ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-กลายเป็นจำเลยหนีคดีไปอีกคนหนึ่งแล้ว สำหรับนายประชา มาลีนนท์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำพิพากษาคดีทุจริตรถดับเพลิง วันที่ 6 ส.ค. 56 ที่ผ่านมา แล้วนายประชาเบี้ยวไม่มาฟังศาลตัดสิน เมื่อไม่มาโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ศาลถือว่ามีเจตนาหลบเลี่ยงไม่มาฟังคำพิพากษา ศาลจึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับและปรับเงินประกัน 2 ล้านบาท เต็มตามสัญญา พร้อมกับเลื่อนการฟังคำพิพากษาไปเป็นวันที่ 10 ก.ย. 56 นี้ ซึ่งเมื่อถึงวันนั้นแล้ว จำเลยคนใดไม่มาศาลก็จะไม่เลื่อนการตัดสินอีกแล้ว
เรียกว่า นายประชา เลือกเดินตามรอยนักโทษขาใหญ่ อย่าง นช. ทักษิณ ชินวัตร ในคดีที่ดินรัชดาฯ, นายวัฒนา อัศวเหม ในคดีทุจริตบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน และ นายสมชาย คุณปลื้ม คดีที่ทิ้งขยะเขาไม้แก้ว ซึ่งคนหลังนี้ถูกจับและกลับมาติดคุกก่อนจะได้รับการประกันตัวออกไปรักษาพยาบาลตัวเองอยู่ในขณะนี้
เหตุที่นายประชา ไม่สนว่าจะตกอยู่ในฐานะนักโทษหนีคดี ก็อาจเป็นได้ว่า เพราะกระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะการติดตามนักโทษมารับโทษทัณฑ์ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์หลงเหลืออยู่แล้ว ดังเช่นกรณี นช.ทักษิณ ที่นอกจากจะไม่ได้ถูกนำตัวมารับโทษแล้ว ยังมีคนไปแห่แหนให้ติดยศให้ และยังได้รับการยกย่องในฐานะนายใหญ่ สามารถชี้นิ้วสั่งการบริหารประเทศได้ โดยที่คณะผู้บริหารบ้านเมืองไล่ตั้งแต่นายกรัฐมนตรี ผู้บริหารสูงสุด เสนาบดีกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ต่างกุลีกุจอทำตามคำสั่ง และทำมากกว่าที่สั่งเพื่อเอาอกเอาใจ จึงพาลทำให้กระบวนการยุติธรรมเกิดความบิดเบี้ยว และคนทำผิดไม่สะทกสะท้านที่หนีคดี หนีความผิด
ย้อนรอยคดีรถดับเพลิงที่เรียกได้ว่าเป็นมหากาพย์ไม่แพ้คดีอื่นๆ ที่อยู่ในแฟ้มคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คดีนี้ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายโภคิน พลกุล อดีต รมว.มหาดไทย, นายประชา มาลีนนท์ อดีต รมช.มหาดไทย, นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พาณิชย์, พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีตผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม., บริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ จำกัด และนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (ฮั้วประมูล) พ.ศ. 2542 จากกรณีการจัดซื้อรถ และเรือดับเพลิง พร้อมอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย ตามโครงการพัฒนาระบบบริหารและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานสำนักป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัยกทม. มูลค่า 6,687,489,000 บาท
คดีนี้เริ่มจากการออกมาแฉข้อมูลของนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส. มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย เมื่อครั้งสังกัดอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี 2547 โดยระบุว่านายสมัคร สุนทรเวช ในสมัยดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. ได้เซ็นลงนามซื้อขายเรือและรถดับเพลิงเมื่อวันที่ 27 ส.ค. 47 ขณะที่ดำรงตำแหน่งรักษาการในช่วงรอเลือกตั้งผู้ว่าฯ คนใหม่ ซึ่งเป็นการกระทำก่อนวันที่จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 29 ส.ค. 47 เพียงแค่วันเดียว ซึ่งถือเป็นความผิดปกติที่ไม่มีใครเขาทำกัน โดยศึกเลือกตั้งครั้งนั้น พรรคประชาธิปัตย์ ส่งนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.
แต่ทว่า เมื่อนายอภิรักษ์ได้รับการเลือกตั้ง นายอภิรักษ์ก็เปิดแอลซีตามที่ได้ลงนามสัญญาไว้กับบริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุค สเปเชียล ฟาห์รซอยก์ จำกัด ก่อนที่จะแก้ไขใหม่เพื่อแก้ข้อกล่าวหาว่าเป็นสัญญาที่เสียเปรียบเอกชน ไม่นับว่าราคาซื้อรถดับเพลิงมีราคาแพง และมีการเรียกรับสินบน จากนั้นก็มีการกล่าวโทษกันไปมาระหว่างกทม.ที่อ้างว่า มหาดไทย (มท.) ในฐานะกำกับดูแลไปทำสัญญาระดับประเทศมาแล้ว จึงเร่งให้กทม.ลงนามเปิดแอลซี ขณะที่มท.ก็อ้างว่าถ้ากทม.เห็นว่าสัญญาเสียเปรียบ ผิดปกติก็ไม่ควรยอมเปิดแอลซีและยกเลิกโครงการไป
เมื่อเป็นข่าวโด่งดัง นายยุทธพงศ์ ก็ยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. เมื่อเดือนต.ค. 48 ให้เข้ามาสอบสวนการทุจริตในโครงการนี้ และเมื่อเกิดรัฐประหาร ปี 49 คดีนี้เข้าไปอยู่ในการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) แต่ยังไม่ทันเสร็จสิ้น คตส.หมดวาระลง คดีจึงถูกโอนกลับมาอยู่ในมือของ ป.ป.ช. พร้อมกันนั้น กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่เข้ามาสอบสวนเรื่องนี้เช่นกัน ก็ส่งสำนวนที่สอบสวนคดีนี้มาให้ป.ป.ช.ดำเนินการต่อ โดยนายวิชา มหาคุณ เป็นประธานคณะอนุกรรมการไต่สวน
หลังจากนั้น คณะกรรม ป.ป.ช. มีมติเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ชี้มูลความผิด โดยมีผู้ถูกกล่าวหา ประกอบด้วย 1. นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯ กทม. 2. นายสมัคร สุนทรเวช อดีตผู้ว่าฯ กทม. 3. นายโภคิน พลกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 4. นายประชา มาลีนนท์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย 5. นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ 6. พล.ต.ต.อธิรักษ์ ตันชูเกียรติ อดีตผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. และ 7. บริษัทสไตเออร์ฯ คู่สัญญา จากออสเตรีย
โดยมีมติวินิจฉัยว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดในการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ กรณีสั่งเปิดแอลซี (L/C-Letter of Credit) กับธนาคารกรุงไทยเพื่อชำระเงินบริษัท สไตเออร์ฯ ของออสเตรียผู้ผลิตรถดับเพลิงและอุปกรณ์ดับเพลิง แต่ในปี 2552 นายสมัคร สุนทรเวช หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาในสมัยดำรงตำแหน่งรักษาการผู้ว่าฯ กทม. ได้เสียชีวิตลงจึงเหลือผู้ถูกกล่าวหาเพียง 6 ราย เท่านั้น ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต จากนั้น ป.ป.ช.ได้ส่งสำนวนคดีให้อัยการสูงสุดฟ้องต่อศาล แต่อัยการสูงสุด กลับมีความเห็นว่าสำนวนไม่สมบูรณ์ ยื้อกันอยู่นาน จนกระทั่ง ป.ป.ช.ตัดสินใจยื่นฟ้องคดีเองต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 54 เป็นคดีหมายเลขดำที่ อม.5/2554 และศาลฯได้รับคดีไว้พิจารณาเมื่อเดือนส.ค. 54
หลังจากศาลฎีกาฯ รับคดีไว้และตั้งองค์คณะพิจารณาคดี มีการนัดพิจารณาคดีครั้งแรกในเดือนพ.ย. 54 เรื่อยมากระทั่งวันที่ 30 พ.ค. 56 ศาลฯ ได้นัดไต่สวนพยานนัดสุดท้าย และให้คู่ความแถลงปิดคดี ทั้งนี้หากจำเลยทั้ง 6 รายกระทำผิดจริงตามมาตรา 157 คือ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาทหรือ ทั้งจำทั้งปรับ
สำหรับผลของคดีที่ศาลฯ จะตัดสินในวันที่ 30 ก.ย. 56 นี้ จะส่งผลต่อกระบวนการพิจารณาคดีของคณะอนุญาโตตุลาการที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ กล่าวคือ หากศาลฎีกาฯ ตัดสินว่ามีการทุจริตอาจทำให้สัญญาที่ลงนามกันผิดไปด้วย กทม.จะได้เปรียบในคดีการฟ้องร้องเรื่องสัญญามิชอบและอาจจะได้รับเงินที่จ่ายไปทั้ง 9 งวดคืน แต่หากไม่พบว่ามีการกระทำความผิดหรือทุจริต และสัญญาซื้อขายดังกล่าวนั้นเป็นไปอย่างถูกต้อง กทม.ต้องยอมรับการซื้อขายและยอมรับรถและเรือดับเพลิงที่ถูกส่งมาให้ตั้งแต่ปี 2549 ที่เสื่อมสภาพจนไม่น่าจะใช้การได้
นับเป็นอีกคดีการทุจริตโดยฝีมือของนักการเมืองที่กัดกร่อนสังคมไทย ไม่ว่าพรรคการเมืองไหนจะขึ้นมาเป็นใหญ่บริหารบ้านเมืองก็ตาม