 3 นัดซ้อน ทุกคนในผับแตกฮือ กระจายไปคนละทิศคนละทาง
กัมปนาทวิ่งเข้าไปประคองร่างของธนู ที่นอนจมกองเลือดอยู่กลางฟลอร์นั้นเอง
“ธนู...เป็นยังไงบ้าง...”
หนุ่มขี้เมายังไม่หยุด มันลากผู้จัดการสาวใหญ่มาเจอกับตะวันฉายที่ยืนขวางอยู่ ตะวันฉายยกปืนจ่อไปที่หนุ่มขี้เมา อย่างใจเย็น
“ในนี้เหลืออีก 4 นัด มึงจะเหมาหมดมั้ย”
หนุ่มขี้เมาส่ายหน้า มันเหวี่ยงร่างผู้จัดการสาวใหญ่ ไว้ที่พื้น แล้วตัวมันรีบวิ่งออกไป ชาย 2 คนที่มากับตะวันฉาย คว้าตัวขี้เมาไว้ แล้วจัดให้หนึ่งชุดใหญ่ทั้งหมัดและตีน
ผู้จัดการสาวใหญ่ลุกขึ้นยืน ขอบคุณตะวันฉาย
“ขอบใจมากจ้ะน้องชาย...ให้พี่เลี้ยงอะไรตอบแทนดีจ๊ะ”
“ไม่เป็นไรครับ เรื่องเล็ก...ผมกำลังหาลู่ทางทำธุรกิจแถวนี้อยู่ ผมชื่อตะวันฉายครับ”
“พี่ชื่อ รสสุคนธ์...พี่ถนัดธุรกิจทุกประเภทจ้ะ”
ทั้งสองยิ้มให้กัน อย่างเป็นมิตร
เวลาต่อมา กัมปนาทกำลังทำแผลให้ธนู คราบเลือดเกรอะกรังไปทั้งหน้า ทั้งตัว
“ขอบใจมากนะสำหรับสิ่งที่เธอทำในคืนนี้”
“ผมขอโทษแทนพี่รสสุคนธ์ด้วยนะครับ...ถ้าผมไม่แนะนำให้คุณกัมปนาทเจอพี่เขา ก็คงไม่เกิดเรื่องอย่างนี้” ธนูผู้แสนดีว่า
“เจอเรื่องแบบนี้น่ะละดีแล้ว”
ธนูฉงน “ดียังไงครับ”
“ทำให้ฉันได้รู้จักตัวตนของเธอมากขึ้นไง...อย่างน้อย ฉันก็ได้รู้ว่าเธอสามารถปกป้องศักดิ์ศรีฉันได้”
“คุณกัมปนาทมีบุญคุณกับผม...ผมยอมให้ใครทำร้ายคุณกัมปนาทไม่ได้หรอกครับ”
“จากนี้ไปเธอต้องเรียกฉันว่า ฮิวอี้...ไหนลองเรียกซิ” กัมปนาทอ้อล้อ
“ฮิว อี้...”
“แล้วคืนนี้ เธอก็นอนห้องนี้แหละ...ฉันจะได้คอยเช็ดแผลให้เธอไง”
กัมปนาทค่อยๆ ถอดเสื้อของธนูที่เลอะคราบเลือดนั้นออก ทั้งสองมองตากัน ต่างล่วงรู้ถึงความนัยกันและกัน
พระอาทิตย์โผล่พ้นยอดตึกใจกลางกรุงเทพมหานคร เวลายังเช้าอยู่มาก ขณะหรั่งและเพื่อนๆ ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาในโรงพยาบาลเดิม เสียงอาจารย์หมอดังก้องในหูหรั่ง
“ต้องขอแสดงความยินดีด้วยนะคุณหรั่ง…ผลการผ่าตัดบริเวณดวงตาของน้องก้อย น้องสาวคุณนั้น ถือว่าได้ผลดี”
หรั่งและเพื่อนๆเดินไปตามทางเดิน เมื่อผ่านร้านขายดอกไม้ พวกเขาหยุด และเลี้ยวเข้าไปในร้านนั้น
เสียงอาจารย์หมอดังต่อเนื่อง “ไม่มีการติดเชื้อใดๆ ที่บริเวณแผลผ่าตัด…ไม่มีโรคแทรกซ้อนใดๆเกิดขึ้น น้องก้อยเองก็จิตใจเข้มแข็ง…เพราะฉนั้น เราจะเปิดตาเธอทั้งสองข้างในวันนี้”
ก้อยอยู่บนเตียงในห้องตรวจ เธอยันตัวลุกขึ้นนั่ง อาจารย์หมอเข้ามาเตรียมตัวเปิดผ้าที่ปิดดวงตา หรั่งและเพื่อนๆ ยืนลุ้นอยู่รายรอบ
หรั่งเอาดอกไม้วางลงบนมือก้อย มือของหรั่ง จับมือก้อยไว้แน่น
“เตรียมตัวให้ดีนะก้อย” หรั่งพูดให้กำลังใจ ทั้งๆ ที่รู้ผลอยู่แล้ว
โดยก่อนหน้านี้ ที่ห้องอาจารย์หมอ หรั่งนั่งฟังหน้าเครียดอยู่ตรงหน้าหมอ
“น่ายินดี ที่เราสามารถควบคุมความดัน และ ปริมาณน้ำที่ท่วมอยู่ในดวงตาได้…นั่นคือประสาทตาของก้อย จะไม่เสียไปมากกว่านี้”
“ก้อยขอเห็นหน้าหรั่งเป็นคนแรกนะ”
ผ้าที่พันตาก้อยกำลังจะถูกปลดออกจากตา
หรั่งและเพื่อนๆ ทุกคนยืนจ้องดูก้อย รอคอยปาฏิหาริย์ เหมือนจะมีรอยยิ้มเกิดขึ้นบนใบหน้าสวยของก้อย
อาจารย์หมอบอกกับหรั่งตั้งแต่อยู่ในห้องแล้วว่า “แต่ก็อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ ประสาทตาที่เสียไปแล้วนั้น เราไม่สามารถเยียวยารักษาได้”
อาจารย์หมอเว้นวรรค
“นั่นก็แปลว่า…ถึงยังไงซะก้อยก็จะอยู่ในสภาพที่มองไม่เห็นเช่นเดิม และตลอดไป”
ผ้าปิดตาถูกปลดออกหมดแล้ว....เธอค่อยๆลืมตาขึ้น แล้วยิ้ม หรั่งและเพื่อนๆ ทุกคนเผยอยิ้มตามก้อย
ใบหน้าก้อยค่อยๆหุบยิ้มนั้นลง
“เธอจะเห็นแต่เพียงแสงไฟ ที่อาจจะวูบวาบเข้ามาในตาเธอได้บ้างเท่านั้น” เสียงอาจารย์หมอดังขึ้นอีก
“สิ่งสำคัญที่คุณจะต้องดูแลน้องก้อยต่อไปก็คือ สภาพจิตใจ…หมอเชื่อว่า ถ้าไม่ท้อซะอย่าง ก้อยจะต้องดำรงชีวิตอยู่ในสังคมนี้ต่อไปได้แน่…พยายามอย่าให้เธอรู้สึกว่าเธอเป็นคนพิการ…”
น้ำตาเพียงหนึ่งหยด ไหลออกมาจากสองตาที่มืดบอดของเธอ
เสียงอาจารย์หมอดังต่อมาอีก “เธอเป็นคนที่มีพรสวรรค์เรื่องดนตรีนะ คุณรู้รึเปล่า”
ตอนสายๆ โบ้เดินนำหน้าพร้อมกับเป่าทรัมเป็ตเสียงดังสนั่น ขณะเท่ห์และเช็ง ถือข้าวของเต็มมือตรงมาที่บ้านหรั่ง ข้าวของนั้นคือ เหล้า โค้ก โซดา น้ำแข็ง และปลาช่อนแป๊ะซะตัวเบ้อเร่อ
“มาแล้วโว้ย ปลาช่อนแป๊ะซะ ตัวใหญ่บักเอ้บเลย...กูตกได้มากับมือนะโว้ยไอ้หรั่ง” เช็งร้องขึ้น
สามหนุ่มนี้เข้าไปในบ้านหรั่ง ผู้ใหญ่เงาะ น้าเบิ้ม นั่งรออยู่แล้ว หรั่งนั่งใกล้ๆ
ก้อยนั่งห่างออกไปนิดหนึ่ง หน้าตานิ่ง ไม่บอกอารมณ์...หรั่งทักทายเพื่อน
“พวกมึงจะกินเหล้ากันแต่วันเชียวเหรอ”
“ไม่ใช่กู โน่น...สองหนุ่มโน่นต่างหาก...”
เท่ห์ชี้ไปที่น้าเบิ้มกับผู้ใหญ่เงาะ
“อ้าว ไม่ได้สิ ยายก้อยมันเปิดตาทั้งทีต้องฉลองหน่อย...เฮ้ย ไอ้เช็ง ปลาช่อนตัวเท่าศอกมึงแป๊ะซะยังไง ถึงได้เหลือเท่านี้เองวะ” ผู้ใหญ่โวย
“มันหด...แหม ตกใจไปได้ ของมันมียืดมีหด...ผู้ใหญ่ก้อ” เช็งบอก
ทุกคนส่งเสียงเฮฮา ร่าเริง ทำตัวเป็นปกติ แต่สายตาทุกคนต่างลอบมองดูท่าทีและอารมณ์ของก้อยตลอด
ก้อยเองพยายามเก็บอารมณ์ของเธอให้นิ่งไว้ ยื่นมือควานหาอะไรบางอย่าง หรั่งหันไปเห็น
“ก้อย หาอะไร”
ทุกคนหันมามองก้อยที่ยังควานหาอยู่
“ดอกไม้...ดอกไม้แน่ๆ ใครมีดอกไม้บ้าง ก้อยอยากร้อยดอกไม้”
เพื่อนๆ พยายามช่วยหาดอกไม้
“เพิ่งกลับจากโรงพยาบาล นั่งๆ นอนๆ ให้สบายก่อนไม่ดีกว่าเร้อ ก้อยเอ๊ย” เบิ้มว่า
“มันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ก้อยรู้สึกเหมือนกับว่าตาเรามองเห็น”
คำพูดซื่อๆ นั้น เล่นเอาทุกคนเงียบ อึ้ง มองก้อยด้วยความสงสาร
“เงียบกันทำไมล่ะ สนุกกันต่อสิ พอก้อยคิดจะร้อยดอกไม้ ทุกคนต้องเงียบด้วยเหรอ...ก้อย
เห็นนะ น้าเบิ้มขมวดคิ้วอยู่ใช่มั้ย...ผู้ใหญ่กระดกเหล้าอยู่ละซี...พี่โบ้ต้องนอนแผ่อยู่กลางบ้านตรงนี้ ไม่เลิกขี้เกียจซะที...หรั่งล่ะ หรั่งหัวเราะก้อยอยู่ใช่มั้ย...ก้อยรู้นะ...”
ก้อยเดาอาการของทุกๆ คนผิดหมด แต่ไม่มีใครเอ่ยปากคัดค้าน และในที่สุดน้ำตาของก้อยก็ไหลรินออกมา คราวนี้ มันทะลักล้นจนเดาไม่ออกว่าจะหยุดเมื่อไหร่
“ก้อยรู้...รู้ว่า ทั้งชีวิตก้อยคงจะมองเห็นได้เท่านี้แหละ...ดอกไม้ซักดอก ก้อยก็นึกไม่ออกว่าหน้าตามันเป็นยังไง ร้อยมากับมือแท้ๆ ก็ได้แต่จับได้แต่คลำ แล้วก็เดาเอา...พระอาทิตย์ตอนเช้าที่ว่าสวยพระจันทร์เดือนเพ็ญที่ว่างาม ก็ต้องถามเขาทั้งนั้น...”
ก้อยพูดอะไรต่อไปไม่ออก เธอได้แต่ปล่อยให้น้ำตาพัดพาความทุกข์โศกทั้งหมดออกไป
หรั่งขยับเข้าใกล้ก้อย...โอบไหล่น้อยๆ กระชับแน่น และกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูเธอ
“ไปทะเลกันนะก้อย...หรั่งจะพาก้อยไปเที่ยวทะเล ฉลองที่หมอเปิดตาให้ก้อย...เราจะไปดูพระอาทิตย์ตกน้ำด้วยกัน ก้อยจะได้เห็นกับตาตัวเองว่ามันสวยงามแค่ไหน”
หรั่งพูดเสมือนว่าก้อยมีนัยน์ตาที่ปกติดี ก้อยยิ่งร้องไห้ออกมาโฮใหญ่
“ขอบใจมากนะหรั่ง...ขอบใจทุกๆ คน”
“ก้อยจำไว้นะ...ตราบใดที่เราไม่ท้อ เราจะไม่มีวันหมดโอกาส…ไม่มีวัน”
เวลาตอนบ่ายๆ ที่สระว่ายน้ำ บ้านเผ่าลาภ ใต้ผืนน้ำเวลานั้น แพรวากลับตัวใต้น้ำ เธอใช้เท้าทั้งสองข้างถีบขอบสระดันตัวเองพุ่งออกไปกลางสระว่ายน้ำ
แพรวาพุ่งพรวดขึ้นมาจากใต้น้ำ แล้วก้มหน้าว่ายฟรีสไตล์อยู่ที่ระดับผิวน้ำ จังหวะสโตรกของเธอรวดเร็ว กลมกลืน ราวกับเงือกสาวเจ้าสระ
ที่ขอบสระน้ำ รำไพนั่งเอกเขนกชื่นชมลูกสาวตัวเอง เผ่าลาภเดินมานั่งลงข้างๆ รำไพ...กาแฟและของว่างวางรออยู่แล้ว แพรวาว่ายมาเกาะขอบสระตรงหน้าเผ่าลาภ
“คุณป๋าเห็นหรือยังว่าน้องแพรเลือกผู้ช่วยได้ไม่ผิดคน”
“แต่หนูก็ควรจะรับผิดชอบด้วยตัวเองให้ได้มากกว่านี้ ไม่ใช่ว่ารอให้เขามาช่วยทั้งหมด”
“อ้าว...ถ้างั้นหนูจะมีผู้ช่วยไว้ทำไมล่ะคะ”
แพรวาถีบตัวออกไปกลางสระอีก เผ่าลาภพูดตามหลังแพรวาไป
“ป๋าคิดว่า เวลาของการฝึกงานควรจะสิ้นสุดลงได้แล้ว”
“เย...ไชโย”
สิ้นเสียงกรี๊ดดีใจ เธอก็ดำหายลงไปใต้สระ เผ่าลาภพูดตามหลังไปอีกเช่นเคย
“ถึงเวลาที่ป๋าจะต้องบรรจุหนูเป็นพนักงานจริงๆ ซะที”
แพรวาโผล่พรวดขึ้นมาจากใต้น้ำ เธอละล่ำละลักถามผู้เป็นบิดา
“คุณป๋าว่าไงนะ”
“ป๋าจะหาตำแหน่งที่เหมาะสม ให้หนูรับผิดชอบอย่างเป็นทางการ จะได้โตเป็นผู้ใหญ่กับเขาบ้าง”
แพรวาร้อง “ห๊ะ”
รำไพกำชับ “ต้อง ตั้งใจทำงานด้วยนะลูก”
ขณะเดียวกันที่ สนามไดรฟ์ กอล์ฟ แห่งหนึ่ง แลเห็นบรรดานักนิยมกอล์ฟมากมาย ต่างหวดเหล็กของตนอย่างคร่ำเคร่ง ลูกกอล์ฟลอยละลิ่วออกไปหลายรูปแบบ ไกลบ้าง ใกล้บ้าง เบี้ยว เป๋ ออกนอกลู่นอกทางก็เยอะ
ตะวันฉาย และแสงเทพ ทั้งคู่ยืนไดรฟอยู่ใกล้ๆ กันอยู่ ลูกกอล์ฟหมดถาดในเวลาไล่ๆกัน
สักพัก ทั้งคู่เดินกลับมานั่งที่โต๊ะเครื่องดื่มใกล้ๆ แสงเทพเริ่มปากหวาน สอพลอโปรโมชั่นใส่ทันที
“วงสวยมากเลยหลานชาย...แสดงถึงการมีวิสัยทัศน์ที่ดี ถือเป็นเด็กหนุ่มรุ่นใหม่ ไฟแรง”
“แหม คุณอาชมขาดเลยนะครับ...ชมกันขนาดนี้ ต่อให้เซียนมาจากไหน เป็นตกหลุมคุณ
อาหมด”
“อายังไม่ได้ขุดหลุมอะไรเลยนะ...”
“แต่ผมไปยืนรออยู่ปากหลุมของคุณอาก่อนแล้วหละ...รู้มั้ยครับว่าผมออกไปเปิดหูเปิดตาตามที่อาแนะนำมาแล้วนะครับ”
“อาได้ข่าวนั้นอยู่เหมือนกัน...ว่าแต่หลานพร้อมหรือยังล่ะ”
“ถ้าเป็นธุรกิจที่ทำร่วมกับอา ผมพร้อมเสมอครับ...อาเอ่ยปากได้เลย”
“มันเป็นธุรกิจที่ต้องติดต่อกับชาวฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลี มันเป็นธุรกิจที่ไม่ค่อยมีใครทำเพราะมันต้องมีเส้นมีสาย มีแบ๊คดี และก็ต้องกล้าเสี่ยง”
“ถ้าพลาดอาจโดนจับ ใช่มั้ยครับ”
“ถูกต้อง อาว่าแล้ว อาดูคนไม่ผิดจริงๆ...งานมันก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่เป็นตัวกลางส่งสินค้าให้คนที่เขาอยากจะซื้ออยากจะขาย...เท่านั้นเอง...ระดับหลานตะวันฉาย ทำได้สบายๆ อยู่แล้ว”
“อาแน่ใจเหรอครับที่บอกผม...พ่อผมเป็นนักการเมืองซีกรัฐบาลเชียวนะครับ...อาไม่กลัวผมฟ้องพ่อเหรอ เดี๋ยวเรื่องก็แดงหรอก”
“เรามันคนจำพวกเดียวกันว่ะหลานชาย...มองตาก็รู้แล้ว”
ตะวันฉายหัวเราะถูกใจ แล้วหยิบแว่นกันแดดมาใส่ทันที
“ผมจะถอดแว่นอีกที เมื่ออาบอกมาว่า ต้องการให้ผมรับผิดชอบตรงจุดไหน”
“ธุรกิจอามีเครือข่ายมาก...สิ่งที่อาต้องการจากหลานชายคือ จุดพักเปลี่ยนสินค้าเท่านั้นเอง...แลกกับ 20%ของมูลค่าสินค้าที่ส่ง...สนใจรึยัง”
“งานไม่ยาก...ทุกอย่างน่าจะราบรื่นดี ถ้าอาจะระวังไม่ให้เรื่องนี้รู้ถึงหูคุณพ่อ”
“แต่อาว่า ถึงพ่อของหลานชายรู้ เขาก็คงทำเป็นไม่เห็นมากกว่า...ตกลงจะทำกับอามั้ย”
ตะวันฉายถอดแว่นตาดำออก แล้วจ้องหน้าแสงเทพ
“ดวงตาผมตอบคุณอาว่ายังไงครับ”
ทั้งคู่จับมือกัน หัวเราะอย่างร่าเริงให้กับความริยำที่จะร่วมกันก่อ
หรั่งและเพื่อนๆ พาก้อยมาถึงทะเลสวย ตอนบ่ายๆ แลเห็นเกลียวคลื่นขนาดกำลังดีซัดสาดเข้าหาฝั่งเป็นระยะๆ ชายหาดขาวสะอ้านตาทอดตัวยาว กั้นขวางระหว่างกล้องและน้ำทะเล
เท่ห์ โบ้ เช็ง วิ่งออกจากข้างกล้อง เข้าเฟรมตรงไปลงทะเล ส่งเสียงเอ็ดตะโร หรั่งค่อยๆ จูงก้อยตามไปช้าๆ
ก้อยมีสีหน้าตื่นเต้น สดชื่น เหมือนมีรอยยิ้มสถิตอยู่ในใบหน้าสวยเย็นนั้น
“เรากำลังจะเหยียบน้ำทะเลแล้วใช่มั้ยหรั่ง”
“ยังจ้ะ แต่ตอนนี้เราห่างจากน้ำทะเลประมาณซัก สามสิบเมตรเท่านั้นเอง”
“เหรอ”
“ก้อยได้กลิ่นทะเลมั้ย”
“อือ ฮึ”
“ได้ยินเสียงคลื่นมั้ย”
“ดังลั่นเลย”
“คลื่นสูงลิบเลยหละก้อย...ทางซ้ายมือของก้อยนะ จะมีต้นสนเรียงเป็นแถวยาว...ทางขวามือมีเรือประมงจอดกันอยู่หลายลำเลย” หรั่งอธิบาย
“คนเยอะมั้ยหรั่ง”
“อื้อเลย...แต่ทะเลมันกว้างพอสำหรับพวกเราทุกคนอยู่แล้ว”
“ก้อยตื่นเต้นจัง”
“อย่ายืนตื่นเต้นอยู่กับที่สิก้อย...จะให้สนุกนะ เราต้องวิ่งลงทะเลเลยรู้ป่าว”
“ก้อยจะวิ่งได้ยังไงล่ะ หรั่ง”
“ได้สิ...ก้อยไม่ได้แตกต่างจากคนอื่นเลย...ไปเร็วก้อย ไป...ข้างหน้าไม่มีอะไรขวางเราเลย...ไปก้อย ตรงไปเหยียบน้ำทะเลให้สมใจเลย ก้อย”
หรั่งค่อยๆ ดันตัวก้อยออกไป ก้อยเริ่มก้าวขาช้าๆ และค่อยๆ เร็วขึ้นทีละนิด ขาก้อย ค่อยๆก้าว จากช้าและเร็วขึ้น
ก้อยกำลังเดินลงทะเล โดยมีหรั่งตามลุ้นอยู่ข้างหลัง
“ไปเลยก้อย วิ่งไปเลย...หรั่งจะอยู่ข้างๆ ก้อย ไม่ทิ้งไปไหนเลย...เราจะวิ่งไปด้วยกัน ก้อย...วิ่งไปเหยียบน้ำทะเล ให้สนุก ให้โลกทั้งโลกอิจฉาเรา...ไปเลย”
หรั่งลุ้นจนสำเร็จ ก้อยออกตัววิ่งไปข้างหน้า โดยไม่มีใครจูง
มองจากด้านหลังก้อย เห็นพวก เท่ห์ โบ้ เช็ง กวักมือเรียกจากในน้ำ หรั่งวิ่งตามก้อยไปจนถึงทะเล
ในที่สุด ทั้งคู่ก็ลงไปอยู่ในน้ำ วิ่งปะทะเกลียวคลื่น ร่วมกับเพื่อนๆ ทั้งหมู่ส่งเสียงหวีดร้อง กระโดดขึ้นลง น้ำแตกฟองกระจาย
บรรยากาศแห่งความรัก และ มิตรภาพ สวย ซึ้ง สนุกสมใจ หนุ่มสาวทั้งห้าคน
พระอาทิตย์สีส้มเย็นตา กำลังเคลื่อนตัวหายไปใต้ขอบน้ำทะเล หรั่ง ก้อย เท่ห์ โบ้ เช็ง นอนเรียงกันบนชายหาดเดิม...ทุกคนมีสีหน้าเปี่ยมสุข สนุกสนาน
“คืนนี้เรานอนนี่กันมั้ยวะ” โบ้เอ่ยขึ้น
เช็งย้อนถาม “มึงมีตังค์มั้ยล่ะ”
“ไม่มี”
“ถุ๊ย”
เท่ห์สอดขึ้นมา “กูมี”
“มึงเอาตังค์มาจากไหน” โบ้ถาม
“กูมีเต๊นท์ ไม่ได้มีตังค์...มันติดหลังรถกระบะมา แจ๋วมั้ย ยืมรถกระบะ แถมเต็นท์นอนหนึ่งหลัง”
ส่วนหรั่งกำลังอธิบายภาพบรรยากาศรอบๆ ตัวให้ก้อยฟัง
“ตอนนี้พระอาทิตย์กำลังตกน้ำนะก้อย ฟ้าทั้งฟ้าเป็นสีแดงหมดเลย...ก้อยนึกถึงสีแดงออกมั้ย...สีมันจะเหมือนแก้มก้อย เวลาก้อยอายน่ะ...แล้วเดี๋ยวพอพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป ทุกอย่างบนโลกนี้มันก็จะมืดมิดไปหมด”
“ก้อยนึกออกว่าความมืดมิดเป็นยังไง”
เพื่อนๆ ทุกคนหันมามองก้อย เป็นห่วงความรู้สึก
“ก้อยไม่เสียใจแล้วละ ที่ก้อยมองไม่เห็น...เพราะก้อยได้ดวงตาของหรั่ง และของพวกเราทุกคนมาแทนแล้วไง รวมแล้วเท่ากับก้อยมีตั้งแปดตาแน่ะ”
เพื่อนๆ ทุกคนซาบซึ้งไปตามๆกัน
“ก้อยอยากดูพระจันทร์ที่นี่จัง...พระจันทร์ที่นี่จะสวยกว่าที่บ้านเรามั้ยนะหรั่ง”
“ก็คงสวยไม่แพ้กัน...แต่ก้อยรู้มั้ย ถ้าเราดูดีๆ มันจะมีสองดวง”
เหตุการณ์ในอดีตผุดขึ้นในห้วงคิดของหรั่ง
อ่านต่อหน้า 2
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 6 (ต่อ)
เวลาค่ำๆ เมื่อ 20 ปีที่แล้ว พระจันทร์บนท้องฟ้าดวงกลมโต ส่องแสงสวยงามเย็นตา กลุ่มเด็ก 6-7 คน บุคลิกไม่มีทางรวย จับกลุ่มอยู่ริมหาด
เด็กชายคนหนึ่ง มีล็อคเก็ตไวโอลินสีเงินห้อยอยู่ที่คอ ยืนกลางวงในลักษณะหัวโจก เขาคือเด็กชายหรั่งนั่นเอง
“ใครอยากเห็นพระจันทร์สองดวงบ้าง”
เด็กๆ ส่วนใหญ่ยกมือ อยากเห็น บางคนเถียงว่า ไม่มีซักหน่อย พระจันทร์มีดวงเดียวโว้ย
“เอาทอฟฟี่มาให้เราคนละสองเม็ด...แล้วเราจะให้ดูพระจันทร์สองดวง” เด็กชายหรั่งบอก
เด็กทั้งหมดมองหน้ากัน แล้วตัดสินใจส่งขนมลูกอมให้เด็กชายคนนั้น
“ตามมาทางนี้” หรั่งบอก
เด็กชายหรั่งพากลุ่มเพื่อนๆเดินเลาะหาดมายังพุ่มไม้ใกล้ๆ ชี้ให้เพื่อนดูบนท้องฟ้า
“โน่น พระจันทร์ดวงที่หนึ่ง”
แลเห็นพระจันทร์ดวงสวยลอยอยู่กลางฟ้าผ่านโฟร์กราวด์ ใบไม้ใบหนา และยอดหญ้าสวย เด็กชายหรั่งเอื้อมมือมาดึงใบไม้ใบที่ใหญ่ที่สุดออก แล้วกวักมือเรียกเพื่อนๆ
“ดูนี่...พระจันทร์ดวงที่สอง”
เด็กๆ หันไปมองตามที่เด็กชายหรั่งชี้ให้ดู เห็นเงาพระจันทร์ลอยนิ่งอยู่เหนือผิวท้องทะเล
“สวยมั้ย...เชื่อเรารึยัง”
เด็กอีกคนบอก “เฮ้ย ขี้โกง...ขี้โกงนี่หว่า...เอาลูกอมของเราคืนมา เอาทอฟฟี่คืนมา...”
เด็กคนนั้น วิ่งไล่เตะ ไล่แย่งของจากเด็กชายหรั่ง ไปจนทั่วหาด
ที่หน้าปั๊มน้ำมันร้าง ของบารมี มันมีขนาดกว้างใหญ่มาก แต่ไร้ผู้คน ด้วยเหตุที่เลิกดำเนินกิจการไปนานแล้ว
รถตะวันฉายแล่นเข้ามาจอดกลางปั๊ม ตะวันฉายก้าวลงจากรถ เขากวาดตามองไปรอบๆ บารมีก้าวลงจากรถตัวเองที่จอดรออยู่แล้ว เดินเข้าหาตะวันฉาย
“ปั๊มใหญ่โตดีจังครับ...ไม่น่าเจ๊งเลยนะอา แถวนี้ก็ไม่เห็นมีปั๊มอื่น”
“มันไกลผู้ไกลคนน่ะ...ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าจร หลงทางมาเติม...แถวนี้หาลูกค้าประจำลำบาก...น้ำมันก็แพง คนเขาหนีไปใช้แก๊ซกันทั้งนั้น”
“แต่ที่แบบนี้แหละ ดีสำหรับผม”
“ยังไง”
“มีนายทุนคนนึงที่สนิทๆ กัน เขาสนใจพวกกิจการเจ๊งๆ อย่างนี้”
“จะเซ้งไปทำต่อเหรอ”
“เขามีลู่ทางที่จะทำธุรกิจได้ก็แล้วกัน...เอาเป็นว่า อายกปั๊มน้ำมันนี้ให้ผมดำเนินงานเป็นการใช้หนี้นะ ถือว่าเจ๊าๆ กันไป ดีมั้ย...น่าจะดีใจนะ ที่ผมยอมรับช่วงธุรกิจตายซากแล้วของอาไปน่ะ...ตกลงมั้ย”
“โธ่...ใครไม่ตกลงก็บ้าแล้ว”
“อีกเรื่องนึงนะอา...นายทุนเขายังขาดพนักงานอยู่...อาสนใจจะร่วมงานกันมั้ย”
“งานอะไร”
“ก็แค่คุมคนงาน ส่งของนิดหน่อย”
“ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ...โชคดียิ่งกว่าถูกล็อตเตอรี่อีก ที่อาได้รู้จักกับหลานอย่างตะวันฉาย”
บารมีหัวเราะดังกว่าคนถูกหวย
คืนนั้น เสียงหัวเราะของบารมี ดังต่อเนื่องมา ขณะบารมีเปิดประตูห้องเข้ามา ท่าทางเมาอร่อย
“กัน กันจ๋า...กันทิมา แม่ยาหยี...”
กันทิมาเดินออกมาจากห้องนอน เธออยู่ในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำ หยาดน้ำยังชโลมอยู่ทั่วร่าง ผมของเธอเปียกหมาดๆ
“อาบน้ำดึกๆอย่างนี้ระวังจะไม่สบายนะ ที่รัก...ผมเรียกคุณตั้งนาน ไม่ได้ยินเหรอ”
“ทุกที คุณกลับมา ไม่เห็นเคยเรียกฉันอย่างนี้นี่คะ”
“นี่...คุณเห็นอะไรนี่มั้ย”
บารมีหยิบเงินออกมาโปรยเล่นไปทั่วห้อง...มันเยอะเหลือเกิน
“เขาเรียกว่าเงินไงล่ะ รู้จักมั้ย เงินน่ะ...ฮ่าฮ่าฮ่า เงิน”
กันทิมาแปลกใจ แต่น้ำเสียงเป็นปกติ “คุณเอาเงินมาจากไหน เยอะแยะขนาดนี้”
“ผมนึกแล้วว่าคุณต้องถาม....ไม่บอก ผมไม่ได้ปล้นใครมาก็แล้วกัน ต่อไปนี้คุณอยากได้อะไรคุณบอกผม”
บารมีเข้าไปจับกันทิมาหมุนตัวไปรอบๆ ราวกับเต้นรำ
“ผมจะหาให้คุณทุกอย่าง...อย่าไปทำงานที่ไหนเลยนะ ที่รัก เชื่อผมสิ ผมมีงานที่มั่นคงพอที่จะเลี้ยงดูคุณให้สุขสบายไปทั้งชีวิต”
บารมีโอบกอดกันทิมา เคลียคลอชิดใกล้ ลูบไล้หัวไหล่ และใช้จมูกไล่หอมตามปลายผมของเธอ
จนกันทิมาขนลุก !
“คุณไม่กลับไปทำงานกับเฮียแล้วเหรอคะ”
“เรื่องอะไร ผมมีงานที่ดีกว่านั้นอีก...คอยดูนะ อีกหน่อยผมจะต้องได้ดีกว่าเฮีย รวยกว่าไอ้เฮียให้ได้”
กันทิมา ดึงตัวเองห่างออกมาจนได้
“คุณจะอาบน้ำมั้ยคะ...เดี๋ยวฉันเอาผ้าให้”
บารมีรั้งตัวกันทิมากลับเข้าไปในวงแขนเขา กระซิบแผ่วเบาที่หูของเธอ
“กันจ๋า...เราร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมากี่ปีแล้วนะ...เรามาย้อนความหลัง ในคืนแรกที่เรามีความสุขด้วยกันหน่อย ดีมั้ย...ยังจำได้รึเปล่า”
“ไม่มีอะไรที่ฉันจำไม่ได้หรอกค่ะ”
กันทิมาพูดประโยคนี้อย่างแฝงความนัยไว้มาก บารมีไม่สน เขาดึงกันทิมาเอนตัวลงตรงนั้น...ทั้งคู่
ด้านเผ่าลาภนอนดูทีวี เป็นภาพยนตร์เรท อาร์ อยู่บนเตียงในห้องนอน รำไพเข้ามาจากนอกห้อง เธออยู่ในสภาพพร้อมนอน
“เดี๋ยวนี้คุณดูหนังอย่างนี้ด้วยเหรอคะ”
“อือม...หมอเขาแนะนำ”
“แนะนำให้ดูหนังโป๊” รำไพฉงน
“เขาบอกให้หาอะไรที่ไม่เครียดทำบ้าง”
เผ่าลาภใช้รีโมทปิดโทรทัศน์ตอนนี้ รำไพมองหน้าเผ่าลาภอย่างจับสังเกต
“วิธีนี้คงไม่ได้ผลสินะ”
“คุณจะว่ายังไง ถ้าประชุมบริษัทวันจันทร์นี้ ผมจะแต่งตั้งให้แพรวาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไปของ M.S. JEWELRY”
“ผู้ช่วยของ อรทัยน่ะเหรอคะ” รำไพแปลกใจ
“อื่อฮึ...คุณคิดว่าจะมีปัญหาอะไรมั้ย”
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ยายหนูแพร ถ้าช่วยกันฝึก ช่วยกันผลักดัน...แต่น้องๆ คุณสิคะ เขาจะว่า
ได้ว่าคุณตั้งใจปูทางให้ลูกสาวขึ้นมาเป็นใหญ่แทน”
รำไพพูดชวนคิด ขณะล้มตัวลงนอนบนเตียง ข้างๆเผ่าลาภ
“ก็จริงนี่...ผมไม่เถียง”
“แต่แพรวาเป็นผู้หญิงนะคะ...คนที่จะสืบทอดตำแหน่งหัวเรือใหญ่นี้ ที่ถูกแล้วควรเป็นผู้ชายไม่ใช่เหรอ”
“ก็เราไม่มีลูกชาย แล้วจะให้ทำไง”
“คุณเล่นเถียงหัวชนฝาอย่างนี้ ก็อย่ามาปรึกษาฉันเลยค่ะ”
“อย่าเพิ่งงอนสิ”
“ถ้าคุณคิดว่ามันคุ้มพอ กับการที่พี่น้องคุณจะแตกแยกกัน ก็ตามใจคุณเถอะ ฉันไม่เกี่ยวด้วยอยู่แล้ว”
“ผมกำลังชั่งใจอยู่ว่า ระหว่างการรวบรัดตัดสินใจด้วยตัวผมเองโดยลำพัง กับการอธิบายแจกแจงให้ฟังในที่ประชุมว่า น้องๆแต่ละคนมันเหลวใหลไร้ความสามารถยังไง...วิธีไหนจะทำให้พี่น้องแตกแยกน้อยกว่ากัน”
รำไพพอจะเข้าใจสิ่งที่เผ่าลาภคิดมากขึ้น...เธอรู้สึกหนักใจไปด้วยอยู่ไม่น้อย
“คุณอาจจะต้องให้ตำแหน่งกับหลานชายคุณบ้าง เพื่อแสดงความเที่ยงธรรม”
“นายต้นน่ะเหรอ”
“อย่างน้อยเขาก็เป็นหลานชายคนโตของตระกูลนะคะ อรทัยเธอจะได้พอใจขึ้นมาบ้าง”
คืนเดียวกันนั้น บ้านอรทัย เจ้าของบ้านนั่งหน้าตาบึ้งตึงเครียดอยู่ในห้องรับแขก
“เอ้า มีอะไรจะแก้ตัวก็ว่ามา”
เป็นสุชาติ หัวหน้าฝ่ายขายคนนั้น นั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่ตรงหน้าอรทัย
“พูดมาซี่...มานั่งร้องไห้คร่ำครวญอะไรอยู่ได้ ฟังไม่รู้เรื่อง...ทำอะไรไม่รู้จักคิด เสียแรงที่อยู่กันมานาน ขัดสนอะไรทำไมไม่เอ่ยปากบอก”
“แม่ผมตาย..โฮ โฮ โฮ...” สุชาติปล่อยโฮ ท่าทีน่าสงสาร
“แม่ฉันก็ตาย”
“พ่อเป็นมะเร็ง ต้องผ่าตัด เมียผมโดนเลย์ ออฟออกจากงาน ลูกชายโดนไล่ออกจากโรงเรียน...ที่ที่หนองคายโดนยึด...”
“แล้วไง”
“รถก็เสีย...แทงหวยก็โดนกิน...แทงบอลล์ก็โดนโกง”
“เฮ้ย พอแล้ว...ฉันถามว่า แล้วยังไง....ที่พร่ำรำพันมาทั้งหมดนี่คือเหตุผลที่ต้องโกงฉันงั้นเหรอ”
“ผมแค่คิดจะเอาเงินไปหมุน ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น...ผมไม่นึกว่า...”
“ไม่นึกว่าจะถูกจับได้ละสิ...ชั่วครู่ชั่วยามของแกน่ะสามปีเชียวนะ...แกโกงฉันมาสามปีหน้าตาเฉย”
“สองปีแรกไม่ใช่ผมนะฮะ...ผมเพิ่งจะ...” สุชาติแถ
“ไม่ต้องมาเถียง...ที่จริงแกไม่ควรจะโผล่หน้ามาให้ฉันเห็นอีกเลย ด้วยซ้ำ”
“ผมผิดไปแล้วครับ ขอโอกาสผมอีกสักครั้งเถอะ...ถ้าผมโดนไล่ออกอีกคน พ่อ เมีย และลูก เขาจะอยู่กันยังไง...ถ้าผมตัวคนเดียวก็แล้วไปเถอะ ผมคงไปบวชหรืออาศัยวัดอยู่...แต่นี่ผมยังมีภาระต้องเลี้ยงดู คุณอรทัยช่วยผมด้วยเถอะครับ ผมยอมเป็นทาษคุณอรทัยตลอดทั้งชีวิตเลย ได้โปรดเถอะครับ...”
อรทัยไม่ตอบ และยังไม่หายโกรธ
รถหลายคันพากันแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบริษัท MS.GROUP ญาติพี่น้องและผู้บริหารระดับสูง ต่างก้าวลงจากรถ เดินไปตามทางเดิน ตรงไปรอขึ้นลิฟท์
เสียงเผ่าลาภดังขึ้นมา
“ที่ต้องเรียกประชุมทุกฝ่ายในวันนี้ เพราะมีเรื่องสำคัญที่จะต้องหารือ และกำชับกับพวกเราทุกคน มันเป็นเรื่องที่อาจจะส่งผลต่อสถานภาพของบริษัทเราในอนาคตได้ ถึงแม้ว่าณ วันนี้ ผลประกอบการของเรายังทรงตัวอยู่ แต่เราจะพอใจเพียงเท่านั้นไม่ได้ เรายิ่งต้องพัฒนาไปสู่การเติบโตที่มากขึ้น และต้องกำจัดสิ่งที่คอยบั่นทอนเรา นั่นก็คือ การทุจริต”
ภายในลิฟท์ กัมปนาทและบารมีก้าวเข้ามาในลิฟท์พร้อมๆ กัน กัมปนาททักทายพี่ชายแบบกระซิบๆ
“ล้านห้าที่ให้ไป เฮียเอาไปใช้หนี้เขาหมดรึยัง”
“เฮียกำลังพยายาม ใช้เงินต่อเงินอยู่...ได้ข่าวว่าไปพัทยามา สนุกน่าดูละสิ”
กัมปนาทยิ้มบางๆ ไม่ตอบ เสียงเผ่าลาภดังต่อเนื่องอยู่
“พวกเราในฐานะหุ้นส่วน และผู้บริหาร จะต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา อย่าให้มีการทุจริตเกิดขึ้นในบริษัทของเราเป็นอันขาด”
โดยที่ห้องประชุมใหญ่ MS. GROUP เผ่าลาภนั่งพูดอยู่ที่หัวโต๊ะ เสียงพูดดังต่อเนื่อง
“เพราะการทุจริตเพียงนิดเดียว ที่เราคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย มันอาจจะบ่มเพาะ และนำไปสู่การสูญเสียผลประโยชน์มหาศาลของบริษัทได้...คงเข้าใจนะอรทัย”
ผู้ร่วมประชุมทุกคนมีอาการตามบุคลิกใครมัน กฤษฎายกมือขึ้นพูด
“ที่มันมีการทุจริตเกิดขึ้น เพราะเรามีคนนอกเข้ามาปะปนในบริษัทรึเปล่า”
“คนนอกของเธอหมายถึงใคร” กัมปนาทร้อนตัว
“ไม่รู้สิครับ...แต่ผมว่าการคดโกงกัน มันไม่น่าเกิดในหมู่ญาติพี่น้อง มันต้องมีคนนอกเข้ามายุแยง...แต่ผมไม่ได้ว่าอะไรกู๋ฮุยนะ...ผมหมายถึงไอ้...”
“พอแล้วนายต้น”
เผ่าลาภตัดบทอย่างรำคาญ
“อย่าประเมินใครจากภายนอก...ทุกๆ คนที่เข้าทำงานในบริษัทนี้ ผ่านความเห็นชอบจากฉันก่อนทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนในหรือคนนอก ฉะนั้นโอกาสที่จะทำดี หรือทำทุจริตมีได้เท่ากันหมด”
บารมีแขวะ “เฮียเห็นคนอื่นดีกว่าญาติพี่น้องเหรอ...สุดยอดจริงๆ”
“ถ้าคิดว่าคนนอกมันเลว งั้นก็ไล่คนนอกออกไปให้หมด ไม่ต้องจ้างใครแล้ว...ทำกันเองเฉพาะญาติพี่น้อง เอามั้ย...ประหยัดรายจ่ายดีด้วย ดูซิว่าจะมีปัญญาทำกันมั้ย”
“ตั่วกู๋ก็เกินไป ผมไม่ได้จะหมายถึงขนาดนั้นซักหน่อย” กฤษฎาแก้ตัว
“นายต้น เธอในฐานะเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูล...แทนที่เธอจะมานั่งเขม่นคนอื่นๆ เขาเธอควรจะเข้ามามีหน้าที่รับผิดชอบให้เป็นเรื่องเป็นราวได้แล้ว...ฉันจะขอตั้งให้เธอเป็นผู้ช่วยผู้จัดการโรงเจียระไน ประจำอยู่ที่เหมือง ขึ้นตรงกับทนงศักดิ์พ่อของเธอ...รับผิดชอบคุมพลอยในสต็อคทั้งหมด และอื่นๆที่ฉันเห็นสมควร”
“ค่อยยังชั่วหน่อย” กฤษฎาพอใจ
กัมปนาทเหน็บเอา “เพราะไม่ต้องตากแดด ใช่มั้ย”
“อีกคนหนึ่งคือแพรวา...ฉันจะให้แพรวามีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยของอรทัย...ภาระหน้าที่และความรับผิดชอบกำหนดโดยเธอเองนะอาฮุ้ง”
อรทัยดูชักสีหน้า จะไม่พอใจขึ้นมาทันที
“แต่ฉันไม่คิดว่าฉันต้องมีผู้ช่วยนะเฮีย...มันทำงานไม่คล่องตัว...ไหนจะต้องทำงานของตัวเอง ไหนจะต้องคอยหางานให้หลานทำ โอ๊ย ตอนฝึกงานก็ยุ่งทีนึงแล้ว..ซ้ำซ้อนกันเปล่าๆ”
“เธอก็ทำด้านนโยบายเป็นหลักสิ...หลังๆ นี้งานด้านประชาสัมพันธ์ของเราก็ดูจะอ่อนไปเยอะเพราะฉะนั้นงานอะไรๆที่มันล้นมือ ดูไม่ทั่ว เธอก็ให้หลานมันทำซะ…และอย่าลืมว่าการทุจริตที่เราเพิ่งจับได้ มันก็เพราะความเผอเรอของเธอเหมือนกัน” เผ่าลาภบอก
“ถ้างั้นทำไมไม่ให้เจ้าต้นมาเป็นผู้ช่วยฉันล่ะ เอาแพรวาไปอยู่เหมืองสิ”
“ก็เจ้าต้นมันผู้ชาย แพรวาเป็นผู้หญิง...ถ้าเธอคิดว่าผู้หญิงควรไปทำงานเหมือง...ฉันจะให้ทนงศักดิ์มาทำแทนเธอแล้วส่งเธอไปคุมเหมืองบ้าง เอามั้ย”
อรทัยเงียบลงไปได้ เผ่าลาภลุยต่อ
“เราอย่ามาทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างนี้เลย อาฮุ้ง...ฉันขอยืนยันคำสั่งเดิม ใคร
มีอะไรอีกมั้ย...”
“มี...ฉันขอผู้ช่วยให้เจ้าต้นคนนึง...มันอยู่ไกลหูไกลตา ฉันเป็นห่วงมัน” อรทัยว่า
บรรดาผู้บริหารทั้งหลายเดินซุบซิบกันออกมาจากห้องประชุม อรทัยและกฤษฎาเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา ผู้เป็นแม่กำลังพยายามอธิบายอะไรบางอย่างให้ลูกชายฟังอย่างแผ่วเบา...กลัวคนอื่นรู้
“เขาเป็นคนเก่าคนแก่นะลูก ยังไงๆ แม่ก็ต้องช่วยเขาหน่อย...อยู่ที่นู่นลูกจะได้มีแขนมีขาคอยช่วยเหลือ งานอะไรหนักๆ ก็ให้มันทำแทนซะ แต่ลูกต้องคอยจับตาดู อย่าให้มันออกนอกลู่นอกทางล่ะ...หมอนี่มันร้ายใช่ย่อย”
อรทัยเดินมาถึงหน้าห้องทำงานของตัวเองพอดี เธอเปิดประตูเดินเข้าไป เห็นสุชาตินั่งเด่นรออยู่กลางห้อง
“ลูกชายฉันจะเป็นเจ้านายคนใหม่ของแก สุชาติ”
สุชาติหันมายกมือท่วมหัว แล้วก้มลงกราบแทบเท้าอรทัย
“ขอบพระคุณคุณอรทัยมากครับ...บุญคุณครั้งนี้ ผมจะไม่ลืมจนชั่วชีวิต”
ส่วนที่ห้องทำงานแพรวา มีป้ายหน้าห้องบอกตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้จัดการ หรั่งเปิดประตูห้องนี้เดินเข้าไป เห็นแพรวานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องนั้น เธอเพิ่งวางหูโทรศัพท์ ท่าทางเหม่อๆ ตามประสา
“ดีใจด้วยนะครับ สำหรับตำแหน่งและห้องทำงานใหม่...แสดงว่าคุณกำลังก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ”
“ฉันไม่เห็นอยากได้เลย...ที่จริงห้องนี้น่าจะเป็นของนายมากกว่า”
“เป็นไปไม่ได้หรอกครับ...ผมมันคนนอก แค่มีโต๊ะเก่าๆ ให้ผมซักตัวนึงก็พอแล้ว”
“ฉันให้คนย้ายโต๊ะของนายมาหน้าห้องฉันแล้วนะ”
“ตำแหน่งอะไรครับ หน้าห้องคุณ”
“ก็ผู้ช่วยฉัน เหมือนเดิมไง...นี่เป็นคำสั่งคุณป๋านะ โต๊ะที่ย้ายมา นี่ก็คำสั่งคุณป๋าด้วยเหมือนกัน”
เผ่าลาภเข้ามาทางประตูห้อง สยามเดินตามมาไม่ห่างนัก
“อาโกมอบหมายงานอะไรให้เรารึยังลูก” เผ่าลาภถาม
“ยังเลยค่ะ”
“งั้นออกไปธุระกับป๋าหน่อย...หรั่ง เธอขับรถฉันได้ไหม”
“คิดว่า ได้ครับ”
“งั้นไปด้วยกัน...สยาม อยู่รออรทัยที่นี่ บอกเขาว่าฉันขอยืมตัวผู้ช่วยเขาหน่อย...เย็นๆ จะเอามาส่ง”
หลังจากนั้น เห็นรถเผ่าลาภแล่นไปด้วยความเร็วกำลังสบายๆ หรั่งนั่งขับรถตัวตรงมาตามทาง โดยมีเผ่าลาภและแพรวานั่งข้างกันที่เบาะหลัง เงียบๆ ซักพัก
“ตกลง ไปที่ไหนครับ”
“อ๋อ...ทองหล่อ 15...ฉันนึกว่าบอกเธอไปแล้ว”
แพรวาฉงน หันไปมองเผ่าลาภ
“คุณป๋าจะไปบ้านพี่ตะวันฉายเหรอคะ”
“อือม...ป๋าจะแวะเอาของฝากไปให้คุณสุริยะหน่อย”
“แล้วทำไมน้องแพรต้องไปด้วย”
“แล้วหนูรังเกียจอะไรเขาล่ะ...มีเรื่องอะไรผิดใจกันรึเปล่า”
แพรวาเงียบไม่ตอบ หรั่ง ลอบมองดูท่าทีนั้นของแพรวา
“ป๋าไม่รู้นี่นาว่าเรามีเรื่องอะไรกัน...เอ้า ถ้าลำบากใจ ก็นั่งรอในรถก็ได้”
“คุณป๋าเนี่ย จะทำอะไรก็ไม่บอกก่อน ดูสิ ให้น้องแพรมา แล้วก็ต้องมานั่งรอในรถ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย ก็ให้นายหรั่งเขานั่งคุยเป็นเพื่อนไปสิ”
“เดี๋ยวนี้คุณป๋าดูมีลับลมคมในเยอะจังนะคะ” แพรวาสัพยอก
เผ่าลาภยิ้มนิดๆ
“ป๋าก็เป็นป๋าเหมือนเดิมอย่างนี้แหละ ไม่ได้มีลับลมคมในอะไร...มีแต่ทำงาน เลี้ยงดูครอบครัว...ครอบครัวใหญ่ซะด้วย แล้วก็เฝ้าดูการเจริญเติบโตของ เด็กหญิงแพรวาคนนี้”
“หนูไม่ใช่เด็กหญิงแล้วนะคะคุณป๋า”
“ถูกต้อง...หนูโตขึ้นมากแล้วแพรวา...ห้องทำงานของหนูก็ใหญ่โตขึ้นด้วย แต่ถ้าไม่มีหนูอยู่ในห้องนั้น...หรือหนูจะอยู่แบบ เอาแต่นั่งพูดคุยโทรศัพท์เล่น skype กับเพื่อนฝูงไปวันๆ ห้องนั้นมันก็จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย...แต่นี้ต่อไป ตื่นแต่เช้า อาบน้ำให้เร็ว แล้วไม่ต้องแกล้งป่วยอีกนะจ๊ะ นางสาวแพรวา”
หรั่งขับรถไปยิ้มไป แพรวา ลอบทำหน้าดุใส่หรั่ง
เผ่าลาภพูดต่อ “สำหรับเธอนะนายหรั่ง...ฉันต้องขอขอบใจเธอมาก และอยากให้เธอทำหน้าที่เหมือนเดิมติดตามแพรวาทุกฝีก้าว ช่วยประคับประคองเขา ช่วยเขาตัดสินใจในสิ่งที่เขาไม่ชำนาญ...ฉันไม่มีตำแหน่งให้เธอ แต่เธอจะขึ้นตรงต่อฉัน มีอะไรขอให้รายงานฉันทันที...เข้าใจมั้ย”
“ครับ”
“มีโทรศัพท์มือถือกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค วางอยู่ที่เบาะข้างหน้า เธอเอาไปใช้ซะ ฉันให้เป็นอุปกรณ์ประจำตำแหน่งของเธอ...จะได้ตามตัวง่ายๆ...เอาบิลล์มาเบิกเงินกับสยามไอ้บัตรเติมเงินน่ะ เลิกใช้ได้แล้วนะ”
“ครับผม”
หรั่งยิ้มรับคำ ส่วนแพรวา มีสีหน้าเธอเอือมๆ
เวลาต่อมา รถเผ่าลาภแล่นเข้าไปในเขตรั้วบ้านพัวพงศ์ไพศาล ประตูบ้านปิดเองโดยอัตโนมัติ
เผ่าลาภเดินถือของขวัญไปตามทางเดินในบ้าน ทส.คนสนิทของสุริยะ เดินเข้ามาต้อนรับ
“เชิญคุณเผ่าลาภครับ...คุณสุริยะท่านรออยู่พอดี”
เผ่าลาภเดินตามชายคนนั้นเข้าไปในบ้าน
รถเผ่าลาภที่จอดนิ่งสนิทอยู่ในโรงจอด เห็นหรั่งนั่งเอนตัวสบายๆ ในตำแหน่งคนขับ ขณะแพรวานั่งเบื่อๆ อยู่ที่เบาะหลัง
ที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือของแพรวาเป็นการส่งข้อความผ่านทาง ไลน์ ข้อความว่า
“ฉันอยู่หน้าบ้านพี่ตะวัน...แต่เขาอยู่ไหนไม่รู้...โทร.ติดต่อไม่ได้เลยอ้ะ"
มีรูปตัวการ์ตูนร้องไห้ งอแง ปิดท้ายข้อความ
แพรวาในกระจกส่องหลังรถยนต์ เราจะเห็นใบหน้าของเธอบอกอารมณ์เบื่อเต็มทน หรั่งชำเลืองมองภาพนั้นแล้วขำเบาๆ
แพรวารู้สึกได้ถึงเสียงหัวเราะ
“นายขำอะไร”
หรั่งชำเลืองมองกระจกอีกครั้ง
ดูเหมือนแววตาของเขาจะมีรอยยิ้ม
แพรวาตำหนิ “ไม่สุภาพเลยนะ อยู่ๆ ก็ขำออกมาโดยที่คนนั่งใกล้ๆ ไม่รู้เรื่องด้วย”
หรั่งเย้า “ยังดีกว่าอยู่ๆ ก็ร้องไห้”
แพรวาตัดสินใจเดินออกจากรถ อ้อมไปนั่งด้านหน้าคู่กับคนขับ
“นี่นาย...บอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะว่ามันเรื่องอะไรกัน”
“เอาเรื่องอะไรล่ะครับ”
“หลายเรื่องเลยเหรอ”
หรั่งยักไหล่ อมยิ้มนิดๆ ไม่พูดไม่จา
“นายหรั่ง...นายฟ้องป๋าฉันไปหลายเรื่องเลยใช่มั้ย”
“ผมว่าคุณพ่อของคุณฉลาดพอที่จะดูอะไรต่อมิอะไรได้เอง โดยไม่ต้องมีใครคอยบอกหรอกครับ”
“นายกับคุณป๋า ดูจะเข้ากันได้ดีเกินไปแล้วนะ”
“หรือคุณอยากให้ผมมีปัญหากับคุณพ่อของคุณ”
แพรวา กกลับไปนั่งที่เบาะหลังตามเดิม
“คุณทะเลาะกับคุณตะวันฉายอีกแล้วเหรอครับ”
“ไม่บอก...”
มีเสียงสัญญาณดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือ แพรวารีบก้มดู เห็นข้อความของอรจิราปรากฏขึ้น
“หากิ๊กใหม่ดีกว่า...โอกาสมาถึงแล้ว เพื่อน"
ปิดท้ายข้อความด้วยตัวการ์ตูนร้องไชโยๆๆ
แพรวาร้อง “บ้า...”
หรั่งเหลือบมองแพรวาอีกครั้ง
ที่โถงบ้านสุริยะเวลานั้น สุริยะกำลังแกะกล่องของขวัญที่เผ่าลาภเอามาฝาก เขาหยิบของในกล่องออกมา มันคือ พระสังกัจจายน์ ขนาดหน้าตัก 9 นิ้ว สวยงามกำลังดี เผ่าลาภอธิบายสรรพคุณประกอบ
“ทำจากกระเบื้องหลังคาโบสถ์ครับ คนแย่งกันจองมากเลย ถ้าไม่นับถือกันจริงละก้อไม่มีทางได้มาง่ายๆหรอกครับ”
สุริยะ แสดงว่าคุณนับถือผม
เผ่าลาภ ก็ งั้นสิครับ...
“ขอบคุณมาก”
สุริยะยกพระสังกัจจายน์ไปวางไว้ด้านหลัง ข้างๆ กับ ฮก ลก ซิ่ว ที่ทำจากหยกขาว เมื่ออยู่ใกล้กัน เห็นได้ชัดว่า ฮก ลก ซิ่ว นั้นใหญ่โตกว่ากระเบื้องหลังคาโบสถ์มากนัก สุริยะหันมาเอ่ยปากเป็นการเป็นงาน
“คุณมีอะไรลำบากใจรึเปล่าครับคุณเผ่าลาภ...ว่ามาเลย เดี๋ยวผมต้องไปงานเลี้ยงท่านทูต”
“ก็ เรื่องประทานบัตรนั่นแหละครับ...คนของผมรายงานว่า ดูเหมือนจะเซ็นอนุมัติช้ากว่าที่เรากะๆประมาณกันเอาไว้”
“แหม...การเมืองช่วงนี้ มันมีระบบตรวจสอบเยอะครับ...ช้าหน่อย แต่ได้ชัวร์ๆดีกว่านะ”
“ไอ้ผมน่ะไม่เป็นไรหรอกครับ...แต่เด็กของผมสิครับ มันได้ข่าวกันมาว่า คู่แข่งของเราไล่บี้ที่ผืนนี้หนักอยู่เหมือนกัน”
สุริยะทำไก๋ “เหรอครับ...บริษัทอะไรล่ะ”
“เทพทอแสง”
“อ๋อ...ของคุณแสงเทพ...คนกันเองนี่...อือม ผมลำบากใจจริงๆ ว่ากันตามตรงเลยนะครับ...ผมว่า ต้องแล้วแต่ทางผู้ใหญ่แล้วหละ แหม มันอยู่พรรคเดียวกันซะด้วยสิ”
“เข้าใจครับ...ที่ผมเป็นห่วงจริงๆ ก็คือว่า ที่ผืนนี้ถ้าใครที่ได้สัมปทานไปแล้วเอาไปกอบโกยอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงวิถีชีวิตของชาวบ้านและสภาพแวดล้อมรอบๆ ละก้อ...จะมีปัญหาตามมามากมายเลยนะครับ”
“พูดอย่างนี้เหมือนคุณกำลังใส่ร้ายคุณแสงเทพเขาอยู่นะ” สุริยะท้วง
“เรื่องนี้ ดูจากประวัติที่ผ่านมา รวมทั้งหาข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณาได้ไม่ยากครับ”
สุริยะตัดบท “เอาละ ผมว่า ใจเย็นๆซักนิดเถอะน่า...ให้ผู้ใหญ่หาทางออกให้ก็แล้วกัน...แต่ยังไงๆคุณเผ่าลาภก็คนเก่าคนแก่อยู่แล้ว ต่อสายตรงกันได้อย่างนี้ ไม่น่าพลาดน่า”
“ผมก็คิดอย่างนั้นแหละ...กลัวแต่ว่าเด็กๆเขาจะมีเรื่องกันซะก่อน ไม่กี่วันมานี้ ก็เพิ่งจะยกพวกชก“แล้วผมจะคอยจี้ให้นะ...ว่างๆนัดมากินข้าวกับคุณแสงเทพเอามั้ยล่ะ กระชับมิตรกันหน่อย เผื่อจะมีทางลงได้สวยกว่านี้...ผมว่าไม่เลว นะ”
“เอ้อ...ครับ...”
เผ่าลาภรับคำอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก สุริยะลุกขึ้นออกเดินนำ เผ่าลาภเดินตาม
“ตะวันฉายไม่อยู่เหรอครับ”
“ช่วงนี้เขายุ่ง ตั้งแต่เริ่มมีธุรกิจของตัวเองขึ้นมานี่แหละ หายหน้าหายตา ชนิดไม่เห็นหัวมันเลย”
ทั้งคู่เดินออกไปจากบ้านหลังนี้
อ่านต่อหน้า 3
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 6 (ต่อ)
เผ่าลาภ ไหว้เจ้าตามธรรมเนียมจีนอย่างเคร่งครัดจนเสร็จ ส่วนรำไพไหว้พระอยู่ในห้องพระเยี่ยงพุทธศาสนิกชนที่ดี
หรั่งเขียนบันทึกเตือนใจตัวเองเช่นเคย
“ชีวิตทุกคน มีขึ้นมีลง...มีมืด มีสว่าง ไม่ต่างจากเวลาขึ้น และตก ของพระจันทร์
ธนูตั้งอาหารเช้าให้กัมปนาท บนเตียงนอน ที่รีสอร์ทหรู ส่วนบารมีนอนกอดกันทิมา หลับตาพริ้ม ในคอนโดมีเนียมของเขา ด้านชาติชายอยู่ในบ้านพัก นั่งดูรูปคู่ระหว่าง เขาและกันทิมา ในอดีต
“และมันจะสลับ หมุนเวียนกันไป มากกว่าหนึ่งครั้ง ในหนึ่งช่วงชีวิตข้างขึ้นของชีวิต เรามักเรียกว่า โชคเมื่อชีวิตดำดิ่งลง เรามักเรียกมันว่า ดวงตก”
ก้อยเล่นน้ำทะเลอย่างสนุกสนานกับเท่ห์ โบ้ เช็ง ส่วนแพรวาว่ายน้ำเล่นในสระว่ายน้ำภายในบ้านของเธอ
“ความสุขของทุกชีวิต คงมีเพียงน้อยนิด หากทุกคนรอเฉพาะยามเมื่อมีโชค แต่เราจะมีความสุขจนล้นปรี่ หากมีวิธีอยู่ร่วมกันได้ กับทุกคราวที่เราอาภัพ”
หรั่งขี่มอเตอร์ไซค์แล่นมาตามท้องถนนในยามค่ำคืน
“...นี่คือ สัจธรรม”
คืนนั้นหรั่งนั่งเขียนบันทึกของเขาอยู่ที่โต๊ะตัวเดิมในห้องนอน เสียงในใจของหรั่งดังออกมาข้างนอก ระหว่างเขียนบันทึก
“พระเจ้าใช้เวลาสร้างโลกนานแค่ไหนฉันไม่รู้...แต่ฉันใช้เวลา กว่าสิบเจ็ดปี ที่จะได้มีโอกาสใกล้ชิดเธอ...วันนี้เธอช่างเหมือนเด็กแสนงอนตัวน้อยๆซะจริงๆ...คนไม่มีหัวใจเท่านั้นแหละถึงจะหักห้ามใจ ไม่ให้หลงใหลเธอได้...เทพธิดาตัวน้อยๆ ของฉัน...”
หรั่งปิดบันทึกคืนนี้ด้วยเรื่องราวเจ้านายสาวของเขา จังหวะนี้ยินเสียงโครมครามดังมาจากนอกห้อง หรั่งรีบวิ่งพรวดออกไปด้วยความตกใจ
เป็นก้อยนั่นเองที่นั่งกุมเท้าอยู่ที่พื้น...ข้าวของใกล้ตัวล้มระเนระนาดหรั่งวิ่งออกมาจากห้องนอนของเขาตรงเข้าไปหาก้อยทันที...สอดแขนประคองอย่างทะมัดทะแมง
“ก้อย เป็นอะไรไป”
“สะดุดอะไรก็ไม่รู้”
หรั่งสำรวจดูรอบๆ ที่เกิดเหตุ จนพบ
“อ๋อ โน้ตบุ๊คน่ะ”
ก้อยฉงน “โน้ต บุ๊ค?”
“คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ค กับ โทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่” หรั่งบอก
“หรั่งมีตังค์ซื้อด้วยเหรอ?”
หรั่งอธิบาย “อุปกรณ์ประจำตำแหน่งน่ะ...เจ้านายเขาเพิ่งให้หรั่งมา ก็เลยเอามาเสียบไฟชาร์จแบตตารี่ไว้ซักหน่อย”
“หรั่งโชคดีจังเลยนะ มีเจ้านายดีๆ ให้ยืมเงิน ให้เงินเดือนล่วงหน้า แล้วยังให้ทั้งคอมพิวเตอร์ทั้งโทรศัพท์มาใช้อีก อย่างนี้สงสัยว่าหรั่งคงต้องทำงานกับเขาไปตลอดชีวิตเลยสินะ”
“ก็ อาจจะ...ทำนองนั้นมั้ง”
หรั่งประคองก้อยลุกขึ้นเดินไปยังห้องนอนของเธอ
“หรั่งต้องพาก้อยไปขอบคุณเขาให้ได้นะ เขาทำให้ก้อยได้ผ่าตัด ถึงแม้ผลที่ออกมาจะไม่เป็นไปตามที่ใครๆ หวัง แต่ก้อยก็ต้องขอบคุณเขา...ไม่งั้นก้อยจะไม่สบายใจเลย…ได้มั้ยหรั่ง”
“ได้ซี่...ซักวันนึงนะ...ก้อยจะเอาอะไรอีกมั้ย หรั่งหยิบให้”
“ไม่ละ”
หรั่งขยับตัว เดินกลับห้อง ก้อยพูดตามหลังหรั่งไป
“ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้เล่านิทานกันเลยนะหรั่ง...วันหลังเรามาเล่าตอนจบกันเถอะ”
ก้อยปิดประตูห้องนอนลงอย่างเงียบเหงา
หรั่ง เอนตัวลงนอนกลางห้องสายตาจับจ้องไปที่เพดาน เห็นเป็นภาพคอลเลาจเต็มไปด้วยภาพและเรื่องราวของแพรวาปรากฏอยู่เต็มเพดานแผ่นนั้น เสียงไวโอลินทำนองเศร้า เหงา เพลง Over The Rainbow - สุดสายปลายรุ้ง ดังมาจากห้องก้อย
หรั่งเอื้อมมือหยิบล็อคเก็ตไวโอลินอันเดิมนั้นขึ้นมาส่องดู มันล้อกับแสงไฟนีออนในห้องนอนเป็นประกายสวยงามยิ่ง
นั่นมันทำให้หรั่งหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตขึ้นมา
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่ชายหาด ใกล้ๆ เขตแค้มป์ก่อสร้างแห่งหนึ่ง
ในมือของเด็กชายหรั่งยื่นล็อคเก็ตไวโอลินออกมา เด็กชายหรั่งแต่งตัวโดยใช้ผ้าเก่าๆ ผูกคอเป็นผ้าคลุม สวมหมวกลูกเสือ ถือดาบไม้ผุๆ เด็กน้อยพูดออกไป
“นี่คือสัญญลักษณ์ของอัศวิน...อัศวินอย่างข้าเท่านั้นที่จะปกป้องเจ้าหญิงได้...”
เขาใช้ดาบฟาดฟันกับคนนอกกล้อง แล้ววิ่งไปรอบๆ
เด็กชาย ข้ามศพข้าไปก่อน ถ้าคิดจะแย่งสัญญลักษณ์นี้ไปจากข้า
เขาวิ่งชูร็อคเก็ตอันนี้ไปรอบๆ
ล็อคเก็ต แกว่งไกวไปมาในมือของเด็กชายหรั่ง
วันหนึ่ง ที่บริษัท MS.GROUP แพรวาเดินมาตามทางเดินตรงไปห้องทำงาน มีหรั่งตามมาห่างๆทางด้านหลัง อรทัยเข้ามาจากมุมหนึ่ง ขวางหน้าแพรวาไว้แบบจู่โจม
“น้องแพร...หายเงียบไปเลยนะเรา วันแรกก็เป็นซะอย่างนี้แล้ว...เมื่อวานอารออยู่ทั้งวันจะสั่งงานอะไรก็ไม่ได้...เราไม่ใช่เด็กฝึกงานแล้วนะ เรามีตำแหน่งหน้าที่แล้ว...ทำอย่างนี้ไม่ดีเลย”
“น้องแพรไปกับคุณป๋าค่ะ...พอกลับมาตอนเย็น อาโกก็ไม่อยู่แล้ว”
“ใครจะไปรอได้ล่ะ กลับซะเย็นป่านนั้น”
หรั่งลอบมองดูท่าทีของอากับหลาน อรทัยลากแพรวาไปนั่งที่เก้าอี้ใกล้ตัว
“ฉันจะมอบหมายให้เธอดูแลรับผิดชอบเรื่องออร์เดอร์นะ”
“ยังไงคะ”
“ในออร์เดอร์แต่ละล็อตของเราเนี่ยะ มันจะมีกำหนดการส่งของที่ชัดเจน...เธอจะต้องประสานงานกับฝ่ายผลิต ให้ผลิตสินค้าให้ทันตามกำหนด...ขั้นตอนอะไรที่มันยุ่งยากเกินไป เธอก็ต้องทำให้มันราบรื่น...ประสานงานกับฝ่ายขาย และ ทางเหมือง ให้มีข้อมูลที่ตรงกัน ทั้งเรื่องแบบ และกำหนดเวลา เข้าใจมั้ย...เอาแค่นี้ก่อนแล้วกัน คงไม่หนักเกินไปน่า...ผู้ช่วยก็มีไม่ใช่เหรอ...”
อรทัยชำเลืองมองไปทางหรั่งนิดหนึ่ง แสยะยิ้มหยามหยัน
“เฮอะ...ผู้ช่วยของผู้ช่วย G.M. ยุ่งดี...แล้วก็อยู่ให้อาเห็นหน้าบ้างนะ”
อรทัยพูดแขวะทิ้งท้ายจบแล้วเดินออกไป หรั่งได้แต่มองตาม
เวลาต่อมาไม่นาน บรรดาพนักงานมากมายถือแฟ้มเดินเข้ามาในห้องแพรวา จนเต็ม แพรวานั่งงงอยู่ที่โต๊ะประจำตำแหน่งของเธอ แล้วลุกขึ้นยืนถอนใจ
“นี่คือตัวแทนของทุกฝ่ายที่น้องแพรต้องประสานงานด้วย เหรอ”
ทุกคนพยักหน้ารับคำ
“หมดแค่นี้ใช่มั้ยคะ”
“เฉพาะที่สำคัญ ก็ประมาณนี้ครับ” พนักงานชายคนที่ 1 บอก
“ช่วยแนะนำชื่อและตำแหน่งของตัวเอง และก็รายละเอียดของงาน และก็...อะไรก็ได้ที่น้องแพรต้องรู้…เชิญค่ะ”
พนักงานทุกคน แนะนำตัวเองไล่ไปทีละคน…อาทิ ตัวแทนฝ่ายขายในประเทศ / ตัวแทนฝ่ายขายต่างประเทศ / ตัวแทนฝ่ายผลิต / ฝ่ายประชาสัมพันธ์ / ฝ่ายจัดกิจกรรมเสริม / ฝ่ายออกแบบตัวเรือน / ฝ่ายประสานงานพ่อค้าพลอย / ฝ่ายตรวจเช็คคุณภาพ / ประสานงานเหมืองนอกประเทศ / ฝ่ายตั้งราคาประมูล ฯลฯ
พนักงานหญิง คนที่ 1 เอ่ยขึ้น “ในส่วนของออร์เดอร์ เราจะมีทั้งในประเทศและต่างประเทศ…ดิฉันดูแลด้านต่างประเทศ”
พนักงานชายคนที่ 1 เสริม “ผมจะเป็นคนรับออร์เดอร์จากในประเทศ…แต่เฉพาะพลอยที่เจียรไนแล้ว พร้อมส่งร้านค้า”
พนักงานชายคนที่ 2 บอกว่า “ถ้าเป็นพลอยก้อน ผมจะเป็นคนประสานกับพ่อค้าพลอย”
พนักงานหญิง คนที่ 1 บอกอีกว่า “บางครั้งอาจจะมีพ่อค้าจากต่างประเทศเข้ามาเสนอทั้งซื้อและขายพลอยดิบกับเรา…ในส่วนนี้จะต้องให้ผ่านที่ส่วนกลาง และประสานงานกับเหมือง เพื่อเช็คสต็อคดูว่า จำนวนและขนาดพลอยในสต็อคเราพร้อมจะปล่อยมั้ย หรือจะซื้อเพิ่มเพื่อเก็บกัก ไว้รอออร์เดอร์
จำนวนมาก…ซึ่งจะทำให้เราตั้งราคาได้สูง…”
“เดี๋ยว…โทษนะคะ” แพรวาขัดขึ้นแล้วกดอินเตอร์คอม “นายหรั่ง ช่วยเข้ามาในห้องฉันหน่อย” แพรวาลุกขึ้นเดินไปมา
ไม่นานประตูห้องก็เปิดออกโดยหรั่ง
“ครับผม”
“นายมานั่งฟังเป็นเพื่อนฉันหน่อย…” แพรวาหันมาทางทีมงาน “ช่วยเริ่มใหม่อีกครั้งตั้งแต่ต้นนะคะ
ทีมงานเริ่มต้นอธิบายใหม่”
แพรวามีอาการมึนตึ๊บ
ต่อมาประตูห้องทำงานแพรวาเปิดออก หรั่งเดินนำพนักงานทุกคนออกมาจากห้องนั้น
“ประมาณอาทิตย์หน้า คุณแพรวาจะเรียกประชุมเพื่อดูความคืบหน้าอีกครั้ง ขอบคุณทุกคนนะครับ”
“ถ้าต้องการเอกสารอะไรเพิ่มเติม เรียกได้เลยนะคะ” พนักงานหญิง คนที่ 1 บอก
“ขอบคุณมากครับ”
พนักงานแยกย้ายกระจายกันออกมา พนักงานชาย-หญิงคู่หนึ่งเดินเม้าท์กันมาตามทาง
“ผู้ช่วยอะไรเก๊งเก่ง…ดูทำงานมากกว่าหัวหน้าซะอีก”
“นินทาคุณแพรวาเหรอ เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวก็ซวยหรอก”
ชายหญิงคู่นี้ลับตัวไป
ส่วนแพรวาและหรั่งคุยต่อในห้อง
“ทำไมนายดูจะเข้าใจเรื่องอะไรๆ ที่ยุ่งๆ ได้ง่ายจัง”
“สมาธิครับ…คุณต้องมีสมาธิ”
หรั่งมองหน้าเจ้านายสาว
ช่วงตอนกลางวัน กันทิมาและรำไพเข็นรถเข็นเลี้ยวเข้ามาในซูเปอร์มาร์เก็ตของห้างดัง ทั้งคู่เดินคุยไปพร้อมกับเลือกหยิบของจากชั้นวางสินค้าทั้งสองข้าง ตามประสาแม่บ้านทั่วไป รำไพเป็นผู้เปิดการสนทนา
“ตกลงคุณกันตัดสินใจหรือยังคะ จะมาทำงานด้วยกันรึเปล่า”
“ไม่ดีกว่าค่ะ”
“ทำไมล่ะ”
“เกรงใจคุณบารมีค่ะ เขาคงไม่สบายใจ ถ้าดิฉันจะไปทำงานจริงๆ...”
รำไพมองหน้ากันทิมาอย่างเข้าใจ
“คุณเป็นคนดีมากเลยนะ กันทิมา...อดทนทุกอย่าง...แล้วเขาเป็นไงบ้างล่ะ อาหั่งสามีเรา
น่ะ”
“ตอนนี้ก็ดีขึ้นค่ะ เขาเริ่มทำธุรกิจใหม่เกี่ยวกับการส่งของส่งพัสดุอะไรนี่ละ หนูดูเขาจะมี
ความสุขกว่าเมื่อก่อนมากเลยนะคะ”
“งั้นก็ดีแล้ว...แต่ถ้าเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็บอกนะ”
รำไพยิ้มยินดี แล้วเดินเลี่ยงไปหยิบสินค้าจากล็อคอื่น กันทิมาเหลือบมองไปยังมุมที่ขายกระดาษห่อของขวัญ คิดอะไรบางอย่าง แล้วเลือกหยิบกระดาษห่อของขวัญที่ต้องการ ดูป้ายติดราคา
ส่วนแพรวาอยู่ในห้องนอนที่บ้าน ยกมือถือขึ้นพูดสาย
“น้องแพรพูดค่ะ...เก๊าเจ็กเหรอ”
ที่ห้องพักกัมปนาท ในเหมืองเมืองกาญจน์ ธนูถือโทรศัพท์แนบแก้ม กล้ามหลังแขนรัดตัวเป็นสันนูน
ที่ใบหน้ายังพอมีริ้วรอยช้ำเหลืออยู่เล็กน้อย
“ผมธนูครับ...คุณกัมปนาทจะพูดสายด้วย สักครู่นะครับ”
ธนูส่งหูโทรศัพท์ให้กัมปนาท ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ
“คุณแพรวาอยู่ในสายแล้ว”
“น้องแพรนะ...จ้ะ...ออร์เดอร์ใหม่ที่น้องแพรส่งมาให้อาดูน่ะ มีปัญหานิดหน่อย คือถ้าจะใช้พลอยเนื้อเดียวกันทั้งหมดตามแบบน่ะ เรามีไม่พอ...แต่อาแก้ไขดัดแปลงให้แล้ว สวยไม่แพ้แบบเดิมหรอก...ยังไงพรุ่งนี้แวะมาดูที่เหมืองเลยก็ดีนะ”
“ค่ะ...พรุ่งนี้น้องแพรเข้าไปเลยค่ะ”
กัมปนาทกำชับหลานสาว “ตอนมา เผื่อเวลาหน่อยนะจ๊ะน้องแพร ช่วงนี้ตำรวจเขาตั้งด่านตรวจอะไรกันไม่รู้ ทุกวันเลย...ทางเข้าเหมืองรถวิ่งได้เลนเดียว...รถติดน่าดู...จ้ะ...พรุ่งนี้เจอกันจ้า...จุ๊บจุ๊บ”
จากนั้นกัมปนาทวางหูโทรศัพท์ลง ธนูยกโอเลี้ยงมาเสิร์ฟ...สีของมัน ดำปี๋
จริงดังว่า เช้าวันต่อมา บนถนนหลวงเส้นทางไปเหมือง M.S. กรวยสามเหลี่ยมและป้ายหยุดตรวจตั้งกั้นทางเส้นนั้นไว้ แลเห็นตำรวจตั้งด่านอยู่กลางถนน พื้นผิวจราจรเหลือเพียงช่องทางเดียว...รถติดเป็นแถวยาว
นายตำรวจกระจายกันตรวจรถทุกคันที่ผ่านบริเวณนั้น ไกลออกไปยังท้ายแถว เห็นรถแพรวาเคลื่อนเข้ามาต่อคิว กระจกข้างคนขับกำลังเลื่อนลง หรั่งโผล่หน้าออกมาทางช่องหน้าต่าง
ตำรวจหนึ่งนายยื่นหน้าเข้ามา เขาทำความเคารพก่อนแล้วจึงพูด
“ขออนุญาตตรวจค้นรถหน่อยนะครับ...กำ ลังจะไปไหนครับเนี่ย”
“ไปเหมือง M.S. ครับ...นี่คุณแพรวาลูกสาวคุณเผ่าลาภเจ้าของเหมือง”
“อ๋อ” ตำรวจพยักหน้ารับรู้
หรั่งแปลกใจ “มีเรื่องอะไรกันเหรอครับ”
ตำรวจบอก “ยาบ้าน่ะสิครับ...มันขนผ่านแถวนี้กัน ก็เลยต้องเข้มงวดกันหน่อย”
“ยาบ้าเลยเหรอครับ...หน้าตามันเป็นยังไง”
ตำรวจชี้ไปที่ลังๆ หนึ่งบนกระบะท้ายรถตำรวจ คันที่จอดอยู่ไม่ไกล หรั่งหันมองตาม เห็นเป็น ลังใส่หน่อไม้ไผ่ตง...มีตัวหนังสือ เขียนเอาไว้ที่ลังว่า
“หน่อไม้ไผ่ตงชั้นดี ต้องที่นี่ หน่อไม้คุณรัช”
หรั่งงง “นั่นมันลังหน่อไม้นี่ครับ”
ตำรวจสนทนาตอบพร้อมกับสอดส่ายสายตาตรวจรถไปด้วย
“ก็ลังหน่อไม้น่ะสิ...ลักลอบขนของป่านี่ก็ผิดอยู่แล้ว...มันยังอุตส่าห์ยัดไส้ยาบ้าเข้าไปอีกยัดกันทีนึง ลังละเป็นร้อยๆ เม็ด”
“แล้วคุณตำรวจจับมาได้ยังไงครับ” หรั่งซัก
“เวรกรรมของพวกมันเองนั่นแหละ...มันดันทำตกไว้ลังนึง คงขนกันเพลิน...เราก็เลยต้องเข้มงวดกับถนนเส้นนี้หน่อย เพราะดูเหมือนมันจะเป็นทางลำเลียงของพวกมัน”
ตำรวจตรวจเสร็จพอดี
“เอาละ เรียบร้อยแล้วครับ...เชิญได้ ขับรถระวังๆ นะครับ”
หรั่งค่อยๆ บังคับรถให้เคลื่อนตัวออกไป
ที่โรงเจียระไน ในเหมือง MS. เวลานั้น ไม่มีพนักงานเจียรอยู่ประจำที่โต๊ะเจียระไน…น่าจะเป็นเวลาพักเที่ยง เห็นเพียงกัมปนาทที่กำลังอธิบายรายละเอียดให้แพรวาฟัง หรั่ง และ ธนูยืนดูกันอยู่ ไม่ห่าง
กัมปนาท หยิบแบบของลูกค้าชูให้แพรวาดู เป็นแบบของ แหวน ต่างหู กำไล และสร้อยคอ
ทุกแบบล้อมด้วยไพลินเต็มไปหมด
“น้องแพรดูนะ นี่คือแบบที่ลูกค้าต้องการ เห็นมั้ย เขาใช้ไพลินทั้งหมดเลย ซึ่งต้องเป็นไพลินเนื้อเดียวกันด้วย…ทีนี้ในสต็อคของเราเนี่ยะ อาเข้าใจผิด คิดว่ามีพอ แต่ที่แท้มันกลับไม่พอตามจำนวนออร์เดอร์ของเขา ซึ่งถ้าจะเอาแบบนี้ เราก็ต้องไปกว้านซื้อจากพ่อค้าพลอย…กำไรเราก็จะน้อยลง…แต่ถ้าเขายอมดัดแปลงนิดหน่อย ผสมพลอยลงไปบ้าง เราก็จะทำได้เลย ง่ายขึ้นด้วย…ซึ่งอาดัดแปลงแบบให้เขาแล้ว อย่างนี้…” พลางหยิบร่างแบบสเก๊ตช์ให้หลานสาวดู
“สวยกว่าอีก อาเจ๊ก”
“แน่สิยะ อา จบ อะไรมาลืมแล้วเหรอ”
“Jewelry Designer from Stockholm University”
“ถูกต้อง ทีนี้น้องแพรก็ต้องไป โน้มน้าวเขา ให้เขายอมตามเราให้ได้ เราจะได้มีกำไรมากขึ้น เข้าใจนะจ๊ะ”
ธนูพูดเสริม “ผมว่าแบบใหม่นี่ คุณหญิงคุณนายกำลังชอบเลยนะครับ”
“แน่ละ เพราะมันจะล้อแสงไฟน่าดูเลย” กัมปนาทจีบปากว่า
กฤษฎาเดินมาร่วมกลุ่มกับกัมปนาท
“โอ้โฮ มาถึงนี่เชียว ผู้ช่วย GM. ถ้าเกิดมาแล้วติดใจ แลกตำแหน่งกับพี่เลยก็ได้นะ…อ๊ะ อ๊า…มีผู้ช่วยตามมาช่วยด้วย…จะมาซื้อหน่อไม้ไผ่ตงคุณรัชรึไง”
แพรวาด่า “บ้า”
กฤษฎาล้อ “ใช่...อร่อยสดจากป่า ยัดใส้ยาบ้าอย่างดี…เมื่อวานมีคนทำตกไว้ลังนึง…สนมั้ย”
ชายอีกคนหนึ่งเดินเข้าไปหาต้น เขาคือ สุชาติ ที่เคยโดนเผ่าลาภไล่ออก
“คุณต้นครับ…เครื่องบินบังคับที่ช่างเอาไปโมฯเครื่องใหม่ เรียบร้อยแล้วครับ วันนี้ไปรับเครื่องได้เลย” สุชาติบอก
“โอเค”
แพรวาและหรั่งหันไปมองที่สุชาติเขม็ง สุชาติหลบตาลงนิดหนึ่ง
กฤษฎาแนะนำ “นี่สุชาติ ผู้ช่วยพี่…แปลกใจอะไร ทีน้องแพรยังมีผู้ช่วยเลย ทำไมพี่จะมีบ้างไม่ได้ ประสบการณ์ของสุชาตินั้น มีมากกว่าของผู้ช่วยเธอตั้งเยอะ”
สุชาติเงยหน้าขึ้นมาได้บ้างแล้ว
เวลายามบ่าย ชาติขายออกแรงเปิดฝากระป๋องเบียร์ในมือ ฟองกระจายทั่วห้อง เขานั่งลงบนที่ว่างใกล้ตัว ยกกระป๋องเบียร์ซดเฮือกใหญ่ เฮือกเดียวเกือบหมดกระป๋อง หน้าตาของเขายังคงเต็มไปด้วยคราบเหงื่อไคล เนื้อตัวมอมแมมประสาชายหนุ่มผู้ไม่ยี่หระกับชีวิต
วิทยุเครื่องเก่าๆในห้อง เปล่งเสียงเพลงรัก เหงาๆ ครอบคลุมบรรยากาศนี้ไว้ ลูกน้องคนงานวัยหนุ่มก้าวเข้ามาในห้อง
“เฮีย...โอ้โฮ เล่นเบียร์แต่วันเชียว...ยังไม่เลิกงานเลยนะ”
“พักเที่ยงโว้ย”
“ซดเบียร์แต่วันอย่างนี้ ต้องไม่ธรรมดาซะแล้ว” ลูกน้องแซว
“เออ...”
“สุขสันต์วันเกิดนะเฮีย”
“มึงรู้ด้วย”
“ก็นี่ไง...มีของขวัญส่งมาถึงเฮีย...ตรงวันเป๊ะเลย”
คนงาน ยื่นกล่องของขวัญให้ชาติชาย
มันห่อด้วยกระดาษลายเดียวกับที่กันทิมาใช้ ที่หน้ากล่องมีการ์ดเขียนว่า Happy Birth Day วันที่ตรงกับวันนี้พอดี
ชาติชายฉงน “ใครส่งมาวะ”
“ไม่รู้...เฮียเปิดดูเองแล้วกัน...ทีหลังจะเลี้ยงวันเกิดน่ะ บอกล่วงหน้าหน่อยดี้...จะได้ยกพวก
มาร้องเพลงให้มันคึกครื้นกันหน่อย” คนงานลูกน้องบอก
ชาติชายเริ่มต้นแกะของขวัญกล่องนั้น
“อั๊วไม่ชอบคึกครื้น”
“เอ๊า...ตามใจ แล้วจะเป่าเทียนมั้ย...มีเค้กรึยัง...หรือขี้เกียจเป่าอีก...งั้นขอเบียร์ป๋องนึงนะ”
คนงานหยิบเบียร์เดินออกไป
กล่องของขวัญในมือชาติชาย มันถูกแกะกระดาษของขวัญออกหมด เห็นเป็นกล่องขนาดน่ารัก ชาติชายเปิดฝากล่องนั้นขึ้น จึงเห็นถึงของที่อยู่ข้างในนั้น มันคือลูกกุญแจ สวย เก๋ หนึ่งดอก
ชาติชายครุ่นคิด ประหวัดไปถึงความหลังฝังใจ
เมื่อ 6 ปีก่อน หินสองก้อนถูกยกขึ้น มีแบ๊คกราวด์เป็นหมู่เมฆสวย ฟ้าใส ชาติชายและกันทิมา ในชุดนักศึกษา นอนราบกับพื้น หัวชนกัน ทั้งสองมองไปที่หินสองก้อนที่ชาติชาย ยกชูขึ้น ใบหน้าของทั้งคู่สดใสร่าเริงยิ่งนัก
“นี่อะไร รู้มั้ย” ชาติชายเอ่ยขึ้น
กันทิมาแกล้งยั่ว “ก้อนหิน”
“ก้อนหินธรรมดาที่ไหน...กัน ดูซิ รูปร่างเหมือนอะไร”
“หัวใจ....” กันทิมา ลากเสียงยาว
“มันคือหัวใจของผม กับ ของกันไง”
“หัวใจของเราสองคน จะเกาะเกี่ยวกันไว้ด้วยกันในนี้ ไม่มีวันแยกจากกันโดยเด็ดขาด”
“แล้วถ้าชาติเผลอทำกล่องหล่นไม่รู้ตัว หรือใครมาหยิบไปเฉยๆ ซะงั้น เรามิต้องแยกกันไปทางใครทางมันหรอกเหรอ...?”
“ไม่มีทาง”
พลางชาติชายหยิบกุญแจมาคล้อง ล็อคกล่องนั้นไว้
“ผมเก็บกล่องไว้ คุณเก็บกุญแจ...วันใดที่กันไม่รักผม อยากเป็นอิสระจากผม กันค่อยมาไขกุญแจเอาหัวใจของกันไป ก็แล้วกัน” กันทิมาเย้า
“โรแมนติกเกินไปรึเปล่า”
“ผมจริงจังนะกัน”
“ระวังจะเป็นโรคหัวใจตายอยู่ในกล่องนี้นะ คุณเหลียง”
กันทิมาโผเข้ากอดชาติชาย กลิ้งกลมไปกับพื้นดิน
ชาติชายดึงตัวเองกลับมา จ้องมองกุญแจดอกนั้นในมือ เอื้อมหยิบกระดาษโน้ตอีกใบที่อยู่ในกล่องขึ้นมาเปิดดู ที่กระดาษ มีตัวหนังสือ ลายมือผู้หญิง เขียนข้อความว่า
“ฉันขอ คืน อิสระให้คุณค่ะ…สุขสันต์วันเกิดนะคะ"
ความร้าวรานใจปรากฏขึ้นบนใบหน้ากร้านชีวิตของชาติชาย อย่างเห็นเด่นชัด น้ำตาลูกผู้ชายค่อยๆ ก่อตัวและไหลออกมาเพียงบางๆ ชาติชายตะโกนลั่น
“ไอ้ผ่อง...ไอ้ผ่องโว้ย...”
คนงานคนเดิมรีบวิ่งเข้ามา หน้าตาตื่น “มีอะไร เหรอเฮีย”
“มึงไปซื้อเบียร์มาอีกห้าแพ็ค...วันนี้อั๊วเลิกงานแล้ว”
“อะฮ้า” คนงานชอบใจ “ปักเทียนบนขวดเบียร์หน่อยก็ไม่เลวนา เฮีย...ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ”
อ่านต่อหน้า 4
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 6 (ต่อ)
ที่บ้านเผ่าลาภตอนค่ำ รำไพกำลังเตรียมคุ้กกี้ใส่จาน กลุ่มโปรดิวเซอร์รายการทีวีและทีมงาน พวกเขากำลังรุมล้อมเผ่าลาภอยู่ที่โถงรับแขก
“เราตั้งใจทำรายการนี้ เพื่อเป็นรายการสำหรับนักธุรกิจ และนักลงทุน…โดยเฉพาะนักลงทุนรุ่นใหม่ๆ ดังนั้น ประสบการณ์ของผู้ที่เคยล้มลุกคลุกคลานกับธุรกิจมาก่อนจึงเป็นประโยชน์สำหรับพวกเขามาก…เราก็เลยอยากจะเชิญคุณเผ่าลาภไปเป็นเกียรติให้สัมภาษณ์ในรายการเรา” โปรดิวเซอร์ว่า
“โอย…ผมแก่แล้ว ใครจะอยากดูผม” เผ่าลาภออกตัว
รำไพถือจานคุกกี้เข้าเฟรมมา หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส
“คุ้กกี้กาแฟ อบเสร็จใหม่ๆเลย…ลองชิมกันดูหน่อยนะจ๊ะ…แม่เพิ่งได้สูตรมาใหม่จ้ะ”
เผ่าลาภเชื้อชวน “เอ้ากินกันก่อน เดี๋ยวคุณรำไพจะเสียใจ...แล้วค่อยมาว่ากันละเอียดๆ อีกที ว่าผมต้องทำอะไรบ้าง”
รำไพเดินแยกออกมายังโทรศัพท์ ปล่อยให้เผ่าลาภและทีมงานรายการทีวีคุย กิน กันไป
หรั่งและแพรวา เดินเข้ามาขณะที่รำไพกำลังหมุนโทรศัพท์
“กลับมาแล้วเหรอลูก…นู่น ไปชิมคุ้กกี้ฝีมือแม่หน่อยสิ หรั่งไปด้วยกันเลยสิ”
“มีอะไรกันเหรอคะ”
“เขาจะมาเชิญคุณป๋าของหนูไปออกทีวี”
“ว้าว...จะได้ดังตอนแก่แล้วสิ คุณป๋า”
แพรวาเดินตรงไปทางเผ่าลาภ
“นี่ลูกสาวผม”
“สวัสดีทุกคนค่ะ...ช่วยปั้นคุณป๋าให้เป็น super star เลยนะคะ” แพรวายิ้มแย้มทักทาย
โปรดิวเซอร์ยิ้มตอบ “งั้นน้องแพรวาต้องช่วยกันตื๊อคุณพ่อหน่อยแล้วหละ ท่านจะไม่ยอมออกทีวีท่าเดียว”
“คุณป๋าแก ท่าเยอะอย่างนี้หละค่ะ”
ทีมงาน 1 ในนั้น ออกไอเดีย “หรือจะออกรายการด้วยกันทั้งคู่เลย ก็ดีนะคะ”
“ไม่ดีกว่าค่ะ น้องแพรไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร”
“นั่น เห็นมั้ย...เราก็พอกันกับป๋านั่นแหละ”
ส่วนรำไพโทรศัพท์อยู่
“คุ้กกี้กาแฟสูตรใหม่ พี่ทำเสร็จแล้วนะ…ใช่… เดี๋ยวจะให้คนเอาไปให้ ลองชิมดู…ขาดเกินยังไงก็บอกกันบ้างนะจ๊ะ กันทิมา”
รำไพชะเง้อมองไปทางหน้าบ้าน
“สยาม…สยาม มานี่แน่ะ ฉันวานอะไรหน่อยสิ”
สักครู่หนึ่งสยามเดินถือกล่องคุ้กกี้มาพร้อมกับหรั่ง
“รบกวนหน่อยนะหรั่งนะ…ถ้าลูกชายฉันไม่ป่วย ฉันก็ไปเองแล้วละ”
“ได้เลยน้าหยาม ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ได้ลำบากอะไรเลย”
สยามส่งกล่องคุ้กกี้ให้หรั่ง
“คอนโดธารารมย์นะ รามคำแหง 45…คุณกันทิมาอยู่ชั้น 5 พอนายออกจากลิฟท์ แล้วเลี้ยวซ้าย ห้อง 122/35 นี่แผนที่ เผื่อหลง” สยามกำชับ
“อย่าห่วงเลยน้าหยาม…ผมมัน Messenger เก่า”
“แล้ววันหลังถ้าญาตินายป่วยบ้าง อย่าลืมบอกฉันนะ”
“ผมมันคนไม่มีญาติอยู่แล้ว น้าหยาม”
หรั่งขี่มอเตอร์ไซด์ออกไปพร้อมกับกล่องคุกกี้ มอเตอร์ไซค์แล่นใปบนถนนยามค่ำคืน
มอเตอร์ไซค์ของหรั่งวิ่งมาจอดติดไฟแดงกลางสี่แยกหนึ่ง หรั่งล้วงหยิบ โทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมา กดหมายเลขลงไป แล้วรอพูด
“ฮัลโหล...กูแวะไปธุระให้คุณรำไพแป๊ปนึง...เออ แป๊ปเดียว ดูก้อยด้วยนะ”
เวลาเดียวกันโบ้พูดโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าของหรั่ง
“ดูอยู่ ทุกคนกำลังดูก้อยอยู่นี่แหละ”
แลเห็น เท่ห์ เช็ง และโบ้ นั่งล้อมเป็นวงต่างจ้องมองก้อยเขม็ง เบื้องหน้าก้อย มีจานอาหาร วางรออยู่
“กำลังจะกิน...เออ ซื้อบัตรเติมเงินมาด้วยนะ เงินจะหมดแล้ว...ก็ไอ้เท่ห์น่ะสิ โทร.ไปขอ
เพลงทั้งวัน”
“กูโทร.ไป จส.100 ด้วยเว้ย” เท่ห์คุย
โบ้กดปุ่มจบการสนทนา
“มึงจะเห่อโทรศัพท์อะไรนักหนาวะ ไอ้เท่ห์” เช็ง
“งั้นกูเห่อ คอมพ์ก็ได้วะ” เท่ห์คว้าโน้ตบุ๊คของหรั่งมาถือเล่น
“ของไอ้หรั่งมัน มันใช้ทำงาน” โบ้บอก
“เออ กูรู้แล้ว กูล้อเล่น...มึงก็นั่งเห่อก้อยของมึงไปดี้” เท่ห์แซว
หรั่งขี่มอเตอร์ไซค์เลี้ยวเข้าไปในอาคารคอนโดมิเนียมหรู ธารารมย์ ไม่นานนัก เขาขึ้นลิฟท์ไป ประตูลิฟท์ชั้น 5 ของคอนโดเปิดออก หรั่งถือกล่องคุ้กกี้เดินออกมาจากลิฟท์แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามทางเดิน เขาเดินมองหาป้ายเลขห้องไปเรื่อยๆ จนมาหยุดที่ห้อง 122/35 แล้วกดออด ยืนนิ่งอยู่หน้าห้อง
จนเมื่อประตูห้องเปิด จึงเห็นเป็นกันทิมาอยู่ในชุดทำกับข้าว มือกันทิมาเลอะเทอะ และเต็มไปด้วยสัมภาระ หรั่งรีบแนะนำตัวก่อน
“ผมหรั่งครับ…มาแทนน้าสยาม เอาคุ้กกี้ของคุณรำไพมาส่งให้ครับ”
“อ๋อ...เธอช่วยเอามาวางข้างในที มือพี่เลอะ”
กันทิมาเดินนำหรั่งเข้ามาในห้อง หรั่งวางคุ้กกี้ไว้บนโต๊ะกลางโถง
“ขอบใจมากนายหรั่ง…ดื่มน้ำอะไรหน่อยมั้ย”
“ไม่เป็นไรครับ…ขอบคุณครับ”
พลันสายตาหรั่งหันไปเห็นอะไรบางอย่างที่มุมห้อง มันเป็นลังที่คุ้นตา ข้างๆ ลังมีข้อความเขียนไว้ว่า “หน่อไม้ไผ่ตงชั้นดี ต้องที่นี่ หน่อไม้คุณรัช”
ลังเหล่านั้นมีเป็นจำนวนมาก วางซ้อนๆ กันอยู่ หรั่งถึงกับอึ้ง กันทิมาสังเกตเห็นอาการของหรั่ง
“ชอบหน่อไม้เหรอ…จะแบ่งไปหน่อยมั้ยล่ะ พี่มีเยอะ”
“ไม่ละครับ…คุณซื้อหน่อไม้เยอะขนาดนี้เชียวเหรอครับ” หรั่งถาม
“พี่ไม่ได้ซื้อเองหรอก คุณบารมีเขารับมา…ธุรกิจส่งของก็อย่างนี้ละ เวลามีของเข้ามาที
ก็วางกันเกลื่อน เต็มบ้านไปหมด”
หรั่งคิดอะไรในใจ ไปไกลกว่าที่ใครจะคาดคิด
คืนนั้น หรั่งเดินเลี้ยวออกมาจากห้องกันทิมาเดินมาตามทางเดิน เขาหยุดยืนรอหน้าลิฟท์ สมองทำงานครุ่นคิด อย่างหนัก สักพักประตูลิฟท์เปิดออก
บารมีเดินคุยกันออกมากับชายแปลกหน้า ซึ่งเป็นลูกน้องตะวันฉาย
“คุณส่งของระวังๆ หน่อยนะ เที่ยวที่แล้วไม่รู้มันขนกันยังไง ทำหายไปกล่องนึง ยังตามไม่
เจอเลย…แต่ของคุณคราวนี้ แน่ใจนะว่าครบ”
หรั่งหยุดยืนตรงนั้น ไม่ก้าวเข้าไปในลิฟท์ เขาหันมองตามหลังบารมี และเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
“แน่ใจสิ”
“งั้นก็ดี ของทั้งหมดส่งที่ปั๊ม คืนนี้เลย ตีสองนะ”
บารมีเดินถึงหน้าห้องพักของเขา…อยู่ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนมีคนกำลังจ้องมอง บารมีหันขวับกลับมามองด้างหลังของตน เห็นหรั่งซึ่งยังยืนมองอยู่ที่เดิม
หรั่ง และ บารมี จ้องมองกันไกลๆ จนซักพักหรั่งก้าวเข้าลิฟท์ ขณะบารมีก้าวเข้าห้อง
กลางดึกคืนนั้น รำไพเดินลงบันไดมาจากชั้นบน ตรงมายังหรั่งที่ยืนรออยู่ตรงกลางโถงใหญ่
“นายหรั่ง…ลืมอะไรรึเปล่า ย้อนมาตอนดึกๆ อย่างนี้”
“เปล่าครับ…คุณเผ่าลาภล่ะครับ”
“หลับแล้วจ้ะ ทานยาไปเมื่อตอนเย็น หลับสนิทเลย…มีอะไรเหรอ”
หรั่งครุ่นคิด ก่อนเอ่ยปากตอบ
“ไม่มีครับ…เอ้อ ผมแค่จะมาบอกว่า ที่ให้ส่งคุ้กกี้เมื่อตอนค่ำ…ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ”
“ขอบใจจ้ะ…ไม่มีอะไรจริงๆ นะ”
“ครับ…ผมกลับก่อนนะครับ”
หรั่งค่อยๆเดินออกจากบ้านไป...รำไพมองตามหรั่ง งงๆ
ส่วนแพรวาอยู่ในห้องนอน กำลังงัวเงียเอื้อมมือยกหูโทรศัพท์ขึ้นพูดสาย
“ฮัลโหล…โอ้โฮ ผู้ช่วยฉัน ขยันจริงนะ โทร.มาจนดึกป่านนี้ มีงานด่วนอะไรอีกไม่ทราบ”
เป็นสายจากหรั่ง ที่นั่งบนมอเตอร์ไซค์จากริมถนนไม่ไกลจากบ้านเผ่าลาภ สองคนพูดโทรศัพท์มือถือกันไปมา
“ถ้าไม่จำเป็นผมไม่โทรมาหรอกครับ
“ไหนบอกความจำเป็นของนายมาซิ”
“ผมมีคำถามที่ต้องถามคุณสามข้อ…ข้อแรก คุณพ่อคุณกับคุณบารมี สนิทสนมกันแค่ไหน”
“เอาจริงๆ ก็…ไม่สนิทเท่าไหร่นักหรอก…ปีนเกลียวกันจะตาย ทำไมเหรอ”
“แล้วคุณพ่อคุณกับคุณบารมี มีธุรกิจอะไรร่วมกันนอกจากในเครือ M.S.อีกรึเปล่า”
“นอกจากเธอเป็นผู้ช่วยฉันแล้ว เธอยังเป็นนักสืบอีกด้วยรึไง ห๊ะ”
“ช่วยตอบคำถามผมด้วยครับ”
น้ำเสียงแพรวาหงุดหงิดเต็มที
“ไม่ตอบ...ไม่รู้…แล้วมันหน้าที่อะไรของนายไม่ทราบ ที่จะต้องมาวุ่นวายกับตระกูลของฉัน
กลางดึกอย่างนี้”
“งั้นขอถามอีกข้อนึงครับ…ปั๊มน้ำมันของคุณบารมีอยู่ที่ไหนครับ”
“ไม่รู้…ยุ่งจริงเชียว ทำไมไม่โทร.ไปหาเขาเองล่ะ…คงแถวรามอินทรามั้ง ไปหาเอาเองเหอะ...ฉันขี้เกียจพูดกับนายแล้ว”
“หมดเรื่องรบกวนคุณแล้วครับ…ขอบคุณมาก ราตรีสวัสดิ์ครับ”
หรั่งกดเลิกการสนทนา สีหน้ายังมีแววกังวลอยู่มาก
เวลาต่อมาที่บ้านผู้ใหญ่เงาะ ชุมชนจานเดี่ยว เห็นผู้ใหญ่พยุงตัวอยู่บนแคร่ไม้ กลางวงเหล้าข้างบ้าน สั่งเสียเป็นคำสุดท้าย
“พวกมึงกินกันตามสบายเลยนะ เหล้า โซดา น้ำแข็ง หยิบเอง เซ็นเอง เดี๋ยวฉันจะ…”
ผู้ใหญ่หงายหลังฟุบไปเฉยๆ
โบ้รินเหล้าส่งให้หรั่งซึ่งนั่งนิ่งใช้ความคิดอยู่ เท่ห์ เช็งโบ้ กำลังเมาได้ที่
“มึงว่าผิดปกติมั้ยวะ” โบ้เอ่ยขึ้น
“ไม่เห็นผิดตรงไหน ผู้ใหญ่เงาะกินเหล้า เมาฟุบ เป็นประจำ” เช็งไปอีกเรื่อง
“ไม่ใช่ เรื่องส่งหน่อไม้ไผ่ตงกันตอนตีสองสิ” โบ้บอก
“ผิดปกติชัวร์ ถ้าส่งผู้หญิงละก้อ กูจะไม่แปลกใจเลย” เท่ห์ว่า
“ไอ้หรั่งมันบอก กล่องใบแค่นี้” โบ้ทำมือบอกขนาดกล่อง “มึงจะยัดผู้หญิงเข้าไปได้ไง”
“ต้องเป็นยาบ้า” เช็งบอก
“อันนี้ยัดได้สบายมาก” เท่ห์ว่า
ผู้ใหญ่โงนเงนลุกขึ้นยืนเอ่ยปากพูดบ้าง
“แล้วมึงจะรู้ได้ไงว่าเป็นยาบ้าจริงๆ”
พูดจบผู้ใหญ่เงาะล้มลงไปอีกครั้ง
“เราต้องไปซุ่มดูว่ะ…พวกมึงว่าไง” หันมองหน้าเพื่อนๆ
โบ้รีบบอก “กูขี้เกียจ”
“งั้นกูไปดูเองคนเดียว” หรั่งลุกขึ้นด้วยความมุ่งมั่น
“ไอ้หรั่ง…เรื่องพวกนี้มันอันตรายนะเว้ย มันมีเจ้าพ่อนะมึง” เท่ห์ท้วง
“ยังไงกูก็ต้องไปดู เพราะเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับคุณบารมี น้องชายของเจ้านายกู”
“แล้วมึงไม่กลัวเจ้าพ่อเหรอ ดีไม่ดี มึงจะโดนยิงเอานะเว้ย” เท่ห์เตือน
“พวกมึงก็ไปเก็บศพกูด้วยแล้วกัน”
“ไอ้บ้า พูดหมาๆ...กูกลัวผีเว้ย” เช็งโวย
หรั่งขยับตัวเดินออกไป ไม่สนใจเสียงทักท้วงของเพื่อนๆ
มองจากมุมสูงเหนือปั๊มน้ำมันร้างลงมา เห็นสภาพปั๊มน้ำมันแห่งนี้เงียบสนิท ด้วยเป็นปั๊มร้าง มีรถบรรทุกหนึ่งคันจอดนิ่งอยู่ สักพัก รถปิ๊กอัพคันใหม่ แล่นเข้ามาจอดเทียบข้างๆ
หรั่งและเพื่อนๆ ที่ซุ่มดูอยู่บนระเบียงตึกร้างฝั่งตรงข้ามปั๊มน้ำมัน
ที่รถบรรทุกนั้น เห็นชายฉกรรจ์จำนวนมากมายกระโดดออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย บารมีเปิดประตูรถปิ๊กอัพด้านคนขับ ก้าวลงมา เขายืนกวาดสายตามองไปรอบๆ โดยไม่รู้ว่า หรั่งและเพื่อนๆ กำลังมองจ้องดูอยู่
“นั่นน้องชายคุณเผ่าลาภ” หรั่งบอก
“คนไหนวะ แม่งวิ่งกันอื้อเลย” เช็งถาม
กลุ่มชายฉกรรจ์ พวกมันเริ่มยกลังจากท้ายรถปิ๊กอัพบารมี มาใส่รถบรรทุก ทุกอย่างเป็นไปอย่างเงียบเชียบ
หรั่งและเพื่อนมองอยู่ โบ้มีอาการตื่นเต้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“นั่นไง…มันกำลังส่งยาบ้าอยู่ เหมือนกับที่ไอ้หรั่งคิดเลย”
“แล้วมึงรู้ได้ไงว่าลังพวกนั้นเป็นยาบ้า” เท่ห์แปลกใจ
ทุกคนสุมหัวช่วยกันคิด
ขณะที่บารมีเดินไปเดินมาอยู่หน้ารถปิ๊กอัพในปั๊มน้ำมันร้าง โดยที่ด้านหลังของเขา กลุ่มชายฉกรรจ์ยังง่วนกับการขนของอยู่
สักครู่มอเตอร์ไซค์หนึ่งคัน แล่นแฉลบ แถเข้ามาในปั๊มนี้ คนขับคือไอ้เช็ง และมีเท่ห์นั่งซ้อนท้าย…ทั้งคู่เล่นบทเมาแอ๋จากอินเนอร์สุดๆ
บารมีเข้าขวางหน้ามอเตอร์ไซค์ทันที
“พี่ครับ…เติมน้ำมันหน่อย” เช็งว่า
“ไม่มีโว้ย…ปั๊มนี้ไม่มีน้ำมัน”
เท่ห์เสริม “โธ่พี่…ปั๊มน้ำมันก็ต้องมีน้ำมันซี่ ไม่งั้นมันจะเป็นปั๊มน้ำมันได้ยังไง…น่านะพี่นะ ขายน้ำมันให้ผมหน่อย”
“ไอ้น้อง ปั๊มนี้เขาเลิกขายน้ำมันมานานแล้ว…เจ๊งไปนานแล้วน้อง ไปซะอย่ามาเกะกะ”
เท่ห์ แอบเหลือบมองไปทางกระบะท้ายรถปิ๊กอัพ เห็นว่าชายฉกรรจ์ขนของเกือบหมดแล้ว คนหนึ่งในกลุ่มนั้น หยิบยาออกมาตรวจดูหลายเม็ดทีเดียว…มันคือ ยาบ้า
เท่ห์เล็งแลป้ายทะเบียนรถบรรทุกทุกคัน ขณะเช็งยังยื้อไปเรื่อยๆ
“แล้วพี่รู้ได้ไงว่าเขาเจ๊งแล้ว...หรือว่าพี่เป็นเจ้าของปั๊มนี้เหรอ”
“เออ...” บารมีตอบเสียงดังอย่างรำคาญ
“งั้นพี่ก็กระจอกน่ะสิ เสี่ยวนี่หว่า ทำปั๊มน้ำมัน ก็ยังทำเจ๊ง ฮ่ะฮ่ะฮ่า”
“มึงรีบออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลย”
เช็งกวนบาทาต่อ “แน่ะ มีอารมณ์เหรอพี่...ขี้โมโหด้วยนี่หว่า...ไม่เอาน่า ขายน้ำมันให้ผมก่อนแล้วกัน...อย่างก ดี้”
“เฮ้ย บอกว่าไม่มีน้ำมัน...ไปไหนก็ไป เมาก็อยู่ส่วนเมา พูดไม่รู้เรื่องเดี๋ยวก็เจ็บตัวหรอก”
“ไม่รู้เรื่องทำไมต้องเจ็บตัวล่ะพี่…”
“เอ๊ะไอ้เชี่ยนี่...ไม่เลิกกวนตีนใช่มั้ย”
บารมีล้วงไปที่เอว ใต้ชายเสื้อ เหมือนจะหยิบปืน เท่ห์รีบดันเช็งให้กระเถิบถอยรถออกมา
“โอเคพี่…เลิกครับพี่...ไปก็ได้ครับพี่…งกฉิบหายเลย คนอะไร…”
เช็งขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปจากปั๊ม หายไปในความมืด
หรั่ง ยืนพูดโทรศัพท์อยู่ ริมถนนท่ามกลางแสงไฟริบหรี่ของถนน
“ผมขอพูดกับคุณเผ่าลาภหน่อยครับ…ผมทราบครับว่ามันดึกมาก แต่ขอร้องเถอะครับช่วยปลุกท่านหน่อย นี่เป็นเรื่องสำคัญ ถึงขั้น คอขาดบาดตายเลยนะครับ”
เห็นพวกเพื่อนๆ นั่งซด เป๊บซี่ โค้ก ชาเขียวอิชิตัน โออิชิ อยู่บนรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ตรงนั้น ตามอัธยาศัย
สักพักหนึ่งเผ่าลาภ เดินงัวเงียมาที่โทรศัพท์ รำไพเดินตามมาห่างๆ เผ่าลาภยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาพูด
“ว่าไงนายหรั่ง…มีเรื่องอะไรสำคัญนักหนา ห๊ะ”
“คุณบารมี…ส่งยาบ้าครับ”
เผ่าลาภประหลาดใจ “ว่าไงนะ”
เสียงหรั่งดังตามมา “ผมเห็นกับตา แต่ผมไม่แน่ใจว่า...ในฐานะที่เขาเป็นน้องของคุณ ผมควรจะทำยังไงต่อไปครับ”
“ถ้านายรู้เห็นชัดเจนอย่างนี้แล้ว คิดว่าอะไรที่สมควรทำก็ทำเถอะ ไม่ต้องเกรงใจฉัน”
“ขอบคุณครับ”
เผ่าลาภวางหูโทรศัพท์ ความเครียดพุ่งขึ้นจัดจนออกนอกหน้า
“มีเรื่องอะไรเหรอคะ” รำไพถามอย่างเป็นห่วงสามี
“โทร.ตามบารมีให้ที…บอกว่า ให้มาหาฉันเดี๋ยวนี้”
ที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ ริมถนน กลางดึก ที่แป้นโทรศัพท์ มีนิ้วมือเข้าเฟรมยื่นไปกดเลข 1 9 1
ผู้กดโทรศัพท์นี้คือ เท่ห์ ส่วนหรั่งและเพื่อนๆ กระจายๆ กันอยู่ด้านหลัง เท่ห์ดัดเสียงพูด !
“ฮัลโหล 191 ครับ…ผมขอแจ้งจับคนขนยาบ้าครับ เป็นรถบรรทุกเลขทะเบียน….” เท่ห์บอกเลขทะเบียนรถ “วิ่งจากรามอินทรา มุ่งหน้าเข้าหลักสี่ครับ…ยาบ้าจริงๆ ผมเห็นกับตา....ให้ตายโหงตายห่าสิ
เอ้า…อ๋อ ผมเป็นพลเมืองดีคนหนึ่งครับ…แล้วจะได้รางวัลนำจับมั้ยเอ่ย?”
เท่ห์ยิงคำถามสำคัญ ปิดจ๊อบพลเมืองดีศรีสยาม
รุ่งเช้า หนังสือพิมพ์รายวันทุกฉบับ พาดหัวรุนแรง ดุดัน...อาทิ
“จับยาบ้าแสนเม็ด หน่อไม้คุณรัช ยัดยาบ้า”
“สิบล้อขนยาบ้า อ้างไม่รู้ คิดว่าเป็นหน่อไม้”
“เฉลยปัญหา มีอะไรในกอไผ่ ?...คำตอบสุดท้ายคือ ยาบ้า”
“ชี้เบาะแส ส่งของกันที่ ปั๊ม น้ำ มัน”
หนังสือพิมพ์ทุกเล่มที่ว่า วางหราอยู่ที่โต๊ะในห้องรับแขก บ้านเผ่าลาภ
เผ่าลาภเดินเข้าห้องโถงมาด้วยสีหน้าดุดัน…ทีท่าโกรธจัดเป็นที่สุด
“อั๊วสั่งให้ลื้อมาหาตั้งแต่เมื่อคืน…ลื้อมัวทำอะไรอยู่”
“หลับ”
“โกหก…หลับหรือว่ามัวขนยาบ้าอยู่กันแน่”
บารมีฉุน “เฮียพูดอะไร อั๊วไม่รู้เรื่อง”
“ไม่รู้เรื่องก็อ่านนี่ซะ…นี่มันปั๊มน้ำมันของลื้อใช่มั้ย”
เผ่าลาภโยนหนังสือพิมพ์ไปลงตรงหน้าบารมี ภาพข่าวหน้าหนึ่ง เป็นรูปภาพปั๊มน้ำมันที่น่าสงสัย ของบารมีเด่นหรา
บารมีเห็นเนื้อข่าวแล้ว เงียบ อึ้งไป เผ่าลาภจ้องสำรวจท่าทีบารมี
“อั๊ว ไม่รู้เรื่อง…แล้วอั๊วก็ไม่ทำอะไรบ้าๆ โง่ๆ อย่างนี้หรอกเฮีย”
“แน่ใจเหรอ…”
บารมีมองหน้าเผ่าลาภ เขาใช้แววตาแทนคำตอบ
“แต่ในบรรดาน้องทั้งหมด ก็มีแต่ลื้อเท่านั้นหละที่ทำทั้งเรื่องโง่ๆ ทั้งเรื่องบ้าๆ…ลื้อรู้มั้ย ถ้าตำรวจจับลื้อได้ตอนกำลังขนของน่ะ มันจะเสื่อมเสียชื่อเสียงมาถึงตระกูลขนาดไหน…ลื้อคนเดียวทำความฉิบหายได้มากกว่าที่คนทั้งชั่วโคตรของเราเคยทำซะอีก…จำไว้นะ ถ้าคราวหน้าลื้อเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอะไรที่ผิดกฏหมายอีก อั๊วไม่เอาลื้อไว้แน่…ถึงเป็นน้องก็เถอะ”
บารมีพูดไม่ออก
เวลาต่อมาที่โกดังร้างแห่งหนึ่ง มีชายแปลกหน้ากระจายๆ กันอยู่ไม่มากนัก
บารมีเดินเข้ามาในโกดังนี้ เขาโวยวาย อาละวาด เตะข้าวของใกล้มือใกล้ตีนกระจุยกระจาย
ชายแปลกหน้าเหล่านั้นเริ่มขยับรวมตัวกันรายล้อมบารมี
“ไปเรียกนายมึงมา”
ชาย 1 ปลอบ “ใจเย็นก่อนสิเฮีย”
“ไม่ยงไม่เย็นแล้วโว้ย บอกให้ไปเรียกนายพวกมึงมา…หรือจะให้กูเข้าไปเรียกเอง”
ชายหน้าตี๋ ตัวเล็ก เดินแหวกลูกน้องเข้ามา มันใส่ทองเส้นใหญ่ บุคลิกเชื่อได้ว่าน่าจะเป็นเจ้านาย
มีลูกน้องอีกฝูงกว่าๆ เดินตามมันมาด้วย…ชื่อของมันคือ เชิด
“คุณบารมี คุณมาโวยวายอะไรที่นี่ไม่ทราบ”
“ไม่โวยได้ไง มึงหลอกให้กูขนยาบ้า ตอนแรกกูก็นึกว่าแค่ของเถื่อนจากป่า…แต่นี่มึงเล่นถึงยาบ้าเลยนะ ไอ้สารเลว…มึงทำเกินไปแล้ว”
เชิดพยักหน้ากับลูกสมุน พวกมันทะยานเข้ารวบตัวบารมี
“คุณก็ทำเกินไปเหมือนกัน อยู่ๆ มาชี้หน้าด่ากันได้ อย่างนี้มันต้องสั่งสอนหน่อยแล้ว…เฮ้ย
มันพยักหน้ากับลูกสมุนอีกที”
คราวนี้ลูกน้องผลัดกันเหวี่ยงหมัดเข้าที่หน้า และ ท้องของบารมี จนบารมีทรุดลง ตัวโก่งงอ งอแล้วงออีก
ตะวันฉายเข้ามาจากมุมหนึ่ง เขายืนมองซักพัก แล้วจึงค่อยเอ่ยปากร้องห้าม
“พอก่อนเถอะพี่เชิด”
“จะเอาด้วยมั้ยล่ะ น้องโอ๊ต”
ตะวันฉายบอก “ผมเคลียร์เองดีกว่า พี่”
เชิดพยักหน้าให้ลูกน้องถอยออกมา พวกมันทิ้งบารมีให้ทรุดกองอยู่ตรงนั้น บารมีเงยหน้าเห็นตะวันฉาย เขารีบร้องถามทันที
“ตะวันฉาย…หลานชายรู้เรื่องกับไอ้พวกนี้ด้วยรึเปล่า”
“ใจเย็นๆ ก่อนอา…” ตะวันฉาย กระซิบ “ผมเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน”
“อาไม่ทำแล้วนะงานนี้ อาไม่เอานะ ของผิดกฎหมายขนาดนี้..บาปกรรม นรกชัดๆ อาไม่อยากซวยมากไปกว่านี้อีกแล้ว”
“เอาเถอะ ผมรับรองว่าคราวหน้าก่อนรับงาน ผมจะตรวจสอบให้รัดกุมกว่านี้…แต่ตอนนี้มันมีความเสียหายเกิดขึ้น ซึ่งอยู่ในส่วนที่เราจะต้องรับผิดชอบ”
“ยังไง”
“อาพอจะรู้มั้ยว่า ตำรวจมันรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง”
“อาก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“วันสองวันนี้ อาเห็นใครแปลกหน้ามาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ อาบ้างมั้ย”
“ไม่มีหรอก…” บารมีพยายามนึก “อ้อ นอกจากไอ้ลูกครึ่งคนหนึ่ง มันมองหน้าอาแปลกๆ ตอนเจอที่คอนโด”
“ไอ้ลูกครึ่งเหรอ” ตะวันฉายฉงน พึมพำออกมาอย่างค้างคาใจ
อ่านต่อตอนที่ 7