รายงานการเมือง โดย แสงตะวัน
ผลคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุก ประชา มาลีนนท์ อดีต รมช.มหาดไทย และ พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติอดีตผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. มีความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542
คำพิพากษาของศาลฎีกาฯในคดีทุจริตจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงพร้อมอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย ของกรุงเทพมหานคร มูลค่า 6.6 พันล้านบาท ได้อ่านคำพิพากษาไปเมื่อบ่ายวันอังคารที่10 กันยายนที่ผ่านมา ทั้ง “ประชาและ พล.ต.ต.อธิลักษณ์”ไม่ได้ไปปรากฏตัวที่ศาลฎีกาฯแต่อย่างใด
ผลจากคดีนี้เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่าการทุจริตคอรัปชั่น-การใช้อำนาหน้าที่โดยมิชอบ จนทำให้ประเทศชาติเสียหายของพวกนักการเมืองหรือนักธุรกิจ-ข้าราชประจำทั้งหลาย ในวันที่มีอำนาจล้นฟ้าในวันนี้แล้วจะทำทุกอย่างได้ตามอำเภอใจเพราะความชั่วที่ทำไว้วันหนึ่งอาจย้อนกลับมาเล่นงานเอาผิดได้
แน่นอนว่าความร่ำรวยของประชาอดีตบิ๊กบอสช่อง 3 ใครๆ ก็รู้ว่าร่ำรวยขนาดไหน ตระกูลมาลีนนท์จัดว่าเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ของประเทศไทยดูแล้วการหลบหนีคดีไปต่างประเทศที่ตามข่าวบอกว่าออกไปตั้งนานแล้วโดยไปใช้ชีวิตอยู่ที่ยุโรปในประเทศซึ่งไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับไทย
ประชามาลีนนท์ ก็คงใช้ชีวิตแบบสบายๆ ไม่ลำบากอยู่ต่างประเทศ คงเหมือนกับทักษิณชินวัตรและวัฒนา อัศวเหมที่หลบหนีคดีของศาลฎีกาฯไปอยู่ต่างประเทศเช่นกัน
แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าชะตากรรมหลังจากนี้ของประชามาลีนนท์ จะเหมือนกับสมชาย คุณปลื้ม-กำนันเป๊าะหรือไม่ที่แม้จะหนีไปอยู่ต่างประเทศหลายปีแต่สุดท้ายก็มาจนมุมถูกจับกุมในเมืองไทย
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าตัวประชาคงวางแผนทุกอย่างไว้ดีแล้วเห็นได้จากที่หายตัวไปตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคมไม่ไปปรากฏตัวต่อศาลฎีกาฯเมื่อ 6 สิงหาคม ในวันนัดอ่านคำพิพากษาคดีนัดแรกจนทำให้ศาลฎีกาฯออกหมายจับ หรือว่าที่หลบหนีไปก่อนเพราะจับสัญญาณอะไรได้ ?
หลังจากนี้ก็ต้องดูว่าขั้นตอนต่อไปทางกระบวนการยุติธรรมจะเป็นอย่างไรทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ-กระทรวงการต่างประเทศ-สำนักงานอัยการสูงสุดจะมีการดำเนินการติดตามหาตัวนายประชาและพล.ต.ต.อธิลักษณ์ซึ่งรายนี้ยังไม่ชัดว่าหายตัวไปไหนเพื่อเอาตัวมารับโทษตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ อย่างไรหรือไม่
ก็ได้แต่หวังว่าหน่วยงานข้างต้นจะทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาไม่มีการช่วยเหลือกัน เพราะใครๆ ก็รู้ว่า ประชา มาลีนนท์ สมัยอยู่พรรคไทยรักไทยใหญ่ขนาดไหน เป็นรมต.ตลอด เป็นนายทุนคนสำคัญของพรรค ตอนเป็นรมต.ก็อยู่กระทรวงใหญ่ๆมาทั้งสิ้น ทั้งรมช.คมนาคม -รมช.มหาดไทย-รมว.พัฒนาสังคมฯ ยิ่งพี่น้องเครือญาติ ก็คุมสื่อใหญ่ช่อง 3ใครๆ ก็เกรงใจ
ตรงนี้ก็เป็นบทพิสูจน์อีกครั้งว่ากระบวนการยุติธรรมหลังจากนี้ จะมีการเลือกปฏิบัติกันหรือไม่หรือว่าจะช่วยเหลือกันเหมือนเช่นที่ทำกับทักษิณ ชินวัตรในวันนี้
กรณีที่เกิดขึ้นกับประชา มาลีนนท์คงเป็นอุทาหรณ์สำหรับพวกนักธุรกิจที่ลงมาเล่นการเมืองได้เป็นอย่างดีว่าการเมืองกับการทำธุรกิจหากคิดว่าเป็นเรื่องเดียวกัน เอานิสัยการทำธุรกิจที่ต้องมีการถอนทุนคืนเมื่อลงทุนไปสุดท้ายก็เสี่ยงติดคุกเอาได้ง่ายๆ
เส้นทางการเมืองของประชาที่ถือว่าเป็นแกนนำไทยรักไทยยุคแรกเริ่มที่ทักษิณชินวัตรดึงมาร่วมกับไทยรักไทยตั้งแต่แรกๆ แม้จะไม่ใช่พวกผู้ก่อตั้งพรรคแต่ก็เป็นแกนนำพรรคที่ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร ให้ความสำคัญอย่างมาก
ในการนั่งตำแหน่งรัฐมนตรีของประชาที่ผ่านมาหลายกระทรวงมักจะสร้างปัญหาให้กับทักษิณเสมอ หากจำกันได้ ประชา ถือเป็นรมต.ล็อตแรกๆที่ถูกพรรคประชาธิปัตย์ขึงพรืดเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในยุครัฐบาลทักษิณในช่วงเป็น รมช.คมนาคม
เพราะมีปัญหาเรื่องการบริหารงานในบริษัทการบินไทยจนถูกสหภาพพนักงานการบินไทยรวมตัวประท้วงอย่างดุเดือดมีการแต่งชุดดำไว้ทุกข์เพื่อประท้วงกันมาแล้ว และเชื่อว่าหลายคนคงจำภาพของสุเทพเทือกสุบรรณ ที่อภิปรายซัด ประชา แทบตายกลางสภาฯมาแล้ว เหตุจากประชา ดันปากดีไปแหย่สุเทพ โดยเอาเรื่องเก่าสมัยตอนสุเทพ เป็นรมว.คมนาคมในรัฐบาลชวน หลีกภัย มาพูดในสภาฯจนทำให้สุเทพที่ไม่ได้ยืนอภิปรายไม่ไว้วางใจประชา มาลีนนท์ในตอนนั้น ขอใช้สิทธิพาดพิง
จนกลายเป็นบทเรียนราคาแพงของประชาตั้งแต่วันนั้นว่าการเมืองหากทำการบ้านมาไม่ดี มีสิทธิ์ตายคาสภาฯได้ทุกเมื่อ
เมื่อถูกปรับมาเป็นรมช.มหาดไทย ประชาก็มาสร้างปัญหากับเรื่องโครงการทุจริตจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงเพราะเป็นรมช.มหาดไทยที่คุมกรุงเทพมหานคร จึงทำให้ต้องมีส่วนพัวพันกับเรื่องนี้ จนสุดท้ายเลยเจอคุกอย่างที่เห็น
ย้อนไปในขณะนั้น เมื่อมีการปรับครม.คราวนี้ได้ขยับจากรมช.มหาดไทยไปเป็นรมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ก็ดันไปมีข่าวพัวพันกับเรื่องโครงการก่อสร้างบ้านเอื้ออาทร เข้าให้อีกซึ่งก่อนหน้านี้คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)ก็เคยสอบสวนเรื่องนี้แม้จะพบว่าในชั้นคตส.ที่สอบสวนเรื่องบ้านเอื้ออาทรจะไม่มีข่าวโยงไปถึงประชา มีแค่อดีต รมต.คนหนึ่งกับอดีตนักการเมืองบางคนที่เป็นทีมงานหน้าห้องของประชา
แต่ก็น่าเสียดายที่เรื่องการสอบสวนโครงการบ้านเอื้ออาทรที่คตส.ส่งไปให้ ป.ป.ช.กลับกลายเป็นเรื่องค้างคากันไปหลายปีในชั้น ป.ป.ช.จนถึงทุกวันนี้
จนกระทั่งหลัง 19 ก.ย. 49 ชื่อของ ประชา มาลีนนท์ก็หายไปจากแวดวงการเมืองและธุรกิจ ชนิดแทบไม่มีใครได้ข่าวอะไรเลยแม้แต่กับพวกอดีตส.ส.ไทยรักไทยที่ใกล้ชิดกับอดีตบิ๊กบอสช่อง 3 จนกระทั่งเมื่อประชาพ้นโทษแบนคดียุบพรรคไทยรักไทยเมื่อพฤษภาคมปีที่แล้ว คิดกันว่าจะมีคนได้เห็นหน้าค่าตาประชามาลีนนท์ กันบ้างแต่ก็ไม่มีใครได้ข่าวคราวอะไร
ประชาทำตัวหายเข้ากลีบเมฆไปเลย ยิ่งมาเจอศาลฎีกาตัดสินจำคุกแบบนี้ ต้องหนีคดีสุดชีวิต
ส่วนคนอื่นๆที่ตกเป็นจำเลยคดีนี้ อย่างโภคิน พลกุลอดีตรมว.มหาดไทย-วัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พาณิชย์-อภิรักษ์ โกษะโยธินอดีตผู้ว่าฯกทม. ดูแล้วการที่ทั้งหมดไปปรากฏตัวต่อศาลตลอดทั้งสองครั้งคือเมื่อ 6สิงหาคมและ 10 กันยายน แสดงว่าแต่ละคนก็คงมั่นใจว่าสู้คดีได้ มั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัวเองไม่ได้เข้าตาจนเหมือนเช่นประชาและ พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ก็ถือว่าชะตายังไม่ถึงฆาต
แต่ละคนคงรู้แก่ใจดีว่างานนี้ฟาดกันไปเท่าไร