สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 1
ภาพชีวิตยามเช้าอันคุ้นชินของคนเมืองหลวงวันนี้ ไม่ต่างจากวันอื่นๆ ทุกชีวิตยังคงต้องดิ้นรนต่อสู้มุ่งหมายเอาตัวรอดในความเร่งรีบ ด้วยการเอารัดเอาเปรียบ เสแสร้งเยินยอพร้อมรอยยิ้มหวานต่อหน้า แต่ด่าทอกันลับหลัง ผู้คนใช้ชีวิตในแต่ละวันกับการสนใจตัวเอง มากกว่าสิ่งอื่น
รถมอเตอร์ไซค์คันงามวิ่งผ่านถนนเส้นทางสวยงามเข้าสู่บริเวณสะพานกรุงเทพ ผู้ขับขี่ เป็นชายหนุ่มหุ่นดี ซ่อนใบหน้าใสซื่อไว้ภายใต้หมวกกันน็อค
กระนั้น แววตาแห่งความมุ่งมั่น และทะเยอทะยานของเขาก็ยังลอดออกมาให้ได้เห็น เขาชื่อว่า หรั่ง นาคำ
ชายหนุ่มผู้นี้ตระหนักชัดถึงความจริงดังกล่าว
“การเอาตัวรอด เป็นสัญชาตญาณหนึ่งของมนุษย์ และมีผลต่อการตัดสินใจ ทำ หรือ ไม่ทำ อะไรหลายๆ อย่าง สิ่งเหล่านี้ อาจเกิดขึ้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า...เรามักเรียกการทำซ้ำนั้นว่า กิจวัตร บางคนมีกิจวัตรประจำตัว โดยไม่รู้ตัว บางคนตั้งใจสร้างกิจวัตรประจำตัวเพื่อเป้าหมายภายหน้าที่ใหญ่กว่า”
เด็กแรกเกิดในห้องคลอด ท่ามกลางญาติพี่น้องมากมายคับคั่งที่ต่างไชโยโห่ร้องอย่างยินดี แตกต่างลิบลับกับเด็กทารกผู้ด้อยโอกาส ถูกทิ้งให้นอนเปลือยกายเกลือกกลิ้งไปมาบนกองขยะริมถนนข้างทาง ผุดขึ้นมาในห้วงคิดของเขา หรั่ง ย้ำเตือนตัวเอง
“บางเป้าหมายถูกกำหนดไว้ตั้งแต่วันแรกเกิด แต่บางคนเกิดมาโดยไม่มีเป้าหมาย ผมอยู่ในกลุ่มหลังนี้”
และภาพความวุ่นวายในย่านใจกลางเมืองหลวงผุดขึ้นตามมาอีกเป็นฉากๆ
“แต่ผมตั้งเป้าหมายของผมเอง แม้มันจะเป็นไปได้ยาก แต่ผมก็มีความหวัง มีความฝัน...ผมแลกมันด้วยการตั้งใจเป็นคนดี ผมเตือนตัวเองอย่างนี้...ทุกเช้าวันใหม่ ของประเทศไทย”
มองจากมุมสูงลงมาภายในห้องประชุมหรูหราโอ่อ่า แลเห็นชายใส่สูทแต่งตัวเนี้ยบเดินเข้ามามากมาย ทุกคนมีบุคลิกดูดี ร่ำรวย มีอำนาจวาสนา แต่ล้วนไม่น่าไว้ใจ
ต่างคนต่างยกมือไหว้กัน…จับมือกัน…กอดกัน ยิ้มแย้มให้กัน และคุยโวโอ้อวดกันอย่างเฮฮาครื้นเครง จังหวะนี้ เสียงนักข่าวดังแทรกเข้ามา
“เช้าวันนี้ที่ห้องประชุมใหญ่พรรคไทยไท มีการประชุมกรรมการบริหารพรรคซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นการประชุมกรรมการที่คึกคักมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาเนื่องจากตรงกับวันเกิดของคนสำคัญคนหนึ่ง
เขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการก้าวเดินของพรรคไทยไท นั่นก็คือคุณสุริยะ พัวพงศ์ไพศาล ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคไทยไท…”
มีสาวสวยยกเค้กวันเกิดก้อนใหญ่มาให้คนสำคัญที่ชื่อว่า นายสุริยะ พัวพงศ์ไพศาล
นายสุริยะ ก้มหน้าลงเป่าเค้ก ท่ามกลางเสียงตบมือกราวใหญ่ แสงแฟลชหลายดวงสว่างจ้าในเวลาไล่เลี่ยกัน
กลางท้องถนน ท่ามกลางการจราจรที่ติดขัด ภาพข่าวนายสุริยะเป่าเค้ก ปรากฏบนจอโฆษณา LED ที่ติดตั้งอยู่กลางสี่แยก
รถมอเตอร์ไซค์ของหรั่งจอดติดไฟแดงใกล้แยกนั้น หรั่งเงยหน้ามองภาพในจอ LED มีเสียงนักข่าวรายงานประกอบ แต่ที่สร้างความมื่นชื่นให้กับบรรดานักข่าวการเมือง ก็คือ...
จังหวะที่ ตะวันฉาย ลูกชายคนเดียวของสุริยะ ควงว่าที่ลูกสะใภ้มาอวยพรวันเกิดผู้เป็นพ่อ นั่นเอง
เวลานั้น บริเวณหน้าอาคารที่ทำการพรรคไทยไท สุริยะเดินยิ้มออกมาจากภายในอาคาร เห็นหนุ่มหล่อหน้าตาเท่ห์ชื่อ ตะวันฉาย ควงสาวสวยเข้าไปหาสุริยะ เธอมอบช่อดอกไม้ใหญ่ให้เขาด้วยท่วงท่าเคอะเขิน เธอคือ แพรวา
เสียงนักข่าวรายงานต่อ “และสาวสวยที่ว่านี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เธอคือ แพรวา มหาโชคตั้งศิริ
เซเล็บสาวที่สังคมกำลังจับตามองอยู่ในเวลานี้”
แพรวาเยื้องย่างช้าๆ ในอิริยาบถที่งดงาม เธอยกมือไหว้นักการเมืองหลายๆคน โดยมีตะวันฉายคอยแนะนำอยู่ใกล้ๆ
“แพรวา มหาโชคตั้งศิริ…สาวสวยซึ่งเป็นที่หมายปองของหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่มากมายเธอเป็นทายาทของนายเผ่าลาภ มหาโชคตั้งศิริ มหาเศรษฐีเจ้าของบริษัท M.S.GROUP ซึ่งวงในเป็นที่รู้กันว่า เป็นหนึ่งในกระเป๋าสำคัญของ พรรคไทยไท”
ที่บริเวณหน้าอาคารนี้ เราจะเห็นนักข่าวสาวยืนรายงานข่าวอยู่ใกล้กล้อง ด้านหลังเป็นตะวันฉาย และ แพรวา ในแวดวงของกลุ่มนักการเมือง
“น่าภูมิใจแทนคุณพ่อสุริยะ ที่มีลูกชายตาถึงอย่างตะวันฉายเรือล่มในหนองแบบนี้ คงไม่ต้องถามกันหรอกนะคะ ว่าทองจะไปไหนเสีย”
ขณะเดียวกัน ที่โต๊ะข่าว ในสตูดิโอ พิธีกรของรายการ พูดโต้ตอบ ซักถามกับนักข่าวภาคสนาม
“ขอบคุณมากครับคุณเรวดี ไหนๆ ก็ไหนๆแล้ว วันนี้เราขอเอาใจวัยรุ่นที่ชอบลุ้นเรื่องความรักของคนดังหน่อยแล้วกัน...เรามีสกู๊ปเรื่องราวประวัติความรัก และความเป็นมาของหนุ่มสาวคู่นี้มาให้ดู พอให้อิจฉากันเล่นๆครับ”
ภาพในจอทีวี เป็นภาพความรักความผูกพันของ ตะวันฉาย แพรวา ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา และเป็นเหตุการณ์หวานชื่นจากหลายวาระ หลายสถานที่ แต่ไม่ว่าที่ไหน จะเห็นชัดว่าหนุ่มสาวทั้งสอง คลอเคลียกันอย่างถึงเนื้อถึงตัว ลึกซึ้งแสนหวาน
เสียงนักข่าวรายงานประกอบ
“ว่าที่เจ้าสาวในอนาคตของเรา อายุ 21 ปีจบการศึกษาระดับปริญญาตรีคณะอักษรศาสตร์ เอกภาษาละตินในขณะที่ หนุ่มผู้โชคดีนั้น จบการศึกษาจากสหรัฐอเมริกา อายุ 25 ปี”
รถมอเตอร์ไซค์คันนั้น แล่นเลี้ยวเข้าไปในซอยใหญ่ ย่านรามอินทรา เสียงนักข่าวเจื้อยแจ้วต่อ
“ถือว่าห่างกันกำลังพอเหมาะพอดี ทั้งคู่ได้พบรักกันประมาณสี่ปีที่แล้ว ในวันก่อตั้งพรรคการเมือง ของพ่อฝ่ายชาย หลายคนพูดว่า ตะวันฉาย กับ แพรวา คือความลงตัวที่สุดของพรหมลิขิตเป็นต้นแบบของความโรแมนติกที่หนุ่มสาวทุกคนในยุคนี้ ใฝ่ฝันหา”
รถมอเตอร์ไซค์ของหรั่ง วิ่งเข้ามาจอดนิ่งริมถนน บริเวณหน้าสวนอาหารหรู ในชุมชนชานเมือง หรั่งถอดหมวกกันน็อคออก เผยให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหล่าของเขา
หรั่งจ้องมองไปที่จอทีวีในร้านก๋วยเตี๋ยวริมถนน ไม่ไกลนัก ภาพในจอทีวีตอนนี้เป็นสกู๊ปข่าวของตะวันฉายกับแพรวา นั่นเอง
จังหวะนี้เสียงเฮียผู้รับเหมาดังขึ้น อย่างมีอารมณ์
“ไอ้หรั่ง”
หรั่งยังคงจ้องมองจอทีวีนิ่ง
ผู้รับเหมาตะโกน “ไอ้ เชี่ย หรั่ง”
“เฮีย เรียกผมเหรอครับ”
“เออสิวะ...มึงขี่มอเตอร์ไซค์ หรือมึงเดินมาวะเนี่ย..ให้ไปเอาของที่โกดังตั้งแต่เช้า กลับมาเอาบ่ายเชียวนะมึง”
“ผมแวะไปส่งเอกสารมาสองที่น่ะครับ”
“ถ้างานมึงเยอะอย่างนี้ คราวหน้ากูไม่รบกวนแล้วกัน จ้างคนอื่นดีกว่า” เฮียบ่นไม่เลิก
“แต่ผมก็ทิ้งเพื่อนไว้ตั้งสามคน เฮียเรียกใช้มันได้นี่ครับ”
“กูใช้ให้มันไปไกลๆ มันยังไม่เชื่อกูเลย...มึงรู้รึเปล่า ถ้ากูเก็บงานไม่เสร็จ เสี่ยเขาจะปรับกูวันละเท่าไหร่...เป็นหมื่น...เพราะฉะนั้นอย่าหวังว่า กูจะจ่ายค่าแรงให้พวกมึง”
เฮียผู้รับเหมารับของจากหรั่ง แล้วรีบเดินเข้าไปในร้าน หรั่งเดินไปยืนจ้องโทรทัศน์เครื่องนั้นอีกครั้งเหมือนมีแรงดูดดึงเขา
ภาพในจอโทรทัศน์ตรงหน้าหรั่ง เห็นเป็นภาพโต๊ะข่าวในสตูดิโอ โดยพิธีกรรายงานข่าวต่อ
“มั่นใจได้เลยว่า บริเวณโรงแรมโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ ค่ำคืนนี้ ต้องคลาคล่ำไปด้วยนักการเมืองทั้งซีกรัฐบาล และฝ่ายค้าน พากันมาอวยพรวันเกิดให้กับ นายสุริยะ พัวพงศ์ไพศาล อย่างเนืองแน่น กองทัพนักข่าวสายการเมืองก็คงจะพุ่งตรงไปที่นั่นเพื่อสังเกตุการณ์และอาจจะแถมพ่วงไปด้วยกับ นักข่าวสายบันเทิงที่กำลังเกาะติดกับนิยายรักของคนดังคู่นี้ ตะวันฉาย และแพรวาเพราะฉะนั้นท่านผู้ชมที่จำเป็นต้องผ่านไปย่านนั้น ก็วางแผนเลือกเส้นทางหน่อยหลีกเลี่ยงได้ก็ดี หรือไม่ก็ต้องเผื่อเวลาไว้เยอะๆนะครับ รถติดแน่ๆนักการเมืองบ้านเรา เขานั่งรถคันใหญ่ๆกันทุกคน”
หรั่งก้มหน้าลงไปกดพิมพ์ชื่อโรงแรม และวันเวลา บันทึกลงไปในโทรศัพท์ของเขา
ภายในสวนอาหารที่กำลังตกแต่งใหม่ ตรงบริเวณที่เป็นศาลา เรือนไม้
สภาพสวนอาหาร มีทั้งส่วนที่เป็นเรือนไม้ และส่วนที่เป็นสวนภายนอกอาคาร เห็นช่างมากมาย หลายฝ่ายกระจายกันเร่งมือทำงานอย่างเต็มที่ เสี่ยเจ้าของร้านเดินสอดส่ายสายตา ตรวจตราดูงานโดยรอบ เฮียผู้รับเหมาเดินตามเอาใจไม่ห่าง
“ทำไมวันนี้คนงานของลื้อมันเยอะนัก” เสี่ยถาม
“ก็งานมันเร่งน่ะครับเสี่ย” เฮียว่า
“ทำไมเพิ่งจะมาเร่งเอาตอนนี้ ก่อนหน้านี้สามสี่เดือนไม่รู้จักเร่ง ถ้าเสร็จไม่ทันฤกษ์เปิดร้านละก้อ อั๊วปรับสิบเท่าไม่มีลดหย่อนนะ”
เสี่ยเดินตรวจงานต่อไปอย่างจริงจัง เคร่งขรึม
ขณะเดียวกันนั้นที่ด้านหลังของเสี่ย เห็นเป็นช่างไฟสามคนอยู่บนบันไดสูง พวกเขากำลังเดินสาย ติดไฟห้อยระย้าอันใหญ่
“แล้วนี่หน้าตาแปลกๆ ทั้งนั้น อั๊วไม่เคยเห็นหน้าซักคน” เสี่ยบ่น
“จ้างมาเพิ่มน่ะครับเสี่ย”
“จ้างมาจากไหน คนไทย หรือต่างด้าว ทำงานกันเป็นรึเปล่า”
“โอ๊ย ฝีมือเยี่ยมระดับหัวหน้าช่างทุกคนครับ ผมรับรอง”
ขาดคำบันไดที่ช่างสามคนยืนอยู่ ล้มโครมลงมา
ร่างช่างสามคนนั้นกลิ้งไปกับพื้น แต่ยังชูมือประคองไฟระย้านั้นไว้ได้อย่างเฉียดฉิว เสี่ยตกใจ สบถออกมาเป็นภาษาไหหลำ
“ยกเว้นไอ้สามคนนี้ ผมกำลังจะไล่มันออกพอดี” เฮียแก้ตัวทันที
“ไม่ต้อง ให้มันทำต่อไป มันอุตส่าห์รับแชนเดอเลียร์ของอั๊วไว้ได้ อย่างนี้ลื้อต้องให้รางวัลมัน
ถึงจะถูก...เอาละ เอาแบบกับราคาน้ำตกมาให้อั๊วดูหน่อย”
เสี่ยเจ้าของร้านเดินนำผู้รับเหมาออกไป
พวกช่างที่ล้มกลิ้งทั้งสามคนนั้น มันค่อยๆ ชันตัวยืนขึ้น พวกมันคือ เท่ห์ โบ้ เช็ง เพื่อนสนิทของหรั่ง
“กูบอกมึงแล้วไอ้โบ้ ง่วงให้ไปล้างหน้า เสือกเหม่อ เป็นไงล่ะ” เท่ห์ด่า
“ก็ตกบันไดน่ะสิ...เป็นไง” โบ้โวย
“มันเป็นอุบัติเหตุเว้ยไอ้เช็ง กูตั้งใจซะที่ไหนล่ะ” โบ้ว่า
“ทีหลังมึงก็ตั้งใจหน่อยสิวะ จะได้ไม่ตกลงมาอีก ไอ้หรั่งอุตส่าห์หางานมาให้เรา เสือกจะทุบหม้อข้าวทิ้งซะงั้น”
“กูชักไม่ค่อยชอบหน้าไอ้ผู้รับเหมาคนนี้ซักเท่าไหร่แล้วว่ะ” เท่ห์บอกขณะมองตามไป
ทางด้านหรั่งกำลังเดินสายไฟติดตั้งจานดาวเทียม คนงานสองคนแบกลังใบใหญ่ออกมาจากด้านในร้าน ในลังนั้นเต็มไปด้วยหนังสือแม๊กกาซีนชั้นนำมากมาย หรั่งหันไปเห็น
“พี่...ยกไปไหนน่ะพี่”
“เอาไปกองหน้าร้าน ซ้อแกบอกรก ไม่อยากเก็บ ขายเจ๊กดีกว่า” คนงาน 1 บอก
“ผมขอเล่มนั้นได้มั้ยพี่...”
หรั่งหยิบหนังสือเล่มที่ต้องการ
“มึงอ่านภาษาอังกฤษออกด้วยเหรอ” คนงาน 1 ถาม
หรั่ง ยิ้ม ไม่ตอบ
“มันดูแต่รูป ไอ้นี่มันบ้าดารา...กูเห็นมันแอบตัดรูปสาวๆสวยๆในหนังสือเก็บไว้ยันเลย” คนงาน 2 ว่า
“โรคจิตรึเปล่าวะมึง”
“มันอยากมีแฟนเป็นดารา”
“เปลี่ยนเรื่องพูดเหอะพี่” หรั่งบอก
“หวังสูงไปว่ะไอ้หรั่ง...อย่างพวกเรามันต้องโน่น...สาวๆ พวกโน้น มันถึงจะเข้ากันดี”
คนงาน 1 ชี้ไปยังถนนฝั่งตรงข้าม เห็นสาวบาร์ 3 กำลังเดินข้ามถนน ลีลาอย่างเซ็กซี่
“ไปช่วยจูงน้องข้ามถนนกันดีกว่าว่ะ”
คนงานทั้งสองเดินออกไป หรั่งก้มมองหนังสือในมือ เห็นเป็นรูปแพรวา เต็มหน้าแฟชั่น
อีกมุมหนึ่งของสวนอาหาร แบบแปลน บ่อน้ำตก เต็มไปด้วยเส้นมากมาย รายละเอียดเยอะแยะ
อยู่ในมือของเสี่ยเจ้าของร้าน เสี่ย เพ่งตาดู ขมวดคิ้ว เขม็งเกลียว
ผู้รับเหมายืนประจันหน้าอยู่ตรงข้ามกับเสี่ย
“สามแสนเชียวเหรอ” เสี่ยถาม
“ครับ”
“ทำไมของแพงมันดูยากจัง...ดูไม่รู้เรื่องเลย แต่โคตรแพง”
“ไม่แพงนะครับเสี่ย เฉพาะเสาเข็มก็สามสิบต้นแล้ว พื้นบ่อผมผูกเหล็กเทปูน แล้วแต่งให้เป็นธรรมชาติ ก็ต้องจ้างช่างฝีมือ บ่อกรอง บ่อเลี้ยงผมทำให้ใหญ่เป็นพิเศษ น้ำไม่มีขุ่นหินตกแต่งก็ขนมาจากปากช่อง ยังไม่รวมระบบท่อ ผมฝังอย่างดี รอบบ่อเลย ทั้งน้ำพุน้ำตก...อันนี้ผมทำสุดฝีมือ แบบไม่เอากำไรเลยนะครับเสี่ย” เฮียร่ายยาว
“อั๊วว่าลื้อทำแบบง่ายๆ ไม่ต้องสุดฝีมือมาก ให้ถูกกว่านี้แล้วมีกำไรด้วย ไม่ดีกว่าเหรอ”
“เรื่องบ่อนี้ชุ่ยไม่ได้ครับเสี่ย ถ้าทำไม่ได้มาตรฐาน มีปัญหาทีหลังจะยิ่งแก้ไขยากนะครับ”
“มันไม่ใช่เงินบาทสองบาทว่ะ...เอางี้ อั๊วขอคิดดูอีกทีแล้วกันนะ”
“ไม่เป็นไรครับผม”
ผู้รับเหมาเดินออกไปในท่าทีนอบน้อม
โดยไม่มีใครเห็น ที่ด้านหลังสองคน เท่ห์ยืนแอบฟังอยู่นานแล้ว สักครู่เท่ห์เดินตรงเข้าไปหาเสี่ย
“ผมทำได้ครับเสี่ย”
เจ้าของร้านหันไปมอง “ทำอะไร...ลื้อทำอะไรได้”
“บ่อปล่าไงครับ...ทั้งหมดนั่นผมคิดห้าหมื่น...แถมปลาคาร์พให้สิบตัว”
ตกตอนเย็น หรั่งก้าวเข้ามาที่หน้าร้านขายผัดไท ริมถนน ควันจากกระทะลอยคลุ้งไปทั่ว
“ผัดไทสองห่อ”
ที่โต๊ะข้างๆกันนั้น สาวซ่าสามสี่คนนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ จ้องมองหรั่งตาเยิ้ม
“คนเดียวกินสองห่อเชียวเหรอรูปหล่อ” สาว 1 ทักเปิดหัว
“หรือว่าซื้อไปฝากใครจ๊ะ” สาว 2 ตาม
“กินง่ายอย่างนี้ วันหลังขอพี่เลี้ยงน้องซักมื้อได้มั้ยจ๊ะ…พี่ชอบผู้ชายกินง่าย” สาว 1 ว่า
“ถ้าพี่จะเลี้ยง คงต้องเลี้ยงวันนี้เลยครับ เพราะไม่รู้ว่าผมจะมาแถวนี้อีกเมื่อไหร่” หรั่งบอก
“ว้า…น้องไม่มาแถวนี้ พี่ๆ ก็เหงาแย่น่ะสิ” สาว 3 บอก
สามเกลอ เท่ห์ โบ้ และเช็ง เดินเข้ามาพอดี
“น้องหรั่งไม่มา…แต่พี่เท่ห์มาได้…รับรองจะคึกคักคลายเหงาไม่ให้เฉาแม่แต่น้อย...สนมั้ย” เท่ห์บอก
สาวทั้งหมดแลบลิ้นใส่อย่างไม่ใยดี โบ้เดินเข้าไปใกล้หรั่ง
“มึงทำบ่อปลาเป็นรึเปล่าวะไอ้หรั่ง”
“ถามทำไม...มึงไปรับงานอะไรมาอีกแล้วใช่มั้ย”
“ไม่ใช่กู...ไอ้เท่ห์โน่น...มันไปรับเหมาเสี่ยเขามา แบบมีทั้งน้ำพุ ทั้งน้ำตกเลยนะเว้ย มันอยากตัดหน้าไอ้ผู้รับเหมานั่น”
“พวกมึงไม่ต้องกังวล...มีอะไรบ้างที่ ครบเครื่องเรื่องเท่ห์ ทำไม่ได้”
“อื้อเลย...” โบ้ว่า
“จิ๊บๆ สตางค์มา ภูมิปัญญาเกิด เชื่อกู...อย่าตกใจ” เท่ห์โว
“มึงฟังค่าจ้างก่อน แล้วค่อยตกใจ” เช็งว่า
“ห้าหมื่นบาท เน็ตๆ”
โบ้ตาโต “ห้าหมื่น”
เช็งประกาศลั่น “คืนนี้ฉลอง”
“ส้นตีน…ยังไม่ได้รับเงินซักบาท เสือกจะฉลอง” เท่ห์เบรก
หรั่งรับห่อผัดไทจากแม่ค้า แล้วเดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ใกล้ๆ ทุกคนเดินตามไป
“มึงคิดว่าพอเหรอ ห้าหมื่นน่ะ” หรั่งมองหน้าเท่ห์
สามคนร้อง “ห๊ะ” พร้อมเพรียง
“กูขอแวะทำธุระก่อนแป๊ปนึงนะ”
“อีกแล้วเหรอมึง” โบ้เซ็งๆ
“พวกมึงจะกลับก่อนก็ได้”
“ไอ้หมาเห่าเครื่องบิน” เช็งด่า
หรั่งเดินไปที่มอเตอร์ไซค์ของตนเอง เท่ห์ โบ้ และเช็ง มองหน้ากัน แล้วตัดสินใจเดินตามไป
คืนนั้น มอเตอร์ไซค์สามคันแล่นไปบนท้องถนนยามค่ำคืน หรั่ง และ โบ้ ขี่คนละคัน เช็งซ้อนท้าย เท่ห์ เสียงของหรั่งดัง ขึ้นสลับกับภาพในห้วงคิดเป็นฉากๆ
“มนุษย์ ต้องการ การอยู่ร่วมกัน ช่วยเหลือเจือจุนกัน และร่วมทุกข์ร่วมสุขกันนั่นคือความสำคัญของ สังคม และครอบครัว”
ภาพตะวันฉายและแพรวานั่งเคียงคู่กันในรถเก๋งคันหรู เมื่อถึงหน้าโรงแรม ตะวันฉายเปิดประตูรถให้แพรวาก้าวลง นักข่าวสายบันเทิง เซเลบ กรูกันเข้ามาถ่ายรูป แสงแฟลชวูบวาบ
“ครอบครัวที่มีขนาดใหญ่มักจะมีโอกาสขยายจำนวนสมาชิกเพิ่มมากขึ้นได้ไม่ยากแต่ความผูกพันจะยืนยาว มั่นคงหรือไม่ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
ภาพหรั่งและเพื่อนๆ ถ่ายรูปตัวเองบนรถมอเตอร์ไซค์ อย่างร่าเริง
“สำหรับคนที่ไม่มีครอบครัว พวกเขาทดแทนได้ด้วย เพื่อนความสำคัญของเพื่อน ไม่ได้อยู่ที่มีมากหรือน้อยเพราะบางครั้งจำนวนที่น้อย อาจมากมายมหาศาลในคุณค่าก็ได้”
ตะวันฉายเลื่อนเก้าอี้ให้แพรวานั่ง แต่สุริยะ และโฉมฉาย พ่อและแม่ของตะวันฉายรีบเข้ามาดึงให้ตะวันฉายไปทักทายกับกลุ่มนักการเมือง
แพรวาได้แต่ยิ้มหวานให้ทุกๆ คนรอบตัวเธอ
ขณะเดียวกันหรั่งและเพื่อนๆ หัวเราะร่าเริง มีความสุขบนรถมอเตอร์ไซค์
อ่านต่อหน้า 2
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 1 (ต่อ)
เวลาต่อมาที่หน้าโรงแรมหรูหรานี้ สุริยะ และโฉมฉายภรรยา รวมทั้งตะวันฉายบุตรชายยืนปะปนอยู่กับกลุ่มคนแต่งตัวดี ต่างฝ่ายต่างยกมือไหว้ร่ำลากันอย่างงดงาม…รอยยิ้มเกลื่อนไปหมด
รถยนต์หรูราคาแพงระยับผลัดกันเข้ามาจอดรับผู้โดยสารผู้เป็นเจ้าของทีละคัน
ผู้คนกลุ่มนั้น ยังไหว้ไปไหว้มา ล่ำลาไม่รู้จบ ขณะมอเตอร์ไซค์สามคัน แล่นเข้ามา ริมถนน ฝั่งตรงข้ามโรงแรม
หรั่ง โบ้ เช็ง และเท่ห์ ต่างชะเง้อมองไปยังหน้าโรงแรมฝั่งตรงข้าม
โบ้สอดตามองหาใครบางคน “ไหนวะ ไม่เห็นมีเลยว่ะ”
เท่ห์หันมาทางหรั่งถามย้ำ “มึงแน่ใจเหรอว่าเขาอยู่ที่นี่”
“เออ กูดูในข่าว” หรั่งว่า
“ถุ๊ย...เชื่อข่าว” เช็งด่า
“กูเห็นมึงตามเขาอย่างนี้มาเป็นปีๆ แล้ว…ไม่สำเร็จซักที” เท่ห์แขวะ
“ก็ไม่ได้แปลว่ากูต้องเลิกตามนี่” หรั่งบอก
“ถ้ามึงเจอเขา มึงจะพูดอะไรกับเขาวะ” โบ้สงสัย
หรั่งใช้ความคิด มองไปที่หน้าโรงแรมนั้น ยังอยู่ในสภาพเดิม
“ไม่รู้”
เช็ง “ถุ๊ย” อีก
“สองถุ๊ยแล้วนะมึง” เท่ห์ด่า
“กูให้ได้ถึงห้า” เช็งตีฝีปาก
เท่ห์ด่า “พอ...เลอะตีนกู”
“กลับเหอะ…ห้ามบอกก้อยนะเว้ย”
สามคนประสานเสียง “กูรู้…”
จากทั้งสามคนสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ แล้วเคลื่อนออกไปตามท้องถนน
ส่วนที่หน้าโรงแรม กลุ่มนักการเมืองผู้มั่งคั่ง ยังล่ำลากันไม่จบ สักครู่ตะวันฉายค่อยๆ เลี่ยงจากกลุ่มผู้ใหญ่ เขาหาจังหวะเข้าไปกระซิบกับมารดา
“แม่...ผมขออนุญาตแว้บก่อนนะครับ”
“ครับ”
“ครับ แล้วก็ให้มันจริงตามปากว่าด้วยล่ะ…อย่าให้แม่ต้องตาม”
“รับรองน่าแม่…”
ตะวันฉายค่อยๆ เดินออกไปจากบริเวณหน้าโรงแรม สุริยะผู้เป็นพ่อ ลอบมองดูท่าทีลูกชาย
ค่ำนั้นที่อีกฟากหนึ่ง รถมอเตอร์ไซค์สามคัน เลี้ยวตามกันมา ผ่านป้ายชื่อ "ชุมชนจานเดี่ยว"
เพื่อนทั้งสี่คน ส่งเสียงตะโกนกันดังลั่น
“พรุ่งนี้เจอกันเว้ย” โบ้บอก
เท่ห์กะเช็งรับ “เออ...”
“อย่าตื่นสายอีกนะ ไอ้เท่ห์...ไม่งั้นตกงาน” หรั่งกำชับ
“เออ ไม่สายหรอก”
“บอกแม่มึงด้วยว่า พรุ่งนี้กูแวะรับน้ำเต้าหู้เช้าหน่อยนะ”
“กูรู้แล้วน่า...เห็นกูเป็นอะไรวะ ถึงได้ย้ำนักย้ำหนา”
เท่ห์หงุดหงิด พยายามยกเท้าถีบหรั่ง แต่ไม่ถึง ไม่ทัน เพราะมอเตอร์ไซค์หรั่งและโบ้ เลี้ยวแยกออกไป
“ไอ้เช็ง คืนนี้มึงไม่ต้องนอน” เท่ห์บอก
“ทำไม” เช็งงง
“มึงต้องเดินมาปลุกกูตอนตีสาม...อ๊ะ ห้ามถุ๊ยอีกนะมึง...เลอะตีน”
ไม่นานนักมอเตอร์ไซค์ของหรั่งและโบ้ วิ่งตรงมาทางหน้าบ้านหลังหนึ่ง ในชุมชนจานเดี่ยว เดียวกัน
“พรุ่งนี้มึงทำอะไรบ้างวะ” โบ้ว่า
“ส่งของ ซ่อมจักรยาน” หรั่งบอก
“งั้นเจอกันตอนเย็นเว้ย”
“เออ...”
โบ้เลี้ยวรถแยกเข้าซอยไป มอเตอร์ไซค์ของหรั่งวิ่งตรงมาจอดหน้าบ้านหลังนั้น ซึ่งเป็นบ้านพักของเขาเอง
สภาพบ้านหรั่งนั้นไม่ต่างไปจากบ้านในชุมชนแออัดทั่วๆไป เป็นบ้านชั้นเดียว ที่ประกอบขึ้นด้วย วัสดุเก่าเหลือใช้ จำพวกไม้และสังกะสี อะไรบางอย่างในบ้านหลังนี้กลับทำให้ดูดี มีชีวิตชีวาและอบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ
หรั่งลงจากรถ ดับเครื่อง ถือห่อผัดไท เดินตรงเข้าบ้าน เปิดประตูเข้ามาด้านใน
เสียงกระดิ่งดังกราวใหญ่...ที่มาของเสียงนั้น มันคือกระดิ่งมากมาย ห้อยเรียงรายอยู่เหนือประตูบ้าน มันจะส่งเสียงดังทุกครั้งที่มีการเปิดประตูบานนี้
สภาพภายในบ้านทั้งหมด อันประกอบไปด้วย พื้นที่อเนกประสงค์โถงกลางบ้าน ผนังเบาแบ่งกั้นเป็นห้องสองห้องมีประตูปิดมิดชิด ห้องน้ำและครัวเล็กๆ รวมอยู่ด้วยกันตรงช่องแคบๆระหว่างห้อง
หรั่งวางห่อผัดไทบนโต๊ะเก่าๆ ตัวเดียวที่ตั้งอยู่กลางโถง เขาเดินไปหยิบจานเปล่าสองใบมาวางไว้ด้วยกันบนโต๊ะ
หรั่งเปิดประตูบานหนึ่งเดินเข้าไป...มันคือห้องนอนของเขา ประตูห้องอีกบานเปิดออก...หญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมา
เธอมีผิวที่เข้ม ผมเหยียดยาวตรง ดวงตากลมโต วงหน้าจัดว่าน่ารักไม่น้อย ชื่อของเธอคือ ก้อย
“กลับมาแล้วเหรอหรั่ง...”
ยินเสียงหรั่งตอบ “ฮื่อ...ผัดไทอยู่บนโต๊ะนะ”
ก้อยเดินตัวตรงมาที่โต๊ะตัวนั้น
“วันนี้กลับช้าจังเลย...ก้อยคอยอยู่ตั้งนาน”
“เถ้าแก่เขาเร่งให้เสร็จน่ะ กลัวส่งงานไม่ทัน...ก็ดีนะ งานเสร็จเร็ว เราก็ได้เงินเร็ว” เสียงหรั่งดังออกมาจากในห้อง
ก้อยแก้ห่อผัดไท อย่างคล่องแคล่วและมีสมาธิ ทุกอากัปกิริยาของเธอนั้น จะยื่นมือทั้งสองนำออกไปก่อน
มือก้อยเทผัดไทใส่จาน กระดาษห่อ สะกิดโดนตะเกียบข้างหนึ่งตกลงไปข้างล่าง ก้อยทรุดตัวหายไป ที่ใต้โต๊ะตัวนั้น
มือของก้อยควานหา และตะปบพื้นเปะปะไปทั่ว ดินสอแท่งหนึ่งวางกลิ้งอยู่ไม่ไกลจากตะเกียบข้างนั้น
“หรั่งหิวหรือยัง...”
เสียงหรั่งดังมา “กินก่อนเลยก้อย...”
ตรงที่นั่งว่างเหนือโต๊ะอาหาร มือก้อยชูดินสอแท่งนั้นขึ้น แล้วตัวเธอจึงโผล่ตามมา สายตาไม่กะพริบ
“ก้อยรอกินพร้อมหรั่งนะ...”
ก้อยรวบดินสอแท่งนั้นเข้ากับตะเกียบอีกข้าง แล้ววางไว้ข้างจาน เธอค่อยๆเดินคลำขอบโต๊ะไปยังที่นั่งของตน
ที่แท้...เธอตาบอด
หรั่งอยู่ห้องนอน เขานั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือตัวเล็กๆ แสงสลัวๆ ในห้องนี้เกิดจากโคมไฟเก่าๆ บนโต๊ะนี่เอง
มีสมุดโน้ตวางอยู่เบื้องหน้าของหรั่ง เห็นตัวหนังสือที่หรั่งกำลังเขียนนั้น อ่านได้ความว่า
"คงยังไม่ถึงเวลาของเรา...คงยังต้องเฝ้ารอต่อไป...แค่เกือบ แค่เฉียด แค่ไม่ไกล แต่ก็ยังไม่ใกล้...
20:30 น. วันจันทร์ที่ 23 เมษายน 2556... “
เสียงก้อยดังเข้ามา “ผัดไทใส่จานเรียบร้อยแล้ว...เดี๋ยวจะเย็นนะหรั่ง”
“ไปเดี๋ยวนี้หละ”
หรั่งปิดสมุดโน้ต แล้วเดินออกไป
บนโต๊ะหนังสือ เห็นรูปแพรวา ที่ตัดจากหนังสือแม๊กกาซีนวางอยู่หลายใบข้างๆ สมุดโน้ตเล่มนั้น
คืนนั้น ก้อยนั่งพร้อมอยู่ที่โต๊ะอาหารตรงโถงกลางบ้าน หรั่งกำลังรินน้ำใส่แก้วอยู่ที่มุมหนึ่ง เขาพูดคุยไปด้วยอย่างอารมณ์ดี
“งานเป็นไงบ้าง” ก้อยถาม
“ก็โอเค. พรุ่งนี้เขานัดไปรับเงิน...ร้านเขาใหญ่น่าดูเลยนะก้อย ติดไฟแบบไม่มียั้งเลย หรั่งว่าถ้าเขาเปิดเต็มที่ทั้งร้าน คงสว่างมาถึงบ้านเราด้วยแหงๆ”
หรั่งเดินมาวางแก้วน้ำตรงหน้าก้อย เขาอ้อมไปนั่งตรงข้ามเธอ แล้วลงมือปรุงผัดไท
“วันนี้ไอ้เท่ห์มันรับจ๊อบใหม่มาด้วยนะ”
“ทำอะไรเหรอ”
“บ่อน้ำตก กับปลาคาร์พ”
ก้อยฉงน “พี่เท่ห์ ทำเป็นด้วยเหรอ”
หรั่งส่ายหน้า “มันบอกว่า ไม่ต้องห่วง”
หรั่งปรุงผัดไทเสร็จ กำลังเอาตะเกียบคีบเข้าปาก ก้อยรีบร้องทัก เตือนความจำ
“หรั่ง”
“โทษที หิวมากไปหน่อย คุยเพลินไปนิด...”
ก้อยและหรั่งวางตะเกียบไว้ข้างตัว กุมมือหลับตานิ่ง ทั้งสองเปล่งเสียงออกมาพร้อมๆกัน
“หากวันนี้เราสองคน กระทำสิ่งใดที่เป็นผิดบาป ล่วงเกินผู้อื่น ไม่ว่าจะด้วยกาย วาจา ใจ
ทั้งรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก โปรดให้อภัย และมอบพลังกายพลังใจในการดำรงชีวิตต่อไป หลังอาหารมื้อนี้ด้วยเถิด”
ทั้งสองเริ่มต้นกินอาหารหลังอธิษฐานเสร็จ
“ทีหลัง ถ้าหรั่งหิว หรั่งกินมาก่อนก็ได้นี่”
“งั้นก้อยก็หิวแย่น่ะสิ”
ทั้งคู่เคี้ยวผัดไทกันอีกคนละคำ แล้วก้อยก็เอ่ยปากขึ้นเสียงเรียบๆ
“วันนี้ดีมั้ย”
“ดีสิ...หรั่งดีทุกวันอยู่แล้ว” เด็กหนุ่มบอก
“งั้นหรั่ง จะต้องได้เจอเขาเร็วๆ นี้หละ”
“ใช่...เร็วๆ นี้หละ”
หรั่งอมยิ้ม...ก้อยไม่เห็น
“ก้อยอยากรู้จัง พ่อหรั่งจะหน้าเหมือนหรั่งมั้ยน้อ....”
ที่บริเวณท่าน้ำอันสวยงาม ของโรงแรมริมแม่น้ำเจ้าพระยา ดอกลั่นทมที่ร่วงหล่นจากต้น สาวเจ้าของไหล่เปลือยเปล่าขาวนวล เอื้อมมือเรียวบางขาวนวลไม่แพ้ไหล่ ยื่นเข้ามาหยิบดอกลั่นทมดอกนั้น วงหน้าสวย ใส ของแพรวา ระบายยิ้มเศร้าๆ
แพรวายืนทอดสายตาเหม่อมองสายน้ำกว้างใหญ่เบื้องหน้า แสงเหลืองนวล จากจันทร์ดวงโต สาดกระทบระลอกคลื่นน้อยๆ เป็นประกายพราวระยับ
มองไปทางด้านหลังของแพรวา ซึ่งเป็นตัวโรงแรมที่อยู่ไกลออกไป แลเห็นเงาร่างหนุ่มมาดเท่ห์อย่างตะวันฉาย ค่อยๆ เดินตรงมายังเธอ
“สาวสวย สายน้ำ พระจันทร์...อยู่ด้วยกันแล้วดูเศร้าเหลือเกิน”
“ก็น่าเศร้าอยู่หรอก เพราะสาวสวยถูกทิ้งให้ยืนรออยู่นานแสนนาน”
ตะวันฉายค่อยๆใช้สองมือแตะลงสองข้างของไหล่นั้นอย่างนุ่มนวล
“ใครทำกับสาวสวยอย่างนั้นได้ ต้องเป็นไอ้หน้าโง่ที่สุดแน่ๆ”
“สาวคนนั้นโง่กว่าค่ะ เพราะเธอเลือกที่จะยืนรอเขาเอง”
ตะวันฉายจับตัวแพรวาให้หันหน้ามาหาเขา
“พี่ขอโทษนะจ๊ะน้องแพร...พี่มัวแต่ส่งแขกผู้ใหญ่อยู่”
แพรวาตัดพ้อ “ทีหลังถ้าพี่ตะวันมีแขกผู้ใหญ่เยอะ ก็อย่าพาน้องแพรมาด้วยสิคะ”
“พี่ไม่รู้ก่อนนี่จ๊ะ...พี่ถึงต้องขอโทษน้องแพรไง”
“คุณพ่อพี่ตะวันคงไม่อยากให้ใครๆ รู้จักน้องแพรใช่มั้ยคะ”
“ใครว่า...วันนี้เพื่อนๆ คุณพ่อพูดถึงน้องแพรกันทั้งนั้นเลยนะ”
“พูดว่าไง”
“เขาพูดกันว่า พี่เป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลกน่ะสิ”
แพรวามีท่าทีเอียงอาย ขยับตัวหนี...ตะวันฉายเดินตาม
“พี่ตะวันจำได้มั้ยคะ วันนี้เป็นวันอะไร”
“วันเกิดพ่อพี่ไง”
แพรวาหันไปค้อนใส่ตะวันฉาย
“ล้อเล่นจ้ะ...ทำไมพี่จะจำไม่ได้...วันนี้เป็นวันครบรอบสี่ปีที่พี่ได้รู้จักน้องแพร”
“สี่ปีที่แล้ว พี่ตะวันพูดอะไรกับน้องแพร จำได้มั้ย”
“คุณจะยิ้มและยอมนั่งรถไปกับผมดีๆ หรือจะเดินหันหลังไปจากตรงนี้ เพื่อที่ผมจะไล่ชนรถทุกคันที่คุณนั่ง”
แพรวายิ้มพอใจ เธอส่งดอกไม้ในมือให้ตะวันฉาย
“พี่ตะวันเลิกขับรถเร็วได้แล้วนะคะ...”
ตะวันฉายรับดอกไม้มาแตะที่ริมฝีปากตน
“ถ้าน้องแพรจะนั่งเคียงข้างพี่ตลอดไป”
บนท้องฟ้ายามนั้น แลเห็นพระจันทร์ดวงโตลอยเด่น ของเขาและเธอ
“พี่ตะวันรู้มั้ย วันนี้พระจันทร์เต็มดวงนะ”
“อื่อฮื้อ...”
“พี่ตะวันไปเหยียบดวงจันทร์กับน้องแพรนะ”
“พี่ว่า...กว่าเราจะเดินทางถึงดวงจันทร์...เราไปทำอย่างอื่นกันก่อนดีกว่ามั้ย”
โฉมฉายเดินเข้ามาพอดี
“หนูแพรวา ทานอะไรบ้างหรือยังจ๊ะลูก”
“อิ่มแล้วค่ะ”
โฉมฉายหันมาทางตะวันฉาย “คุณพ่อถามหาแน่ะตาโอ๊ต...เขาจะพากันไปต่อ กับพวกเพื่อนเก่าๆ”
“ดีนี่ครับ” ตะวันฉายว่า
“คุณพ่ออยากให้ลูกไปด้วย”
แพรวามองหน้าโฉมฉาย งงๆ
“นายทรงพลจะเอารถไปส่งหนูแพรวาที่บ้านเอง...แม่ฝากเค้กกับผลไม้ไปให้คุณป๋ากับแม่
ของหนูด้วยนะ”
แพรวารับคำงงๆ “ค่ะ...”
“แม่ไปก่อนละ”
โฉมฉายเดินเลี่ยงมาใกล้ตะวันฉาย กระซิบกับลูกชายเบาๆ ฟังพอรู้เรื่อง ส่วนแพรวานั้นไม่มีวันจะได้ยิน
“บอกแล้วไง ว่าอย่าต้องให้แม่มาตาม”
โฉมฉายเดินออกไปเลย บรรยากาศดูอึ้งๆ ชอบกล
“สี่ปีมาแล้ว...พี่ตะวันก็ยังไม่เคยเหยียบดวงจันทร์กับน้องแพรซักที” แพรวาว่า
ตะวันฉายยิ้มบางๆ ยกไหล่ขึ้นช้าๆ เหมือนกับว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญ
คืนเดียวกันนี้ ที่บ้านเช่าของหรั่ง
ภาพพระจันทร์บนกระดาษ มันค่อยๆ ลอยสูงขึ้น พร้อมกับเสียงไวโอลิน โหยหวน ชวนเศร้าดังเข้ามา
เสียงบรรยายของหรั่งดังตามหลังเสียงไวโอลิน
“น้ำตาพระจันทร์ไหลพรากจนเอ่อท่วมเจ้ากระต่ายที่แฝงตัวอยู่ในนั้น ด้วยความสงสารในชะตากรรมขององค์หญิง”
ภาพวาดของเจ้าหญิงตัวน้อย แหงนหน้ามองพระจันทร์
ทั้งภาพพระจันทร์ เจ้าหญิง และกระต่ายน้อย คือรูปวาดที่ ตัดไดคัทออกมาเป็นตัวๆ มันประกอบกันอยู่บนกระดานแผ่นใหญ่ คล้ายเป็นกล่อง โมเดล pop up ตัวการ์ตูนบางตัว ใช้ปักลงบนกระดาน บางตัว มีเชือกหรือเอ็น ดึงชักให้ลอยขึ้นได้ เช่น พระจันทร์ พื้นกระดานนั้น ตกแต่งเป็นหาดทราย ชายทะเล
หรั่งหยิบตัวละครต่างๆ ขึ้นมา วาง ตามจังหวะเรื่องที่ตัวเองเล่า
“อนิจจา องค์หญิงตัวน้อย นางจะรู้ไหมหนอว่าหนทางเบื้องหน้า มีหมู่มารร้ายมากมายรอดักลอบปลงพระชนม์แม่นางอยู่ ทั้งแม่เลี้ยงใจร้าย ทั้งเจ้าชายกำมะลอ โอ องค์หญิงจะรับมือไหวหรือ...ดนตรีตื่นเต้น”
หรั่งหันไปเรียกเสียงดนตรี
จนเห็นก้อยนั่งอยู่ข้างๆ มีไวโอลินเก่าๆ ประทับอยู่ที่ซอกคอเธอเป็นผู้สร้างเสียงไวโอลินประกอบนิทานของหรั่งได้อย่างน่าอัศจรรย์
“ทันใดนั้นเอง เจ้าหนูตะเภาผู้เป็นทหารเอก ก็ประกาศก้องว่าตราบใดที่ทหารเอกคนนี้ยังมีลมหายใจอยู่ องค์หญิงจะต้องปลอดภัย...”
หรั่งลุกขึ้นแสดงท่าเป็นทหารเอกซะเอง...เขาหันไปหาก้อย
“เขาทรุดตัวลงแทบเท้าองค์หญิงตัวน้อย แล้วเอ่ยปาก ข้าขอสัญญา หากลมหายใจข้ายังมี องค์หญิงจะต้องได้ขึ้นสู่บัลลังค์แห่งราชินีอย่างสง่างาม ด้วยสองมือของข้าพระองค์”
หรั่งเอนตัวลงนอนบนตักก้อย แล้วทำเสียงเหมือนกำลังบาดเจ็บ
“โอ้ย...องค์หญิง ช่วยด้วย...ข้าพระองค์...ข้า...ข้า...ข้า ง่วงนอนซะแล้ว”
ก้อยยกไวโอลินออกจากซอกคอ
“ง่วงก็นอนสิ”
“แต่ข้าสังเกตว่า องค์หญิงก็ตาจะปิดแล้วเหมือนกัน น่าจะง่วงมากกว่าข้าอีกนะเนี่ย”
หรั่งจบการเล่านิทาน เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นปกติ
“นอนเถอะนะก้อย”
“โอเค”
ก้อยเก็บไวโอลิน หรั่งลูบผมก้อยเบาๆ
“ราตรีสวัสดิ์”
ก้อยจับมือหรั่งไว้ แล้วบีบกระชับแน่น
“ขอบใจนะหรั่ง”
หรั่งกระชับอุ้งมือของเขาลงบนมือก้อย
“ฝันดีนะ”
หรั่งถือกระดานโมเดลเดินออกจากห้องนอนก้อยไป ก้อยเอนตัวลงนอน
ภายใต้แววตาที่แข็งกระด้างของก้อย กลับแฝงไว้ด้วยความหวังความฝันมากมายในนั้น
ส่วนหรั่งนั่งคร่ำเคร่งอยู่ที่โต๊ะทำงานเล็กๆ ของเขา ที่แท้เขากำลังตัดรูปแพรวาที่อยู่ในนิตยสารเล่มที่เขาขอมา หรั่งถือรูปที่เพิ่งตัดนั้น ไปแปะที่ผนังห้องด้านหนึ่งรวมกับภาพอื่นๆ ในผนังนั้น ที่เต็มไปด้วยรูปแพรวา จากหลายๆ ที่เรียงกันเป็นภาพ collage
หรั่งวางกล่องสำคัญของเขาที่รวบรวมของสำคัญและสมุดบันทึกไว้ตรงตำแหน่งพิเศษของห้อง เขาออกแรงดึงเชือกที่ห้อยอยู่ข้างผนัง ผนังนั้นถูกดึงรั้ง ลอยขึ้น และพลิกกลายเป็นเพดานห้อง
หรั่งเอนตัวลงนอนใต้เพดานนั้น สายตาจับจ้องที่ภาพแพรวา ไล่สายตาจ้องทีละภาพๆ
เขาสูดหายใจลึกๆ หวนนึกถึงความหลังบางอย่าง
ที่หาดทราย ชายทะเล เมื่อ 18 ปีที่แล้ว แลเห็นเด็กหญิงวัย 4 ขวบ วิ่งเล่นอยู่ริมหาดท่าทางร่าเริง และสักครู่เห็นเด็กชายวัย 7 ขวบ วิ่งไล่ตามเด็กหญิงคนนั้นไป
เช้าตรู่ ภาพในจอทีวี เห็นเป็นพิธีกรสาวเซ็กซี่ แสดงท่าออกกำลังกายทางทีวี โฆษณาสินค้า Direct Sell การันตีว่าใช้แล้ว ฟิต แอนด์ เฟิร์ม สุดๆ
อีกมุม เห็นการต้มน้ำผักหลากหลายชนิด และกรอกบรรจุลงขวด ด้วยฝีมือของ หรั่ง ทุกขั้นตอน สะอาดสะอ้าน
จู่ๆ ภาพในจอทีวี ดูเหมือนจะมีสัญญาณรบกวน ภาพล้มและมีคลื่นแทรก
หรั่ง ยืนติดกระดุมเสื้อเชิ้ตแขนยาวอยู่ริมหน้าต่าง สายตามองจ้องไปเบื้องหน้า เขามองไปยังทีวีบ้านตรงข้ามซึ่งตั้งอยู่เรียงรายมากมายหลายเครื่อง ผนังบ้านหลังนั้นมีป้ายเขียนว่า รับซ่อมโทรทัศน์ทุกยี่ห้อ ติดตั้งจานดาวเทียมได้ทุกรุ่น
สักครู่ชายร่างผอมเกร็ง หัวยุ่ง นุ่งแต่เพียงกางเกง เดินไปทุบจอทีวีทุกเครื่องที่สัญญาณภาพไม่ดี
“ทำอย่างนั้นไม่ช่วยให้ภาพชัดขึ้นหรอก จ้อน...มันต้องไปตั้งมุมจานใหม่เว้ย” หรั่งร้องบอก
ชายชื่อจ้อนหันมา “เหรอ...”
“อย่าไปทำอย่างนี้ให้ใครเห็นนะ...เดี๋ยวจะไม่มีใครเอาทีวีมาให้ซ่อม”
“เหรอ...ขอบใจนะ”
จ้อน เดินงัวเงียไปนอนต่อ หรั่งหมุนตัวกลับเข้าไปในบ้านตัวเอง
“หรั่งไปละนะก้อย”
ก้อยเดินตัวตรงเข้าเฟรมมาหาหรั่ง
“อ้ะ ถุงเท้าหรั่ง”
ก้อยชูถุงเท้าที่อยู่ในมือเธอ มันเป็นถุงเท้าสองข้างที่มีสีต่างกัน
“ขอบใจนะก้อย”
หรั่งยิ้ม ขณะรับถุงเท้านั้นแล้วจึงเดินไปหยิบกล่องใส่ขวดน้ำผักที่เขาทำไว้ ก้อยตะโกนตามไป
“อย่าลืมแวะบ้านน้าแอ๊ดนะหรั่ง” ก้อยหมายถึง น้าแอ๊ด แม่ของเท่ห์ นั่นเอง
“ไม่ลืมจ้า”
หรั่งบอกโดยไม่หันมา
หรั่งขี่มอเตอร์ไซค์ตรงเข้ามาหน้าบ้านเท่ห์ เขาบีบแตรดังมาแต่ไกล จนมาจอดตรงหน้าบ้านเท่ห์ น้าแอ๊ด ถือขวดน้ำเต้าหู้ออกมาจากในบ้าน ส่งให้หรั่ง
“วันนี้หกขวดใช่มั้ย...ยายก้อยมันสั่งไว้อย่างงั้น” แอ๊ดถาม
“จ้ะ”
หรั่งรับขวดน้ำเต้าหู้มาใส่เรียงในกล่องท้ายรถ
แอ๊ดแปลกใจ “ทำไมพักนี้ มันสั่งน้อยกันจังวะ”
“หลังๆ นี้ เขาเริ่มนิยมพวกน้ำผักน่ะ...ก็ฉันบอกให้น้าแอ๊ดทำแล้ว น้าไม่เชื่อเอง”
“เชื่อ แต่มันทำไม่ไหว แค่น้ำเต้าหู้นี่ฉันก็นอนไม่พอแล้ว”
“ไอ้เท่ห์ไง”
แอ๊ดหงุดหงิดขึ้นมา “โอ๊ย จะไปหวังพึ่งอะไรมัน...”
หรั่งนับเงินในกระเป๋า ส่งให้น้าแอ๊ด
“อ้ะ...นี่ของเมื่อวานจ้ะ...” พร้อมกับตะโกน “ไอ้เท่ห์ ตื่นๆๆ...ทำมาหากินได้แล้ว เดี๋ยวไม่เท่ห์นะ”
เสียงเท่ห์ดังออกมา “เออ...รู้แล้ว”
หรั่งขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปหน้าปากซอย
รถมอเตอร์ไซค์หรั่งแล่นเข้ามาจอด ในลานจอดรถของธนาคารรัตนทรัพย์ เขาลงจากรถ ดับเครื่อง หิ้วกระเป๋าใส่น้ำดื่มเพื่อสุขภาพ เดินผ่านหน้า โต รปภ.ตัวดำหน้าดุ
“หวัดดี พี่โต” หรั่งทักอย่างคุ้นเค้ย
“เออ...มาแต่เช้าตามเคยนะ”
“ก็มาทีหลังพี่โตอยู่ดีแหละ”
หรั่งเย้า แล้วเดินยิ้มเข้าไปยังด้านหลังธนาคาร
นาฬิกาบอกเวลา 7:00 น. เป็นบรรยากาศเช้าตรู่ ก่อนธนาคารเปิดทำการ พนักงานบางคนที่มาถึงแล้วจับกลุ่มพูดคุย ดื่มกาแฟ นินทาชาวบ้าน ตามประสา ไทยๆ
หรั่งเดินเข้าเฟรมตรงไปยังบริเวณที่พนักงานรวมกลุ่มกัน
“สวัสดีตอนเช้าคร้าบ...เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมาแล้วครับผม....วันนี้ขอเสนอ น้ำย่านางเย็นใจ น้ำตะไคร้สดๆ เสารสแสนอร่อย ให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายไม่น้อยเลยคร้าบผม”
หรั่งเปิดกระเป๋า หยิบน้ำดื่มของตนออกมาแนะนำ
พนักงานที่เป็นลูกค้าประจำตรงเข้ามารุมล้อม เลือกเครื่องดื่มที่ชื่นชอบ
“น้ำย่านางนี่ดียังไง” พนักงาน 1 ถาม
“ย่านางเป็นสมุนไพรเย็น ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย ลดความร้อนข้างใน”
“น้ำตะไคร้ล่ะ” พนักงาน 2 ถาม
“ขับลมในลำใส้ เจริญอาหาร ลดความดันโลหิต ลดพิษ บำรุงสมอง สมาธิดี...ยุงไม่กัด”
พนักงาน 2 ร้อง “ห๊ะ”
หรั่งยิ้มขำ “ล้อเล่นครับ...อันนี้ของพี่จรรยาลูกค้าประจำน้ำเต้าหู้สูตรดั้งเดิม...ซื้อสี่ แถมสอง...ไม่ลองน้ำสมุนไพรบ้างเหรอครับ
“มันกินยากน่ะ” ผู้หญิงชื่อจรรยาบอก
“ต้องลองแล้วพี่จะรู้ว่า ไม่ยากอย่างที่คิด”
“ให้เครดิตพี่เขาซี่ ครบเดือนค่อยจ่าย พี่เขาจะได้สั่งเยอะหน่อย” พนักงาน 1 ว่า
“งั้นผมต้องยื่นใบวางบิล และออกใบกำกับภาษีให้ด้วยรึเปล่าครับ” หรั่งเล่นมุก
“ขยันตัวเป็นเกลียวอย่างนี้ เอาเรี่ยวแรงมาจากไหนจ๊ะ” พนักงาน 1 แซว
“ดื่มน้ำผักทุกวันไงครับ...แรงดีไม่มีตก ดื่มได้เกินวันละสองขวดด้วย”
ทุกคนหัวเราะกันตามบุคลิกใครมัน
“วันนี้พี่จรรยา มีงานเอกสารให้ผมส่งมั้ยครับ”
“เยอะเลยจ้ะ...เดี๋ยวรอพี่รวบรวมซักครู่นะ”
“ครับผม”
หรั่งเดินเลี่ยงเข้าไปยังด้านในสุดของธนาคาร มันเป็นซอกมุมเล็กๆ ก่อนออกประตูหลัง หรั่งเก็บขวดเปล่าใส่กระเป๋าเครื่องดื่มของเขาแล้วหยิบเสื้อแจ๊คเก็ตผ้าร่มมาสวม
เมื่อหมุนตัวหันหลังมา จึงเห็นตัวหนังสือและโลโก้ธนาคารรัตนทรัพย์บนหลังเสื้อตัวนั้น
หรั่งมองเห็นอะไรบางอย่าง ที่ด้านในสุดของซอกนั้น หลังเหลี่ยมเสา มีพนักงานธนาคารหนุ่มใหญ่คนหนึ่งกำลังก้มหน้าเขียนอะไรบางอย่าง
หรั่งหรี่ตา เพ่งมองให้ชัดขึ้น พบว่าที่มือของพนักงานคนนั้น เขากำลังเขียนตัวเลขลงบนใบถอนเงินของธนาคารหลายใบ พร้อมกับพูดโทรศัพท์ผ่านทาง บลูทูธ ไอโฟน 5 ของเขา
“เออ...บ่ายนี้จะส่งให้งวดนึงก่อน...บ่ายนี้จริงๆ อย่าเพิ่งกดดันกันมากนักสิ”
จู่ๆ ชายคนนั้นก็เหลียวมามองทางหรั่งด้วยสัญชาตญาณ ทั้งคู่สบตา จ้องมองกันนิ่ง
จรรยาเข้ามาพร้อมด้วยเอกสารในมือ เธอยื่นมันให้หรั่ง
“เอ้า นี่เอกสารวันนี้ สามรายการ ไปตามใบปะหน้านั่นนะ...เสร็จแล้วค่อยแวะไปจ่ายค่าไฟ
ค่าโทรศัพท์ ของพี่ กับของผู้จัดการ...ไปให้ทันเวลาล่ะ”
“ครับ”
จรรยาหันไปเห็นพนักงานชายคนนั้น เธอเอ่ยปากทักทันที
“อเนก มาแล้วเหรอ...มาลองกินน้ำสมุนไพรมั้ย พี่สั่งเผื่อเธอด้วย หรือจะเอาน้ำเต้าหู้ก็ได้...ของนายหรั่งเขา สด อร่อยจริงๆ นะ”
จรรยาเดินจากไป
อเนกเดินมาหยุดจ้องหน้าหรั่ง...เขม้นมองตาโคตรดุ ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แล้วเดินจากไปโดยไม่พูดไม่จา
อ่านต่อหน้า 3
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 1 (ต่อ)
ตอนเช้าตรู่ เวลาเดียวกัน ในห้องนอนห้องคฤหาสน์หลังใหญ่โต มองจากมุมสูงแลเห็นสภาพห้องนอนอันหรูหรา น่าอยู่ ลักษณะข้าวของเครื่องใช้ในห้องบ่งบอกความเป็นผู้หญิงที่นุ่มนิ่มบอบบาง แต่แอบซุกซน และเอาแต่ใจตัวไม่น้อย
เตียงนอนใหญ่โตกลางห้องถูกคลุมไว้ด้วยผ้าห่มราคาแพง มีบางอย่างซุกอยู่ใต้ผ้าห่ม จนผิวผ้าโป่งนูนเป็นรูปเป็นร่างคล้ายคน
แสงยามเช้าสาดเข้ามาทางช่องแสงที่ออกแบบไว้อย่างเก๋ไก๋ เสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงรำไพผู้เป็นแม่
“ลูกแพร...แพรวา...ตื่นได้แล้วลูก”
ภายในห้องนิ่ง ไม่มีสิ่งใดไหวติง
สักครู่ประตูห้องเปิดออก รำไพ หญิงไทยผู้งามพร้อมทุกกระเบียดนิ้วเดินเข้ามาจนชิดเตียง
“แพรวา หนูจะนอนตื่นสายอย่างนี้อีกไม่ได้แล้วนะ อีกหน่อยหนูจะต้องช่วยงานคุณป๋าเยอะเลยนะ...แพรวา จะตื่นหรือไม่ตื่น”
สภาพเตียงนิ่ง ไม่มีการตอบรับ รำไพเอื้อมมือเปิดผ้าห่มทันที...ภาพที่เห็นคือ หมอนข้างวางเป็นรูปร่างคน
รำไพตกใจ “แพรวา”
จังหวะนี้แพรวาโผล่หน้ามาจากใต้ผ้าห่ม ปลายเตียง กระโจนเข้าสวมกอดรำไพทันที ทั้งสองล้มลุกคลุกลงไปบนเตียงนั้น
“ตื่นแล้วค่า...า”
“ลูกแพรนี่...”
แพรวาไล่ปล้ำหอมแก้มผู้เป็นแม่หลายฟอด
“แก้มแม่นี่หอมจัง...กี่ปีกี่ปีก็ยังหอมอยู่...น่าอิจฉาคุณป๋าเหลือเกิน”
“เล่นเป็นเด็กไปได้น่าแพรวา ลุกขึ้นเร็ว คุณป๋ารออยู่ข้างล่าง”
“โธ่แม่...น้องแพรเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว...จะให้ตื่นเช้าไปทำไมคะ”
“ก็ไปช่วยงานคุณป๋าไง”
แพรวาแกล้งทำหน้าง้ำ “เรื่องอะไร ไม่เอาหรอก”
“ไม่เอาได้ไง หนูไม่ทำแล้วใครจะทำ”
“ก็คุณรำไพคนนี้ไง”
“แม่ไม่ได้เรียนสูงๆ อย่างหนูซักหน่อย”
แพรวายิ้มอ้อน “แค่สวยกว่าหนูก็ถูกใจคุณป๋าแล้วค่า...า”
แพรวากระโจนกอดรำไพอีกครั้ง คราวนี้มุดลงไปใต้ผ้าห่มทั้งคู่ ยินเสียงแม่ลูกลอดออกมา
“ไม่เอานะลูก...ลุกขึ้นไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้
“แม่อาบให้ทีสิ...นะ นะ แม่จ๋า...”
ขณะเดียวกันภายห้องโถงกลางของคฤหาสน์หลังใหญ่โตโอ่อ่าแห่งนี้ สภาพห้องตกแต่งด้วยเครื่องเรือนชั้นดี หรูหรา และประณีต ชายสูงวัย ผิวขาว ชื่อของเขาคือ เผ่าลาภ ใบหน้าของเผ่าลาภผสมผสานกันระหว่างความดุ เด็ดขาด กับ ความใจดี
เขานั่งพูดโทรศัพท์ โดยมีหนังสือพิมพ์หน้าข่าวเศรษฐกิจและการเมืองกางอยู่เบื้องหน้า
“ได้ครับ ไม่ลำบากอะไรเลย อย่ากังวล...นิดหน่อยเท่านั้นเอง เดี๋ยวผมจะให้คนของผมเอาเอกสารไปให้ผู้จัดการแล้วกันนะครับ...โอ เค นะครับ...ครับ สวัสดีครับ”
เผ่าลาภกดโทรศัพท์ ยกเลิกการสนทนา
ที่ด้านหลังของเผ่าลาภ แพรวาเดินพูดโทรศัพท์มือถือลงบันไดบ้านมา
“โอ เค ค่ะ...งั้น น้องแพรจะไปรอนะคะ...อย่าผิดเวลาแล้วกัน”
แพรวากดเลิกสายโทรศัพท์ เผ่าลาภพับหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นเก็บ
“อาบน้ำนานจังนะ ลูกเอ๊ย...ไป เราไปกันเลยเถอะ เดี๋ยวรถจะติด”
“ไปไหนคะ” แพรวาฉงน
“วันนี้ป๋าจะพาหนูไปเหมือง”
“หนูเคยไปเหมืองมาตั้งแต่เด็กๆแล้วค่ะ”
“แล้วหนูก็ไม่เคยไปอีกเลย...กิจการเหมือง MS.ของเราเปลี่ยนรูปแบบไปมาก ดังนั้นการเรียนรู้งานที่ดี เราต้องเริ่มต้นที่เหมือง...ไป”
“เสียใจค่ะคุณป๋า...หนูมีนัดกับพี่ตะวันแล้ว”
“อะไรกัน เลื่อนนัดพี่เขาไปก่อนไม่ได้เหรอ...เมื่อวานก็เจอกันแล้วนี่นา”
“เมื่อวานหนูก็เจอคุณป๋าแล้วเหมือนกัน”
แพรวาหอมแก้มเผ่าลาภหนึ่งฟอดก่อนขยับจะเดินออก รำไพเข้ามาจากมุมหนึ่งทันเห็นพอดี
“เฮ้อ...คุณป๋าคนนี้มาทีหลังพี่ตะวันฉายของหนูเสมอนะ”
“เมื่อคืนหนูงอนเขา...วันนี้ต้องไปให้เขาง้อหน่อยค่ะคุณป๋า”
แพรวารีบเดินออกไป สวนกับสยามคนรถคนสนิทของเผ่าลาภที่เพิ่งเดินเข้ามา
เผ่าลาภส่งซองเอกสารให้สยาม
“เอาเอกสารนี่ไปให้ผู้จัดการที่ธนาคารรัตนทรัพย์ มีอะไรที่ฉันต้องเซ็นก็เอากลับมา...แล้วก็เอาเช็คเงินสดนี่ ไปเปิดบัญชีออมทรัพย์ให้ฉันด้วย...ช่วยๆ ผู้จัดการเขาหน่อย”
“ครับผม” สยามเดินออกไป
รำไพเดินเข้ามาใกล้สามี
“คุณจะไปเหมืองมั้ยคะ”
เผ่าลาภส่ายหน้า “หมดอารมณ์แล้ว...ไม่รู้เมื่อไหร่ ลูกเราจะโตเป็นผู้ใหญ่กับเขาซะที”
“ใจเย็นๆ ค่ะคุณ...ให้เวลาแกหน่อย”
“ผมกลัวว่า ผมจะมีเวลาเหลือไม่มากพอน่ะสิ”
สีหน้าท่าทางเผ่าลาภดูเครียดอย่างเห็นได้ชัด
เช้าวันเดียวกัน บรรยากาศบนถนนกีบหมู แลเห็นบรรดาผู้ขายแรงงานทั้งหลาย เดินพล่านกันเต็มถนน แต่ละคนต่างถืออุปกรณ์ประจำตัวตามความถนัด
รถปิ๊คอัพ ของผู้รับเหมาวิ่งเรียงแถวเข้ามาบนถนนสายนี้ เสียงนายหน้าตะโกนเรียกหาแรงงานตามจำนวนที่ผู้รับเหมาต้องการ
แรงงานที่ถูกเลือก วิ่งกรูไปขึ้นกระบะรถปิ๊คอัพ ของผู้รับเหมา
เท่ห์ โบ้ และเช็ง เดินงัวเงียเข้ามาบริเวณนี้ พวกเขาไม่มีอุปกรณ์ใดๆ ติดตัวมาสักชิ้น และไม่มีผู้รับเหมารายใดเลือกมันไปทำงานแม้แต่คนเดียว
ทั้งสามยืนเคว้งคว้าง จนกระทั่งผู้คนรอบข้างเริ่มเบาบางลง นายหน้าหางานเดินเข้าไปหามันทั้งสาม
“มาหางานรึเปล่า”
ทั้งสามพยักหน้า
นายหน้าจ้องมันทั้ง 3 คน “หน้าใหม่นี่หว่า...ถนัดอะไรกัน”
“ถนัดขวาครับ” โบ้บอก
“ผมก็ขวา” เช็งว่า
เท่ห์ปิดท้าย “ผมได้ทั้งซ้ายทั้งขวา”
นายหน้าส่ายหัว “หมายถึงงานน่ะ ถนัดอะไร งานไม้ ปูน เหล็ก งานไฟฟ้า ประปา”
ทั้งสามมองหน้ากัน
“เราถนัดทุกอย่างครับ” โบ้บอก
“ที่ถนัดที่สุดก็ ถนัดคุมงาน” เช็งว่า
นายหน้าร้อง “ห๊ะ”
“พวกเราถนัดใช้ความคิด...พวกใช้แรงงาน มีเยอะ หาง่าย...แต่พวกที่ต้องใช้ความคิดอย่างเราเนี่ยะ ดูเหมือนจะยังขาดแคลนอยู่...พวกเรายินดีให้บริการ” เท่ห์คุยฟุ้ง ยิงมุกกระจาย
“กลับบ้านไปกินยา นอน เถอะ...ไม่ตลกว่ะ”
นายหน้าเดินจากไปพร้อมกับความรำคาญ
“ไม่มีสมอง แล้วยังเสือกเส้นตื้นอีก” เท่ห์เซ็ง
“กูว่า เราน่าจะมีอุปกรณ์ช่างติดตัวมาบ้าง อย่างพวกเขาไง ไม่งั้นไม่มีทางได้งาน” โบ้ว่า
“อุปกรณ์ของเราอยู่ในนี้” เท่ห์ชี้ไปที่สมองตัวเอง “งานน่ะมีอยู่แล้ว”
เท่ห์เดินเลียบๆ เคียงๆ ไปที่รถกระบะที่จอดอยู่แถวนั้น บนกระบะท้ายรถคันนั้น มีชายฉกรรจ์ บุคคลิกเป็นช่าง นั่งอยู่เต็มกระบะ
เท่ห์วางท่าเหมือนเป็นผู้รับเหมา มันเดินเข้าไปคุยกับแรงงานที่นั่งบนกระบะ
“น้อง...วันนี้เป็นไงบ้าง...ได้งานรึยัง”
แรงงานคนนั้นหันหน้ามาหาเท่ห์...หน้าแก่หง่อมรุ่นลุง
“อุ้ย...หน้าอย่างนี้ต้องเรียกลุง...ว่าไง วันนี้รับงานที่ไหนรึยัง ลุง”
“ต้องถามหัวหน้า” ลุงตอบเสียงเหน่อมาก
“เหรอ...ลุงทำบ่อปลาเป็นมั้ย”
ลุงพยักหน้า “ไม่เห็นจะยาก”
เท่ห์สนใจ “เหรอ...ลุงมีเพื่อนมั้ย”
“นี่ไง...เยอะแยะ” ลุงชี้ไปที่หมู่มวลช่างที่นั่งอัดกันบนกระบะ
“เหรอ...ฉันจ้างลุงทำบ่อปลาหน่อยได้มั้ย เอาค่าแรงวันละเท่าไหร่ว่ามาเลย”
ลุงจ้องหน้าเท่ห์ “แกเป็นผู้รับเหมาเหรอ ไม่เคยเห็นหน้า”
“ฉันมันคลื่นลูกใหม่น่ะลุง”
“ต้องถามหัวหน้าก่อน”
“ไหนล่ะหัวหน้า”
“โน่นแน่ะ”
เท่ห์หันไปมองตามทิศทางที่ลุงชี้ แล้วต้องสะดุ้งโหยง เมื่อเห็นหัวหน้าของลุงเดินมาที่รถ เขาคือเฮียผู้รับเหมาคนนั้นที่เท่ห์เหม็นขี้หน้านั่นเอง
ลุงปรี่เข้าไปหาหัวหน้า
“มีคนมาจ้างทำบ่อน้ำน่ะ หัวหน้า”
“ใคร อยู่ไหน”
ลุงหันมาหาเท่ห์ แต่ไม่มีร่างของเท่ห์อยู่แล้ว
“อ้าว หายไปไหนแล้ววะ เมื่อกี้ยังยืนคุยกันอยู่ตรงนี้แหละ”
เท่ห์ซุกตัวหลบอยู่ข้างๆ รถนั่นเอง พลันสายตาเท่ห์เหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่างเบื้องหน้าเป็นรถกระบะจอดเสียอยู่ ด้านข้างรถมีข้อความประชาสัมพันธ์เขียนว่า
"รามอินทราฟาร์ม รับทำบ่อทุกชนิด ราคามิตรภาพ"
โดยเจ้าของรถกำลังเข็นรถออกจากพื้นผิวจราจรเหงื่อแตกพลั่ก
สายตาเท่ห์ดูมีความหวังขึ้นมาทันที
ขณะเดียวกัน ที่บ้านของหรั่ง มือเรียว นิ้วยาว สีคล้ำ กำลังร้อยพวงมาลัยอย่างคล่องแคล่ว เจ้าของมือนี้คือ ก้อย นั่นเอง สายตาที่มองไม่เห็นของเธอ มิได้เป็นอุปสรรคใดๆ ซ้ำยังไม่สามารถบดบังความน่ารักของเธอลงได้
ด้านหลังของก้อย เห็นเป็นประตูบ้านที่เปิดค้างเอาไว้ แสงสว่างจากภายนอกสาดเข้ามาทางกรอบประตูด้านหลังเธอ
เด็กชายคนหนึ่งวิ่งถือถาดดอกไม้เข้ามาหยุดกลางช่องประตูนั้น
“พี่ก้อย...มีดอกไม้มาเพิ่มนะ”
“วางไว้ตรงนั้นแหละ เม่น”
“ตอนเที่ยงมาเอานะพี่...ตอนนี้เก้าโมงกว่าๆ”
“พี่รู้น่า”
เด็กชายเม่นหยิบขนมในชามที่วางอยู่ใส่ปากอย่างสบายใจ
“เม่น...นั่นมันอาหารแมวจ้ะ”
เม่น บ้วนของในปากออกมา แล้วรีบเดินจากไป ก้อยร้อยมาลัยต่อไปอย่างเป็นปกติสุข
รถเก๋งคันหรูของตะวันฉาย และ แพรวา จอดติดไฟแดงอยู่ข้างๆ กัน ตรงสี่แยกแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ
มองผ่านกระจกรถของตะวันฉาย เห็นเด็กตัวเล็กถือพวงมาลัยดอกมะลิเข้ามา เอามือเคาะกระจก ทำท่าวิงวอน กระจกเลื่อนเปิดออก โดยตะวันฉาย เขาส่งธนบัตรร้อยบาทให้เด็กชาย
“เอาพวงที่สวยที่สุด...ไม่ต้องทอน...แล้วเอาไปให้คนที่ขับรถคันโน้น”
เด็กชายวิ่งไปเคาะกระจกรถคันโน้น กระจกเลื่อนออก เห็นแพรวานั่งประจำที่คนขับ เด็กชายส่งพวงมาลัยให้
“เฮียคนโน้นให้เอามาให้”
เสียงตะวันฉายดังออกมาจากลำโพงในรถ ที่เชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือ
“แทนคำขอโทษ ที่เมื่อวานพี่ตะวันไม่ได้เป็นคนไปส่งน้องแพรที่บ้านจ้ะ”
แพรวายิ้มหวาน หันไปพูดกับเด็กชาย
“ฉันเหมาหมดนั่นเลย...เอาไปให้รถคันนั้น”
แพรวาส่งเงินให้เด็ก...เด็กรีบวิ่งเอาดอกไม้ไปให้ตะวันฉาย
ตะวันฉายพูดโทรศัพท์มือถือผ่านบลูธูท “อะไรเนี่ยะน้องแพร...เนื่องในโอกาสอะไรจ๊ะ”
แพรวาพูดโทรศัพท์มือถืออยู่ในรถ “ในวาระที่ก้าวเข้าสู่วันแรกของปีที่ห้า ที่เราคบกันค่ะ”
ตะวันฉาย ยิ้ม
เด็กกลุ่มใหม่ถือดอกไม้ถาดใหม่วิ่งมาหาตะวันฉายกันชุลมุน
“เอาอีกมั้ยเฮีย ดอกไม้ใหม่ๆเลย...จะให้ไปส่งคันไหนก็ได้ ไฟแดงแยกนี้อีกนาน”
ในร้านอาหารบรรยากาศหรูหราโรแมนติก ลูกค้าไฮโซนั่งดื่ม กิน อยู่ไม่แน่นมากนัก ตรงโต๊ะที่เด่นที่สุด แพรวาและตะวันฉายนั่งคู่กันอยู่ที่นั่น
หัวหน้าบริกรเพิ่งวางอาหารจานสุดท้ายลงบนโต๊ะ
“ขอให้มีความสุขกับอาหารแสนอร่อยของเรานะครับ”
บริกรเดินออกไป หน้าตาแพรวามีความสุขอย่างเห็นได้ชัด
“น้องแพรจ๋า...พี่มีเรื่องกลุ้มใจอยู่สองเรื่องจ้ะ”
“น้องแพรช่วยอะไรได้มั้ยคะ”
“น้องแพรคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยพี่ได้”
“ค่ะ”
“เรื่องแรก...คุณพ่อคุณแม่พี่ ห่วงภาพพจน์ของเรา”
“ยังไงคะ”
“น้องแพรก็รู้ใช่มั้ยว่า คุณพ่อพี่ท่านกำลังลุ้นจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งใหญ่ในรัฐบาล”
“ก็ดีนี่คะ...ไม่เห็นต้องกังวลอะไร”
“เมื่อวานนี้มีข่าวในโทรทัศน์ว่า เรากำลังจะร่วมหอลงโรงกัน...ท่าน...เอ้อ...”
“คุณพ่อพี่รังเกียจน้องแพร ?...” แพรวาเริ่มหน้าตึงแล้ว
“ไม่ใช่...แต่ท่านไม่อยากให้มีข่าวในเชิงซุบซิบถึงตัวท่านด้วย...ก็คือ เราคงต้องพยายามหลบเลี่ยงนักข่าว...ทำอะไรให้เงียบเชียบหน่อย...”
“อ๋อ..งั้นเราก็ต้องลักลอบกัน...จะได้ไม่มีใครรู้...” สาวสวยโกรธแล้ว
“แหม มันไม่ถึงขนาดนั้น...ก็แค่หลีกเลี่ยงนักข่าวสายบันเทิง...เท่านั้นแหละ ผู้ใหญ่เขาปรามๆ คุณพ่อมา”
แพรวาถอนหายใจแรง พยายามสะกดใจไว้อย่างมาก
“อีกเรื่องล่ะคะ”
“คุณพ่อ คุณแม่พี่ กำลังจะต้องไปดูงานต่างประเทศ ซักเดือนสองเดือน”
“งั้นก็ดีสิคะ...ท่านจะได้ไม่ต้องเห็นข่าวเรา”
“ท่านจะให้พี่ไปด้วย”
แพรวาเงียบไป เธอหันไปกวักมือเรียกบริกรซึ่งคอยดูแลอยู่แถวนั้น บริกรรีบเข้ามาหา...แพรวาชี้ไปที่อาหารบนโต๊ะ
“เอาพวกนี้ไปเก็บทีค่ะ”
บริกรหน้าเสีย “ไม่อร่อยเหรอครับ”
“ไม่รู้” แพรวาบอก
บริกรยกอาหารออกไปอย่าง งงๆ
ตะวันฉายมองแพรวานิ่ง ไม่มีอาการอึกอัก หวั่นไหวแต่อย่างใด
“เมื่อไหร่คะ”
“พรุ่งนี้”
“แล้วทำไมพี่ตะวันเพิ่งมาบอก”
“พี่เพิ่งรู้เมื่อเช้านี้เอง”
“เครื่องออกกี่โมงคะ...น้องแพรจะไปส่ง”
“คุณพ่อไม่อยากให้นักข่าวเห็นน้องแพรที่แอร์พอร์ต”
แพรวาลุกพรวดพราดขึ้น...เธอวิ่งออกไปจากร้านอาหารนี้ทันที
ทุกคนในร้านหันมามองเป็นตาเดียว...ตะวันฉายยิ้มบางๆ ให้คนเหล่านั้น
ด้านหรั่งขี่มอเตอร์ไซค์พาตัวเองเข้าไปในย่านธุรกิจการค้า เขาคิดหาถ้อยคำเพื่อแนะนำตัวเองตอนไปสัมภาษณ์งานไปเรื่อยๆ
“ผมชอบมอเตอร์ไซค์ ชอบมาตั้งแต่เริ่มจำความได้มันทำให้ผมไปไหนมาไหนได้เร็ว และไม่ต้องคอยตามหลังคนอื่น”
หรั่งเดินถือเอกสารเข้าไปส่งในอาคารเงินทุนหลักทรัพย์ชื่อดังแห่งหนึ่ง
“ผมสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง และวางแผนการรับผิดชอบของผมได้เป็นอย่างดี”
เพียงไม่นานหรั่งยืนต่อแถวรอจ่ายเงินที่เค้าน์เตอร์ จำพวก ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์
“ที่สำคัญคือ ผมไม่เคยเครียดกับสิ่งเหล่านี้ แต่กลับมีความสุขมากกว่า”
ต่อมาหรั่งช่วยงานซ่อมจักรยาน ที่ร้านรับซ่อมจักรยาน
“งานช่างเป็นอีกหนึ่งความถนัดของผม คงเป็นเพราะผมคลุกคลีกับช่างมาตั้งแต่แบเบาะแต่ผมไม่ได้อยากเป็นแค่ช่าง”
จากนั้นไม่นาน หรั่งอยู่ที่ร้านข้าวแกง และขนมจีน สั่งขนมจีนใส่ถุง แล้วจ่ายตังค์ บอกกับตัวเองอีก
“ผมอยากเป็นมากกว่านั้น อยากไปได้ไกลกว่านั้นและผมเชื่อว่าผมทำได้ ถ้าคุณจะไม่รังเกียจที่ผมเป็นเด็กไม่มีพ่อ”
หรั่งอยู่ที่บ้านแล้วเวลานี้ ยังคงซ้อมพูดอย่างต่อเนื่อง ก้อยนั่งฟังอยู่ด้านตรงข้าม
“โปรดบรรจุผมเข้าเป็นพนักงานประจำด้วยเถอะครับ ผู้จัดการ”
“หรั่งจะพูดอย่างนี้กับเขาเลยเหรอ”
“ไม่รู้สิ ก็ซ้อมไว้หลายๆ แบบน่ะ...ยังไม่รู้จะมีโอกาสพูดรึเปล่า ยังไม่เห็นมีทีท่าว่าเขาจะรับ
พนักงานประจำเพิ่มเลยนะ”
ก้อยตักขนมจีนเข้าปาก
“เค็มปี๋เลยหรั่ง”
“จานนั้นของหรั่ง...ของก้อยจานนี้”
หรั่งสลับจานขนมจีนกับก้อย
เด็กชายเม่นวิ่งเข้ามาจากนอกบ้าน ตรงไปยังถาดพวงมาลัยที่ร้อยเสร็จแล้ว
“มาเอาพวงมาลัยแล้วนะเจ๊...นี่สตางค์ ฉันวางไว้ตรงนี้”
“เออ...” ก้อยบอก
“วันนี้โชคดี ได้ลูกค้าน้ำผักเพิ่ม” หรั่งว่า
“หรั่งก็ต้องตื่นเช้าขึ้นอีกสิ”
“ไม่เห็นยากตรงไหน...ไปเช้าๆแหละดี ได้จับผิดคนที่แบงค์ด้วย”
“มีอะไรเหรอ”
“มีพนักงานคนนึง หรั่งสงสัยว่าเขาจะยักยอกเงินแบงค์”
ก้อยดูมีแววกังวลและเป็นห่วง
“อย่าไปยุ่งกับเขานะหรั่ง เป็นอะไรขึ้นมามันไม่คุ้มกัน ไม่ใช่เรื่องของเราซักหน่อย”
“ถ้าทุกคนคิดอย่างนี้ บ้านเมืองก็แย่สิ...เราทำในสิ่งที่ถูกซะอย่าง จะไปกลัวอะไร”
“หรั่งชอบคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกเรื่อยเลยนะ”
ก้อยบ่น
เท่ห์ โบ้ และเช็ง เดินเข้ามาในบ้าน ท่าทางร่าเริงสุดขีด พวกมันถือห่อข้าวติดตัวเข้ามาด้วย
“เฮ้ย พระเอก...กูมีของมาฝากมึงว่ะ”
เท่ห์โยนหนังสือหนึ่งเล่มให้หรั่ง ขณะโบ้กะเช็ง ช่วยกันแกะห่อข้าวเทใส่จาน
หรั่งอ่านชื่อปก “เคล็ดวิธีสร้างบ่อปลาด้วยตัวเอง...?”
“พี่รูญให้ยืมมา” เท่ห์บอก
“พี่รูญ” หรั่งฉงน?
“พี่รูญเขาเซียนเรื่องนี้เลย เป็นเจ้าของรามอินทราฟาร์ม รับสร้างบ่อทั่วราชอาณาจักร”
“บ้านเกิดอยู่บ่อสร้าง มึงคิดดูแล้วกัน เรื่องสร้างบ่อจะเหลือเหรอ” เช็งเสริม
“ก็ให้พี่รูญเขาทำไปเลยสิ...ขอแบ่งเปอร์เซ็นต์เขานิดหน่อย” หรั่งแนะ
“เขาบอกห้าหมื่นทำไม่ได้ อย่างต่ำต้องสองแสน” โบ้แทรกขึ้น
“กูว่าแล้ว” หรั่งส่ายหัว
“พี่เท่ห์ก็ขาดทุนแย่น่ะสิ” ก้อยถาม
“ขาดทุนได้ไง เราก็ลดสัดส่วนทุกอย่างลง ใช้วัสดุที่ถูกๆหน่อย และก็ใช้แรงงานตัวเอง ทำ
ด้วยตัวเองทุกอย่างตามตำราเล่มนี้...โธ่ กำไรเห็นๆ”
“พี่เท่ห์ อย่าทำอะไรที่เอาเปรียบเขานะ มันบาป รู้มั้ย” ก้อยบอก
“จ้า แม่นักบุญ”
“อยากรู้ว่า ทำบุญแล้วได้อะไรตอบแทนบ้างจ๊ะแม่จ๋า” เช็งแซว
“ทำบุญไม่ใช่ติดสินบนนะพี่เช็ง จะได้หวังผลตอบแทน”
“แล้วพี่รูญอะไรของมึงเนี่ยะ มึงไปรู้จักเขาตั้งแต่เมื่อไหร่” หรั่งคาใจ
โบ้ตอบแทน “เมื่อเช้านี้”
“ทำไมเขายอมให้ตำรามึงมา” หรั่งสงสัย
“มันก็มีข้อแลกเปลี่ยนกันนิดหน่อย”
“เอาอะไรไปแลกเขา”
“แรง” เช็งบอก
“เข็นรถ” โบ้ว่า
“วิน วิน”
เท่ห์ยักไหล่ แล้วเล่าเหตุการณ์ที่ถนนกีบหมู ให้ฟัง โดย เท่ห์ โบ้ และเช็ง ช่วยกันเข็นรถกระบะคันนั้น เท่ห์เหลือบเห็นตำราสร้างบ่อปลาวางอยู่ท้ายกระบะรถ
เท่ห์คว้าตำราเล่มนั้น ยัดใส่ในเสื้อตัวเองโดยไม่มีใครเห็น...คือมันขโมยเขามานั่นเอง
บ่ายนั้น ที่ร้านเฟอร์นิเจอร์หรูหรา ลูกค้ามีกะตังค์เวลานั้น เห็นลูกจ้างในร้าน กำลังยกเฟอร์นิเจอร์รุ่นใหม่วางลงตรงมุมที่ถูกออกแบบไว้
เจ้าของร้านเป็นสาวสวยวัยเดียวกันกับแพรวา กำลังยืนกำชับ กำกับ การเคลื่อนย้าย เธอมีชื่อว่า อรจิรา
“ยกดีๆ นะ ใครทำของฉันตก จะแช่งให้ตกนรกหมกไหม้ ไม่ได้ผุดได้เกิดเลยเชียว”
แพรวานั่งร้องไห้อยู่อีกมุมด้วยความแค้นเคือง เรื่องตะวันฉาย
“เสียแรงคบกันมาตั้งสี่ปี...พี่ตะวันนะ ไม่น่าทำกันได้เลย...คุณพ่อคุณแม่ทักแค่นี้ก็ยอมซะแล้ว...อรคิดดูนะ ถ้าอีกหน่อย พ่อแม่เขาสั่งให้เลิกกับฉัน พี่ตะวันจะทำยังไง”
“เขาก็เลิกกับเธอน่ะสิยายแพร ไม่เห็นต้องถามเลย” อรจิราบอก
“บ้า...ยายอรนี่”
อรจิราสั่งคนงานต่อ
“มายกตัวนี้ไปอีก เร็วเข้า”
อรจิราเดินสั่งงาน แพรวาเดินตามไปบ่นบ้างอแงต่อ
“เอะอะก็อ้างว่าขัดคุณพ่อไม่ได้...ทีเรายังขัดใจคุณป๋าไปหาเขาได้...เขาไม่เห็นขัดใจคุณพ่อเพื่อเราบ้างเลย”
“แสดงว่าเขาเป็นลูกที่ดี” อรจิราบอก ตามองจ้องลูกน้องทำงานต่อ
“แล้วเราเลวเหรอ...เรามีอะไรเสียหายตรงไหนเหรอ ถึงให้นักข่าวรู้ไม่ได้ว่าลูกชายเขาเป็นแฟนกับเรา...จะไปส่งแฟนที่แอร์พอร์ตก็ไม่ได้...มันยังไงกันแน่”
อรจิราพูดกับคนงาน “ผิดอันแล้ว นี่มันโคมไฟ...โคมไฟเอาไปไว้ห้องโน้น...แจกันน่ะเอามาไว้ตรง
นี้...ไม่รู้เหรอว่าโคมไฟกับแจกันมันต่างกันยังไง”
“คอยดูนะ คราวนี้ฉันจะงอนให้ถึงที่สุดเลย งอนแบบไม่ต้องมาง้อกันอีกเลย คอยดู...พี่ตะวันจะต้องเสียใจที่ทำอย่างนี้กับฉัน”
“นี่ยายแพร เธอช่วยเข้าไปสงบสติอารมณ์ในห้องฉันก่อนเถอะ...ก่อนที่ฉันจะระเบิดไปด้วยอีกคน”
จู่ๆ อรจิราดันตัวแพรวาเข้าไปในห้องทำงานของเธอ
แพรวาเซไปตามแรงดันของอรจิรา...ประตูห้องปิดลงตามหลัง มีอะไรบางอย่างสะดุดสายตา แพรวาหันไปมองยังโต๊ะทำงานของเพื่อนสาว
เห็นทิวลิปช่อใหญ่มากวางอยู่บนโต๊ะทำงานตัวนั้น แพรวาเดินตรงไปที่มัน และก้มหน้ามอง
เห็นเป็นการ์ดแผ่นใหญ่สวยงาม ปรากฏตัวหนังสือว่า
"น้องแพรที่รัก ดอกไม้ช่อนี้ แทนคำขอโทษสักพันครั้งจ้ะ
ตะวันฉาย "
แพรวาอึ้งไปกับภาพที่เห็น ประตูห้องที่อยู่ด้านหลังเธอเปิดขึ้นมาอีกครั้งในทันใด ตะวันฉายเข้ามายืนเท่ห์ตรงกลางประตู แพรวาหันไปมองเต็มๆ ตา
“หายโกรธพี่รึยัง”
แพรวาเดินเข้าไปใกล้ตะวันฉาย หน้าแดงขวยเขิน แพรวาเงื้อมือทุบลงไปที่อกตะวันฉายหนึ่งที แก้เก้อ
“พี่ตะวันน่ะ”
“อย่าโกรธพี่เลยนะ”
“คิดว่า ทิวลิปช่อเดียว น้องแพรก็หายโกรธได้ง่ายๆ งั้นเหรอ”
“ใครบอก...”
ตะวันฉายหันไปหยิบกุหลาบที่บรรจุเต็มถังใบใหญ่มาจากด้านหลัง แพรวาทุบลงไปบนอกตะวันฉายอีกสามสี่ที อรจิราเข้ามาที่หน้าประตู
“ไหนว่าจะงอนให้ถึงที่สุดไง งอนชนิดที่ไม่ต้องมาง้ออีกเลยไง”
แพรวาทุบตะวันฉายอีกที เต็มแรง แล้วเดินหนี
“พี่ตะวันเนี่ยะ เจ้าเล่ห์จริงๆ...ใช้ยายอรวางแผนให้ ใช่มั้ย”
ตะวันฉายเดินตาม “พรุ่งนี้ก่อนขึ้นเครื่อง คุณพ่อมีงานเลี้ยงที่....” ตะวันฉายบอกชื่อตึก “น้องแพรไปส่งพี่ที่นั่นแล้วกันจ้ะ”
แพรวายังหน้างออยู่
“ทำหน้าตาเหมือนไม่อยากไปส่งพี่” ตะวันฉายอ้อน
“สัญญานะว่าพรุ่งนี้น้องแพรจะได้เจอพี่ตะวันจริงๆ”
“สัญญาจ้ะ”
“ห้ามผิดสัญญานะ”
ตะวันฉายเย้า “เห็นพี่เป็นตัวโกงรึไงจ๊ะ น้องแพร”
ด้านหรั่งนั่งเอนตัวสบายๆ บนมอเตอร์ไซค์ของตนในลานจอดรถธนาคารรัตนทรัพย์ เขาครุ่นคิดอะไรบางอย่าง...โต ยามคู่ซี้ยืนกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ข้างๆ กัน
“ผมถามอะไรพี่โตอย่างนึงดี้...พี่ว่าคนทำงานในนั้น” ชี้เข้าไปในธนาคาร “เขาจะโกงกันได้มั้ย”
“ถามทำไมวะ...คิดจะโกงกับเขาบ้างรึไง” โตถาม
“แสดงว่าโกงได้”
“โอ๊ย...ที่ไหนๆ ก็โกงได้ทั้งนั้น ถ้าคิดจะโกง...คนไทยซะอย่าง ไม่มีอะไรเก่งเกินโกงอยู่แล้ว”
“สมมุติว่าพี่สงสัยใครซักคนในนั้น ว่าเขาจะยักยอกเงิน พี่จะทำยังไง”
“ทำไงเหรอ...ก็ จำเอาไปทำบ้าง มั้ง ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ”
“จริงเหรอพี่โต”
“ไอ้หรั่งเอ๊ย...พี่จะสอนอะไรเอ็งอย่างนึง ถ้าอยากจะเจริญนะ...ทำงานของตัวเองให้ดีเฉพาะของตัวเองเท่านั้นนะ...คนอื่นเขาจะทำอะไรก็ช่างเขาเหอะ เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ซะ อย่าหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวดีกว่า”
หรั่งคิดตาม ท่าทีไม่ค่อยเชื่อนัก แต่ไม่ทันที่จะโต้ตอบ รถเก๋งคันใหญ่โตโอ่อ่าแล่นเข้ามาหาที่จอด
หรั่งวิ่งไปขยับมอเตอร์ไซค์คันที่จอดขวาง และโบกมือบอกระยะให้รถเก๋งคันนั้นเข้าจอด
ป้าแก่ๆ เสียงเหน่อๆ เยี่ยงชาวสวน เดินเข้ามา โดยมีอเนกเปิดประตูธนาคารออกมาต้อนรับ
“สวัสดีครับป้าเชื่อม...ไหนว่าจะมาตอนเช้าไงครับ”
“รถมันดันเสียขึ้นมาซะยังงั้น จัดการให้ฉันเรียบร้อยรึยังล่ะ”
“เรียบร้อยแล้วครับ สมุดอยู่ที่ผมแล้ว ป้าแค่เซ็นชื่อเท่านั้นเองครับ”
อเนกนำป้าเชื่อมเข้าไปในธนาคาร หรั่งจับจ้องท่าทีของอเนกไม่วางตา
คนขับรถเก๋งคนนั้นเปิดประตูออกมาเมื่อจอดรถเสร็จ เผยให้เห็นว่าเขาคือนายสยามนั่นเอง สยามยิ้มให้หรั่งแทนคำขอบใจ กระเป๋าสตางค์ใบไม่ใหญ่นักหล่นจากกระเป๋ากางเกงของสยาม หรั่งก้มลงเก็บแล้ววิ่งไปส่งให้สยาม
“ท่านครับ...กระเป๋าสตางค์หล่นครับ”
“โอ้...ขอบใจนะน้อง...แต่ไม่ต้องเรียกท่านล่ะ ฉันมันแค่คนขับรถ”
อ่านต่อหน้า 4
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 1 (ต่อ)
ภายในแบงค์ ป้าเชื่อมลูกค้าแบงค์เข้ามาที่เค้าท์เตอร์ตรงหน้าอเนก
“ไหน...ฉันต้องเซ็นตรงไหน”
“นี่ครับ...ตรงนี้ครับ...ตรงอื่นผมกรอกให้หมดแล้วครับ ป้าถอนห้าพันใช่มั้ยครับ”
อเนกส่งใบถอนเงินให้ป้าเชื่อมเซ็น
ที่ใบถอนเงินใบนั้น มือของอเนกยังจับอยู่ที่ส่วนบนของใบถอน ทำให้มองไม่เห็นช่องที่กรอกตัวเลข
ป้าเชื่อมค่อยๆ หรี่ตามอง...อเนกชี้ตำแหน่งให้เซ็นสองจุด...ตรงเจ้าของบัญชีและผู้รับเงิน
หรั่งแอบมองดูท่าทีของอเนกจากมุมหนึ่งของธนาคาร ป้าเชื่อมเซ็นชื่อเสร็จ...อเนกดึงใบถอนเงินนั้นกลับไป
“รอแป๊ปนึงนะครับป้า...โทร.บอกล่วงหน้าแบบนี้ แป๊ปเดียวก็เสร็จ”
มืออเนก วางใบถอน แล้วเริ่มนับเงิน เห็นชัดเจนว่า ที่ช่องกรอกจำนวนเงินที่ถอนเขียนว่า 15,000 บาท
อเนกนับเงิน 15,000 บาท ดึงออกจากช่องเก็บเงิน เขาแยกเงินออกมา 10,000 บาท ใส่ลิ้นชักของตน
หรั่งเดินเข้ามายืนข้างๆ ป้าเชื่อม...ด้านหลังป้าเชื่อมเห็นเป็นสยามยืนต่อคิวอยู่ หรั่งพยายามพูดกับป้าให้เบาที่สุด
“คุณป้าน่าจะดูใบถอนให้ละเอียดหน่อยนะครับ”
“ว่าไงนะ”
หรั่งเสียงดังขึ้น “ผมว่า คุณป้าน่าจะอ่านตัวหนังสือในใบถอนให้ละเอียดก่อนนะครับ”
อเนกได้ยิน เงยหน้ามองหรั่ง
“เผื่อตัวเลขมันอาจจะไม่ตรงกับที่คุณป้าถอนก็ได้”
สยามก็ได้ยิน โยกหน้ามองมาที่หรั่งอย่างสนใจ
“แกมายุ่งอะไรกับลูกค้าฉัน” อเนกไม่พอใจ
“เฮ้ย พ่ออเนกนี่คนกันเอง ฉันจะเบิกจะถอน ก็ให้เขาทำเป็นประจำ ไว้ใจกันได้อยู่แล้ว...เหมือนลูกเหมือนหลาน” ป้าบอก
“ขอบคุณครับป้าเชื่อม...นี่ครับ 5,000 บาท”
“ขอบใจ...ไหนเอาใบถอนมาดูหน่อยซิ”
“อะไรนะครับ”
“ก็ ใบถอนอย่างที่พ่อหนุ่มคนนี้เขาบอกน่ะ...เขาจะได้สบายใจ”
“เอ้อ...ครับ” อเนกอึกอัก
สยามและผู้คนที่อยู่ใกล้ๆกันพอได้ยิน เริ่มหันมาให้ความสนใจ อเนกหยิบใบถอนนั้นช้าๆ อย่างใช้ความคิด สายตาเพ่งไปที่หรั่งไม่วางตา
เสียงโทรศัพท์มือถือรุ่นโบราณดังออกมาจากกระเป๋าของป้าเชื่อม
ป้าเปิดกระเป๋าควานหาโทรศัพท์ หันมาทางหรั่ง
“พ่อหนุ่ม ดูให้ป้าที ไอ้โทรศัพท์นี่มันรับยังไง ป้ามองไม่ค่อยจะเห็น”
หรั่งกดรับ แล้วส่งให้ป้าพูด
“ว่ายังไง โทรมาทำไม กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่...อ้าวเหรอ...ลืมไปเลย รอซักกะเดี๋ยวเน้อ”
ป้าเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าดังเดิม ท่าทางร้อนรนมากขึ้น
“เอาไว้วันหลังก็ได้พ่ออเนก...ฉันต้องรีบไปสวน นัดพวกถมดินไว้ ดันลืมซะฉิบ เดี๋ยวได้รอ
กันตายพอดี...ฝากสมุดไว้เหมือนเดิมนะพ่ออเนก...” พลางหันมาทางหรั่ง “ไปละนะพ่อหนุ่ม”
ป้าเชื่อมรีบเดินแหวกผู้คนออกไป มีหรั่งช่วยประคอง
สยามมองไปที่หรั่งอย่างสนใจ ส่วนอเนกมองตามหรั่งอย่างอาฆาตแค้น
ไม่นานนัก ภายในห้องผู้จัดการธนาคาร อเนกโวยวายเสียงลั่นห้อง
“ทำอย่างนี้ อีกหน่อยลูกค้าก็หนีหมด...แล้วลูกค้าผมซะที่ไหนล่ะ...ลูกค้าของแบงค์ ผมทำงานให้แบงค์...ลูกค้าไม่มาใช้บริการ แบงค์ก็เจ๊ง”
“อือม...จริง” ผู้จัดการพยักหน้า
“ผมว่าเลิกจ้างมันเถอะครับ ไล่มันไปไกลๆเลย ไอ้แมสเซ็นเจอร์นิสัยอย่างนี้...แส่ไม่เข้าเรื่อง...ที่จริงตำแหน่งนี้มันก็ไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่...แบงค์เราก็ออนไลน์หมดแล้ว...วันๆ มีงานให้มันวิ่งไม่กี่เที่ยวเอง ผู้จัดการเรียกมอเตอร์ไซค์วินมาวิ่งให้ก็ได้ เปลี่ยนคนไปเรื่อยๆมันจะได้ไม่ต้องมารู้เรื่องราวในแบงค์เรามากนัก”
“เอาละ ผมจะลองคิดดูอีกที...คุณไปทำงานเถอะ”
อเนกกำลังจะเดินออกจากห้อง
ผู้จัดการเรียกไว้อีกครั้ง
“อเนก...คุณมีลูกค้าประจำกี่คน”
“ยี่สิบกว่าคน”
“แสดงว่าคุณบริการลูกค้าได้ดี...ยี่สิบกว่าคนนี่ แก่ๆ ทั้งนั้นใช่มั้ย” ผู้จัดการถาม
“ครับ...คนพวกนี้กลัวธนาคารครับ ไม่รู้เป็นอะไร จะทำอะไรนิดอะไรหน่อยก็โทร.มาบอกก่อนทุกที...พอดี ไอ้ผมมันก็ชอบให้บริการคนสูงอายุอยู่แล้วด้วย”
“ระวังหน่อยแล้วกัน อย่าไปบริการอะไรเกินเลยไปจากที่เขาสั่งล่ะ” ผู้จัดการเตือน
อเนกยิ้มรับ ทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วเดินออกไป ผู้จัดการลุกขึ้นสีหน้าใคร่ครวญตริตรอง
พนักงานสาวเปิดประตูห้อง เดินเข้ามาพร้อมสยาม
“คนของคุณเผ่าลาภค่ะ...เรื่องเปิดบัญชีประกันสุขภาพ”
“อ๋อ เชิญนั่งก่อนครับ” ผู้จัดการยิ้มแย้ม
“คุณเผ่าลาภให้เอาเอกสารมาให้ผู้จัดการครับ” สยามบอก
“ขอบคุณมากครับ”
“โทษนะครับ แมสเซ็นเจอร์ที่นี่เข้าท่ามาก ผมถูกชะตาเขาจัง...ไม่ทราบเขาชื่ออะไรครับ”
ฟากอเนกปราดเข้ามาตรงลานจอดรถลูกค้าของแบ้งค์ หน้าตาเอาเรื่องมาก
“ไอ้หรั่ง”
หรั่งอยู่ที่รถมอเตอร์ไซค์ของตน
อเนกเดินปรี่เข้าไปจ้องหน้าหรั่ง
“ชอบเสือกเรื่องคนอื่นนักใช่มั้ยมึง”
หรั่งไม่สนใจอเนกแม้แต่น้อย
“ลื้อคิดว่าทำอย่างนี้แล้ว จะได้เป็นพระเอกงั้นเหรอ”
“ผมทำสิ่งที่ผมต้องทำ เพื่อเห็นแก่ความถูกต้อง”
“ได้...งั้นลื้อก็รอรับค่าตัวได้เลย” อเนกบอก
หรั่งสวมหมวกกันน็อค แล้วขี่รถออกไป อเนกมองตามด้วยความเคียดแค้น
โดยไม่เห็นว่าที่ด้านหลัง สยามยืนฟังอยู่นานแล้ว
ทุกคนอยู่ที่หน้าสวนอาหาร ไฟตกแต่งประดับประดา ค่อยๆ สว่างขึ้นทีละชุด จนสว่างไสวไปทั่วบริเวณ เสี่ยเจ้าของ เฮียผู้รับเหมา และบรรดาช่างทุกคนยืนเรียงแถวชื่นชมความสวยงาม
“อือม...ก็ดี...สวยงาม หรูหรา แต่ช้ามาก” เสี่ยติ
“ไม่ช้านะครับ เสี่ย...ผมเหลือเก็บสีอีกนิดเดียว ทันกำหนดเปิดร้านพอดี” เฮียแก้ต่าง
“มันพอดีเกินไป...ฉิวเฉียดอย่างนี้ อั๊วไม่ชอบ...นี่ยังเหลืองวดสุดท้ายใช่มั้ย”
“ครับ เสี่ย”
“เอารายละเอียดส่งมาที่เลขาอั๊วได้เลย”
เสี่ยเจ้าของกำลังจะเดินออกไป...ผู้รับเหมารีบร้องทักไว้
“เอ้อเสี่ยครับ...แล้วเรื่องบ่อปลา ว่าไงครับ”
“มันแพงไป...อั๊วก็เลยยังไม่ได้ตัดสินใจ...ไม่เป็นไรนะ”
“ครับผม”
ทันทีที่เสี่ยเจ้าของร้านเดินพ้นไป ไฟกิ่งในร้านชุดหนึ่งช็อตเป็นประกาย แล้วก็ดับวูบลง ควันคลุ้ง
เฮียผู้รับเหมาเอะอะ “เฮ่ย...ใครต่อไฟชุดนี้วะ”
ช่างทุกคนชี้มือพร้อมกันไปยังหน้าร้าน ที่เท่ห์ โบ้ เช็ง เดินเรียงหน้ากระดานเข้ามา ไม่รู้อิโหน่อิเหน่
“เรามารับเงินค่าแรงครับ” เช็งบอก
ผู้รับเหมาถาม “ไอ้หรั่งล่ะ”
“หรั่ง มันติดธุระ มันให้เรามารับแทนครับ” โบ้บอก
“ฝีมือมึงใช่มั้ย ไอ้โบ้...กูบอกแล้วให้ต่อตามกู เสือกไม่เชื่อ” เช็งอย่างเซ็ง
“กูต่อไฟโคมโว้ย ไม่เกี่ยวกับไฟกิ่ง” โบ้ว่า
“ก็กูบอกให้มึงต่อไฟกิ่ง ดันเสือกทะลึ่งไปต่อไฟโคมทำไม” เช็งบ่นบ้า
“เดี๋ยวกูมา”
ที่ห้องทำงานเสี่ยเจ้าของสวนอาหารในเวลาต่อมา ภาพที่หน้าจอโทรศัพท์ แสดงรูปบ่อปลามากมายในแบบ slide show เท่ห์เป็นผู้เปิดแฟ้มภาพเหล่านั้นในมือถือให้เสี่ยเจ้าของร้านดู
หน้าตาเสี่ย ยิ้มแย้ม ชอบใจ
“เออ ดูแบบนี้ดีเห็นชัดดี...ดูบนกระดาษ เขียนเป็นเส้นแล้วไม่ค่อยรู้เรื่อง”
“ครับ”
“ทำได้แน่นะ...เหมือนอย่างนี้เลยนะ”
“แน่นอนครับเสี่ย...โธ่ ผมทำมาไม่รู้กี่บ่อต่อกี่บ่อแล้วครับ”
“กี่วันเสร็จ”
“ถ้าวันนี้เฮียให้ผมก่อน 25% ไม่เกินสองอาทิตย์...เสร็จ...ชัวร์” เท่ห์การันตี
เย็นนั้นที่ห้องตรวจตาในโรงพยาบาล
แสงจากไฟฉายสาดเข้าที่เลนส์ตาของก้อย มีแสงไฟสาดใส่กลางดวงตา ทว่าไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆจากลูกตาของเธอ
หมอวัยหนุ่มกำลังตรวจตาของก้อย มีหรั่งยืนดู ห่างออกไป
“มีอาการปวด มึน ศีรษะบ้างมั้ยครับ”
“ไม่ค่ะ”
“ดีครับ...ยังมองเห็นเหมือนแสงไฟวูบวาบไปมาอีกหรือเปล่า”
“ก็...น้อยลงแล้วค่ะ”
“อือม...หยอดตาทุกวันนะ”
“ทุกวันค่ะ”
“โอ เค”
หมอเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะของตน
“ก้อยยังมีโอกาสหายอยู่หรือเปล่าคะ”
“อื่อฮื้อ...พร้อมจะผ่าตัดรึยังล่ะครับ”
“ยังไม่ถึงคิวรับบริจาคดวงตาของก้อยเลยนี่คะ”
หมอหนุ่มนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนเอ่ยปากพูดต่อ
“แต่เราก็ยังมีกระจกตาเทียมไง”
“งั้นคงต้องรอให้หรั่งเจอพ่อก่อนค่ะ...เราถึงจะมีเงินค่ากระจกตาเทียม...ไม่อยากเป็นหนี้ใคร กลัวไม่มีใช้เขา” ก่อยว่า
หมอหนุ่มมองหน้าหรั่ง
“ตอนนี้ก็...หยอดตาไปก่อนนะครับ วันนี้หมอจะเปลี่ยนยาตัวใหม่ให้...ขออวยพรให้เจอคุณพ่อเร็วๆ นะ”
สักครู่หนึ่ง หรั่งประคองก้อยลงนั่ง ตรงที่นั่งหน้าเค้าน์เตอร์รอรับยา
“ก้อยรอตรงนี้นะ หรั่งไปรับยาก่อน”
หรั่งขยับเดินออก และเดินห่างออกไปจากเคาน์เตอร์รับยา เขาเลี้ยวเข้าไปในซอกทางเดินเล็กๆ ที่ไร้ผู้คน จนมาเจอหมอหนุ่มคนนั้นยืนรออยู่
หรั่งหยุดยืนประจันหน้ากับหมอ สีหน้าของหมอดูหนักใจ ไม่ร่าเริงเหมือนฉากก่อนหน้านี้
“เป็นไงบ้างครับ” เขาถาม
“การมองเห็นดูเหมือนจะแคบลงไปอีก” หมอบอก
“เรียกว่าบอดสนิทได้รึยังครับ”
หมอยักไหล่ให้ แทนคำตอบ
“เราไม่สามารถควบคุมความดันตาคนไข้ได้”
“ถ้าผ่าตอนนี้ล่ะครับ”
“ชื่อก้อยยังไม่อยู่ในคิว...และดวงตาที่เขาบริจาคเข้ามาในคลังลูกตา ก็ยังไม่มีรายไหนที่จะเข้าตาก้อยได้เลย...”
“ผมหมายถึงกระจกตาเทียม”
หมอมองหน้าหรั่ง แล้วเอ่ยปากพูดอย่างตั้งใจ
“ถามจริงๆ เถอะ ที่บอกว่า ถ้าคุณเจอพ่อแล้วจะมีเงินมาผ่าตาก้อยน่ะ เรื่องจริงหรือโกหก”
หรั่งนิ่งไม่ตอบ แต่มันกลับเป็นคำตอบที่ชัดเจนสำหรับหมอ บรรยากาศเงียบงันสักครู่หนึ่ง หมอจึงส่งถุงยาให้หรั่ง
“นี่ยา...ผมทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้วหละ...ถ้าอาจารย์หมอรู้เข้าละก้อ แย่แน่”
“ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ครับ”
ท่าทีของหรั่ง เป็นคำตอบที่ชัดเจนสำหรับหมอ...หมอหายใจลึกๆ แล้วตัดสินใจพูด
“ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังเล่นอะไรอยู่...แล้วผมก็เริ่มสงสัยตัวเองว่าผมทำอย่างนี้ทำไม...แต่ถ้านึกย้อนไปวันแรกที่ผมตัดสินใจช่วยเหลือคุณ มันเป็นเพราะผมเห็นความพยายามของคุณที่จะช่วยเหลือเด็กผู้หญิงคนนึง มันดูมีความหวัง มีศรัทธา...แต่เมื่อผ่านไปห้าปี ถึงตอนนี้ผมไม่ค่อยเห็นสิ่งนั้นในตัวคุณแล้ว มันเหมือนกับคุณทำตามหน้าที่ไปอย่างนั้นเอง...ผมว่าคุณควรบอกความจริงทั้งหมดกับก้อยซะเถอะ...ก่อนที่มันจะแย่ไปกว่านี้”
“มันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ก้อยมีกำลังใจ...ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับคนด้อยโอกาสอย่างพวกเรา...บางทีการหลอกตัวเองเพื่อให้มีความหวัง มันก็เป็นวิธีที่ดีนะครับ”
“แน่ใจนะว่า คุณกับก้อย มีความหวังเรื่องเดียวกัน”
หมอมองจ้องหน้า หรั่งนิ่ง ไม่ตอบ
“สามแสนบาท ผ่าได้เลยทันที...แสนแรกเพื่อจองกระจกตาเทียม หลังจากนั้นค่อยจ่ายหลังผ่าตัด...ผมว่าคุณลืมเรื่องพ่อ แล้ววิ่งหาเงินซะ ก่อนที่จะไม่ทันการณ์”
“ผมมีเวลาเท่าไหร่”
“ผมให้ได้แค่ สองเดือน”
หมอบอก
หรั่งขี่มอเตอร์ไซค์แล่นไปบนท้องถนน เขาเป็นผู้ขับ โดยมีก้อยนั่งซ้อนอยู่ด้านหน้า ทั้งคู่ต่างทอดสายตาไปไกลเบื้องหน้า สีหน้าของหรั่งมีแววกังวลเจือให้เห็นอยู่ สักพักหรั่งจึงเอ่ยปากพูดกับก้อย
“วันนี้กินข้าวนอกบ้านกันนะก้อย...ไอ้เท่ห์มันเพิ่งรับเงินมา...มันอาสาเป็นเจ้ามือ”
“เหรอ...” ก้อยยิ้ม “...กินที่ไหนล่ะ”
จากนั้นไม่นาน หรั่ง ก้อย เท่ห์ โบ้ และเช็ง นั่งกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยในร้านอาหารข้างทาง บรรยากาศสนุกสนาน และมีความสุข
หลังท้องอิ่ม มอเตอร์ไซค์สามคันแล่นไปตามท้องถนน สายลมพัดพาผมเผ้ากระจุยกระจาย ทุกคนยิ้ม หัวเราะ ร่าเริง
ครู่ต่อมา มอเตอร์ไซค์ของหรั่งและเพื่อนๆ แล่นเข้ามาบริเวณสะพานสวยที่ยังไม่ได้เปิดใช้
ใต้สะพาน มีสนามฟุตบอลที่เด็กละแวกนั้นเล่นบอลกันอยู่สิบกว่าคน หรั่งและเพื่อนๆ ถอดเสื้อเตะฟุตบอลร่วมกับเด็กๆ
ก้อยนั่งเชียร์ทั้งๆ ที่มองไม่เห็น หรั่งเลี้ยงบอลลากผ่านเด็กๆ นับสิบ เขาอ้าปากพากย์การเลี้ยงบอลของตัวเองไปด้วย
พอได้จังหวะหรั่งง้างเท้ายิงประตูเข้าโกลล์อย่างสวยงาม หรั่งแสดงท่าดีใจราวกับนักฟุตบอลล์อาชีพ
ไม่นานต่อมา บนสะพานบรรยากาศแสนสวย หรั่ง ก้อย และเพื่อนๆ นั่งผึ่งลมอย่างสบายอกสบายใจอยู่ตรงนั้น
มอเตอร์ไซค์ทั้งสามคันแล่นเข้ามา ตรงปากทางแยก ทางเข้าชุมชนจานเดี่ยว ทุกคนต่างตะโกนพูดกันในเฟรมกว้างนี้
“ไอ้เท่ห์ บอกน้าแอ๊ดด้วยว่า พรุ่งนี้เช้า น้ำเต้าหู้ เวลาเดิม จำนวนเท่าเดิม”
“โอ เค”
“น้ำเต้าหู้แม่มึงยังขายออกอีกเหรอวะ” เช็งสงสัย
“ขายดีกว่าเศษเหล็กของเตี่ยมึงก็แล้วกัน” เท่ห์บอก
“ขายสู้พวงมาลัยของก้อยไม่ได้หรอก” โบ้ว่า
“มึงไม่มีอะไรขายอย่าเสือก” เช็งด่า
“อย่ามาให้แม่กูเย็บเสื้อให้นะ” โบ้โมโห
มอเตอร์ไซค์ทั้งสามคัน ต่างแยกย้ายเข้าซอยบ้านตัวเอง
ค่ำนั้นมอเตอร์ไซค์หรั่งแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน เขาดับเครื่อง ล็อครถ ประคองก้อยลงจากเบาะ จูงเดินเข้าบ้าน
“ง่วงจัง...คืนนี้นอนเลย ไม่อาบน้ำดีกว่า...ประหยัดด้วย”
“ฮื้อ...ก็เหม็นแย่สิหรั่ง...วิ่งเตะบอลออกขนาดนั้น”
“ก้อยรู้ได้ไงว่าหรั่งวิ่ง...หรั่งเดินไปเดินมาต่างหาก”
“ไม่ต้องมาหลอกก้อยเลย...เหงื่อหรั่งยังติดอยู่ที่มือก้อยนี่...”
หรั่งเดินไปถึงหน้าประตูบ้าน เขาหยุดนิ่ง รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ด้วยกุญแจบ้านหลุดจากสายยูที่คล้องห้อยร่องแร่ง ก้อยจับความรู้สึกได้จากการนิ่งของหรั่ง
“มีอะไรเหรอ”
หรั่งค่อยๆดันประตูบ้านให้เปิด...ประตูล้มโครมลงไปทั้งบาน
หรั่งและก้อย สะดุ้ง
“อะไรน่ะหรั่ง”
“ยังไม่รู้”
หรั่งเดินก้าวเข้าไปในบ้าน ก้อยเกาะแขนหรั่งตามไปตลอด สภาพบ้านโดนรื้อค้นกระจุยกระจายข้าวของเท่าที่พึงมี ถูกลากออกมาทำให้พังยับเยิน ก้อยเดินเตะ แก้ว จาน ชาม ที่หล่นเกลื่อนกลาดผิดที่ผิดทางไป
“ขโมยขึ้นบ้านเราเหรอหรั่ง”
“ไม่ใช่หรอก”
หรั่งเอื้อมมือไปดึงกระดาษแผ่นใหญ่ที่ติดอยู่กลางผนัง ตัวหนังสือลายมือดุดันเขียนบนกระดาษนั้นว่า
“บทเรียนบทที่หนึ่ง ของคนชอบเสือก บทต่อไป จะหนักกว่านี้"
“มันแค่ขู่น่ะ” หรั่งว่า
“ขู่?...หรั่งไปมีเรื่องกับคนที่ธนาคารมาใช่มั้ย”
“ไม่มีอะไร...แค่นิดหน่อยเท่านั้นเอง”
หรั่งตัดบท รีบเดินตรงเข้าห้องตัวเอง ก้อยตะโกนตามหลังไป
“ก้อยบอกแล้วไง ใครเขาทำอะไรก็ช่างเขา อย่าไปยุ่ง...เห็นมั้ยล่ะ ว่าผลลัพท์มันเป็นยังไง”
หรั่งนึกบางอย่างได้ วิ่งพรวดพราดเข้ามาในห้องนอนของเขา เสียงก้อยยังดังตามหลังมาไม่ขาดช่วง
“ทำไมหรั่งจะต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับเรื่องของคนอื่นด้วย...คิดดูซิว่า ถ้าพวกเขาบุกเข้ามาตอนที่หรั่งอยู่บ้าน อะไรจะเกิดขึ้น...คิดบ้างมั้ย”
หรั่งไม่ได้ใส่ใจในเสียงของก้อยแม้แต่น้อย เขาแหงนหน้ามองเพดานห้อง แล้วถอนใจโล่งอก เมื่อพบว่าเพดานห้องที่เต็มไปด้วยรูปของแพรวานั้น ยังอยู่ในสภาพดีเหมือนเดิม
หรั่งหยิบหีบไม้ที่ใช้เก็บของสำคัญออกมาเปิดดู สมุดบันทึกของเขามากมายอยู่ในนั้น รวมทั้งของสะสมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับแพรวา ทุกชิ้นยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์
ในหีบยังมีล็อคเก็ตรูปไวโอลิน ทำด้วยทองคำขาว วางอยู่ในนั้นหนึ่งอัน
หรั่งแหงนหน้ามองเพดานอีกครั้ง ดูเหมือนว่ารูปแพรวาที่อยู่บนนั้น เผยอยิ้มให้กำลังใจเขา
กลางดึกคืนเดียวกัน กระจกบานใหญ่ของโชว์รูมรถยนต์แห่งนั้นแตกละเอียด เสียงดังสนั่น เป็นผลงานของชายฉกรรจ์ 4 คน ที่ยืนถือค้อนปอนด์ในมือวิ่งข้ามเศษกระจก กรูกันเข้ามา
หนุ่มใหญ่คนสุดท้ายที่ก้าวเข้ามา อายุประมาณ 45 ปี บุคลิกดี มีเค้าว่าเคยหล่อและมีเสน่ห์
หนวดบางๆ ปรกริมฝีปากแสดงความเหี้ยมเกรียมและดุดันไม่น้อย...เขาชื่อว่า บารมี
บารมีกวาดสายตาไปรอบๆ แล้วแปลกใจ
“ไหนวะรถของมัน...พวกมันเอารถไปไว้ไหนกันหมด”
ห้องนี้เป็นห้องโล่งๆ มีรถเก่าสนิมเขรอะจอดอยู่เพียงคันเดียวเท่านั้น
“มีไอ้แก่อยู่คันเดียวเองครับนาย” ลูกน้องบอก
“กูเห็นแล้ว...ระยำจริงๆ มันต้องรู้ตัวล่วงหน้าแน่”
ทันใดนั้นไฟทุกดวงในห้องก็สว่างขึ้นพร้อมกัน นักเลงร่างใหญ่ล่ำบึ๊กนับสิบคน อาวุธครบมือก้าวออกมาจากทุกทิศทาง
เสี่ยเจ้าของโชว์รูมเป็นชายร่างเล็ก ก้าวออกมาหลังนักเลง
“นึกแล้วว่าพวกมึงต้องมา”
“พวงมึงลอบกัดนี่หว่า” บารมีด่า
“ใครลอบกัดกันแน่...นี่มันโชว์รูมของกูนะเว้ย”
“แต่มึงสั่งรถตัดหน้ากู แล้วยังแย่งลูกค้ากูไปหมด”
“ทำการค้ามันก็ต้องมีแข่งกันสิโว้ย คุณบารมี...เรื่องแค่นี้ต้องให้สอนกันด้วย”
“มึงอยากลองดีกับกูรึไง”
“แล้วมึงมีดีอะไรให้ลองเหรอ”
“ไอ้...”
บารมีวิ่งเข้าใส่เสี่ย...นักเลงสามคนก้าวออกมาขวางหน้าไว้...บารมีหยุดชะงักทันที
“อยากมีเรื่องก็ได้...แต่กูขอเก็บค่ากระจกก่อนแล้วกัน”
เสี่ยยกไม้คมแฝกฟาดไปที่บารมีเต็มแรง ร่างบารมีกระเด็นไปไกล ท่ามกลางความตกใจของหมู่ลูกน้อง
“เช็ค บิล” เสี่ยสั่ง
นักเลงทั้งสิบ รุมยำบารมีและพวกอย่างสนุกมือ
ขณะเดียวกัน กันทิมานั่งร้องไห้คร่ำครวญด้วยความทุกข์ต่อหน้ารำไพและเผ่าลาภนั่งรับฟังเรื่องราวอยู่ไม่ไกลจากเธอ
“หนูห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟังค่ะ...คิดจะใช้แต่กำลัง...ยกพวกไปก่อเรื่องก่อราวขึ้นจนได้”
“น่าจะให้มันนอนในคุกในตารางซะบ้าง จะได้เข็ด...โตแล้วยังทำตัวเหลือขออยู่ได้” ต่อลาภบอก
“คุณก็ใช้อารมณ์เกินไป...น้องชายคุณแท้ๆ จะปล่อยให้ไปนอนอยู่ในนั้นได้ไง” รำไพติง
“แล้วมันรู้บ้างมั้ยว่ามันเป็นน้องชายฉัน ที่มันทำตัวอยู่ทุกวันนี้ มันนึกถึงหน้าพี่มันบ้างมั้ย
“หนูขอโทษแทนพี่เขาด้วยแล้วกันค่ะ...” กันทิมาพูดทั้งน้ำตา
“ไม่ต้องไปขอโทษแทนมันหรอก ยังไงเฮียก็ต้องประกันตัวมันอยู่แล้ว...รอเดี๋ยวนะ”
เผ่าลาภเดินออกไปยังห้องนอนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า
กันทิมายกมือไหว้อย่างนอบน้อม “ขอบพระคุณค่ะ” ก้มหน้านิ่งด้วยความรันทด
รำไพค่อยๆ ปลอบเธอด้วยความสงสาร
“อย่าคิดอะไรมากไปเลยนะ คุณกัน”
“ไม่ให้คิดคงไม่ได้หรอกค่ะพี่รำไพ...หนูคิดอยู่เสมอว่า ถ้าวันนั้นหนูตัดสินใจอีกอย่างนึง...หนูก็คงไม่ต้องมานั่งจมอยู่บนกองทุกข์อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้หรอกค่ะ”
“คิดซะว่ามันเป็นวิบากกรรมที่เราไม่มีทางเลี่ยงได้ก็แล้วกัน...ทุกคนมีกรรมเก่าติดตัวมาด้วยกัทั้งนั้น...อยู่ที่เรา จะต้องหาวิธีดำรงชีวิตอย่างเป็นสุขไปพร้อมๆ กับการชดใช้กรรมเก่าเหล่านั้นให้ได้”
รำไพพูดในสิ่งที่ทำได้ยากมาก
ที่งานปาร์ตี้ ในสถานที่สวยหรู หนุ่มๆ ในก๊วนของตะวันฉาย และสาวเซ็กซี่มากมาย ร่อนไปมาทั่วงาน ตะวันฉายที่กำลังพูดโทรศัพท์มือถืออยู่ในมุมลับตา รอบๆ ตัวเขามีสาวๆ ผลัดกันเข้ามาคลอเคลีย...เสียงเพลงจังหวะคึกคักดังสนั่น
“ตกลงพรุ่งนี้ สิบโมงเช้าแล้วกันนะ...พี่ตะวันจะรอน้องแพรอยู่ที่...” เขาบอกชื่อตึก “น้องแพรต้อง
มาให้ทันนะจ๊ะ”
แพรวาอยู่ในห้องนอน เดินพูดโทรศัพท์กับตะวันฉาย
“ค่ะ น้องแพรจะไปถึงที่นั่นพร้อมๆ กับเข็มนาฬิกาเลย...พี่ตะวันอยู่ไหนน่ะ เสียงจอแจจัง”
สาวสวยคนหนึ่งหอมแก้มตะวันฉายแล้วเดินถือแก้วเหล้าออกไป
“อ๋อ พี่ดูงานอยู่กับคุณพ่อจ้ะ...เท่านี้ก่อนนะน้องแพร...พี่ฟังไม่ค่อยได้ยินแล้ว”
ตะวันฉายรีบกดเลิกสายโทรศัพท์ทันที
หนุ่มหน้าตาดีผิวขาวจั๊วะคนหนึ่งเดินเข้ามาหาตะวันฉาย...เขามีชื่อว่า กฤษฎา หรือ ต้น ญาติลูกพี่ลูกน้องของแพรวา
“ตอแหลกับน้องสาวกูอีกแล้วนะมึง”
“จะเป็นไรไป...แค่ลูกพี่ลูกน้อง...ถ้าน้องแท้ๆค่อยว่าไปอย่าง”
สองหนุ่มหัวเราะใส่กัน สาวเซ็กซี่ถือแก้วเหล้ากลับมาให้ตะวันฉาย เธอแทรกเข้าไปอยู่ในวงแขนของเขาได้อย่างแนบเนียน
ด้านเผ่าลาภเดินออกมาจากโรงพัก บารมีเดินตามออกมา หน้าตาเนื้อตัวยังมีร่องรอยฟกช้ำ เลอะเทอะ จากการต่อสู้ ทั้งคู่เดินตรงไปยังที่จอดรถ
“ขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายนะ...โตแล้ว ผมหงอกไม่รู้กี่เส้นแล้ว หัดยับยั้งชั่งใจซะบ้าง”
“อย่าบ่นนักน่าเฮีย”
“อั๊วไม่ได้บ่น อั๊วกำลังจะสอนลื้อ”
“โอ๊...อยากสอนก็ไปสอนลูกที่บ้านสิ”
“อาหั่ง ลื้ออย่ามาทำเป็นปากดีนักนะ”
“เฮียนั่นแหละปากดี ทีหลังถ้าไม่อยากจะประกันตัวอั๊วก็ไม่ต้องมา”
“อั๊วเห็นแก่คุณกันหรอกโว้ย ถึงได้มา”
“ฮ่ะ...นึกอยู่แล้ว คนอย่างเฮียตงน่ะ ไม่เคยนึกถึงน้องถึงนุ่งหรอก”
“แล้วไอ้น้องอย่างลื้อ มีอะไรดีๆให้นึกถึงบ้างมั้ย นอกจาก ความเลว ระยำ นอกคอก...มีอย่างที่ไหน ทำธุรกิจสู้เขาไม่ได้ กลับยกพวกจะไปตีเขา...ใครสั่งใครสอน ห๊ะ”
“เออ อั๊วมันเลว มันไม่ได้โชคดีอย่างเฮียนี่...อยู่ๆก็ได้เป็นพี่คนโต ทิ้งให้น้องๆต้องลำบากลำบนกันตามลำพัง ไม่มีเหลียวแลกันซักนิด”
“น้องคนไหนลำบาก...ทุกคนเขาอยู่ดีกินดี กินกงสีกันสบาย...ไม่มีใครเขาบ่นอย่างลื้อเลย
ซักคน”
“เขาไม่กล้ากันน่ะซี...คอยดูนะ ถ้าอั๊วเป็นใหญ่เมื่อไหร่ อั๊วจะไม่ไว้หน้าเฮียเลย”
“กว่าจะถึงวันนั้น ลื้อกับอั๊วคงตัดขาดกันไปแล้วละ”
เผ่าลาภเดินไปถึงรถของตน สยามยืนรออยู่แล้ว
“บ้านอั๊วกับลื้ออยู่คนละทาง...ต่างคนต่างไปกันเองแล้วกัน”
เผ่าลาภขึ้นนั่งในรถ ปิดประตู สยามขับรถออกไป...บารมีมองตามอย่างแค้นเคือง
กลางดึก หรั่งค่อยๆ เก็บกวาดซ่อมแซมบ้านของเขาพร้อมกับเตรียมทำน้ำผักไปด้วย ก้อยนั่งอยู่ไม่ไกลนัก หรั่งเข้าไปประคองก้อยเข้านอน
“นอนเถอะก้อย...มันจะไม่เกิดเรื่องอย่างนี้อีก อย่ากังวลนะ”
“หรั่งจะรู้ได้ไง”
“พรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้สิ เราเชื่อกันอย่างนี้ไม่ใช่เหรอก้อย”
รุ่งเช้า พระอาทิตย์ดวงเดิมค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้าเหนือกรุงเทพมหานคร
หรั่งขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดที่เดิม...เขาถือกล่องใส่น้ำผัก น้ำเต้าหู้ เดินเข้าธนาคาร พอหรั่งเดินเข้ามา อเนกเข้ามาขวางหน้าหรั่ง...มันปั้นหน้ายิ้ม กวนตีน เป็นที่สุด
“ไงไอ้พนักงานส่งน้ำเต้าหู้...เมื่อคืนหลับสบายดีมั้ย...ถ้าอยากจะขอสินเชื่อไปซ่อมบ้านละ
ก้อ ติดต่อพี่ได้นะน้อง...แต่ถ้าไม่อยากโดนซ้ำสองละก้อ อย่าเสือกเรื่องของชาวบ้านอีก”
“คิดว่าทำแบบนี้แล้วผมจะกลัวเหรอครับ”
“อั๊วทำได้หนักกว่านี้อีกเยอะ...หรือลื้อจะลอง”
หรั่งไม่โต้ตอบเดินเลี่ยงไปเฉยๆ
จนไปเจอพนักงานอาวุโสที่เข้ามาจากอีกทางหนึ่ง
“หรั่ง เช้านี้มีเอกสารด่วนส่งถึงร้านคุณเพ็ญนะ...อย่าเพิ่งไปไหนล่ะ รอผู้จัดการมาเซ็นชื่อแล้วเอาไปส่งได้เลย”
“ครับผม”
ด้านแพรวาแต่งตัวสวยเดินลงบันไดบ้านมา สง่างามราวกับเจ้าหญิง รำไพเดินออกมาจากส่วนครัว ตรงเข้าไปทักทายลูกสาว
“วันนี้ลูกสาวแม่ตื่นแต่เช้าเชียว...คุณป๋าต้องดีใจแน่ๆ”
“พี่ตะวันฉายต่างหากค่ะที่จะต้องดีใจ”
รำไพฉงน “ทำไม”
“หนูจะไปส่งพี่ตะวันฉายค่ะ”
แพรวาเดินเลยรำไพออกไป...ผู้เป็นแม่ตามไม่ทัน
สักครู่แพรวาเดินออกมาจากในบ้าน สวนกับนายสยามที่กำลังจะเดินเข้าไป
“น้าหยาม...ขับรถให้น้องแพรหน่อยสิ”
“แล้วคุณท่าน...”
“แป๊ปเดียวเอง เดี๋ยวค่อยกลับมารับคุณป๋าก็ทัน”
“แต่...”
“น้องแพรเช็คดูแล้ว วันนี้คุณป๋าอยู่บ้านถึงบ่ายๆ”
“ครับผม”
สยามเดินไปเปิดประตูรถให้ แพรวาเข้าไปนั่งในรถ...รถเคลื่อนตัวออกไป
เผ่าลาภกับ รำไพก้าวออกมาที่หน้าบ้าน มองตามรถออกไป
“ยายแพรนี่ หายใจเข้าออกเป็นตะวันฉายไปซะหมด”
“ทีคุณยังหายใจเข้าออกเป็นคุณสุริยะ พ่อเขาได้เลย”
“นั่นมันเรื่องงาน...แต่กรณีลูกแพรนี่ไม่เกี่ยวกับงาน ดูจะเป็นการหลงซะมากกว่า”
“รักครั้งแรกของผู้หญิงก็อย่างนี้แหละค่ะ”
“กลัวจะเป็นรักเขาข้างเดียวน่ะสิ...ถ้าช้ำใจขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะหนักหนาซักแค่ไหน”
“ถึงตอนนั้นก็จะมีพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยเองแหละน่า คุณ”
เผ่าลาภยังคงถอนหายใจยาวๆ กังวลแทนลูกสาวคนเดียวของตนอยู่
ด้านหรั่งขี่มอเตอร์ไซค์ลัดเลาะไปตามซอกซอย ด้วยสภาพการจราจรที่ติดขัดในท้องถนนกรุงเทพฯ ครุ่นคิดเรื่องคำขู่ของอเนก
“...แต่ถ้าไม่อยากโดนซ้ำสองละก้อ อย่าเสือกเรื่องชาวบ้าน...อั๊วทำได้หนักกว่านี้อีกเยอะ หรือลื้อจะลอง...”
ส่วนในรถแพรวา นั่งร้อนใจอยู่ในรถ มองไปเบื้องหน้าเริ่มเห็นท้ายแถวของรถที่ติด
“น้าหยาม เร่งอีกหน่อยสิ น้องแพรกลัวไปไม่ทัน”
ขณะเดียวกันในร้านอาหารหรูของโรงแรม ตะวันฉาย และสุริยะเขาอยู่ท่ามกลางวงล้อมของนักธุรกิจและนักการเมืองมากมาย ตะวันฉายเหลือบดูนาฬิกาเป็นระยะๆ
เสียงโทรศัพท์มือถือดัง...เขายกมันขึ้นพูด
มองจากมุมสูงลงมายังกลางท้องถนนกรุงเทพฯ เห็นว่ารถติด แน่ นิ่ง เต็มท้องถนน โดยมีรถของแพรวาอยู่ในหมู่รถนั้นด้วย
“พี่ตะวันขา รถติดมากเลยค่ะ ไม่ขยับเลยซักนิด”
แพรวาพูดโทรศัพท์อย่างกระสับกระส่าย
“แต่ยังไง พี่ตะวันต้องรอน้องแพรก่อนนะคะ”
ตะวันฉายเดินพูดโทรศัพท์มือถือ เลี่ยงออกมาจากโต๊ะอาหาร
“พี่รอได้ไม่เกินยี่สิบนาทีนะน้องแพร...คุณพ่อพี่เขาจะไปแล้ว”
“แล้วน้องแพรจะทำยังไงล่ะคะ...ดอกไม้ก็ยังไม่ได้ซื้อเลย”
“ถ้าไม่ทันก็ไม่เป็นไรจ้ะ น้องแพรส่งพี่ทางโทรศัพท์ก็ได้”
จังหวะนี้แพรวามองออกไปนอกรถ เห็นเป็น "ร้านดอกไม้คุณเพ็ญ" อยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนน
“ไม่ได้ค่ะ ยังไงน้องแพรก็ต้องไปส่งพี่ตะวันให้ได้”
แพรวากดเลิกการสนทนา เธอยื่นหน้าไปพูดกับน้าสยาม
“น้าหยาม เดี๋ยวตามปรับน้องแพรที่...” แพรวาบอกชื่อตึก “นะ ไม่ต้องห่วง”
แพรวาเปิดประตูรถ ก้าวออกไปโดยเร็ว วิ่งข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้าม
แพรวาวิ่งเข้ามาในร้านดอกไม้คุณเพ็ญ ตรงไปที่คนขายที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด
“มีดอกทิวลิปสีขาวมั้ยคะ...เอาทั้งหมดที่คุณมี ช่วยจัดช่อให้หน่อย ด่วนเลยนะคะ”
“อุ๊ยตาย...คุณหนูแพรวาใช่มั้ยคะ” เพ็ญเจ้าของร้านยิ้มร่า ทักทาย
“ค่ะ”
“เคยเห็นแต่ในหนังสือ...วันนี้มาถึงร้านคุณเพ็ญได้ โชคดีจริงๆ”
“ช่วยจัดดอกไม้เร็วๆเถอะค่ะ เดี๋ยวไม่ทัน”
“ค่ะ ค่ะ...แป๊ปเดียวค่ะ”
คุณเพ็ญจัดดอกไม้ไป พร้อมกับคุยจ้อไปด้วย
“ทิวลิปสีขาวนี่ ให้แฟนหรือเปล่าคะ”
“ค่ะ...เขากำลังจะเดินทางในอีกยี่สิบนาทีนี้”
“อุ๊ยตาย...ถ้าจะไปส่งให้ทันต้องมอเตอร์ไซค์แล้วละค่ะ”
“ที่นี่มีมอเตอร์ไซค์มั้ยคะ”
“ไม่มีใครขี่เป็นเลยค่ะ...ต้องเสี่ยงโบกเอาที่หน้าร้าน”
แพรวาก้มดูนาฬิกาอย่างร้อนรนใจ
บังเอิญเหลือเกินว่า ที่หน้าร้านดอกไม้คุณเพ็ญ หรั่งกำลังจอดรถ และเตรียมเอกสารที่นำมาให้คุณเพ็ญพอดี
“เรียบร้อยแล้วค่ะ...รับรองไม่มีใครทำได้เร็วกว่านี้อีกแล้ว”
“เท่าไหร่คะ...” แพรวาพูดพร้อมกับหยิบสตางค์ออกมาจากกระเป๋าสองพัน
“เท่านั้นแหละค่ะ...เอ้อ ถ้าคุณแพรวาไม่รังเกียจนะคะ คุณเพ็ญขอเสนอพนักงานมอเตอร์ไซค์ที่สามารถรับรองความซื่อสัตย์และปลอดภัยได้ ร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ”
“เขาอยู่ไหน”
“เขากำลังเดินเข้ามาค่ะ...คุณเพ็ญใช้เขาเป็นประจำ”
หรั่งเปิดประตูร้านเข้ามาพอดี แพรวาหันหน้าไปดู
หรั่งอึ้งกับภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ขาอ่อน หมดเรี่ยวหมดแรง แทบเป็นลมล้มลงตรงนั้น
“โอเค. ค่ะ ดิฉันเชื่อตามคำแนะนำ”
“หรั่ง ช่วยไปส่งคุณแพรวาที เธอมีธุระสำคัญ ด่วนจี๋”
หรั่งอึ้งอยู่ “เอ้อ...”
“ค่าจ้างเท่าไหร่ก็ยอม...ฉันรอที่รถเลยนะ”
แพรวาเดินผ่านหน้าหรั่งไปอย่างเฉียดฉิว ชิด ใกล้ หรั่งได้แต่มองตาม อึ้ง ทำอะไรไม่ถูก
“ส่งเสร็จแล้วค่อยกลับมาเอาเอกสารนะ...เดี๋ยวพี่โทร.บอกที่แบงค์ให้เอง ไปเร็วสิ”
“เอ้อ...”
“มัวแต่เอ้ออยู่นั่นแหละ...ช่วยบริการลูกค้าพี่หน่อย ไป เร็ว...เอาหมวกกันน็อคของพี่ไปอีก
ใบ เอ้า...”
หรั่งส่งเอกสารให้คุณเพ็ญแล้วรีบวิ่งออกไปหน้าร้าน
หรั่งเดินออกมาจากในร้าน เขาหยุดนิ่งมองภาพเบื้องหน้า เห็นแพรวานั่งคร่อมอยู่บนมอเตอร์ไซค์ของตนเรียบร้อยแล้ว หรั่งก้าวขาไม่ออก
“เร็วสิคุณ หรือจะให้ฉันขับเอง” แพรวาบอก
หรั่งรีบก้าวขานั่งคร่อมในตำแหน่งผู้ขับขี่
“ฉันต้องทำยังไงบ้าง...เกิดมายังไม่เคยซ้อนมอเตอร์ไซค์”
“ก็...เกาะเอวผมไว้แน่นๆ”
แพรวาเกาะเอวหรั่ง ตามคำบอก มือกระชับแน่นแนบไปที่ลำตัวหรั่ง
สีหน้าหรั่งยามนี้อิ่มเอิบ เป็นใบหน้าของชายที่มีความสุขมากที่สุด
“แล้วไงอีก”
“แล้วก็ทำตัวตามสบาย...มั่นใจในตัวผม...เท่านั้นหละครับ”
“อื่อ ฮื้อ...”
หรั่งสตาร์ทรถ และเคลื่อนมอเตอร์ไซค์ออกไป แพรวาตะโกนบอกชื่อตึกที่จะไป
สยามยังนั่งอยู่ในรถ มองตามมอเตอร์ไซค์ไป...รถของเขายังไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิด
มอเตอร์ไซค์หรั่งวิ่งไปตามเส้นทางจราจรเท่าที่จะไปได้ แพรวา เธอพยายามจะโทรศัพท์ ใช้มือซ้ายโอบอ้อมเอวหรั่งมาจับโทรศัพท์ แล้วใช้มือขวาพยายามกดปุ่มโทรออก นั่นยิ่งทำให้เขาและเธอแนบชิดกันมากยิ่งขึ้น
หรั่งยิ้มมากกว่าเก่าโดยไม่รู้ตัว
“อย่าเลี้ยวมากนักนะ เดี๋ยวฉันหล่น” แพรวาบอก
ในที่สุดแพรวาต่อโทรศัพท์ได้แล้ว
“พี่ตะวัน...น้องแพรกำลังไปหานะ...”
รถมอเตอร์ไซค์หรั่งแล่นผ่านไป
มอเตอรไซด์หรั่งแล่นเข้ามาในซอยแคบ คดเคี้ยว
แพรวาพูดโทรศัพท์กับตะวันฉาย “พี่ตะวันรอก่อนนะคะ...อยู่ชั้นไหนคะ” แล้วพูดกับหรั่งเมื่อเห็นหนทางแปลกตา “นี่ ทำไมทางมันแคบนัก มาถูกทางรึเปล่า”
“จะให้ทันเวลาต้องมาทางนี้ครับ”
แพรวาตะโกนพูดโทรศัพท์ “พี่ตะวัน...น้องแพรอยู่บนมอเตอร์ไซค์ค่ะ...มอเตอร์ไซค์ ได้ยินมั้ยคะน้องแพรใกล้จะถึงแล้วค่ะ...พี่ตะวัน...ฮื้อม...”
สัญญาณโทรศัพท์มีปัญหา แพรวาจึงกดยกเลิกสายไป
มอเตอร์ไซค์ยังคงร่อนไปตามช่องแคบๆ แพรวาตัวโยนไปมา แทบจะหล่น
“ทำไมต้องเลี้ยวไปเลี้ยวมาขนาดนี้ล่ะ ห๊ะ” แพรวาเริ่มเหวี่ยง
“จับผมไว้แน่นๆครับ...ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวังเป็นอันขาด”
อ่านต่อตอนที่ 2