xs
xsm
sm
md
lg

สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 11

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 11

เวลาต่อมา ตะวันฉายยกมือไหว้ลินจงนอบน้อมสวยงาม แพรวายืนอยู่ข้างๆ กัน

“ว่ายังไงกันจ๊ะหลานๆ”
“พี่ตะวันเขาจะมาขอถ่ายรูปโรงสีอาโกค่ะ”
“โรงสีเก่าแก่ขนาดนี้จะมีอะไรสวยๆ ให้ถ่ายเหรอ”
“ผมถ่ายไปทำตัวอย่างโบรชัวร์ให้คุณอาอรทัยดูน่ะครับ”
“พี่ตะวันเขาขอรับทำโฆษณาให้บริษัทเราค่ะ...ก็เลยต้องทำตัวอย่างงานไปขายก่อน” แพรวาอธิบาย
“ไม่ต้องทำตัวอย่างให้เสียเวลาร้อก...คนกันเอง หนูก็บอกคุณป๋าให้จ้างพี่เขาเลยสิ หมดเรื่อง”
“ลัดขั้นตอนอย่างนั้นเดี๋ยวจะดูไม่ดีครับ...แล้วก็ ผมก็เลยจะถือโอกาสขอศึกษางานไปด้วย”
“งานอะไรจ๊ะ”
“พี่ตะวันเขากำลังจะทำธุรกิจส่งออกน่ะค่ะ”
“เกี่ยวกับพวกอุปโภคบริโภคน่ะครับ ก็เลยคิดว่าน่าจะมาศึกษางานที่นี่ ในเชิงโครงสร้างและระบบน่ะครับ”
“โอ๊ย โรงสีของเรา ไม่มีระบบ แบบแผนอะไรหรอก เราทำกันแบบอุตสาหกรรมในครอบครัว ไล่มาตั้งแต่ตั้งแต่ อากง อาเหล่ากงแล้ว...เราทำกันแบบชาวบ้านทั่วๆ ไปนั่นแหละ”

เห็นคนงานแบกขน กระสอบข้าว และอื่นๆ ผ่านไปมามากมายเสียงอึกทึกครึกโครม ครื้นเครง มันดูต่างไปจากครั้งที่เผ่าลาภแวะมาเยี่ยม
“แต่ผมได้ยินว่า ข้าวของคุณอานี่ ส่งไปไกลถึงยุโรปเลยไม่ใช่เหรอครับ แสดงว่าต้องมีแผนการตลาดที่ดี...ขนาดราคาข้าวเราสูง ที่นี่ยังมีออร์เดอร์จากต่างชาติเข้ามาไม่ขาดเลย”
“ดวงมากกว่า...หรือไม่ก็เป็นบุญเก่า ที่เราค้าขายกับใครเราก็ซื่อสัตย์กับเขา บริการเขาเต็มที่ เราก็เลยมีลูกค้าเก่าๆที่ยังผูกติดอยู่กับเรา ช่วยเหลือเราอยู่บ่อยๆ...ทีนี้ลูกค้าของเราเขาไปขยายตลาดของเขามากขึ้น เราก็เลยได้ออร์เดอร์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”
ตะวันฉายร้อง “อ๋อ...”
“แต่ที่จริงก็นิ่งๆ เงียบๆ ซบเซาอยู่นานเหมือนกันนะ เพิ่งจะมีออร์เดอร์ล็อตใหญ่เข้ามานี่แหละ มาแบบตั้งตัวแทบไม่ทัน ถึงได้วุ่นวายอย่างที่เห็น”
“งั้นคุณอาช่วย พาผมเดินดูรอบๆหน่อยได้มั้ยครับ จะได้ถ่ายรูปไปด้วย คุยไปด้วยเลย”
“ที่จริงให้น้องแพรพาเดินเองก็ได้ ไม่ต้องอาหรอก”
“แหม น้องแพรจะไปรู้อะไรเท่าอาโกล่ะคะ”
ทั้งสามเดินตามกันออกไป โดยแพรวาอยู่รั้งท้าย แพรวาหันไปสั่งเด็กคนงานใกล้ๆตัว
“นี่...ช่วยไปที่รถฉันหน่อย เอาถุงใบใหญ่ในรถฉันมาให้ที...บอกคนที่ขับรถมาให้ฉันให้เขาหยิบให้ก็ได้”
ต่างคนต่างเดินหลุดออกไป ปื๊ดเข้ามาไกลๆ มันเดินปะปนอยู่กับคนงานมากมาย สายตาปื๊ดสอดส่ายไปทั่วบริเวณ พนักงานใส่เสื้อแจ็คเก็ตสีส้ม แบบเดียวกัน 3-4 คน เดินเรียงแถวถือกระป๋องเข้ามา
ปื๊ดมองตามอย่างสนใจ
เมื่อคนเหล่านั้นผ่านหน้าปื๊ด จึงเห็นหลังเสื้อแจ๊คเก็ตสีส้มนั้น ปักตัวหนังสือว่า จินดาเซอร์วิส
ปื๊ดหันไปหาจับกังใกล้ๆ ตัว เอ่ยปากถาม
“ไอ้พวกสีส้มๆ พวกนี้มาทำอะไรน่ะ”
“อ๋อ พวกอบน้ำยากันมอด”
“อือม....”

ตามทางเดินระหว่างโกดัง ลินจงเดินอธิบายประวัติโรงสีให้ตะวันฉายฟัง ตะวันฉายเดินถ่ายรูปตามไป ด้วยท่วงท่าแสดงความสนใจเป็นอย่างยิ่ง แพรวาเดินตามมาใกล้ๆ
“เมื่อก่อนเรามาจากร้านเล็กๆ เรียกว่าร้านหยง เราเป็นเหมือนตัวกลาง กว้านซื้อข้าวจากชาวนาเอามารวมกันเปิดร้านขายให้เขา ทำนองนั้น...จากนั้นก็เติบโตขึ้นมาทีละนิดๆปัญหาเรื่องเดียวของเราคือ การส่งข้าวให้เขาตรงเวลา...เพราะพวกนี้เวลาเขาปรับกันทีโอ้โฮมหาศาล...แล้วไอ้ข้าวสารพวกนี้เก็บไว้นานก็ชื้นไปบ้าง มอดกินบ้าง...คุณภาพมันก็ต่ำลง...”
“ที่เห็นในเรือนั่นคือเตรียมจะส่งออกใช่มั้ยครับ”
ตะวันฉาย เลือกกดชัตเตอร์ถ่ายรูป
ลินจงเดินอธิบายเรื่องราว
“แต่ยังไม่ใช่วันนี้หรอก ต้องให้ครบจำนวนตามออร์เดอร์ก่อน แล้วก็ยังต้องรอขั้นตอนการอบยาอีก...อยากไปดูในเรือมั้ยล่ะ เดี๋ยวอาจะพาลงไปดู”
“ดีเลยครับ”
“งั้นรอเดี๋ยวนะ อาไปสั่งคนงานก่อน...อ้อ อาเตรียมลอดช่องเจ้าอร่อยเอาไว้เลี้ยงหลานชายด้วยจ้ะ...โน่นไปรอที่ศาลาโน่น...น้องแพรพาพี่เขาไปสิ...เดี๋ยวอาโกตามไป”
“ค่ะ”
แพรวาพาตะวันฉายตรงไปยังศาลาสวย

แพรวาเดินนำตะวันฉายเข้ามาที่ ศาลา เรือนไม้ โรงสีน่ำเล้ง
“พี่ตะวันเปลี่ยนไปจากเดิมมากเลย รู้ตัวบ้างมั้ยคะ”
“ยังไง”
“พี่ตะวันดูจริงจัง แล้วก็เคร่งเครียดมากขึ้น”
“แน่ะ...ว่าพี่แก่เหรอ”
“เปล่า”
“ถึงพี่จะเปลี่ยนก็เปลี่ยนเฉพาะภายนอก...แต่หัวใจพี่ไม่เคยเปลี่ยน”
แพรวายิ้มรับคำหวานนั้น
“คุณป๋าบอกว่า คนเอาจริงเอาจัง มุมานะเท่านั้น ที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจ และก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดได้”
“ระยะหลังๆน้องแพรเอง ก็ดูเอาจริงเอาจัง มุมานะเหมือนกันนี่”
“แต่น้องแพรไม่อยากขึ้นไปอยู่บนที่สูง”
“ยิ่งสูงยิ่งหนาว ใช่มั้ยล่ะ”
แพรวาพยักหน้า ตะวันฉายโอบไหล่แพรวาไว้อย่างอ่อนโยนและอบอุ่น
“คนอย่างน้องแพรไม่เหมาะที่จะอยู่บนที่สูงหรอก…อยู่ข้างล่างให้สบายๆ ให้ผู้ชายเขาขึ้นไปอยู่ข้างบนดีกว่า”
แพรวามองหน้าตะวันฉาย ชั่งใจชั่วครู่
“ถ้าวันข้างหน้าธุรกิจของพี่ตะวันอยู่ตัวแล้ว พี่ตะวันจะมาช่วยที่ M.S. บ้างได้มั้ยคะ”
“เป็นผู้ช่วยน้องแพรน่ะเหรอ”
“คุณป๋าคาดหวังว่า วันข้างหน้า น้องแพรจะต้องนั่งในตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดต่อจากท่าน…น้องแพรขอยกตำแหน่งนี้ให้พี่ตะวันล่วงหน้าเลย…พี่ตะวันจะสนใจมั้ย”
ตะวันฉายมองจ้องแพรวา ดวงตาเป็นประกาย เขาประคองวงหน้าของเธอ เชิดขึ้นช้าๆ พร้อมกับก้มหน้าตัวเองลงไปใกล้ๆ เอ่ยปากแผ่วเบา
“พี่จะได้อะไรตอบแทน ที่มากกว่าตำแหน่งบ้างมั้ยจ๊ะ”
หรั่งถือห่อของขวัญเข้าเฟรมมาด้านหลัง…หรั่งยืนชะงักนิ่ง แพรวาถอยตัวห่างออกมาจากวงแขนของตะวันฉาย หันไปพยักหน้าเรียกหรั่ง
“น้องแพรตอบไม่ได้หรอกว่าพี่ตะวันจะได้อะไรบ้าง…รู้แต่เพียงว่า นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่น้องแพรไม่เคยให้ใครมาก่อน…”
แพรวาหยิบห่อของขวัญจากหรั่งส่งให้ตะวันฉาย
“สำหรับพี่ตะวันคนเดียวเท่านั้นค่ะ”
ตะวันฉายเปิดกล่องออกดู เห็นเป็นผ้าห่มผืนใหญ่พับไว้อย่างประณีต
“น้องแพรตั้งใจจะให้พี่ตะวันตั้งแต่ก่อนไปเมืองนอก แต่ว่ามันเสร็จไม่ทัน”
“ถ้าเดาไม่ผิด จะต้องมีรูปพี่เต็มไปหมดเลยใช่มั้ยจ๊ะ”
แพรวาพยักหน้า “แล้วก็มีรูปน้องแพรด้วย…เวลานอน จะได้มีน้องแพรอยู่ใกล้ๆ หัวใจพี่ตะวันตลอดเวลา”
หรั่งอยากเป็นคนหูหนวกขึ้นมาในฉับพลัน
ตะวันฉายก้มลงจูบหน้าผากแพรวา แล้วค่อยๆ เลื่อนลงมาที่แก้มนวล อย่างเนิ่นนาน หรั่งหมุนตัว เดินห่างออกจากที่เกิดเหตุ
“พี่รับรองได้เลยว่า…หลังจากนี้ไม่นาน พี่จะช่วยให้น้องแพรจะไม่ต้องยุ่งยากกับ M.S. อีกต่อไป”
คนงานเดินตรงมาที่แพรวา
“เจ๊จู ให้มาตาม บอกว่าลงเรือตอนนี้ได้เลยครับ”
“ขอบใจ”
“เราไปกันเถอะ”
แพรวาและตะวันฉายเดินตามคนงานออกไป โดยผ้าห่มผืนนั้น ถูกวางไว้กลางศาลา อย่างละเลย

เวลาตอนกลางวัน ในวันเดียวกัน เผ่าลาภและรำไพ ก้าวเดินลงบันได เตรียมพร้อมที่จะไปเหมือง เห็นกัมปนาท นั่งนิ่งอยู่กลางโถงบ้าน ธนูยืนห่างออกไปทางด้านหลัง
“อาฮุย”
“เฮีย...ซ่อ...”
กัมปนาททรุดตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้น แล้วก้มคำนับผู้เป็นพี่
“อั๊วขอโทษ...อั๊วขอโทษ...”
“เรื่องอะไร”
กัมปนาทเอ่ยปากขอโทษเยี่ยงผู้สำนึกผิด
“หลายเรื่อง ล้วนแต่สร้างความเสียหายให้กับบริษัททั้งนั้น อั๊วเชื่อมั่นตัวเองเกินไป เอาแต่ใจ ดูถูกความคิดคนอื่น แถมยังไม่ละเอียดรอบคอบ โครงการใหญ่ๆ อั๊วปล่อยให้ถูกตัดหน้าไป ทำให้สูญเสียโอกาสมากมายหลายอย่าง ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของอั๊วคนเดียว...ที่จริง อั๊วสมควรจะตายซะด้วยซ้ำ”
“อาฮุย พูดอะไรอย่างนั้น...มันไม่ได้เสียหายขนาดนั้นซักหน่อย..บริษัทก็ยังพอปรับตัว ปรับทิศทางการตลาดกันได้ใหม่นี่นา...ใช่มั้ยคะคุณ”
รำไพหันไปหาเผ่าลาภ เหมือนจะให้เผ่าลาภช่วยให้กำลังใจน้องด้วยอีกคน
“ทุกคนมีความผิดพลาดได้ทั้งนั้น เมื่อผิดแล้ว ก็เรียนรู้มัน ปรับปรุงกันใหม่ ไม่ให้เกิดขึ้นอีก...มันไม่มีอะไรเสียหายจนเกินแก้หรอก อาฮุย ถ้ามันไม่ได้เกิดจากเจตนาที่จะสร้างความฉิบหายให้บริษัท...แล้วลื้อจะแกร่งขึ้น เฉลียวฉลาดขึ้น ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่อั๊วต้องการจากน้องๆทุกคน”
“อั๊วสัญญา จากนี้ไป อั๊วจะไม่ยอมให้ใครเข้ามาฉกฉวยผลประโยชน์จากเราไปได้แม้แต่นิดเดียว”
เผ่าลาภหันไปมองธนูที่ยืนนิ่งอยู่
“นั่นใคร”
“ธนู...เขาเป็นคนเดียว ที่ช่วยให้อั๊วผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้ไปได้”
เผ่าลาภมองหน้ารำไพ ต่างพยักหน้ารับรู้
“อั๊วจะไปเหมือง ไปด้วยกันมั้ย”
“อั๊วเอารถไปเองได้ ธนูเขาขับรถดี”

ที่หน้าโรงสีน่ำเล้ง หรั่งยืนพิงรถ สงบนิ่ง สายตาจับจ้องตรงไปเบื้องหน้า เห็นรถตะวันฉายที่จอดอยู่ใกล้ๆ ปื๊ดนั่งประจำตำแหน่งคนขับ มันคือเป้าสายตาของหรั่ง
ลินจงเดินออกมาส่งตะวันฉายและแพรวา
“ต้องขอบคุณคุณอามากๆ เลยครับ ผมได้ทั้งรูปสวยๆ และความรู้ดีๆเยอะแยะเลย”
“ไม่เป็นไร เรามันคนกันเอง อีกไม่นานก็ดองกันอยู่แล้วนี่นะ…สงสัยอะไรก็แวะมาอีกได้เลยนะ”
“ต้องมาอีกแน่ๆ วันนี้ลาละครับ สวัสดีครับ”
ตะวันฉายค้อมหัวลงไหว้ลินจงอย่างนอบน้อม พลางหอมแก้มแพรวาเบาๆ
“พี่ไปก่อนนะจ๊ะ”
“ค่ะ…แล้วโทร.คุยกันนะคะ”
ตะวันฉายเดินไปขึ้นรถของตน ปื๊ดขับรถเคลื่อนออกไป แพรวายิ้ม และโบกมือให้ ไม่มีใครคิดว่า มันจะเป็นยิ้มครั้งสุดท้ายที่เธอมีให้ชายคนนี้
“น้องแพรก็กลับเหมือนกันนะอาโก”
“อือ ไปเถอะ…เอ้านี่กาแฟเย็น ฝากไปให้เฮียตงด้วย ของชอบของเขา”
“ขอบคุณค่ะ”
ลินจงหันมาทางหรั่ง “ขับรถดีๆนะ นายหรั่ง”
“ครับผม”
หรั่งและแพรวายกมือไหว้ลาลินจง แล้วทั้งคู่ขยับขึ้นนั่งในรถ
“ผมไม่เคยเห็นคนขับรถของคุณตะวันฉายคนนี้เลย”
“ไม่เห็นแปลกนี่ ฉันก็ไม่เคยเห็น…ทำไมนายจะต้องเคยเห็นมาก่อนด้วยล่ะ”

หรั่งคาใจมาก แต่ไม่ตอบใดๆ ออกมา

เวลานั้น รถเผ่าลาภวิ่งเข้ามาจอดยังด้านหน้าสำนักงานเหมือง มีรถเก๋งสองสามคันจอดเปิดประตูค้างไว้ คนงานสองสามคน แบกถุงกอล์ฟตรงมายังรถเก๋งเหล่านั้น

กฤษฎาแต่งชุดพร้อมเป็นโปรกอล์ฟ เดินออกมาจากสำนักงาน
เผ่าลาภและรำไพก้าวลงจากรถ ประจันหน้าหลานชายพอดี
“สวัสดีครับอากู๋”
“เดี๋ยวนี้ตีกอล์ฟแล้วเหรอ เรา”
“คิดจะเป็นผู้บริหารที่ดีต้องหมั่นซ้อมวงสวิงบ่อยๆครับ”
อรทัยเดินออกมากับทนงศักดิ์ สภาพพร้อมออกรอบทั้งคู่
“ขนาดวันหยุด เฮียยังมาถึงนี่เชียวเหรอ”
“ก็เหมือนลื้อน่ะแหละ” เผ่าลาภเหน็บ
ทนงศักดิ์สร้างบรรยากาศ “ออกรอบด้วยกันไหมครับเฮีย”
“ไม่ละ…ฉันไม่มีเวลาว่างขนาดนั้น”
“เฮียมีอะไรให้พวกเราช่วยรึเปล่าครับ”
บารมีเดินเคียงคู่กับสุชาติออกมาจากในอาคาร เผ่าลาภเงยหน้ามองจ้องนิ่ง สุชาติยกมือไหว้เผ่าลาภจ๋อยๆ
“แกมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“เฮียถามใคร” บารมีถาม
“ทั้งคู่นั่นแหละ”
สุชาติอึกอัก “ผม…ผม”
อรทัยบุ้ยใบ้ให้ทนงศักดิ์ตอบแทน
“พอดีทางนี้ขาดคนน่ะครับ…ผมก็เลยรับเอาไว้”
“แล้วลื้อล่ะอาหั่ง…ไหนว่าไม่อยากอยู่ที่นี่ไง”
“เผอิญ ได้ตำแหน่งที่ดีกว่าเป็นยาม”
“ตำแหน่งอะไร”
ทนงศักดิ์ตอบแทน “เป็นรองผมครับ…ต้องขอโทษที่ไม่ได้แจ้งให้เฮียทราบ…เอ้อ เห็นว่าเป็นเรื่องภายในเหมือง”
“งั้นเหรอ…” เผ่าลาภถามบารมี “รับผิดชอบเรื่องอะไร”
“รองผู้จัดการฝ่าย...รักษาความปลอดภัย”
“มันต่างจากยามตรงไหน?”
อรทัยหงุดหงิดพยายามตัดบทให้จบๆไป
“ถ้าจะยืนคุยกันอยู่อย่างนี้ ก็เปิดห้อง ประชุมผู้ถือหุ้นซะเลยดีมั้ย…วันนี้อยู่กันครบด้วย อาฮุยก็กลับมาแล้ว อาเหลียงก็อยู่ อยู่ข้างในกันหมด”
“ฉันแค่แวะมาเอาของ ทนงศักดิ์ ไปเปิดเซฟให้หน่อย…ฉันจะเอาพลอยในสต็อก”
เผ่าลาภเดินเข้าไป ทะนงศักดิ์ตามไปติดๆ พลางบอก
“ผมว่าเฮียปล่อยของซะตอนนี้ก็ไม่เลวนะครับ สต็อกเราชักจะเยอะแล้ว ราคาก็กำลังดีปล่อยหมดตอนนี้ อย่างน้อยๆ ก็มีซักสี่สิบล้านละครับ”
ทนงศักดิ์และเผ่าลาภเดินผ่านไป
บารมีและกฤษฎามองหน้ากันอึ้งๆ เหงื่อแตกพลั่ก กฤษฎาคว้าแขนอรทัยไว้ อรทัยหันมามอง ไม่เข้าใจ

ที่ห้องเก็บสต๊อกพลอย บานประตูตู้เซฟเปิดออก เห็นเป็นทนงศักดิ์และเผ่าลาภ ยืนเคียงข้างกัน
ทนงศักดิ์เอื้อมมือเข้ามาหยิบถาดพลอยในสต็อก ที่วางอยู่ พบว่ามันเป็นถาดว่างเปล่า
เผ่าลาภมองถาดที่ว่างเปล่าแล้วเงยหน้าจ้องทนงศักดิ์
“ทำไมเป็นอย่างนี้”
ที่ห้องประชุมของสำนักงานเหมือง กฤษาเหงื่อท่วมตัวหน้าซีดเผือด บอกเสียงอ่อย
“ไม่ทราบครับ…”
“ไม่ทราบได้ไง มันเป็นหน้าที่ของแกโดยตรง แกรับผิดชอบเรื่องสต็อกไม่ใช่เหรอ ทำงานยังไง พลอยในสต็อกหายไปแล้วบอกว่าไม่ทราบ”
เผ่าลาภเกรี้ยวกราดกว่าทุกครั้งที่เคยเห็น ญาติพี่น้องทุกคน เรียงแถวกันอยู่เบื้องหน้าเผ่าลาภ
พวกเขาก้มหน้าจ๋อยทั้งหมู่ เผ่าลาภ เดินด่าใส่หน้า เรียงไปทีละคน ๆ
“อาฮุยล่ะ รู้เรื่องบ้างรึเปล่า”
“ไม่ทราบครับ” กัมปนาทบอก
“พ่อล่ำบึ้กนี่ล่ะ”
ธนูก้มหน้านิ่ง กัมปนาทตอบแทน
“ธนูเขาไม่เคยมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลยเฮีย”
“อาเหลียง ว่าไง”
ชาติชายส่ายหน้า “มันคนละสายงานกับผม พูดอะไรไปก็ถูกหาว่าคาดเดาเอาเอง เลื่อนลอย”
เผ่าลาภหันมาทางอรทัย “อาฮุ้ง”
“อั๊วจะไปรู้เรื่องได้ไง อั๊วก็อยู่ออฟฟิศที่กรุงเทพฯเหมือนเฮียนั่นแหละ”
“ตัวอยู่กรุงเทพ แต่ก็ยังอุตส่าห์ส่งคนของตัวมาอยู่ที่เหมืองอีกนะ”
สุชาติก้มหน้าลงไปมากยิ่งขึ้นกว่าที่ก้มอยู่แล้ว
“แล้วก็เป็นคนที่ฉันไล่ออกไปแล้วด้วย อย่างนี้หมายความว่าไง ห๊ะ…นายสุชาติ ไปเก็บข้าวของได้แล้ว ไม่ต้องมายืนก้มหน้าตัวซีดตัวสั่นอย่างนี้ ไป ฉันไล่นายออกเป็นรอบที่สอง…มีใครในโลกนี้บ้างไหม ที่โดนไล่ออกจากที่เดียวกันถึงสองรอบ…อาหั่ง ลื้อรักษาความปลอดภัยประสาอะไร บอกมาซิ…ทำไมพลอยมันหายไปได้”
“อั๊วเพิ่งเข้ามาทำงาน อั๊วไม่รู้เรื่อง”
“แล้วลื้อต้องใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะรู้เรื่อง…แค่หาตัวไอ้หัวขโมยซักคนนึง มันหายากนักรึไง” อารมณ์เผ่าลาภเดือดเต็มที่
“ใจเย็นๆ ค่ะคุณ”
กฤษฎาแอบกำมืออรทัยแน่น เยี่ยงคนต้องการความช่วยเหลือ
“คนมันอยู่กันเยอะ จะรู้ได้ไงว่าใครเอาไป” อรทัยบอก
“ถ้างั้นก็ไม่ต้องอยู่กันเลยสักคนดีมั้ย เลี้ยงพวกลื้อไว้ สู้เลี้ยงหมายังดีซะกว่า…อย่างน้อยก็
ยังเป็นหูเป็นตาให้ได้…รู้มั้ยว่าสต็อกพลอยหายไปครั้งนี้ เราเสียหายเท่าไหร่”
ทุกคนเงียบสนิท กฤษฎาเอ่ยปากออกมาเบาๆ
“เราขุดเพิ่มก็ได้นี่ครับ อากู๋”
เผ่าลาภด่า “ไอ้โง่…พูดจาเหมือนคนไม่มีความคิด ไม่มีการศึกษา รู้มั้ยว่ากว่าจะขุดได้พลอยน้ำอย่างนี้ น้ำหนักขนาดนี้ จำนวนมากเท่านี้ มันยากแค่ไหน…ถ้ามันง่าย ชนิดที่ขุดไปตรงไหนก็เจอ ตรงไหนก็เจอ เราจะต้องไปเสียเงินกว้านซื้อที่เพิ่ม ขอสัมปทานเพิ่มทำไม ห๊ะ…รู้ไว้ด้วยว่า ความเสียหายครั้งนี้มันส่งผลใหญ่มาก มันสร้างความฉิบหาย วอดวาย มากเกินกว่าที่พวกลื้อคิด ถ้าไม่มีใครบอกได้ว่าพลอยมันหายไปไหน อีกหน่อยพวกลื้อก็จะไม่มีงานทำ ไม่มีที่ซุกหัวนอน อย่าคิดนะว่าเงินกงสีจะไม่มีวันหมด มันไม่ได้มีพอสำหรับเลี้ยงคนไม่เอาไหนอย่างพวกลื้อไปได้ตลอดทั้งชีวิตหรอก จะบอกให้”
ทุกคนนิ่งเงียบไม่ไหวติง
“ใครเป็นคนเอาพลอยในสต็อกไป สารภาพมาซะดีๆ”
ทุกคนนิ่ง เงียบกริบ โดยเฉพาะกฤษฎามีอาการเหงื่อไหลไม่หยุด มือเปียกชุ่ม เขาลอบมองหน้าบารมีแวบหนึ่ง แต่บารมีวางสีหน้านิ่งสนิท
“ในเมื่อรักใคร่กลมเกลียวกันอย่างนี้…อั๊วก็ขอไล่พวกลื้อออกหมดทุกคน”
รำไพตกใจ “คุณคะ”
ทุกคนเงยหน้ามองเผ่าลาภ ช็อกกันไป
“ต่อไปนี้อย่าได้โผล่หน้ามาให้เห็นอีกนะ อั๊วพูดคำไหนเป็นคำนั้น…ใครขัดคำสั่ง เจอดีแน่”

เวลาต่อมารถเผ่าลาภแล่นผ่านกล้องไปบนถนนสายเพชรเกษม มุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ ในรถเผ่าลาภที่สยามขับมาตามทาง มือรำไพกุมอยู่บนมือของเผ่าลาภ
ต่างถ่ายทอดกำลังใจให้กันและกัน สีหน้าของทั้งคู่ ไม่ต่างไปจากอารมณ์ที่เราเห็นได้บนฝ่ามือ
ที่สุดเผ่าลาภเอ่ยขึ้น “โทร.บอกเลขาผมด้วยว่า ให้คำสั่งไล่ออกมีผลทันทีนับจากวันนี้”
รำไพท้วง “มันจะดีเหรอคะ”
“ดีสิ มันต้องดีกว่าที่เป็นอยู่นี้แน่”
สีหน้าเผ่าลาภ ทั้งเครียด และแค้น ระคนกัน และมันแทรกด้วยอาการปวดศีรษะ ตัวของเขาเริ่มชาอีกต่างหาก

ที่บ้านแสงเทพตอนบ่ายแก่ๆ เสียงหัวเราะของคนเลวสามคน มันดังประสานกันกึกก้อง
“คราวนี้มันพินาศแน่ ๆ…ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ…นึกไม่ถึงว่าข้าวสารเป็นแสนๆตันจะแพ้มอดตัวเล็กๆ แค่นี้ ฮ่ะฮ่ะฮ่า” แสงเทพเอ่ยขึ้น
“คุณอาแน่ใจนะครับว่า เราสามารถเจาะเข้าไปในบริษัทจินดาเซอร์วิสได้”
“มันเป็นบริษัทในเครือ เถ้าแก่ของมันกับอาเนี่ย เราโตมาด้วยกัน...ชื่อบริษัทมัน อาก็เป็นคนตั้งให้...เมียมันอาก็เป็นคนเลือกให้...ที่สำคัญนะ นิสัยเหมือนกันเปี๊ยบเลยหลานเอ๊ย”

เสียงหัวเราะของคนชั่วดังกึกก้องอีกครั้ง

ส่วนที่บ้านเผ่าลาภ ยามเย็น รถเผ่าลาภเข้ามาจอด ประตูด้านหลังเปิดออก เผ่าลาภก้าวออกมายืนนิ่งๆ ร่างของเขาโงนเงนเล็กน้อย เผ่าลาภคว้าประตูรถเกาะเอาไว้แน่น รำไพเข้าประชิดตัวสามีทันที
“คุณคะ...คุณเป็นอะไรรึเปล่า”
เผ่าลาภส่ายหน้า “หน้ามืดนิดหน่อย…โทร.หาอาจูที”
“ไปหาหมอก่อน ไม่ดีกว่าเหรอคะ”
“ไม่เป็นไร พักซักหน่อย เดี๋ยวก็หาย...สยาม”
สยามขยับเข้ามาหาเผ่าลาภตามคำเรียก เผ่าลาภเกาะไหล่สยามเดินเข้าบ้านไป รำไพตามประคองอยู่ใกล้ๆ

รำไพวิ่งตรงมายังโทรศัพท์กลางโถงบ้าน ขณะสยามค่อยๆ ประคองเผ่าลาภเข้ามา
“ขอบใจมากสยาม”
“ท่านจะไม่นั่งพักตรงนี้ก่อนเหรอครับ”
“ไม่ละ ฉันจะขึ้นไปนอนข้างบน...แกกลับไปได้แล้วละ”
สยามเพียงแต่ถอยตัวห่างออกมา แต่ยังรีๆรอๆดูท่าทีอยู่บ้าง

รำไพรีบพูดทันทีที่ปลายสายมีผู้รับ
“ฮัลโหล...น้องลินจงเหรอ...นี่พี่เอง พี่รำไพ”

เผ่าลาภค่อยๆก้าวขึ้นบันไดช้าๆ มือของเขาค่อยๆเหนี่ยวไปตามราวบันได
รำไพ ยังคงพูดโทรศัพท์อยู่
“เฮียเขาอยากให้น้องลินจงมาหาหน่อย...”
เผ่าลาภ มีสีหน้าไม่สู้จะดี คล้ายจะเป็นลม เขาหยุดเดิน ยืนนิ่ง อยู่กลางบันได
“มีเรื่องที่เหมืองน่ะ”
รำไพหันไปเห็นเผ่าลาภที่ยืนนิ่ง เธอร้องถามทันที
“คุณ คุณไหวรึเปล่าคะ”
เผ่าลาภหันมายิ้มให้รำไพ
“สบายมาก”
เผ่าลาภค่อยๆ ก้าวเดิน
รำไพหันมาคุยโทรศัพท์ต่อ
“เรื่องมันยาว...ต้องค่อยๆ เล่าให้ฟัง...”
เท้าเผ่าลาภ ที่ก้าวออกไป มีอาการสั่นจนเห็นได้ชัด เขามีอาการโงนเงนมากขึ้น รำไพ เธอหันไปเห็นอาการนั้น
“คุณ...คุณคะ”
เผ่าลาภตัวเอียงพร้อมจะล้มกลิ้งลงมาให้ได้ รำไพปล่อยโทรศัพท์ตกลงตรงนั้น...เธอออกวิ่งตรงไปยังเผ่าลาภทันที
สยาม หันมามอง รำไพ ช้ากว่าที่รำไพออกวิ่งไปหาสามี เผ่าลาภ ล้มกลิ้งไปตามขั้นบันได รำไพวิ่งไปปะทะกับร่างของเผ่าลาภ ทั้งคู่ล้มกลิ้งตกลงมาถึงพื้นล่าง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็ว เกินกว่าที่สยามจะตามเข้าไปทัน
แพรวาเดินเข้ามาในบ้าน ภาพข้างหน้าทำให้เธอแทบช็อก แพรวาวิ่งตรงเข้าไปยังผู้ให้กำเนิด...เธอตะโกนดังลั่น
“คุณป๋า แม่ หรั่ง...หรั่ง มานี่หน่อยเร็ว”
แพรวาตะโกนเรียกหรั่งที่อยู่นอกบ้าน

เผ่าลาภและรำไพนอนสลบนิ่งทั้งคู่ โลหิตสีแดงฉาน ซึมออกมาจากไรผมเหนือหน้าผากรำไพ
 
อ่านต่อหน้า 2

สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 11 (ต่อ)

ไม่นานต่อมากันทิมาวิ่งหน้าตื่น ตรงมายังห้องหน้าฉุกเฉิน สมทบกับแพรวาและสยามที่ยืนรออยู่ด้วยความกังวล แพรวานั้นสีหน้าซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด สยามพยายาม ชะเง้อมองเข้าไปข้างในอย่างร้อนใจสุดจะประมาณ

“น้องแพร เป็นยังไงบ้าง” กันทิมาทัก
“แย่ค่ะ แย่ แย่ไปหมดเลย”
น้ำตาแพรวาไหลออกมาอย่างง่ายดาย กันทิมาโอบ และปลอบโยนเธอ
“ใจเย็นๆ นะน้องแพร...อย่าเพิ่งกังวลมากนัก เดี๋ยวจะล้มไปอีกคน”
“จะไม่ให้กังวลได้ยังไงคะ...แม่หัวแตก หมอกำลังเย็บอยู่ แขนก็หักต้องเข้าเฝือก ส่วนคุณป๋าหมดสติ ยังไม่รู้สึกตัวเลย” หญิงสาวรำพัน
“ใครดูคุณพ่ออยู่คะ”
“นายหรั่งค่ะ”
“หมอออกมาแล้วครับ” สยามบอก
พยาบาลเข็นรถพารำไพออกมาจากห้องฉุกเฉิน หน้าตารำไพไม่ได้ดีไปกว่าลูกสาวเท่าไหร่นัก
แขนขวาของเธอมีเฝือกอ่อนห่อหุ้มอยู่ ที่หน้าผาก มีร่องรอยทำแผลเรียบร้อยแล้ว รำไพร้องละล่ำละลักถามถึงสามีทันที
“คุณป๋าล่ะลูก คุณป๋าเป็นยังไงบ้าง”
“อยู่ห้องข้างบนค่ะ”
“พาแม่ไปหาคุณป๋าเร็ว ลูก”
สยามเข็นรถเข็นให้รำไพ ผ่านหน้ากันทิมา
“น้องกัน มาช่วยกันหน่อยนะ ตอนนี้พี่ไม่มีใครแล้วนะ”
ทั้งหมดพากันตรงไปทางห้อง ไอซียู ของเผ่าลาภ

มองผ่านกระจกใสเข้าไปในห้องไอซียูเห็น เผ่าลาภนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง รอบตัวของเขา พร้อมเพรียงไปด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ หรั่งยืนเฝ้าอยู่ข้างๆ อย่างสงบนิ่ง สักครู่หนึ่งสยามเข็นรถรำไพมาหยุดตรงหน้ากระจกบานนี้ รำไพร้องโฮ เสียงดังลั่น
“โธ่ คุณ…”
ทั้งกลุ่มเข้าไปในห้อง ICU รำไพโน้มตัวลงโอบกอดเผ่าลาภที่อยู่บนเตียง ร่ำไห้ ปานจะขาดใจ
“คุณคะ…คุณ คุณเผ่าลาภ…คุณเป็นอะไรไปคะ”
ทุกคนตกอยู่ในอาการเศร้าโศก ทว่านาทีนี้แพรวากลับดูเข้มแข็งอย่างไม่น่าเชื่อ
“หมอมารึยัง หรั่ง”
“ยังครับ”
“คุณเผ่าลาภจะฟื้นมั้ย นายหรั่ง”
แพรวาตอบเสียงหนักแน่น “ฟื้นสิแม่…คุณป๋าต้องฟื้นขึ้นมาแน่ๆ เชื่อน้องแพรสิ”
แพรวาโอบไหล่ ปลอบรำไพ

พยาบาลเข้ามาตรวจดูที่อุปกรณ์สำคัญบางอย่าง
กันทิมาถามพยาบาล “คนไข้เป็นยังไงบ้างคะ”
“คงต้องรอผลเอ็กซเรย์อีกซักครึ่งชั่วโมงนะคะ แล้วคุณหมอจะบอกรายละเอียดได้ว่าเป็นยังไงบ้าง”
“ฉันขอรอดูอยู่ตรงนี้ได้มั้ยคะ…ฉันเป็นภรรยาเขา” รำไพขอร้อง
“ที่จริงใน ICU เราให้เยี่ยมทีละสองคน ครั้งละไม่เกินยี่สิบนาที แต่ก็…เข้าใจค่ะ…”
“เราขอเปิดห้องพักที่นี่ให้คุณแม่ได้มั้ยคะ”
แพรวาพูดกับแม่แต่หันมาทางพยาบาลซึ่งรับคำ “ค่ะ”
“เดี๋ยวผมไปติดต่อให้แล้วกันครับ” สยามเดินออกไป
รำไพทรุดลงข้างๆเผ่าลาภ แพรวาคอยประคองแม่ของเธอเอาไว้
“คุณต้องไม่เป็นอะไรนะคะ ฉันจะอยู่ได้ยังไงถ้าไม่มีคุณ…”
หรั่งมองร่างเผ่าลาภ ด้วยความสงสารจับใจ
ส่วนเผ่าลาภสีหน้าของเขาเรียบเฉย ดูเหมือนไม่มีอาการเจ็บปวดใดๆ ปรากฏให้เห็น

คืนนั้น ที่บริเวณที่นั่งพัก รอของญาติผู้ป่วย ใกล้ห้องเด็กอ่อน สยามขยับตัวลงนั่งพิงผนัง ไม่ห่างจากหรั่งซักเท่าไหร่ ทั้งคู่นั่งเงียบๆซักพักหนึ่ง...สยามเอ่ยปากออกมาก่อน
“ยี่สิบกว่าปีที่ฉันอยู่กับท่านมา…ไม่มีครั้งไหนที่รู้สึกถึงความสูญเสียได้มาก และเลวร้ายเท่าครั้งนี้มาก่อนเลย”
“แล้วมันก็จะดีขึ้นเองแหละน้าหยาม” หรั่งปลอบ
“หรือไม่ก็แย่หนักลงไปกว่านี้อีก...มันก็มีอยู่สองอย่างเท่านั้นแหละ ไม่ดีขึ้นก็เลวลง ซึ่งพวกเราก็คงจะต้องลำบากไปกับเจ้านายท่านด้วย…เฮ้อ…เอากาแฟมั้ย เดี๋ยวฉันไปกดมาให้ ข้างล่างนี่เอง”
หรั่งพยักหน้า สยามเดินออกไป กันทิมาเดินเข้ามาจากอีกทางหนึ่ง เธอเดินมาหยุดยืนถอนใจ ไม่ไกลจากหรั่ง
“ในนั้นเป็นยังไงบ้างครับ”
“พี่รำไพก็ยังฟูมฟายอยู่…ย่ำแย่ไปตามๆ กันเลยละ ทำไมนายมานั่งตรงนี้ล่ะ”
“ผมเป็นคนนอกครับ” หรั่งว่า
“ในเวลาอย่างนี้ บางทีกำลังใจจากคนนอก มันช่วยพยุงคนที่กำลังแย่ให้ลุกขึ้นมาได้ดีกว่าคนในซะอีก”
กันทิมาพลิกหน้าไปเกาะกระจกด้านหลัง เธอมองเข้าไปห้องหลังกระจกนั้น สายตากันทิมามองเห็นเป็นห้องเด็กแรกเกิด มีทารกหลายคน นอนเรียงรายกันอยู่ในกระบะของตน
ดวงตาของกันทิมาฉายแววบางอย่าง เป็นประกาย
“ไอ้ที่มันแย่ๆอยู่อย่างนี้ บางทีมันก็เกิดขึ้นเพราะคนในทั้งนั้นแหละ”
“แล้วทำไมคุณไม่เข้าไปข้างในล่ะครับ”
“ฉันคงอยากเป็นคนนอกเหมือนนายละมั้ง”
ทารกแรกเกิดในกระบะหนึ่ง กำลังหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมา กันทิมายิ้มกับเด็ก
“ตอนนี้ก็เหลือแต่นายแล้วนะ นายหรั่ง...ที่จะต้องคอยยืนเคียงข้างแพรวาและพยุงเธอให้ลุกขึ้นสู้ต่อไปให้ได้”
คำพูดของกันทิมาดังสะท้านลึกล้ำเข้าไปในสำนึก และก้นบึ้งของหัวใจหรั่ง

กลางดึก คืนเดียวกัน ที่บ้านหลังใหม่ของโบ้ ในชุมชนจานเดี่ยวคำรณลุกขึ้นยืนหน้าตามันแดงก่ำ มือถือแก้วเหล้าแน่น...ดูออกว่าโคตรเมา !
“ไม่น่าเชื่อ...เหล้าฟรีนี่ มันเมาได้เมาดี อย่างนี้เองนะ ฮ่ะฮ่ะฮ่า”
คำรณยกแก้วเหล้ากรอกปาก
ผู้ใหญ่เงาะและน้าเบิ้มนั่งล้อมอยู่ข้างๆ ทั้งหมดรวมตัวกันอยู่บริเวณลานหน้าบ้าน
“เอ้าผู้ใหญ่ ไม่ดื่มล่ะ...วันนี้ยังไม่เห็นกระดกซักแก้วเลย”
“ไม่แล้ว...ฉันจะเลิกเหล้าแล้ว” ผู้ใหญ่บอก
น้าเบิ้มร้อง “ห๊า”
“ฉันจะพลิกฟื้นชุมชนนี้ ให้เป็นเขตปลอดสาร ดังเช่นแนวทางของศูนย์พัฒนาชุมชน”
คำรณท้วง “เดี๋ยวก่อน...สารอะไร ที่ว่าเขตุปลอดสารน่ะ สารอะไร”
“สาร - เลว ความเลวทุกชนิดต้องออกไปจากชุมชนจานเดี่ยวแห่งนี้” ผู้ใหญ่บอกอีก
“เฮ...งั้นต้องดื่มฉลองหน่อย”
คำรณยกแก้วเหล้าที่เหลือกรอกใส่ปาก ด้านหลังของคำรณ เห็นเสือวิ่งเข้ามา
คำรณหันมาทางน้าเบิ้ม “พนันกันมั้ย สิบ-หนึ่ง ฉันว่าไม่มีทางสำเร็จ...”
เสือรายงานคำรณ “ลูกพี่ครับ เราต้องไปกันแล้ว...เจ้าภาพเขาโทร.มาตามแล้ว”
“เดี๋ยวสิโว้ย....กูกำลังรออยู่”
“รออะไร” เสืองง?
“รอไปพร้อมคำตอบไงเล่า...”
คำรณลุกขึ้น เดินแอ่นเข้าไปในบ้านน้าเบิ้ม พร้อมส่งเสียงตะโกน
“ก้อยจ๋า...น้องก้อยจ๊ะ...มีคำตอบให้พี่คำรณรึยังจ๊ะ...โอ๊ว...”
คำรณล้มพรวดลงตรงหน้าบ้านนั้นเอง โดยในบ้าน เราจะเห็นว่าก้อยนั่งพิงฝาบ้าน โดยมีโบ้นั่งประจันหน้า เจ๊โอ๋และเด็กๆ เปะปะกันไปตามอัธยาศัย
“ก้อยคิดมากเหรอ...ถ้าเป็นโบ้ โบ้ไปแล้วหละ...โอกาสอย่างนี้ไม่ได้มีมาง่ายๆนะ...”
เสียงคำรณร้องโอดครวญมาจากนอกบ้าน
“โอ๊ย แขน...แขนกู”
“คิดดูสิ ก้อยจะได้แต่งตัวสวยๆ สวยกว่าใครในบ้านจานเดี่ยวนี้เลย พี่โบ้จะยกพวกไปเชียร์ให้ดังสนั่นเลยละ” โบ้บอก
เสียงร้องของคำรณดังเข้ามา “แม่งหักแน่ๆ หักแหงๆเลยแขนกู...มึงดูซิ นี่เลือดใช่มั้ยวะ...”
“ก้อยไม่อยากตัดสินใจอะไรโดยพลการ ก้อยอยากปรึกษาหรั่งก่อน”
เสียงน้าเบิ้มดังแทรก “อีโอ๋เว้ย หยิบยาแดงมาที...”
ตามด้วยเสียงผู้ใหญ่ “จะเอายาแดงมาทำไม อย่างนี้มันต้องเอาไปเข้าเฝือก”
“ไอ้หรั่งมันก็คิดเหมือนพี่โบ้นี่แหละ มันจะไปคิดอย่างอื่นได้ยังไง เชื่อพี่สิ อีกหน่อยก้อยอาจจะดัง กลายเป็นที่รักของประชาชน มีงานคอนเสิร์ท มีคนมาสัมภาษณ์ ถ่ายรูปลงหนังสือ...โอ นี่คือความฝันของพี่โบ้เลยนะ พี่ว่าจะฝากก้อยแอบถามเขาด้วย ว่าเขาอยากได้คนเป่าทรัมเป็ตบ้างมั้ย” โบ้บอกก้อย
เสียงคำรณขัดขึ้น “โอ๊ย กระดูกทะลุออกมานี่เลย...โอย เจ็บฉิบหาย....โอ๊ย....”
“แต่ก้อยไม่ได้มีความฝันแบบพี่โบ้นี่...ก้อยเล่นไวโอลินเพราะก้อยชอบเสียงไวโอลิน มันติดตัวก้อยมาตั้งแต่จำความได้...แล้วตอนนี้ที่ก้อยเล่นกีตาร์ก็เพราะว่ามันสนุกดี แล้วก้อยก็ไม่มีอะไรทำ ก็เท่านั้นเอง” ก้อยบอก
เสียงคำรณดังขึ้น “กูไม่สนุกนะเว้ย...กูเจ็บ...แขนฉัน มันอยู่กับฉันมาตั้งแต่เกิดนะโว้ย...โอ๊ย...มันจะหายมั้ยเนี่ย”
“หักได้ก็ต่อได้น่า...ไม่เห็นต้องเอ็ดไปเลย...” คราวนี้เป็นเสียงผู้ใหญ่เงาะ
“ก้อยไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะมีชีวิตมาถึงวันนี้ได้....ถ้าไม่ใช่เพราะการตัดสินใจของหรั่งในวันนั้น”
“ทั้งชีวิตนี้ ก้อยก็เลยมีแต่เพียงไอ้หรั่ง” โบ้ถามอย่างน้อยใจ
“ใช่...ถ้าก้อยจะทำอะไรมากกว่านี้ ขอให้หรั่งเป็นคนตัดสินใจให้ดีกว่า...เขาน่าจะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับก้อยได้”
เสียงคำรณร้อง “โอ๊ย....เจ็บโว้ย....เจ็บเข้าไปถึงขั้วหัวใจเลย....”

เหตุการณ์ 10 ปี ก่อนหน้านี้ผุดขึ้นในห้วงคิดของโบ้และก้อย
ที่กลางถนนไม่ไกลจากไซต์ก่อสร้าง เด็กหญิงก้อย เดินถือไวโอลินน้ำตานองหน้า อยู่กลางถนนเส้นนั้น รถเก๋งคันหนึ่งกำลังพุ่งตรงมาที่ก้อย เสียงแตรรถดังสนั่น ก้อยสะดุ้งสุดตัว
ร่างของเด็กชายคนหนึ่งพุ่งเข้าปะทะตัวก้อยจนกระเด็นหลุดออกมา รถคันนั้นเบรคดังลั่น ตัวรถหมุนเคว้งไปครึ่งรอบ ควันคละคลุ้ง
ก้อย ล้มลงไปกับถนน ด้านบนมีร่างของชายคนนั้นทับอยู่ ก้อยตื่นตระหนก หวาดกลัว
“ช่วยด้วย ช่วยเราด้วย”
เด็กชายผู้อยู่ด้านบน ที่แท้คือเด็กชายโบ้
เจ้าของรถเก๋งผู้ชาย ก้าวลงจากรถ ด่ากราดมาที่ก้อยอย่างรุนแรง
“ไอ้เด็กบ้า...เป็นห่าอะไร มาเดินเล่นไวโอลินอยู่กลางถนน...ตาบอดเหรอ...เห็นรถมั้ย รถเนี่ยมันชนมึงตายได้นะโว้ย ไอ้เด็กเปรต”
เด็กชายโบ้ผละ ลุกขึ้นจากร่างของเด็กหญิงก้อย เด็กชายหรั่ง ก้าวเข้ามาข้างรถเก๋งคันนั้น เขาอยู่ในชุดกรรมกรก่อสร้างเช่นเดียวกับโบ้
“พี่ขับรถชนเด็ก แล้วยังด่าเขาอีกเหรอ ทุเรศจัง”
“อ้าว มึงเสือกอะไรด้วย ไอ้หัวแดง อยากเจ็บตัวนักเหรอ...ถุ๊ย ไอ้พวกเด็กสลัม”
ชายคนนั้นก้าวขึ้นรถของตนทันที
หรั่งโกรธจัดเขาคว้าไม้หน้าสามใกล้ตัวตรงเข้าไปที่ท้ายรถคันนั้น เงื้อไม้สุดปลายมือ ไม้ท่อนนั้นถูกฟาดลงบนกระจกหลังรถ...มันแตกกระจายไม่มีชิ้นดี หรั่งวิ่งออกจากที่เกิดเหตุโดยเร็ว เขาวิ่งตรงมาที่ก้อย
“วิ่งเร็ว”
หรั่งกระชากก้อยออกไป โดยมีโบ้ตามไปติดๆ ชายคนนั้นก้าวลงจากรถอีกครั้ง มันคว้ามีดสปาต้าลงมาด้วย
“ไอ้ เชี่ย...พวกมึงตาย...”
ชายคนนั้นวิ่งไล่ตามไป...แต่ดูแล้วไม่น่าจะทัน

หรั่งลากก้อยเข้ามาในซอกหลืบลับตาคน อีกมุมหนึ่งในไซต์งานกรรมกรก่อสร้าง โบ้วิ่งตามมานั่งข้างๆ
“ช่วยเราด้วย ช่วยเราด้วยนะ...เราไม่อยากกลับบ้าน พ่อเลี้ยงเขาจะทำร้ายเรา”
ก้อยยกมือควานไปเบื้องหน้า หรั่งและโบ้มองหน้ากัน เข้าใจอาการ หรั่งคว้ามือก้อยมากุมไว้แน่น
“ไม่ต้องกลัวนะ มากับเรา แล้วจะปลอดภัย...เราชื่อหรั่ง เราจะดูแลเธอเอง เราสัญญา...”

ที่บ้านแสงเทพเวลาดียวกัน เห็นด้านหลังเสื้อสีส้มของพนักงาน มีตัวหนังสือเขียนบนนั้นว่า " จินดาเซอร์วิส "
แสงเทพ ตะวันฉาย และปื๊ด นั่งรุมดูกระป๋องน้ำยาสีเงิน ชนิดไม่มีฉลากที่ตั้งอยู่กลางวง
“คุณภาพไว้ใจได้แน่นะ”
พนักงาน ยิ้มอย่างมีเลศนัย มันยกกระป๋องขึ้นมาโฆษณาสรรพคุณ
“รับรองครับ...นี่คือสูตรใหม่ สูตรแจ๋ว อบวันนี้ พรุ่งนี้เละ”
พนักงานหยิบสติกเกอร์สีแดงคาดลงไปบนกระป๋อง มีตัวหนังสือบนนั้นเขียนว่า NEW PRODUCTS…LOW PRICE - HIGH QUALITY
แสงเทพส่งเช็คเงินสดให้พนักงาน
“นี่คงพอสำหรับปิดปากนาย”
“รับประกันล้านเปอร์เซ็นต์ครับ สูตรนี้จะเป็นลิขสิทธิ์ของท่าน เราจะไม่นำไปใช้ที่อื่นเด็ดขาด”
“ดีมากไอ้น้อง”
แสงเทพหันไปเรียกปื๊ด
“ไอ้ปื๊ด”
“ทราบแล้วครับ ว่าต้องทำยังไง”
ปื๊ดเดินนำพนักงานออกไป ตะวันฉายมองแสงเทพอย่างทึ่ง
“ผมเชื่อแล้วครับ คุณอานี่สุดยอดผู้ทรงอิทธิพลจริงๆ...ดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่อาทำไม่ได้เลยนะครับ”
“เขาเรียกว่า ปราดเปรื่องเรื่องชั่ว ฮ่าฮ่าฮ่า”
“ถามจริงๆเถอะครับอา...ทำไมอาถึงจ้องจะทำลายคุณเผ่าลาภเขาขนาดนั้น”
“ถ้าจะให้ตอบแบบนักธุรกิจก็ต้องบอกว่า โลกใบนี้มันกว้างใหญ่ไม่พอที่อาจะแบ่งปันให้ใคร...เว้นแต่ว่าโลกเราจะมีสองใบ ซึ่งอีกใบหนึ่งต้องเป็นของอาคนเดียวเท่านั้น...ที่ดินรอบๆ เชิงเขานั่น มันเป็นถิ่นกำเนิดของอา เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็น M.S. หรือบริษัทใดก็ตาม มันก็ต้องหลีกทางให้กับธุรกิจของอาทั้งนั้น”
“มีคำตอบแบบอื่นอีกมั้ยครับ”
“ตอบแบบลูกผู้ชาย…มันคือ การล้างแค้น”
“เข้าใจง่ายกว่ากันเยอะเลย”
ตะวันฉายตั้งใจฟังอย่างสนใจ
“สี่สิบปีที่แล้ว ในครั้งแรกของการให้สัมปทานทำเหมืองบนที่ผืนนี้...มันควรจะเป็นสิทธิ์ของอา ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้คนแซ่ตั้งมันมาตัดหน้าอาซะก่อน”

เรื่องราวความแค้นแต่หนหลัง ปรากฏขึ้นในหัวและห้วงคิดของแสงเทพ

ในตอนนั้น แสงเทพ เผด็จศึก เผ่าลาภ ในวัยหนุ่มแน่นล้วนอยู่ชุดเข้าป่า 3 คนนั่งอยู่บนรถจี๊ป โดยทั้งสามประทับปืนเล็ง เข้าไปในป่า เสร็จแล้วทั้งสามนั่งล้อมวงกินกาแฟกลางป่า

เสียงแสงเทพเล่าบรรยายภาพเหตุการณ์ดังขึ้น “ในวันนั้น อายังเป็นวัยรุ่นที่รักการผจญภัย รักการเข้าป่าล่าสัตว์เป็นชีวิตจิตใจ เพื่อนที่ใจเดียวกันกับอามีอยู่สองคน...ไอ้ตง ไอ้ย้ง พวกเราบุกตะลุยมาแล้วทุกผืนป่า ล่าสัตว์มาแล้วทุกชนิด...วันนึงพวกเราคิดที่จะวางรากฐานที่มั่นคงให้กับอนาคต...”
ทั้งสามหนุ่มกางแผนที่ดูหน้าเต็นท์ของพวกเขา จากนั้นสามคนยืนส่องกล้องมองไปยังเทือกเขาที่ตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เผด็จศึกกำดินชูขึ้น
“อาเล็งเห็นทำเลที่ดี เป็นที่ผืนใหญ่ที่เหมาะจะกว้านซื้อไว้ทำธุรกิจร่วมกัน...โดยหารู้ไม่ว่า...ใต้ที่ดินผืนนี้มีของมีค่ายิ่งนัก พวกมันหักหลังอา” แสงเทพเล่าต่อ
แสงเทพนั่งรถจี๊ปอยู่คนเดียว มีเผด็จศึกและเผ่าลาภยืนส่ง
หลังจากนั้นเผด็จศึกและเผ่าลาภ หันไปจับมือกับเจ้าของที่ ถ่ายรูปร่วมกัน หลังเซ็นสัญญาซื้อที่ดิน
“มันสองคนพี่น้องส่งอาเข้าป่า...แล้วก็หันเซ็นสัญญาซื่อที่ดินผืนนั้น...อาช้ำใจจนแทบจะละทิ้งจากวงการนักเลงป่วยเป็นมาเลเรียอยู่กลางป่า...ดีว่ามีคนมาเตือนสติอาไว้”
แสงเทพเดินป่าอยู่คนเดียว จนกระทั่งป่วยหนัก เป็นมาเลเรียในที่สุด

ตะวันฉายติดใจประโยคสุดท้าย ถามขึ้น
“ใครครับ”
“พี่สาวของอา...แม่ของแองจี้...อาถึงได้กลับมามีวันนี้ได้”
ตะวันฉายจึงเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
“ถึงตอนนี้ แผนการล้างแค้นของอาก็เกือบบรรลุเป้าหมายแล้วนะครับ”
“ใช่ เหลือเพียงแค่หลานชายไปกระซิบพ่อ ให้ออกหนังสือยกที่ผืนนั้นให้อาซะ...มันก็จะเป็นการจบแบบ สมบูรณ์แบบที่สุด”
“ได้สิครับอา...มีความเป็นไปได้ สูงมาก....”
“แต่ขอถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ว่าหลานไม่เสียดายสาวน้อยแพรวาคนนั้น แน่นะ”
“ก็อาจจะมีบ้าง นิดหน่อย แต่ตราบใดที่อายังมีหลานสาวชื่อ แองจี้อยู่...ความรู้สึกนั้นก็หายเกลี้ยง เป็นปลิดทิ้งครับ คุณอา”
แสงเทพยิ้มพอใจ ตะวันฉายยิ้มเยือกเย็น

ขณะเดียวกันหมอเปิดประตูห้องพักคนไข้วีไอพีเข้ามา พร้อมกับพยาบาล แลเห็นสยามและหรั่งนั่งรออยู่นอกห้อง...จนกระทั่งหมอปิดประตูลง
“สวัสดีครับผมหมอยงยุทธครับ”
รำไพ แพรวา กันทิมา กระจายกันอยู่เต็มห้อง หน้าตายังไม่คลายหมอง
“สามีดิฉันเป็นอะไรคะ”
“เส้นเลือดในสมองแตก มีเลือดออกมาคั่งอยู่ในสมองเยอะทีเดียว แล้วก็...แน่นอนครับสมองบวมเป็นผลที่ตามมา” หมอยงยุทธแจงอาการ
รำไพร้องไห้ออกมาอีกครั้งอย่างไม่อาย แพรวาเข้าประคองผู้เป็นแม่เอาไว้
“โธ่...เขาจะฟื้นมั้ยคะ หมอ...หมอต้องทำให้เขาฟื้นนะคะ”
“เอ้อ...ผมว่าเราคงต้องทำใจให้เย็นลง แล้วค่อยๆ พูดกันด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริงนะครับ”
กันทิมาถาม “ต้องมีการผ่าตัดมั้ยคะ”
“นั่นเป็นเรื่องที่เราไม่อยากทำครับ เพราะการผ่าตัดจะทำให้ต้องเสียเนื้อสมองไปด้วยตอนนี้เราใช้วิธีให้ยาไปละลายลิ่มเลือด ละลายก้อนเลือด เพื่อไม่ให้ก้อนเลือดเหล่านี้ไปกดทับสมอง...แล้วก็ ยาลดอาการสมองบวม อธิบายอย่างตรงไปตรงมาก็คือ ถ้าก้อนเลือดไปกดทับสมอง ก็จะอันตราย...ถ้าเราละลายก้อนเลือดได้หมดไป โอกาสฟื้นตัวก็มี”
“ใช้เวลานานมั้ยคะกว่าที่คุณป๋าจะฟื้นตัว”
“ก็...สาม ถึง หกเดือน...หรืออาจจะมากกว่านั้น...ผมยังตอบไม่ได้”
ทุกคน นิ่งงัน อึ้ง ไปตามๆ กัน

สักครู่หนึ่งหมอยงยุทธเปิดประตูออกมาจากห้อง แพรวาเดินตามมาด้วยกัน ทั้งคู่เดินคุยผ่านบริเวณที่หรั่งและสยามนั่งรีรออยู่
“ต้องนับว่ายังโชคดีนะครับ ที่ไม่ใช่เส้นเลือดบริเวณส่วนท้ายทอย เพราะถ้าเส้นเลือดตรงนั้นแตกละก็ ส่วนใหญ่เสียชีวิตทันที”
“แล้วของคุณป๋าเป็นเส้นเลือดตรงไหนคะ”
“สมองใหญ่ส่วนหน้าด้านซ้าย...ก็จะไปเป็นปัญหาด้าน การพูด การฟัง แขนขาด้านขวาขยับตัวไม่ได้...แต่อย่างที่บอกหละครับ ใช่ว่าจะไม่มีทางรักษา เพียงแต่ต้องใช้เวลาออกจากโรงพยาบาลแล้วอาจต้องมีการทำกายภาพนิดหน่อย...หมอจะดูแลให้อย่างใกล้ชิดก็แล้วกันนะครับ...”
“ขอบคุณค่ะ”
“งั้นเชิญพักผ่อนครับ...ดูแลคุณแม่ด้วยแล้วกัน เดี๋ยวจะเป็นอะไรหนักไปอีกคน”
หมอเดินลับตัวไป แพรวาสูดลมหายใจลึกๆ แล้วหันไปหาสยาม
“น้าหยาม ช่วยกลับไปที่บ้าน บอกเด็กให้จัดเสื้อผ้ามาให้แม่กับน้องแพรที...เราจะค้างกันที่นี่”
“ได้ครับ”
“นายหรั่ง พรุ่งนี้มารับฉันที่นี่นะ...ฉันจะเข้าออฟฟิศ”
แพรวาเดินออกไปทันทีที่พูดจบ

เผ่าลาภยังนอนนิ่งอยู่ในห้อง ICU แพรวาเข้ามาเกาะกระจกหน้าห้อง มองมายังผู้เป็นบิดา แววตาเศร้าสร้อย หรั่งก้าวเข้ามายืนด้านหลังแพรวา
“คุณแพรวาครับ”
แพรวาไม่หันไปหาหรั่ง
“คุณเผ่าลาภต้องหายครับ ท่านต้องหายแน่นอน”
น้ำตาแพรวาไหลรินออกมาหนึ่งหยด เธอพยักหน้าช้าๆ แล้วเดินอ้อมหน้าต่างกระจกเพื่อเข้ามาในห้อง เดินเข้ามายืนเกาะเตียงเผ่าลาภ ในใจเธอนั้นพร้อมแล้ว ที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อแลกกับการคืนสติกลับมาของผู้เป็นบิดา
หรั่งยืนมองดูสองพ่อลูกผ่านกระจกอย่างเข้าใจ
พระอาทิตย์สีส้มขนาดกำลังดี โผล่พ้นขอบฟ้า เห็นบรรยากาศยามเช้าอันชินตาของผู้คนในชุมชน
ชาวบ้านทุกคนอยู่ในกิจวัตรของตนเช่นที่ผ่านมา พวกเด็กๆ วิ่งกันพลุกพล่าน บ้างก็ชักชวนกันไปดูศาลารวมใจ
ไกลออกไป เห็นหรั่งขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามา
เสียงผู้ใหญ่เงาะดังเข้ามาพร้อมๆกับดวงอาทิตย์ที่โผล่พ้นขอบฟ้า
“พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย นี่คือเสียงผู้ใหญ่เงาะ ขอประกาศให้ทราบทั่วกันว่า ศาลารวมใจของเราเสร็จแล้ว เรากำลังจะมีศูนย์กลางของชุมชน เอาไว้เป็นที่ประชุม ป่าวประกาศและร้องทุกข์…ผู้ใดขาดรายได้ ไร้อาชีพ เราก็จะได้หาทางช่วยเหลือกัน…”

ผู้ใหญ่เงาะยังถือไมโครโฟนประกาศก้อง อยู่ที่หน้าศาลารวมใจ
“ลูกหลานของพวกเราก็จะได้ใช้เป็นที่ทำกิจกรรม ทั้งสร้างสรรค์และสร้างเสริม ใครมีหนังสือหนังหาดีๆก็เอามาบริจาคเอามาเติมไว้ในห้องสมุดส่วนกลางที่นี่ได้”
ชาวบ้านจานเดี่ยวจับกลุ่มล้อมวงกันรอบศาลา ผู้ใหญ่ยืนตระหง่านกลางวง
“ใครมีเหล้า มีเบียร์ ไม่ใช้ ก็เอามากองรวมกัน ฉันจะ...” เท่ห์แหลมขึ้นมา
ผู้ใหญ่สวนทันที “ฉันจะเอาไปเททิ้งเอง”
เท่ห์ร้อง “อ้าว”
“ชุมชนของเราต้องปลอดอบายมุข อย่าได้มั่วสุมกันเด็ดขาด” ผู้ใหญ่เงาะว่าต่อ
เช็งประกาศ “เฮ้ย...พวกเราสลายตัว…เนี่ย โคตรมั่วสุมเลยละ”
น้าเบิ้มบอก “เขาเรียกประชุม เว้ย”
“เราต้องช่วยกันทำให้ชุมชนจานเดี่ยวของเราเป็นชุมชนที่มีระดับให้ได้ ใครมีนิสัยชั่วร้ายต้องขับไล่ออกไปจากบ้านเรา”
ชาวบ้านชอบใจร้อง “เฮ…” ดังลั่น
หรั่งขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านหน้าศาลาพอดี เช็งหันไปเห็น มันตะโกนเรียก
“ไอ้หรั่ง มาฉลองศาลากันหน่อยเว้ย”
“กูไปหาก้อยก่อน”
หรั่งขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านไปโดยไม่ชะลอ หรือแวะ
เท่ห์มองตาม “เพิ่งมาเอาป่านนี้...ก้อยมันก็คอยแย่สิวะ”

ก้อยยืนพิงผนังฟังเสียงโบ้ที่ดังเข้ามาจากหน้าบ้าน โบ้ประจันหน้ากับหรั่งที่ยังนั่งคาอยู่บนมอเตอร์ไซค์
“มึงหายไปไหนมาทั้งคืน รู้มั้ยว่าก้อยไม่ได้นอนเลย”
“แล้วมึงรู้มั้ยว่ากูก็ไม่ได้นอนเลย”
“มึงไปทำอะไรมา”
“มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นที่บริษัท”
“มึงไม่ต้องเอาเรื่องงานมาอ้างหรอก งานบ้าบออะไรกันวะทำถึงเช้า”
“คุณเผ่าลาภเขาไม่สบาย”
โบ้พาล ด้วยโกรธแทนก้อยไม่หาย “แล้วมึงเป็นหมอเหรอ?…เดี๋ยวนี้มึงเปลี่ยนไปมากนะไอ้หรั่ง”
ก้อยเดินออกมาจากในบ้าน
“อย่าไปว่าหรั่งเลยพี่โบ้”
หรั่งตรงเข้าไปใกล้ก้อยทันที
“ก้อย หรั่งขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ…เมื่อวานคุณคำรณเขามาหาก้อยด้วยละ”
“เหรอ…ก้อย...ก้อยอยู่ที่นี่ลำบากมั้ย”
ก้อยส่ายหน้า
“เอ้อ คืออย่างนี้นะก้อย เจ้านายหรั่งกำลังมีปัญหาใหญ่ ช่วงนี้หรั่งคงจะวุ่นวายกับงานมากขึ้นกว่าเก่า…หรั่งอาจจะต้องฝากก้อยไว้ที่นี่นานหน่อย ได้มั้ย”
“ได้สิ”
ก้อยหน้าหมองลง น้อยใจลึกๆ ที่หรั่งไม่ได้สนใจเรื่องของเธอเลย หรั่งหันไปหาโบ้ ส่งโทรศัพท์เครื่องใหม่กับบัตรเติมเงินปึกหนึ่ง
“ไอ้โบ้ มึงเอาโทรศัพท์นี่ไว้ใช้ ถ้ามีอะไรโทร.หากูได้ทันที”
โบ้หยิบโทรศัพท์เครื่องของก้อยที่หรั่งให้ไว้ ชูให้ดู
“ไม่เห็นมึงโทร.มาเลย กูโทร.ไปมึงก็ไม่รับ”
“ก็กูบอกแล้วว่าเมื่อคืนมันมีเรื่องยุ่ง”
“ซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ให้กูแล้วมึงจะหายยุ่งเหรอ...แล้วต่อไปถ้ามีเรื่องแบบนี้อีก มึงไม่
ต้องซื้อโทรศัพท์วันละเครื่องเลยเหรอ ไอ้หรั่ง” โบ้บ่น
ก้อยฟังอยู่นิ่งๆ สะเทือนใจลึกๆ
“ถ้ามึงลำบากใจที่กูฝากก้อยไว้ที่บ้านมึง ก็บอกมา”
โบ้มองหรั่ง เงียบกริบ
“ขอบใจมากเพื่อนรัก…”
หรั่งควักเงินในกระเป๋าออกมาส่งให้โบ้
“นี่เงินสำหรับค่าอาหาร…เดี๋ยวกูแวะบอก พ่อ แม่มึงเอง”
หรั่งขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป โดยไม่หันกลับมามองแม้แต่นิดเดียว
โบ้ ได้แต่มองตามไปจนลับตา ส่วนก้อยนั่งก้มหน้านิ่ง

ด้านหรั่งขี่มอเตอร์ไซค์มาตามถนน เสียงโทรศัพท์มือถือของหรั่งดังและสั่น หรั่งจอดรถติดไฟแดงตรงสี่แยกพอดี เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดรับ
“ไอ้โบ้...มีเรื่องอะไรรึเปล่า”
โบ้ยืนพูดโทรศัพท์มือถืออยู่ในบ้าน ส่วนก้อยยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ด้านหลังโบ้
“มึงรู้ตัวรึเปล่า ว่ามึงออกไปโดยไม่ได้ลาก้อย”
หรั่งทั้งงวงทั้งเหนื่อยชักมีอาการหงุดหงิด หัวเสียกับตัวเอง
“เอ้อ...โทษทีว่ะ”
โบ้ยื่นโทรศัพท์แนบแก้มก้อย ก้อยจึงเอ่ยปากพูด
“หรั่ง...ขับรถดีๆ นะ”
“จ้ะ...โทษทีนะก้อย...หรั่งมัวแต่รีบ จนใจลอย”
“ไม่เป็นไร...ตั้งใจทำงานนะหรั่ง”
หรั่งนิ่งอึ้งไป พูดอะไรไม่ออก เขานั่งซึมคาอยู่บนมอเตอร์ไซค์กลางสี่แยกที่รถติดแน่น ยาวเหยียด

ส่วนที่โรงสีน่ำเล้ง รถตู้บริษัทจินดาเซอร์วิสแล่นเข้ามาจอด พนักงานในเสื้อยูนิฟอร์มสีส้มต่างถือกระป๋องน้ำยาลงมาจากรถ เดินเรียงแถวเข้าไป
โดยที่แถวตอนท้าย มีพนักงานเดินถือกระป๋องยาตรงเข้าไปในโรงสี พนักงาน 2-3 คนสุดท้ายถือกระป๋องยารุ่นใหม่ มันเป็นกระป๋องสีเงินคาดสติ๊กเกอร์สีแดงแบบที่เห็นในบ้านแสงเทพ ก่อนหน้านี้ คนงานของโรงสี ระดับหัวหน้าเดินสวนกับพนักงาน ตรงมา พูดกับพนักงานจินดาเซอร์วิสคนท้ายแถว
“ช่วยอบดีๆ ด้วยนะน้อง…เที่ยวนี้เป็นแสนตันเลย”
“ไม่ต้องห่วงครับ พี่”

พนักงานพูดโดยไม่หันหน้ามา…เสียงของมัน แหลมคุ้นหูที่สุด...มันคือไอ้ปื๊ด!!

 
อ่านต่อหน้า 3

สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 11 (ต่อ)

ขณะเดียวกัน เผ่าลาภยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงเหมือนเดิม ลินจงก้มหน้าเข้ามาใกล้ๆ พี่ชาย

“เฮีย…ฉันมาเยี่ยมนะเฮียนะ…”
รำไพนั่งอยู่ใกล้ๆ เตียงนอนสามี หน้าตาเธอยังดูอิดโรยอยู่มาก
“นอนนิ่ง ไม่รับรู้อะไรอย่างนี้ มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
แพรวาและวิโรจน์ยืนอยู่ข้างๆ ลินจง ทุกคนต่างล้อมเป็นวงรอบๆ เตียงเผ่าลาภ
“คุณป๋าคะ โกจูมาค่ะ คุณป๋าได้ยินมั้ย”
“ผมว่าเฮียแกคงได้ยินครับ แต่อาจจะยังตอบเราไม่ได้” วิโรจน์ว่า
“คิดว่าฟาดเคราะห์เถอะนะเจ้ พ้นจากนี้ไปคงหมดเคราะห์หมดโศกแล้วละน่ะ” ลินจงบอก
“ใครว่า ไอ้เคราะห์ที่อยู่ตรงนี้ ฉันยังไม่รู้เลยว่าเราจะผ่านพ้นไปได้ยังไง…ไหนจะยังเคราะห์ใหญ่ที่รอเราอยู่ข้างหน้าอีก”
ลินจงงง “เคราะห์ใหญ่?...อะไรอีกล่ะ เจ๊”
“ก่อนคุณตงจะล้มไป เขาเพิ่งสั่งปลดคนออกจากบริษัท…ญาติพี่น้องเราทั้งนั้น คำสั่งจะมีผลบ่ายวันนี้ละ”

คำสั่งสุดท้ายของเผ่าลาภ ปรากฏอยู่บนป้ายประกาศอย่างเป็นทางการ ของ M.S. GROUP มันถูกติดลงบนบอร์ดกลาง และบอร์ดหลากหลายมุมของทุกแผนก ทุกบริษัทในเครือ
โดยพวกพนักงานของเหมืองที่เมืองกาญจน์ พากันเดินซุบซิบไปตามทางเดิน ต่างพากันชักชวนไปอ่านประกาศ
เช่นเดียวกับกลุ่มพนักงานที่ออมุงอยู่หน้าบอร์ดติดประกาศในสำนักงานกรุงเทพฯ โดยมีเสียงพนักงานคนหนึ่งอ่านประกาศดังขึ้นมา
“ประกาศด่วน เนื่องด้วยทางบริษัทได้ตรวจพบการทุจริตอย่างรุนแรงของพนักงานในระดับสูง แต่ไม่สามารถระบุตัวผู้กระทำผิดได้ จึงมีคำสั่งปลดผู้บริหารที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ให้พ้นจากตำแหน่ง ดังรายนามต่อไปนี้ 1. นายทนงศักดิ์ พิพัฒน์สกุล 2. นางอรทัย พิพัฒน์สกุล 3. นายกฤษฎา พิพัฒน์สกุล 4. นายบารมี มหาโชคตั้งสิริ และ 5. นายสุชาติ เลียบวุฒิ โดยให้คนเหล่านี้พ้นจากตำแหน่งทันทีนับตั้งแต่วันออกประกาศ”
ที่บริเวณโชว์รูมของ M.S. JEWELRY มีประกาศข้อความลักษณะเดียวกัน ติดอยู่ที่บอร์ดของบริษัทพนักงานอีกหลายคนวิ่งบ้าง เดินบ้าง ตรงมายังบอร์ดนี้ เสียงพนักงานคนเดิมยังดังอยู่
“และขอแต่งตั้ง นายชาติชาย มหาโชคตั้งสิริ ขึ้นเป็นผู้จัดการฝ่ายโรงเจียระไนของ M.S. FACTORY แต่งตั้ง นายกัมปนาท มหาโชคตั้งสิริ ขึ้นเป็นผู้จัดการทั่งไปของ M.S. JEWELRY โดยให้รับผิดชอบหน้าที่ทันทีที่มีการออกประกาศเช่นกัน”
มีอันคุ้นตาพนักงานทั้ง ชาติชาย และ กัมปนาท ผุดขึ้นมาในจังหวะชื่อของเขาถูกอ่าน

ที่ออฟฟิศของ M.S. JEWELRY แพรวาและหรั่งเดินเข้ามาในบริษัทนี้ แพรวาเดินตัวตรง สีหน้าฉายแววมุ่งมั่นแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน หรั่งเดินตามหลังมา ทิ้งระยะห่างพอสมควร
เสียงอ่านป้ายประกาศโดยพนักงานคนเดิมยังดังอยู่
“และเนื่องจาก คุณเผ่าลาภ มหาโชคตั้งสิริ ล้มป่วยลงอย่างกระทันหัน จึงแต่งตั้งให้นางสาวแพรวา มหาโชคตั้งสิริ รักษาการในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป”
แพรวาและหรั่งเดินลับตัวไป กลุ่มพนักงานที่มุงดูป้ายประกาศอยู่ พนักงานสาวหนึ่งคนยืนอ่านประกาศนั้นให้เพื่อนๆ ฟัง เธอคือเจ้าของเสียงที่อ่านให้ได้ยินมาตั้งแต่ต้น
“จนกว่าจะมีประกาศฉบับใหม่ออกมาให้ทราบ ลงวันที่….”
เมื่อเธออ่านจบ ทุกคนมองหน้ากัน ต่างรู้ดีว่านี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

เวลานั้นที่สำนักงานเหมือง ทนงศักดิ์เดินเข้ามาท่าทีหัวเสียมาก และอาการร้อนรน อรทัย และ กฤษฎาเดินตามมาห่างๆ ทุกคนรู้เรื่องแล้ว
“นี่เฮียคุณเอาจริงเลยเหรอเนี่ย”
“ทำเหมือนเราไม่ใช่น้องใช่นุ่ง ไม่รักษาหน้ากันบ้างเลย”
“ใช่ เรื่องภายในแท้ๆ เอามาประจานอย่างนี้ได้ยังไง แทนที่จะเก็บเงียบเอาไว้...ถือว่าตัวเองเป็นพี่ใหญ่ จะทำยังไงก็ได้เหรอ”
“หุบปากได้แล้วนายต้น...ฉันยังไม่ได้เฉ่งแกเลยนะ เป็นเพราะแกแท้ๆทำให้เรื่องมันเป็นอย่างนี้”
“ใครสั่งใครสอนให้ขโมยพลอยจากเซฟของพ่อ ห๊ะ” ทนงศักดิ์เฉ่ง
“ก็...” กฤษฎาอึกอัก “...อากู๋หั่ง...”
“แล้วขโมยทั้งที แทนที่จะขายได้เงินเป็นกอบเป็นกำ ดันไปโดนไอ้เฮียเขียวหลอกโก่งราคาอีก...แหม แกนี่มันโง่….โง่เหมือนใครนะ...”
อรทัยเอานิ้วจิ้มลงไปบนกะโหลกลูกชายหมายจะให้หายแค้น ต้นกระเถิบตัวหนีแม่ ทั้งสามเดินมาถึงมุมผนังตึก
เห็นชาติชายยืนอ่านป้ายประกาศอยู่ตรงนั้น
“อ่านอยู่นั่นแหละ ดีใจนักรึไง ที่จะได้คุมเหมืองคนเดียว”
“คุมให้ได้ตลอดก็แล้วกัน” ทนงศักดิ์เยาะ
ชาติชายหันมอง โดยไม่โต้ตอบใดๆ อรทัยเดินปราดเข้าหา
“แกใช่มั้ยไอ้เหลียง บอกมาซิว่าแกใช่มั้ย ที่ยุยงให้เฮียตงเขาทำอย่างนี้...ไอ้น้องนอกคอกจำไว้นะ แกพลาดเมื่อไหร่ แกก็จะโดนแบบนี้เหมือนกัน”
ชาติชายเดินเลี่ยงออกไป สวนกับบารมีหอบกระเป๋าเสื้อผ้าเดินเข้ามา
“ดีใจด้วยเว้ย อาเหลียง...ลื้อมันเริ่มจะมีโชคกับเขาบ้างแล้วนี่หว่า...แต่อย่าเพิ่งแน่ใจไปว่านี่จะเป็นโชคดี เพราะสุดท้ายมันอาจจะกลายเป็นโชคเลือดก็ได้นะเว้ย”
บารมีพูดจบก็เดินจากไป
ชาติชายถาม “แล้วเฮียจะไปไหน”
“อั๊วมีทางไปของอั๊วก็แล้วกัน...จะหน้าด้านอยู่ที่นี่ให้โง่เหรอ”
ชาติชายบอก “ดูแลกันทิมาบ้างนะเฮีย”
บารมีหันกลับไปจ้องหน้าชาติชาย
“ของของอั๊ว อั๊วดูแลเองได้ ไม่ต้องมาบอก”

ด้านตะวันฉายนั่งเอนหลังอยู่ในมุมสบายๆ ของบ้าน สายตาจ้องหน้าจอโทรศัพท์มือถือของตน หูฟังบลูทู้ธ เสียบอยู่ที่หูของเขา
“เรียบร้อยดีใช่มั้ย...ถูกกระป๋อง ไม่พลาดแน่นะ ไอ้ปื๊ด”
หน้าจอโทรศัพท์ เห็นเป็นภาพไอ้ปื๊ดยิ้มแฉ่ง ถือกระป๋องน้ำยาใบนั้นชูให้ดูพลางบอก
“ถ้าพลาดก็ไม่ใช่ไอ้ปื๊ดสิครับ”
ตะวันฉายยิ้ม พอใจ สุริยะเดินผ่านไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ตะวันฉายกดเลิกสายโทรศัพท์
“ตาโอ๊ต รู้เรื่องอาการป่วยของพ่อหนูแพรวารึยัง”
“อ้าว ป่วยซะแล้วเหรอฮะ”
“อือม...หนักซะด้วย”
“ว้า…ล้มเร็วกว่าที่คิดไว้เยอะ”
“สุขภาพแกไม่ค่อยดีอยู่แล้ว พ่อว่าคงต้องให้เขาออกจากการเป็นกรรมการพรรคแล้วละ”
“เพราะสุขภาพไม่ดี”
สุริยะพยักหน้า “อือม…แล้วก็ ดูเหมือนว่าเขาจะมีประโยชน์ต่อพรรคเราน้อยไปหน่อย...ไม่มีอะไรต้องเสียใจไปกับเขาด้วยใช่มั้ยตาโอ๊ต”
“ผมยังไม่ได้เป็นอะไรกับเขานี่ครับ”
สุริยะมองหน้าลูกชาย ยิ้มถูกใจ
“ดี...แล้วบอกลูกสาวเขารึยัง ว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกับเขา”
“กำลังจะบอกเร็วๆ นี้แหละครับ...”
“อย่าให้มันช้านักนะ...เดี๋ยวก็เจอกฎหมายปิดปากเข้าจนได้หรอก...เข้าใจรึเปล่า”
“ครับ...แต่ผมขอข้อแลกเปลี่ยนจากพ่อซักข้อนึง ได้มั้ยครับ”
“อะไร”
“ที่เมืองกาญจน์ ตรงที่ติดกับเหมือง M.S.น่ะครับ ยกให้คุณอาแสงเทพได้มั้ยครับ”
สุริยะยิ้ม
“แกยังไม่ได้เป็นนักการเมืองเต็มตัวเลย หัดต่อรองถึงขนาดนี้เชียวเหรอ”
เด็กรับใช้เดินเข้ามาหาตะวันฉาย พร้อมกับส่งโทรศัพท์ไร้สายในบ้านให้
“สายจากคุณบารมีครับ”
ตะวันฉายรับโทรศัพท์ แล้วเดินเลี่ยงออกมาพูดห่างจากผู้เป็นพ่อ
“ตะวันฉายพูดครับ”

รถคันเก่าของบารมีจอดเปิดประตูกว้าง อยู่กลางลานด้านหน้าเหมือง บารมีนั่งพูดโทรศัพท์อยู่ในรถคันนี้
“อาแย่แล้วหละหลานตะวันฉาย...ถูกจับได้ซะก่อนน่ะสิ...ยังไม่ทันจะทำอะไรได้เท่าไหร่เลยพลอยที่แอบขโมยมาก็ได้มาแค่ไม่กี่ก้อน...นี่ เขาสั่งปลดหมดทุกคนเลยนะหลานชาย...แล้วทีนี้จะทำยังไงล่ะ หนี้สินที่ต้องหามาใช้เขาล่ะ...อาจะทำยังไงดี”

ตรงริมระเบียงของตึกM.S. แพรวายืนเหม่อมองขอบฟ้ากว้างไกล หรั่งยืนอยู่ใกล้ๆ
“ฉันต้องทำอะไรบ้างนะ หรั่ง”
“สิ่งแรกที่คุณต้องทำก็คือ ไม่กระโดดลงไปข้างล่าง”
“ฉันไม่มีอารมณ์จะพูดเล่นนะ”
“คุณต้องเรียกประชุมพนักงานและผู้บริหารทั้งหมด แจ้งสถานการณ์ของบริษัทให้ทุกคนทราบว่า บริษัทเรายังมั่นคงอยู่ และเราจะเดินหน้าต่อไปตามแนวทางที่พ่อของคุณวางเอาไว้...บอกพวกเขาว่าอาการของพ่อคุณไม่ได้เลวร้ายอะไรมาก ขอให้ทุกคนอย่าตกใจและจงทำงานในหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเองให้ดีที่สุด”
“นายพูดแทนฉันทั้งหมดเลยได้มั้ย”
“ไม่ได้หรอกครับ มันไม่ใช่บริษัทของผม มันเป็นของคุณ คุณต้องพูด คุณต้องแสดงให้เห็นว่าคุณเป็นผู้นำ ผมแจ้งคุณกัมปนาทให้ทราบแล้ว ส่วนคุณชาติชายมาไม่ได้ ต้องดูแลความเรียบร้อยที่เหมือง”
“นายคิดว่า ฉันจะทำได้เหรอ”
“มีเรื่องราวมากมายในชีวิต ที่ผมไม่เคยมั่นใจเลย...แต่ไม่ใช่กับเรื่องนี้ครับ”

ที่ห้องประชุมใหญ่ บริษัท MS. แพรวาอยู่ในนั้น มองไปรอบๆ ห้องประชุม เห็นพนักงานของบริษัท เบียดเสียดกันเต็มห้อง ทุกสายตาจับจ้องมองมาที่กล้อง รอคอย อย่างใจจดใจจ่อ อีกด้านหนึ่ง เห็นเป็นกัมปนาทนั่งติดแพรวาอยู่ตรงนั้น หรั่งนั่งเยื้องออกไปทางด้านหลัง
แพรวามองกลุ่มพนักงานทั้งหมด สูดลมหายใจเต็มปอด แล้วค่อยๆ เอ่ยปากออกมา
“ขอบคุณทุกคน ที่กรุณามารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียงในวันนี้...วันนี้ดิฉันจะขอพูดในฐานะ ผู้รักษาการในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ...ดิฉันขอประกาศให้ทุกคนรู้ว่า บริษัทของเรา ยังคงดำเนินงานต่อไปตามปกติทุกอย่าง”
หรั่งจ้องมองท่าทีเข้าแข็งของแพรวา มีร่องรอยความภูมิใจอยู่ในแววตาของเขา
แพรวายังคงพูดต่อไป
“และจะไม่มีอะไรมาหยุดยั้งการก้าวเดินของ M.S. ได้เป็นอันขาด ขอให้ทุกคนจงวางใจและทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปให้ดีที่สุด”

บริเวณส่วนงานหนักในเหมือง ชาติชายขับรถสิบล้อเข้ามาจอด เขาก้าวลงจากรถ มองไปรอบๆ
ไร้วี่แววของคนงาน อุปกรณ์ต่างๆถูกวางทิ้งไว้ระเกะระกะ ชาติชายเดินวน ไปรอบๆอย่างหงุดหงิด
เสียงแพรวาดังก้อง “การเปลี่ยนแปลงบุคคลากรในตำแหน่งผู้บริหาร ก็เป็นไปตามประกาศของคุณพ่อ ที่ทุกท่านได้เห็นกันแล้ว ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่งแทนนั้น ไม่ว่าจะเป็นอาชาติชายหรืออากัมปนาท ก็ไม่ใช่คนอื่นไกล เป็นผู้ที่พวกเราทุกคนรู้จักคุ้นเคยกันดีอยู่ ซึ่งดิฉันมั่นใจในความสามารถของคุณอาทั้งสองเป็นอย่างมาก”
ชาติชายกระโดดขึ้นรถสิบล้อ ขับออกไป

สักครู่ชาติชายเดินเข้ามาในสำนักงาน ในนี้ร้างผู้คนเช่นกัน มีเพียงหัวหน้าคนงานยืนเก็บของอยู่ไกลๆ ชาติชายเดินตรงเข้าไปหา
“ไอ้ผ่อง”
“ครับผม”
“คนงานหายไปไหนกันหมดวะ ในเหมืองไม่มีใครซักคน”
“คนงาน มันสไตรค์กันครับ มันไม่ยอมทำงาน” ผ่องบอก
“อ้อ...รวยแล้วเหรอถึงไม่ยอมทำงาน”
“ก็คงงั้นแหละครับ เห็นว่าคุณอรทัยจ่ายเยอะอยู่เหมือนกัน”
“อะไรนะ” ชาติชายงง
“คุณอรทัยเธอจ้างให้พวกเราลาออกครับ”
ชาติชายสบถคำหยาบในใจ
“แล้วพวกเราเหลือกันอยู่กี่คน”
“ก็มีเฮีย มีผม นักธรณี แล้วก็คนของผมอีกเกือบสิบคนได้”
“อยู่ไหนกันหมด”
“ไปช่วยกันเปิดหน้าดินตรงที่หลังเขา”
“ที่หลังเขา ! ใครสั่ง”
“ก็เฮียสั่งเองไง ลืมแล้วเหรอครับ”
“กูยังไม่ได้สั่งเลย ฟังมาจากใคร”
“ไม่รู้...ก็ไอ้พวกคนงานมันพูดกันว่า เฮียสั่งให้เร่งมือด่วน เดี๋ยวจะไม่มีพลอยขาย..พวกมันก็รีบพากันไปลุยนี่แหละ”
“เวรเอ๊ย...มั่วกันใหญ่แล้ว...เรายังไม่ได้จ่ายตังค์ค่าที่เขาเลย ไปเปิดหน้าดินได้ไงเล่า...”

ชาติชายหงุดหงิดปนกังวลถึงขีดสุด

ที่ห้องประชุมใหญ่บริษัท M.S. แพรวา ยังคงพูดต่อหน้าพนักงานทุกคน น้ำเสียงและท่วงท่าดูมีความมั่นใจมากขึ้น ทุกคำพูดของเธอกลั่นออกมาจากหัวใจ

“คุณป๋าให้ความสำคัญกับความเป็นครอบครัวเสมอ ท่านสอนให้พวกเราทุกคนรักกัน ให้เกียรติกัน สามัคคีกัน เพื่อต่อสู้ฝ่าฟันกับทุกปัญหา ดิฉันมั่นใจว่า คำว่าครอบครัวของคุณป๋า ไม่ได้หมายความแค่ พี่น้องร่วมสายเลือดเท่านั้น แต่ท่านหมายถึงพวกเราทุกคนที่นี่ ที่มีส่วนร่วมในการสร้างบริษัท M.S.ขึ้นมา พวกเราคือครอบครัวเดียวกันค่ะ...ดิฉันสำนึกถึงคุณค่า และความสำคัญของทุกๆท่านในที่นี้เสมอมา และหากดิฉันพอจะขออะไรจากทุกๆท่านในฐานะคนในครอบครัวได้ สิ่งเดียวที่ดิฉันอยากจะขอก็คือ...ขอได้โปรดช่วยภาวนาให้คุณป๋าของดิฉันหายไวๆ...เพื่อจะได้กลับมาเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพวกเราทุกคน
เหมือนเดิม คงไม่เป็นการขอที่มากไป ใช่มั้ยคะ”
พนักงานหญิงบางคน น้ำตาไหลซึมออกมา
“ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมประชุมในวันนี้นะคะ...ดิฉันหมดเรื่องที่จะพูดแล้วค่ะ”
พนักงานทุกคนค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นไล่เลี่ยกัน
หรั่งกระเถิบเข้าไปใกล้แพรวา...เขากระซิบอะไรบางอย่างข้างๆ หูเธอ
“เจ๊กฮุยคะ”
“ว่าไง”
“พลอยในสต็อกที่พอจะเหลือทั้งหมด ฝากเจ็กฮุยหาทางปล่อยให้ด้วยนะคะ”
“ได้”
“น้องแพรเช็คดูแล้ว...ดูเหมือนว่าเรากำลังต้องการเงินอย่างเร่งด่วน เพื่อใช้เก็บงานสนามกอล์ฟ งานโปรเจ็คท์ขยายเหมือง รวมทั้งเรื่องแผนงานทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่อีก...ถ้าช้า เราอาจจะพลาดที่ดินผืนนี้ก็ได้”
“ตกลงจ้ะ...เอ้อ อาจะบอกอะไรให้อย่างนึงนะน้องแพร...วันนี้หนูทำได้ดีมาก...ถ้าเฮียตงรู้เขาจะต้องภูมิใจแน่ๆ อารับรอง”

หลังจากนั้นไม่นานนัก ที่ห้อง I C U เตียงนอนเผ่าลาภตั้งอยู่กลางห้อง แพรวาก้มหน้าลงไปใกล้กับใบหน้าเผ่าลาภ ปากพร่ำพูดคุยกับพ่อของเธอ รำไพและลินจงยืนดู เป็นโฟร์กราวด์ของภาพ
“คุณป๋าคะ น้องแพรเป็นอย่างที่คุณป๋าอยากให้เป็นแล้วนะคะ น้องแพรรู้แล้วว่าเวลาทำงาน คุณป๋าต้องเหนื่อยแค่ไหน...แต่น้องแพรไม่อยากเหนื่อยอย่างนี้ น้องแพรอยากให้คุณป๋าฟื้นขึ้นมา อย่างน้อยก็มาดูว่าวันนี้น้องแพรทำอะไรลงไปบ้าง เจ็กฮุยยังบอกเลยว่าน้องแพรเก่งขึ้นตั้งเยอะ คุณป๋าไม่อยากเห็นด้วยตาตัวเองเหรอคะว่าน้องแพรเก่งแค่ไหน”
ลินจงยืนฟัง น้ำตาไหล รำไพนั้นร้องไห้ซะจนไม่เหลือน้ำตาอีกต่อไปแล้ว
“ตื่นขึ้นมาซะทีสิคะคุณป๋า...น้องแพรสัญญาว่าจะเป็นผู้ช่วยที่ดีของคุณป๋าค่ะ น้องแพรสัญญา...”
ลินจงเข้าไปโอบไหล่แพรวาไว้
“เฮียตงรู้นานแล้วหละว่าลูกสาวของเขาเก่งแค่ไหน เชื่ออาโกสิ”
ลินจงก้มหน้าลงไปพูดกับเผ่าลาภ
“เฮีย ฉันกลับก่อนนะ แล้วจะมาเยี่ยมบ่อยๆ...นอนพักเต็มอิ่มเมื่อไหร่ก็ตื่นขึ้นมานะเฮียนะ...” ลินจงบอกกับรำไพ “เจ๊อยู่ทางนี้ขาดเหลืออะไรรึเปล่า”
รำไพส่ายหน้า “ขาดคนนั้นคนเดียวเท่านั้นแหละ” พลางพยักหน้าไปทางเผ่าลาภ “อย่างอื่นก็ไม่มี
อะไรจำเป็นแล้วหละ”
“เจ๊ต้องเข้มแข็งนะ ฉันอยู่ข้างเจ๊ตลอด”
“ขอบใจจ้ะ...น้องแพร ส่งอาลินจงสิลูก”
แพรวาพูดกับพ่อ “เดี๋ยวน้องแพรมานะคะ...คุณป๋าอยากได้อะไรมั้ย...กาแฟเย็นข้างล่างอร่อยใช้ได้ น้องแพรจะกินเผื่อคุณป๋าแล้วกันนะ”
แพรวาลุกขึ้นเดินไปหาลินจง ที่กำลังล่ำลารำไพ จังหวะนี้ปลายนิ้วมือของเผ่าลาภ ดูเหมือนว่ามันค่อยๆขยับเล็กน้อย โดยที่ไม่มีใครเห็น

หรั่งนั่งพูดโทรศัพท์อยู่กลางโถงทางเดินในโรงพยาบาล
“ก้อยเป็นไงบ้าง...เล่นไวโอลินอยู่ละซี เขากินข้าวรึยัง...มึงดูแลเขาดีไหม....อือม วันนี้กูอาจไปรับดึกนะ”
โบ้อยู่ที่หน้าห้องซ้อมดนตรี พูดโทรศัพท์กับหรั่ง
“กูกะอยู่แล้ว”
“งานกูยุ่งจริงๆ กูฝากมึงด้วยก็แล้วกัน”
“ตามสบาย...มึงไม่ต้องห่วง”
ก้อยนั่งเล่นกีตาร์อยู่ในห้องนั้น โบ้กดยกเลิกสายโทรศัพท์ เขาพึมพำออกมา
“มึงไม่ห่วงจริงๆ ด้วย”

ที่ห้องซ้อมดนตรีเวลานั้น ก้อยนั่ง picking กีตาร์ เพลงรักคุ้นหู ด้านหลังเห็นเป็นคำรณยืนคุยกับนักดนตรีหน้าตาคุ้นๆ อยู่ในห้องกระจก คนทั้งสองมองมาทางก้อย
โบ้เปิดประตูเข้ามาในห้องซ้อม
ก้อยทัก “พี่โบ้...”
“ไอ้หรั่งมันโทร.มา”
“ฝากก้อยไว้กับพี่โบ้”
“ใช่...”
“แค่นั้นเหรอ...เขารู้รึเปล่าว่าก้อยอยู่ที่ไหน”
โบ้ไม่ทันได้ตอบ คำรณก็เปิดประตูห้อง เดินส่งเสียงเข้ามา
“น้องก้อยจ๋า...แม่ยาหยีของพี่คำรณ...พี่มีข่าวดีมาบอก”
“ข่าวอะไรคะ”
“ข่าวดีที่ 1...มือเปียโนตาบอดที่พี่นัดให้มาซ้อมกับน้องก้อยวันนี้ เขาเบี้ยวพี่ ไม่ยอมมาตามนัด”
โบ้งง “เนี่ยเหรอข่าวดี...เราก็เสียเวลาฟรีๆ น่ะสิ”
คำรณคุยฟุ้ง “นี่แหละข่าวดี...เพราะมันนำไปสู่ข่าวดีที่ 2”
“อะไรเหรอคะ”
“มีนักดนตรีวงร็อคเกิดสนใจน้องก้อย...อยากได้น้องก้อยของพี่ ไปเล่นแจมบนเวทีคอนเสิร์ต”
โบ้ไม่เชื่อ “โม้ใหญ่แล้วหละ”
“ไม่ได้โม้...นักดนตรีอาชีพจริงๆ กำลังทำอัลบั้มใหม่ เล่นดี ร้องดี ตาไม่บอดด้วย”
“แล้วก้อยจะไปเล่นอะไรกับเขาได้ล่ะคะ”
นักดนตรีผมยาวก้าวเข้ามา เอ่ยปากพูดอย่างเท่ห์
“เล่นอย่างที่เล่นเมื่อกี้นั่นแหละครับ...เล่นด้วยกัน รับรอง มันแน่ๆ”

อีกฟากหนึ่ง ในโรงพยาบาลยามเย็น แพรวาเดินคู่มากับลินจง ตรงมาที่โถงลิฟท์
“ถ้าไม่ติดว่ายุ่งเรื่องเรือส่งข้าวเที่ยวนี้ละก็ อาจะยกครอบครัวมาเปิดห้องนอนเฝ้าป๋าน้องแพรด้วยอีกคน”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“เรื่องการเงินของบริษัท น้องแพรไม่ต้องกังวลนะ ส่งข้าวเที่ยวนี้หมด เราจะมีเงินเข้ามาเยอะเลยละ...พวกเราไม่ทิ้งกันอยู่แล้ว”
ประตูลิฟท์เปิดออก หรั่งก้าวออกมาจากลิฟท์ตัวนั้น ลินจงทักทายหรั่ง
“นายหรั่ง เธออยู่แถวๆนี้ก่อนสิ เผื่อคุณรำไพกับคุณแพรวาอยากได้อะไรจะได้ช่วยเหลือได้” ลินจงบอก
“ครับผม”
ลินจงก้าวเข้าไปในลิฟท์ นึกอะไรบางอย่างได้ จึงกดลิฟท์ค้างไว้ แล้วโผล่หน้าออกมาพูด
“เอ้อ น้องแพร...วันนั้นที่หนูพาแฟนมาหาอาน่ะ หนูลืมผ้าห่มเอาไว้นะ อาเอาติดมาด้วยเดี๋ยวจะให้เด็กเอาขึ้นมาให้นะ...ไปก่อนละ”
ประตูลิฟท์ปิดแพรวาขยับลงนั่ง ใกล้ๆตรงนั้น ท่าทางเธออ่อนแรงลงไปเยอะ
“ไม่น่าเชื่อเลย”
หรั่งถาม “ไม่น่าเชื่อที่เขาจะลืมผ้าห่มของคุณ”
“ไม่น่าเชื่อที่ฉันจะลืมบอกเขา เรื่องคุณป๋า...ขอยืมโทรศัพท์หน่อยสิ
หรั่งส่งโทรศัพท์มือถือให้ แพรวารับมา กดหมายเลขลงไป แล้วยกหูโทรศัพท์แนบแก้ม...รอ หรั่งยืนมองอยู่ห่างๆ
“ฮัลโหล พี่ตะวัน...นี่น้องแพรนะคะ คุณป๋าไม่สบาย เส้นเลือดในสมองแตก”

ตะวันฉายพูดโทรศัพท์มือถือ อยู่บริเวณมุมหนึ่งอันสวยงามในร้านอาหารบรรยากาศโรแมนติก
“พี่รู้แล้วละ”
เสียงแพรวาดังออกมา “แล้วพี่ตะวันก็ลืมผ้าห่มของน้องแพรด้วย”
“พี่ไม่ได้ลืม...ไม่ได้ลืมทั้งไปเยี่ยมคุณป๋าน้องแพร และก็ไม่ได้ลืมผ้าห่มของน้องแพร...แต่ พี่ตั้งใจจ้ะ”
แพรวามีสีหน้านิ่ง งงงัน
“พี่ตะวันจะเซอร์ไพรส์อะไรน้องแพรอีก ตอนนี้น้องแพรไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะเซอร์ไพรส์อะไรอีกแล้วนะ...พี่ตะวันช่วยมาหาน้องแพรที มาอยู่เป็นเพื่อนน้องแพรหน่อยได้มั้ยคะ”
“พี่คงไปไม่ได้หรอกจ้ะ น้องแพร...ที่พี่บอกว่าพี่ตั้งใจก็คือว่า พี่ตั้งใจจะขอเลิกกับน้องแพร”
แพรวาหน้านิ่ง ช็อคกับสิ่งที่ได้ยิน
“เลิกกัน...” เธอทวนคำนั้นอย่างเบามาก
หรั่งกลับรู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติ
“พี่ไม่มีอะไรจะเซอร์ไพรส์น้องแพรอีกแล้ว...สี่ปีกว่าๆ ที่เราคบกันมา เราคงเรียนรู้กันมากเกินพอแล้วนะน้องแพร พี่เองก็ได้ให้ความสดใส ให้สิ่งดีๆกับน้องแพรมามากแล้ว”
แพรวาฟังโทรศัพท์นิ่ง ไม่ไหวติง น้ำตาเธอไหลรินออกมารดแก้มนวลเป็นสายยาว...แต่คราวนี้เธอไม่มีอาการฟูมฟายหรือ ทุรนทุรายแต่อย่างใด ดูเหมือนว่าเธอจะยอมรับและเข้าใจในชะตาชีวิตมากยิ่งขึ้น
หรั่งจ้องมองด้วยความสนใจและห่วงใยแพรวายิ่งนัก เสียงตะวันดังลอดออกมา
“ถึงเวลาที่เราต้องแยกกันโตแล้วหละ น้องแพรก็มีธุรกิจของน้องแพร พี่ก็มีธุรกิจของพี่ ซึ่งพี่คิดดูแล้วว่า มันคงไปด้วยกันลำบาก ไอ้ที่พี่รับปากอาอรทัยไว้ ก็ฝากบอกยกเลิกด้วยแล้วกัน...เราแยกกันวันนี้ เพื่อให้วันหน้าเราจะได้พบเจอกันในแวดวงธุรกิจได้อย่างสบายใจดีกว่านะน้องแพร”
ที่ร้านอาหารแสนโรแมนติก เห็นแองจี้เดินเข้ามาไกลๆ โบกมือให้ตะวันฉาย
“เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่น้องแพรไม่เคยรู้ ก็คือ...ผู้ชายอย่างพี่ ไม่เคยนอนห่มผ้า”
แพรวายังถือโทรศัพท์ค้างอยู่อย่างนั้น
เสียงตะวันบอกต่อ “ขอให้น้องแพรโชคดีนะจ๊ะ”
จากนั้นเสียงสัญญาณวางหูโทรศัพท์ดังมาจากปลายสาย แพรวาอึ้งนิ่งอยู่อย่างนั้น หรั่งกระเถิบตัวเข้ามาดูแพรวาใกล้ๆ
น้ำตาแพรวาไหลทะลักออกมาอีกระลอก
มือแพรวาค่อยๆ อ่อนแรงลง โทรศัพท์มือถือหลุดจากมือของเธอ หรั่งยื่นมือเข้ามารับโทรศัพท์นั้นไว้ทัน หรั่งได้แต่นั่งมองแพรวา นิ่งงัน
เด็กรับใช้ของลินจงถือผ้าห่มผืนนั้นเข้ามาให้แพรวา
“คุณแพรวาจะให้เอาไว้ที่ไหนคะ เอาไว้ที่นี่หรือจะให้หนูเอาไปใส่รถคะ”
แพรวาไม่ตอบ คว้าเอาผ้าห่มมาถือไว้กับตัว เด็กคนนั้นค้อมตัว เดินออกไป
“นายหรั่ง ช่วยพาฉันไปที่ไหนซักที่ ทีเถอะ ที่ไหนก็ได้ ยิ่งไกลผู้ไกลคนยิ่งดี”
แพรวาลุกขึ้นเดินถือผ้าห่มตรงไป เธอหย่อนมันทิ้งลงไปในถังขยะของโรงพยาบาล

หรั่งมองดูภาพนี้แล้วเดาเหตุการณ์ได้ทันที

 
อ่านต่อหน้า 4

สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 11 (ต่อ)

เสียงของหรั่งดังขึ้น สอดรับกับทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เผ่าลาภนอนนิ่งอยู่บนเตียงคนไข้ มีรำไพนั่งเหม่อมองสามี น้ำตาไหลออกมาเฉยๆ

“การพลัดพราก คือ การแยกจากสิ่งที่เราคุ้นเคย ความรู้สึกสูญเสียจะไม่เกิดกับสิ่งที่เราไม่มีความผูกพัน ยิ่งการลาจากนั้นหากเกิดขึ้นอย่างทันทีทันควัน ความสะเทือนใจที่ตามมาย่อมมีเพิ่มมากขึ้น”

ตะวันฉายคลอเคลียกับแองจี้ที่ร้านอาหารโรแมนติก บารมีนั่งนิ่งทอดอาลัยอยู่ในรถของตน ที่จอดหน้าเหมือง
“นานแค่ไหนที่เราจะชินชากับสิ่งเหล่านี้ ต้องร้องไห้อีกกี่ครั้ง เราถึงจะพอทำใจ ต้องเตรียมใจแค่ไหน ถึงจะไร้ความเศร้าโศก”
กันทิมานั่งเปิดดูหนังสือแม่และเด็ก และของเล่นเด็กอ่อน ส่วนก้อยนั่งเล่นกีตาร์เหงาๆ มีโบ้นั่งมองดูก้อยด้วยความห่วงไม่ห่าง

“ไม่มีใครตอบคำถามเหล่านี้ได้เพราะ ปัญญา ไม่อาจสร้างจินตนาการได้เท่ากับสัมผัสจริงของความรู้สึกนั้นแม้เพียงเศษเสี้ยว แต่ถ้าเลือกได้ คงไม่มีใครอยากมีประสบการณ์จริงเช่นนั้นสักเท่าไรหรอก”

รถแพรวาแล่นอยู่บนทางด่วนพิเศษ ยามค่ำคืน ท่ามกลางแสงไฟเมือง และ แสงจากไฟหน้าของรถคันอื่นๆ บนท้องถนน
หรั่งทำหน้าที่ขับรถ โดยมีแพรวานั่งอยู่ที่เบาะหลัง หรั่งคอยลอบสังเกตท่าทีแพรวาด้วยความห่วงใย
แพรวานั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถอย่างไร้จุดหมาย เสียงเพลงเศร้า เหงา ห่อหุ้ม ฉากรันทดหดหู่ในชีวิตสาวโลกสวยนี้ไว้อย่างกลมกลืน

เวลาผ่านไป แสงไฟหน้ารถสาดกระทบกิ่ง ก้าน ใบ วงไฟนั้น ส่าย ขึ้นๆ ลงๆ แสดงถึงความไม่ราบเรียบของพื้นผิวถนน ยินเสียงคลื่นทะเลกระทบฝั่ง ลอยมาให้ได้ยินเป็นระยะๆ
รถคันใหญ่ของแพรวาวิ่งชะลอเข้ามาจอดในบริเวณนี้ หรั่งเหลือบตามองกระจกส่องหลัง แพรวายังคงนั่งนิ่ง ทอดสายตาออกไปไกล ใบหน้าไร้ความรู้สึก
“คุณไม่พูดอะไรมา เกือบสามชั่วโมงแล้วนะครับ”
แพรวายังเงียบอยู่ในท่าเดิม
“บางที การได้ยิน ได้ฟังเสียงของตัวเองบ้าง มันก็ช่วยผ่อนคลายความสับสนลงได้เยอะเหมือนกัน”
แพรวาค่อยๆ เอ่ยปากพูด
“ยายอรจะแต่งงานเดือนหน้านี้แล้ว แต่งแล้วจะไปเที่ยวรอบโลกกับสามีสองเดือน…หลังจากนั้นก็จะเปิดร้านขายของเก่าที่ประเทศอังกฤษ ที่เมืองแมนเชสเตอร์ซะด้วย คงกะจะไปนั่งดูแมนยูเตะที่โอลด์แทร๊ฟฟอร์ดแหงๆ ปีศาจแดงทีมโปรดของเขาเลยละ…ทั้งหมดนี่คือฝันของยายอรแท้ๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันจะเป็นจริงขึ้นมาได้…นายรู้มั้ย ตอนเด็กๆ ทุกคนจะโห่ทุกครั้งที่ยายอรพูดถึงความฝันของตัวเอง…พวกเราจะบอกว่า เพ้อเจ้อ…ยายสังขยาเพ้อเจ้ออีกแล้ว…แต่ดูสิ ทุกอย่างมันกลายเป็นเรื่องจริงอย่างที่เขาฝัน”
“ความฝันเป็นสิ่งที่ ใครจะมาดูถูกกันไม่ได้” หรั่งบอก
“ฉันนี่แหละที่สมควรจะโดนดูถูก…ฉันไม่ได้เรื่องอะไรซักอย่าง…จากคนที่เพื่อนๆ มั่นใจว่าจะเป็นแบบอย่างของความสำเร็จ มีธุรกิจการงานดี สามีหล่อ เป็นครอบครัวตัวอย่าง…มันไม่ได้เป็นอย่างที่ฝันไว้ซักนิด”
“ท้อแล้วเหรอครับ”
“ฉันเสียดายเวลา”
“ความฝัน ไม่มีวันหมดเวลา…ตราบใดที่เรายังมีความมุ่งมั่น”
แพรวามองหน้าหรั่ง ขณะก้าวลงจากรถ
“นายพาฉันมาที่ไหนเนี่ย”
หรั่งก้าวลงจากรถตามมา ไม่ตอบ แพรวาเพิ่งจะสังเกตบรรยากาศรอบๆ ตัว เธอเดินตรงไปเบื้องหน้า ด้วยความใคร่รู้
ในความมืดนั้น แสงจันทร์สาดให้เราเห็นต้นไม้ใหญ่ ยืนต้นอยู่ริมหาดอันยาวไกล มันเป็นชายหาด และ ต้นไม้ที่คุ้นตาแพรวาเหลือเกิน

แพรวาหยุดยืนไม่ไกลจากต้นไม้นั้น เธอแหงนหน้ามองมันนิ่ง หรั่งเดินตามมายืนห่างๆ ด้านหลัง
“นายรู้จักที่นี่ได้ยังไง”
“ผมแค่ขับมาทางทิศตะวันออก”
“ฉันเคยมาที่นี่ตอนเด็กๆ”
แววตาของแพรวา หวนระลึกถึงภาพในอดีต เมื่อ 17 ปีที่ผ่านมา

บ่าย วันหนึ่ง...ตรงหน้าต้นไม้ใหญ่ มันยืนต้นตั้งตระหง่านบนชายหาด เด็กหญิงแพรวาตัวน้อย กำลังพยายามปีน ไต่ ขึ้นต้นไม้ใหญ่ต้นนี้
“โอ๊ย…ฉันขึ้นไม่ได้น่ะ”
เด็กชายหรั่งห้อยหัวลงมาจากกิ่งไม้ใหญ่ หน้าตาร่าเริง
“ไม่ต้องตกใจ เดี๋ยวข้าจะลงไปดันก้นให้องค์หญิงเอง”
เด็กหญิงแพรวากระโดดลงไปยืนที่พื้นทราย หน้าตางอแง
“ไม่เอาแล้ว…เราไม่ปีนต้นไม้ดีกว่า”
เด็กชายหรั่งกระโดดลงมาจากต้นไม้
“แล้วองค์หญิงจะเล่นอะไรล่ะ”
“ไม่เล่นแล้ว เราไปดีกว่า หมดเวลาแล้ว”
เด็กหญิงเดินแยกออกจากต้นไม้นั้น…เด็กชายเดินตาม
“เดี๋ยวก่อน องค์หญิง”
“เราไม่ใช่องค์หญิง เราเลิกเล่นแล้ว”
“แล้วพรุ่งนี้องค์หญิงจะมาอีกหรือเปล่า”
“ไม่มา…คุณป๋าจะกลับกรุงเทพฯแล้ว”
“แล้วเมื่อไหร่ข้าจะได้เจอองค์หญิงอีกล่ะ”
“ไม่เจอแล้ว บอกว่าหมดเวลาแล้วไง ไม่รู้เรื่องเหรอ”
เด็กชายหยุดเดิน ยืนอึ้ง เด็กหญิงเดินห่างเขาออกไปเรื่อยๆ…แล้วจู่ๆ เด็กชายก็ตะโกนขึ้นมาว่า
“องค์หญิง จงฟังข้า...ความฝันไม่มีวันหมดเวลา…ตราบใดที่เรายังมีความมุ่งมั่น จำไว้นะ”
เด็กหญิงแพรวาเดินส่ายหัวไปมา ไม่รู้เรื่อง ที่ด้านหลังเราจะเห็นเด็กชายหรั่ง ใช้กิ่งไม้เป็นอาวุธ เขาทำท่าดุจทหารกล้าต่อสู้ฟาดฟันกับปีศาจร้าย ชายทะเล ปากตะโกนลั่น
“ข้าจะใช้ดาบคู่ใจ สังหารเหล่าร้ายให้สิ้นซาก จะไม่ยอมให้ปีศาจตัวใดมาพรากองค์หญิงไปจากข้าได้...ไม่ว่าองค์หญิงจะอยู่ที่ไหน ข้าจะตามไปเคียงข้างอยู่ใกล้ๆ...เป็นอมตะ...ตลอดกาล...นิรันดร...จำเอาไว้”
เสียงไร้เดียงสางของเด็กชายหรั่งกังวานก้องไปทั่วท้องทะเล ดุจดั่งคำสาบานต่อเทพเจ้าเบื้องบน

แพรวาขยับตัวลงนั่งตรงริมหาดนั้น หน้าตาของเธอมีรอยยิ้มแฝงอยู่เล็กน้อย
“รู้มั้ย ผู้ชายคนแรกที่ฉันสนิทด้วยคือใคร”
หรั่งหย่อนตัวลงนั่งข้างๆกัน
“ไม่นับคุณป๋ากับญาติพี่น้องของฉันนะ”
“ไม่ทราบครับ”
“ใครๆมักจะคิดว่าพี่ตะวันคือผู้ชายคนแรกของฉัน”
“ไม่ใช่เหรอครับ”
“ตอนแรกฉันก็คิดว่าใช่…แล้วอยู่ๆ ฉันก็เพิ่งนึกถึงใครอีกคนขึ้นมาได้ เดี๋ยวนี้เอง”
แพรวามองหน้าหรั่งเต็มตา หรั่งมองตอบนิ่งๆ
“เขาเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ แต่เป็นเด็กผู้ชายคนแรกที่ฉันได้ใกล้ชิดด้วย เขาโผล่ขึ้นมาในวันที่ฉันไม่มีเพื่อนเล่น มันเป็นวันที่คุณป๋ากับใครๆมีเรื่องวุ่นวายกันอยู่ จากนั้นเขาก็ตามฉันไปทุกที่”
หรั่งใจเต้น “เหรอครับ”
“แปลก…อยู่ๆ ฉันก็นึกถึงเขาขึ้นมาได้ หลังจากที่เขาหายไปจากความทรงจำของฉันเกือบ 20 ปี เขาเรียกฉันว่าองค์หญิงทุกคำเลย คงนึกว่าตัวเองเป็นเจ้าชายละซี”
“อาจจะแค่ทหารเอกก็ได้” หรั่งบอก
“เขาสอนให้ฉันปีนต้นไม้…ต้นนั้น”
“จนป่านนี้คุณก็ยังปีนมันไม่ได้”
“ฉันเพิ่งนึกออกเดี๋ยวนี้เอง ว่า ฉันเต้นรำบนพระจันทร์เป็นเพราะใคร”
แพรวามองหน้าหรั่งเต็มๆ ตา หรั่งมองตอบนิ่ง ในใจสะท้าน
“คุณชอบเหรอครับ”
“ที่สุดเลย”
แพรวาก้มลงใช้มือขุดทรายออก หรั่งมองภาพนั้น ราวกับเป็นภาพฝัน ที่หลุมทรายมีน้ำทะเลทะลักล้นขึ้นมา เห็นเงาดวงจันทร์ลอยนิ่งอยู่ในหลุมน้ำนั้น
“ทหารเอกของฉัน จะเต้นรำบนพระจันทร์กับองค์หญิงของเธอซักเพลง ได้หรือไม่”
แพรวายื่นมือออกไป หรั่งสัมผัสมือนั้นราวกับถูกมนต์สะกด
พลัน ทั้งสองต่างพากันเต้นรำบนเงาดวงจันทร์นั้นเอง
เท้าของทั้งสอง ต่างเหยียบย่ำลงไปบนพื้นทรายแฉะ แอ่งน้ำ และเงาพระจันทร์

มือของทั้งคู่ต่างจับกระชับแน่นซึ่งกันและกัน
สีหน้าของคนทั้งสองเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ทั้งคู่เต้นรำกันท่ามกลางความเวิ้งว้างของหาดทรายยาวตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง เห็นดวงจันทร์กลมโตบนฟากฟ้า
ก่อนที่เมฆก้อนหนาค่อยๆ คืบคลานเข้าบดบังพระจันทร์จนมืดมิด
ทั้งสองหยุดเต้น ยืนนิ่ง แหงนมองท้องฟ้า รอเวลาที่พระจันทร์จะโผล่มาอีกครั้ง

เวลาเดียวกันที่บ้านพักชาติชาย ที่เหมืองเมืองกาญจน์ แลเห็นชาวบ้านหน้าตาดุดัน กลุ่มย่อมๆ ถือคบไฟ และอาวุธพร้อม เดินเรียงแถวตรงมาอย่างเอาเรื่อง
กลุ่มที่นำหน้า มีใบหน้าดุดัน ไม่คุ้นตา
คนงานเหมืองสองคน เดินออกไปขวางไว้
“จะไปไหนกันน่ะ” คนงาน 1 ถาม
ชาวบ้าน 1 ซึ่งอยู่หัวแถวสุดเป็นผู้เอ่ยปากโต้ตอบ
“หลีกไป”
ชาวบ้าน 1 ผลักคนงานกระเด็นออกไป
คนงาน 2 ถาม “พวกนายถือปืนเข้ามาทำไม”
ชาวบ้าน 2 บอก “แล้วมีปัญหามั้ย”
ชาวบ้าน 2 เงื้อไม้ตีคนงาน 2 กระเด็นออกไป กลุ่มชาวบ้านเดินมาหยุดใกล้ตัวบ้านพักชาติชาย
ชาวบ้านหัวแถว ตะโกนลั่น
“เฮ้ย…ไอ้ผู้จัดการ..ไอ้ผู้จัดการเหมือง M.S. น่ะ อยู่รึเปล่า…โผล่หน้าออกมาให้เห็นหน่อยดี๊”
ชาติชายโผล่ออกมาจากตัวบ้าน เดินมาหยุดตรงระเบียงบ้านพัก
“พวกนายกำลังบุกรุก พื้นที่ส่วนตัวของฉันนะ…กลับไปซะดีกว่า”
ชาวบ้าน 3 ท่าทางสูงอายุ ก้าวออกมาจากแถว มันตะโกนเสียงเหน่อๆ ดังๆ
“ทีพวกนายยังบุกรุกที่ส่วนตัวของฉันได้เลย ฉันก็บุกรุกที่ของนายบ้างจะเป็นไรล่ะ”
ชาติชายเห็นหน้าชาวบ้าน 3…เขาจำได้ว่าเป็นหนึ่งในเจ้าของที่
“น้ายม”
“มีอย่างที่ไหน เงินทองยังไม่ได้จ่ายกันเลย เอารถเข้าไปตัก ไปขุดดินในที่เราซะแล้วอย่างนี้มันใช้ได้ที่ไหนล่ะ” ชายชื่อน้ายมว่า
“เอ้อ มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน น้ายม…เอางี้นะ อีกสองสามวัน...ฉันจะรีบเอาเงินไปให้”
“ไม่ขายแล้วเว้ย…ถ้าอยากได้จริงๆ ก็ต้องจ่ายเพิ่มมาอีกสองเท่า เราถึงจะขายให้…เอาหรือไม่เอาล่ะ”
ชาติชายอึ้ง

ส่วนแสงเทพอยู่ที่บ้าน กำลังหัวเราะจนตัวงอ
“ฮ่าฮ่าฮ่า…แจ๋วเว้ย น้ายมของฉันนี่มันแจ๋วจริงๆ”
ปื๊ดยืนถือโทรศัพท์หน้ายิ้มๆ ห่างออกไป
“ไอ้ปื๊ด เอ็งบอกคนของเราว่าด้วยว่าทำได้ดีมาก...ให้ก่อหวอดกับชาวบ้านต่อไปเรื่อยๆ เอาให้มันเกลียดพวก M.S. ให้ได้…แล้วก็อย่าลืมคอยเอาใจน้ายมไว้บ้าง เผื่อเขาจะลดราคาค่าที่ดินให้เราเป็นกรณีพิเศษ ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ”
ปื๊ดเปล่งเสียงแหลมของมันลงไปในโทรศัพท์ตามคำบอกของเจ้านาย
ตะวันฉาย นั่งทำหน้าทึ่งในตัวแสงเทพอยู่ไม่ไกลนัก
“คุณอานี่เหนือชั้นจริงๆ โจมตีทุกทาง ไม่ปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามมีช่องได้หายใจเลย”
“ในสนามรบ มันต้องต้องเอากันให้ตายกันไปข้างนึง โอกาสเปิดเมื่อไหร่ต้องอัดให้หนักกลัวๆกล้าๆ ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอกหลาน”
“คนเขาป่วยจะตายมิตายแหล่ ยังทำกับเขาได้ลงคออีกนะอา”
“ก็ช่วยส่งมันให้ขึ้นสวรรค์ไปไวๆไง ได้บุญดีออก”
พลางแสงเทพเดินไปรินเหล้าอย่างอารมณ์ดี
“งั้นคุณอาทำบุญกับคนอีกซักคนได้มั้ยครับ”
“ใคร?”
“คนคนนี้ ผมเคยใช้งานเขา เรื่องความจงรักภักดีต่อเรา ไว้ใจได้แน่นอน…ตอนนี้เขากำลังไม่มีที่ไป”
“ไหนล่ะ”
“ผมให้เขารออยู่ในรถครับ”
“บอกข้อดีของเขามาซักข้อซิ”
“เขายินดีทำทุกอย่างเพื่อให้พี่ชายล่มจม…ผมว่า น่าจะเหมาะสมกับอารมณ์แค้นของคุณอาได้ดี”

แสงเทพเงยหน้ามองตะวันฉายอย่างสนใจ

สักครู่หนึ่ง ปื๊ดเดินนำบารมีเข้ามาอีกมุมหนึ่ง เขายกมือไหว้แสงเทพอย่างนอบน้อมพลางแนะนำตัว

“ผม บารมี มหาโชคตั้งศิริครับ”
แสงเทพยืนจ้อง มองพิจารณาบารมีอยู่
“ถ้านายอยากมาอยู่กับฉันจริงๆ ลองบอกมาซิว่า มีอะไรบ้างที่นายทำไม่ได้”
บารมีคิดแล้วบอก “กลับไปหาญาติพี่น้อง…นั่นคือสิ่งที่ผมจะไม่มีวันทำเป็นอันขาด”
แสงเทพหันไปยิ้มให้ตะวันฉาย

ส่วนที่หาดสวย ทะเลใสสองคนต่างยืนอยู่บนหาดกว้าง ที่เดิม พระจันทร์บนท้องฟ้า ยังคงแฝงตัวอยู่หลังเมฆก้อนใหญ่ ไม่มีทีท่าว่ามันจะโผล่ออกมา
แพรวาจ้องมองท้องฟ้านิ่ง ขณะที่หรั่งจ้องหน้าแพรวาอยู่นานแล้ว
“มันคงไม่โผล่ออกมาให้เห็นง่ายๆ แล้วละ”
แพรวาบ่น พลางหันมาดูหรั่ง จึงเห็นว่าเขาจ้องเธออยู่
“ทำไม ยังอึ้งไม่หายเหรอ…ไม่นึกใช่มั้ยล่ะว่าจะเป็นฉัน…ผู้ชายก็อย่างนี้แหละ จดจำ
อะไรๆ ไม่ได้เท่าผู้หญิงหรอก”
“เหรอครับ”
“ใช่…ก็ดูนายสิ นายยังไม่รู้เลยว่า เด็กคนนั้นคือฉันเอง ถ้าฉันไม่เป็นคนนึกขึ้นได้ก่อนละก้อ นายจะไม่มีทางรู้เลย ฉันรับรอง”
หรั่งยิ้มน้อยๆ ดูเหมือนว่าเขาจะพอใจที่แพรวาเข้าใจเช่นนั้น
“เหรอ?”
“เหมือนพี่ตะวัน เขาไม่เคยจำได้เลยว่า สี่ปีที่ผ่านมา ฉันทำอะไรให้เขาบ้าง…ฉันเคยนับดูนะว่า มีกี่วันกันที่ฉันไม่คิดถึงเขา”
ความเศร้าเริ่มก่อตัวขึ้นในจิตใจแพรวาอีกครั้ง หรั่งรอให้แพรวาพูดต่อ
“ไม่มีเลยซักวัน ในสามปีแรก…เพิ่งจะมาปีนี้เอง ที่อะไรๆ มันชักจะเปลี่ยนไป ไม่ใช่ความผิดของพี่ตะวันหรอก มันคงถึงเวลาที่เราต้องแยกจากกันจริงๆ แต่ก็คงอีกนานละ กว่าที่ฉันจะทำใจได้ กับการไม่มีใคร…”
น้ำตาเจ้ากรรมของแพรวาเริ่มไหลรินออกมารดแก้มนวลอีกครั้ง หรั่งสังเกตเห็น
“นายไม่รู้อะไรหรอก มันต่างกันสิ้นเชิงเลยนะระหว่างการที่มีคนรักอยู่ใกล้ๆ กับการไม่มีใครเลยซักคนน่ะ”
แพรวาปล่อยโฮออกมาเลย น้ำตาพากันไหลออกมามากเกินกว่าที่เธอจะห้ามได้ หรั่งมองด้วยความสงสาร
แพรวาหายใจหอบ สะอื้นหนักหน่วง จนอยากให้มีใครซักคนเข้ามาปลอบโยน
หรั่งมองนิ่งเขาชั่งใจ ไม่กล้าขยับตัวทำอะไรทั้งสิ้น
“ฉันเคยมีคนคอยกอดเวลาเหงา คอยปลอบโยนเวลาเสียใจ คอยเช็ดน้ำตาให้ ก่อนที่มันจะไหลออกมาด้วยซ้ำ…แต่ตอนนี้ ฉันไม่มีอีกแล้ว จะมีใครสนใจมั้ยเวลาฉันร้องไห้มากมายขนาดนี้”
มือของหรั่งขยับเล็กน้อยแล้วกลับชะงักไว้ สีหน้าหรั่ง ยังชั่งใจไม่เสร็จ
แพรวาสะกดใจได้ในที่สุด พยายามฝืนยิ้ม
“เอาละ ฉันไม่ร้องไห้แล้ว…นายเล่าให้ฉันฟังดีกว่า ว่าตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็ก ตอนนั้นนายไปทำอะไรมาบ้าง…เคยนึกถึงฉันบ้างมั้ย หรือ คิดบ้างมั้ยว่าวันนึงเราจะได้มาเจอกันอีก…เล่ามาให้หมดเลยฉันอยากฟัง…”
แพรวาเดินตรงไปที่รถของเธอ ลงนั่งรอฟังที่เบาะหลังรถ หรั่งค่อยๆ ก้าวเดินตามแพรวาไป มาหยุดยืนข้างรถ
“สิ่งแรกที่ผมอยากจะบอกให้คุณรู้ ก็คือ วันนี้คุณได้แสดงให้เห็นแล้วว่าคุณแข็งแกร่งแค่ไหน”
หรั่งขยับลงนั่งในรถ
“คุณอยากจะฟังประวัติชีวิตของผมจริงๆ เหรอครับ”
ไม่มีเสียงตอบจากแพรวา ด้วยเวลานี้เจ้าหล่อนผล็อยหลับอยู่ที่เบาะหลังรถ ราวกับเด็กน้อย หรั่งหันมามองยิ้ม เอ็นดู เขาถอดเสื้อนอกออก ห่มคลุมให้แพรวา
พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าอีกคราแล้ว ที่บ้านอรทัยตอนเช้าตรู่ พวกคนงานเหมืองประมาณ 30 ชีวิต เนื้อตัวเลอะเทอะ ยืนกระจายกันเต็มหน้าบ้าน
เด็กรับใช้เดินนำอรทัยและทนงศักดิ์ออกมาจากในบ้าน อรทัยชะงักกับภาพที่เห็น
“อะไรเนี่ย…พวกแกเป็นใคร เข้ามาทำอะไรในบ้านฉัน ห๊ะ ออกไป ออกไปให้หมด”
คนงาน 1 บอกฉุนๆ “อ้าว ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะเจ๊”
“คนงานที่เหมืองน่ะ” ทนงศักดิ์บอกอรทัย
คนงาน 2 เอ่ยขึ้น “เรามารับเงินค่าจ้างสไตร๊ค์”
“มาคนเดียวก็ได้” อรทัยหงุดหงิด
“เผื่อคุณนายจะเบี้ยว” หัวหน้ากลุ่มบอก
“เอ้า คนละเท่าไหร่ ว่ามา” ทะนงศักดิ์ตัดรำคาญ
คนงาน 1 แจง “คนละสองพันห้า หกสิบห้าคน ก็เป็นหนึ่งแสนหกหมื่นสองพันห้าร้อยบาทถ้วน”
“บ้าเหรอ ค่าจ้างพวกแกทำงานยังถูกกว่านี้เลย” อรทัยโวย
“ก็อันนี้จ้างให้เลิกทำงานนี่ครับ มันก็ต้องคนละราคาอยู่แล้ว” คนงาน 2 บอก
อรทัยเสียงขุ่น “ฉันไม่ให้”
คนงาน 1 โวย “อ้าว...งั้นก็สวยสิครับ…” พลางหันไปเรียกพรรคพวก “เฮ้ย พวกเรา”
คนงานทุกคนลุกฮือขึ้นมา คว้าไม้ มีด ขวานที่ติดตัวมาด้วยชูขึ้น
ทะนงศักดิ์รีบระงับเหตุการณ์ “เดี๋ยวก่อน ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันน่า…”
คนงาน 3 บอก “ไม่เห็นต้องพูดอะไร จ่ายเงินมาเราก็กลับแล้ว จบ”
ทะนงศักดิ์ต่อรอง “ลดราคาค่าตัวลงหน่อยสิวะ…อย่าขูดรีดกันนักเลยน่า คนกันเองแท้ๆ ไม่ได้จ้างให้ไปทำอะไรลำบากลำบนเลย”
คนงาน 1 จ้องหน้า “พี่ครับ ผมรับงานนี้ผมก็เสี่ยงกับการโดนไล่ออก ตกงานตลอดชีวิตเหมือนกันนะครับ พี่จะรับเลี้ยงดูพวกผมมั้ยล่ะ”
“เอ้า จ่ายๆ ไปซะจะได้จบๆ”
อรทัยตัดรำคาญ แล้วเดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน
แก้ม ยืนดูเหตุการณ์อยู่ที่มุมหนึ่งของบ้าน
สักพักอรทัยยกหูโทรศัพท์ในบ้าน กดหมายเลข
“ฮัลโหล เก๋เหรอ เออนี่ เตรียมเอกสารขอวีซ่าให้หน่อยสิ…ฉันจะพายายตองไปแอลเอ…ก็จะไปดูโรงเรียนให้ลูกฉัน...ทำไมฉันจะไปไม่ได้…ทำไม อะไร นี่ฉันโดนปลดจากตำแหน่งแค่นี้ แกทำธุระให้ฉันไม่ได้แล้วเหรอ ยายเก๋”
อรทัยวางหูโทรศัพท์โครมด้วยความฉุนเฉียว
“เออ ไม่ได้ก็อย่าได้วะ”
กฤษฎาเดินถือเครื่องบินบังคับเข้ามา
“นายต้น ขับรถพาแม่ไปทำวีซ่าหน่อย”
“ให้เลขาแม่ทำให้สิ”
“มันไม่ยอมทำ มันบอกว่าไม่ใช่หน้าที่…เดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็ต้องแพรวา หายใจหายคอเป็นยายแพรวากันทั้งบริษัทไปแล้ว”

แก้มเปิดประตูเข้ามาในห้องนอน ตองยังนอนคลุมโปงอยู่ แก้มเปิดผ้าห่ม กระชากตัวตองขึ้นมา
“ตอง...อาแกซวยแล้วว่ะตอง”
“อาคนไหนล่ะ...ฉันมีอาอื้อเลย” ตองยังงัวเงียอยู่
“ที่แก้มรู้จักก็มีอยู่คนเดียวเท่านั้น”
“อากู๋เหลียงนั่นเอง จะมีใคร...รู้แล้วละ...เค้าแกล้งแก้มเล่นๆ”
“แต่นี่เรื่องใหญ่เลยนะตอง...คนงานมากันเต็มบ้านตองเลยละ”
ตองยังอยู่ในอารมณ์แหย่แก้มเล่น
“มาส่งตองไปแอลเอ.เหรอ”
“มารับแก้มไปเหมืองมากกว่า”
“อะไรนะ...แก้มจะไปเหมืองเหรอ”
แก้มพยักหน้า ตองแหย่แก้มต่อ
“อะไรกันนี่ แฟนทอมของตอง ปันใจไปให้หนุ่มใหญ่ชื่อชาติชายเข้าแล้วเหรอ...แล้วไม่สงสารตองบ้างเหรอว่าจะมีชีวิตอยู่ยังไง...” ตองแกล้งทำเป็นร้องไห้
“ดูละครมากไปแล้วตอง”
“จากนี้ไป แก้มก็จะเริ่มผมยาว เริ่มแต่งหน้า แต่งตัว แต่งอึ๋ม” ตองเย้า
“บ้า”
“แล้วสุดท้าย แก้มก็ต้องกลายมาเป็น "โป่ยกิ๋ม" อาสะใภ้ของตอง”
“ไปไกลไปแล้ว กลับมาเดี๋ยวนี้กลับมา...”
ตองหยุดล้อเล่น แก้มกลับมาพูดจริงจัง
“แก้มแค่เป็นห่วงอา อาเขาดีกับแก้ม แก้มก็อยากช่วยเขาบ้าง เท่าที่จะช่วยได้”
“แน่ใจเหรอว่าช่วยได้...รอบๆเหมืองน่ะนักเลงทั้งนั้นนะแก้ม”
“ไม่เห็นกลัว...โธ่ นี่ใคร...นี่ใคร...”
แก้มทำท่าเบ่งกล้าม โชว์ความแข็งแรงของตัวเอง ตองจึงได้ทีแหย่แก้มเล่นอีกครั้ง
“นี่ก็..."อากิ๋ม" ไง...โป่ยกิ๋มแก้ม”
ตองและแก้มวิ่งเล่น แหย่กันไปทั่วห้อง
ส่วนที่ห้องพักกัมปนาท ธนูนั่งเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้าและแมกไม้เบื้องหน้า กัมปนาทเข้ามาด้านหลัง อยู่ในชุดเสื้อคลุมนอน เขาโน้มตัวลงมาโอบหลังและไหล่ของธนูไว้
“ตื่นแล้วเหรอครับ...กาแฟร้อนมั้ย เดี๋ยวผมชงให้”
“ยังหรอกจ้ะ”
“งั้นนมร้อนกับขนมปังล่ะครับ หรือจะเป็นข้าวต้ม”
กัมปนาทยิ้มส่ายหน้าช้าๆ
“ยังไม่หิวเหรอครับ...หนังสือพิมพ์มั้ยครับ...ผมลงไปซื้อให้ข้างล่าง”
“ธนู ฉันอยากให้เธออยู่นิ่งๆ ไม่ต้องทำอะไรๆให้ฉัน ซักครึ่งชั่วโมงได้มั้ย”
“คุณรำคาญผมเหรอครับ”
“ฉันไม่อยากเคยตัว...เผื่อวันไหนที่เธอไปจากฉัน ฉันมีหวังต้องอกแตกตายแน่ๆ”
“ไม่มีทางหรอกครับ”
“งั้นขอให้ฉันเป็นฝ่ายทำให้เธอบ้างได้มั้ย”
ธนูยิ้มรับคำ กัมปนาทพลิกตัวไปดึงรถเข็นเข้ามา มันบรรทุกอาหารเช้าอย่างหรูเต็มคันรถ
“คุณทำอาหารเช้าให้ผม”
“ไม่ใช่แค่นั้นนะจ๊ะ...ฉันทำมากกว่าอาหารด้วย”
กัมปนาทยื่นโบรชัวร์สถานศึกษาในประเทศฝรั่งเศสให้ดู
“โรงเรียนของเธอ...อยากเรียนแบบไหน ที่ไหน เลือกเอา”
“ประเทศฝรั่งเศส” ธนูตื่นเต้น
“อื่อฮื้อ...”
“แล้ว ผมจะไปอยู่ยังไง”
“ฉันไม่ปล่อยให้เธอไปเป็นกะเหรี่ยงที่ปารีสคนเดียวหรอกจ้า...”
“คุณจะไปกับผมด้วย”
“เราจะใช้ชีวิตในกรุงปารีสด้วยกัน...แล้วเธอจะรู้ ว่าอยู่กับฉัน...มันแค่ไหน”
ธนูยิ้ม อาการอึ้งๆ
“ไม่ดีใจเหรอ”
“ดีใจมากครับ แต่ว่า...”
กัมปนาทฉงน “อะไร”
“ผมคงต้องทิ้งแม่ผมไปนาน”
“ฉันเข้าใจ...ที่จริงฉันกักตัวเธอไว้นานแล้วเหมือนกันนะ...เพราะฉะนั้น ฉันจะให้เธอลาพักร้อนได้ หนึ่งอาทิตย์...ไปเยี่ยมแม่เธอซะ...ไปบอกให้แม่รู้ว่า เธอโชคดีขนาดไหนที่มีฉัน”
ธนูยิ้มร่า “ขอบคุณมากครับ”
“เป็นไง...ฉันทำอะไรๆ ถูกใจเธอบ้างมั้ย”
“โดนกลางใจเลยครับ” ธนูยิ้ม
“งั้นถึง ตาเธอแล้วละ...ขอกาแฟ ขนมปัง ไข่ลวก หนังสือพิมพ์และอื่นๆ ที่เธอชอบ”
“ได้ครับผม”
ธนูวิ่งออกไป กัมปนาทยิ้มพรายตะโกนตามไป
“เช้านี้เราอาบน้ำพร้อมกันนะจ๊ะ”

เช้าเดียวกันนี้ที่บ้านน้าเบิ้ม ภาพเอ็มวีวงดนตรีร็อคปรากฏในจอทีวี เห็นเป็นก้อยนั่งเล่นกีตาร์ ตามเสียงเพลงจากเอ็มวีนั้น โบ้นั่งเคาะกลอง และร้องตามอยู่ข้างๆ ด้วยจังหวะที่ดนตรีสนุก โบ้ถึงกับลุกขึ้นเต้นออกท่าออกทางอย่างเมามันสนุกสนาน อ้อล้อ หยอกเอิน ไปรอบๆ ตัวก้อย
น้าเบิ้มเดินโผล่หน้ามาดู
“โอ้โฮ...ซ้อมกันยันสว่างเลยเหรอ ไม่คิดจะนอนกันบ้างเลยหรือไง”
“เช้าแล้วเหรอคะ...พี่โบ้ ไม่บอกก้อยด้วย...”
“ก็พี่เห็นก้อยกำลังมันนี่จ๊ะ”
“ข้าว่า เอ็งน่ะละ มันกว่าก้อยหลายร้อยเท่า...กีตาร์ก็ไม่ได้เล่น ดันออกท่าเต้นซะกระจายขนาดนั้น” เบิ้มบอก
“พี่โบ้เต้นด้วยเหรอ...ไหนว่าขอเอนหลังไง”
“อู๊ย เอนอะไรที่ไหน...จะบอกให้นะก้อย...ตั้งแต่เห็นมันมา ข้าเพิ่งเห็นมันกระโดดโลดเต้นสุดตีนก็วันนี้แหละ...ดีใจที่ไอ้หรั่งมันไม่มารึไง”
“ให้กำลังใจก้อย...พ่อน่ะ ไปอาบน้ำดีกว่า...เดี๋ยวสายๆฉันพาก้อยไปห้องซ้อมนะ”
ก้อย ยิ้มนิ่งๆ มีความสุขนิดๆ ในความเหงาลึกๆ

เวลาเดียวกัน รถแพรวาแล่นเข้าไปในโรงพยาบาล จอดเทียบหน้าทางเข้า แพรวาเปิดประตูลงจากรถ เธอยังอยู่ในชุดเดิมเช่นเดียวกับหรั่ง
“จะให้ผมกลับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านให้มั้ยครับ”
“ไม่ต้อง นายรออยู่นี่ละ เดี๋ยวฉันจะแวะเข้าบ้านด้วย”
แพรวาเดินเข้าโรงพยาบาล หรั่งขับรถเข้าสู่บริเวณที่จอด

ขณะที่แพรวาเดินผ่านบริเวณเค้าท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาล พนักงานต้อนรับสูงวัย เดินตรงเข้ามาต้อนรับเธอทันที
“คุณแพรวาคะ…คุณหายไปไหนมาทั้งคืน คุณแม่คุณตามหาใหญ่เลย โทรเข้ามือถือก็ไม่ติด พยาบาลช่วยกันโทรทั้งวอร์ดเลยนะคะ…”
แพรวาตีความจากคำพูดนั้นได้ทันที
“คุณป๋า”

เธอรีบวิ่งตรงไปห้องไอซียู ทันทีที่อุทานเสร็จ

 
อ่านต่อตอนที่ 12
กำลังโหลดความคิดเห็น