แค้นเสน่หา ตอนที่ 12
ในเวลาต่อมา รุ้งมาเจอกับยอดตรงบริเวณใกล้ๆ ร้าน แต่เป็นมุมที่มืดๆ หน่อย และรุ้งกำลังส่งจดหมายให้ยอด
“ให้แม่จันทร์...”
ยอดนัยน์ตาเป็นห่วงใยมาก ทำท่าเหมือนจะเข้ามาใกล้
“ต้องให้แม่จันทร์ให้ได้นะยอดฟังเข้าใจนะ”
ยอดพยักหน้า ทำท่ารับรองแข็งขัน
“ดีแล้ว”
ยอดเหมือนจะพูดว่า “ คุณหญิงจะทำยัง “
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงฉัน ฉันดูแลตัวเองได้”
ยอดยังเป็นห่วงว่าจะอยู่ยังไง
“ฉันไม่อยู่ที่วังนั่นนานหรอกพอมีหนทางเราจะไปหาที่อยู่ใหม่ รอให้แม่จันทร์กลับมาก่อน”
ยอดฟังนัยน์ตาอ่อนโยน สงสารคุณหญิงวิมลโพยมสุดใจ
“เรายังมีทางยอด ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก ฉันทำงานมีเงินเดือน แม่จันทร์มีความรู้เรื่องกับข้าว เราอาจจะเปิดร้านเล็กๆ ก็ได้ ไม่ต้องกลัวนะ ยังไงฉันก็ต้องหาที่อยู่ที่ทำกินให้ได้”
มีเสียงดังมาจากที่ร้านอาหาร สองคนหันไปดู
แขกคนอื่นๆ ก็หันมาดูป้ายปิดร้าน ต่างพาตกใจ พูดกันเสียงขรม อ่อน สารภี หน้าตกใจ
“อะไรกันเนี่ย ปิดร้านไม่มีกำหนด” สารภีเดินพรวดเข้าหลังร้าน
แขกพูดกัน บางคนลุกมาอ่านใกล้ๆ สำลีออกมาอีกคน สำเนียงตามออกมาด้วย
“เห็นรึยัง” สำลีบอกเสียงเบาๆ
“ก็ข้าอ่านไม่ออก” สำเนียงกระซิบ
“มองดูแขกสิตกใจกันใหญ่แล้วเห็นมั้ยล่ะ”
“เออ...เห็นแล้ว”
“ก็นั่นแหละ...ตกใจร้านปิด” สำลีบอก
ด้านหญิงทอแสงมองจ้องนางเฟืองที่ยืนหันหลังให้สายตาเพ่งพินิจพิจารณา
นางเฟืองพูดโดยยังไม่หันหน้ามา “คุณหญิงอย่าโมโหใครเลยเจ้าค่ะ มันอยู่ได้ไม่นานหรอกมังคะ”
“แกพูดถึงใคร” ทอแสรัศมีเสียงเข้ม
นางเฟืองหันหน้ามา นัยน์ตามีพลังประหลาด หญิงทอแสงถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
“อีคนที่คุณหญิงเกลียดมัน คนที่จะแย่งคุณชายเดียวไปจากคุณหญิง”
“ใครบอกแก”
“คนทั้งวังรู้กันทั้งนั้นล่ะเจ้าค่ะ ทุกคนสงสารคุณหญิงแต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะท่านหญิงโปรดมัน”
“แกเป็นใคร ทำไมรู้มากจริง” หญิงทอแสงหวาดหวั่น เดินหนีห่างออกมา
“มันยังพอมีทางนะเจ้าคะ”
ทอแสงชะงักกึก หันมาหรี่ตามอง “มีทางยังไง”
“ทางอะไรนะหรือเจ้าคะ ทางที่จะขจัดมันออกไปพ้นทาง”
“แกพูดเรื่องอะไรพูดให้ชัดๆ”
“คุณหญิงต้องกล้าหน่อยนะเจ้าคะ”
“แกพูดให้ชัดเจน ฉันฟังไม่เข้าใจฉันจะไปละ”
“ทำให้ศัตรูหัวใจหมดไปแล้วคุณหญิงจะมีแต่ความสุข”
หญิงทอแสงนิ่งคิดตาม แต่ยังมองนางเฟืองอย่างไม่เข้าใจ “ฉันยังไม่เข้าใจอยู่ดี” แต่เสียงอ่อนลง
“อิฉันจะบอกอีกทีแต่คุณหญิงต้องไม่ให้ใครรู้เด็ดขาด รับปากสิเจ้าคะ”
ทอแสงรัศมีหรี่ตามองนางเฟือง แต่เชื่อเข้าไปแล้วทั้งใจ
หญิงทอแสง กลับมาเจอผ่องรออยู่หน้าตำหนัก
“ผ่อง”
“คุณหญิงไปไหนมาคะ”
“ทำไม”
“ท่านหญิงรับสั่งหา”
“ฉันไปเดินเล่น”
“ค่ำๆ นะคะไปเดินเล่น”
หญิงทอแสงฉุน “แกไม่ต้องยุ่งเลยผ่อง ไม่ใช่เรื่องของแก”
“อิฉันถามเพราะเป็นห่วง ทางมันรกอาจจะมีงูเงี้ยวเขี้ยวขอ...” ผ่องพูดยังไม่จบ
หญิงทอแสงขัดขึ้น “มีรึเปล่าล่ะ”
ผ่องหันหลังกลับ
“ถ้ามีจะกลับมายืนตรงนี้รึ”
“ขึ้นไปเฝ้าเถอะค่ะอย่ามัวเสียเวลากะอิฉันเลย”
“โธ่เอ้ย” หญิงทอแสงเดินผ่านไป กระแทกไหล่ผ่อง “ยังกะอยากนะนี่..เชอะคนอย่างแก”
หญิงทอแสงเดินผ่านไปขึ้นบันไดไป ผ่องมองตามอย่างอ่อนใจ หญิงทอแสงหันมาถาม
“รุ้งกลับรึยังผ่อง”
ที่หน้าวังรังสิยา พายุเริ่มพัด ใบไม้โยนไปมา ฟ้าแลบแปลบๆ ที่ประตูวัง รุ้งลงรถสามล้อ ส่งเงินให้คนขับ เป็นแบงค์สิบบาท
“ไม่มีทอนครับ”
รุ้งลังเล “เอ่อ...มีเท่าไหร่จ๊ะ”
“มีอยู่แค่ 2 บาทขาด 3 บาทครับ”
รุ้งใจนึกเสียดายเงิน พยายามค้นหาในกระเป๋า “เดี๋ยวนะดูอีกทีว่ามี 5 บาทมั้ย”
“ฝนจะตกแล้วนะครับ”
ฟ้าร้องเสียงดังกัมปนาท
“ฉันอยากได้เงินทอนอีก 3 บาท เพราะเราตกลงกันแค่ 5 บาท”
“ทำไงล่ะ ไม่มีนี่”
“คอยได้ไหมจะเข้าไปเอาในวังให้”
“โธ่เอ๊ย...อยู่ตั้งในวังแค่สามบาทเท่านั้น ให้คอยเสียเวลาทำมาหากิน”
รุ้งคิดสักครู่ แล้วพยักหน้า แบมือรับเงินทอน 2 บาท จากนั้นรุ้งเดินเข้าวัง สามล้อจะออกรถ หันไปมอง ต้องขมวดคิ้วแปลกใจ
รุ้งเข้าวังไปแล้ว โดยมีนางเฟืองเดินตามไป สามล้อหน้าตื่น ว่านางเฟืองมาจากทางไหน เหลียวซ้ายแลขวา แล้วรีบจ้ำถีบไปอย่างเร็ว
เวลาเดียวกันที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งบรรยากาศสงบเงียบ โบสถ์ไม่ใหญ่โตอลังการ รอบบริเวณมีต้นไม้ร่มรื่น คุณหญิงเพ็ง จันทร์ และผู้หญิงแก่ๆ อุบาสิกา 2 คน ชื่อ ผิน และชุลี เดินจงกลมอยู่บริเวณหน้าโบสถ์ด้วยกัน ท่วงท่าสงบ
ด้วยเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง แสงจันทร์ส่องสว่างไปทั่วอาณาบริเวณ ราวกับเป็นสัญลักษณ์แห่งความสว่างแจ่มใส สองคนนุ่งหุ่มขาวเดินไปเห็นแต่ด้านหลัง ดูสว่าง งดงามท่ามกลางแสงจันทร์ เดินจนลับตา ผิน และ ชุลี เดินตามไปห่างๆ
ครู่ต่อมาคุณหญิงเพ็งและจันทร์กราบพระอยู่ในโบสถ์
“ขอบใจมากนะลูกที่อุตส่าห์มาอยู่เป็นเพื่อนแม่”
“ดิฉันอยากมาด้วยค่ะคุณแม่”
“รู้ว่าห่วงรุ้ง ต้องดูร้านคนเดียว”
“ไม่น่าห่วงหรอกค่ะ ทุกอย่างอยู่ตัวหมดแล้ว กลางวันคนไม่ค่อยสั่งอาหารโบราณมากนัก ส่วนมากสั่งตอนเย็นรุ้งกลับมาทำได้”
คุณหญิงเพ็งยิ้มออกมาอย่างตื้นตัน
“แม่โชคดีเหลือเกินถึงพ่อพจน์จะจากไปแต่ยังมีลูกดูแลแม่อย่างดี มีหลาน...ทั้งริมาทั้งรุ้งเป็นเด็กดีทั้งคู่ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงเลย เว้นก็แต่พ่อฉัตต์ไม่รู้นิสัยจะเปลี่ยนมั้ยหรือว่าจะเล่เก๊...” คุณหญิงพูดคำโบราณ แปลว่านิสัยไม่ดี กวนๆ ดื้อๆ ซนๆ ไม่ใช่เลวหรือชั่ว “เหมือนตอนเด็ก”
จันทร์พูดไปพับกลีบดอกบัวถวายพระไปด้วยตั้งแต่แรก หยุดมือ หน้าเสีย ตั้งแต่คุณย่าออกชื่อฉัตต์ ใจคิดเป็นห่วงรุ้งมาก “หวังว่าคงจะเปลี่ยนค่ะ” เสียงของจันทร์เบาหวิว
“นั่นสิ...ยกเว้นว่าจะโกรธที่ไม่บอกเรื่องพ่อนี่แหละ”
จันทร์พูดเสียงเบาลงไปอีก “เรื่องทำร้านอาหารด้วยค่ะ”
“เรื่องนั้นแม่ไม่ห่วง เขาต้องรู้ว่าเราทำร้านอาหารทำไม”
รุ้งเดินเร็วๆ มาตามทาง ฟ้าแลบแปลบปลาบ สลับกับฟ้าร้องครืนครันเสียงดัง คล้ายฝนจะตก ปีศาจนางเฟืองล่องลอยตามมา เหลือบตามองกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง อยู่ข้างหน้ารุ้ง สายตาบอกว่าจะให้กิ่งไม้นั้นตกมาโดนรุ้ง
เวลาเดียวกันจันทร์เอาดอกบัวใส่แจกัน ผิน และ ชุลี นั่งสวดมนต์อยู่อีกทาง
“ไปนอนเถอะพรุ่งนี้กลับแต่เช้าเลยนะ สั่งแนบมารับแล้วใช่มั้ย”
“เชิญคุณแม่นอนก่อนนะคะ ดิฉันจะขอสวดมนต์ต่อ”
“จะสวดมนต์บทไหน”
สีหน้าจันทร์ ตั้งใจมั่นขณะที่ตอบว่า “จะสวดบทแผ่เมตตาค่ะ”
โบสถ์ที่มีแสงไฟสว่างอยู่ภายใน ถูกความมืดที่รายรอบห่อคลุม ยินเสียงบทสวดมนต์บทแผ่เมตตาดังขึ้นแผ่วๆ
ส่วนรุ้งเดินมา นางเฟืองจ้องบังคับกิ่งไม้เขม็ง แต่แล้วร่างของนางผีร้ายก็เหมือนปลิวขึ้นไปหมอบอยู่บนกิ่งไม้ที่ผุจวนหล่นแล้ว มันเอื้อมมือไปแตะกิ่งไม้ ด้วยสีหน้าเหมือนใช้พลังสุดขีด ที่จะผลักกิ่งไม้นั้นให้หักลงมาให้ได้ ทว่าเสียงสวดมนต์ดังขึ้น พร้อมๆ กับเสียงฟ้าลั่นเปรี้ยง จู่ๆ ๆ ฝนตกซู่ มือนางเฟืองถลำไปทันที พร้อมกับร่างวูบหายผ่านกิ่งไม้ไปในบัดดล
คุณหญิงเพ็ง กับจันทร์ นั่งอยู่ในโบสถ์ สองคนสวดมนต์เบาๆ ใกล้ถึงตอนจบแล้ว
“ทุกขัปปัตตาจะนิพทุกขาภะยัปปัตตาจะนิพภะยา
โสกัปปัตตาจะนิสโสกาโหนตุสัพเพปิปาณิโน
ขอสัตว์ทั้งหลายที่ประสบทุกข์จงเป็นผู้ปราศจากทุกข์
ที่ประสบภัยจงปราศจากภัย ที่ประสบความเศร้าโศกจงสร่างโศก”
ปีศาจ นางเฟืองยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ข้างกำแพงวัดที่จันทร์กับคุณหญิงเพ็งมาจำวัดอยู่ บรรยากาศเงียบสงบ นางผีร้ายจ้องมองไปที่กำแพงวัด สายตาเข้มจัด บริเวณนั้นมีวิญญาณหลายดวงวนเวียนอยู่ นางเฟืองมองไปเห็นวิญญาณผู้ชายอายุมากแล้วนั่งเอนพิงต้นไม้ เมามาย ในมือถือขวดเหล้า ยกดื่มแล้วดื่มอีก เป็นกิริยาซ้ำ ๆ กัน
อีกที่หนึ่ง แม่นั่งกอดลูกสาวท่าทางเศร้าสร้อย
ส่วนอีกที่หนึ่ง ผีผู้ชายเดินมากับผีผู้หญิงสาว แม้จะเป็นผีก็ดูออกว่าเป็นคู่รักกัน
นางเฟืองสะบัดหน้ามองเข้าไปในวัด
“อี...บุ...หลัน”
เสียงนางผีร้ายแหบพร่า ด้วยความแค้นดังก้องกังวาน
ด้านจันทร์กำลังกราบหมอน เตรียมนอน ได้ยินเสียงนางผีร้าย ถึงกับสะดุ้งเหลียวขวับ
คุณหญิงนอนแล้วเห็นอาการจึงถาม “อะไรหรือจันทร์”
จันทร์ยังคงขมวดคิ้ว
“ได้ยินอะไรหรือ”
“เหมือนเสียง...”
“เสียงคนที่มีความทุกข์ทั้งนั้น คงจะรู้ตัวแล้วว่าทุกข์จากบาปกรรมที่ทำไว้ทรมานแค่ไหน”
สีหน้าจันทร์ยังคงไม่สบายใจ
“นอนเถอะ พรุ่งนี้กลับบ้านแล้วนะลูก”
จันทร์ล้มตัวลงนอน คุณหญิงตบมือจันทร์เบาๆ ปลอบโยน
“เรามาทำบุญ บุญจะคุ้มครองเรา เชื่อแม่”
จันทร์กราบพระ คุณหญิงเพ็งกราบจนครบ 3 ครั้ง แลเห็น ผิน กับชุลี กราบพระอยู่ห่างๆ
ส่วนเหล่าสัมภเวสีที่หน้าวัด วิญญาณผู้ชายแก่ที่ดื่มเหล้าอยู่ สะอึกสุดตัวแล้วฟุบไป วิญญาณแม่ที่กอดลูกเศร้าสร้อยร้องไห้โหยหวน วิญญาณหนุ่มสาวที่เดินมาด้วยกันแบบคู่รัก เดินใกล้เข้ามา
วิญญาณลูก ชูมือเรียก “พ่อ...พ่อ...” แต่พ่อเดินเฉย
ส่วนวิญญาณแม่ มองด้วยสายตาอาฆาตแค้น พอสองคนเดินคล้อยหลัง วิญญาณแม่ ลุกขึ้นโผเข้าหา ชูมีดสูงฟันกลางหลังผู้ชายจนคว่ำลง แล้วหันไปแทงผู้หญิงจนล้มไปอีกคน ลูกร้องไห้ชูมือหาแม่ เรียก
“แม่...แม่”
ผีนางแม่ยืนมองผัวกับชู้นอนนิ่ง ท่าทางแม่ทุกข์ทนสุดขีด เสียงเรียก “แม่...แม่” ของเด็กยังคงดังอยู่
สีหน้านางเฟือง ยืนมองจ้องอยู่ มันพึมพำ
“มันต้องตายทั้งคู่ อย่างนั้น ฮะ...ฮะ...ฮะ”
นางเฟืองเหลียวมา เห็นหลวงพ่อเดินมาช้าๆ แต่ไกล คนติดตามเดินตามหลังเยื้องๆ กัน กิริยาหลวงพ่อสงบงดงาม แสงสว่างส่องที่องค์พระในขณะที่รอบด้านมืดสลัว
นางเฟืองลงนั่ง...กราบ
หลวงพ่อมองวิญญาณเหล่านั้น แล้วมาหยุดที่นางเฟือง “โยม”
“เจ้าค่ะ” นางเฟืองนั่งก้มหน้า ไม่ค่อยอยากพูดกับพระ
หลวงพ่อทอดสายตาต่ำ มองดูวิญญาณนางเฟือง เห็นแต่ความอาฆาตพยาบาท ห่อหุ้มร่างที่มีแต่วิญญาณของเฟือง เป็นความดำมืด ที่แผ่ปกคลุมทั่วร่างของมัน
หลวงพ่อมองมาด้วยนัยน์ตาแผ่เมตตา “จิตของโยมรุ่มร้อนด้วยแรงอาฆาต กรรมที่จะทำต่อดับความร้อนนั้นไม่ได้ จะเผาผลาญ ไม่เฉพาะดวงวิญญาณของโยมแต่ชีวิตของคนที่โยมรักด้วย”
นางเฟืองนิ่งอั้น หลวงพ่อออกเดินไปอย่างช้า ๆ
ภาพของแม่ลูกที่นั่งเศร้า ผีแม่ไปแทงผีพ่อ เกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งตามบาปกรรมที่ก่อ
ขณะที่หลวงพ่อเดินจนลับตัวไป
เสียงสวดมนต์ยังดังแว่วอยู่ไกลๆ พร้อมๆ กันนั้นร่างนางเฟืองจากรูปกายโปร่งใส เริ่มเห็นชัดเจนขึ้น ใบหน้าก้มต่ำเกือบติดพื้นห้องนอนท่านหญิง มันหอบเหนื่อยจากที่ออกฤทธิ์เมื่อครู่ แลเห็นท่านหญิงหันหลังให้นิ่งเงียบ เหมือนไม่รู้ว่านางเฟืองมาแล้ว
ผีนางเฟืองบิดตัวไปมาเล็กน้อยเหมือนยังเจ็บปวดอยู่ ขณะหมอบติดอยู่กับพื้นห้อง
“ไปไหนมา หญิงเรียกตั้งแต่เมื่อวาน” เสียงท่านหญิงดังขึ้น
นางเฟืองเงยหน้าแต่ยังตอบไม่ได้ เพราะยังเจ็บปวดอยู่
“มาแล้วรึ”
“มังคะ” นางเฟืองเริ่มมีเรี่ยวแรง
ท่านหญิงลุกขึ้นหันมาหา
“เวลาที่หญิงต้องการเฟืองที่สุด ทำไมไม่มา ทีเวลาไม่ต้องการก็มาไม่เป็นเวล่ำเวลา ทำไม...รู้ใช่มั้ยว่าหญิงอยากให้ช่วย ไม่คิดจะช่วยก็เลยไม่มา”
นางเฟืองเงยหน้ามองจ้องท่านหญิง นัยน์ตาเสียใจสุดๆ ในอกปั่นป่วนเหมือนจะแยกสลายไป สีหน้าบิดเบี้ยวเพราะเสียใจ
“จะไปแล้วหรือนั่น”
นางเฟืองคลานไปช้าๆ จนมือไปตกแทบเท้าท่านหญิง แสดงด้วยกิริยาว่ามอบกายถวายชีวิต
“มันคือบุหลัน” ท่านหญิงบอกเสียงเข้ม
นางเฟืองเงยหน้ามอง
“นังบุหลัน...ใช่มันจริงๆ” ท่านหญิงย้ำ
นางเฟืองมองมาสายตาเป็นคำถาม
“มันให้จี้พระนามท่านชายกับลูกสาวมัน เด็กคนนั้นเกิดวันเดียวเดือนเดียว ปีเดียวกับชายเดียว”
นางเฟืองมีสีหน้าตระหนก
“นังบุหลันมันมีลูกฝาแฝด ชายเดียวเป็นพี่น้องฝาแฝดกับนังรุ้ง ไอ้ที่คิดว่ามันตายมันไม่ตาย”
นางเฟืองนิ่งเงียบ
“เฟือง...พูดอะไรออกมามั่ง”
“หม่อมฉันทราบแต่แรกว่ามันคือบุหลัน”
“เอ๊ะ...แล้วทำไมไม่บอกหญิง”
“หม่อมฉันคิดว่ามันไม่ตายด้วยเหตุอะไรก็ไม่ทราบได้ คิดว่ามันไปมีผัว มีลูกผู้หญิงอีกคน ไม่ได้คิดว่านังเด็กรุ้งนั่นเป็นฝาแฝดกับคุณชาย”
“เรื่องฝาแฝดไม่สำคัญ ลูกสาวมัน มันเลี้ยงมา แต่ลูกชายสิ...ชายเดียว....เขาเป็นลูกของหญิงนะ มันจะทวงกลับคืนไปมั้ย..เฟือง” ท่านหญิงกังวลเรื่องชายเดียวมากกว่าอื่นใด
“ถ้ามันจะทวงมันคงจะทวงตั้งนานแล้วนะมังคะ มันรู้มาตั้งนานแล้วว่าคุณชายเป็นลูกมัน”
“แต่ถ้าเกิดมันอยากได้ลูกมันคืนขึ้นมาล่ะ ชายเดียวโตเป็นหนุ่มหน้าตาสะสวยเรียนหมอ มันอาจจะอยากได้คืนให้ตัวมันมีเกียรติขึ้น”
นางเฟืองสีหน้าโหดขึ้น...โหดขึ้น หัวเราะเสียงแหบพร่าในคอ
ท่านหญิงร้องห้าม “เฟือง...แต่อย่าฆ่า...อย่าฆ่ามันนะ”
“เอามันไว้ทำไมมังคะ มันจะกลายเป็นหอกข้างแคร่ของท่านหญิง”
“ไม่ได้...หญิงไม่ยอมให้เฟืองฆ่าใครอีกแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นท่านหญิงจะขจัดมันยังไงมังคะ...ถ้าไม่ฆ่า”
ท่านหญิงนิ่งเงียบ คิดไม่ออก สีหน้าว้าวุ่น
“แต่อย่าให้เขาตาย บาปกรรมหนัก”
“หม่อมฉันบาปหนักอยู่แล้ว จะมีบาปอีกสักครั้ง...ครั้งสุดท้ายจะเป็นไรไปมังคะ”
ท่านหญิงนิ่งคิด
“คุณชายเป็นลูกท่านหญิงตั้งแต่เกิดจนเดี๋ยวนี้...มันจะเอาไปไม่ได้ ข้ามศพหม่อมฉันไปก่อน”
ท่านหญิงมองจ้องนางเฟืองทันที สายตาเหล่นิดๆ ท่าทีขำกับคำพูดผีนางข้าหลวง
“หม่อมฉันทูลอย่างนี้ล่ะมังคะ ข้ามหม่อมฉันก็ข้ามศพไม่ใช่เหรอมังคะ”
นางเฟืองพูดจบ ก็ยิ้มนิดๆ ท่านหญิงเพ่งมอง ใจสับสนไม่รู้เอาไงดี
“มันถึงเวลาแล้วที่นังบุหลันต้องตายจริงๆ”
ท่านหญิงนิ่ง ว้าวุ่นในใจ ความรู้สึกสองฝ่าย ดี-ชั่ว กำลังตีกันอย่างหนัก ร่างนางเฟืองเริ่มจะเลือนลาง
“เดี๋ยว...เฟืองอย่าเพิ่งไป”
“ต้องล่อมันให้มาที่นี่ มันต้องมาตายที่นี่” เสียงนางผีร้ายดังกระหึ่มในคอ
“อย่าเพิ่ง....หญิง”
ร่างนางเฟืองค่อยๆ จางไป
“เฟือง เดี๋ยวกลับมาก่อน...กลับมาก่อน อย่าเพิ่งไป”
ท่านหญิงนั่งนิ่งงัน สับสนและว้าวุ่นหนัก ตัดสินใจไม่ถูก
ด้านรุ้งอาบน้ำเสร็จแล้ว ผ่องมาเคาะประตู ก่อนจะเข้ามา
“คุณรุ้งมาแล้วหรือคะ เปียกฝนใช่มั้ยนั่น เดี๋ยวอิฉันเอายาให้ต้องกินยาก่อนนะคะ กันไว้”
“รุ้งทานแล้วค่ะ”
“อ้อ ลืมไปคุณรุ้งเป็นพยาบาล ท่านหญิงรับสั่งถามหาอยู่ค่ะ”
ท่านหญิงยังนั่งคิด มีเสียงเคาะประตู ท่านหญิงสะดุ้งสุดตัว
รุ้งเปิดประตูเข้ามา “รุ้งมาแล้วมังคะ”
ท่านหญิงนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ถูก
“ให้รุ้งถวายตรวจความดันนะมังคะ” รุ้งถือเครื่องตรวจมาด้วย
“ไม่ต้อง”
รุ้งชะงัก “เอ้อ แต่ว่า...”
“ออกไปก่อน”
รุ้งถือเครื่องตรวจออกมา ด้วยสีหน้างุนงง แล้วเดินช้าๆ จะกลับห้อง หญิงทอแสงขึ้นบันไดมาเร็วๆ หยุดเมื่อเห็นรุ้ง มองหน้าบึ้งตึง ถามเสียงขุ่น
“จะอยู่อีกนานเท่าไหร่”
รุ้งหน้าเฉยทันที ด้วยไม่อยากตอแย
“ถามก็ตอบสิรุ้ง”
“ไม่นานหรอกค่ะคุณหญิง”
“กลับบ้านหรือ เขาไล่ออกมา เขาจะยอมให้กลับเหรอ”
“ไม่ยอมค่ะ”
“อ้าวแล้วไง”
“ก็ไม่ได้กลับบ้านนี่คะ”
“ไปไหน”
“ยังไม่ทราบ”
“พี่ชายเดียวรู้มั้ย”
“ไม่ทราบค่ะ”
“จะบอกรึเปล่า หรือว่าจะไปเลย”
“ต้องบอกเพราะคุณชายเป็นคนพามา”
หญิงทอแสงโมโหอีก “ไม่ต้องย้ำฉันรู้แล้วว่าพี่ชายพามา แต่ถ้าเธอบอกพี่ชายก็แปลว่าเธอไม่ได้จะไปจริง เพราะเธอก็ต้องรู้ว่าพี่ชายไม่ให้เธอไปแน่”
รุ้งนิ่งงันไป ใจคิดว่าจริงด้วย
“ใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ คุณหญิง”
“ต้องอย่าบอกพี่ชาย”
“แต่คุณชายคงตามไปที่โรงพยาบาลแล้วก็รู้อยู่ดี”
“โอ๊ย..หมั่นไส้พูดอยู่นั่นแหละ ไม่รู้จะอวดอ้างไปถึงไหน นี่ชั้นจะบอกให้เธอรู้นะ ว่าถึงยังไงก็ไม่มีใครยอมรับเธอหรอก เธอมันลูกแม่ค้า อย่าหวังเลยว่า รังสิยาจะต้อนรับเธอ”
รุ้งมองหญิงทอแสงนัยน์ตาเยียบเย็น “ฉันไม่เคยหวัง”
“ไม่เชื่อ” หญิงทอแสงสวนทันที “จ้างก็ไม่เชื่อ”
“แต่ตอนนี้กำลังคิดว่า...ถ้าจะหวังก็คงไม่ผิดหวังหรอก”
รุ้งเดินไปทันที
หญิงทอแสงยืนนิ่งอึ้ง ความจริงที่ตัวเองก็รู้ทิ่มแทงใจอย่างแรง มองจ้องตามหลังรุ้งอย่างกลียดชัง
แล้วหันหลัง เดินพรวดๆ จะเข้าห้องตัวเอง
ขณะที่ทอแสงรัศมีเอื้อมมือจับลูกบิดแล้วชะงักเหลียวไปดู ความรู้สึกเหมือนมีคนเรียกให้ไปหา
ครู่ต่อมาทอแสงรัศมียืนอยู่ในห้องๆ หนึ่ง มีนางเฟืองนั่งหมอบ เหมือนเข้าเฝ้าเจ้านาย ฟ้ายังร้องครื่นครันเสียงดังเป็นระยะ แต่ฝนหยุดแล้ว นางเฟืองพูด หญิงทอแสงเป็นฝ่ายฟัง พยักหน้าน้อยๆเข้าใจ
ครู่ต่อมาทอแสงรัศมียืนเคว้งคว้างอยู่ท่ามกลางความเงียบจนวังเวง เห็นชัดว่าสีหน้าเครียดเคร่ง แล้วหญิงทอแสงก็เริ่มออกเดิน เดินขึ้นบันไดช้าๆ เสียงนาฬิกาเรือนใหญ่ตีจนครบ 12 ที เป็นเวลาสองยาม
รุ้งนอนหลับสนิท แล้วฝันไป ในความฝันท่านชายรังสิโยภาส ยืนอยู่หน้าเตียง ร่างกายเหมือนมีแสงเรืองๆ ออกมาพอสังเกตเห็น ราวกับจะบอกเป็นนัยว่าท่านชายอยู่บนสรวงสวรรค์ รุ้งลงจากเตียง ทรุดตัวนั่งหมอบกราบที่เท้าท่านชาย
“ระวังตัว...ระวังตัวนะลูก”
วินาทีนั้นรุ้งลืมตาตื่น สีหน้าฉงนใจ
อ่านต่อหน้า 2
แค้นเสน่หา ตอนที่ 12 (ต่อ)
เช้าวันรุ่งขึ้น รุ้งมาดูอาการท่านหญิงแขไขเจิดจรัสในห้องบรรทม ท่านหญิงเสวยยา นัยน์ตามองรุ้งที่ก้มหน้าก้มตาจัดยาใส่กล่องตลอด อารมณ์ทั้งเกลียด ทั้งเวทนา ทั้งลังเลตัดสินใจไม่ถูก
รุ้งรับถ้วยน้ำที่เสวยเสร็จไปวาง ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ท่านหญิงทำหน้าปกติ
“ท่านหญิงมังคะ”
ท่านหญิงมองเป็นเชิงถามด้วยสีหน้าว่าทำไม
“รุ้งขอ...พระกรุณาเฝ้าท่านชายอีกครั้งมังคะ”
คำพูดนั้นกระแทกเข้าหน้าท่านหญิงเต็มแรง พระทัยเต้นระทึก รู้ดีว่าต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับท่านชายแน่นอน
“ทำไม...ถึงอยากเฝ้าท่านอีก”
“รุ้งฝันถึงท่านมังคะ”
รุ้งกราบพะรูปท่านชายรังสิโยภาส ที่ประดับอยู่ห้องทำงาน เงยหน้ามอง สีหน้าอ่อนโยนมาก ปนกับสงสัย
“ให้หม่อมฉันระวังตัวหรือมังคะ”
รุ้งงุนงง สีหน้าท่านชายในความฝัน ซ้อนกับพระรูปท่านชายตรงหน้า มั่นใจว่าใช่คนเดียวกัน
“เฟือง...” ท่านหญิงระบดระบายกับนางเฟือง ด้วยความรู้สึกกล้ำกลืนความเสียใจลงไปในอก “ท่านมาหาลูกท่าน ท่านไม่เคยมาหาหญิงเลยตั้งแต่ท่านสิ้น ลูกของท่านมาอยู่แค่คืนสองคืนท่านมาหา” แล้วสีหน้าเครียดขึ้นมา “เฟือง...หญิงเป็นคนไร้ค่าสำหรับท่าน...เป็นอย่างนี้ตลอดมา” พูดแล้วต้องกลั้นสะอื้น “ไม่มีแล้ว...หมดแล้วที่เคยรักที่เคยคิดถึง ไม่มี”
เย็นนั้นรุ้งถอดหมวกพยาบาล หยิบชุดธรรมดาที่แขวนไว้จะไปเปลี่ยน
“จะไปไหนเหรอรุ้ง” เกดถาม
“สมหมายที่ห้องบัญชีเขาจะพารุ้งดูห้องเช่า”
“อ๋อ...อือม์ พี่ไปเป็นเพื่อนมั้ย เดี๋ยวแลกเวรกับ...”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่เกด เสร็จแล้วรุ้งจะไปที่ร้าน ไปเก็บของอีกสองสามอย่าง แล้ว...” ทอดถอนใจ “จะได้ไม่ต้องไปอีกเลย”
ขณะเดียวกันที่หน้าร้านสวนอาหารราตรี สำเนียง สำลี อ่อน ยอด สารภี และแนบ ทุกคนนั่งจับเจ่า ไม่มีอะไรทำ โต๊ะเก้าอี้ถูกเก็บรวมกันไว้อีกทางหนึ่ง
ยอดนั่งหน้ามีความทุกข์ยิ่ง สำลีนั่งอยู่อีกทางแต่นัยน์ตาจ้องที่ยอด ยอดเหลือบมาสบตา สำลีหน้าปลอบใจ ทุกคนหันไปมอง สายตาเป็นคำถามทุกคน
“เหงา....ไม่มีอะไรทำ” สำเนียงว่า
“ไปทำกับข้าว” สำลีบอก
“ทำทำไม...จะขายใคร” สำเนียงโต้
“ถามได้...ที่นั่งอยู่เนี่ยยังไม่ได้กินข้าวซักคน”
สารภีเห็นด้วย “นั่นสิ...มิน่าสงสัยว่าทำไมท้องฉันถึงร้องจ๊อก...จ๊อก”
“ถึงกินข้าวเสร็จใหม่ๆ ก็ยังเห็นร้องจ๊อก..จ๊อกเหมือนกัน” อ่อนบอก
“กินได้ตลอดเวลาว่างั้น”
ทุกคนหันมามองสำลีเป็นตาเดียวกัน ชบากะรจนา เดินมา
อ่อนถาม “ชบา รจนา มาทำไม”
“ก็มาทำงาน” ชบาบอก
“ร้านปิดเหรอพี่สำลี” รจนาถาม
“เอ๊า...เค้าพูดกันโครมๆ ว่าร้านปิด หูหนวกรึไง” สารภีเสียงดัง
ชบา รจนา พึมพำว่าไม่รู้เลย
“คิดถึงคุณรุ้ง...” สารภีว่า
ยอดลุกอย่างแรง แล้วเดินไปทันที สำลีขยับตัวจะตาม สำเนียงจับแขนสำลีมั่น สำลีมองแม่ สำเนียงบอกด้วยตาว่า...อย่าไปนะมึง
ยอดเดินเงื่องหงอยมาที่หน้าตึก เป็นทุกข์เหลือเกิน ไม่มีใครช่วยได้ เลี้ยวมุมตึกเจอฉัตต์ยืนมองเขม็ง ยอดหยุดนิ่ง แต่ไม่หนี
“จะไปไหน”
ยอดส่ายหน้านิดๆ
“ไปให้พ้นจากตรงนี้”
ยอดก้มหัวรับคำ หันหลังกลับทันที
“เดี๋ยว”
ยอดหันมา
ฉัตต์จ้องหน้านิ่งๆ ข่มกันด้วยสายตา ยอดหน้านิ่งมาก
“ไม่จำเป็นอย่ามาเพ่นพ่านแถวนี้ พ่อฉันย่าฉันให้แกอยู่บ้านนี้ แต่แกเตรียมตัวไว้วันไหนที่ฉันเป็นเจ้าของ..แกไปหาที่ซุกหัวนอนที่อื่น...” ฉัตต์นิ่งไปอึดใจ “เหมือนเจ้านายแก”
ยอดยืนนิ่ง มองหน้าฉัตต์นัยน์ตาไร้อารมณ์
“ไปได้”
ยอดยังมองหน้าฉัตต์ เหมือนหัวใจจะด้านชาด้วยความทุกข์
ฉัตต์เลือดขึ้นหน้าทันที ปราดเข้าหาเหมือนลูกธนูออกจากแล่ง แรงและเร็ว เข้าเต็มๆ ตรงหน้ายอด..ฮุคขวา ใบหน้ายอดสะบัดไป หันกลับมาอีกทีเลือดกบปาก
ฉัตต์เดินเฉียดไหล่กระแทกไหล่ พูดเบาๆ ใส่หน้า “ไอ้กาฝาก” แล้วเดินเลยไปเลย ยอดยืนนิ่งอึด
พิสินีเข้ามาเร็วๆ “ฉัตต์คะ”
“บัว”
พิสินีเข้ามาชิดตัว จุ๊บเบาๆ แบบธรรมเนียมฝรั่ง คล้องแขนกับแขนฉัตต์ ยอดมองดู แล้วหันหลังเดินกลับไป
“บัวมา...ปรึกษาเรื่องวันแต่งงาน”
ฉัตต์สีหน้านิ่ง ให้เข้าใจว่ากล้ำกลืนความรู้สึก แล้วปรับสีหน้าหันมาหาพิสินี
“ได้สิครับบัวเราจะแต่งงานกันเมื่อไหร่ดี”
สองพี่น้องปยุต และพิสินีอยู่ในบ้านคุยกันเรื่องปัญหาหัวใจที่ส่อเค้าว่าจะต่างคนต่างอกหัก
“แกจะทำยังไงต่อไปยายบัว”
“จะต้องทำอะไร”
“คนที่แกต้องต่อสู้ด้วย ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ”
“บัวรู้ ไม่เคยคิดว่าง่าย”
“คุณพ่อเป็นคนตรง รักษาสัญญาเป็นที่สุด แม้กระทั่งคนตาย”
“บัวก็ลูกคุณพ่อ คุณพ่อตรง บัวก็ตรง ถ้าบัวได้ยินจากปากฉัตต์ว่าเขาจะทำตามที่พ่อเขาคลุมถุงชนผู้หญิงคนนั้น บัวถอย”
“เขารักกันรึเปล่า”
พิสินีถอนใจ “บัวก็อยากรู้เหมือนกัน” แล้วมองพี่ชาย “แต่ถ้าบัวสมหวัง พี่ชายบัวก็สมหวังใช่มั้ย”
“ใช่..พี่ชอบเขามาก...เพราะฉะนั้นพี่อวยพรให้แกสมหวังนะ”
ไม่นานต่อมาที่ห้องโถงบ้านปัณณธร พิสินียังคล้องแขนควงฉัตต์อยู่เมื่อเดินเข้ามาในห้องนั้น แต่สีหน้าเปลี่ยนไป ฉัตต์พาพิสินีไปนั่ง โน้มตัวตรงหน้าจับไหล่สองข้าง มองนัยน์ตา พิสินีก็มอง ใจคิดว่าฉัตต์คงพูดอะไรที่ซาบซึ้งออกมา
“บัวจะดื่มอะไรครับ”
พิสินีถอนใจ ถามเสียงเรียบสนิท “ฉัตต์อยากแต่งงานกับบัวจริงรึเปล่าเนี่ย”
ฉัตต์ยังคงมองนัยน์ตาบัว สีหน้านิ่ง แบบชั่งใจตัวเองอย่างหนัก
“บัวรักคุณมาก คุณต้องการเวลาอีกเท่าไหร่ถึงจะรักบัวเท่ากัน หรือว่าคุณไม่ต้องการเลยเพราะเวลานั้นไม่มีวันมาถึง”
“บัว ผมจะแต่งงานกับคุณ เราต้องไปหาฤกษ์งามยามดีใช่ไหม”
พิสินียังคงอ่านสายตาฉัตต์..ลึกๆ “หรือเราจะไม่ต้องหาฤกษ์”
“คุณพูดมีความหมายสองอย่าง หนึ่งคือแต่งแต่ไม่หาฤกษ์ สองคือไม่หาฤกษ์เพราะไม่แต่ง”
พิสินีนิ่ง
“บัวหมายถึงข้อไหน”
“บัวรักคุณ”
“งั้นเราก็จะแต่งงานกัน”
สองคนเดินออกมาในเงามืดของต้นไม้ใหญ่ พิสินีหันตัวเองเข้าประชิดตัวฉัตต์ โอบแขนไปรอบคอ เงยหน้าขึ้นไปหาแล้วจูบฉัตต์อย่างละมุนละไม
สักครู่พิสินีถอนปากออก แล้วพิสินีก็เดินจากไป “I love you...”
ฉัตต์ดูจะไม่ติดใจในรสจุมพิต เหลียวหน้าไปทางสวนอาหาร
ฉัตต์ยืนพะวงว่ารุ้งจะมารึเปล่า ร้านอาหารปิดแล้ว แต่แล้วฉัตต์ก็เดินพุ่งเข้าไปที่ร้านอาหารสวนราตรีทันที
ที่ร้านอาหารสวนราตรี เป็นเวลาใกล้ค่ำ ยอดเดินกลับเข้ามา เลือดยังเห็นเป็นทางที่มุมปาก
“พี่ยอด” สำลีเห็นสภาพลุกพรวด “ใครทำ”
“สำลี...” สำเนียงคว้าแขนไม่ทัน ตัวคะมำไป “เฮ้ย...หยุดนะเว้ย”
สำลีหันมา “แม่...อย่าห้ามนะ ฉันรักเค้า”
ทุกคนหันมาอ้าปากค้าง ไม่ใช่ตกใจเพราะต่างรู้อยู่แล้ว แต่ตกใจที่สำลีกล้าพูดออกมาตรงๆ
ฉัตต์เดินมาได้ยินพอดี
“สำลี” สำเนียงครางเบาๆ “เอ็งกล้าพูดก่อนเลยเหรอ”
“ไม่กล้าแม่ก็ไม่รู้ซะที”
“ทำไมแม่จะไม่รู้วะ รู้โว้ย รู้แต่ไม่ชอบให้เอ็งมีผัวใบ้”
“ใบ้ไม่ใช่คนเหรอ” สำลีย้อน
“ใช่ แต่เป็นคนใบ้โว๊ย”
“แม่...” สำลีพยายามสะกดใจ พูดด้วยเสียงเรียบ แต่หนักแน่น “แม่ไม่ให้ฉันรักพี่ยอด แต่ฉันรักคนที่รักไม่ได้คนนี้” พลางชี้มาที่ยอดอีก “ฉันรักเขาแล้ว ถึงจะรักเขาไม่ได้แต่ฉันรักแล้ว...ฮือ...ฮือ”
ฉัตต์สะเทือนใจมาก ขณะเหลือบตามอง
ด้านรุ้งยืนอยู่ด้วยสีหน้าสะเทือนใจเช่นกัน ได้ยินทั้งสองคนทะเลาะกัน ยอดกลั้นน้ำตาจนนัยน์ตาแดงก่ำ มองสำลีอย่างดื่มด่ำตื้นตันในหัวใจ
“พี่ยอด...พี่รู้ใช่มั้ย พี่พูดไม่ได้ พี่ก็พยักหน้า”
ยอดพยักหน้ารับรู้
“พี่รักฉันรึเปล่า...พยักหน้าสิ”
ยอดพยักหน้าอีก สำลีนั่งลง น้ำตาไหลพราก ทุกคนอึ้งไปหมด สำเนียงหน้าตาพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ฉัตต์เหลือบไปเห็นรุ้ง กำลังถอยหลังเดินกลับไป
รุ้งเดินหนี ก้าวเดินเร็วๆ ไป รู้สึกสะเทือนใจเหมือนกัน ฉัตต์เดินตาม รุ้งตกใจเมื่อหันมาเห็น
“คุณฉัตต์”
“ไม่มีอะไรให้ขาย มาทำไม”
“มา...หาพวกนั้นค่ะ” ตอนแรกไม่รู้ว่าฉัตต์เห็นตัวเอง
“มีเรื่องอะไรต้องมา ไม่มีอะไรทำ”
“รุ้งขอโทษที่เข้ามาในที่ที่ไม่ควรมา” เสียงควบคุมอารมณ์ได้แล้ว สีหน้าปรับจนเป็นปกติ “ต่อไปจะไม่มาอีกแล้วค่ะ...ขอโทษนะคะ”
“เธอจะมาทำไมในเมื่ออยู่ที่วังเธอมีความสุขดีอยู่ บ้านนี้ไม่มีอะไรเทียบได้”
“รุ้งไม่ได้คิดจะอยู่ที่นั่น เวลานี้กำลังหาห้องเช่า ที่ไหนๆ รุ้งก็อยู่ได้ ลืมแล้วหรือคะว่ารุ้งมายังไง รุ้งมากับแม่กับนายยอดลอยมาตามน้ำเหมือนผักตบชวาที่ลอยมาติดบันไดท่าน้ำบ้านคุณฉัตต์ เหมือนกองสวะที่สกปรกเกะกะสายตา เพราะฉะนั้นรุ้งอยู่ที่ไหนก็ได้ขอให้มีที่ซุกหัวนอนก็พอ”
“หยุดสร้างภาพเสียทีไม่อย่างนั้นเธอจะยอมไปกับชายเดียวทำไม”
“คุณฉัตต์อย่าคิดแทนรุ้ง คุณไม่ใช่รุ้ง..คุณไม่เคยเข้าใจไม่เคยรู้จักรุ้ง”
“ทำไมฉันจะไม่รู้จักเธอ ฉันเห็นเธอมาตั้งแต่เล็ก ฉันโตกว่าเธอมากนะ”
“คุณฉัตต์โตกว่ารุ้ง แต่ใจคุณฉัตต์เล็กกว่ารุ้ง”
ฉัตต์อึ้ง
“แต่รุ้งขอบคุณคุณฉัตต์ที่ไล่รุ้งออกจากบ้าน คุณฉัตต์ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยค่ะ ถูกต้องทุกอย่าง รุ้งทำให้คุณฉัตต์โกรธ รุ้งไม่ควรอยู่ที่นี่อีกต่อไป”
ฉัตต์ยังนิ่ง
“รุ้งขอบคุณเพราะคุณฉัตต์ทำให้รุ้งคิดได้ว่า ควรจะยืนด้วยตัวเองไม่พึ่งใคร นกถึงจะพเนจรมาพักพิงเป็นสุขสบายยังไงมันก็ควรจะไปสร้างรังของตัวเองไม่อย่างนั้นก็จะเป็นกาฝากอยู่ตรงนี้เรื่อยไป คุณฉัตต์เมตตารุ้งมานานมากแล้ว รุ้งคิดถึงบุญคุณเสมอ”
ฉัตต์ได้แต่อึ้ง รุ้งเดินห่างออกไป มองทอดสายตาไปอีกทาง
“แม้แต่ที่คุณฉัตต์ไล่รุ้งออกจากบ้านก็เป็นบุญคุณ”
พูดจบรุ้งไหว้เรียบร้อย แล้วเดินจากไป ฉัตต์ได้แต่ยืนตะลึง
ทางด้านจันทร์ไหว้พระที่มีอยู่องค์เดียวในห้อง บนหิ้งหัวนอน จุดเทียนวับแวม สายตาเป็นกังวลมาก คุณหญิงอยู่ตรงที่นอนกำลังจะนอน มองดูจันทร์ ของเก็บไว้เป็นห่อสองสามห่อ 2 คนเตรียมตัวกลับ ตอนเช้า ผิน ชุลี นอนหันหลังเงียบอีกมุมห้อง จันทร์กราบ
“อยู่สามคืน เหมือนเพิ่งมาเมื่อกี้”
จันทร์ยิ้มอ่อนโยนกับคุณหญิง
“คนเราต้องใช้เวลาซักเท่าไหร่ถึงจะรู้สึกว่าความสงบเนี่ยเป็นความสุข”
คุณหญิงเพ็งพูดเหมือนรำพึงขณะที่ล้มตัวลงนอน
ขณะเดียวกันท่านหญิงแขไขยืนระบายความทุกข์อยู่ต่อหน้าพระรูปท่านชายในห้องทรงหนังสือ
“พี่จะรักหญิงคนเดียว พี่ไม่นิยมชายหลายใจมีเมียหลายคน เราเป็นคนศิวิไลซ์จบจากเมืองนอกที่นั่นเขามีผัวเดียวเมียเดียว หญิงจะไม่ช้ำใจเพราะพี่...ใครพูดเจ้าพี่จำได้มั้ยคะ เจ้าพี่รับสั่งทั้งๆ ที่เจ้าพี่รักกับมันอยู่ แล้วเจ้าพี่ก็เอามันเป็นเมียเอามันมาเหยียบย่ำหัวใจหญิง มันเป็นขี้ข้า เป็นนังคนไม่มีสกุลรุณชาติ เจ้าพี่ยกย่องมัน เพราะอะไร เพราะมันถึงใจกว่าหญิงใช่มั้ย เจ้าพี่ว่าหญิงเย็นชา จืดชืดเจ้าพี่ไม่มีความสุข แล้วมันล่ะ มันขนาดไหน เจ้าพี่ถึงรักถึงหลงมัน รู้องค์มั้ยว่าเจ้าพี่กับมันเหยียบย่ำหัวใจหญิง หญิงทุกข์ทุกวัน ทนเห็นเจ้าพี่กับมันทุกวัน เจ้าพี่มีความสุขกับมันไม่เคยหันมาดูหญิง เจ้าพี่สิ้นหญิงก็ยังทุกข์เพราะหญิงรัก คิดถึงเจ้าพี่ แต่วันนี้หญิงหมดแล้ว...ไม่มีอีกแล้ว เจ้าพี่ตายแล้ว” ทุบหัวใจ “ไม่มีแล้วในนี้มันเคยมี แต่มันไม่มีอีกแล้ว” เสียงท่านหญิงดังขึ้น คำพูดหลั่งไหลพร่างพรูออกมา “หญิงมีแต่เฟืองคนเดียว...คนเดียวเท่านั้นที่เป็นเพื่อนหญิง แล้วเจ้าพี่ก็ฆ่าเฟืองฆ่าเพื่อนคนเดียวในโลกของหญิง เฟืองตายหญิงไม่เคยมีความสุขเลย.... เฟือง...ทำไมเฟืองต้องตาย.....เฟือง”
ด้านหญิงทอแสงยืนอยู่ที่หน้าต่างห้องตัวเอง
ส่วนตรงพุ่มไม้รกๆ ในบริเวณวัง สภาพมืดครื้มไม่สว่างมาก
นางเฟืองจากหมอบ ค่อยๆ เงยขึ้นมา สีหน้าโกรธเกรี้ยวแทนท่านหญิง เหมือนได้ยินที่ท่านหญิงพูดทุกถ้อยคำ
สีหน้าของนางเฟืองเริ่มเกรี้ยวกราด เป็นผีร้ายมากขึ้นตามลำดับ จนสุดกลายสภาพเป็นปีศาจน่าเกลียดน่ากลัว นัยน์ตาอาฆาตแค้น
ภาพจำและน้ำเสียง ของท่านชาย ที่เกรี้ยวกราดตวาด ด่าทอกับนางเฟือง ขว้างปาของใส่ ผุดและผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว เหมือนฝันร้ายตามหลอกหลอน เสียงท่านชายดังซ้อนๆ กันก้องอยู่ในหูของนางเฟือง
สุดท้ายนางเฟืองสะบัดหน้าอย่างแรง ร่างลอยวูบขึ้นไปบนตำหนัก แต่หน้าตากลายเป็นปกติ
อย่างรวดเร็ว หญิงทอแสงยืนมองจ้องมา นางเฟืองมองตาหญิงทอแสงตอบ
ทอแสงรัศมีเหมือนถูกสะกดจ้องมองไปที่นางเฟือง ต่างคนต่างจ้องกัน ในที่สุด ทอแสงก็พยักหน้าช้าๆ ยิ้มลึกล้ำ รับรู้สัญญาณที่นางผีร้ายส่งมา
ส่วนท่านหญิงอ่อนล้าจนหลับไป และฝันร้าย
ในฝันท่านหญิงวิ่งตามจันทร์หรืออดีตหม่อมบุหลันที่เดินหนีด้วยฝีเท้าที่มั่นคง ผ่านคนในครัวที่ยืนเป็นระยะ หน้าแต่ละคนมองท่านหญิงเฉยเมย
“บุหลัน...บุหลัน หยุดก่อน”
บุหลันไม่หยุด เดินไปเรื่อย ๆ ชายเดียวเดินมาอีกทาง จันทร์ยื่นมือชายเดียวจับมือจันทร์แล้วเดินไปด้วยกันท่านหญิงโผล่พรวดเดียวไปตรงหน้าจันทร์
“บุหลัน อย่าพาชายเดียวไป...”
“คุณชายเป็นลูกชยของหม่อมฉันมังคะ” บุหลันย้อน
“แต่ฉันเลี้ยงเขามาตั้งแต่เล็ก”
“แต่หม่อมฉันไม่ได้เลี้ยงหรือมังคะ” บุหลันต่อคำทันที
“ใช่” ท่านหญิงเสียงแผ่ว
“ทำไมหม่อมฉันถึงไม่ได้เลี้ยงคุณชายล่ะมังคะ”
“บุหลัน”
บุหลันสวน “อย่าเสียเวลาอ้อนวอนหม่อมฉันเลยมังคะ ทรงได้ในสิ่งที่ไม่ควรได้มายี่สิบกว่าปีแล้ว ถึงเวลาแล้วมังคะที่อะไรๆ จะถูกต้องอยู่ในที่ในทางเสียที”
ท่านหญิงเริ่มของขึ้น “แกหมายความว่าไง”
“ทรงเข้าใจ...ถามทำไมมังคะ”
“มันเป็นไปไม่ได้ ที่อีขี้ข้าอย่างแกจะเป็นแม่ของหม่อมราชวงศ์ศักดินา...ฝันไปเถอะ”
“แต่อีขี้ข้าคนนี้ก็ท้อง...ท้องคุณชายจนทำให้คนบางคนที่ท้องไม่ได้คลุ้มคลั่งแทบจะเป็นบ้า เพราะท่านชายไม่ทรงร่วมมือ”
ท่านหญิงหวีดเสียงดัง “อีบุหลัน...อีตัวมาร แกบังอาจด่าฉันเชียวรึ...ฉันท้องไม่ได้เพราะแกคนเดียว อีคนหน้าด้านแกแย่งผัวฉันไป แกไม่ละอาย ทำผิดศีลธรรมยังมาลอยหน้าว่าฉัน แกนั่นแหละตายไปแกจะต้องตกนรกไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด”
สีหน้าบุหลันที เยาะหยันเต็มแรง
“หม่อมฉันตายแล้วตกนรก...ท่านหญิงตกนรกทั้ง ๆ ยังไม่ตาย”
ท่านหญิงอึ้งไปอึดใจหนึ่ง แล้วกรี๊ดเสียงดังมาก บุหลันยิ้มสะใจ แล้วพาชายเดียวเดินไป ท่านหญิงเหลียวไปดูบริวาร ทุกคนค่อยๆ หันหลังให้เดินจากไป
“ชายเดียว...ชายเดียวมาหาแม่ อย่าไป ชายเดียว....ลูกจ๋า”
ชายเดียวหยุด...หันมา มองท่านหญิงแล้วยิ้มอ่อนโยน
“ชายเดียวไปกับแม่นะลูก”
“ชายกำลังไปกับแม่แล้วไงคะ”
ท่านหญิงแทบด่าวดิ้น สองคนเดินห่างไป
“ชายเดียว อย่าไป”
ที่บุหลันพูดทั้งหมดล้วนเกิดจากความคิดของท่านหญิงนั่นเอง จากการที่ท่านหญิงพูดกับเฟืองบ่อย ๆ บางถ้อยคำ เป็นจิตใต้สำนึก โดยเฉพาะถ้อยคำที่ด่าว่าบุหลัน
ท่านหญิงจิตตก จนเก็ยมาฝันว่าจันทร์มาทวงชายเดียวไป แม้ท่านหญิงจะอ้อนวอน จันทร์ก็ไม่ยอม ท่านหญิงโกรธจัดตวาดไล่ แต่จันทร์ ก็ยังย้อนยอกและเป็นผู้ชนะ และพาตัวชายเดียวไปได้ในที่สุด
ท่านหญิงละเมอ มือไขว่คว้าหาชายเดียวปากร้องเรียก “ชายเดียว อย่าไปๆ” จนสะดุ้งตื่นอย่างแรงผวา แล้วพุ่งตัวออกจากเตียง เดินก้าวไปเร็วๆ สองสามก้าว แล้วหยุดยืนนิ่ง สีหน้าเคว้งคว้าง
ไม่ต่างจากภาพเมื่อวัยเยาว์ ท่านหญิงตัวน้อยผวาออกมายืน เคว้งคว้างอยู่กลางลานในวังร้องเรยกหา
“เฟือง”
ท่านหญิงแขไขยามนี้ก็เช่นกัน “เฟืองอยู่ไหน”
ท่านหญิงน้อยเอาแต่ร้อง “เฟืองอยู่ไหน”
ท่านหญิงน้อยออกวิ่งวนไปเวียนมา เอื้อมมือไขว่คว้าเรียกหาเฟือง
กระทั่งท่านหญิงเติบโตเป็นสาวรุ่นก็ร้องเรียกหาแต่ “เฟือง...เฟืองอยู่ไหน มาหาหญิงหน่อย” วิ่งวนเวียนไปมาตามหานางข้าหลวง
สุดท้ายท่านหญิงน้อยฟุบลงกับพื้นสนาม ขณะท่านหญิงรุ่นสาวก็ฟุบลงที่สนาม
ทั้งสองค่อยๆ เงยหน้าร้องเรียก “เฟือง” เบา ๆ
ท่านหญิงแขไขเจิดจรัสนึกถึงภาพความทรงจำวันเด็กและวัยสาวรุ่น พร้อมกับที่น้ำตาท่านหญิงค่อยๆ เอ่อขึ้นมาจนเต็มตา
ตามด้วยเสียงสะอื้นละห้อย เป็นเสียงสะอื้นของคนที่อ้างว้างและสิ้นหวัง โดยแท้
ด้านฉัตต์เข้ามาในห้องรุ้งอีกด้วยความอาลัยอาวรณ์ แล้วหลับฝันไป ภาพในความฝันของฉัตต์ เป็นงานแต่งงานของรุ้งและชายเดียว ที่แขกเหรื่อมาครบทุกคน
ฉัตต์ตื่นขึ้นมาตอนรุ่งเช้า พบว่าถือรูปรุ้งอยู่ในมือ โดยไม่รู้ตัวว่านอนกอดรูปรุ้งทั้งคืน ฉัตต์ลุกขึ้นไปที่โต๊ะรุ้ง วางรูปอย่างเบาๆ แล้วมองโต๊ะ ลังเลนิดหน่อย เปิดลิ้นชักโต๊ะ เห็นจดหมายฉบับหนึ่งเขียนไว้ ยังไม่จบ
ฉัตต์อ่านเบาๆ “พี่ฉัตต์ที่รักของน้อง...ที่รักของน้อง”
ฉัตต์ตะกุยมาได้จดหมายอีกหลายฉบับ เซไปนั่งอ่าน ปวดใจมาก
ฉัตต์เดินไปมาอยู่หน้าบ้าน จิตใจระส่ำระสาย เจอยอดยืนนิ่งอยู่ ฉัตต์อึ้งไปเหมือนกัน ยอดกำลังจะไป ฉัตต์เรียกไว้
“เดี๋ยว”
ยอดหยุด
“คอยคุณรุ้ง”
ยอดพยักหน้ารับคำ ฉัตต์นิ่งอยู่สักครู่ แล้วเอ่ยค่อย ๆ
“ฉันก็คอยเขาเหมือนกัน”
ยอดตะลึง ฉัตต์มองตา ย้ำคำด้วยสายตา
ยอดเดินมาสีหน้ายังฉงน แล้วเดินไปนั่ง สีหน้ากลัดกลุ้มเป็นกำลัง ถอนหายใจดัง ๆ มือกุมหัวทั้งสองข้าง ครู่ต่อมามือสำลีเอื้อมมาแตะเบา ๆ ปลอบประโลม ยอดเงยหน้าขึ้นมอง สายตาหมองเศร้า
“ห่วงคุณรุ้งเหรอพี่ยอด”
ยอดอัดอั้นอ้าปากเหมือนจะพูดแล้วรีบหุบปาก พยักหน้าหน้าจ๋อยมาก สำลีมองแล้วสงสารเต็มหัวใจกุมมือยอดไว้
ยอดอารมณ์ขึ้นมา ทำมือว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้ไม่ช่วยอะไรเลย พลางทำท่าพลุ่งพล่าน สีหน้าหมองมาก น้ำตาขึ้นมาคลอ ๆ สำลีอ้าแขนโอบร่างของยอดไว้ ปลอบโยนด้วยภาษากายอย่างเต็มที่ จนยอดค่อยๆ สงบลง ยอดมองหน้าสำลี สำลีเปิดหัวใจหมดเปลือก ยอดโอบร่างสำลีเข้ามาหา สองคนแนบชิดกันอยู่ในเงามืด
ทางด้านจันทร์นอนลืมตามองเพดานอยู่ในมุ้งเดียวกับคุณหญิงเพ็ง
“จันทร์”
“คะ”
“ห่วงบ้านหรือห่วงร้าน หรือรุ้ง”
จันทร์ยิ้ม ไม่อยากให้คุณหญิงเป็นห่วง “ยอดคงดูแลบ้านเรียบร้อยดี”
“รุ้ง”
“รุ้งโตแล้วค่ะ”
คุณหญิงถามเสียงเฉยๆ “จันทร์คิดว่าคุณชายศักดินามาชอบลูกสาวเรามั้ย”
จันทร์ตกใจ แต่พยายามระงับไว้อย่างสุดความสามารถ
“แม่เห็นมาติดพันแต่ท่าทางดูไม่ออก”
“เป็นไปไม่ได้ค่ะคุณแม่ คนที่จะไม่ยอมเด็ดขาดคือท่านแขไข รุ้งเป็นลูกของคนที่ท่านเห็นว่าต่ำต้อย ท่านไม่มียอมให้ไปร่วมวงศ์รังสิยาที่สูงส่งอย่างแน่นอน”
“ท่านหญิงแขไข แม่ดูท่านแปลกนัก ดูไม่ออกว่าดีหรือร้าย”
ท่านหญิงนั่งนิ่งอยู่ต่อหน้าพระรูปท่านชายรังสิโยภาส มองจ้องรูปท่านชายด้วยความแค้น
“เจ้าพี่จะอยู่สวรรค์ชั้นไหนก็ตาม ขอให้รู้องค์ว่าเจ้าพี่ทิ้งความทุกข์อย่างที่สุดไว้กับหญิง ไม่มีอะไรถูกต้องสำหรับหญิงเลย หญิงเลี้ยงลูกชายของเจ้าพี่ เลี้ยงอย่างเหมือนเขาเป็นลูกที่ออกมาจากท้องหญิง แต่หญิงเลี้ยง หญิงรัก หวังฝากผีฝากไข้ไว้กับเขา แม่เขาก็ปรากฏตัว กำลังจะเอาลูกชายของเขากลับไป ได้ยินมั้ยคะเจ้าพี่” เสียงท่านหญิงดังขึ้นเรื่อยๆ “ถึงบุหลันเมียเจ้าพี่มันจะมาเอาลูกมันไป ลูกมันที่หญิงเลี้ยงมาตั้งแต่เกิด รักถนอมเลี้ยงอย่างดี แต่แม่มันที่ควรจะตายไปแล้ว...มันกลับมา...ไม่ตาย ทำไมหญิงต้องเจอะเจออะไรแบบนี้ เจ้าพี่ทรงตอบได้ใช่มั้ยคะว่าเป็นเพราะเจ้าพี่องค์เดียว”
ท่านหญิงนัยน์ตาชอกช้ำสุดขีด แต่ไม่มองนางเฟือง มองจ้องท่านชาย “ตาย...”
“มังคะ มันทำให้ท่านหญิงของเฟืองเหมือนตายทั้งเป็น...ไว้ชีวิตมันไว้ทำไม” นางเฟืองเสริมทันที
“เจ้าพี่...เริ่มต้นที่เจ้าพี่”
“มันด้วย มันไม่ยอมก็ได้มังคะ”
ท่านหญิงนัยน์ตาเหมือนพูดว่า...จริงสิ
“หม่อมฉันจะฆ่ามัน วิธีนี้มังคะ” นางเฟืองบอก
ท่านหญิงประทับองค์เดียวที่หน้ากระจก พยักหน้าน้อยๆ ตลอดเวลาเหมือนได้ยินนางเฟือง
สุดท้ายท่านหญิงจากหลับตาฟังเฟือง ลืมตาฉับพลัน พูดกับตัวเองและหน้านางเฟืองในกระจก
“ฆ่ามัน”
แต่หากมองจากไกลๆ จะเห็นว่าท่านหญิงพูดอยู่องค์เดียว
“ฆ่ามัน”
ตอนกลางวัน นางเฟืองอยู่ในห้องที่เรือนข้าหลวงเก่าของมัน เปล่งเสียงหัวเราะเสียงก้องกระหึ่ม
พอตกตอนกลางคืน ทั่วทั้งวังรังสิยา มีแต่เสียงหัวเราะของนางเฟืองดังก้องกังวาน
อีกวันต่อมา ประตูเปิดออกท่านหญิงซมซานเข้ามา ทอดกายลงบนเตียง ความรู้สึกผิดถูกต่อสู้กันอยู่ภายในใจ
“ฆ่ามัน” ท่านหญิงปิดหูทั้งสองข้าง
“ฆ่ามัน” ท่านหญิงพึมพำอีก “แกต้องตายนังบุหลัน ก็แกเป็นตัวมาร แกแย่งทุกอย่างไปจากฉันคนที่ฉันรักที่สุดในโลกคนหนึ่ง แกก็เอาไปแล้ว ฉันเหลืออยู่คนเดียวแกก็จะเอาไปอีก แกต้องตาย”
ขณะทอแสงรัศมีออกจากห้องตัวเอง เดินหน้าตาหมองคล้ำ แล้วชะงัก เห็นางเฟืองยืนตรงกันข้าม จ้องมา หญิงทอแสงไม่เอ่ยทัก นางเฟืองเดินมาหลีก หญิงทอแสงก้มน้อย ๆ ท่าทางเหมือนข้าหลวงมาถวายงานท่านหญิง
ขณะนางเฟืองเดินผ่านหญิงทอแสง สบตาเต็มแรงเป็นสัญญาณ แล้วนางผีร้ายลจึงลงบันได หญิงทอแสง หันหลังกลับไปทางห้องรุ้ง
เช้าแล้ว หญิงทอแสงเคาะประตู คอยด้วยสีหน้าเหี้ยมโหด เสียงรุ้งเปิดประตู หญิงทอแสงเปลี่ยนหน้าทันที แต่ยิ้มแย้มปกติ
รุ้งเปิดประตูเดินออกมา ปิดประตูแล้วหันมา เห็นหญิงทอแสงยืนรออยู่ รุ้งเดินหลีกไปไม่อยากพูดด้วย
“มีเรื่องให้ช่วยหน่อย เรื่องสำคัญนะรุ้ง ไม่ช่วยหญิงแย่แน่ๆ”
“เรื่องอะไรคะ”
อ่านต่อหน้า 3
แค้นเสน่หา ตอนที่ 12 (ต่อ)
เช้าวันต่อมา ยอดนั่งจับเจ่าหน้าเศร้าอยู่มุมหนึ่งในบ้านปัณณธร สำลีนั่งมองนิ่งนาน ยอดเหลือบมา สบตาสำลียิ้มให้ ยอดหันหน้าไปทางอื่น หน้าบึ้งมากขึ้น
ต่อมาสำลีมานั่งใกล้ “อดข้าว...ไม่นอน...นั่งจับเจ่าทั้งคืน ถ้าล้มไปจะช่วยคุณรุ้งได้ไง”
ยอดจ้องสำลีอยากพูดระบายความอัดอั้นออกมาเหลือเกิน
“คุณรุ้งก็เหมือนกัน เค้าไล่แค่เนี้ย ไม่เห็นต้องไปเลย น่าจะรอคุณจันทร์ก่อน”
ยอดพยักหน้าเห็นด้วยกับสำลี
“แต่อย่างว่า...” สำลีชำเลืองดูว่ายอดสนมั้ย พบว่ายอดยังนั่งเฉยอยู่
“นี่พี่ยอด อยากรู้ก็หันมา ชั้นจะบอกให้ ถ้าชั้นเป็นคุณรุ้งชั้นก็ไป อยู่ๆ มาไล่กันง่ายๆ พี่น่ะจำไว้อย่าไล่ชั้นเด็ดขาด”
ยอดแตะมือสำลีเบา ส่ายหน้าว่าไม่ไล่ สายตาอ่อนโยนขณะมองสำลี
“ไม่ต้องมองแบบนี้ก็รักจะตายอยู่แล้ว” สำลีมองไปบนท้องฟ้า ยอดยิ้มออก มองสำลีรักเต็มหัวใจ
“เออ พี่ยอด ไอ้ชั้นน่ะคิดว่าคุณฉัตต์รักคุณรุ้งซะอีก”
ยอดขมวดคิ้ว สำลีพูดต่อ
“แล้วทำไมจะไปแต่งกับคุณบัวอะไรนั่น”
วันเดียวกันที่ห้องโถงบ้านคุณหลวงวิเศษ หลวงวิเศษ และปยุต แต่งเครื่องแบบนายตำรวจเตรียมไปทำงาน คุณนายนั่งข้างสามี พิสินี ยืนอยู่
“บัวนั่งลง พ่อจะพูดอะไรให้ฟัง”
“คุณพ่อคะ บัวขออนุญาต...”
“ไม่ฟัง?” หลวงวิเศษพูดเสียงเน้นเป็นคำถาม
“ค่ะ คุณพ่อกรุณาเถิดนะคะ บัว...”
คุณนายเห็นท่าไม่ดี รีบเอ่ยขึ้น “บัว...ลูกรัก แต่เรื่องนี้หนูต้องฟังนะลูก เรื่องมันเกี่ยวกับลูกโดยตรง”
กระแตสาวใช้เอาน้ำชา ขนม มาเสิร์ฟ เรียบร้อยแล้วออกไป
พิสินีอัดอั้นในใจ สีหน้าอึดอัดเหลือแสน ปยุตสงสารน้อง เข้ามาโอบไหล่ไว้ ปลอบโยนด้วยกิริยา
“คุณพ่อคะ คุณพ่อจะรักษาสัญญาก็แล้วแต่คุณพ่อนะคะ แต่มันไม่เกี่ยวกับบัว”
“ไม่เกี่ยวได้ไง ในเมื่อฉันจะรักษาสัญญาได้ ก็ต่อเมื่อแกหยุด” หลวงวิเศษสวนคำเสียงกร้าว
“ทำไมบัวต้องหยุด” พิสินีสวนทันทีเช่นกัน
“เพราะถ้าแกหยุด...ถอยออกมา ฉันจะได้จัดการให้เป็นอย่างที่คุณพจน์เขาขอฉันไว้”
“บัวทราบแล้วว่าถ้าบัวถอย คุณพ่อจัดการอย่างที่ว่า แต่บัวถามถึงตัวบัวเองว่าทำไมบัวต้องหยุดในเมื่อฉัตต์รักบัว จะแต่งงานกับบัว บัวไม่ได้ถามถึงผล บัวถามถึงเหตุผลว่าทำไมบัวต้องหยุด” พิสินีขึ้นเสียงเถียง
“บัว...ไม่เอานะลูก ค่อยๆ พูดกับคุณพ่อ” แม่พยายามปราม
“คุณพ่อจะได้ยินหรือคะ ถ้าบัวพูดค่อยๆ” น้ำเสียงพิสินีเยาะหยัน
“คุณพ่อครับ คุณพ่อฟังน้องมั้ยครับ ถ้ายังไงๆ คุณพ่อก็ไม่ฟัง คุณพ่อจะรักษาสัญญา บัวก็ไม่ต้องพูด เพราะว่าเสียเวลา”
“พ่อต้อง...ต้องรักษาสัญญากับคนที่กำลังจะตาย ขอให้เข้าใจตามนี้ด้วยทั้งสามคน” หลวงวิเศษมองลูกทั้งสอง “แกสองคนมีพ่อที่เกิดมาในชีวิตไม่มีอะไรจะสำคัญเท่าคำมั่นสัญญา นั่นคือสิ่งที่พ่อยึดมั่นมาตลอดชีวิตของพ่อ”
“ถ้าบัวจะพูดว่า บัวก็ต้องรักษาสัญญาเหมือนกันล่ะคะ”
“หมายความว่ายังไง” คุณหลวงฉงน
“สัญญากับฉัตต์...ว่าบัวจะแต่งงานกับเขา
คราวนี้พ่อนิ่งไปในทันที แม่กับปยุตก็มองหน้าพ่อ พูดอะไรไม่ออก
“คำว่าสัญญาของบัวก็มีความหมายเท่ากับคำว่าสัญญาของคุณพ่อ” พิสินีย้ำ
“ขอให้หยุดไว้ก่อนได้มั้ยคะ ยังมีเวลาที่จะคิดกันทั้งสองคน” แม่ว่า
“คุณพ่อจะเข้ากรมหรือเปล่าครับ ผมขับรถให้คุณพ่อนะครับ บอกสนิทให้กลับไปได้”
“ปยุต สนิทเขามาคอยตั้งแต่เช้า ให้เขาขับให้คุณพ่อเถอะลูก” คุณนายพูดเบาๆ
“บัว...ที่พ่อให้ฟังพ่อตั้งแต่แรก พ่อยังไม่ได้พูดนะลูก จะฟังมั้ย” หลวงวิเศษเอ่ยขึ้น
ทุกคนเหลียวมามองเป็นตาเดียว
“ค่ะ”
“คุณพจน์บอกกับพ่อ บอกมาก่อนจะขอสัญญาจากพ่อ ว่าคุณพจน์แน่ใจจากที่เฝ้ามองมานานว่ารุ้งรักฉัตต์”
“ฉัตต์ล่ะคะ” พิสินีถามแทบจะทันที
“ฉัตต์ก็รักรุ้ง เขาเป็นผู้ชายเขาดูออก”
ทั้งห้องเงียบไปหมด พิสินีอึ้งไปอึดใจ แล้วไหว้พ่อ
“บัวขอบคุณคุณพ่อ คุณพ่อหวังดีกับบัว บัวทราบแล้วค่ะ แต่...”
ผู้เป็นพ่อสบตากับลูกสาวเต็มแรง สายตารู้ว่าพิสินีจะพูดอะไรต่อไป
“ถ้าฉัตต์รักษาสัญญาของเขา คุณพ่อก็ต้องเสียสัญญากับคุณพจน์” พิสินีลุกขึ้น ยังไม่ยอมแพ้ “บัวจะไปถามฉัตต์เดี๋ยวนี้”
พิสินีออกไปทันที ทุกคนนิ่งอึ้ง หน้าหมกมุ่น
“เอ...มันไม่แคร์เรื่องความรักเลยรึเนี่ย” หลวงวิเศษบ่น
ทุกคนยังนิ่งอีก
“ว่าไง”
“เอาให้รู้แน่ว่ายังรักษาสัญญารึเปล่า เรื่องความรักค่อยคิดอีกที” คุณนายว่า
“เอ๊ะ...แบบนั้นมันผู้ชายคิดนะ เอาตัวมาก่อน หัวใจค่อยตามมา” คุณหลวงบอก
“ผู้หญิงก็คิดได้” คุณนายพูดเบาๆ
“ว่าไงนะ”
“เอ่อ...ก็บัวเป็นลูกพ่อไงคะ”
คุณหลวงมองภรรยาสักครู่ “เอา...” แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ “มันลูกพ่อ ฉันยอมรับ”
ปยุตกับแม่ สองคนเดินมาด้วยกัน สีหน้าโล่งใจขึ้น
“คิดเหมือนผมมั้ยครับคุณแม่”
“ว่า...”
“บัวก็เหมือนทั้งพ่อทั้งแม่แหละ”
แม่หัวเราะชอบใจ “เฮ้ย แต่แม่ไม่เคยสอนแบบคุณพ่อนะ”
“เรียนรู้ทางอ้อม บางทีแข็งแรงกว่ารับรู้ทางตรงนะครับ บัวเห็นคุณแม่ปฏิบัติกับคุณพ่อมาตลอด เขาเรียกดื้อเงียบ”
“วันนี้ไม่มีใครเงียบซักคน” แม่เหน็บ
“ผมไงครับ” สายตาปยุตหมองไป “จำเป็นต้องเงียบ”
แม่ลูบแขนลูกชาย ท่าทีอ่อนโยน “รักเขามากหรือลูก”
“ก็ถูกตาถูกใจครับคุณแม่ เขาน่ารักมาก”
“แม่ก็เชียร์ลูกแม่สิ ทั้งลูกชายลูกสาวนั่นแหละ”
สองคนหัวเราะกันอย่างชื่นบาน
ขณะเดียวกัน บัวขับรถเข้าบ้านปัณณธรมาอย่างแรง ลงรถปิดประตู แล้วเดินอย่างเร็วเข้าบ้าน แต่แล้วต้องตะลึง เมื่อเห็นจริมาเดินออกมาจากในบ้าน สองคนยืนเผชิญหน้ากัน
“คุณริมา...กลับมาแล้วหรือ”
“ที่จริงจะกลับเร็วกว่านี้ เพราะ...” ขณะจริมาพูด นัยน์ตาคมกริบจ้องมองมาที่พิสินี “สังหรณ์ใจว่าทางเมืองไทยคงมีเรื่องยุ่งยากของพี่ฉัตต์”
พิสินีจ้องมองตอบ แต่หน้าบึ้งปนเยาะหยันเล็กๆ
“คุณบัวทราบได้ยังไงว่าริมาจะมาถึงวันนี้”
“ไม่ทราบหรอกค่ะ บัวมาหาฉัตต์ เข้าไปคุยข้างในดีมั้ยคะ”
จริมาทำหน้าเป็นคำถามเล็กๆ อีกฝ่ายเลยงง
“คะ?”
“ริมานึกว่าริมาต้องเป็นคนเชิญคุณบัวเสียอีก” เสียงจริมากลั้วหัวเราะนิดๆ
“ขอโทษนะคะ เผอิญบัวคิดอะไรไกลไปหน่อยค่ะ” คำพูดพิสินีมีความหมายเช่นกัน
“ไม่เป็นไรค่ะ เชิญ” จริมาเน้นเสียงตรงคำท้าย เหมือนจะบอกความเป็นเจ้าของบ้าน
สองคนเดินเข้ามาอีกนิดหนึ่ง
“คุณริมา” สารภีเสียงดังวิ่งเข้ามา “มาเมื่อไหร่คะ”
“เดี๋ยวนี้เอง เข้าบ้านไม่เจอใครซักคน อยู่ไหนกันหมด”
สารภีดึงมือจริมาให้มาใกล้ๆ ตัวเอง “คุณหญิง คุณจันทร์ ไปค้างที่วัด คุณฉัตต์ไม่อยู่ คุณรุ้ง...” เสียง
สารภีเล่าเบาลง
พิสินีมองไป สารภีเล่า จริมายืนนิ่งๆ แต่สีหน้าดูรู้ว่ามีอารมณ์แล้ว แต่พิสินีไม่ได้ยินเสียงสารภี
“เอาล่ะ” จริมาเดินมาหาพิสินี “สารภีเอากระเป๋าริมาไปเก็บ คุณบัวคะเชิญข้างในแต่พี่ฉัตต์ไม่อยู่นะคะ”
“งั้นไม่เป็นไรบัวไม่เข้า มาบ่อยค่ะไม่ต้องมีพิธีรีตอง อ้อ บัวจะบอกว่า “เรื่องนั้น” ฉัตต์โกรธมากนะคะ”
“ริมาไม่แคร์พี่ฉัตต์แล้ว เพราะพี่ชายริมาเป็นคนเกเร... ใครๆก็รู้กันทั่วอาจจะยกเว้น...บางคน”
สีหน้าพิสินีขุ่นมัวทันควัน รู้ว่าถูกพูดกระทบ
“ที่กลับมาไม่ใช่เพราะห่วงพี่ฉัตต์ เพราะเรื่องนั้นเราอธิบายได้ แต่ริมาไม่อยากให้พี่ชายของริมาทำอะไรๆที่ไม่ถูกต้องอีก”
“อย่างเช่น... ไล่คนออกจากบ้าน” พิสินีต่อให้
จริมายิ้มเยาะ “พี่ฉัตต์กล้าทำแล้วคอยดูผลแล้วกัน”
“ทำไมจะกล้าไม่ได้ ในเมื่อฉัตต์เป็นเจ้าของบ้าน”
“ใครบอกคุณบัวว่าพี่ฉัตต์เป็นเจ้าของบ้าน”
“ทำไมคุณริมาพูดอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่ฉัตต์แล้วจะเป็นใคร”
“คุณพ่อมีลูกสองคน พี่ฉัตต์หรือคนที่จะมาเกี่ยวข้องกับพี่ฉัตต์ก็ต้องรับรู้อยู่แล้ว ส่วนของพี่ฉัตต์จะให้ใครมาอยู่ริมาไม่เกี่ยว แต่ส่วนของริมาพี่ฉัตต์ไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่าย”
พิสินีอึ้งไปนิดก่อนโต้กลับ “ถ้าบัวจะเกี่ยว ก็เกี่ยวเฉพาะส่วนของฉัตต์ล่ะค่ะ”
“อ๋อ...เหรอคะ”
“ใช่ค่ะ บัวเลี่ยงไม่ได้เสียด้วย”
จริมามีสีหน้าฉงน
“หลังจากแต่งงานกับฉัตต์ บัวก็ต้องมาเป็นแม่บ้านที่นี่”
“แต่งงาน!” จริมางงนิดๆ
“ใช่ค่ะ ฉัตต์ขอบัวแต่งงานแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าบัวจะนั่งรอฉัตต์ ในส่วนที่เป็นของฉัตต์ คุณริมาก็คงไม่ขัดข้องใช่มั้ยคะ”
จริมาลูกขึ้นยืน “ตามสบายค่ะ สารภี...จัดน้ำกับ...” หันไปดูนาฬิกา “เที่ยงจัดอาหารกลางวันด้วย พี่ฉัตต์มาค่อยขึ้นไปบอกริมา” หันมายิ้มนิดๆ ให้แขกพี่ชาย แล้วค่อยเดินออกไป
“เธอ คุณฉัตต์ไปไหนไม่ได้บอกหรือ” พิสินีถาม
“หนูนึกว่าจะบอกคุณ ไม่ได้บอกหรือคะ” สารภีตอบ พิสินีหน้าชากับเสียงเรียบๆ นั้น
ฉัตต์เดินมาเรื่อยๆ ในโรงพยาบาล ความรู้สึกตอนนี้สับสน ว้าวุ่น ด้วยได้อ่านจดหมายที่รุ้งเขียนค้างไว้ เป็นจดหมายที่รุ้งเขียนถึงเขาแทนจริมา
ภาพในคิดของฉัตต์ เห็นกระดาษจดหมายที่ขึ้นต้นว่า “พี่ฉัตต์ที่รักของน้อง” และบรรทัดต่อไปมีข้อความอีกนิดหน่อย
ภาพนั้นแวบเข้ามาในหัว ฉัตต์เดินถึงหน้าตึก หยุดคิด ทอดถอนใจ รุ้งเดินลงมาพอดี ฉัตต์ขยับเข้าไป จนใกส้รุ้งก็ไม่เห็น ด้วยก้มหน้าก้มตาเดิน
“รุ้ง”
“คุณฉัตต์” รุ้งถอยนิดอย่างตกใจ
“จะไปไหน”
รุ้งไหว้ “คุณฉัตต์มาเยี่ยมใครเหรอคะ”
“มาหาเธอ อยากคุยอะไรด้วยหน่อย”
“คุยหรือคะ” ในความฉงน สายตารุ้ง ดูหวั่นๆ ขึ้นมาหน่อยๆ
“ไม่ต้องกลัว” ฉัตต์มองนิ่ง สายตาลึกซึ้ง
รุ้งสบตานิ่ง ใจสั่นสะท้าน มีอะไรบางอย่างในสายตาฉัตต์ที่ทำให้หวั่นไหว “คุย...ที่ไหน”
“เขยิบไปทางโน้น”
ฉัตต์ชี้ไปมุมหนึ่ง
ไม่นานต่อมาสองคนเดินไปตรงสวนสวย ต้นไม้ร่มครึ้ม รื่นรมย์ ด้วยแสงที่นุ่มนวล ฉัตต์หันมาอย่างเร็ว จนรุ้งที่ตามมาหยุดแทบไม่ทัน เซไปนิดหน่อย ฉัตต์จับแขนให้ยืนมั่นคงขึ้น แต่ยังไม่ปล่อยแขน
“เอ่อ..”
“ฉันมีเรื่องจะถาม...” พอเห็นสายตารุ้ง จึงรีบปล่อยแขน
“ขอบคุณค่ะ”
“ขอให้ตอบความจริง”
“ค่ะ”
“เธอเขียนจดหมายถึงฉัน แทนริมาใช่มั้ย”
รุ้งตกตะลึง ฉัตต์คาดคั้น
“ใช่มั้ย”
“ทำไมคุณฉัตต์รู้”
“ฉันไม่ใช่คนโง่มั้ง”
รุ้งนัยน์ตาตก
“ทำไม”
“ริมาเรียนหนัก การบ้านก็เยอะ รุ้งแค่ช่วยแต่ริมาบอกให้เขียนนะคะ”
ฉัตต์หยิบจดหมายมาอ่าน “พี่ฉัตต์ที่รักของน้อง” พร้อมกับจ้องหน้ารุ้งนิ่งๆ
รุ้งหลบตา มองไปทางอื่น ฉัตต์อ่านต่อ
“ได้จดหมายพี่ฉัตต์แล้วรีบตอบทันที เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมตอบจดหมายช้า น้องเป็นห่วงกลัวพี่ฉัตต์ไม่สบาย อยู่คนเดียวใครจะดูแลหา ให้รับประทาน ผ้าพันคอที่น้องส่งมา...” ฉัตต์หยิบผ้าถักไหมพรมออกมา “ต้องพันคอให้อุ่นทุกวันนะคะ อย่าให้เป็นหวัดเพราะพี่ฉัตต์เป็นหวัดทีไรหายช้าทุกที”
รุ้งหน้าร้อนผ่าวไปทั้งหน้า
“ใครถักผ้าพันคอนี้”
“รุ้งถักค่ะ”
ฉัตต์จ้องรุ้ง สายตาบอกทุกสิ่ง รุ้งสบตาแล้วหลบวูบลง ฉัตต์หยิบผ้าพันคอ แล้วพันช้าๆ นัยน์ตายังจ้องจับอยู่ที่รุ้ง
“ผ้าผืนนี้ไม่เคยห่างตัว”
รุ้งพยักหน้าไม่กล้าสบตา
“อยู่สบายมั้ยที่วังรังสิยา”
“ค่ะ...อยู่สบาย...แบบรุ้ง”
นัยน์ตาฉัตต์เป็นคำถาม
รุ้งฮิบาย “รุ้งหมายความว่า รุ้งไม่ได้ต้องการความสบายมากมาย อีกไม่ช้าหาห้องเช่าได้ก็คง
ออกจากวัง ไม่ทราบว่าแม่จันทร์จะมาอยู่กับรุ้งหรือเปล่า แต่รุ้งจะบอกแม่จันทร์ให้อยู่ดูแลคุณย่า รุ้งดูแลตัวเองได้”
“ฉันเป็นห่วง... อยากให้กลับไปอยู่กับริมา ริมากลับมาจะได้มีเพื่อน”
รุ้งยิ้มเศร้าๆ แต่ไม่ตอบ ส่ายหน้านิดๆ
“กลับได้มั้ย”
“ไม่ค่ะ รุ้งขอโทษคุณฉัตต์” รุ้งไหว้
“เอาอย่างนี้ ฉันแต่งงานเมื่อไหร่จะย้ายไปอยู่ที่อื่น ยกบ้านให้...” ฉัตต์ชะงัก เห็นสายตารุ้ง ใจหายวาบ
“คุณฉัตต์จะแต่งงานหรือคะ”
ฉัตต์นิ่งอึ้ง รุ้งไม่รอฟังคำตอบ เดินจากไปเงียบๆ ฉัตต์เหมือนจะตาม แต่ต้องหยุดตัวเองไว้
ด้านทอแสงรัศมีเดินดุ่มๆ จ้ำๆ ไปอย่างรวดเร็ว ลัดเลาะไปแล้วเลี้ยวมุมหนึ่ง ตรงบริเวณข้างหน้ารกทึบ หญิงทอแสงบุก ปาดกิ่งไม้ไปมาโดยไม่กลัวเจ็บ แล้วมาหยุดกึก ที่รกๆ หน้าเรือนข้าหลวง
มองจากที่ไกลๆ เห็นเป็นเงาดำมืดว่าทอแสงยืนพูดอยู่กับนางเฟือง แต่ยืนอยู่ข้างล่าง แหงนหน้าพูดกับนางเฟือง
ซึ่งนางเฟืองขณะนั้นตัวสูงใหญ่ ดูขลัง และมีอำนาจออกคำสั่งด้วยเสียงแหบพร่า ดังมาแต่ไกล
“พามันมาที่นี่...ที่นี่”
ส่วนท่านหญิงแขไขเดินมาหยุดยืนที่หัวบันได สีหน้าเฉยชาเคร่งขรึม ความเจ็บช้ำโกรธแค้นอยู่ลึกๆ
ที่โต๊ะเก้าอี้รับแขกในโถงข้างล่าง ท่านชายวรจักร ท่านหญิงเล็ก และท่านหญิงปั้น นั่งคุยกันเบาๆ ท่าทางวิตกกังวลเล็กๆ 3 คนยังไม่เห็นท่านหญิง
“ต้องรับกลับไปวันนี้เลย พี่ยืนยันนะหญิงเล็ก” ท่านชายวรจักรเอ่ยขึ้น
“ถ้าหญิงทอแสงไม่ยอมกลับหล่ะคะเจ้าพี่” ท่านหญิงเล็กว่า
“เธออย่าพูดให้ท้ายลูกไปล่วงหน้า หญิงเล็ก” ท่านหญิงปั้นหงุดหงิด
“พี่หญิงคะ เล็กต้องพูด เพราะทุกครั้งเจ้าพี่วรจักรสั่งอย่างนี้ หญิงก็ทำตามรับสั่ง และทุกครั้งที่หญิงทอแสงดื้อไม่ยอมทำตาม เจ้าพี่วรจักร เจ้าพี่นั่นแหละค่ะเปลี่ยนคำสั่งยอมทอแสง แล้วสุดท้ายหญิงทอแสงก็มาโกรธแม่หาว่าขัดขวาง องค์ท่านพ่อลอยตัวไม่ผิดอะไรเลย”
ทั้งห้องเงียบกันไปอึดใจ ท่านชายวรจักรกระแทกแก้วน้ำที่ดื่มอยู่บนโต๊ะอย่างแรง
“ชายวรจักร กิริยาไม่ดีเลย พี่นั่งอยู่ตรงนี้นะ” ท่านหญิงปั้นต่อว่าน้องชาย
“ประทานอภัยหม่อม ทรงเตือนหญิงเล็กด้วยนะหม่อม”
“หญิงเล็กพูดตามความจริงรึเปล่าล่ะ ฉันเป็นพี่สาวเธอนะ ทำไมฉันจะไม่รู้จักเธอ”
“ก็ต้องทรงรู้จักหญิงเล็กเหมือนกันหม่อม”
“ฉันรู้จักทุกคนนั่นแหละ ทั้งหญิงเล็ก ทั้งเธอ ทั้งหญิงทอแสง” ท่านหญิงปั้นกวาดตามอง “ฉันรู้ว่าเหตุการณ์จะเป็นเหมือนที่หญิงเล็กเขาเดาไว้นั่นแหละ ที่ไม่รู้ว่าเขาจะว่ายังไงก็เห็นจะมีคนเดียว...หญิงแขไข”
คราวนี้เงียบงันกันไปอีก เสียงท่านหญิงแขไขดังขึ้น
“หญิงขัดข้องค่ะ พี่หญิง”
ทั้งหมดเหลียวขึ้นไปดู
ท่านหญิงแขไขเดินลงบันไดมาช้าๆ มาไหว้ท่านหญิงปั้น และรับไหว้ชายวรจักรกับท่านหญิงเล็ก
“หญิงแขไข ได้ยินหมดแล้วสิ” ท่านหญิงปั้นถาม
“ได้ยินแล้วค่ะ”
“หญิงเล็ก บอกพี่หญิงของเธอไป พี่แค่มาสังเกตการณ์” ท่านหญิงปั้นหันมาทางท่านหญิงแขไข “พี่เองนั่นแหละบอกกับหญิงเล็กว่ามารับลูกกลับไปได้ ทอแสงมาอยู่ที่นี่นานเกินไป ควรจะกลับไปจัดการเรื่องเรียนเสียที”
“คะ พี่หญิงแขไขคะ อย่างที่พี่หญิงบอกน่ะคะ”
“เธอบอกหญิงทอแสงหรือยังหญิงเล็ก”
“ยังคะ ไม่ได้พบเลยอยู่มั้ยคะ”
“อยู่ เขาก็ไม่ไปไหน เขาบอกจะมาดูแลป้าเขาก็อยู่กับป้าตลอดเวลา”
“มาแล้ว...หญิงทอแสง” ท่านชายวรจักรหันไปเห็น
หญิงทอแสงเดินเข้ามาอย่างปราดเปรียวว่องไว ยิ้มแย้มไม่มีผิดปกติ บังคมทุกๆ คน “มารับหญิงใช่มั้ยคะ หญิงไม่กลับคะ”
อึ้งกันไปอีก
“เออ... ให้มันได้อย่างนี้สิน่า หญิงทอแสง ป้าว่าให้นุ่มนวลหน่อยดีมั้ย”
หญิงทอแสงบอกทันที “คะ ท่านป้า” เสียงมังอยู่ในคอ “หญิงขอประทานอภัย”
“หญิง ท่านป้าเด็จมาด้วยองค์เอง ท่านเป็นห่วง ลำพังพ่อแม่ทัดทานหญิงไม่ได้ หญิงฟังท่านป้ารับสั่งหน่อยนะลูก” ท่านชายวรจักรว่า
“แต่คำตอบเหมือนเดิมนะคะ หญิงไม่กลับ”
“จะอยู่ทำไมล่ะ กลับบ้านเราเถอะ”
หญิงทอแสงนิ่ง แต่สีหน้าดื้อดึง
“พี่ชายเดียวเขาพาคนมาอยู่ที่นี่ หญิงจะอยู่ทำไม” ท่านหญิงเล็กเอ่ยขึ้น
“เอ๊ะ ท่านแม่คะ นั่นมันเรื่องของพี่ชายเดียว ไม่เกี่ยวกับหญิง”
“ทำไมจะไม่เกี่ยว แม่จะบอกให้ว่าหญิงควรจะประเมินตัวเองได้แล้วว่า ควรอยู่ต่อไปมั้ย ในเมื่อท่านป้าเจ้าของวังหันไปเอาใครก็ไม่รู้มายกย่อง”
หญิงทอแสงขยับจะพูด ถูกท่านหญิงแขไขยกมือห้าม
“เดี๋ยว หญิงเล็ก เธอหมายความว่ายังไง”
“พี่หญิงเข้าใจแล้วไม่น่าทำไขสือ” ท่านหญิงเล็กจงใจเหน็บพี่สาวว่า ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“หญิงเล็ก เกรงใจฉันมั่ง ขอโทษนะคะพี่หญิงปั้น ถ้าพูดจาไม่เกรงใจกันอย่างนี้ก็ไม่ต้องพูดกัน... ฉันไม่ต้อนรับเธอ”
“พี่หญิงเป็นเจ้าของวังจะทำยังไงก็ได้ จะไล่ใครซึ่งๆ หน้าอย่างนี้ได้เสมอเหมือนตอนเราเป็นเด็ก พี่หญิงไล่หญิงออกจากห้องทั้งๆ ที่หญิงขอไปเล่นกับพี่หญิงแต่พี่หญิงไม่ให้เล่น โรงเรียนเลิกพี่หญิงก็ไล่หญิงลงจากรถเพราะไม่พอพระทัยที่เล็กมีเพื่อนมาส่งเยอะแยะแต่พี่หญิงน่ะไม่มีเลย ของใช้อะไรพี่หญิงอยากได้ เด็จพ่อซื้อมาฝากเราสองคน พี่หญิงก็เอาไปหมด เพราะอะไร เพราะพี่หญิงเป็นลูกเมียหลวงของเด็จพ่อ แต่หญิงเป็นลูกเมียน้อยใช่มั้ย”
หญิงแขไขพูดแทบเป็นตวาด “หยุดนะ”
ขณะเดียวกันนางเฟืองอยู่ที่ห้องตัวเองในเรือนข้าหลวง ได้ยินทุกอย่าง
“ไปกันใหญ่แล้ว”
“กลับเถอะ” ท่านชายวรจักรเอ่ยขึ้น
“ถ้าเธอไม่หยุด ฉันพูดมั่งแล้วเธอจะเสียใจ”
“หญิงไม่เสียใจ หญิงเก็บมานานแล้ว พี่หญิงใจร้าย เห็นแก่ตัว ไม่ยุติธรรมกับน้อง นี่ถ้าหญิงไม่ได้แต่งงาน หญิงก็ไม่มีวังอยู่ เพราะพี่หญิงเอาไปองค์เดียวหมดทุกอย่าง ลูกอีเมียน้อยอย่างหญิงแทบจะไม่ได้อะไรเลย”
ท่านหญิงแขไขคำรามในคอ “บอกให้หยุด”
นางเฟืองฟังอยู่ที่ห้องตัวเอง
“หญิงไม่หยุด ทุกอย่างเป็นความจริง จะบอกให้นะเจ้าพี่รังสิโยภาสน่ะ
เบื่อพี่หญิงเป็นที่สุด ถึงได้ไปเอานังบุหลันมาเป็นเมีย
“หยุด” ท่านหญิงแขไขเสียงดังขึ้นอีก
นางเฟืองมีสีหน้ากราดเกรี้ยวสุดขีด
“ทูนหัวของเฟือง ยืนให้เขาว่าทำไม ตบมันเข้าไปเปรี้ยงหนึ่งสิมังคะ”
ท่านหญิงแขไขเงื้อมือแล้วตบเปรี้ยง ท่านหญิงเล็กกระเด็นด้วยแรงโทสะ
ท่านชายวรจักร ท่านหญิงปั้นตกใจ ลุกขึ้น วรจักรโกรธด้วย ร้องเสียงดัง
“พี่หญิงทำเกินไปแล้วนะหม่อม”
ท่านหญิงปั้นเองก็ไม่พอใจ “ทำไมต้องถึงกับตบตี หญิงแขไขสงบอารมณ์หน่อยได้มั้ย”
ปีศาจนางเฟืองวูบออกจากห้องถึงพอดี
“ไม่ต้องห้าม วันนี้ขาดกันไม่มีคำว่าพี่น้อง ถ้าฉันตายไปฉันจะไปเฝ้าเจ้าพี่รังสิโยภาส ทูลท่านว่าดีใจด้วยที่ท่านสิ้นไปก่อน”
นางผีร้ายพุ่งเข้ามาพร้อมกับกางมือร่อนไปหาขึ้นเกาะหลังท่านหญิงเล็ก แล้วกัดเข้าไปที่คอหอย แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีเลือด ไม่มีน้ำตา
ท่านหญิงเล็กเอามือปัดนิดๆ หน่อยๆ รู้สึกแค่ว่ามีอะไรมาวอแวที่หัวไหล่ นางเฟืองปล่อยปาก จากคอ แต่ตัวยังเกาะอยู่ ส่งเสียงขู่ฟ่อ ท่านชายวรจักรเข้าไปดึงแขนท่านหญิงแขไขเหวี่ยงไปฟุบอยู่อีกทาง ตัวเองเข้าประคองท่านหญิงเล็ก
“พาหญิงเล็กกลับ หญิงแขไขพี่จะพาทอแสงไปด้วย” ท่านหญิงปั้นบอก
“ไม่ได้คะ ทอแสงต้องอยู่ที่นี่” ท่านหญิงแขไขบอก
“หญิงไม่กลับ” หญิงทอแสงยืนยัน
“กลับเดี๋ยวนี้นะทอแสง อยู่ไปก็ไม่ได้อย่างที่หวังหรอก ท่านป้าของเธอเป็นคนใจร้ายไม่อยากเห็นใครมีความสุข ใครๆ ก็อยู่ด้วยไม่ได้ ชายเดียวถึงต้องไปเรียนหมอจะได้ไปอยู่หอ ทั้งชาติท่านป้าของเธอมีเพื่อนอยู่คนเดียวคือ นังเฟือง มันยังอยู่ ไม่ได้ชิงตายเป็นผีตายโหงไปแล้ว”
คราวนี้ท่านหญิงแขไขกรี๊ดสุดเสียง
ส่วนนางเฟืองน่ะหรือ บัดนี้หน้าตาดุร้าย กลายเป็นปีศาจโดยสมบูรณ์แบบ พรวดเข้าประจันหน้าท่านหญิงเล็กจังๆ และหญิงเล็กก็เห็นเต็มๆ เหมือนกัน ร้องวี้ดสุดเสียง แล้วผลักไสปัดป้อง ทุกคนต่างตกใจมอง เห็นภาพหญิงเล็กปัดป้อง แต่ไม่มีใครไม่เห็นนางเฟือง
มีท่านหญิงแขไข ที่ยิ้มลึกในหน้า อย่างสะใจ
ทุกคนพยายามเข้ามาหาท่านหญิงเล็กจะช่วย แต่ปีศาจนางเฟือง ทั้งลาก ทั้งเหวี่ยงหญิงเล็กออกไป
แต่ที่ทุกคนเห็นเป็นท่านหญิงเล็กถลันออกไปด้วยตัวเอง แล้วล้มลุกคลุกคลาน กระเสือกกระสนจนในที่สุด นางเฟืองวูบออกไปอย่างเร็ว โดยหิ้วหญิงเล็กลอยขึ้นไป แล้วปล่อยร่างหญิงเล็กฟุบลงกับพื้นก่อนที่นางผีร้ายจะวูบออกไป
จากนั้นทุกอย่างนิ่งสนิท ทุกคนช็อก เหมือนฝันร้าย หญิงแขไขยังยืนมองดูนิ่งๆ
“พี่หญิงแขไข... อะไรกันเนี่ย”
ท่านหญิงแขไขไม่ตอบ หันหลังกลับเดินขึ้นบันไดไปอย่างช้าๆ
ทุกคนยืนนิ่ง แล้วท่านชายวรจักรก็เข้าไป โอบอุ้มท่านหญิงเล็ก ที่ร่างกายสะบักสะบอม บอบช้ำไปทั้งตัว มีเลือดซึมตามมุมปาก และที่จมูก หน้าตาเยินไปหมด
“หญิงเล็ก...โธ่ หญิงเล็ก”
“ชายวรจักร พาหญิงเล็กกลับ แล้วคงไม่ต้องมาที่นี่อีก”
“กระหม่อม” ท่านชายวรจักอุ้มเมียขึ้น
ท่านหญิงปั้นหันมาทางหลาน “หญิงทอแสง กลับกับป้านะลูก”
หญิงทอแสงหันหลังกลับ เดินตามท่านป้าขึ้นบันไดไป ท่านหญิงแขไขที่เดินเกือบถึงชั้นบน หันมายื่นมือให้หญิงทอแสงจับ แล้วสองคนก็หายลับไป
ท่านหญิงปั้น ท่านชายวรจักรซึ่งอุ้มท่านหญิงเล็กอยู่ แหงนมองสองคนในอาการตะลึงงัน ช็อกสุดขีด
อ่านต่อหน้า 4 เวลา 17.00 น.
แค้นเสน่หา ตอนที่ 12 (ต่อ)
ฉัตต์ยืนนิ่งที่ประตูทางเข้าตัวบ้าน สีหน้ายามนี้หมองจัด เสียงของรุ้งที่ถามดังขึ้นมาหลอกหลอน
“คุณฉัตต์จะแต่งงานแล้วหรือคะ”
ฉัตต์นิ่งงัน หน้าหมองเหลือแสน...ไปไม่เป็น
เสียงถามของรุ้งดังซ้ำขึ้นอีก “จะแต่งงานแล้วหรือคะ”
สีหน้าฉัตต์ยิ่งหมองลงไปอีก
“แต่งงานแล้วหรือคะ… แต่งงานแล้วหรือคะ”
กลายเป็นเสียงเอคโค่ของรุ้งซ้อนๆ กัน อยู่ในโสตประสาทของฉัตต์ซ้ำไปซ้ำมาๆ ฉัตต์ยื่นมือกดขมับสองข้าง จู่ๆ มือพิสินีแตะที่มือฉัตต์ จนฉัตต์สะดุ้ง
“บัว”
“บัวมาตั้งนานแล้ว ฉัตต์ไปไหนมาคะ”
“มีธุระอะไรหรือเปล่า หรือแค่เป็นห่วง”
“ไม่มี... บัวแค่คิดถึง”
“ขอบคุณมากครับ บัวได้ทานอะไรบ้างรึยัง” ฉัตต์ขยับตัวพาบัวเดินเข้าในห้อง
“ไม่ต้องห่วง น้องสาวฉัตต์เป็นคนสั่งเอง”
“น้องสาวผม... จริมาหรือ”
“ค่ะ กลับมาแล้วตั้งแต่เช้า เราคุยกันนิดหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นริมาก็รู้เรื่องรุ้งแล้ว”
เสียงคุ้นหูของจริมาดังขึ้น “ค่ะ...ทราบแล้ว”
ฉัตต์หันไปดู จริมายืนมองเข้าไป นัยน์ตาเยือกเย็น ท่าทีห่างเหิน ฉัตต์เดินเข้าไปหา แต่จริมาถอยหนีออกไปทันควัน ฉัตต์จำต้องหยุดชะงัก
“น้องมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่”
จริมามองฉัตต์ด้วยแววตาผิดหวัง และน้อยใจ โกรธด้วย
“ตัวเล็กทำอะไรถึงขนาดต้องไล่”
ฉัตต์อึ้ง
ความรู้สึกค้างคาใจของจริมาพร่างพรูออกมา “พี่ฉัตต์มีสิทธิ์จะโกรธเราเรื่องคุณพ่อ แต่ไม่มีสิทธิ์ไล่รุ้งออกจากบ้าน ใจคอพี่ฉัตต์ทำด้วยอะไร รุ้งเป็นน้องเราจำไม่ได้แล้วเหรอ คุณพ่อสั่งอยู่ตลอดเวลาว่าเรามีกันอยู่สามคนให้รักกันมากๆ เราไม่บอกเรื่องคุณพ่อไม่ใช่ความผิดของรุ้ง พวกเราทุกคนแม้แต่คุณย่าก็ต้องรับคำสั่งคุณพ่อ คุณพ่อรู้ว่าพี่ฉัตต์จะทำยังไงถึงสั่งอย่างนั้น พี่จะไม่กลับไปเรียนต่อ พี่จะคิดว่าเป็นหัวหน้าครอบครัวต้องรับผิดชอบ คุณพ่อกลัวพี่ฉัตต์เรียนไม่จบอย่างที่สุด เพราะความรู้ครึ่งๆ กลางๆทำอะไรก็ไม่ได้ คุณพ่อท่านเดาถูกจริงๆ แล้วพอพี่ฉัตต์ต่อต้านใครไม่ได้ก็ไปลงที่รุ้ง ตั้งแต่เด็กมาแล้ว ทำอะไรใครไม่ได้รุ้งต้องเป็นคนรับกรรม ทำไมคะเพราะเค้าไม่มีหัวนอนปลายเท้าหรือ”
ฉัตต์ครวญ “ริมา”
“เสียดายที่น้องกลับมาช้าไป ถ้าวันนั้นริมาอยู่ด้วย ริมาจะ” เสียงจริมาสะอึกนิดๆ น้ำตารื้นขึ้นมาแล้ว “ริมาจะไปกับรุ้ง ให้พี่ฉัตต์เสวยสุขอยู่กับ” พร้อมกับมองไปที่พิสินี “แล้วตอบคำถามคุณย่ากับคุณน้าแล้วกัน”
“จะฟังพี่บ้างมั้ยริมา”
“น้องไม่อยากฟังคำแก้ตัว”
พิสินีแทรกขึ้น “คุณริมา...ค่อยๆ พูดกันได้มั้ยคะ บัวว่าน่าจะฟังฉัตต์บ้าง ฉัตต์เขาก็ต้องมีเหตุผล
ของเขา”
จริมานิ่ง อดใจไม่โต้ตอบ
พิสินีพูดต่อ “ฉัตต์เสียใจมากเรื่องคุณพ่อ เพราะถึงจะคิดด้วยเหตุผลข้อไหน ลูกก็ควรได้กลับมาหาพ่อตอนใกล้จะเสียชีวิต”
“นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของครอบครัวเรา คุณบัวยังไม่ได้เป็นสมาชิกของบ้านเรา อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่ได้เป็น เอาไว้ถึงตอนนั้นริมาอาจจะหยุดฟังคุณบัว บอกแล้วไงคะว่าบ้านนี้เป็นบ้านของคุณพ่อริมา เราสองคนพี่น้องมีกรรมสิทธิ์คนละครึ่ง คุณบัวอยู่ได้ในครึ่งของพี่ฉัตต์ ริมาถึงได้ไม่เชิญคุณบัวออกไปจากบ้าน แต่คุณบัวไม่มีสิทธิ์ออกความเห็น”
พิสินียืนนิ่งอึ้ง รู้สึกร้อนวูบวาบไปหมดทั้งตัวด้วยความโกรธ
“ริมา ควรให้เกียรติพี่บ้าง คุณบัวเป็นเพื่อนพี่” เสียงฉัตต์เริ่มโกรธ
จริมาย้อน “พี่ฉัตต์ยังมีเกียรติอยู่เหรอ คนมีเกียรติคือคนกตัญญู รู้ถึงบุญคุณของคนที่เขาทำให้เราไม่ใช่ถีบหัวเขาส่งเวลาโกรธเขา คุณน้ามีบุญคุณกับริมาเหมือนแม่ ไม่มีคุณน้า เด็กกำพร้าอย่างริมาจะโตขึ้นมายังไง คงต้องเลี้ยงวัวแล้วเอานมวัวมาป้อนให้กินทุกวันมั้ง”
สีหน้าฉัตต์กดดันมาก เถียงอะไรไม่ออกเลย
“แล้วพี่ฉัตต์ล่ะ ถึงคุณน้าไม่ได้เลี้ยงพี่ฉัตต์ แต่อาหารการกินความเป็นอยู่ทุกอย่าง คุณน้าทำตลอด พี่ฉัตต์เคยคิดถึงข้อนี้บ้างมั้ย หรือมัวแต่คร่ำครึคิดว่าคุณน้ามาคุณแม่ถึงตาย คุณย่าบอกคุณแม่จะไปหลายหนแล้วก่อนจะคลอดริมาเสียอีก เพราะท่านอ่อนแอมาก แต่ที่ไม่ไป รอมาถึงวันนั้นเพราะอาจจะรอให้แน่ใจว่ามีคนมาเลี้ยงลูกให้” ยิ่งพูดก็ยิ่งมีอารมณ์ขึ้นมาอีก จริมาสะอื้นออกมาเรื่อยๆๆ
“ริมา...น้อง”
จริมายกมือห้าม จะต้องพูดให้หมด “ริมาแย่งรุ้งดื่มนมคุณน้า คุณน้ากล่อมริมานอนทุกคืน แม้แต่ตอนคุณพ่อเจ็บคุณน้าก็ดูแลไม่เคยห่างเลย รุ้งล่ะ พี่ฉัตต์รู้มั้ยว่า รุ้งเขาไม่เคยคิดเรียนพยาบาล เขากลัวเลือด กลัวเข็มฉีดยา กลัวคนตาย ริมานอนกับเขาได้ยินเสียงเขาละเมอ ร้องไห้ก็มี วันไหนคนไข้ตายเขากลับมาซึม ร้องไห้ทุกที แต่เขาอดทนเรียนเพราะอะไรล่ะ เพราะเขาจะตอบแทนบุญคุณคุณย่า... คุณพ่อ เขาดูแลคุณพ่อจนวินาทีสุดท้าย”
ฉัตต์นัยน์ตาแดงก่ำ ไหล่ห่อ คอตก
“เขาทำทุกอย่างแทนเราสองคน ทำไมไม่เห็นความดีของเขา ไม่สงสารเขาเลย ไล่เขายังกะอะไร ถามอะไรก็ไม่ถามเค้าซักคำ”
ฉัตต์เคว้งก้าวยาวๆ เข้ากอดน้อง จริมาเบี่ยงหนี แต่ฉัตต์กอดไว้แน่น ซบหน้ากับผม
จริมาซ่อนน้ำตา ฉัตต์เองก็กัดฟันแน่น พยายามกลั้นน้ำตา
“เขาตีพี่ฉัตต์ ทั้งๆ ที่กลัวแทบตาย จนเขาเป็นลม เพราะเขารู้ว่าคุณพ่อตีพี่ฉัตต์จะเจ็บยิ่งกว่า จำได้หรือเปล่า”
ฉัตต์ห้าม “ริมา...หยุดพูดเถอะ พี่เข้าใจแล้ว เข้าใจทุกอย่าง”
พิสินียืนมองอยู่นาน สีหน้าครุ่นคิดตรึกตรอง แต่ยังคิดว่าตัวเองเป็นต่อ เพราะไงรุ้งก็ไม่อยู่แล้ว
“บัวกลับก่อนนะคะ ฉัตต์คงอยากอยู่กับน้องสองคน”
“ผมไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ อยู่กับคุณริมาเถอะ คุณริมาบัวเห็นใจนะคะ แต่อยากให้คิดซักนิดว่า คุณริมาโศกเศร้าอยู่เนี่ย คุณรุ้งเขาอาจจะมีความสุขก็ได้ บัวเชื่อว่า คุณชายคนนั้นต้องทำให้คุณรุ้งมีความสุขแน่นอน”
พิสินีหันมาทางฉัตต์ “บัวไปล่ะคะฉัตต์” แล้วก้าวออกไป
จริมามองตาม “ผู้หญิงที่พี่ฉัตต์รัก ถึงกับจะแต่งงานด้วย...คนนี้น่ะเหรอ”
ฉัตต์ยืนนิ่งราวรูปสลัก
ที่วังรังสิยา สนขับรถเข้ามาจอด คุณชายศักดินาเปิดประตูลงมา
“คุณชาย ต้องกลับไปโรงเรียนอีกมั้ยครับ” สนถามขณะเดินไปเปิดที่เก็บของด้านหลัง
ชายเดียวยิ้มขำ สีหน้าอ่อนโยน “เรียกโรงเรียนฉันนึกออกแต่โรงเรียนที่เรียนตั้งแต่เด็ก ที่เรียนเขาเรียก
มหาวิทยาลัยแล้วนะ”
“อ๋อ เขาไม่เรียกโรงเรียนเหมือนกันหรือครับคุณชาย”
“ไม่เหมือนกัน นี่ท่านแม่ประทับอยู่ หญิงทอแสงก็อยู่ใช่มั้ยสน”
“อยู่ครับคุณชาย”
“รุ้งล่ะ” ชายเดียวเดินขึ้นตำหนัก
“ผมไปส่งที่โรงพยาบาลเมื่อเช้าครับ” สนบอกขณะเดินตาม
“สนไปรับรุ้งตอนไหน ออกเวรกี่โมง”
“คุณรุ้งบอกว่าจะกลับเองครับ ไม่ให้ไปรับ”
ชายเดียวหยุดยืน สายตาอ่อนโยนเมื่อนึกถึงรุ้ง “เป็นอย่างนี้เสมอ”
พวกชาวครัวและคนใช้นั่งทำงานประสมสนทนาเรื่องของชาวบ้านกันตามประสา ต่างคนต่างชื่นชมรุ้ง และไม่ใคร่ชอบทอแสงรัศมี
สาลี่เปิดประเด็นพูดไปทำงานไป “ฉันถูกชะตาเธอจริงๆ นะ คุณรุ้งเนี่ย ไม่รู้เป็นไง ยิ่งเห็นยิ่งรัก”
“แล้วใครยิ่งเห็นยิ่งไม่รัก” พิกุลท้วง
สาลี่หันมาเหล่ พิกุลเหล่ตอบ หน้าตาท่าทางขำๆ
“ถามทำไมวะ พิกุลเอ๊ย คนเรานี่ก็แปลกนะน่าจะรู้ว่าทำยังงี้คนรัก ทำอย่างงั้นคนเกลียด ก็ยังท๊ำ... ทำไอ้ที่ให้คนเกลียดน่ะ” สาลี่หมายถึงหญิงทอแสง
“แหม ป้าลี่... เธอลูกใครล่ะ”
“อ๊ะ นังพิกุล ขึ้นถึงพ่อแม่เลยหรือวะ”
พิกุลย้อน “จริงมั้ยล่ะป้า เนี่ยนะ ถ้าบอกว่าคุณรุ้งเนี่ยเป็นลูกหม่อมบุหลันฉันเชื่อเลย”
สาลี่ตาเหลือก เหลียวซ้ายเหลียวขวา “เอ็ง นังพิกุล วอนซะแล้ว เดี๋ยวคุณหญิงทอแสงได้ยินก็ถึงพระกรรณท่านหญิงแน่ เอ็งพูดชื่อหม่อมบุหลันขึ้นมาทำไม”
“ไม่รู้สิป้า...ฉันไม่เข้าใจว่าคนเราจะเหมือนกันซะขนาดนั้นได้ยังไง คุณจันทร์แม่คุณรุ้งน่ะ หม่อมบุหลันดีๆ นี่เอง ฉันเชื่อของฉันยังเงี้ย”
“เฮ้อ เราก็ไม่เคยเจอหน้าจังๆ นะ เห็นวอบแวบเมื่องานศพท่านชาย แล้วไม่เคยมาอีกเลยนะ” สาลี่พึมพำ
พิกุลถาม “เจอกันจังๆ ป้าจะทำไง”
“จะเรียกชื่อเลย ถ้าหันก็ใช่แน่”
“คุณหญิงเธอก็เหลือเกินนะ เกลียดคุณรุ้งเอาจริงจัง” พิกุลเหนื่องใจหญิงทอแสง
“หนูเห็นพูดดีกับคุณรุ้งตั้งหลายหนแล้ว” ละมัยว่า
“จริงเหรอ เอ... ไม่เข้าทีแล้วเว้ยพิกุล” สาลี่บอก
พิกุลงง “คนเขาพูดดีๆ กันบอกไม่เข้าที ประหลาดดีป้าลี่เนี่ย”
“มันต้องมีอะไรแอบแฝง... อย่างแน่นอน”
สนเดินเข้ามา “อะไรแอบแฝงอะไร พี่ลี่”
“คุณหญิงพูดดีกะคุณรุ้ง แกเห็นมั่งมั้ยสน” สาลี่ถาม
“เห็นอยู่ ยังนึกแปลกใจไม่หายอยู่เนี่ย”
“มันไม่ธรรมดานะสนเอ๊ย” สาลี่ว่า
“ฉันก็ว่าอย่างนั้น... คอยดูไป เออ ฉันไปรับคุณชายกลับแล้วนะ”
สาลี่พิกุลถามพร้อมเพรียง “จริงเหรอ”
พิกุลยิ้มออก “เออ ดีจริง คุณชายมาอุ่นใจหน่อย”
“งั้น ข้าจะไปตลาด ซื้อกับข้าวมาทำให้คุณชาย อยู่ไหนเนี้ย อ้อ... เฝ้าท่านแม่อยู่กระมัง”
ท่านหญิงแขไขเอาแต่จ่อมจมอยู่กับความทุกข์ ชายเดียวมากราบที่เข่า แต่ตัวท่านหญิงหน้าตาเฉยเมยใส่
“ท่านแม่ไม่ทรงสบายหรือคะ”
ท่านหญิงขยับสายตานิดๆ แต่ไม่เปลี่ยนท่านั่ง
“ท่านแม่” เสียงชายเดียวตกใจเพิ่มขึ้น “เป็นอะไรคะ” แล้วจับชีพจรทันที
“ชั้นไม่เป็นอะไร” ท่านหญิงสะบัดมือออก
ชายเดียวหน้าตื่น แต่รักษากิริยาเพราะรู้แล้วว่าเกี่ยวกับตัวเอง “เอ้อ...ชายไม่รบกวนท่านแม่ดีกว่า ท่านแม่แน่ทัยนะคะว่าไม่เป็นไร”
ท่านหญิงนิ่งอึดไปสักครู่ พยายามปรับอารมณ์อย่างยิ่ง หน้าบึ้งคลายลงเล็กน้อย
“สอบเสร็จแล้ว”
“ค่ะ เสร็จแล้ว
ท่านหญิงนิ่งอึดไปอีก อารมณ์ว้าวุ่นเหลือเกิน
“ทมมั้ยคะ ชายพาไปที่...”
ท่านหญิงขัดขึ้น “ไม่ต้อง” บอกเสียงหนัก “ออกไปได้แล้ว”
ชายเดียวตกใจจริงๆ ค่อยๆ ถอยไปจนจะออกจากห้อง
“ชายเดียว” น้ำเสียงท่านหญิงละห้อยมาก
ชายเดียวหันมา แล้วก้าวเร็วๆ มารับท่านหญิงที่เซซวน ไม่มีแรงแม้แต่จะทรงตัวนั่ง
“ท่านแม่... ขอชาย” ชายเดียวจะขอตรวจจับชีพจร
ฉับพลันท่านหญิงก็เข้ากอดชายเดียว น้ำพระเนตรไหลพรากๆ สีหน้าหม่นหมองหวาดหวั่น
ชายเดียวโอบแม่ไว้ทั้งตัว
“ชาย... รับปากแม่อย่างหนึ่งได้มั้ยลูก”
“ได้ค่ะ ได้ทุกอย่าง ท่านแม่ให้ชายทำอะไรชายทำถวายทุกอย่างค่ะ
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นชายอย่า... อย่าทิ้งแม่” ท่านหญิงตื้นตันขึ้นมาในอกทันที
“ทิ้งท่านแม่ ทำไมหรือคะ ทำไมชายถึงจะทิ้งท่านแม่ มีเรื่องอะไรที่ทำให้ชายทิ้งท่านแม่ไป แต่จะเป็นเรื่องอะไรก็ตามมันไม่จริงนะคะท่านแม่”
“มันคือเรื่องจริง”
“เรื่องอะไรคะ”
“อย่าทิ้งแม่... สัญญาก่อน” ท่านหญิงย้ำอยู่อยู่นั่น
“ไม่ต้องสัญญาหรอกค่ะเพราะสัญญาฉีกทิ้งได้ อยู่ที่นี่ค่ะท่านแม่” ชายเดียวตบที่หัวใจตัวเองเบาๆ “ชายมั่นใจว่าชายไม่มีวันไปไหน ไม่มีวันที่ชายจะทิ้งให้ท่านแม่อยู่องค์เดียว”
ท่านหญิงแขไขโอบกอด ไขว่คว้า ยึดถือชายเดียวเอาไว้ น้ำตาไหลนองเต็มหน้า แต่กิริยาไม่มีฟูมฟายให้เห็นสมเป็นราชนิกุลโดยแท้
รถยนต์แนบแล่นช้าๆ เข้ามาในวังรังสิยา จริมาอยู่ในรถแหงนมองตัวตำหนัก รถมาจอดหน้าตำหนักใหญ่ จริมาเปิดประตูแล้วลงมา กำลังจะก้าวขึ้นบันได ชายเดียววิ่งถลามาเร็วปานจรวด พรวดเดียวมายืนตรงหน้าคนที่แสนคิดถึง ติดอาการหอบอยู่นิดๆ
“เป็นอะไรคุณชาย”
ชายเดียวดีใจเหลือแสนจับมือจริมาทั้งสองข้างเขย่าอย่างยินดี ใบหน้าสวยยิ้มแฉ่ง
“ริมา มาเมื่อไหร่เนี่ย”
“เมื่อเห็น” ไม่กวน ไม่ใช่จริมา
ชายเดียวหัวเราะก๊าก แล้วพูดเร็วปรื๋อเหมือนกลัวไม่กล้าพูด “เอ๊ะผมเห็นคุณในฝันบ่อยๆทำไมคุณตัวจริงไม่มาล่ะ”
“ตลกล่ะคุณชาย” จริมาปลดมือออก
“อ้าว...จริงๆ นะ ไม่ได้พูดเล่นเลย ด้วยเกียรติ” ชายเดียวยกมือทำท่าสาบาน
“มีด้วยเหรอ”
“เยอะเลย”
จริมาหัวเราะ ขำนิดๆ “ฉันมาหารุ้ง...อยู่มั้ย” คำหลังทอดเสียงอ่อนโยน
“ไม่อยู่ไปโรงพยาบาลแล้วครับ”
“จริงสิ ฉันควรจะรู้ว่ารุ้งทำงานแล้วเขาต้องไปแต่เช้าแน่ๆ” จริมามองหน้าชายเดียว “เขาขยัน เก่ง..ตั้งใจ อดทน เป็นผู้หญิงที่ใครแต่งงานด้วยจะไม่ต้องเสียใจเลย”
ชายเดียวทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งๆที่รู้ทัน
“คุณชาย เอ๊ะ คนอะไรปล่อยฉันพูดคนเดียวเหมือนคนบ้านะ”
ชายเดียวหัวเราะขำ “งั้นคนที่ชอบฟังคนพูดคนเดียวก็เหมือนคนบ้าด้วย”
จริมามองหน้า นัยน์ตาคว่ำๆหน่อยๆ “ก็ดี ดีกว่าพูดแล้วไม่มีคนฟัง”
“ถ้าไม่มีคนฟัง จะพูดทำไม”
“เพราะฉันรู้ว่ามีคนฟังน่ะสิ ได้ยินเต็มๆ หูใช่มั้ยคุณชาย”
“ได้ยิน คุณพูดเสียงดังไม่ได้ยินก็หูหนวกแล้ว”
“แล้วทำไมทำเฉย” จริมาเสียงจริงจังขึ้น
“ก็ผมฟังแล้วเฉยๆ นี่”
จริมานิ่งไปอึดใจหนึ่ง ใจเต้นนิดๆ พยายามคิดถึงความหมาย ชายเดียวก็นิ่งงันไปด้วย แต่แอบมองหน้าจริมา ที่มองไปทางอื่น ฉับพลันจริมาก็หันขวับมา ชายเดียวถอนสายตาไม่ทัน ก็เลยมองจ้องไปเลยให้รู้แล้วรู้รอดไป
“คุณชาย ขอบคุณมากที่คุณชายรักษาสัญญาที่ฉันขอให้คุณชายดูแลตัวเล็ก...คุณชายทำตามที่พูดไว้ทุกอย่าง ถ้าคุณชายไม่พารุ้งมาที่นี่ คิดดูรุ้งจะอยู่ที่ไหนถูกไล่ออกจากบ้านที่อยู่มาตั้งแต่เกิด ขอบคุณอีกครั้ง”
“ไม่ต้องเลยริมา ผมว่าระหว่างเราสี่คนไม่มีคำไหนที่ต้องพูดกันตามมารยาทเลยจริงๆ นะริมา”
“ถึงยังไงฉันก็ต้องขอบคุณอยู่ดี ฉันเป็นห่วงเขามาก”
ชายเดียวจ้องนิ่งๆ จริมาสบตาแล้วเมินไป รู้สึกหน้าร้อนผ่าว
“คุณโตขึ้นมากนะริมา”
“เหรอ ฉันว่าฉันสูงเท่าเดิมนะเนี่ย” ทำเป็นเฉไฉ
ชายเดียวทำสายตาเหมือนจะพูดว่า “อย่าทำเป็นไม่รู้หน่อยเลย”
จริมาเลยหัวเราะเบาๆ “แน่สิ ฉันกินข้าวนี่ กินแล้วไม่โตจะกินทำไม”
ชายเดียวมองสายตาอ่อนโยน “คุณรู้ว่าผมหมายถึงคุณเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก”
จริมาหลบตา “ฝากรุ้งด้วย นึกว่าทำให้น้าจันทร์ น้าจันทร์รักคุณชายมากนะ น้าจันทร์บอกไม่รู้ว่าเพราะอะไร ฉันจะได้บอกน้าจันทร์ให้สบายใจขึ้นบ้าง”
“ผมจะดูแลรุ้งอย่างดีที่สุด ผมสัญญาอย่าห่วงนะริมา รุ้งจะอยู่ที่นี่อย่างปลอดภัยที่สุด”
จังหวะนั้นหญิงทอแสงยืนมองสองคน สายตาทั้งรักทั้งเศร้า กัดฟันแน่น น้ำตาคลอเต็มตา แต่แล้วก็หน้าเข้มขึ้น เข้มขึ้น แล้วก็หันมาอีกทาง เหมือนมีใครยืนตรงนั้น
สีหน้าทอแสงรัศมีจ้องตรงกับใครคนนั้น แล้วพยักหน้าน้อยๆ พร้อมกับพึมพำออกมา
“ก็คอยดูกัน...จริมา”
สองคนเดินมาด้วยกัน เงียบๆ แต่หัวใจเต้นจังหวะผิดปกติทั้งคู่ จริมาเหลียวไปดูชายเดียว ชายเดียวรีบละสายตาที่กำลังมองไปทางอื่น
“คุณชายไม่รู้หรอกว่ารุ้งมีบุญคุณกับครอบครัวเราแค่ไหน”
“รุ้งพูดแต่ว่าครอบครัวคุณมีบุญคุณกับเขามาก เขาไม่มีวันลืม”
“ไม่จริง...ครอบครัวเราได้ประโยชน์จากรุ้งกับน้าจันทร์มากมายบรรยายไม่หมด”
“บรรยายไม่หมดเหรอ มาที่นี่ทุกวันได้ไหม บรรยายวันละเรื่อง” ชายเดียวสัพยอก
จริมาใจเต้นแรงอีกแล้ว “ตลกอีกแล้ว” ไม่กล้ามองหน้าคุณชาย
“ไม่...พูดจริง เอ้า ผมกลัวคุณเหนื่อย บรรยายทีเดียวจบให้วันละเรื่อง หรือสองวันเรื่องหนึ่งเอามั้ย”
จริมาพยายามรวบรวมสติ พูดเสียงจริงจัง “รู้มั้ยทำไมรุ้งทำร้านอาหาร”
“ก็รุ้งทำเก่ง น้าจันทร์ทำอร่อย” ชายเดียวว่า
“โธ่เอ๊ย....ไม่งั้นคนทำอาหารเก่งก็ต้องลุกมาขายข้าวแกงกันหมดน่ะสิ ตรรกะไม่ได้เรื่องเลย”
“ทำไมล่ะ”
“เพราะเขาหาเงินส่งพี่ฉัตต์กับริมาเรียนหนังสือน่ะสิ เขาตัวเล็กๆ งั้นน่ะ หาเงินส่งเราทั้งพี่น้อง เรียนหนังสือเมืองนอกนะ ริมาน่ะไม่มีปัญญาหรอก”
จริมาหลั่งคำรักความชื่นชมต่อรุ้งในทุกวลีที่กลั่นออกมา
ครู่ต่อมา ตรงหน้าทางออกวัง แนบเปิดประตูรถรอแล้ว ขณะสองคนเดินมาถึงบริเวณนั้น
“ริมาถึงบอกคุณชายไงว่า รุ้งน่ะเป็นผู้หญิงที่ใครได้ไปไม่มีวันต้องเสียใจเขาจะเป็นภรรยาที่ดีมากๆ”
ชายเดียวมอง ขำๆ ที่จริมาพูดอีก
“ได้ยินที่ฉันพูดรึเปล่า...ทำหน้ายังงี้...เขินเหรอคุณชาย” สาวปากเก่งแซว
“เรียกตัวเองว่าริมา เหมือนเมื่อกี้สิ”
“เมื่อไหร่”
“ห้านาทีที่แล้ว”
“ลืมไปได้เลยนะ ตอนนั้นเบลอ”
“เบลออีกไม่ได้เหรอ” ชายเดียงพูดเสียงเบาเป็นที่สุด
จริมาได้ยินไม่ถนัด “อะไรนะ ไม่ได้ยิน”
ชายเดียวเปลี่ยนเรื่อง “ผมไปส่งนะ”
“ไม่ต้อง....คุณชายอยู่กับท่านแม่คุณชายเถอะ ปิดเทอมได้อยู่กับท่านนานๆ เอ๊ะ ริมาควรจะไปกราบท่านหญิงก่อนนะ”
“ท่านแม่...ไม่ค่อยทรงสบาย วันนี้ไม่ต้องก็ได้”
“โอเค ไปนะคุณชาย”
“ผมไปหาคุณไม่ได้ พี่ฉัตต์คงไม่ชอบนัก คุณจะมาอีกมั้ยริมา”
“มาสิ ฉันต้องมาหารุ้ง”
ชายเดียวเสียงอ่อย “มาหารุ้งคนเดียวเหรอ”
“เอ๊า...ถ้าคุณชายอยู่วัง ฉันมาหาด้วยก็ได้ ไม่เห็นลำบากเลย” จริมามองล้อๆ “แต่ถ้าคุณไม่อยู่...ก็ sorry about that”
ชายเดียวรีบบอก “ผมอยู่ตลอด ไม่ไปไหนเลย”
จริมาถามขณะกำลังจะก้าวขึ้นรถ “คุณชายไม่ไปทำงานเหรอ”
“ผมจะเป็น อินเทิร์น ปีหนึ่ง”
“ที่ไหน” ชายเดียวยังไม่ทันตอบ จริมาพูดต่อเฉย “ฉันเจ็บจะได้ไม่ไปที่นั่น” พูดจบก็หัวเราะเสียงดัง แล้วปิดปาก “อุ๊บส์ ไม่ใช่ๆ ต้องร้องว่าคุณพระช่วย”
ชายเดียวทั้งขำทั้งเอ็นดู แนบจะมาปิดประตู
“ไม่ต้องๆ ลุงแนบ ริมาปิดเองได้ โธ่เอ้ย..มือมีนะลุง”
“มันชินครับคุณริมา ปิดให้ตั้งแต่เด็ก” แนบบอก
“ใช่...เด็กๆ น่ารักนะลุงแนบ” ชายเดียวเหน็บ
“ครับ มีคนเดียวในเมืองไทยครับ ผมว่า...”
“ฉันก็ว่า”
รถแล่นออกไป ชายเดียวมองตามจนรถลับสายตา
ฉัตต์ยืนนิ่ง แต่นัยน์ตากระวนกระวายมองไปที่ประตูทางเข้าบ้าน นัยน์ตาเต็มไปด้วยความว้าวุ่น กังวลใจ แล้วฉัตต์ก็หันกลับ เดินก้มหน้า มือสองข้างล้วงกระเป๋าเข้าบ้าน มองจากด้านหลัง เห็นภาษากายที่เป็นทุกข์และไม่สบายใจมาก
“พี่ฉัตต์”
ฉัตต์หันกลับมาอย่างรวดเร็ว “ริมา มาแล้วเหรอ”
“อ้าว...ไม่งั้นจะเห็นริมาเหรอคะ”
“เจอมั้ย”
“ใคร”
“เอ่อ...ชายเดียว”
“พี่ฉัตต์ถามแปลก ริมาไปตั้งสองชั่วโมงจะไม่เจอได้ไง” จริมายอกย้อน รู้ว่าพี่ชายถามถึงใคร
“แล้ว…”
“อ๋อ...” แล้วจริมาก็ทำเป็นนิ่งไป
“ริมา”
“ร้อนจัง อาบน้ำก่อน”
ฉัตต์โพล่งออกมาในที่สุด “เจอรุ้งมั้ย”
“รุ้งเหรอคะ พี่ฉัตต์จะสนใจรุ้งทำไม ไล่เขาไปแล้ว เขาจะไปตกระกำลำบากที่ไหนก็ไม่ต้องรู้หรอกค่ะ”
ฉัตต์ยืนนิ่ง หน้าหมองเศร้า
“ริมาบอกก็ได้ ไม่ต้องห่วงรุ้งหรอกค่ะ ชายเดียวดูแลอยู่ทั้งคน ดูแลอย่างดีด้วยอย่างที่รุ้งไม่เคยพบเลยตอนเขาอยู่ที่นี่”
พูดจบจริมาก็เดินออกไป ฉัตต์ยืนนิ่งอึ้ง พูดไม่ออก
สีพระพักตร์ท่านหญิงแขไขเจิดจรัสหม่นหมอง นั่งอยู่ในท่วงท่าที่เห็นชัดว่าเป็นทุกข์หนัก และพระทัยว้าวุ่น ครุ่นคิด อาฆาตแค้นเคือง
เสียงชายเดียวดังขึ้น “ไม่มีวันที่ชายจะทิ้งท่านแม่ให้อยู่องค์เดียว”
ท่านหญิงพึมพำ “แกล่ะ นังบุหลัน” สีหน้าว้าวุ่นหนัก เรียกหา “เฟือง...”
ใบหน้าเฟืองอยู่ใกล้แทบจะทันที
ท่านหญิงถาม “เมื่อไหร่มันถึงจะตาย”
“ใกล้แล้วมังคะ...ใกล้แล้ว ได้ตัวนังรุ้ง... แม่มันก็ตามมา”
สีหน้าท่านหญิงนิ่งสนิท เย็นชาราวกับเป็นหน้ากาก มิใช่หนังเนื้อแห่งมนุษย์ นิ่งอึดอยู่สักครู่ จึงเปล่งเสียงออกมา
“จบกันเสียที”
อ่านต่อตอนที่ 13