สุดสายป่าน ตอนที่ 9
ค่ำคืนนั้น นมสายเดินตรวจตราความเรียบร้อย ปิดไฟตามตำหนักใหญ่น้อย ก่อนจะกลับไปนอนที่เรือนตน เห็นฐิติเดินหน้างอมาเคาะประตูห้องนอน
“กานดามณี ผมเข้าไปได้หรือเปล่า”
กานดามณีอยู่ในชุดนอน เดินกรีดกรายไปมาในห้องราวกับเจ้าหญิง หมุนตัวอย่างเบิกบานใจ รีบพุ่งไปที่เตียงนอน ทำท่าสวย เตรียมยั่วยวนฐิติเต็มที่
“เข้ามาสิคะติ”
ฐิติเปิดประตูเดินหน้ามุ่ยเข้ามาตรงไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบชุดเสื้อผ้าโดยไม่สนใจกานดามณีสักนิด กานดามณีเหวอ พอได้สติก็ผวาลุก เดินเข้าไปหา
“เอ๊ะ...ติจะเก็บเสื้อผ้าไปไหนคะ”
“คุณกานใช้ห้องนี้ได้ตามสบายนะครับ ผมจะไปนอนห้องอื่น”
“ทำไมล่ะคะ เราสองคนรอวันนี้อยู่ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมติถึง...”
“ผมยังไม่ได้หย่ากับกานดาวสี แล้วผมก็ไม่อยากให้คุณกานดูไม่ดีในสายตาคนอื่นด้วย”
กานดามณีแย้งสุดลิ่ม “จะไม่ดีได้ยังไงคะ ใครๆ ก็รู้ว่าคุณรักฉัน ไม่ใช่พี่กานดาวสี คนรักกันก็ต้องอยากจะอยู่ด้วยกันเป็นธรรมดา”
“ไม่ได้หรอกครับ ผมแต่งงานแล้ว ถึงจะด้วยความเข้าใจผิดก็เถอะ แต่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็รับรู้...ที่ท่านย่าพูดก็ถูก เราควรจะรอให้คุณอาวิเศษหายดีก่อนแล้วค่อยมาพูดเรื่องนี้กันอีกที”
กานดามณีพูดไม่ออก แย้งไม่ได้ เลยได้แต่เจ็บใจ
รุ่งเช้าที่ห้องบรรทมท่านหญิงลักษมี ท่านหญิงมีสีหน้าท่าทางไม่พอใจ พอได้ฟังคุณนมมารายงานข่าวรับอรุณ
“หล่อนว่าอะไรนะนมสาย ตาติเนี่ยนะ นอนห้องเดียวกับแม่กานดามณี ฉันไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้ หล่อนต้องตาฝ้าฟางไปแล้วแน่ๆ”
พุดตานท่าทางลังเล แต่ก็ยังยืนยันเสียงหนักแน่นเข้าข้างลูกไว้ก่อน
“นั่นน่ะสิเพคะ ดิฉันรู้จักลูกดี คนอย่างตาติไม่มีทางทำอะไรสิ้นคิดอย่างนั้นแน่ๆ ต่อให้รักยังไง ก็ไม่ทำ”
“อิฉันก็ไม่ได้อยากให้เป็นอย่างนั้นซะหน่อยนะเพคะ”
“ก็ลงเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉันจะได้ตีให้ ถึงจะโตขนาดนี้แล้วก็เถอะ มีอย่างเหรอ แต่งกับคนนั้นแต่ไปนอนกับคนนี้ โอ๊ย ไม่ไหวล่ะ ฉันรับไม่ได้แน่ๆ”
ท่านหญิง พุดตาน นมสาย ท่าทางกลุ้มใจกันทุกคน
ไม่นานต่อมา นมสายทำเป็นเดินเช็ดนู่เช็ดนี่อยู่ใกล้ๆ ห้องนอนฐิติที่กานดามณีนอนอยู่ พอมองซ้ายมองขวา เห็นปลอดคนก็ขยับเข้าไปใกล้ๆ ประตู ในที่สุดก็แนบหูไปกับประตูฟังเสียงข้างใน
เสียงฐิติดังขึ้น “นมสายทำอะไรน่ะครับ”
นมสายสะดุ้งสุดตัว หันมาตามเสียง เห็นฐิติเปิดประตูออกมาจากห้องนอนอีกห้อง มองมาที่นมสายอย่างสงสัย
“ปละ เปล่าค่ะ คือ อิฉันกำลังคิดอยู่ว่าคุณกานดามณีเธอตื่นนอนหรือยัง เห็นว่านี่ก็ใกล้เวลาอาหารเช้าแล้ว”
ฐิติเดินมาหานมสาย ไม่ได้สงสัยอะไรแล้ว
“ฝากนมช่วยเรียนท่านย่ากับแม่ด้วยนะครับ ว่าผมไม่ทานอาหารเช้า ผมจะรีบไปทำงานเลย”
“ค่ะ”
นมสายกำลังจะเดินไปอีกทาง ฐิติพูดจบก็เดินลงบันไดไป กานดามณีเปิดประตูห้องนอนออกมา เห็นฐิติกำลังเดินลงบันได จึงวิ่งถลาไปหาฐิติ
“ติทำอย่างนี้ได้ยังไง ปล่อยให้ฉันนอนอยู่คนเดียวทั้งคืน จะตามไปก็ไม่รู้อยู่ห้องไหนเยอะแยะไปหมด แล้วนี่จะทิ้งฉันไปไหนอีกล่ะคะ ไม่คิดจะบอกฉันเลยหรือไง...”
นมสายมองเหล่สองคน เก็บข้อมูลเต็มที่
ฐิติขับรถมาตามทางหน้าวัง เห็นกานดาวสีเดินอยู่ริมถนน จึงขับรถเบนมาชิดขอบถนนใกล้เข้ามาทุกที จนมาทันกานดาวสี ฐิติขับรถปาดหน้าดักกานดาวสีไว้ แล้วรีบลงจากรถ เดินตรงเข้าไปหากานดาวสีอย่างเอาเรื่อง
“จะไปไหน”
“เรื่องส่วนตัวของฉัน”
“จะไปหาผัวคนไหนล่ะถึงบอกไม่ได้”
“ฉันไม่จำเป็นต้องบอก”
“จำเป็นสิ ยังไงผมก็เป็นผัวคุณ ทั้งนิตินัยและ...พฤตินัย”
“คุณฐิติ คุณจะเอายังไงกับฉัน คุณก็ได้คนรักของคุณคืนมาแล้ว คุณควรจะเลิกวุ่นวายกับฉันซะที เราไม่ได้มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีก”
“มันไม่ง่ายอย่างงั้นหรอก ฝันค้างไปก่อนเถอะ ยังไงตอนนี้ผมก็จะคอยเป็นมารขัดขวางความสุขของคุณ...รอให้หย่ากันก่อนสิ แล้วคุณจะไปไหนก็เชิญ...แต่ตอนนี้” ฐิติดึงแขนกานดาวสี “มานี่ ขึ้นรถไปกับผมเดี๋ยวนี้”
กานดาวสีขืนตัวไว้
“ไม่ ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ไป ถึงยังไม่ได้หย่า แต่คุณก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับฉัน”
ฐิติไม่ฟัง ลากกานดาวสีมาที่รถเปิดประตู และพยายามจะผลักกานดาวสีเข้าไปในรถ
กานดาวสีดิ้นจนหลุด ลอดแขนฐิติออกมา แล้วปิดประตูรถกระแทกมือฐิติที่จับอยู่ที่ช่องประตู
“โอ๊ย...กานดาวสี”
กานดาวสีไม่เสียเวลาสนใจ โบกมือเรียกรถรับจ้างที่แล่นผ่านมาพอดี แล้วขึ้นรถออกไปทันที ฐิติมองตามอย่างเจ็บใจ
ไม่นานนักสองคนอยู่ในห้องทำงานคุณพระบรรณกิจ กานดาวสียื่นซองใส่เงินให้
“หนูทยอยเอาเงินมาคืนคุณลุงค่ะ”
“โธ่ หนูกาน ไม่เห็นจำเป็นต้องรีบร้อนเอามาให้ลุงนี่นา พ่อวิเศษก็ยังไม่ออกจากโรงพยาบาล หนูเก็บไว้ใช้ก่อนดีกว่า” คุณพระสงสารเหลือเกิน
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูยังพอมีสำรองอยู่บ้าง นี่หนูก็กำลังจะหางานทำแล้ว”
ฐิติเปิดประตูพรวดเข้ามา ทั้งโกรธทั้งพาล
“ใครอนุญาตให้คุณไปทำงาน” มองคุณพระอย่างเอาเรื่อง “แล้วใครอนุญาตคุณพระเอาเงินให้เค้า”
คุณพระจ๋อย
ฐิติอยู่ในห้องทำงาน โกรธมาก “ทำไมคุณพระไม่บอกผมว่ากานดาวสีมาขอยืมเงิน คุณพระก็รู้ว่ามันเป็นหน้าที่ของผม” ฐิติเน้นคำต่อมา “ซึ่งเป็นสามีจะต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว”
คุณพระบรรณกิจจ๋อยอีก
“คือ หนูกานดาวสีขอร้องผมไม่ให้บอกคุณฐิติ...”
ฐิติแย้งอย่างหงุดหงิดทันที “แล้วคุณพระก็เชื่อ...”
“ตอนแรกผมก็ไม่เห็นด้วยหรอกครับ แต่หนูกานดาวสียืนยันว่าจะไม่รบกวนคุณฐิติ...แกบอกว่าไม่อยากให้มีอะไรพัวพันกันอีก เพราะว่า...ถ้า...ต้องหย่ากัน สามีภรรยาก็จะกลายเป็นคนอื่นทันที”
ฐิติทั้งโกรธทั้งสะเทือนใจ
“อ้อ...นี่เค้าคงคิดจะหย่ากับผมอยู่ตลอดเวลาสินะ”
“หามิได้หรอกครับ ผมคิดว่าหนูกานดาวสีคงจะรู้อยู่แก่ใจว่า ตัวเองไม่ใช่ผู้หญิงที่คุณฐิติรักมากกว่า”
ฐิติอึ้งไป เจ็บปวดลึกๆ อยู่ในใจ
ในขณะที่กานดาวสีเดินไปตามทางเดินกำลังจะกลับ ฐิติตามมาคว้าแขนเธอไว้
“มาพูดกันให้รู้เรื่องก่อน กานดาวสี”
“เราไม่มีอะไรต้องพูดกัน”
“ทำไมจะไม่มี คุณคิดยังไงถึงไปขอยืมเงินคุณพระ แล้วยังเรื่องที่ไปหางานทำอีก...อย่าลืมสิว่าตอนนี้คุณเป็นเมียผม เป็นสะใภ้ของสูรยกานต์ คุณทำอย่างนี้ก็เท่ากับหักหน้าผม”
“ฉันทำในสิ่งที่ฉันควรจะทำ เรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณ มันเป็นเรื่องของครอบครัวฉัน ฉันมีสิทธิ์ที่จะขอความช่วยเหลือจากใครก็ได้”
ฐิติมองกานดาวสีอย่างดูถูก
“อวดดี อยากจะเรียกร้องความสงสาร ความเห็นใจจากคนอื่นล่ะสิ เค้าจะได้มองว่าผมเป็นคนใจร้าย คุณจะได้เอามาเป็นข้ออ้างเพื่อหย่าขาดจากผมใช่มั้ย”
“นี่คุณ ฉันไม่ได้มีเวลาไปคิดอะไรบ้าๆไร้สาระแบบคุณหรอกนะ”
“งั้นก็น่าจะรู้จักทำตัวให้มันสมกับเป็นสะใภ้สูรยกานต์หน่อย...อย่างน้อยก็จนกว่าพ่อคุณจะหาย เข้าใจมั้ยกานดาวสี”
กานดาวสีไม่ตอบ สะบัดมือให้หลุดจากฐิติแล้วเดินหนีไป ฐิติเดินตามไปอย่างไม่พอใจ
อีกมุมหนึ่งในสูรยกานต์ไหมไทย ฐิติกระชากตัวกานดาวสีเข้ามาในอ้อมกอด
“ว่ายังไง ทำไมไม่รับปาก...หรือว่าการที่เป็นเมียผมนี่มันทรมานมาก แต่ก็ดีผมชอบให้คุณมีความทุกข์มากๆ”
เสียงหวานๆ ของกานดามณีดังขึ้น “ติขา...ทำอะไรอยู่คะ”
กานดามณีเดินเข้ามา มองกานดาวสีด้วยสายตาหวาดระแวง
“เอ๊ะ พี่กานดาวสีอยู่ที่นี่เอง มาดักพบติหรือคะ”
“พี่มาพบคุณพระ ไม่ใช่คุณฐิติ” กานดาวสีหันมาทางฐิติ “ขอตัวก่อนนะคะ”
กานดาวสีเดินออกไป ฐิติยังไม่หายหงุดหงิด
กานดาวสีเดินมาหน้าบริษัท กานดามณีเดินตามออกมาด้วย
“เดี๋ยวก่อนสิ กานดาวสี”
กานดาวสีชะงัก หันมามองกานดามณีที่กำลังเดินเข้ามา
“อย่าลืมนะ เธอสัญญาแล้วว่าจะคืนฐิติให้ฉัน”
“พี่ก็เคยบอกเธอแล้วไงว่า พี่ไม่เคยคิดว่าเค้าเป็นของพี่”
กานดามณีไม่เชื่อ “คิดว่าฉันจะเชื่อเหรอ ฉันรู้นะว่าเธอทำเป็นสงบเสงี่ยม น่าสงสาร แต่ที่แท้ก็เรียกร้องความสนใจ”
“พี่ไม่ได้เรียกร้องความสนใจจากใคร
“งั้นเธอก็ออกไปจากชีวิตติซะที” กานดาวสีพูดอย่างรู้ทัน “แล้วอย่ามาอ้างนะว่าเป็นคำสั่งท่านย่า คนเราถ้าคิดจะไปจริงๆ ยังไงก็ไม่มีใครห้ามได้หรอก”
กานดามณีมองกานดาวสีอย่างจับผิด
เวลาต่อมาที่ด้านในโชว์รูมสูรยกานต์ไหมไทย กานดามณีหยิบผ้าไหมหลายชิ้นจากชั้นวางโชว์ออกมาแบบไม่นับ
“ฉันเอาหมดนี่ล่ะ”
พนักงานมองกองผ้าตรงหน้าอย่างอึ้งๆ เพราะเยอะมาก
“มองทำไม” กานดามณีไม่พอใจ “ฉันเป็นภรรยาคุณฐิติ ฉันจะเอาไปหมดทุกผืนก็ได้ในเมื่อฉันมีสิทธิ์ในทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่เท่าๆกับเค้า หรือว่าเธอมีปัญหาอะไร”
พนักงานละล่ำละลัก “เปล่านะคะ ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะ คุณฐิติสั่งพนักงานทุกคนไว้แล้วว่าถ้าคุณกานดาวสีต้องการอะไร ก็ให้จัดให้ทุกอย่างค่ะ”
กานดามณีชะงักเมื่อได้ยินชื่อกานดาวสี ดวงตาเป็นประกายอย่างโกรธเกรี้ยว
“ฉันชื่อกานดามณี ไม่ใช่กานดาวสี” จ้องหน้ามองตาพนักงานอย่างวางอำนาจ “จำไว้ด้วยนะว่าภรรยาคุณฐิติชื่อกานดามณี”
พนักงานมองหน้ากันอย่างงงๆ ฐิติกับคุณพระเดินเข้ามาในโชว์รูม กานดามณีรีบเข้าไปเกาะแขน ออเซาะคลอเคลียฐิติต่อหน้าพนักงาน
“ติขา...สาวๆ พวกนี้น่ารักจังค่ะ ช่วยกันเลือกผ้าไหมให้ฉันตั้งหลายผืน ดีจังฉันจะได้เอาไปตัดชุดเตรียมไว้เผื่อต้องออกงานกับคุณไงคะ”
บรรดาพนักงานสะดุ้ง มองหน้ากันอย่างงงๆ อีก คุณพระบรรณกิจยิ้มในสีหน้า ด้วยได้รู้เพิ่มอีกว่ากานดามณีเป็นคนอย่างไร?
ไม่นานต่อมา กานดาวสีเดินคุยกับไขนภาไปตามทางในโรงเรียน
“ดิฉันอยากทำงานที่โรงเรียนนี้จริงๆ ค่ะ ดิฉันทราบมาว่าที่นี่กำลังต้องการครูสอนภาษาอังกฤษ”
ไขนภาไม่สบายใจ “แล้วคุณฐิติรู้หรือเปล่าคะว่าคุณกานดาวสีอยากจะทำงาน”
กานดาวสีอึ้ง นิ่งงันไป
“คุณฐิติอาจจะไม่ยอมให้คุณออกมาทำงานข้างนอกก็ได้นะคะ”
“เค้าไม่มีสิทธิ์จะยอมหรือไม่ยอมหรอกค่ะ เราตกลงกันแล้วว่าเราจะหย่ากัน”
ไขนภาท้วง “แต่...”
กานดาวสีมองไขนภาเป็นเชิงขอร้อง
“ดิฉันจำเป็นต้องทำงานจริงๆค่ะ คุณพ่อดิฉันกำลังป่วย เราต้องใช้เงินอีกเยอะ”
“แต่คุณฐิติคงไม่ปล่อยให้คุณกานดาวสีลำบาก”
กานดาวสีบอกหนักแน่น “ไม่ได้ลำบากอะไรเลยค่ะ ดิฉันต้องการจะรับผิดชอบเรื่องของคุณพ่อเอง ยังไงดิฉันก็ไม่ยอมให้คนอื่นต้องมาเดือดร้อนไปด้วยแน่ๆ”
เสียงวิสูตรเหมือนดีใจมากกังขึ้น “กานดามณี”
กานดาวสีกับไขนภาหันไปตามเสียง เห็นวิสูตรมองมาอย่างเต็มตื้น คิดว่ากานดามณีมาหาที่นี่
“ยัยณีลูกพ่อจริงๆด้วย”
3 คนอยู่ในห้องทำงานวิสูตรไขนภา ทำหน้าที่แนะนำ
“นี่คือคุณกานดาวสี ฝาแฝดของคุณกานดามณีค่ะ”
วิสูตรตะลึง
ไขนภาแนะนำวิสูตรกับกานดาวสี “คุณวิสูตรครูใหญ่ของที่นี่ ครูใหญ่เป็นพ่อเลี้ยงของคุณกานดามณีค่ะ”
“ผมขอโทษด้วยนะครับที่เข้าใจผิด คุณเหมือนกานดามณีเหลือเกิน ผมเห็นทีแรกก็เลยคิดว่าลูกคงจะมาหาผมที่นี่”
“คุณกานดามณีไม่ได้กลับบ้านมาได้พักหนึ่งแล้วค่ะ ครูใหญ่ก็เลยเป็นห่วง”
กานดาวสีมองวิสูตรอย่างเข้าใจและเคารพ ปลอบใจให้คลายกังวล
“ครูใหญ่ไม่ต้องห่วงนะคะ น้องณีสบายดี ตอนนี้อยู่ที่วังสูรยกานต์...ในฐานะภรรยาของหม่อมหลวงฐิติ สูรยกานต์ค่ะ”
วิสูตรไม่อยากเชื่อ “หม่อมหลวงฐิติ สูรยกานต์!...”
“ค่ะ ทายาทคนเดียวของท่านหญิงลักษมี สูรยกานต์”
วิสูตรพยักหน้ารับทราบ แต่หน้าตายังเป็นห่วงและกังวลอยู่มาก กานดาวสีสังเกตเห็นว่าวิเศษยังไม่ค่อยสบายใจนัก
“ครูใหญ่น่าจะไปเยี่ยมน้องณีที่วังสูรยกานต์นะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่รู้ว่าลูกมีความสุข ผมก็ดีใจแล้ว ยังไงก็ฝากบอกยัยณีด้วยนะครับว่าพ่อเป็นห่วงและคิดถึงเค้าเสมอ”
กานดาวสียิ้ม ทั้งที่ในใจเจ็บหนึบ
“แล้วดิฉันจะบอกน้องให้ค่ะ”
อ่านต่อหน้า 2
สุดสายป่าน ตอนที่ 9 (ต่อ)
ด้านกานดามณีแวะมาที่บ้านวิไลวรรณ ร้อนใจสุดๆ เรื่องถูกวสันต์ข่มขู่แบล็คเมล์
“นังวรรณ ฉันขอยืมเงินแกไปให้ไอ้วสันต์ก่อนได้มั้ย ไม่งั้นมันต้องบอกติแน่ๆว่าฉันเคยเป็นเมียมัน”
“ยืมเงินฉัน! อะไรกันยะ สมบัติของสูรยกานต์ตั้งเยอะแยะ ทำไมไม่ไปเอากับผัวแกล่ะ”
“ฉันก็อยากอยู่เหมือนกัน แต่อีหม่อมย่านั่นก็ไม่ยอมให้ติหย่ากับนังกานดาวสีซะที ไหนจะนังแม่ นังนมก็คอยกันท่าล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ตลอดเวลา แล้วฉันจะไปทำอะไรได้ล่ะแก”
“ไม่รู้ละ ยังไงแกก็ต้องรีบรวบหัวรวบหางให้คุณติเค้าจดทะเบียนกับแกให้เร็วที่สุด เคราะห์หามยามซวย ถ้าคุณติรู้ขึ้นมาว่าเค้าไม่ได้เป็นผัวแกคนเดียว ทีนี้ล่ะแกได้ตกสวรรค์ร่วงลงไปอยู่สลัมเหมือนเดิมแน่ๆ”
กานดามณีฉุนกึก “หยุดเลยนะ นังวรรณ เรื่องผัวคนอื่นของฉันน่ะแกลืมไปให้หมดเลย แล้วจำให้
ขึ้นใจว่าฉันมีผัวคนเดียว คือ หม่อมหลวงฐิติ สูรยกานต์”
วสันต์กับอิ่มใจเดินเข้าไปในร้านอาหารริมถนน วสันต์ท่าทางหงุดหงิด เขวี้ยงซองเอกสารสีน้ำตาลลงที่โต๊ะ
“โอ๊ย...งานทำไมมันหายากหาเย็นอย่างนี้”
อิ่มใจท่าทางไม่สบายใจ
“ฉันว่าคุณกลับไปทำงานที่สูรยกานต์เหมือนเดิมเถอะ ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าคุณจะลาออกมาทำไม”
“ไม่ต้องมายุ่งได้มั้ย นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของผม”
แม่ค้าเอาจานอาหารมาวางที่โต๊ะ วสันต์ทานอาหาร ไม่สนใจอิ่มใจ อิ่มใจท่าทางพะอืดพะอม วสันต์สังเกตเห็น มองอย่างไม่พอใจ
“เป็นอะไรอีกล่ะ อย่ามากระแดะทำท่าเหมือนไม่เคยกินข้าวข้างทางหน่อยเลย”
อิ่มใจทนไม่ไหวรีบวิ่งออกไปหน้าร้าน โก่งคออาเจียน วสันต์งงๆ รีบตามออกไป
ไม่นานต่อมาที่ห้องตรวจครรภ์ หมอเปิดประตูห้องออกมา วสันต์กับอิ่มใจเดินตามออกมา
“หมอยินดีด้วยนะครับ”
อิ่มใจยิ้มมีความสุข หมอเดินจากไป วสันต์หน้านิ่ง ไม่มีความสุข
“คุณไม่ดีใจเหรอคะที่เรากำลังมีลูกด้วยกัน”
วสันต์อ้ำอึ้ง “จะดีใจได้ไง งานก็ไม่มี เงินก็ไม่มี แล้วยังจะมีไอ้มารหัวขนเกิดขึ้นมาอีก”
อิ่มใจตะลึง “คุณวสันต์ ทำไมถึงพูดอย่างนี้ล่ะคะ”
วสันต์สะบัดหน้าไปทางอื่น เครียด ไม่อยากเห็นหน้าอิ่มใจ แล้วเห็นกานดาวสีกำลังเดินเข้ามา
อิ่มใจมองตามสายตาวสันต์
“เธอกลับเองนะ ฉันมีธุระ” วสันต์เดินออกไปเลย
ฝ่ายฐิติขับรถมาจอดเทียบหน้าตึก กานดามณีชะงัก สีหน้าผิดหวัง
“เอ๊ะ นี่มันโรงพยาบาลนี่คะ”
“อ้าว ผมนึกว่าคุณอยากมาเยี่ยมคุณพ่อ ผมก็เลยพามา”
กานดามณีพูดไม่ออก แต่ต้องสร้างภาพลูกกตัญญูไว้ ยิ้มแหยๆ “เอ่อ ก็อยากค่ะ”
“งั้นคุณลงไปก่อน ผมจะไปหาที่จอดรถ”
“ค่ะ”
กานดามณีลงจากรถไปด้วยอาการเซ็งๆ
กานดาวสีรีบเดินจะขึ้นไปทางห้องวิเศษ
เสียงวสันต์ดังขึ้น “คุณกานดาวสี”
กานดาวสีชะงัก หันกลับไปตามเสียง แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นวสันต์เดินตรงเข้ามา กานดาวสีตกใจถอยหลังมองหาทางหนีทีไล่
“คุณ!”
“คุณกานดาวสี เดี๋ยวก่อนครับ ผมอยากจะมาขอโทษที่เข้าใจคุณผิด ผมรู้แล้วว่าคุณไม่ใช่กานดาวสีที่ผมรู้จักจริงๆ”
กานดาวสีมองวสันต์อย่างไม่เชื่อใจ
“ฉันไม่เข้าใจ ทำไมอยู่ดีๆ คุณถึงมาเชื่อฉัน ในเมื่อก่อนหน้านี้ ฉันพยายามบอกคุณว่าฉันไม่ใช่กานดาวสีที่คุณรู้จัก แต่คุณก็ไม่เคยยอมฟัง”
วสันต์นิ่งไปครู่หนึ่ง เหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างก่อนจะพูดช้า ๆ แต่ชัดเจน
“ก็เพราะกานดามณีเพิ่งจะมาหาผมเมื่อวานนี้เองน่ะสิครับ...”
กานดาวสีตะลึงคาดไม่ถึง
“กานดามณีเสนอเงินก้อนใหญ่ให้ผม แลกกับการยืนยันกับคุณฐิติว่า ผู้หญิงที่เป็นเมียผมก็คือคุณ...กานดาวสี”
“แล้วคุณมาบอกดิฉันทำไม”
วสันต์ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ผมก็แค่อยากจะมาเตือนให้คุณรู้ คุณเป็นคนดี ผมไม่อยากให้คุณถูกน้องสาวตัวเองปรักปรำ...”
กานดาวสีมองวสันต์อย่างไม่เชื่อใจ
“บอกฉันมาตรงๆ ดีกว่าว่าคุณต้องการอะไรจากฉันกันแน่”
“ฉลาดดีนี่ กานดาวสี ผมเคยคิดว่าคนดีๆมักจะโง่ ไม่ทันคน แต่คุณคงจะเป็นข้อยกเว้น”
“คุณต้องการอะไร”
“ก็แค่ล้านนึง แลกกับคำยืนยันในความบริสุทธิ์ของคุณ ลองคิดดูสิครับว่าชีวิตแต่งงานของคุณกับคุณฐิติจะมีความสุขซักแค่ไหน ถ้าคุณฐิติรู้ความจริงทุกอย่าง”
ฝ่ายอิ่มใจเห็นกานดามณีเดินมา รีบเดินไปขวางหน้าคิดว่าเป็นกานดาวสี
“เดี๋ยวก่อนค่ะ”
กานดามณีชะงัก หน้าตึงมองด้วยท่าทางหงุดหงิด อารมณ์ยังค้างอยู่
“มีอะไร”
“ฉันขอร้องเถอะค่ะ คุณเลิกยุ่งกับสามีฉันได้มั้ย”
กานดามณีงง “เธอจะบ้าเหรอ จำคนผิดหรือเปล่า”
“ฉันจะจำคนผิดได้ยังไงคะ ในเมื่อฉันเห็นกับตาว่าคุณวสันต์ สามีฉัน เพิ่งจะเดินตามคุณไปเมื่อกี้ไงล่ะคะ คุณกานดาวสี”
กานดามณี หูผึ่งพึมพำกับตัวเองอย่างตกใจ “วสันต์...นังกานดาวสี”
กานดามณีตกใจ ระแวงว่าวสันต์ต้องมาพบกานดาวสีแน่ๆ และอาจจะหักหลังตน จึงรีบผละจากอิ่มใจทันที จะรีบไปตามหาวสันต์ ทิ้งให้อิ่มใจมองตามอย่างไม่เข้าใจและไม่พอใจ
วสันต์เดินยิ้มกริ่มเข้ามา กานดามณีเดินเข้าไปขวาง หน้าตาเอาเรื่อง
“แกไปคุยอะไรกับนังกานดาวสี อย่าบอกนะว่าคิดจะหักหลังฉัน”
“ก็ช่วยไม่ได้ ใครให้เงินดีกว่าเร็วกว่า ฉันก็ช่วยคนนั้น”
“นังกานดาวสีมันจะหาเงินจากที่ไหนมาให้แก ในเมื่อตอนนี้คุณฐิติเค้าก็เขี่ยมันทิ้งแล้ว แต่ฉันสิ ตอนนี้ฉันเป็นคนผู้หญิงของสูรยกานต์ ยังไงๆ ก็มีทางเอาเงินให้แกได้แน่ๆ” กานดามณีจ้องหน้า เน้นเสียง “ถ้าแกยืนยันว่าแกเป็นผัวนังกานดาวสี”
“ฉันรู้แล้วล่ะน่า...ในที่แจ้ง ฉันต้องแสดงว่าเป็นผัวนังกานดาวสี แต่ในที่มืด ฉันก็ผัวเธอไงล่ะ”
ว่าแล้ววสันต์เข้าไปใกล้ๆ กานดามณี ท่าทางก้อร่อก้อติก
“แต่ตอนนี้ผัวเธอไม่มีเงินเนี่ยสิ ถ้าเธออยากให้ฉันช่วย ก็หาอะไรมาติดปลายนวมให้ก่อนละกัน จะแหวน จะสร้อย ก็เอามาก่อน”
“ฉันจะไปหาจากไหนตอนนี้ ขอเวลาฉันหน่อยสิ”
วสันต์มองเรือนร่างกานดามณีอย่างกะลิ้มกะเหลี่ย
“ก็ได้...แต่ต้องมีมัดจำนะ”
ด้านคุณพระบรรณกิจแวะมาหาอุไรที่บ้านกิริเนศวร อุไรมีท่าทางตื่นเต้นดีใจมากๆ
“อะไรนะคะ ดิฉันไม่ได้หูฝาดไปใช่มั้ย คุณพระจะช่วยไถ่บ้านให้เราเหรอคะ”
คุณพระยิ้มๆ
อุไรถอนใจอย่างโล่งอก “โล่งอกไปที ดิฉันก็กลุ้มใจอยู่ทุกวันเรื่องที่คุณวิเศษไปทำหนี้ทำสินไว้ ไม่รู้จะหาทางออกยังไง...เออ แล้วคุณพระจะเอาเงินมาให้ดิฉันเมื่อไหร่ล่ะคะ”
“คุณอุไรแค่เอาสัญญาจำนองมาให้ผม ส่วนเรื่องไถ่ถอน ผมจะเป็นคนจัดการเอง”
อุไรชะงัก หน้าเสีย ไม่อยากให้คุณพระเห็นสัญญา
“เอ่อ...จะดีเหรอคะ ดิฉันจัดการเองก็ได้ คุณพระจะได้ไม่เสียเวลา”
คุณพระบอกเสียงหนักแน่น “ไม่เสียเวลาหรอกครับ หรือว่า...คุณอุไรไม่อยากรับความช่วยเหลือจากผม”
“โอ๊ย...อยากสิคะ...อยาก...” อุไรละล้าละลัง “ดิฉันก็แค่เกรงใจ...”
คุณพระไม่ต่อความ แต่มองเป็นเชิงบังคับ อุไรลุกขึ้น เดินไปหยิบซองเอกสารในลิ้นชักมาส่งให้คุณพระ อย่างไม่เต็มใจ คุณพระหยิบเอกสารในซองออกมาดู ที่เอกสาร เห็นชื่ออุไรเป็นผู้ทำสัญญาจำนองคู่กับราศรี
“เอ๊ะ นี่มันชื่อคุณอุไรเป็นผู้จำนองนี่ครับ ไม่ใช่คุณวิเศษซะหน่อย” คุณพระท้วง
อุไรแถ “โอ๊ย ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ คือ คุณวิเศษน่ะสิคะให้ดิฉันไปทำสัญญาแทน...ชีวิตนี้ ดิฉันก็ไม่เคยจำนำจำนองกับใครเค้า แต่เพื่อคุณวิเศษ ก็เลยต้องยอมแบกหน้าไป"
คุณพระมองอุไรอย่างรู้เท่าทัน
เพียงไม่นานนัก เรื่องราวถูกนำมาถ่ายทอดให้ท่านหญิงลักษมีทราบจนสิ้น
“ฉันก็นึกอยู่แล้ว อย่างพ่อวิเศษน่ะยอมตายดีกว่ายอมเสียเกียรติ คนอย่างนี้ไม่ มีวันลดตัวไปเล่นการพนัน เอาบ้านช่องไปจำนองจำนำตัวแน่ๆ”
“แต่ก็ไม่น่าเชื่อนะเพคะว่าคุณอุไรจะใส่ความสามีตัวเอง”
“ถ้าคุณพุดตานรู้จักคุณอุไรดี ก็จะรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นเพื่อจะเอาตัวรอด” คุณพระว่า
“แล้วที่คุณอุไรบอกว่าคุณวิเศษวางแผนจับตาติให้แม่กานดาวสีล่ะเพคะ”
นมสายมองแบบตายแล้วเชื่อด้วยเหรอ “อุ๊ย นี่คุณพุดตานเชื่อเรื่องนี้ด้วยเหรอคะ...”
พุดตานอึ้งไป รู้สึกผิดอยู่ในใจ
ท่านหญิงค้อนพุดตาน
“ก็เพราะทั้งหล่อนทั้งตาติมัวแต่ระแวงแม่กานดาวสีน่ะสิ ใครพูดอะไรก็เชื่อไป ซะหมด ไม่รู้จักไตร่ตรอง หล่อนก็รู้ดีว่าฉันเป็นคนต้นคิดให้เด็กสองคนนั่น แต่งงานกัน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพ่อวิเศษซักนิด”
“ก็ดิฉันไม่ทันคิดนี่เพคะ ใครจะนึกว่าคุณอุไรจะใส่ความคุณวิเศษ ดิฉันไม่เห็นจะเข้าใจ ผัวเมียกัน ทำอย่างนี้แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา” พุดตานเถียง
ทุกคนอึ้งไป
ค่ำนั้นฐิติเดินวนไปวนมาท่าทางหงุดหงิดหนัก รอกานดาวสีอยู่หน้าเรือนรับรอง แล้วชะงักเมื่อเห็นกานดาวสีเดินเข้ามา กานดาวสีจะเดินเข้าบ้านโดยไม่ใส่ใจฐิติ ฐิติเข้าไปดึงแขนกานดาวสีไว้
“ไปไหนมา”
“ที่ไหนก็ได้ที่ทำให้ฉันมีความสุข”
“อ้อ งั้นก็คงไปพลอดรักกับผัวเก่ามาล่ะสิ”
“แล้วแต่คุณจะคิด”
กานดาวสีเดินเลี่ยงเข้าบ้าน ฐิติกระชากกานดาวสีเข้ามากอด
“จะไปไหน”
กานดาวสีขัดขืน
“กับผมล่ะทำเป็นเล่นตัว ทีกับไอ้วสันต์ เห็นออดอ้อนออเซาะกันไม่ห่าง”
“ปล่อยนะ บอกให้ปล่อย”
“ไม่ปล่อย เกลียดผมนักใช่มั้ย...ดี ยิ่งเกลียด ผมก็ยิ่งจะทำให้คุณต้องอยู่ใกล้ๆ ผม”
ฐิติก้มลงจะจูบ กานดาวสีผลักเขาเต็มแรงแล้วรีบวิ่งหนีเข้าบ้านไป ฐิติวิ่งตามแต่ไม่ทัน กานดาวสีปิดประตูใส่หน้า ฐิติทุบประตูอย่างแรง
“กานดาวสี เปิดประตูเดี๋ยวนี้...กานดาวสี”
ฐิติหงุดหงิด ไม่เข้าใจตัวเองที่หวั่นไหวทุกครั้งเวลาอยู่ใกล้ๆ กานดาวสี อีกมุมหนึ่ง เห็นนมสายแอบมอง ยิ้มย่องออกมาอย่างพออกพอใจ
กานดามณีในชุดนอนเดินไปเดินมาอย่างใช้ความคิด
“ติเค้าไปไหนของเค้านะ ห้องโน้นก็ไม่มี หรือว่าจะไปหานังกานดาวสี”
กานดามณีคว้าเสื้อคลุมมาสวมทันที บ่นด้วยความแค้น
“อยากรู้นักว่ามันมีดีอะไร ติถึงตัดใจจากมันไม่ได้ซะที”
กานดามณีกำลังจะเปิดประตูออกไปตามฐิติที่เรือนรับรองของกานดาวสี แต่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น กานดามณีเปิดประตูอย่างหงุดหงิด
“มีอะไร”
“มีโทรศัพท์ถึงคุณกานดามณีค่ะ” สาวใช้บอกแล้วนำไป
กานดามณีเดินมารับโทรศัพท์ที่เฉลียง พูดเสียงห้วน
“กานดามณีพูด”
วสันต์โทร.มาจากไนท์คลับ ทำเสียงหวาน
“โอ้โห ทำไมต้องทำเสียงดุขนาดนี้ด้วยล่ะจ๊ะ โกรธใครอยู่หรือเปล่า”
กานดามณีตกใจ “ไอ้วสันต์” ตวาดเบาๆ “แกโทร.มาทำไม”
“ฉันก็คิดถึงเธอน่ะสิ...ตอนนี้ฉันอยู่ที่ไนท์คลับที่เราเคยพบกัน ก็เลยอยากจะชวนเธอมารำลึกความหลังด้วยกันซะหน่อย”
“จะบ้าเหรอ ฉันจะไปได้ยังไง”
“เรื่องแค่นี้ คนฉลาดแกมโกงอย่างเธอไม่น่าจะจนปัญญานะ อ้อ...หรือว่ายังติดภารกิจกับผัวใหม่อยู่ เอางี้ งั้นฉันให้เวลาเธออีกชั่วโมง มาเจอฉันที่ไนท์คลับไม่งั้น ฉันจะฝ่ายไปหาเธอเองที่วังสูรยกานต์เอง
วสันต์วางโทรศัพท์ ยิ้มอย่างพอใจ
บรรยากาศภายในไนต์คลับเวลานั้นยังคงคึกคัก วงดนตรีเล่นสดๆ มีนักร้องหญิงร้องเพลง ที่ฟลอร์เต้นรำมีคนเต้นกันอยู่หลายคู่ ส่วนที่โต๊ะหนึ่งเห็นวสันต์นั่งดื่มจนเหล้าหมดแก้ว และกำลังจะหยิบขวดมาเทอีก แต่มือกานดามณีเข้ามาจับขวดเหล้ารินให้
“ดื่มเก่งเหมือนเดิมนะ”
วสันต์เงยหน้าขึ้น
“มีอะไรกับฉันก็ว่ามา”
“นี่เธอคงไม่ได้มาแต่ตัวนะ อย่าลืมสิ ถ้าเงินไม่มี งานก็ไม่เดิน ถ้าเธอจะให้ฉันไปยืนยันกับคุณฐิติว่ากานดาวสีเคยเป็นเมียฉัน เธอก็ต้อง...”
วสันต์พูดยังไม่ทันจบ กานดามณีก็หยิบเงินจากกระเป๋าถือโยนลงบนโต๊ะ
“ตอนนี้ฉันมีแค่นี้”
วสันต์รับไป แล้วคลี่ดู
“อะไรกัน เป็นถึงเมียคุณฐิติ สูรยกานต์ มีเงินแค่เนี้ย”
“งานนี้สำเร็จเมื่อไหร่ รับรองว่าแกจะได้เงินตามที่เราตกลงกันไว้แน่นอน”
กานดามณีลุกขึ้นจะเดินออกไป วสันต์คว้าแขนไว้ ดึงหล่อนมานั่งตัก มองด้วยสายตาโลมเลียม ใช้มือไล้แก้มกานดามณี
“เดี๋ยวสิ จะรีบไปไหน...ฉันไม่ได้บอกเธอเหรอว่าฉันไม่ได้ต้องการแค่เงิน”
อ่านต่อหน้า 3
สุดสายป่าน ตอนที่ 9 (ต่อ)
ราตรีเดียวกันนั้น สามคนอยู่ในห้องสำราญตำหนักใหญ่วังสูรยกานต์ ท่านหญิงลักษมีเป็นประธานยิ้มเยื้อนอย่างมีความสุข พอได้ฟังที่นมสายเล่าจบ
“ตาติหึงแม่กานดาวสีงั้นรึ”
“ก็ใช่น่ะสิเพคะ ตอนแรกอิฉันก็สงสัยว่าคุณฐิติเดินไปเดินมาอยู่หลังบ้านทำไม ที่แท้ก็มารอคุณกานดาวสี แต่พอเห็นหน้า ก็ประชดประชัน แง่งอนกันซะอย่างงั้น นี่ถ้าไม่เรียกว่าหึงก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้วล่ะเพคะ”
ท่านหญิงแย้มยิ้มอย่างพอใจมากขึ้น
“ผิดคำฉันซะที่ไหน...คนปากไม่ตรงกับใจอย่างนี้ต้องแกล้งซะให้เข็ด”
พุดตานท่าทางไม่สบายใจ
“ดิฉันว่า...เรียกตาติมาพูดกันตรงๆไม่ดีกว่าเหรอเพคะ แกล้งกันไปแกล้งกันมา เดี๋ยวจะยิ่งเข้าใจผิดกันไปใหญ่ แล้วชาตินี้ดิฉันจะได้อุ้มหลานมั้ยล่ะเพคะ”
“หล่อนนี่น่าเบื่อจริงๆ แม่พุดตาน เรื่องอย่างนี้พูดกันตรงๆ ได้ยังไง จะมัวแต่รอพรหมลิขิตก็คงจะไม่ทัน เอาเป็นว่างานนี้ ฉันจะลิขิตชีวิตหลานฉันเอง” ท่านหญิงว่า
นมสายพูดอุบอิบ “ที่ยุ่งกันอยู่ทุกวันนี้ ก็ไม่ใช่เพราะท่านหญิงลิขิตหรอกรึเพคะ”
ท่านหญิงค้อน “นี่หล่อนชักจะเอาใหญ่แล้วนะนมสาย”
“แล้วท่านหญิงจะทำยังไงต่อเพคะ”
พุดตานถามด้วยใจพะวงเป็นห่วงลูกชาย
ฟากฐิติอยู่ในห้องนอนรับรองแขก ยังไม่หายหงุดหงิดกานดาวสี บ่นบ้าตามเรื่อง
“ผู้หญิงอะไร อวดดีนัก คิดเหรอว่าฉันจะปล่อยให้เธอไปจากชีวิตฉันง่ายๆ...กานดาวสี”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ฐิติหันไป เห็นท่านหญิงเดินยิ้มเข้ามากับพุดตาน
“ท่านย่า แม่....มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ย่าก็จะมาบอกข่าวดีกับพ่อติน่ะสิ...ย่าตัดสินใจแล้วว่าตั้งแต่นี้ย่าจะไม่กีดกันความรักระหว่างพ่อติกับแม่กานดามณีอีก”
ฐิติตกใจปนผิดหวัง “อะไรนะครับ!”
ท่านหญิงยิ้มใจดี “ติรีบไปตกลงกับแม่กานดาวสีเค้าซะ ว่าจะไปหย่ากันเมื่อไหร่” ท่านย่ามีท่าทางเข้าอกเข้าใจ “ทางนั้นเค้าก็คงอยากจะหย่ากับเราเต็มทีแล้ว...”
ฐิติอึ้งไป พูดไม่ออก
พุดตานเล่นละครไปด้วย “แม่ดีใจด้วยนะติ ทีนี้ลูกของแม่ก็จะได้มีความสุขซะที”
ฐิติหน้าเสียหนัก แค่คิดว่าจะต้องหย่ากับกานดาวสีก็ปวดหัวใจจนแทบจะทนไม่ได้อยู่แล้ว
ฐิติร้อนใจ “แต่ผมไม่ได้รีบร้อนขนาดนั้น ก็...ท่านย่าบอกว่าจะรอให้คุณอาวิเศษหายป่วยก่อนไม่ใช่หรือครับ”
“ย่ามาคิดดูแล้ว ความสุขของติเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของย่า ในเมื่อติไม่ได้รักแม่กานดาวสี อยู่กันไปก็รังแต่จะเกลียดหน้ากันไปเปล่าๆ หย่ากันให้เสร็จๆ แล้วติจะได้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับคนที่ติรักไงล่ะลูก”
ฐิติหน้าเสีย พูดไม่ออก ท่านหญิงกับพุดตานสบตากันแล้วลอบยิ้ม
เสื้อผ้าของสองชายโฉดหญิงชั่ว วางกองระเกะระกะอยู่ที่พื้นห้องพักในโรงแรม ส่วนกานดามณีกับวสันต์นอนอยู่ด้วยกันบนเตียง กานดามณีลืมตาขึ้น ยังไม่ตื่นดีนัก มองไปรอบๆตัวอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็มาสะดุดที่วสันต์ที่นอนหลับอยู่ ข้างๆ กานดามณีสะดุ้งสุดตัว ผุดลุกขึ้น คว้านาฬิกาข้อมือที่วางอยู่หัวเตียงขึ้นมาดู
“ตายแล้ว...ตีสี่แล้วเหรอเนี่ย”
กานดามณีผลุนผลันลุกจากเตียง คว้าเสื้อผ้าที่ถอดทิ้งไว้ วิ่งเข้าไปในห้องน้ำ
เช้ามืด นมสายออกจากเรือนพัก เดินไปทางด้านหลังวังตรงไปที่ตำหนักใหญ่ จังหวะนี้นมสายได้ยินเสียงกุกกัก จึงชะงักด้วยความกลัว แต่เพราะตอนนั้นท้องฟ้ายังไม่สว่างดี นมสายถอยหลังไปแอบมองอยู่หลังพุ่มไม้ เห็นกานดามณีปีนยงโย่ยงหยกอยู่บนรั้วทำเหมือนจะปีนเข้ามา
นมสายสะดุ้งเอามือปิดปากไว้ไม่ให้ส่งเสียงออกมา สายตายังจับจ้องไปที่กานดามณีไม่วางตา เห็นกานดามณีกระโดดลงมาจากรั้ว แล้ววิ่งลัดเลาะไปตามต้นไม้ตรงไปที่ตึกใหญ่ นมสายมองตาค้าง
“คุณพระช่วย นี่คุณกานดามณีออกไปไหน ตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงได้กลับมาเอาป่านนี้ แล้วทำไมต้องปีนรั้วเข้ามาด้วย”
นมสายรีบร้อนสะกดรอยตามกานดามณีไปห่างๆ สายตามองไปที่กานดามณีไม่ให้คลาดสายตาไปจนถึงมุมตึก ก็ชนเข้าอย่างจังกับกานดาวสี ที่กำลังเดินหันซ้ายหันขวาเหมือนกลัวใครเห็น
กานดาวสี/นมสาย ร้อง “อุ๊ย...” พร้อมกัน
ต่างคนต่างหันมาเจอกัน
“คุณนม...ตกใจหมดเลยค่ะ”
“อิฉันก็ใจหายแว้บเหมือนกันล่ะค่ะ”
นมสายมองกานดาวสีอย่างสงสัย
“นี่คุณกานดาวสีจะไปไหนแต่เช้าคะ”
“ไปทำงานค่ะ ดิฉันต้องไปก่อนนะคะ”
กานดาวสีไหว้แล้วรีบเดินออกไป นมสายรับไหว้อย่างงงๆ บ่นๆ
“ไปทำงาน แต่ทำไมทำท่าเหมือนกับจะหนีใคร...”
นมสายนึกขึ้นได้ว่ากำลังแอบตามกานดามณี หันขวับไปดูทางที่เห็นกานดามณีเดินไป
“อ้าว แล้วนี่คุณกานดามณีหายไปไหนแล้วล่ะ”
ไม่นานหลังจากนั้นท่านหญิง พุดตาน นมสายยกขบวนเดินตามกันมาที่ห้องนอนห้องหอเก่าของฐิติและกานดาวสี ที่ถูกกานดามณียึด
“คราวนี้อิฉันตาไม่ฝาดแน่ๆ เพคะ อิฉันเห็นคุณกานดามณีปีนรั้วเข้ามาจริงๆ” นมสายยืนยันเป็นมั่นเหมาะ
พุดตานลังเลไม่อยากเชื่อ “ไม่น่าจะเป็นไปได้นะคะ แม่กานดามณีเค้าจะออกไปไหน ถึงได้กลับเอาเช้า แล้วยังปีนรั้วเข้ามาอีก”
“อย่ามัวถกกันอยู่เลย เดี๋ยวก็รู้แล้ว คนเพิ่งกลับ กับคนเพิ่งตื่น ยังไงเราก็ต้องดูออก”
นมสายเคาะประตู เงียบ ไม่มีเสียงตอบ นมสายเคาะประตูอีกครั้ง
กานดามณีงัวเงีย หัวหูผมฟูยุ่งมาเปิดประตู พอเห็นท่านหญิงยืนอยู่ด้วยก็ตกใจ
“อุ๊ย ท่านย่า ท่านย่ามีอะไรหรือเปล่าคะ”
ทั้งท่านหญิง นมสาย พุดตาน ต่างพากันมองกานดามณีอย่างพิจารณา ทั้งสามคน เห็น กานดามณีหัวหูยุ่ง เหมือนคนเพิ่งตื่นนอน ไม่มีอะไรผิดสังเกต
ท่านหญิงเปลี่ยนสายตามองลอดเข้าไปในห้อง
“ก็...ไม่ได้มีอะไร ฉันก็แค่มาดูว่าเธออยู่ยังไง”
กานดามณีทำเป็นไม่รู้เท่าทันว่าท่านหญิงกำลังจับผิด
กานดามณีดัดจริตดิดดิ้นใส่ “หนูสบายดีค่ะ ขอบพระคุณนะคะที่ท่านย่าเป็นห่วง”
ท่านหญิงเมินๆ หันไปพูดกับพุดตานและนมสายแทน
“ในเมื่อไม่มีอะไร งั้นเราก็ไปกันเถอะ”
ท่านหญิงเดินนำไป นมสายเพ่งมองกานดามณีอย่างจะหาพิรุธให้ได้ ก่อนจะยืดคอมองเข้าไปในห้อง จนแทบจะแทรกตัว เข้าไป พุดตานสะกิดเตือน
“ไปเถอะค่ะ คุณนม”
นมสายเดินตามพุดตานไปด้วยท่าทางไม่เต็มใจ แต่ก็ยังหันกลับไปมองกานดามณีอย่างไม่แน่ใจ
สามคนเลยไม่ทันเห็นสายตาของกานดามณีที่มองตามอย่างผู้ชนะ
“เชอะ คิดว่าจับผิดฉันได้เหรอ”
ขณะเดียวกัน สาวใช้ถือไม้กวาด ถังน้ำออกมาจากเรือนรับรองที่กานดาวสีพัก ก่อนจะปิดประตูลงกลอนเรียบร้อย ฐิติพรวดพราดมาหา มองอย่างสงสัย ลืมตัว เดินตรงเข้าไปถามสาวใช้
“คุณกานดาวสีล่ะ”
สาวใช้ไม่ทันตอบ นมสายเดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับท่านหญิงและพุดตาน
“เธอออกไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้วล่ะค่า” นมสายบอก
ฐิติไม่พอใจขึ้นมาทันที “ไปทำงาน...ก็ผมบอกแล้วไงว่า...”
พุดตานขัดขึ้น
“มีอะไรหรือเปล่าพ่อติ รีบร้อนมาดักเจอเค้าขนาดนี้ อ๋อ หรือว่าจะมาตกลงกันเรื่องหย่า”
ฐิติลืมตัวปฏิเสธทันควัน “ไม่ใช่นะครับแม่ ผมแค่จะมา...”
ฐิติอึ้งพูดไม่ออกว่ามาหากานดาวสีเพราะหึง หวง ไม่อยากให้คลาดสายตาไปไหน
สามแอบยิ้ม รู้ว่าฐิติพูดไม่ออก
“อืมม์ ก็ดีนะที่แม่กานดาวสีเค้าไม่งอมืองอเท้า รู้จักหางานหาการทำ อีกหน่อยเป็นม่ายก็จะได้เลี้ยงตัวเองได้ ไม่ต้องมาวุ่นวายกับตาติอีก”
นมสายอดผสมโรงไม่ได้ “โอ๊ย ไม่ต้องห่วงหรอกเพคะท่านหญิง สวยขนาดนี้ จะเป็นม่ายได้นานซักแค่ไหนกัน อิฉันรับรอง อย่างช้าก็ไม่มีทางเกินปีนึงแน่ๆ”
ฐิติใจหายวาบเหมือนคนถูกกระชากหัวใจออกไปจากอก ยืนอึ้ง ทำอะไรไม่ถูกก่อนจะรีบเดินออกไป
ท่านหญิง พุดตาน นมสาย เดินหัวเราะต่อกระซิกเข้ามา
“แผนของท่านหญิงนี่ได้ผลจริงๆนะเพคะ คุณติถึงกับหน้าเปลี่ยนสีไปเลย” นมสายหัวเราะหัวใคร่
“คนปากไม่ตรงกับใจอย่างตาติก็ต้องโดนแบบนี้ล่ะ รักเค้าแต่ก็บอกว่าไม่รักแล้วยังแกล้งทำเป็นรักคนอื่นอีก...”
พุดตานกังวล “แล้วถ้าพ่อติประชด หย่ากับแม่กานดาวสีจริงๆ เราจะทำยังไงล่ะเพคะ”
ท่านหญิงมั่นใจนัก “หล่อนอย่ากังวลไปเลยแม่พุดตาน ยังไงตาติก็ไม่ยอมหย่าแน่ๆ...ฉันว่าตอนนี้เราต้องหาทางให้ตาติกับแม่กานดาวสีเข้าใจกันให้ได้ ก่อนที่แม่กานดามณีจะจับตาติได้สำเร็จ”
อีกมุมหนึ่ง เห็นกานดามณียืนฟังอยู่ด้วยสายตาเป็นประกายอย่างโกรธเกรี้ยว
กานดามณีพาตัวเองมาอยู่ที่บ้านวสันต์ทันทีทันใด จิตใจร้อนรุ่มเป็นไฟ
“อีพวกสามแก่ในวังมันพยายามจะให้ติกับนังกานดาวสีเข้าใจกันให้ได้ แกต้องรีบไปยืนยันกับติ ว่านังกานดาวสีเป็นเมียแก”
“เรื่องง่ายๆ แค่นี้ จะให้ฉันลงมือเมื่อไหร่ก็ได้”
วสันต์เดินเข้าไปจ้องหน้ากานดามณีอย่างรู้ทันแกมข่มขู่
“แต่เธอก็อย่าลืมนะว่าต้องจ่ายฉันอีกครึ่งนึง ถ้าคิดจะเบี้ยวล่ะก็ อย่าหาว่าฉันไม่เตือนล่ะ”
“มันก็ขึ้นอยู่ที่แกว่าจะทำสำเร็จหรือเปล่า”
วสันต์มองอย่างระแวง “แกคิดจะเบี้ยวฉันเหรอ”
“ฉันก็แค่จะเตือนสติแกว่าถ้างานนี้ฉันพัง แกก็จะไม่ได้อะไรเลยแม้แต่สตางค์แดงเดียว”
ด้านพุดตานกำลังพูดโทรศัพท์อยู่ในห้องโถง
“ขอเรียนสายคุณวิทย์ค่ะ...ไม่อยู่...กลับเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบเหรอคะ...ขอบคุณค่ะ”
พุดตานวางโทรศัพท์อย่างหมดหวัง แล้วหันหลังมาเห็น ท่านหญิงกับนมสายยืนมองอยู่
พุดตานสะดุ้งตกใจนิดๆ ท่านหญิงสงสัย
“หล่อนโทรหาตาวิทย์ทำไมรึแม่พุดตาน...”
พุดตานอึ้ง
ท่านหญิงจ้องตาถามพุดตานอย่างจับสังเกตและเอาเรื่อง
“หรือว่าหล่อนมีอะไรปิดบังฉันอยู่”
นมสายร้องขึ้นอย่างตกอกตกใจ พอฟังจบ
“ว๊าย...อกอีแป้นจะแตก หมายความว่า คุณกานดาวสีกับคุณวิทย์เคยมีความสัมพันธ์กันมาก่อน...โอ๊ย อิฉันจะเป็นลม มันจะเป็นไปได้ยังไงกันคะ”
ท่านหญิงอึ้งไป ท่าทางใช้ความคิด
“เรื่องตาวิทย์นี่น่ะรึ ที่ทำให้ตาติโกรธแม่กานดาวสีนัก”
พุดตานอ้ำอึ้งนิดหนึ่ง “ไม่ใช่แค่คุณวิทย์หรอกเพคะ แต่ยังมีผู้ชายคนอื่นๆ อีกหลายคน”
ท่านหญิงคิดๆแล้วพูดอย่างมั่นใจ “แต่ฉันไม่เชื่อว่าแม่กานดาวสีจะทำตัวเหลวแหลกแบบนั้น”
พุดตานคล้อยตามแล้ว “เพคะ ทีแรกดิฉันก็ไม่ได้สงสัยอะไร แต่พอเรื่องมันกลับกลายเป็นว่ามีกานดาวสีสองคน...ดิฉันก็ชักไม่แน่ใจว่าผู้หญิงคนนั้นคือแม่กานดาวสีจริงๆ”
ท่านหญิงประชด “ก็ขอบใจนะยะ ที่หล่อนยอมคายเรื่องนี้ออกมา ไม่รอไปจนตาติกับแม่กานดาวสีเค้าหย่ากันไปซะก่อน...” พูดแล้วก็ชักหงุดหงิด “นี่ถ้าฉันรู้ตั้งแต่แรก เรื่องมันก็คงจะไม่คาราคาซังมาจนถึงป่านนี้”
พุดตานจ๋อย
“นี่เราไม่มีทางจะรู้เลยว่าใครเป็นใครจนกว่าคุณวิทย์จะกลับมาหรือเพคะ”
“แต่เราไม่มีเวลาจะมารอแล้ว”
ท่านหญิงลักษมีเป็นกังวลหนัก
อ่านต่อหน้า 4
สุดสายป่าน ตอนที่ 9 (ต่อ)
ท่านหญิงลักษมีให้คุณนมโทร.ตามไขนภาเป็นการด่วน และราชนิกุลสาวสวยอยู่ในห้องโถงวังสูรยกานต์ ต่อหน้าท่านหญิงป้าไม่นานหลังจากนั้น
“นมสายโทร.มาบอกว่าท่านป้ามีธุระกับหญิงหรือเพคะ”
“ใช่ เห็นแม่พุดตานบอกป้าว่าหลานสอนหนังสืออยู่ที่เดียวกับพ่อเลี้ยงของแม่กานดามณีไม่ใช่รึ”
“เพคะ คุณวิสูตรเป็นครูใหญ่ที่โรงเรียนของหญิง”
“ดีละ ป้ามีเรื่องสำคัญอยากให้หลานช่วย”
ไขนภาสงสัยมาก “เรื่องอะไรเพคะ”
“ป้าอยากรู้เรื่องแม่กานดามณี ครั้นป้าจะไปถามเอากับคุณวิสูตรเองก็คงจะไม่เหมาะ ป้าอยากให้หลานช่วยไปสืบเรื่องนี้ให้ป้า”
รำเพยขับรถมาตามทาง โดยจะไปส่งกานดาวสีที่โรงเรียน
“นี่เธอต้องออกจากบ้านตั้งแต่ไก่โห่อย่างนี้ทุกวันเลยหรือเปล่าเนี่ย”
“ไม่หรอก ที่วันนี้ฉันรีบออกมาก็เพราะมันเป็นวันเริ่มงานวันแรกต่างหาก”
“เหรอ...ไม่ใช่เพราะกลัวว่าคุณฐิติเค้าจะห้ามเธอไม่ให้มาทำงานหรอกเหรอ” รำเพยเหน็บขำๆ
“เค้าไม่มีสิทธิ์อะไรมาห้ามฉัน”
“ทำไมจะไม่มี เค้าเป็นสามีเธอนะ” รำเพยพูดอย่างปลงๆ “นี่ล่ะน้า...เค้าถึงบอกว่าความรักทำให้คนตาบอด เธอไม่รู้จริงๆ เหรอว่าที่เค้าโวยวาย ไม่ยอมให้เธอไปทำงานที่อื่น ก็เพราะเค้าไม่อยากให้เธอคลาดสายตามากกว่า”
รำเพยขับรถมาจอดที่หน้าโรงเรียนแล้ว กานดาวสีพยายามห้ามใจตัวเองไม่ให้คิดเตลิดไปไกลตามคำพูดของรำเพย
“เธอน่าจะบอกความจริงกับคุณฐิติไปนะว่า เธอไม่เคยมีอะไรกับนายวสันต์ หรือกับผู้ชายคนไหนทั้งนั้น เค้าจะได้เลิกหึงลมหึงแล้งซะที”
“เค้าไม่มีวันจะหึงฉันหรอก เพราะเค้าไม่ได้รักฉัน...” กานดาวสีเปิดประตูลงจากรถตัดบท “ฉันไปก่อนล่ะ ขอบใจมากนะรำเพยที่มาส่ง”
กานดาวสีเดินไป
“มัวแต่ตั้งแง่กันอยู่นั่นล่ะ แล้วเมื่อไหร่จะเข้าใจได้กันซะที”
รำเพยบ่นงึมงำขณะมองตามกานดาวสีไปอย่างไม่สบายใจนัก
กานดาวสียืนสอนภาษาอังกฤษอยู่หน้าห้อง เด็กๆ สนอกสนใจ จังหวะนั้นกานดาวสีหันไปเขียนกระดาน ก่อนจะหันกลับมาถามนักเรียน
“ใครตอบครูได้ ประโยคนี้แปลว่าอะไรคะ”
ฐิติพูดขัดขึ้น “ก็แปลว่าคุณต้องเลิกสอนแล้วกลับไปกับผมเดี๋ยวนี้น่ะสิ”
กานดาวสีกับนักเรียนตะลึง มองไปที่ต้นเสียง เห็นฐิติเดินเข้ามาจากประตูหลังห้องมายืน
ข้างๆ กานดาวสี และหันไปพูดกับนักเรียน
“นักเรียนนั่งรออยู่ในห้องนะครับ เดี๋ยวคงจะมีคุณครูคนใหม่เข้ามาสอน” หันกลับมาทางกานดาวสี “ส่วนคุณ ไปกับผมเดี๋ยวนี้”
ฐิติคว้าข้าวของกระเป๋าถือของกานดาวสีมาถือไว้ แล้วดึงแขนให้เดินออกจากห้องกานดาวสีพยายามขัดขืน แต่สู้แรงไม่ได้
“ปล่อยนะ คุณจะทำอะไรน่ะ”
พอฐิติกับกานดาวสีเดินออกไปพ้นห้อง นักเรียนทุกคนก็ลุกฮือขึ้นไปดู
ฐิติลากกานดาวสีให้เดินไปกับตน
กานดาวสีขัดขืนเต็มแรง “นี่มันเรื่องอะไรกัน คุณจะพาฉันไปไหน”
“คุณต้องไปทำงานที่สูรยกานต์ไหมไทย”
“คุณพูดอะไร ทำไมฉันต้องไปทำงานที่นั่น”
“ในฐานะลูกหนี้ คุณมีหน้าที่ต้องไปทำงานชดใช้ให้ผม”
กานดาวสีงง “คุณพูดอะไร ฉันไม่เคยไปเอาเงินของคุณ”
“ก็เงินค่าผ่าตัดคุณพ่อไง...”
กานดาวสีอึ้ง งง ไม่เข้าใจจริงๆ “หมายความว่ายังไง”
“ผมเอาเงินของผมใช้ให้คุณพระไปแทนคุณไปแล้ว และคุณก็ต้องไปทำงานที่สูรยกานต์ไหมไทยเพื่อชดใช้ให้ผม”
กานดาวสีโกรธ นึกไม่ถึงว่าฐิติจะมัดมือชกตนด้วยวิธีนี้
“ไม่ ฉันสัญญาว่าจะเอาเงินมาคืนให้คุณ แต่ฉันไม่มีวันไปทำงานกับคุณเด็ดขาด”
ฐิติดึงมือกานดาวสีให้เดินไปเร็วขึ้น
ขณะที่วิสูตรทำงานอยู่ในห้องพักครูใหญ่ ไขนภาเดินเข้าไปหาวิสูตรด้วยท่าทางลังเล
“ครูใหญ่คะ ดิฉัน...มีเรื่องจะขอความช่วยเหลือจากครูใหญ่ค่ะ”
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
ไขนภาตัดสินใจบอก “เรื่องคุณกานดาวสีน่ะค่ะ คือ...มีผู้ชายหลายคนอ้างว่าเคยมีความสัมพันธ์กับเธอ...แต่มีหลายอย่างที่ทำให้เราคิดว่าผู้หญิงคนนั้นไม่น่าจะใช่คุณกานดาวสี...”
วิสูตรพูดสวนขึ้นมาหน้าเครียด “แต่น่าจะเป็นกานดามณีใช่มั้ยครับ”
“ไม่มีใครรู้จักคุณกานดามณีดีเท่ากับครูใหญ่ ดิฉันหวังว่าครูใหญ่คงจะช่วยให้ความกระจ่างเกี่ยวกับคุณกานดามณีได้”
วิสูตรอึ้งไปอย่างเสียใจ กุมขมับ เครียดกับการกระทำของกานดามณี
“เพราะเรื่องนี้กำลังจะทำให้คุณฐิติกับคุณกานดาวสีแตกหักกัน”
วิสูตรนึกสงสัย “แต่คุณกานดาวสีบอกว่าลูกณีเป็นภรรยาคุณฐิติ...” แล้วคิดได้ “นี่หมายความว่าลูกผมเป็นคนทำลายชีวิตคุณกานดาวสี”
ไขนภาไม่ตอบ แต่หน้าตาแสดงว่ายอมรับ
วิสูตรอึ้งไป เสียใจหนัก ยกมือกุมขมับ เครียดแต่หาทางออกไม่ได้
“โธ่ ยัยณี ลูกไม่น่าทำอย่างนี้เลย”
วิสูตรเริ่มมีอาการเจ็บหน้าอก หายใจไม่ออก ก่อนจะฟุบลงกับโต๊ะ ไขนภาตกใจ รีบเข้าไปประคองไว้
“ครูใหญ่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ครูใหญ่”
วิสูตรนิ่งไป
ไขนภาเปิดประตูร้องของความช่วยเหลือ
“ใครก็ได้ช่วยด้วยค่ะ ครูใหญ่ไม่สบายมาก”
ฐิติจอดรถ ลากกานดาวสีลงมาจากรถ
“ถึงแล้ว...อยากทำงานนักไม่ใช่เหรอ งั้นก็ลงไปได้แล้ว”
กานดาวสียื้อตัวไว้ ไม่ยอมไป
“ดิฉันไม่ทำ ดิฉันบอกแล้วไงว่าจะหาเงินมาชดใช้ให้ แต่ดิฉันจะไม่ทำงานที่นี่”
“อ๋อ คุณจะได้มีโอกาสไปหาผู้ชายคนอื่นได้ง่ายๆ ใช่มั้ยล่ะ” ฐิติแดกดัน
“ถ้าฉันจะไป คุณก็ห้ามฉันไม่ได้หรอก” กานดาวสีย้อน
“ทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อคุณยังเป็นเมียผมอยู่” ฐิติพูดอย่างมีอารมณ์
เสียงวสันต์ดังขัดขึ้น “ถ้ายังงั้นเธอก็มาหาผมได้สิครับ เพราะเธอก็ยังเป็นเมียผมอยู่ เหมือนกัน
ฐิติกับกานดาวสีหันไป เห็นวสันต์เดินยิ้มเจ้าเล่ห์เข้ามา
วสันต์พูดกับฐิติ “ผมยอมให้เมียผมมาอยู่กับคุณนานแล้ว ถึงเวลาแล้วที่ผมจะมาเอาเมียผมคืน
วสันต์มองกานดาวสีด้วยสายตาแวววาว
“ใครเป็นเมียคุณ”
“ก็คุณไง” วสันต์คว้าแขนกานดาวสีจะดึงออกไป “มานี่...กลับไปกับผมเดี๋ยวนี้”
ฐิติเข้ามาขวาง
“หยุดนะ จะพากานดาวสีไปไหน”
“ก็เธอเป็นเมียผม เธอก็ต้องไปอยู่กับผมน่ะสิ” วสันต์ตีหน้าจริงจัง
จังหวะนี้รำเพยเดินเข้ามา
“เพื่อนฉันไม่ใช่เมียคุณ” รำเพยหันมาทางฐิติ “ฉันยืนยันได้ว่ายัยกานไม่ได้เป็นเมียผู้ชายคนนี้
จริงๆ แล้วยัยกานไม่เคยรู้จักเค้าเลยด้วยซ้ำ”
ฐิติอึ้ง ด้วยไม่รู้จะเชื่อใครดี
วสันต์ยืนกราน “ผมพูดความจริง แต่คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ แต่จะบอกให้นะ ผมรู้จักกานดาวสีลึกซึ้งกว่าคุณแน่ จะให้ผมบอกมั้ยล่ะว่าผู้หญิงคนนี้มีไฝฝ้าราคีอยู่ตรงไหนบ้าง”
“ไม่จริง คุณอย่ามาพูดมั่วๆ...คุณฐิติอย่าไปเชื่อเค้านะคะ ฉันจะหาหลักฐานมายืนยันให้ได้ว่ายัยกานไม่ใช่ผู้หญิงคนที่คุณคิด” รำเพยบอก
“ถ้าแน่จริงก็ไปหามาให้ได้สิ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าเธอจะไปหาหลักฐานที่จะมายืนยันเรื่องอย่างนี้ได้มาจากไหน”
รำเพยมองวสันต์อย่างท้าทาย ขณะวสันต์ยิ้มสู้ด้วยสายตามั่นใจ
วสันต์ไปแล้ว ฐิติกระชากกานดาวสีเข้ามาในห้องอย่างรุนแรง
“นี่ผัวเก่าคุณมันจะคอยตามคุณทุกฝีก้าวเลยใช่มั้ย จะอยู่ห่างกันบ้างไม่ได้หรือยังไง”
กานดาวสีพยายามดึงแขนออกจากฐิติ แต่ฐิติไม่ยอมปล่อย
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้เป็นอะไรกับเค้า”
“ถ้าไม่ได้เป็นแล้วมันจะกล้าตามมาทวงคุณถึงที่นี่เหรอ จะทำอะไรก็น่าจะรักษาหน้าผมบ้าง ยังไงคุณก็ได้ชื่อว่าเป็นเมียผมอยู่”
กานดาวสีสะบัดแขนออกจากฐิติ จะเดินออกไปนอกห้อง ฐิติตามมารั้งแขนไว้
“จะไปไหนเรายังพูดกันไม่รู้เรื่อง”
“คุณไม่เคยเชื่อคำพูดฉันอยู่แล้วนี่ เพราะฉะนั้นมันก็ไม่มีประโยชน์ที่ฉันจะพูดอะไรอีก”
กานดาวสีมองหน้าฐิติอย่างเหนื่อยใจ แกะมือฐิติที่จับแขนตนออก แล้วเดินออกไป
วสันต์เดินยิ้มร่าออกมาหน้าโชว์รูม รำเพยวิ่งไปดักหน้าวสันต์
“คุณทำกับเพื่อนฉันอย่างนี้ได้ยังไง”
วสันต์บอกอย่างไม่ยี่หระ “ช่วยไม่ได้ ผมเคยบอกเพื่อนคุณแล้วว่าผมจะไปยืนยันความบริสุทธิ์ให้ แต่เพื่อนคุณไม่ยอมรับข้อเสนอเอง”
“คุณก็เลยยอมไปเข้าข้างคนที่ยอมจ่ายเงินให้คุณใช่มั้ย”
“ก็ไม่เห็นจะแปลก ผมเป็นนักธุรกิจไม่ใช่นักบุญ สำหรับผม ยังไงผลประโยชน์ก็ต้องมาก่อนอยู่แล้ว”
ไขนภาเดินเข้ามาทันได้ยินพอดี
“คุณต้องการเท่าไหร่ บอกมาสิ”
วสันต์หันไปมองไขนภาอย่างงงปนทึ่ง
รำเพยแปลกใจ “คุณหญิง! มาได้ยังไงคะ”
ไขนภาบอกกับรำเพย “ดิฉันทราบมาว่าคุณฐิติพาคุณกานดาวสีออกมาจากโรงเรียน ดิฉันเป็นห่วงน่ะค่ะ ก็เลยตามมา”
ไขนภาหันไปพูด แนะนำตัวกับวสันต์อย่างมาดมั่น
“ฉัน หม่อมราชวงศ์ไขนภา ดำรงศักดิ์ ฉันแน่ใจว่าฉันมีเงินพอที่จะจ่ายให้คุณได้ตามที่คุณต้องการ”
วสันต์มองไขนภาตาลุกวาว
ขณะเดียวกันที่อีกฝั่งของถนน กานดามณีและวิไลวรรณนั่งรออยู่ในรถ เห็นวสันต์กำลังยืนคุยกับไขนภาและรำเพย
“ฉันสั่งให้ไอ้วสันต์มันไปพูดกับติเรื่องนังกานดาวสี แล้วมันมาเสนอหน้าอะไรอยู่ตรงนี้”
“นังผู้หญิงสองคนนั่นมันเป็นใคร หรือว่าจะเป็นเมียเก่าของผัวเก่าแก” วิไลวรรณเผลอปากอีก
กานดามณีหันไปดุตาเขียว “ฉันบอกแกแล้วไงว่าฉันมีผัวคนเดียวคือติ จำใส่หัวไว้เลยนะแล้วอย่าพูดให้ใครได้ยิน”
“เออ...ไม่พูดก็ไม่พูด แต่ฉันว่ามันต้องมีเรื่องอะไรกันแน่ๆ”
กานดามณีคิดระแวงอยู่เหมือนกันหันไปดู ฝั่งตรงข้าม
“เฮ้ย! ยัยวรรณมันหายไปไหนกันแล้ว”
ตกกลางคืน วสันต์มาหาอิ่มใจที่บ้าน กำลังหยิบเช็คขึ้นมาดู คิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
วสันต์ รำเพย ไขนภานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร วสันต์มองหน้าไขนภาแล้วยิ้ม ส่งสายตาประกาย
“คุณหญิงเสนอมาเลยดีกว่าว่าจะให้ผมได้เท่าไหร” วสันต์มองไขนภาด้วยสายตาโลมเลียมมาดชายเจ้าชู้ “หรือว่าจะให้ทั้งเงินทั้ง...”
ไขนภาพูดขัดขึ้น
“ตกลง ฉันจะให้คุณมากกว่าที่คุณได้จากคุณกานดามณี 2 เท่า”
ไขนภาหยิบเช็คขึ้นมาจากกระเป๋า แล้วเขียนส่งให้วสันต์
ไขนภาแดกดัน “ค่ามัดจำที่คุณยอมพูด” คุณหญิงเน้น “ความจริงว่ากานดาวสีไม่ใช่ผู้หญิงที่คุณมีความสัมพันธ์ด้วย”
วสันต์รับเช็คมา มองดูตาโต ก่อนจะมองไขนภาอย่างกรุ้มกริ่ม
“ตกลงครับ ผมจะยอมช่วยคุณหญิง...ไม่ใช่เพราะผมเห็นแก่เงินหรอกนะครับ แต่เผื่อว่าคุณหญิงจะเห็นความดีในตัวผมบ้าง”
ไขนภารู้ทันรีบตัดบท
“ถ้าเรื่องนี้จบ คุณมารับส่วนที่เหลือจากฉันได้เลย”
วสันต์หัวเราะหึ ๆ ในคอ
“พวกคุณนี่รักเพื่อนจริงๆ เลยนะครับ ยอมทุ่มไม่อั้นอย่างงี้ ผมจะช่วยจนสุดความสามารถเลยทีเดียว”
คิดแล้ววสันต์วางเช็คลงบนโต๊ะ แล้วยิ้มอย่างพอใจ ไม่ทันรู้ตัวว่าอิ่มใจเดินเข้ามา อิ่มใจหยิบเช็คไปดู
“นี่เช็คอะไร ทำไมเงินมันมากอย่างนี้ คุณเอาเช็คใบนี้มาจากไหน หรือว่าใครให้คุณมาคะ”
วสันต์กระชากเช็คกลับคืนไป
“ฉันหามาได้ละกัน เธออย่ามายุ่งได้มั้ย”
อิ่มใจมองอย่างระแวง ปราดเข้าไปทุบตีวสันต์ไม่ยั้ง
“หรือว่าคุณได้มาจากคุณกานดาวสี อ๋อ นี่คงจะบริการกันอย่างถึงใจล่ะสิ ถึงได้ให้มาเยอะขนาดนี้...ฉันไม่ยอม คุณจะทำอย่างนี้กับฉันไม่ได้นะ”
วสันต์เหวี่ยงอิ่มใจออกไป
“หยุดบ้าซะที ไม่ใช่เรื่องของเธอ แล้วอย่าแส่ไปพูดเรื่องนี้ให้ใครได้ยินล่ะ ถ้าไม่เชื่อ ฉันเอาเธอตายแน่”
อิ่มใจกรีดเสียงพูดออกมาทั้งน้ำตา “คุณพูดอย่างนี้ได้ยังไง ฉันเป็นเมียคุณนะ เรากำลังจะมีลูกด้วยกัน อีผู้หญิงนั่นก็หน้าด้าน ตัวเองก็มีผัวเป็นตัวเป็นตน แล้วยังแอบไปเป็นชู้กับผัวคนอื่น”
วสันต์มองอิ่มใจอย่างสมเพช
“ฉันเคยยอมรับเหรอว่าเธอเป็นเมียฉัน เด็กในท้องนั่นอาจจะไม่ใช่ลูกฉันก็ได้” ว่าพลางวสันต์ยิ้มหยัน “ในเมื่อเธอใจง่ายยอมนอนกับฉันได้ตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน เธอก็คงใจง่ายไปนอนกับคนอื่นได้เหมือนกัน”
วสันต์เดินไปอย่างไม่แยแส อิ่มใจทั้งผิดหวัง ทั้งเสียใจจนพูดไม่ออก
เช้าวันต่อมา ไขนภากับรำเพยหน้าตายิ้มแย้มรายงานผลงานกับท่านหญิง
“พรุ่งนี้ นายวสันต์จะเข้ามาที่นี่เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของคุณกานดาวสีเพคะ”
นมสายโล่งอก
“สาธุ คุณพระคุณเจ้าเข้าข้างคนดีเสมอนะเพคะ ทีนี้คุณกานดาวสีจะได้พ้นข้อครหาซะที”
ท่านหญิงยังกังวล “ว่าแต่เราจะเชื่อใจนายวสันต์นั่นได้แค่ไหนกัน บอกตรงๆว่าป้าไม่ไว้ใจผู้ชายคนนี้เลย”
ทุกคนนิ่ง ท่าทางไม่แน่ใจนัก
“ผู้ชายคนนี้ทำได้ทุกอย่างเพื่อเงิน ในเมื่อเรายอมจ่ายให้เขามากกว่ากานดามณีนายวสันต์ก็ต้องเลือกที่จะช่วยเราอยู่แล้ว”
“ถ้าเป็นอย่างที่คุณหญิงคิดก็ดีน่ะสิคะ ตาติจะได้ตาสว่างซะทีว่าคนไหนคือเพชรคนไหนคือกรวด
กานดามณีอยู่ในมุมหนึ่งของวัง พยายามต่อโทรศัพท์ แต่ไม่มีคนรับสาย
“ทำไมโทร.ไม่ติดซะทีนะ หรือว่ามันหลบหน้าฉัน อย่าคิดนะว่าจะหนีฉันพ้น”
กานดามณีกระแทกหูโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด หันกลับมาเจอท่านหญิงและนมสายยืนมองอยู่ ไม่รู้มาเมื่อไหร่
“อุ๊ย ท่านย่า...”
“กำลังโทรหาใครอยู่รึ”
“อ๋อ...เอ่อ โทรหาเพื่อนน่ะเพคะ เค้าจะชวนหนูไปทำธุระด้วยกัน”
“จะไปไหนก็ไป แต่ยังไงก็กลับมาให้ทันพรุ่งนี้ 9 โมงเช้านะ...”
กานดามณีสงสัย “พรุ่งนี้มีอะไรหรือเพคะ”
“จะมีคนมาที่นี่เพื่อมาเปิดโปงคนที่ทำผิด ใครทำชั่วอะไรไว้ พรุ่งนี้ก็คงจะรู้กัน” ท่านหญิงน้ำเสียงเรียบเย็น
กานดามณีหน้าเสีย นมสายสังเกตเห็น แกล้งทำเสียงอ่อนเสียงหวานอย่างเป็นห่วง
“อุ๊ย คุณกานดามณีเป็นอะไรหรือเปล่าคะ หน้าซีดเชียว...เอ๊ะ แต่คุณก็ไม่มีอะไรจะต้องกลัวนี่คะ ในเมื่อคุณก็ไม่ได้ทำอะไรเลวๆไว้ซะหน่อย”
“หมายความว่ายังไงเพคะ ใครจะมาเปิดโปงใครกัน” กานดามณีฉงนหนัก
“แล้วพรุ่งนี้เธอก็จะรู้เอง” ทางหญิงบอกอย่างเยือกเย็น
กานดามณีเครียด สายตาเต็มไปด้วยความระแวงและหวาดหวั่น มั่นใจว่า มันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับชีวิตในวังของหล่อนเป็นแน่!
อ่านต่อตอนที่ 10