xs
xsm
sm
md
lg

ประชา มาลีนนท์ ยิ่งรวย ยิ่งโกง ประชาธิปไตยกินได้คำละ 2 พันล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ประชา มาลีนนท์
2,354 ล้านบาทคือเงินภาษีของคนไทยที่ถูกนำไปจ่ายให้บริษัท เดมเลอร์ สไตเออร์ พุค สเปเชียล ฟาห์ซอย จำกัด (Styer Damlier Puch Spezial Fahzeug ) แห่งประเทศออสเตรียเป็นค่ารถดับเพลิง 315 คัน เรือดับเพลิง 30 ลำไปแล้ว จากจำนวนเงินทั้งสิ้น 6,687 ล้านบาท ที่ได้มีการเซ็นสัญญาซื้อขายกันไปแล้ว

รถและเรือดับเพลิงเหล่านี้ถูกส่งมาที่ประเทศไทยตั้งแต่ปี 2549 ปัจจุบันยังจอดอยู่ที่โกดังของเอกชนที่ท่าเรือแหลมฉบัง และที่อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี ในสภาพชำรุดทรุดโทรม อุปกรณ์บางอย่าง เช่น ล้อยาง เสื่อมใช้งานไม่ได้แล้ว

676 ล้านบาท คือ มูลค่าทรัพย์สินของนายประชา มาลีนนท์ และนางแพททรีเซีย แมรี่ ภรรยา ที่ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช) เมื่อปี 2550 หลังพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาไปแล้ว 1 ปี

นายประชายังมีธุรกิจจำนวนมากนอกเหนือจากช่อง 3 ซึ่งเป็นกิจการดั้งเดิมของตระกูลมาลีนนท์ รวมกันแล้วกว่า 20 บริษัท มีมูลค่าธุรกิจไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท

รวยมากมายมหาศาลขนาดนี้แล้วแต่ก็ยังต้องโกงเพราะว่านิสัย สัญชาติญาณนักธุรกิจที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว กำไรสูงสุดเป็นสิ่งที่อยู่ในสายเลือดลูกชายคนที่สามของวิชัย มาลีนนท์ เมื่อลอกคราบนักธุรกิจออกไปเป็นนักการเมือง เป็นรัฐมนตรีที่ต้องรับผิดชอบการใช้จ่ายเงินภาษีอากรของประชาชน สัญชาตญาณโกงยิ่งเข้มข้นขึ้นเพราะมีโอกาสมีอำนาจในการกำหนดเกมมากขึ้น ต้องใช้ให้คุ้มค่าทุกนาที

เหมือนกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่อื่นๆ ที่ผันตัวเองเข้าไปเล่นการเมืองโดยตรง ไม่ว่าจะเป็น “ชินวัตร” “จึงรุ่งเรืองกิจ” “โพธารามิก” “มหากิจศิริ” ฯลฯ เป้าหมายคือการใช้อำนาจการเมืองต่อยอดธุรกิจ โกงได้เป็นโกง โกงแล้วถูกจับได้ก็หนี หรือไม่ก็แก้กฎหมาย เปลี่ยนผิดให้เป็นถูก

ตระกูลมาลีนนท์เจ้าของช่อง 3 เป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่ ร่วมลงขันก่อตั้งพรรคไทยรักไทย เมื่อชนะการเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาล ประชา มาลีนนท์ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งได้เข้าไปแทรกแซงการบริหารงานในบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) จนถูกสหภาพแรงงานแต่งชุดดำ ชุมนุมขับไล่ และถูกพรรคประชาธิปัตย์ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ

ถึงแม้จะมีเรื่องฉาวโฉ่ในเรื่องความประพฤติ แต่ตำแหน่งรัฐมนตรีในระบอบทักษิณเป็นสินค้าที่ขายขาดให้กับกลุ่มนายทุนผู้ถือหุ้นไปแล้ว จะทวงคืนไม่ได้ ทำได้ก็แต่การโยกย้ายไปเป็นรัฐมนตรีกระทรวงอื่น นายประชาจึงถูกโยกไปเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยแทน ซึ่งเป็นที่มาของโครงการทุจริตจัดซื้อจัดจ้างรถดับเพลิงเรือดับเพลิง ที่จอดอยู่ที่แหลมฉบังมา 7 ปีแล้ว จนพังใช้ไม่ได้

จากคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีนี้ เมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงที่มีการโอนย้ายกองบังคับการตำรวจดับเพลิงจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปขึ้นกับกรุงเทพมหานคร และเปลี่ยนชื่อเป็นสำนักป้องกันและบรรเทาสาธาณภัย ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2546 พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ ซึ่งเป็นจำเลยที่ 4 ที่ถูกจำคุก 10 ปี เป็นผู้บังคับการตำรวจดับเพลิงมาตั้งแต่ พ.ศ. 2543 เมื่อดับเพลิงย้ายมาอยู่ กทม.ก็ตามมาเป็นผู้อำนวยการ สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยด้วย จนเกษียณในเดือนกันยายน 2547

ตามรายละเอียดในคำบรรยายฟ้องนั้น การจัดซื้อรถดับเพลิงและเรือดับเพลิงนี้ ไม่ได้เกิดจากความต้องการของ กทม. เพราะ กทม. มีรถอยู่แล้ว ในขณะที่มีบุคลากรน้อยกว่าอุปกรณ์ที่มีอยู่ แต่เพราะว่าบริษัทสไตเออร์ต้องการขายสินค้า และขายในราคาที่แพงกว่าราคาตลาดถึง 48 % คิดเป็นเงิน 2,192 ล้านบาท โดยใช้ พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ซึงติดต่อกันมาตั้งแต่สมัยเป็นผู้บังคับการกองดับเพลิง เป็นคนชงเรื่องให้นายประชาซึ่งกำกับดูแล กทม.อนุมัติ

นายประชางับทันที โดยสั่งให้ที่ปรึกษาแก้ไขบันทึกซึ่ง พล.ต.ต อธิลักษณ์เสนอมาแต่มีข้อบกพร่องหลายจุด ไม่ตรงกับระเบียบ เพื่อนำบันทึกเสนอต่อ ครม.โดยมีเนื้อหาสอดคล้องกับข้อเสนอขายของสไตเออร์โดยเฉพาะ ซึ่งเข้าข่ายว่านายประชาเป็นคนเขียนโครงการจัดซื้อรถดับเพลิงเสียเอง นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้ พล.ต.ต.อธิลักษณ์ยังพานายประชาเดินทางไปดูงานที่ประเทศออสเตรียตามคำเชิญของบริษัทสไตเออร์ด้วย พอกลับมา นายประชาก็ผลักดันโครงการด้วยตัวเองเลย
ก่อนหน้า นายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งคนทั่วไปเชื่อว่าเป็นคนซื่อสัตย์ สุจริตจะพ้นจากรักษาการผู้ว่าราชการ กทม.เพียง 2 วัน นายสมัคร ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2547 โดยไม่รอผู้ว่า ฯ กทม.คนใหม่

นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม.ต่อจากนายสมัคร จำเลยที่ 6 ในคดีนี้ ขอให้ พล.ต.ต.อธิลักษณ์ขยายเวลาเปิดแอลซีออกไปอีก 30 วัน แต่ พล.ต.ต.อธิลักษณ์ไม่ทำตาม กลับสั่งให้ธนาคารกรุงไทยเปิดแอลซี จนนายอภิรักษ์ต้องสั่งให้ธนาคารกรุงไทยระงับแอลซีเอง และทำหนังสือถึงนายโภคิน พลกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จำเลยที่ 1 ให้ทบทวนโครงการถึง 2 ครั้ง แต่นายสมศักดิ์ คุณเงิน เลขานุการ รมว.มหาดไทย ทำหนังสือกลับมาว่า สัญญาต่างตอบแทนนั้นถูกต้องแล้ว ให้นายอภิรักษ์เปิดแอลซี จ่ายเงินให้บริษัทสไตเออร์เสีย

นายอภิรักษ์จึงมอบอำนาจให้นายนิยม กรรณสูต ผู้อำนวยการสำนักป้องกันฯ คนใหม่ ไปเปิดแอลซีเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2548 กทม. โอนเงินไปให้บริษัทสไตเออร์ 9 งวดรวมเป็นเงิน 2,354 ล้านบาท สไตเออร์ทยอยส่งรถและเรือดับเพลิงมาให้ในปีเดียวกันนั้น และจอดทิ้งจนเสื่อมสภาพเป็นซากจนถึงบัดนี้ เพราะในเดือนตุลาคม 2548 นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ซึ่งตอนนั้นยังอยู่พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.สอบสวน แต่เรื่องมาสะดุดเมื่อเกิดการยึดอำนาจในเดือนกันยายน 2549

ขณะเดียวกัน ดีเอสไอในยุคที่พลตำรวจเอกสมบัติ อมรวิวัฒน์ เป็นอธิบดี ก็สืบสวนสอบสวนในเรื่องนี้ด้วย จนมีข้อสรุปว่าโครงการนี้มีความผิดปกติ เช่น จัดซื้อเกินวงเงินที่ได้รับจาก ครม. จัดซื้อในราคาที่แพงเกินจริงทำให้รัฐเสียหาย ดีเอสไอได้ส่งสำนวนให้ ป.ป.ช.ดำเนินการเอาผิดกับผู้เกี่ยวข้อง

หลังการยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้กิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส.รับคดีนี้ไปดูแล แต่ไม่มีความคืบหน้า จน คตส.หมดอายุต้องส่งเรืองต่อให้ ป.ป.ช.ซึ่งตั้งนายวิชา มหาคุณ เป็นประธานคณะอนุกรรมการไต่สวน จนกระทั่ง คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 7 คนรวมทั้งนายสมัครด้วย ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2551 แต่นายสมัครเสียชีวิตในเวลาต่อมา

อัยการสูงสุดดองเรื่องนี้อยู่ 2 ปี ไม่สั่งฟ้องโดยอ้างว่ามีความเห็นไม่ตรงกันกับ ป.ป.ช. โดยอัยการเห็นว่าควรสั่งฟ้องเฉพาะนายประชา กับ พล.ต.ต.อธิลักษณ์ เพราะคนอื่นหลักฐานไปไม่ถึง แต่ ป.ป.ช.เห็นว่าควรฟ้องทุกคนเพื่อให้เห็นทั้งกระบวนการ ป.ป.ช.จึงฟ้องคดีนี้เองจนศาลมีคำพิพากษาจำคุกนายประชา12 ปี พล.ต.ต.อธิลักษณ์ 10 ปี

คดีจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงนี้เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลทักษิณ 1 ซึ่งอวดอ้างว่ามาจากการเลือกตั้งของประชาชน เป็นประชาธิปไตย นายประชาก็มาจากบัญชีรายชื่อถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ นช.ทักษิณและพรรคเพื่อไทยซึ่งสืบทอดต่อจากพรรคไทยรักไทย โอ้อวดว่าประชาธิปไตยของตนเป็นประธาธิปไตยที่กินได้ โดยยกตัวอย่างนโยบายประชานิยม

แต่ประชาธิปไตยที่กินได้ของทักษิณมีคำใหญ่ คำเล็ก ชาวนาเอาคำเล็กๆ ไป จำนำราคาข้าวเหลือเงินตันละ 2-3 พันบาท โรงสีได้เยอะหน่อย หลายสิบล้าน เครือข่ายเจ๊แดงได้มากที่สุด หลักร้อยล้านพันล้าน ชนชั้นกลางได้กินประชาธิปไตยคำละแสนบาทจากโครงการรถคันแรก นายประชา มาลีนนท์ เจ้าของช่อง 3 ได้กินประชาธิปไตยคำละ 2,000 ล้านที่ปล้นมาจากเงินภาษีของประชาชน



กำลังโหลดความคิดเห็น