สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 16 อวสาน
ค่ำคืนนั้น เพลงรักสำเนียงเพราะพริ้งโครตๆ ดังกังวานขึ้น ขณะแพรวานอนแช่น้ำอยู่ในอ่างอาบน้ำใหญ่กลางห้องน้ำอันโอ่อ่าภายในห้องนอน หล่อนใช้มือลูบไล้ไปตามเรือนร่างจนทั่ว ด้วยความสุขใจ ราวกับได้ปลดปล่อยทุกปัญหาไปกับการชำระล้างตัวในครั้งนี้
ต่างจากหรั่ง ที่เดินอยู่อย่างเดียวดาย ท่ามกลางความมืดมิดของแสงไฟริมถนนสายเปลี่ยว ดูเหมือนเขาจะไม่มีจุดหมายในการเดินแต่อย่างใด
น้ำตาหรั่งยังคงทยอยไหลอาบแก้มอย่างสม่ำเสมอ
ส่วนแพรวานั่งแปรงผมตัวเองอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอน เธอไม่อาจปิดบังความสุข และความหวังของเธอไว้ได้
ในที่สุดหรั่งทรุดตัวลงนั่งริมฟุตบาทเยี่ยงคนสิ้นหวัง ไร้หนทาง ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ในอดีต ที่แค้มป์งานก่อสร้าง เมื่อ 17 ปีที่ผ่านมา
เด็กชายหรั่ง นั่งซึมเศร้าอยู่โคนต้นไม้ ริมทะเล ไกลออกไปเราจะเห็น ชายแก่รูปร่างผอมเกร็ง ผิวดำปี๋ เดินตรงเข้ามา เขามีชื่อว่า ลุงนุ้ย
“เอ็งจะมานั่งตีหน้าเศร้าทำไมวะ...ทำเหมือนคนอกหัก”
“ก๊อกหักน่ะสิ” เด็กชายหรั่งบอก
“เป็นเด็กเป็นเล็ก อกหักแล้ว...เก็บไว้โตก่อนไม่ดีเร้อ ไอ้หรั่ง”
“ทำไงฉันถึงจะรวย”
“ถ้าข้ารู้ ข้าไม่เป็นกรรมกรมาจนทุกวันนี้หรอก”
“แล้วฉันต้องถามใครเหรอ”
ลุงนุ้ยส่ายหน้าแทนคำตอบ
“เอ็งจะรวยไปทำไม”
“จะได้ไม่ต้องอกหัก” เด็กชายหรั่งว่า
“มันไม่เกี่ยวกันโว้ย...คนจนก็มีรักแท้ได้...ไม่เห็นเหรอ ในแค้มป์ก่อสร้างเรา มีผัวเมียตั้งกี่คู่ ตัวเล็กตัวน้อยลูกเด็กเล็กแดงยั้วเยี้ยไปหมด”
“ลุงนุ้ยไม่เห็นมีลูกเลย”
“ก็ข้าไม่มีเมียนี่หว่า”
“งั้นลุงนุ้ยก๊อกหักเหมือนกัน”
“ใครว่า...ข้ารักเดียวใจเดียวต่างหาก”
เด็กชายหรั่งหันมาจ้องหน้าลุงนุ้ย ขณะลุงนุ้ยคุยฟุ้งต่อ
“เอ็งมันไม่ทันได้เห็นแม่กระหล่ำ...ยิ้มหวาน ทำอาหารเก่ง ร้องเพลงเพราะจับใจ...ถึงเขาจะไม่รักข้า แต่ข้าไม่เคยรักใครเท่าแม่กระหล่ำอีกเลย...ข้ามีความสุข ทุกครั้งที่นึกถึงเขาแอบดูเขา แค่เห็นหลังคาบ้านเขา ข้าก็หัวใจพองโตแล้ว”
“แล้วเขาไปไหนล่ะ” หรั่งงง
“แก่ตายไปก่อนข้าแล้วน่ะสิ...น่าสงสาร ยังไม่ทันได้มีผัวเลย...แต่ทุกวันนี้ ข้าก็ยังเก็บรูปแม่กระหล่ำไว้ดูก่อนนอนเลยนะเว้ย...เห็นมั้ย ข้าไม่เคยอกหัก ข้ามีความสุขทุกวัน ขนาดเศรษฐีรวยๆ ยังอิจฉาข้าเลย”
“สอนฉันหน่อยสิ...สอนให้ฉันมีความสุขอย่างลุง”
ลุงนุ้ยมองหน้าหรั่งเต็มๆ ตา
“ข้าจะบอกให้นะ...เอ็งมันมีบุญ มีวาสนาสูงเกินกว่าที่ข้าจะสอนได้”
“ฉันเนี่ยนะ”
ลุงนุ้ยพยักหน้า ที่ด้านหลังของหรั่ง เราจะเห็นเด็กชายโบ้วิ่งตรงเข้ามาหามัน ลุงนุ้ยมองไปยังเด็กชายโบ้แล้วจึงพูด
“นู่น...คู่บุญของเอ็ง ไอ้โบ้...เอ็งสองคนจะทิ้งกันไม่ได้นะ จำไว้”
“คู่บุญของฉันไม่ใช่ลุงนุ้ยเหรอ”
ลุงนุ้ยยิ้ม “ข้ามันก็แค่ ไอ้นุ้ย นาคำ...คู่กรรม มากกว่า คู่บุญว่ะ...”
ว่าแล้วลุงนุ้ยเดินจากไป
เด็กชายโบ้วิ่งมาถึงตัวหรั่ง
“ถ้าฉันทำให้แกยิ้มได้ แกจะยอมให้ฉันขี่คอมั้ย”
หรั่งมองหน้าโบ้ นิ่งๆ โบ้ส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้หรั่ง กระดาษใบนั้น มันคือรูปเด็กหญิงแพรวา ซึ่งรูปนี้อยู่ในห้องหรั่ง
“ฉันเก็บได้ตรงหน้าบ้านเศรษฐี...ฉันยกให้แก”
หรั่งยิ้ม คว้ารูปใบนั้นมาไว้ในมือ โบ้กระโดดขี่คอหรั่งทันที
“วันนี้ฉันจะขี่คอแกทั้งวันเลย...ไป...วิ่งไปเลย วิ่งเร็วๆ เลย ไป”
เด็กชายโบ้ขี่หลังเด็กชายหรั่งวิ่งไปไกลลิบตา เห็นรอยยิ้มเบิกบานเต็มหน้าหรั่ง
รูปใบนั้นในมือเด็กชายหรั่งในอดีต ถูกติดอยู่บนเพดานบ้านกลางทุ่ง
แพรวายืนแหงนหน้ามองภาพนั้นอยู่กลางโถงบ้านในมือของเธอประคองดอกไม้ช่อใหญ่มาก แพรวา จัดดอกไม้ ลงบนโต๊ะอาหารสวยกลางห้องโถงนั้น ด้วยใบหน้าอันเปี่ยมสุข
รถเผ่าลาภแล่นเข้ามาจอดอย่างสงบนิ่ง หน้าบ้านกลางทุ่ง
สยามเปิดประตูรถ เราจะเห็นเผ่าลาภนั่งนิ่งอยู่ในนั้น คล้ายกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง เขายกโทรศัพท์ขึ้นพูด
“ผมว่าคุณน่าจะเหมาะกว่าผมนะ...อย่างน้อยก็ลูกผู้หญิงเหมือนกัน”
พระอาทิตย์สีเย็นตา โผล่พ้นขอบฟ้าในเช้าวันใหม่ที่เซฟเฮ้าส์ตะวันฉาย
ตะวันฉายเดินตรงมา ด้วยสีหน้าประหลาดใจ เขาเอื้อมมือเข้าไปหยิบกระดาษโน้ตที่เสียบอยู่ เปิดออกดู กระดาษแผ่นนั้น เห็นตัวหนังสือชัดเจนว่า
"อย่านึกนะว่า จะไม่มีใครล่วงรู้ความชั่วของนาย วันใดที่ศพเผ่าลาภถูกฝังลงหลุม วันนั้นความเลวร้ายของนายจะถูกขุดขึ้นมาเปิดโปง”
ตะวันฉายโกรธสุดขีด เขากัดฟันกราดเกรี้ยว
“นึกว่ากูจะกลัวเหรอ”
เวลานั้นบารมียืนนิ่งอยู่หน้าบ้านของเผ่าลาภ ส้มเดินเข้าตรงเข้าไปรายงานเรื่องราว
“คุณหนูแพรวาไม่อยู่ค่ะ ออกไปข้างนอกตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ หนูตื่นไม่ทันค่ะ”
“แล้วมีใครอยู่บ้านบ้าง”
“คุณรำไพอยู่ค่ะ แต่ยังไม่ลงมาจากห้องนอน...คุณลินจงเพิ่งกลับไปโรงสีเมื่อวานนี้.....คุณกันทิมา เมื่อกี้หนูเห็นอยู่แว้บๆ....”
ชาติชายเดินออกมาจากในบ้านพอดี
“อ้อ แล้วก็คุณชาติชายค่ะ...” ส้มบอก
บารมีเงยหน้ามอง
“ลงมาจากเหมืองตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เพิ่งมา เผื่อว่าทางนี้มีอะไรให้ช่วยตอนเคลื่อนย้ายศพเฮียตง”
“ก็ดี บอกซ้อด้วยว่า อั๊วจะไปที่ฮวงซุ้ยเลย ขอให้พวกเราระวังตัวให้ดี คนที่คิดร้ายกับพวกเรายังมีเหลืออยู่...สำหรับลื้อ อาเหลียง อั๊วหวังว่ากันทิมาจะอยู่ในความดูแลที่ดีของลื้อตลอดไปนะ”
บารมีเดินออกจากบ้านหลังนี้ไปเฉยๆ ชาติชายหมุนตัวกลับเข้าไปในบ้าน กันทิมายืนหลบนิ่งอยู่ข้างๆผนัง
“ทำไมคุณต้องหลบหน้าเขา” ชาติชายคาใจ
“ไม่ได้หลบ แค่ไม่มีอะไรจะพูดด้วยเท่านั้นเอง”
กันทิมาเดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน
สักครู่ต่อมา กันทิมาเดินสวนกับรำไพที่เพิ่งก้าวลงบันไดมา
“ตื่นเช้าอีกแล้วนะคุณกัน”
“ตื่นอย่างนี้ทุกวันจนเคยตัวแล้วละค่ะ”
“สงสัยลูกในท้องต้องขยันแน่ๆเลย แม่ตื่นเช้าขนาดนี้...”
กันทิมายิ้มรับคำเย้า
ชาติชายก้าวเข้ามาทันได้ยินพอดี
“ดูสิ จนห้าเดือนแล้วยังมองไม่ออกเลยนะ ท้องสาวเนี่ย”
รำไพพากันทิมาเดินลับไป ทิ้งชาติชายให้ยืนทำความเข้าใจเรื่องทั้งหมดแต่เพียงลำพัง
รถแพรวาวิ่งไปบนถนนในกรุงเทพมหานคร ที่เวิ้งว้าง และ เปลี่ยวเหงา
แพรวาขับรถคันนี้เองด้วยใบหน้านิ่งเฉย อะไรบางอย่างบอกให้เรารู้ว่าเธอเพิ่งผ่านค่ำคืนที่โดดเดี่ยว ชอกช้ำ เกินกว่าจะทนทานได้
ในเวลาค่ำคืนที่ผ่านมา มือหรั่งวางโทรศัพท์มือถือของเขาตั้งบนพื้น เขากดปุ่มบันทึกวิดีโอลงบนโทรศัพท์มือถือ ด้านหลังของหรั่งไปยังโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้น
เสียงของหรั่งดังเข้ามา แผ่นหลังและไหล่ของเขาสั่นเทาไปตามจังหวะของการออกเสียงหรั่งที่ปรากฎบนหน้าจอโทรศัพท์นั้น หรั่งเอ่ยปากพูดความรู้สึกทั้งหมดของตน บันทึกลงไปในโทรศัพท์เครื่องนั้น
“โลกนี้มีเรื่องราวลึกลับมากมาย ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ความจริงได้หมดทุกเรื่อง เช่นเดียวกับผมและคุณ...มีความจริงบางอย่างระหว่างเราที่คุณไม่เคยรู้...ผมเองก็เพิ่งรู้ มันอาจจะฟังดูโง่ๆ แต่มันเป็นเรื่องจริง...”
ค่ำคืนที่ผ่านมา แพรวานั่งนิ่งกลางโถงบ้านกลางทุ่ง สายตาของเธอจับจ้องไปที่โทรศัพท์มือถือเสียงหรั่งดังเข้ามา
“ผมต้องใช้เวลาทำใจอยู่ไม่น้อยกว่าจะมีสติพอที่จะพูดกับคุณ นั่นเป็นเพราะ ผมไม่แน่ใจว่าเมื่อพูดออกไปแล้วมันจะเกิดผลอะไรบ้าง และไม่รู้ว่าผมจะรับผิดชอบความรู้สึกที่สูญเสียไปได้อย่างไร ทั้งความรู้สึกของคุณและของผม...”
ที่หน้าจอมือถือของแพรวา เห็นเป็นหน้าหรั่งนั่งพูดความในใจของเขา หรั่งคร่ำครวญเรื่องราวของเขาด้วยน้ำตานองหน้า ดวงตาแดงก่ำ
“แต่เชื่อผมเถอะ ผมไม่เคยตั้งใจที่จะให้มันเป็นแบบนี้เลย มันไม่ใช่ความผิดของผมแต่มันเป็นกรรม กรรมที่ยากจะบอกว่าใครเป็นผู้ก่อ และไม่รู้ว่าจะหาตัวต้นตอความผิดได้ที่ไหน แต่ผู้ที่จะต้องชดใช้กลายเป็น ผม...”
ขณะนั้นรำไพก้าวเดินเข้าไปในบ้านกลางทุ่ง
เสียงหรั่งยังดังต่อเนื่องมา “ถ้าเป็นไปได้...ผมอยากจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขทุก ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น แต่ผมจะต้องแก้ยังไง...แก้ตรงไหน...แก้ที่ใคร...ใครจะบอกผมได้บ้าง...”
หรั่งยังคงนั่งเอ่ยปากพูดกับโทรศัพท์ ที่เดิมเขาพยายามสะกด กลั้นน้ำตา ไม่ให้มันท่วมทะลักออกมามากนัก
“ง่ายกว่านั้นคือเลือกที่จะไม่รับรู้อะไรเลยซะดีกว่า...แต่มันเป็นไปไม่ได้ โชคชะตาได้กำหนดให้ผมได้รับรู้ความจริงเหล่านั้นในวันนี้ เพื่ออะไร...คง เพื่อไม่ให้ผมทำบาปทำกรรมมากไปกว่าที่เป็นอยู่นี้….”
แพรวาขับรถไปบนถนน สภาพน้ำตานองหน้า
เสียงหรั่งดังต่อเนื่อง “ผมต้องขอโทษ ที่ไม่อาจพูดต่อหน้าคุณ...ไม่อาจสบตาซึ่งๆหน้ากับคุณได้...เพราะผมอาย ผมอายความรู้สึกของตัวเองทั้งหมดที่เคยมีต่อคุณ...ผมอายความฝันทั้งหมดที่ผมเคยฝัน
ถึงคุณไว้...ผมรู้ ว่าคุณคงทำใจได้ยาก และคงไม่มีทางที่คุณจะเข้าใจทั้งหมดในตัวผม...”
หรั่ง หายใจลึกๆ กลืนน้ำตาให้ลงไปในคอ แล้วจึงเอ่ยปากอย่างเด็ดขาด
“ผมขอแนะนำ ทางออกที่รวดเร็วที่สุดสำหรับคุณ ก็คือ ขอให้คุณเข้าใจซะว่า ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นแก่ตัวของผมเอง...เพราะผมจะขอหนีไปให้ไกล...หนีไปจากทุกสิ่งที่ผมก่อไว้ในวันนี้ เพื่อรับผิดชอบต่อสิ่งที่ผมไม่ได้เป็นผู้ก่อไว้ ในอดีต....”
แพรวา ร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือดขณะรำไพก้าวเข้ามายืนมองภาพนี้
“ลาก่อนครับ ลืมทุกอย่างที่ผมเคยพูดกับคุณไว้ให้หมดสิ้น มันเป็นแค่ลมปากของคนที่ตกอยู่ในภวังค์เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น...นับจากวันนี้เป็นต้นไป คุณจะไม่ได้เห็นหน้าผมอีก...และอย่าได้คิดตามหาตัวผม...เพราะไม่มีวันที่คุณจะหาผมเจอ...”
แพรวาขว้างโทรศัพท์เครื่องนั้นทิ้ง เธอทรุดตัวลงร้องไห้คร่ำครวญ...ทว่าเสียงหรั่งยังคงดังต่อเนื่องอยู่
“ผมขอมีชีวิตอยู่กับครอบครัวเล็กๆ ของผมที่ไม่มีใครรู้จัก เพื่อจะได้ไม่ต้องมีใครช้ำใจมากไปกว่านี้...ดูแลตัวเองให้ดีนะครับ...สัญญาว่าจะระลึกถึงคุณเสมอ...เท่าที่ผมจะทำได้...”
หน้าจอโทรศัพท์ที่กลิ้งอยู่ที่พื้นบ้าน เห็นหน้าหรั่ง พูดต่อเนื่องอยู่
“แต่ผมรู้ว่า คุณคงไม่เชื่อคำสัญญาจากปากของผมอีกต่อไปแล้ว”
รำไพ ยืนมองดูลูกสาวด้วยความสงสาร สักครู่แพรวา เงยหน้ามองเห็น แพรวาโผเข้าไปหารำไพเธอกอดซบผู้เป็นแม่ พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญ
“ทำไม ทำไมถึงเป็นอย่างนี้...เขาทำอย่างนี้ได้ยังไง...เขาทำกับน้องแพรอย่างนี้ได้ยังไงทำทำไม ทำเพื่ออะไร...แม่จ๋า...ช่วยน้องแพรด้วย”
“น้องแพร หนูต้องตั้งสติให้ดีไว้ก่อนนะลูก”
“ตั้งสติแล้วมันจะดีขึ้นเหรอคะ...ตั้งสติแล้ว หรั่งเขาจะกลับมาหาน้องแพรเหรอคะ...ตั้งสติแล้วเขาจะไม่ทำอย่างนี้กับน้องแพรเหรอคะ”
“ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้หรอกลูก...แต่ถ้าลูกมีสติ ทุกอย่างมันก็จะค่อยๆ คลี่คลายลงได้นะลูก”
“น้องแพรจะมีสติได้ยังไง ในเมื่อเขายังไม่มีสติกับน้องแพรเลย...น้องแพรไม่เข้าใจว่า อะไรคือเหตุผลที่ทำให้เขาเป็นอย่างนี้ มันเพราะอะไรกันแน่...สู้ บอกมาเลยว่าน้องแพรเลวยังไง...น้องแพรไม่ดียังไง...น่ารังเกียจยังไง ยังดีซะกว่า ที่จะมาบอกว่าเป็นเวรเป็นกรรมอะไรก็ไม่รู้...แล้วก็ทิ้งน้องแพรไปอย่างนี้ ทิ้งไปในวันที่เรามีนัดกัน เราตกลงว่าจะตั้งต้นชีวิตคู่ของเราใน วันนี้ เราจะมีชีวิตอยู่ด้วยกัน เป็นของกันและกันตลอดไป แต่ทำไมถึงได้กลายเป็นอย่างนี้...ทำไม...ทำไม...” หล่อนระบายอย่างคับแค้น
รำไพเครียดจัด “เขาคงมีเหตุผลสำคัญอะไรบางอย่าง ที่บอกหนูไม่ได้”
“มันไม่มีหรอกค่ะ เหตุผลสำคัญที่บอกใครไม่ได้...มันไม่มีเหตุผลมากกว่า มันคือความเห็นแก่ตัวจริงอย่างที่เขาว่า...เขาคงคิดว่าเขาได้ทุกอย่างของน้องแพรไปแล้ว เขาได้หัวใจน้องแพรไปแล้ว คิดจะทำปู้ยี่ปู้ยำกันยังไงก็ได้อย่างนั้นเหรอ...”
“อย่าเพิ่งคิดอย่างนั้นสิลูก”
“มันคืออย่างนั้นแหละแม่...มันคืออย่างนั้นแหละ...แม่จ๋า...ไม่มีใครทำร้ายน้องแพรได้เจ็บเท่านี้อีกแล้ว...แต่น้องแพรจะไม่ยอมให้เขาทำกับหนูข้างเดียวหรอก แม่จ๋า...น้องแพรจะหาตัวเขาจนกว่าจะเจอ...จะตามรังควานเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน น้องแพรจะตามไปประจานเขา...จะเปิดโปง ทุกอย่างที่เขาทำกับหนูไว้...จะไม่มีวันปล่อยให้เขามีชีวิตสุขสงบได้อย่างที่เขาต้องการหรอก...คอยดูสิ”
หล่อนทำอย่างว่าจริงๆ รถแพรวาวิ่งตรงเข้าไปใน ชุมชนจานเดี่ยว เวลาต่อมาก้อยขยับตัวลงนั่งตรงหน้า
“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้...หรั่งไม่มีวันทำอย่างนั้นแน่ๆ ค่ะ” ก้อยว่า
“เขาทำไปแล้ว...เขาทิ้งฉันไปเฉยๆ อย่างไม่มีเหตุผล ไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน นอกจากคลิปวีดีโอ สั้นๆ อันเดียว”
ก้อยจับความรู้สึกได้จากน้ำเสียงของแพรวา มันยังเจือปนไปด้วยความช้ำปนความแค้น ก้อยเอื้อมควานหามือแพรวาจนเจอ กุมมือแพรวาไว้จนแน่น
“คุณแพรวาคะ...ก้อยรู้ว่าหรั่งคิดยังไงกับคุณแพรวา...จริงๆนะคะ ถึงก้อยจะมองไม่เห็น แต่ก้อยรู้ว่าทั้งชีวิตของหรั่ง มีแต่คุณแพรวาคนเดียวเท่านั้น...คุณแพรวาเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้หรั่งต่อสู้กับอุปสรรคในชีวิตจนมาถึงวันนี้ได้”
“แล้วทำไมวันนี้เขาถึงเลิกล่ะ...ทำไมอยู่ๆ ก็หนีหายไป”
“หรั่งคงมีปัญหาอะไรบางอย่างที่พูดไม่ได้” ก้อยว่า
“เธอพูดเหมือนแม่ฉันเลย...อะไรบางอย่างที่พูดไม่ได้ เหตุผลบางอย่างที่บอกไม่ได้...มันก็แค่ข้องอ้างของคนเลวๆ คนหนึ่งเท่านั้น”
ความโกรธแค้นชิงชังเริ่มเกาะกุมจิตใจแพรวาอีกครั้ง
“หรั่งไม่ใช่คนอย่างนั้นนะคะ” ก้อยบอก
“ก้อยจะมั่นใจได้ยังไง...เขาอาจจะโกหกทุกคนมาโดยตลอดก็ได้...เขาอาจจะมีคนอื่นโดยที่ก้อยไม่รู้...เหมือนที่เขาเคยโกหกก้อยว่ากำลังตามหาพ่อของเขาอยู่...เขาอาจจะแอบมีเมียอยู่ที่ไหนซักที่หนึ่ง...แล้ววันนี้เมียเขาอาจจะท้องขึ้นมา เขาก็เลยรู้สึก สำนึกได้ว่า ต้องกลับไปอยู่กับลูกกับเมียเขา”
“คุณแพรวาคะ อย่าทำให้ก้อยรู้สึกไม่ดีกับคุณ...ด้วยการพูดจาให้ร้ายหรั่งเลยค่ะ”
น้ำเสียงก้อยเข้มจัด แต่แฝงความเห็นใจอยู่ในที
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 16 อวสาน (ต่อ)
แพรวานิ่งเงียบ ความโกรธแค้น เริ่มคลายลง เหลือแต่ความช้ำใจ
“ฉันอาจจะเพ้อเจ้อไป เพราะความคิดถึงเขา...และฉันไม่รู้ว่าจะไปตามหาเขาได้ที่ไหน...”
“หรั่งจะกลับมาหาคุณแพรวาเองค่ะ เชื่อเถอะ...คุณต้องศรัทธาในตัวหรั่งนะคะ”
แพรวายิ้มหยันบางๆ เหมือนจะเวทนาตัวเองนิดๆ
“ขอบใจนะ ที่อุตส่าห์นั่งคุยกับฉัน”
แพรวาขยับตัวลุกขึ้น ก้อยเอ่ยปากก่อนแพรวาจะเดินหลุดไป
“งานศพคุณเผ่าลาภ เมื่อไหร่คะ...ก้อยเชื่อว่าหรั่งต้องไปงานศพคุณเผ่าลาภแน่ๆ”
ภายในรถหรูริมถนนเปลี่ยวแห่งนั้น รำไพขยับตัวลงนั่งในรถ เผ่าลาภนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ข้างๆกัน
“ทำไมเขาถึงใช้วิธีนี้....แทนที่จะบอกความจริงกับยายแพรไปเลย”
“เขายังไม่อยากเชื่อ ว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง...ในเมื่อมีโอกาสคลาดเคลื่อนถึง 75% ตามที่หมออังกูรบอก...เขาก็เลยขอพิสูจน์ให้เป็น 100 % ซะก่อน ถึงจะยอมรับว่า เป็นลูกพี่ลูกน้องกับยายแพรจริง”
“ยังมีวิธีพิสูจน์อีกเหรอคะ”
เผ่าลาภส่ายหน้า
“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
“หรือจะแค่ซื้อเวลา เพื่อทำใจ...”
“ก็เป็นได้...”
เผ่าลาภมองหน้ารำไพอีกครั้ง
“คุณพร้อมหรือยัง...”
“คะ?”
“พร้อมที่จะไปงานศพผมรึยัง”
รำไพมองหน้าสามีไม่ยอมตอบ เผ่าลาภดึงรำไพเข้ามากอดไว้อย่างนุ่มนวล
เวลาตอนเย็นๆ แพรวา เธอเดินเรื่อยเปื่อยอยู่เพียงลำพัง ท่ามกลางความเวิ้งว้างของหาดทรายกว้าง เสียงเพลงรักและผิดหวัง ดังเคล้าคลออยู่ตลอดในห้วงคำนึงของเธอ
นึกถึงเหตุการณ์ที่บ้านกลางทุ่งก่อนหน้านี้ ที่คุยอยู่กับมารดา
เวลากลางดึกคืนนั้นรำไพนั่งโอบกอดปลอบประโลมแพรวาอยู่ในมุมสงบ
“ถึงเวลาที่แม่ต้องเลือกแล้วละน้องแพร...แม่ต้องเลือกระหว่างการใช้ชีวิตที่เหลือเพียงลำพังกับคุณป๋าของหนู แต่ต้องอยู่แบบคนไม่มีตัวตน...หรือจะเลือกเป็นคุณรำไพคนเดิมที่สุขสบายในคฤหาสน์หลังใหญ่ แต่ต้องรับสภาพการเป็นหญิงหม้าย และปล่อยให้คุณป๋าของหนูหายสาบสูญไปเพียงลำพังคนเดียว”
“หนูรู้ค่ะ ว่าแม่จะเลือกแบบไหน”
“ไม่คิดว่าแม่ทอดทิ้งหนูใช่มั้ย”
“ถ้าเป็นน้องแพรบ้าง น้องแพรก็คงตัดสินใจแบบเดียวกันนี่แหละค่ะ...แม่ไม่ต้องห่วงหรอกน้องแพรโตแล้ว...โตเต็มที่แล้ว ถึงเวลาที่น้องแพรจะต้องอยู่ให้ได้ด้วยตัวของตัวเองน้องแพรจะต้องแข็งแกร่งค่ะแม่”
“หนูจะอยู่ในสายตาของแม่และคุณป๋าตลอดเวลา...รู้ใช่มั้ยจ๊ะ”
แพรวาค่อยๆพยักหน้า
“แม่จะไปที่ฮวงซุ้ยด้วยมั้ยคะ”
“ใครๆ เข้าใจว่า แม่หัวใจสลายจนไม่อาจทนอยู่ร่วมงานศพคุณป๋าได้...ให้แม่เป็นอย่างที่พวกเขาเข้าใจน่ะละ...ดีแล้ว”
แพรวาพยักหน้าเข้าใจ
รำไพโอบกอดแพรวาด้วยความรักยิ่งนัก
“แวะมาหาน้องแพรบ้างนะคะ...”
รถตู้โดยสารวิ่งไปบนถนนหลวง มุ่งหน้าสู่ภาคตะวันออกของประเทศไทย หรั่งนั่งนิ่งอยู่ในรถตู้โดยสารคันนี้ สายตาของเขาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างไกล
เสียงจากเหตุการณ์ในอดีตยังคงดังกังวานก้องเข้ามาในภวังค์ของเขา
“ทำไมคุณเพิ่งมาบอกผม”
“ฉันไม่ได้อยากให้นายเป็นนายเลย ถึงแม้ว่าฉันจะดีใจที่ได้หลานชายกลับมาอยู่ใกล้ๆดีใจที่ได้รู้ว่าหลานชายฉันเก่งแค่ไหน...แต่ขณะเดียวกัน ฉันกำลังจะทำให้ทั้งลูกสาวและหลานชายของฉันอาจจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต”
หรั่งยกหูโทรศัพท์ขึ้นพูด
“ผู้จัดการเหรอครับ...ผมหรั่งครับ”
อดีตผู้จัดการแบงค์แสนดี อยู่ในบ้านพักที่เมืองจันท์ ก้าวเข้ามาหาแขก ใบหน้ายิ้มแย้ม
“นายหรั่ง นาคำ...โอ้โฮ เผลอแป๊ปเดียว หน้าตาซีดเซียวเชียว หมดอาลัยตายอยากถึงขนาดนี้เชียวเหรอ”
“ผมไม่มีที่ไปครับ”
“ไม่จริงหรอก...ไม่งั้นนายจะมาถึงนี่ได้ไง...อย่าบอกนะว่า เดินละเมอมา...”
“ผมตั้งใจมาหาผู้จัดการครับ”
“แบกกระเป๋ามาอย่างนี้ คิดจะย้ายภูมิลำเนาเหรอ...หรือว่าเปลี่ยนใจ จะทิ้งงานบริษัทมาทำไร่แข่งกับฉัน...ไม่ได้นะ ฉันไม่ยอมนะ” อดีตผู้จัดการแบงค์อารมณ์ดีบอก
หรั่งเอ่ยปากนิ่งๆ ไม่มีอารมณ์ขันร่วมไปกับผจก.ด้วย
“ผมอยากพบเถ้าแก่เส็งครับ”
ผู้จัดการ อึ้งไปนิดหนึ่ง ก่อนเอ่ยปากตอบ
“ช้าไปแล้วละ”
“ว่าไงนะครับ”
“นายมาไม่ทัน”
ไม่นานนักสองคนพากันมาอยู่ที่ฮวงซุ้ยแห่งหนึ่งในเมืองจันท์ ผู้จัดการ เดินนำหรั่งตรงไปยังหลุมหนึ่งในนั้น
ที่หน้าหลุมนั้น เห็นเป็นชื่อเถ้าแก่เส็ง หรั่งยืนจ้องหลุมศพนิ่ง ผู้จัดการ ยืนเยื้องไปด้านหลัง เอ่ยปากพูดอย่างสงบ
“ไม่ถึงอาทิตย์หลังจากที่เราเจอกันคราวนั้น...เถ้าแก่เส็งก็ล้มลง...ล้มอย่างไม่มีปี่ ไม่มีขลุ่ย ล้มแรงซะด้วย และก็ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย”
“อุบัติเหตุเหรอครับ”
“อือม...หน้ามืดซะงั้น...หมอบอกว่าคนแก่สูงวัยก็อย่างนี้แหละ...อยู่มาได้ถึงขนาดนี้นี่ถือว่าเก่งแล้ว...ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าแกจะอยู่รออะไรซักอย่าง...พอเสร็จแล้วก็ไป”
“รออะไรเหรอครับ”
“ไม่รู้สิ...ฉันก็ไม่ได้ถามไว้ด้วย...ถ้าให้เดาแบบคนไม่รู้ที่มาที่ไปก็ต้องเดาว่า อยู่รอเจอนายนั่นแหละ...พอนายไปปุ๊ป แกก็เอาแต่นั่งยิ้ม แล้วก็วูบปั๊ปเลย”
“ผมคงจะไม่มีที่ไปจริงๆ แล้วหละครับ ผู้จัดการ”
หรั่งค้อมหัวคำนับหลุมศพ แล้วเดินออกไปอย่างไร้จุดหมาย ผู้จัดการนึกอะไรบางอย่างได้ เขารีบเอ่ยปากเรียกหรั่ง
“อ้อ หรั่ง...เถ้าแก่เส็งฝากให้มอบสิ่งนี้ให้กับนายด้วย”
ผู้จัดการเอื้อมมือล้วงลงไปในแจกันดอกไม้หน้าหลุม เขาล้วงเอาแถบผ้าที่ม้วนไว้ก้อนกลมๆ ออกมา...ยื่นให้ หรั่งงง
“มันน่าจะมีความหมาย และความสำคัญสำหรับนาย...แต่สำคัญยังไง ฉันก็ไม่อาจรู้ได้”
หรั่งคลี่ผ้าผืนนั้นออกเป็นแผ่นยาว เห็น ตัวอักษรจีน สิบตัว เขียนเรียงกันเป็นแถว หรั่งยิ่งงงมากขึ้น
“ผมอ่านภาษาจีนไม่ออก”
ผู้จัดการชะเง้อหน้าเข้ามาดู
“อ๋อ...มันเป็นตัวเลขน่ะ...ตัวเลขสิบตัว...”
หรั่งอึ้ง “เบอร์โทรศัพท์?”
ที่มุมสงบ ไม่ไกลจากฮวงซุ้ยนั้น หรั่งนั่งกดหมายเลขลงบนโทรศัพท์ ตามหมายเลขในแถบผ้านั้น เสียงสัญญาณดังสักพัก จึงมีเสียงกดรับสาย
“ฮัลโหล...ฮัลโหล...เอ่อ ที่นั่นที่ไหนครับ...เอ้อ...ไม่ทราบว่าผมกำลังพูดกับใครอยู่”
เสียงผู้ชายดังลอดออกมา “ได้เบอร์นี้มาจากไหน”
“เถ้าแก่เส็งให้ผม ผมเดาเอาว่า น่าจะเป็นเบอร์โทรศัพท์”
อีกฟากหนึ่ง ในสถานอันแปลกตาแห่งหนึ่งใจกลางเมืองหลวง
มองจากด้านหลังของชายสูงวัย เขายืนพูดโทรศัพท์มือถืออยู่กับหรั่ง
“ในที่สุดฉันก็ได้พูดกับเธอจนได้”
“ผมไม่เข้าใจ” เสียงหรั่งดังลอดออกมา
“ฉันรอวันนี้มานานแล้ว...วันที่ฉันจะได้คลี่คลายเรื่องราวยุ่งเหยิงทั้งหมดซะที...อ้อ เธอคือ หรั่ง นาคำใช่มั้ย”
ชายคนนั้นย้อนถาม
สีหน้าหรั่งเต็มไปด้วยความแปลกใจ
“คุณคือใคร”
“เธอเก่งมากนะ ยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวของตัวเอง ไอ้ตงมันถึงบอกว่า เก่งสมกับเป็นลูกชายของฉัน…”
หรั่งอึ้งเย็นวาบไปทั้งตัว
“คุณยังไม่ตาย?”
“นายเป็นคนแรกที่รู้เรื่องนี้...ถ้าไม่นับเฮียเส็ง”
“พวกคุณเป็นอะไร...สนุกนักเหรอกับการเล่นแบบนี้...แกล้งหลอกใครๆ ว่าตายน่ะ” หรั่งโมโห และคิดออกทันทีว่าชายคนนี้คือ เฮียย้ง หรือ เผด็จศึก
เสี้ยวหน้าของชายผู้นี้ ละม้ายคล้ายผู้ชายที่เห็นในรูปถ่ายเก่าๆ ที่บ้านเผ่าลาภ เขาคือ เฮียย้ง ซึ่งใครๆเข้าใจว่าเสียชีวิตไปแล้ว แต่ความจริง หาเป็นเช่นนั้นไม่
“มันสนุกกว่า ตายจริงๆ ตั้งเยอะ...แต่ฉันนึกไม่ถึงจริงๆ ว่า ไอ้ตงมันจะลอกเลียนวิธีของฉัน”
หน้าตาของหรั่งยามนี้แดงจัด น้ำเสียงสั่นเครือ
“พวกคุณเห็นแก่ตัว...คนในตระกูลของคุณทุกคน คิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง เอาตัวเองเป็นใหญ่ ไม่นึกถึงความรู้สึกของคนอื่น แม้กระทั่งลูกของตัวเอง”
“แล้วการที่ฉันทำทุกวิธีทางเพื่อให้ทารกตัวน้อยๆ มีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ เพื่อให้การตามไล่ล่าเอาชีวิตกัน จบสิ้นลง...อย่างนี้ก็เป็นการเห็นแก่ตัวด้วยงั้นเหรอ”
คราวนี้หรั่งนิ่งเงียบไป
“เธอยังสวมล็อคเก็ตไวโอลินอันนั้นอยู่หรือเปล่า”
“ผมอยากจะถอดมันขว้างทิ้งไปให้ไกลที่สุด”
“มันเป็นภาระมากนักเหรอ...เธอไม่อยากเป็นลูกชายของฉันหรือไง”
หรั่งค่อยๆเอ่ยปาก อย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ถ้าไม่เป็นการผิดบาป ผมก็ขอตอบว่าใช่...ผมไม่เคยอยากเป็นลูกชายของคุณ”
“เพราะอะไร” เฮียย้งถาม
“เพราะคุณทำให้ชีวิตผมพังพินาศ ย่อยยับ คุณอ้างว่า คุณทำทุกวิถีทางเพื่อให้ผมปลอดภัย แต่คุณกลับปล่อยให้ผมระหกระเหินอยู่กับกรรมกรก่อสร้าง ที่เป็นใครก็ไม่รู้...คุณรู้ได้ยังไงว่าผมจะเอาตัวรอดมาจนทุกวันนี้ได้ ถ้าผมพลาดพลั้งไประหว่างทางของชีวิต ถ้าผมเกเร ติดยา เสียผู้เสียคน คุณจะยังมีหน้ามาพูดจา อวดอ้างความภาคภูมิใจอย่างนี้ได้อีกมั้ย...คุณรู้มั้ยครับ ไม่กี่วันมานี้ผมเกือบจะได้เป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็เกือบที่จะทำในสิ่งที่ผิดอย่างมหันต์...ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะคุณ...เพราะคุณคนเดียว... คุณมันเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจที่สุด คุณทำอย่างนี้กับลูกชายของคุณได้ยังไง...ผมเกลียดคุณ ผมเกลียดคุณ ผมไม่อยากมีพ่ออย่างคุณ”
หรั่งระบายชนิดจัดเต็มไปอย่างเหลืออดกับสิ่งที่ต้องเจอมา
“ฉันเข้าใจ ว่าเธอรู้สึกอย่างไร...และที่เธอพูดมานั้น ฉันก็ยอมรับว่า ถูกของเธอ...ฉันเอาเปรียบเธอ แต่มันไม่ใช่อย่างที่เธอพูดทั้งหมดหรอก...เพราะจริงๆ แล้วเธอไม่ใช่ลูกชายฉัน”
หรั่งอึ้ง “ยังไงนะครับ”
“มีเด็กกำพร้าอีกคนหนึ่งที่ถูกเอามาทิ้งในวันเดียวกันนั้น...หัวมันเป็นสีแดง เหมือนลูน่าเมียฉันไม่มีผิด...ฉันต้องการให้ลูกชายฉันมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย และไม่ถูกตามล่าในภายหลัง...”
ในหารณ์ในอดีตผุดขึ้นมาในห้วงคิดเฮียย้ง มีเด็กทารกสองคนนอนบนเบาะเคียงข้างกัน ก่อนจะเห็นมือของเฮียย้ง คล้องล็อคเก็ตไปที่คอของเด็กชายคนหนึ่ง ผมของเด็กคนนั้น เป็นสีแดง
“ฉันจึงผูกล็อคเก็ตไว้ที่คอเด็กกำพร้าคนนั้น และบอกลุงนุ้ยว่าเขาคือลูกชายของฉันซึ่งทุกคนก็เชื่อสนิทใจ”
เด็กทารกอีกคนหนึ่งนอนอยู่ข้างๆพระสงฆ์ ที่นั่งวิปัสสนาอยู่ใต้กรด กลางป่า ชายหนุ่มคนหนึ่งก้มลงกราบพระ และอุ้มทารกคนนั้นไป ชายผู้นั้นคือ น้าเบิ้ม...ในเวลานั้น
“ส่วนเลือดเนื้อเชื้อไขที่แท้จริงของฉัน ไปอยู่กับหลวงพ่อวัดป่า...ไม่น่าเชื่อว่า จะมีคนมาขอไปเลี้ยง และก็เป็นคนในชุมชนเดียวกันกับลุงนุ้ยซะด้วย...แถมยังมีเครื่องดนตรีมากมายให้ลูกชายฉันได้หยิบจับ เล่นได้ ตามใจชอบอีกต่างหาก”
หรั่ง ถือโทรศัพท์ นิ่ง อึ้ง ไปกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
“สุดท้าย เด็กทั้งสองคนนั้น ได้กลายเป็นเพื่อนรักกันในที่สุด”
หรั่งนึกออกในวินาทีนั้น “ไอ้โบ้”
“ฉันเฝ้าดูลูกชายฉันและเธอมาโดยตลอด...มีหลายครั้งที่ฉันอยากเปิดเผยตัวออกมา แต่เมื่อฉันได้เห็นพวกเธอมีความสุข แม้จะเป็นความสุขที่เป็นไปตามตามอัตภาพ แต่มันก็สุขใจ และปลอดภัยกว่า การเป็นทายาทในตระกูลใหญ่ๆ ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง เอาเป็นเอาตายถึงชีวิต”
หรั่งฟังต่ออย่างตื่นเต้น
“โบ้เขายังไม่รู้หรอกว่าเขาคือใคร...ถ้าเธอจะไม่บอกเขาฉันก็ไม่ว่า เพราะในที่สุดแล้วตระกูลของฉันก็ผ่านพ้นวิกฤติมาได้เพราะเธอมีส่วนไม่น้อย หลานสาวของฉันแข็งแกร่งได้ก็เพราะเธอ เธออยากจะเป็นพี่ชายเขา หรือเป็นมากกว่านั้นก็ตัดสินใจเอาเอง...รีบๆเข้าหน่อยก็แล้วกัน”
“จะมีใครเชื่อผมมั้ยว่าผมได้คุยกับคุณ”
“ไม่มีทาง เพราะฉันเป็นคนที่ตายไปพร้อมกับรถที่ตกเขานานหลายสิบปีแล้ว”
“แล้วผมจะบอกคุณเผ่าลาภยังไง”
“ไม่เห็นต้องบอก...ในเมื่อเขาก็เป็นคนที่ตายไปแล้วเหมือนกัน ไม่ใช่เหรอ”
พูดเท่านี้ ชายคนนั้นกดยกเลิกการพูดโทรศัพท์ เขายิ้มกว้างออกมาอย่างสบายใจ พร้อมกับถอนหายใจยาวๆ สักพักจึงลุกขึ้น แล้วโยนโทรศัพท์ลงในบ่อน้ำที่อยู่เบื้องหน้าเขา
ด้านหรั่งยังนั่งนิ่ง ทอดสายตาไกลออกไปยังเบื้องหน้า หลายสิ่งหลายอย่างที่เขาเพิ่งได้รับรู้ มันทำให้เขาตกอยู่ในภาวะ ปีติสุข ตรงข้ามกับก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง แต่กระนั้น ด้วยเหตุที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันมันจึงทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก และไม่รู้จะเอ่ยปากบอกใครอย่างไรดี
ทันใดนั้นผู้จัดการแสนดีก็วิ่งเข้ามา หรั่งรีบวิ่งออกไปหาโดยเร็ว
“ผู้จัดการครับ...ขอบคุณมากครับ ขอบคุณที่พาผมมาที่นี่...ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง” น้ำเสียงของหรั่งตื่นเต้นล้นพ้น
“อย่าเพิ่งขอบอกขอบใจฉันเลย...นายรีบไปเมืองกาญจน์ก่อนดีกว่า” ผู้จัดการบอก
“มีอะไรเหรอครับ”
“คุณแพรวาอยู่ที่นั่น...วันนี้มีพิธีฝังศพคุณเผ่าลาภ คุณแพรวาและญาติพี่น้องทุกคนจะไปร่วมพิธีที่นั่น”
ผู้จัดการบอก
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 16 อวสาน (ต่อ)
แพรวาอยู่ที่สุสานของตระกูลมหาโชคตั้งศิริ เธอก้าวลงจากรถตู้ ญาติพี่น้องและหมู่บริวาร เดินตามกันเป็นทิวแถว ทั้งหมดมุ่งหน้าตรงไปยังหลุมศพ
บรรดาญาติๆ ทยอยเดินตามกันเป็นแถว ประกอบไปด้วย ลินจง กัมปนาท กันทิมา ชาติชาย
ทั้งหมดตรงไปที่หลุมศพ
กัมปนาทเอ่ยขึ้น “ซ้อรำไพล่ะ”
“เป็นลมเข้าโรงพยาบาลไปอีกแล้ว เมื่อคืนนี้เอง”
กัมปนาทถามถึงอรทัย “เจ๊ฮุ้งล่ะ”
“ตามลูกตามผัวไปเมืองนอกแล้ว...ผิดหวังที่ยายแพรไม่ขาย M.S.”
หรั่งและผู้จัดการยังอยู่ตรงมุมลับตาในสุสานอันกว้างใหญ่แห่งนั้น
“ผมเป็นคนนอก ไม่ต้องรีบก็ได้มั้งครับ”
“แต่สายข่าวแถวนี้ลือกันให้แซ่ดว่า จะมีคนที่ไม่ประสงค์ดีเดินทางไปร่วมพิธีนี้ด้วย...นาย
ควรจะรีบมั้ยล่ะ”
จริงดังที่ผู้จัดการว่า เพราะที่โขดหินสูงใกล้สุสาน รถกระบะบรรทุกมือปืนเต็มคันรถ วิ่งเข้าไปจอดบริเวณโขดหินสูงนั้น
ส่วนบนถนนหลวงมุ่งหน้าสู่เมืองกาญจนบุรี รถโฟร์วีลจากเมืองจันท์วิ่งไปบนถนนด้วยความเร็วสูง
แล้วพุ่งเข้าไปจอดริมถนน เท่ห์และเช็ง วิ่งตรงไปขึ้นรถคันนี้ หรั่งเป็นผู้ขับ เพื่อนทั้งสองขยับลงนั่งข้างๆ
“ไอ้โบ้ล่ะ...กูมีเรื่องอยากจะคุยกับมันเยอะเลย”
“ไปงานฝังศพคุณเผ่าลาภนี่แหละ...มันพาก้อยไป ยายก้อยอยากไปเคารพศพคุณเผ่าลาภ”
ที่แท้โบ้กำลังเดินประคองก้อยตรงไปยังบริเวณฮวงซุ้ย...ทั้งคู่อยู่ในชุดสีดำ
4 ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ผู้จัดการและหรั่ง สองคนยืนอยู่ข้างรถจี๊ปที่หน้าบ้านผู้จัดการ ในเมืองจันท์ ผู้จัดการส่งกุญแจรถให้หรั่ง
“เอ้า เอารถฉันไป...น้ำมันมีเต็มถัง...เหยียบให้สุดๆ ไปเลย”
“ขอบคุณครับ”
ผู้จัดการส่งกระเป๋าสะพายใบใหญ่อีกใบให้หรั่ง
“เอาปืนของฉันติดไปด้วย...ถ้าใช้ไม่เป็นก็รีบๆ หัดซะ”
ทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่ บริเวนสุสาน ตระกูลมหาโชคตั้งศิริ ต่างคนต่างอยู่ตามมุมของตัวเอง สีหน้าสงบเศร้า
ทางด้านบารมีเดินตรงมายังบริเวณหลุมศพเผ่าลาภ กันทิมาเหลียวไปมองบารมีเล็กน้อย
ส่วนบริเวณเนินเขาใกล้สุสาน มือปืนสามคนกระจายตัวกันบนเนินเขาสูง มือของพวกมันประกอบอาวุธปืนยาว อย่างทะมัดทะแมง
โบ้ยืนสำรวมนิ่งอยู่ข้างๆ ก้อย ขณะที่ด้านหลังสองคน แลเห็นตะวันฉายเดินเข้ามาในชุดสีดำทมิฬ ผู้คนในงานเหลียวไปดูงงๆ
ตะวันฉาย เขาเดินมาหยุดข้างๆ บารมี ทั้งคู่พูดโดยไม่มองหน้ากัน
“นานเหมือนกันนะ ที่ผมไม่ได้เจอหน้าคุณอา”
“แต่ฉันนึกอยู่แล้วว่าต้องได้เจอกันที่นี่”
หรั่งเหยียบมิดไมล์ บังคับรถมาอย่างเร่งรีบ ร้อนรน เช็งเปิดกระเป๋าหนัง หยิบปืนขึ้นมาดู ตาลุกวาว
“พวกมึงจะเปลี่ยนใจก็ได้นะ”
“เพื่อนตาย เปลี่ยนใจกันไม่ได้ง่ายๆหรอก” เช็งว่า
เท่ห์บอก “อย่าหันปืนมาทางกู เป็นอันขาด”
มือปืน 1และ มือปืน 2 ทรุดตัวลง นั่งหลังหินก้อนใหญ่ มันตั้งอยู่เนินเขาอีกลูก ที่สูงกว่าเนินแรก
พิธีการฝังศพเริ่มต้นขึ้นตามประเพณี สมเกียรติเผ่าลาภ บารมีเดินตรงมาที่ชาติชาย กันทิมายืนอยู่ไม่ไกลจากเขา ชาติชายพูดพอให้กันทิมาได้ยิน
“ผมเพิ่งรู้ว่า ทำไมคุณถึงไม่ยอมเริ่มต้นใหม่กับผม”
ส่วนบนเนินเขาใกล้สุสาน มือปืน 3 ตั้งปืนบนพื้นเนิน เขาประทับปืนลงบนขาตั้งนั้นอย่างชำนาญ
พิธีการในสุสานทุกขั้นตอนต่อไปดำเนินไปอย่างถูกต้อง
บารมีเดินเฉียดหน้าตะวันฉายพร้อมกับพูดลอยๆ
“เคยรู้บ้างมั้ยว่าแกเลวเหมือนใคร”
“คุณอามีดีกว่าผม แค่ตรงที่โง่กว่าเท่านั้นเอง”
“เดี๋ยวก็รู้...ทั้งตำรวจทั้งนักข่าว จะมารวมตัวกันที่นี่ อีกไม่นานนี้แหละ”
พิธีการยังคงดำเนินต่อไป
หรั่งมองจากรถจี๊ป เพ่งไปที่เนินเขาเบื้องหน้า เขาเห็นมือปืน 3 กำลังกระชับอาวุธปืนของตัวเอง
ส่วนที่ก้อนหินบนเนินเขาด้านบน เขาเห็นมือปืน 1และ 2 ซุ่มอยู่บนนั้น
หรั่งสั่งการทันที
“ไอ้เท่ห์ ขับต่อที...ขึ้นไปบนเขาลูกนั้น เจอใครชนแม่งเลย”
เท่ห์เอื้อมมือมาจับพวงมาลัยรถจี๊ปทันที
รถจี๊ปของหรั่งที่เท่ห์ขับ วิ่งอ้อมเนินเขามาจนใกล้สุสาน หรั่งพุ่งออกมาจากรถ ม้วนตัวกลิ้งตรงไปทางเนินเขานั้น ในขณะที่มือปืน 3 ประทับตาลงไปที่กล้องเล็งอย่างใจเย็น
มาร์คบนศูนย์เล็งของปืน เคลื่อนตามแพรวาที่เดินไปมาตามขั้นตอนของพิธีการ ในที่สุดแพรวาก็หยุดยืนนิ่ง มาร์คนั้นทาบทับลงบนตัวแพรวาแล้ว
หรั่งวิ่งขั้นมาบนเนินสูงชายลึกลับอยู่ไม่ไกลจากเขานัก และกำลังเล็งปืนไปที่กลุ่มคนเบื้องล่าง หรั่งเห็นเป้าหมายของมัน เขาตกใจร้องตะโกนลงไปข้างล่างเสียงดังก้อง
“คุณแพรวา”
แพรวาหันมามองตามเสียงเรียกของหรั่ง
มือปืน 3 ที่อยู่บนเนินสะดุ้งเล็กน้อย มันรีบเหนี่ยวไกปืนทันที
สิ้นเสียงเปรี้ยง กระสุนนั้นตกกระทบหิน ห่างจากตัวแพรวา ไม่ไกล แพรวาล้มลง ท่ามกลางเสียงหวีดร้องระงมที่ดังขึ้น ผู้คนรีบกระจายตัวหาที่กำบังเป็นที่อลหม่าน
ตะวันฉาย ไม่พอใจที่กระสุนพลาดเป้า สบถออกมา
“Fuck Up!”
บนเนินเขาสูง มือปืน 2 คน ขยับตัวออกจากหินก้อนใหญ่ มันประทับปืนเตรียมยิงซ้ำ พลันรถจี๊ปหรั่งพุ่งเข้าหามือปืนทั้งสอง พวกมันกระจายกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง
หรั่งพุ่งเข้าหา จัดการมือปืน 3 เกิดการต่อสู้ดุเดือดสมศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย มือปืน 3 พลาด พยายามจะหนี แต่หรั่งไม่ปล่อยให้หลุดมือ ทั้งคู่ปล้ำแย่งปืนกัน
คิวบู๊ระหว่าง เท่ห์ เช็งกับมือปืน 2 คน ก็อุบัติขึ้นเช่นกัน
กัมปนาทดึงตัวแพรวาเข้าที่กำบัง แพรวาหันไปมองบนหน้าผา ที่หัวไหล่ของเธอมีร่องรอยกระสุนที่เฉี่ยวไป
แพรวาครางออกมา “หรั่ง”
โบ้ดึงก้อยเข้าสู่ที่กำบังเช่นกัน
“หรั่งใช่มั้ย พี่โบ้”
ตะวันฉายพุ่งเข้าหลบหลังซอกหิน เขาดึงปืนขึ้นมาจากเอว ยกขึ้น พยายามเล็งไปยังแพรวา
บารมีก้าวเข้าใกล้ๆ เขายกปืนจ่อไปที่ตะวันฉาย rihv,pb’m6dg,njv
“ง่ายไปหน่อยมั้งหลานชาย”
เสียงปืนดังเปรี้ยงขึ้นจากบนเนิน บารมีหันไปดูตามสัญชาตญาณ ตะวันฉายฉวยโอกาสกระแทกด้ามปืนเข้าที่ใบหน้าบารมี 2 คน ประชันคิวบู๊กันเลือดพล่านในกาย
กันทิมาหันมามองบารมี เธอตะโกนลั่น
“คุณบารมี”
ชาติชายพุ่งออกมาทันที กระโจนเข้าล็อคตะวันฉายจนล้มกลิ้งลงไปทั้งคู่
ฟากเท่ห์ และ เช็ง จัดการกับ มือปืน 2 คนอย่างดุเดือด สองมันคิดว่าตัวเองเป็น จา พนม กระนั้น
ส่วนตรงบริเวณเนินเขา ฉากบู๊ระหว่างหรั่งกับมือปืน 3 จบลงตรงที่เสียงปืนดังขึ้นอีกหนึ่งนัด ร่างของชายลึกลับคนนั้นล้มลง หรั่งมองออกไปแล้วพุ่งพรวดไปไม่คิดชีวิต
ตะวันฉายสลัดชาติชายหลุดออกไปได้ภายในคิวบู๊ไม่กี่ท่า เขาเหนี่ยวไกปืนใส่ชาติชายทันที กระสุนหนึ่งนัดพุ่งเข้าที่ต้นขาชาติชาย
แพรวาโผล่ออกมาจากที่กำบัง กัมปนาทดึงไว้ไม่ทัน
“แกต้องการจะยิงฉันใช่มั้ย”
ตะวันฉายเดินเข้าไปหาแพรวาช้าๆ อย่างเยือกเย็น และเลือดเย็น
“ใช่...พี่บอกแล้วไง ในเมื่อเราจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งไม่ได้ มันก็ต้องจบแบบโศกนาฏกรรมอย่างนี้แหละ”
“ขอบใจนะที่ทำให้ฉันได้เห็นสันดานเลวๆ ของคนอย่างแกเต็มๆ ตา”
“มันทำให้ลืมสันดานเซ็กซี่ของพี่ไปหมดเลยอย่างนั้นเหรอ”
ตะวันฉายยกปืนขึ้นเล็งไปที่แพรวา
เสียงชาติชายและบารมีดังมาจากข้างหลังพร้อมกัน
“ตะวันฉาย...”
ตะวันฉายหันกลับไปมอง เห็นเป็น ชาติชายและบารมียืนจ้องไปที่ตะวันฉาย
“อย่าแตะต้องแพรวาเป็นอันขาด” บารมีคำราม
ตะวันฉายเยาะ “เป็นห่วงหลานสาวเหรอ...”
“แน่จริงมาสู้กันตัวๆสิวะ” ชาติชายจ้องหน้า
“ว้า...แล้วนี่ผมจะยิงใครก่อนดี”
จังหวะนี้บารมียกปืนขึ้นพร้อมยิง
ตะวันฉายจึงหันปากกระบอกปืนไปที่บารมี พร้อมลั่นไกอย่างรวดเร็ว กระสุนพุ่งเข้ากลางลำตัวบารมี...เขาล้มลงทันที
กันทิมาร้องตะโกนลั่น
“คุณบารมี”
กันทิมาวิ่งผ่านชาติชายตรงไปที่บารมีโดยเร็ว
“ร้องไห้ซะให้เสร็จ แล้วฉันจะย้อนมาจัดการกับแก”
ตะวันฉายขู่แล้วหมุนตัวจะกลับไปหาแพรวาเพื่อจัดการให้เสร็จ
ทว่าหรั่งพุ่งพรวดมาจากที่ใดไม่รู้ เขารวบตัวตะวันฉายล้มลงไปด้วยกัน
จากนั้นหรั่งก็เปิดฉากบู๊กับตะวันฉายอย่างดุเดือดต่อเนื่อง ผลัดกันรุกและรับ
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 16 อวสาน (ต่อ)
รถตำรวจแล่นเรียงเป็นแถว มุ่งตรงมายังสุสาน
ส่วนบนเนินเขาสูง เท่ห์และเช็งจัดการกับมือปืน 1-2 ได้สำเร็จ ทันใดนั้นเอง มือปืน 3 โผล่เข้าเฟรมมา เลือดอาบร่าง มันใช้หินทุบหัวเท่ห์และเช็ง แล้วคว้าเอาปืนที่ตกอยู่ที่พื้นเดินหลุดเฟรม
หรั่งต่อสู้กับตะวันฉายอย่างดุเดือด แต่ที่สุดหรั่งเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ก้อยเข้ามาขวาง โบ้พยายามเข้าช่วย แต่โดนตะวันฉายเหวี่ยงไปล้มทับก้อย
ภาพก้อยถูกโบ้ล้มทับ ขณะพุ่งเข้าขวางไม่ให้รถชนในอดีต ผุดขึ้นในหัวของก้อย มันเหมือนในยามนี้
มือปืน 3 ก้าวเข้ามา มันเล็งปืนไปที่แพรวา หรั่งหันไปเห็นเขาพุ่งเข้าไป ใช้ร่างของตัวเองบังกระสุนนั้นทั้งสองกอดกันกลม หมุนคว้างไปตามแรงดันของกระสุนปืน ก่อนที่ร่างจะร่วงหล่นลงพื้น
ตะวันฉายใช้ไม้ท่อนใหญ่ฟาดลงไปกลางเบ้าตาของหรั่งจังๆ หรั่งหมุนคว้างต่ออีกสองรอบแล้วจึงล้มลงทับร่างของแพรวา
ก่อนที่คนชั่วจะฆ่าคนดี เจ้าหน้าที่ตำรวจนำกำลังมาถึงพอดี และเข้ามารวบตัวตะวันฉายทันท่วงที
ด้านกันทิมาประคองร่างบอบช้ำปางตางของบารมี ร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าเวทนา มีชาติชายยืนซึมอยู่ข้างๆ
“คุณบารมี...คุณต้องไม่เป็นอะไรไปนะ”
“คุณต่างหากที่ต้องไม่เป็นอะไร...บอกผมซักคำได้มั้ยว่าคุณรักผม”
“มีเรื่องสำคัญกว่านั้นที่คุณควรจะรู้...และคุณควรจะได้อยู่ดูเวลาที่เขาเติบโต”
สีหน้าบารมีดูเจ็บปวดสุดชีวิต จนฟังอะไรแทบจะไม่ได้ยินแล้ว
“อาเหลียง อั๊วขอโทษนะ...คุณด้วยกันทิมา...ผมขอโทษ...ขอโทษสำหรับทุกๆ อย่าง”
บารมีสิ้นลมลงตรงนั้น กันทิมาร้องไห้คร่ำครวญ เท่าที่เธอพอจะมีเรี่ยวแรง
ส่วนโบ้ค่อยๆ ประคองก้อยให้ลงนั่ง
“พี่โบ้เป็นไงบ้าง” ก้อยถาม
“ไม่เป็นไรจ้ะก้อย”
“พี่โบ้ใช่มั้ย ที่ช่วยชีวิตก้อยไว้จากรถชนตอนนั้น”
โบ้ไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มอายๆ แน่ละ ก้อยไม่เห็น
ก้อยถาม “หรั่งล่ะ”
แพรวาค่อยๆ ลืมตาขึ้น โดยมีร่างของหรั่งนอนคว่ำทับอยู่บนร่างของเธอ เลือดอาบร่างของคนทั้งสอง
แพรวาค่อยๆ ออกแรงประคองศีรษะของหรั่งขึ้น เธอเปล่งเสียงของเธอเท่าที่มีแรงออกมา
“เธอต้องไม่เป็นอะไรนะ ทหารเอกของฉัน...เธอต้องไม่เป็นอะไร”
หรั่งมีอาการสะลึมสะลือ เรี่ยวแรงถดถอยแทบไม่เหลือ เขารวบรวมพลังเปล่งเสียงออกมาแผ่วเบากว่า
“ฝากบอกพ่อคุณด้วยว่า ไม่ใช่ผม...ผมไม่ใช่เด็กคนนั้น”
หรั่งฟุบลงไปอีกครั้ง ทันทีที่พูดจบ
บริวารวงวารว่านเครือ และญาติพี่น้องคนอื่นๆ ค่อยๆ เข้ามาช่วยกันประคองร่างของคนทั้งสองออกไป
เจ้าหน้าที่ตำรวจ กำลังลากตัวตะวันฉายไปขึ้นรถ ตะวันฉายไม่มีทีท่าเกรงกลัวใดๆ ทั้งสิ้น เขายังคงอ้าปากโวยวายสามหาวอย่างไม่สะทกสะท้าน
“พวกคุณจับผมอย่างนี้ได้ไง...รู้หรือเปล่าว่าพ่อผมเป็นใคร...ปลดกุญแจมือเดี๋ยวนี้นะได้ยินหรือเปล่า...พ่อผมรู้เข้า พวกคุณอยู่ไม่เป็นสุขแน่...เฮ้ย ที่พูดนี่ ได้ยินกันบ้างมั้ยแล้วนักข่าวพวกนี้มาทำไม อยู่ฉบับไหนกันเนี่ย...ถ้าลงข่าวไม่ดีผมเล่นถึงตายนะเว้ย...”
ไม่น่าเชื่อว่า หรั่ง แพรวา โบ้ ก้อย ชาติชาย กันทิมา บารมี มารวมตัวกันอยู่ในสุสานโดยไม่ได้นัดหมาย ราวกับมาร่วมส่งวิญญาณของบารมีกระนั้น ทุกชีวิตแสดงอารมณ์ออกมาตามความรู้สึกของตัวเอง
กรุงเทพมหานคร ยามเช้าตรู่ แสงสีแดงนุ่มตา ค่อยๆ เรืองรองขึ้นทางทิศตะวันออกของเมืองหลวงของประเทศไทย พร้อมๆ กับเสียงจากรายการข่าวค่อยๆ ดังขึ้น
“ในที่สุดลูกชายผู้มีอิทธิพลคนดัง ก็ก่อเรื่องขึ้นอีกจนได้คราวนี้ดูเหมือนจะรอดยากนะครับแม้ว่าเจ้าตัวจะแสดงท่าทีที่ไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใดก็คงต้องตามดูกันต่อไปครับสำหรับคดีดังครั้งนี้...”
ภาพโทรทัศน์ 16 เครื่องหน้าร้านขายโทรทัศน์แห่งนั้น แสดงภาพต่างๆ กันไป มันมีทั้งโฆษณาเครื่องออกกำลังกาย / ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก / รายการธรรมะกับพระหน้าบึ้ง
ส่วนจอโทรทัศน์เครื่องที่เปิดภาพรายการข่าวเช้านี้
“แต่ไม่ว่าผลจะออกมาเช่นไร นี่ก็คือประเทศไทย สังคมไทย ที่เราจะต้องอยู่อาศัยสืบต่อไปอีกหลายชั่วอายุคน”
พิธีกรเอื้อนเอ่ยก่อนอำลาผู้ชม
เวลาตอนเช้าตรู่นั้น แสงตะวันสาดส่องบนดาดฟ้าแสนสวย สะอาดตา ของอาคาร M.S. แห่งนี้ เสียงนักข่าวคนเดิมดังต่อเนื่อง
“เช้าวันนี้กรุงเทพฯ อากาศดีมาก...พระอาทิตย์ยังคงขึ้นทางทิศตะวันออกเหมือนเดิม”
แพรวาในชุดสีดำเข็นรถเข็นเข้ามากลางดาดฟ้า บนรถเข็นคันนั้น มีร่างของหรั่งนั่งนิ่ง สวมแว่นตาดำ ใส่ชุดดำเช่นกัน ที่แขนแพรวามีเฝือกอ่อนอยู่
เสียงนักข่าวยังดังต่อเนื่องอยู่ แต่ค่อยๆ เบาลงทีละน้อยๆ
“ใครตาดี ขอแนะนำให้ลองขึ้นไปยืนบนที่สูง แหงนหน้ามองแสงแรกของวันใหม่...ว่ากันว่าจะทำให้สุขภาพเราแข็งแรงอย่าบอกใครแต่ถ้าใครชอบดูดาว ก็ขึ้นไปยืนบนที่สูงได้เช่นกันแต่ต้องรอเวลากลางคืนนะครับ...”
ภายใต้แว่นตาสีดำที่สวมอยู่บนใบหน้าหล่อคมนั้น...พบว่ามีผ้าพันแผลพันอยู่รอบๆ ดวงตาเขา
จังหวะนี้แพรวา หยิบกระดาษแผ่นใหญ่ออกมา หล่อนอ่านข้อความบนกระดาษในใจ โดยไม่ขยับปาก เสียงแพรวาดังเบียดเสียงนักข่าวเข้ามา
“คุณป๋าคะ จนถึงวันนี้ น้องแพรก็ยังไม่ได้ข่าวคราว หรือการติดต่อกลับมาจากคุณป๋าเลยสักนิด...น้องแพรมีเรื่องราวมากมายเหลือเกินที่อยากจะเล่าให้คุณป๋าฟัง...เรื่องแรกเป็นเรื่องที่ดี นั่นคือการจบลงด้วยดีของความวุ่นวายทั้งหลาย คนที่เลวร้ายกับเราที่สุดกำลังรอรับผลกรรมของเขาแล้ว...โรงสีน่ำเล้งของเรา ก็สามารถดำเนินกิจการได้ดีเหมือนเดิมโกจูและครอบครัวยังคงมีความสุขกับวิถีชีวิตแบบที่เคยเป็นอยู่
อินเสอด”
ภาพถ่ายลินจงและครอบครัวถ่ายรูปหมู่ ยืนยิ้มกันที่หน้าโรงสีผุดขึ้นมาในห้วงเวลานี้
“สนามกอล์ฟที่เหมืองก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว นักกอล์ฟจากกรุงเทพฯ และชาวเกาหลีกำลังสนใจเป็นอย่างมาก...บรรดาโปรหลายๆ คนหวังว่า ถ้าลูกกอล์ฟตกทราย พวกเขาอาจจะเจอพลอยเม็ดโตอยู่ในบังเกอร์ก็ได้”
สนามกอล์ฟเสร็จสมบูรณ์สวยงาม เปิดให้บริการแล้ว แลเห็นบรรดานักกอล์ฟเดินเรียงแถวหัวเราะร่วนอยู่ในอาณาบริเวณนั้น
แพรวาค่อยๆ พับกระดาษแผ่นนั้นทีละนิด
ข้อความที่หล่อนเขียนบรรยายไว้ในนั้น ดังขึ้นอีก “บริษัท M.S. JEWELRY ก็มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้น คงเป็นเพราะได้ผู้บริหารที่ดี ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของ อาเจ็กฮุย และ คุณกันทิมา รวมทั้ง อาเจ็กเหลียงที่มุทะลุน้อยลงแล้วด้วย”
ภาพถ่าย บารมี ชาติชาย และ กันทิมา ยืนถือแฟ้มยิ้มกว้างอยู่ข้างโต๊ะในห้องประชุม ท้องกันทิมาใหญ่โตขึ้นจนเธอต้องยืนกางขาออก
“ส่วนตัวผู้บริหารใหม่นั้น กำลังสนุกสนาน และ พอใจกับหน้าที่รับผิดชอบของตน...อันเนื่องมาจาก ได้ผู้ช่วยฝีมือดีอยู่ใกล้ๆ ถึงสองคน กับอีกหนึ่งกำลังใจ...คุณป๋าแปลกใจใช่มั้ยล่ะ ว่าทำไมมีผู้ช่วยเพิ่มขึ้น...ไม่บอก!”
แลเห็นภาพถ่ายโบ้ขึ้นมาในห้วงคิด เขานั่งตระหง่านบนเก้าอี้ที่โต๊ะผู้บริหาร M.S. กรุ๊ป ล็อคเก็ตรูปไวโอลินคล้องอยู่ที่คอของเขา ขนาบด้วย เท่ห์ และ เช็ง ในชุดสูทดูดี...โดยมีก้อยนั่งสวยอยู่ข้างๆ ไม่ห่างกัน
“คุณป๋าต้องมาดูให้เห็นกับตาตัวเอง จึงจะเข้าใจความเป็นมาของเรื่องราวทั้งหมด...”
แพรวาพับกระดาษแผ่นนั้นจนเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น
“เรื่องสุดท้ายที่คุณป๋าควรจะรู้ก็คือ นายหรั่งเขาฝากให้บอกคุณป๋าด้วยว่า เขาไม่ใช่เด็กชายหัวแดงคนนั้น...หวังว่าเรื่องนี้คงทำให้คุณป๋าและคุณรำไพสบายใจขึ้นไม่น้อย...”
หรั่งที่นั่งอยู่บนรถเข็นคันนั้น ดูเหมือนจะมีรอยยิ้มนิดๆ เกิดขึ้นที่มุมปากของเขา
“ไม่ว่าเวลานี้คุณป๋าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ขอเตือนสักนิดว่า ถ้าจะติดต่อกลับมา อาจจะไม่
เจอน้องแพรก็ได้ เพราะเวลานี้น้องแพรกำลังใช้ชีวิตอยู่ในโลกของความฝันกับคนที่น้องแพรรัก...พยายามหน่อยแล้วกันน่าคุณป๋า วิญญาณของแพรวาคงยังไม่รีบไปผุดไปเกิดตอนนี้หรอกค่ะ”
กระดาษที่แพรวาพับนั้นเป็นรูปจรวด หลังจากนั้นแพรวาพุ่งจรวดแผ่นนั้นขึ้นไปบนท้องฟ้า มันบินทะยานผ่านยอดตึกนี้ไป จรวดกระดาษแผ่นนี้ล่องลอยไปในอากาศ เท่าที่มันจะทำได้
เสียงนักข่าวค่อยๆ ดังขึ้นมาอีกครั้ง
“หลายๆ คนบอกว่า อยู่กรุงเทพฯ แสงไฟเมืองมันเยอะ มองไม่เห็นดาวหรอก...วันนี้ผมก็เลยขออนุญาตนำคำคมจากคนทางบ้านมาฝากกัน...ฟังนะครับ... “แม้วันใดที่ฟ้าไร้ดาว...ก็ยังดีที่มีเจ้า เป็นดาวประดับฟ้า อยู่ในใจของฉันเสมอ” ส่งมาจากคุณหรั่งครับ....ขอบคุณมากครับคุณหรั่ง หมดเวลาแล้ว ลาไปก่อนสวัสดีครับ”
เพลงจังหวะสนุกสนาน ประทับใจดังขึ้นหลังสิ้นคำนั้น พร้อมๆ กับที่ดวงอาทิตย์ดวงโตโผล่พ้นขอบฟ้า สาดสีทอง แสงแรกของวันขึ้นมา ระหว่างร่างของหรั่งและแพรวาพอดิบพอดี
ช่างเป็นภาพที่สวยงามราวภาพวาดของยอดศิลปินก็ไม่ปาน
จบบริบูรณ์