อันโกะ กลรักสตรอว์เบอร์รี่ ตอนที่ 10
อันยาถามสิงห์ ขณะที่ฟองคำยืนนิ่งอยู่ไม่ไกล
"ทำไมถึงให้ฉันลงแข่งล่ะคะ?”
"ก็เธออยากไถ่โทษเรื่องแสนไม่ใช่เหรอ?” สิงห์ถามกลับ
"พวกคุณจะให้ฉันอยู่ที่นี่ ทั้งๆที่ฉัน..”
ฟองคำยังคงนิ่ง สิงห์หันมาถามฟองคำ
"พี่ก็เห็นใช่มั้ย?”
ฟองคำพยักหน้า "แสนไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน" ฟองคำพูดกับอันยา "เธอคงรู้ ว่าแสนทุ่มเทให้กับงานมากที่สุด... ตอนที่เค้าโทรมาหาที่บ้าน ก็ไม่เคยพูดเรื่องผู้หญิงคนไหนเลย แต่พักหลัง ๆ เค้าพูดเรื่องของเธอให้ฉันฟัง"
อันยาอึ้งไป
"เค้าบอกว่าเธอเป็นเลขาที่ดี ไม่เคยเจอใครที่เหมือนเธอมาก่อน...เค้าคงจะไว้ใจเธอมาก" ฟองคำถอนใจ "ถึงได้เจ็บมาก"
อันยาก้มหน้ารู้สึกผิดและรู้สึกเจ็บที่ใจสุด ๆ
"ที่ฉันเล่าให้เธอฟัง ไม่ใช่ว่าฉันให้อภัยเธอได้หมดหรอกนะ ลูกฉันเจ็บ ฉันก็เจ็บแต่ถ้าแสนเป็นแบบนี้เพราะเธอเป็นต้นเหตุ ฉันก็เชื่อ ว่าผลต้องแก้ที่เหตุ ฉันไม่อยากให้ลูกฉันติดอยู่กับความผิดพลาดในอดีต"
อันยามองฟองคำแล้วอึ้งจนพูดไม่ออก
อันยาเดินมาพร้อมกับครุ่นคิดสิ่งที่ฟองคำพูด ทวยเทพเดินมาขวาง
"คุณบ้าไปแล้วเหรอ??!!! จะอยู่ปลูกสตรอว์เบอร์รีเนื่ยนะ!” ทวยเทพว่า
"ฉันตัดสินใจแล้ว คุณกลับไปเถอะ" อันยาบอก
"แผนการคุณสำเร็จไปแล้ว ยังจะยุ่งกับมันอีกทำไม อย่าบอกนะ ว่าเพราะรักมันรักไอ้ด็อกเตอร์กระจอกนั่น"
อันยาอึ้งจนพูดไม่ออก
"ไม่จริงใช่มั้ย! ผมต่างหากที่ทำเพื่อคุณมาตลอด แม้แต่เรื่องไอ้ด็อกเตอร์นี่ ผมก็ช่วยคุณ"
อันยาสวนทันที "คุณไม่ควรช่วยฉัน!! สิ่งที่คุณควรจะทำ คือเตือนฉัน ห้ามฉันไม่ให้ทำเรื่องเลว ๆแบบนั้นต่างหาก"
"คุณโทษผมงั้นเหรอ เพราะผมรักคุณนะ ถึงได้ตามใจคุณทุกอย่าง" ทวยเทพว่า
อันยาสะบัดแขนจากทวยเทพ "คุณไม่ได้รักฉัน คุณรักตัวเอง คุณยอมตามใจฉัน เพราะกลัวว่าฉันจะไม่รักคุณ... ถ้าคุณรักฉันจริง ต่อให้ต้องเสียฉันไป คุณก็จะไม่ยอมให้ฉันทำเรื่องผิดๆแบบนั้น"
ทวยเทพอึ้งไป "อันยา...คุณพูดอะไรไม่รู้เรื่อง ! โกรธอะไรผม งั้นกลับไปเคลียร์กันได้มั้ย"
"คุณต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลย! เราไม่มีอะไรต้องเคลียร์ เพราะว่าฉันไม่ได้รักคุณ ไม่มีทางรัก...กลับไปซะ"
พูดจบอันยาก็จะเดินออกไป แต่ทวยเทพรวบตัวอันยาเอาไว้
"ไม่พอใจก็จะทิ้งกันงั้นเหรอ เป็นตายยังไง ผมก็ต้องพาคุณกลับไปด้วยให้ได้"
"ปล่อยฉันนะ ...ปล่อย!!! ฉันไม่ไปกับคุณ ปล่อย ช่วยด้วย"
สิงห์เดินมากับคนงานชาย 3 คนที่ถือจอบ ถือเสียม ถือกรรไกรตัดหญ้าติดมาด้วย
สิงห์เสียงแข็ง "ปล่อยผู้หญิงเดี๋ยวนี้"
ทวยเทพยังไม่ยอมปล่อยอันยา สิงห์กับคนงานจึงขยับเข้าไปใกล้ ทวยเทพเริ่มหวาดๆ
"ปล่อยผู้หญิง แล้วกลับไปซะ อย่าให้พูดเยอะ"
คนงานเอาจอบ เสียม มาเคาะที่พื้นเพื่อขู่
ทวยเทพเจ็บใจมาก เขาต่อว่าอันยา "คุณมันโง่ เอาสมองไปไว้ซะที่ไหน แล้วคุณจะต้องเสียใจ"
ทวยเทพแค้นมากจึงเดินกระแทกส้นเปิดแน่บไป
"ขอบคุณมากนะคะคุณสิงห์"
อันยามองตามหลังทวยเทพพลางถอนหายใจ
แสนยืนเครียดเพราะสิ่งที่ทวยเทพพูดยังคอยรบกวนจิตใจ
"ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าคนระดับด็อกเตอร์ เวลาโง่เนี่ย มันจะโง่ดักดานได้สักแค่ไหน ถ้ายังโดนผู้หญิงคนเดิมหลอกปั่นหัวได้อีก ฉันต้องยกตำแหน่งที่สุดแห่งความโง่ให้เลย"
แสนพยายามสลัดคำพูดนั้นทิ้งไปแล้วเดินออกมา แล้วเขาก็ต้องชะงักเพราะพบว่าปุ๊กลุกมารออยู่
"พี่แสน...เรายังไม่ได้คุยกันเลยนะจ๊ะ"
แสนเหนื่อยใจแต่ก็พูดอย่างอดทนและสุภาพ "ปุ๊กลุกทำแบบนี้ทำไม ทำไมถึงบอกทุกคนว่าเด็กในท้องเป็นลูกของพี่"
"ก็เพราะว่าเค้าเป็นลูกของพี่..”
แสนยิ่งอึ้งและไม่เข้าใจ
"ฉันตั้งท้องลูกคนนี้ เพราะพี่" ปุ๊กลุ๊กบอก แสนยิ่งงง "วันนั้น.." ปุ๊กลุ๊กปวดร้าวแต่ข่มใจพูด "ที่กรุงเทพ ฉันรอพี่..แล้วฉันก็นึกว่าคนที่มาหาฉันเป็นพี่ ฉันตั้งท้องเด็กคนนี้เพราะพี่"
"ใคร ใครเป็นพ่อของเด็ก ปุ๊กลุก" แสนถาม
"ฉันบอกแล้วไง ว่าพี่คือพ่อเด็ก เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะพี่ เพราะงั้น พี่ต้องรับผิดชอบ"
"ปุ๊กลุก พ่อเด็ก เค้าไม่รับผิดชอบเหรอ"
"ฉันไม่ต้องการ! พ่อของลูกฉัน คือพี่คนเดียว ต้องเป็นพี่คนเดียว"
แสนอึ้งเพราะพูดไม่ออกกับความรั้นของปุ๊กลุก
"พี่ ไม่เคยคิดอะไรกับปุ๊กลุกมากกว่าพี่ชาย" แสนบอก
"ไม่ ฉันไม่ต้องการให้พี่เป็นพี่ฉัน" ปุ๊กลุ๊กเห็นแสนมองตัวเองอย่างสงสาร แต่ยังไม่ยอมตกลง เลยใช้ไม้อ่อน "พี่ยังไม่ยอมรับฉันกับลูกวันนี้ก็ไม่เป็นไร ฉันรอได้"
"ปุ๊กลุก..”
"ฉันจะรอ รอวันที่พี่ยอมรับพวกเราเป็นครอบครัว เด็กคนนี้กับฉันจะรอพ่อของเค้า...อนาคตของฉันกับลูกขึ้นอยู่กับพี่นะ พี่แสน...ยังไงฉันก็จะรอ"
ปุ๊กลุกเว้าวอนแล้วก็ผละไปเพื่อไม่ให้โอกาสแสนปฏิเสธอีก
แสนยืนอึ้งว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้
เมขลาเดินถือแฟ้มมาตามทางแล้วก็สวนกับพนักงานสาวสองคนที่เดินมาจากทางหน้าของออฟฟิศ
"แหม มีแฟนแล้วไม่อัพสเตตัสบอกกันบ้างเลยนะจ๊ะ" พนักงานบอก
เมขลางง "แฟนที่ไหนคะ ไม่มีสักหน่อย"
พนักงานคนนั้นซุบซิบกับพนักงานอีกคน "เดี๋ยวเนี๊ยะเค้านิยมเรียกว่า เพื่อนกัน ไปก่อน"
พนักงานทั้งสองซุบซิบกันเอง แล้วก็เดินผ่านเมขลาไปด้วยสายตามีเลศนัย
"อะไรของเค้า" เมขลาไม่เข้าใจ
เมขลาหันไปเห็นว่าด้านหน้าของออฟฟิศคิมหันต์กำลังเรียกหาเธออยู่
"คุณเม"
เมขลาชะงักไปเพราะนึกไม่ถึง "คุณ คุณคิม"
พนักงานสองคนที่ยังไม่ผ่านไปไกลหันมาหรี่ตามองเป็นเชิงแซวว่าเห็นมั้ย มีผู้ชายมารอ
เมขลาพูดกับพนักงาน "ไม่ ไม่ใช่แฟนเมนะคะ"
พนักงานสองคนยังกิ๊วก๊าวกันอยู่และมีท่าทางไม่เชื่อคำปฏิเสธ
"คุณคิม ทำไมจะมา ไม่บอกก่อนล่ะคะ" เมขลาถาม
คิมหันต์รู้ว่าเมขลาโดนแซวเพราะตัวเองก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ กลบเกลื่อนไป
คิมหันต์ขอโทษเมขลา
"โทษทีนะ คุณเลยโดนคนในออฟฟิศเข้าใจผิด ผมโทรหาคุณแล้วนะ แต่ว่าไม่มีคนรับ"
เมขลาเอามือถือขึ้นมาดู "จริงด้วย ฉันเพิ่งออกจากห้องประชุมน่ะค่ะ"
"ยังงี้ ผมต้องไปแก้ข่าวให้มั้ย" คิมหันต์ถาม
"ช่างเถอะค่ะ เรื่องอะไรที่มันไม่จริง เดี๋ยวคนก็เลิกพูดกันไปเอง แต่คุณ..จะเดือดร้อนรึเปล่า"
"ผมเดือดร้อน ?”
"เรื่องเม้าท์ๆไปไวจะตาย เกิดแฟนคุณได้ยินว่าคุณมีแฟนซุกไว้ที่ต่างจังหวัด แล้วเข้าใจผิด"
"ผมยังไม่มีแฟน"
เมขลาอึ้งเพราะนึกไม่ถึง "ไม่น่าเชื่อ คุณออกจะ..." คิมหันต์รอฟังว่าอะไร เมขลาพูดต่อ "ดูดี"
คิมหันต์อึ้งเพราะไม่นึกว่าเมขลาจะชม เขาดีใจ "ขอบคุณครับนะครับ..ที่ชม"
เมขลาไม่รู้ทำไมเขินกับคำขอบคุณของคิมหันต์
"พักหลังบ้างานตามตามเจ๊เค้ามากไปหน่อยน่ะ ผู้หญิงที่ไหนเค้าจะรอได้ล่ะครับ" คิมหันต์มองเมขลาแล้วก็อดทักไม่ได้ "แล้วคุณรู้รึเปล่า ว่าคุณเองก็..น่ารักขึ้นนะ"
เมขลารู้สึกจะไม่กล้าสบตาคิมหันต์ขึ้นมาทันทีและเล่นเอาพูดไม่ออกเลย
เมขลาเปลี่ยนเรื่องหนีอาการเขิน "เอ่อ คุณอุตส่าห์มาหาฉันถึงนี่ คงมีเรื่องอะไรใช่มั้ยคะ"
คิมหันต์ชะงักและนิ่งลง เมื่อนึกถึงเรื่องที่ต้องมาคุยกับเมขลา
อิงค์กี้ ม.ร.ว.เหมือน และปุ๊กลุกมองกระต๊อบหลังเล็กๆ หลายหลังตรงหน้าอย่างไม่เก็ท
"บ้านพักคนงานต่างด้าวเหรอคะ บ๊าน บ้าน" อิงค์กี้ว่า
ม.ร.ว.เหมือนพูด "อย่าว่าโง้นงี้เลยนะคะ หญิงอยากอาบน้ำแล้ว เมื่อไหร่จะถึงเรือนรับรองซักที"
หนานปิงแทบขำกับคำพูดของสาวๆ
"ก็นี่ไงล่ะ อยู่กันไปเลย คนละหลัง เรือนรับรองของพวกเธอ"
อิงค์กี้ กับม.ร.ว.เหมือนเหวอ
"ไม่ต้องตกใจ เห็นสภาพแบบนี้ มีทั้งน้ำ มีทั้งไฟ” หนานปิงบอก
หนานปิงเดินไปชี้ให้ดูบ่อน้ำ
"น้ำ อยู่ในบ่อตรงโน้น ถ้าจะใช้ก็เอากระป๋องไปตักเอา..ส่วนไฟก็นี่!" หนานปิงโชว์ตะเกียงที่วางอยู่ให้ดู พร้อมไม้ขีด
อิงค์กี้กับม.ร.ว.เหมือนเหวอเข้าไปอีก
"เอ่อ ...แล้ว ปลั๊ก ปลั๊กไฟที่ต้องใช้ชาร์จโทรศัพท์ แท็บเลต ไดร์เป่าผมล่ะ"
ปุ๊กลุกส่ายหน้า "กล้าเนอะ เห็นตะเกียงแล้วยังกล้าถามหาปลั๊ก"
"ใครบอกว่าไม่มี ...มี" หนานปิงว่า
ม.ร.ว.เหมือนแขวะปุ๊กลุก "เห็นมั้ยล่ะยะ อยู่ในบ้านใช่มั้ยคะ"
"เปล่า.. อยู่ที่โรงแยกสตรอว์เบอร์รี"
"โรงแยกสตรอว์เบอร์รีที่ไหน ไกลรึเปล่าคะ?” อิงค์กี้ถาม
"ไม่ไกลเล๊ย เดินไปใกล้ๆแค่สองกิโลเอง"
อิงค์กี้กับหญิงเหมือนได้ยินก็แทบหงาย
"อ้อ แล้วให้ชาร์จไฟได้ถึงแค่ 2 ทุ่มนะ หลังจากนั้น เราจะดับไฟ"
หนานปิงตอบอย่างไม่อนาทรร้อนใจเลย
อิงค์กี้กับหญิงเหมือนพากันลากกระเป๋ากลับด้วยความหงุดหงิด
"ทำแบบนี้มันเกินไป!”
"ใช่ ฉันเป็นซุปตาร์ ว่าที่หลานสะใภ้นะ"
หนานปิงโบกมือลา "บ๊ายบาย"
ปุ๊กลุกยิ้มร่า อันยาชะเง้อมองนิ่งๆ
ปุ๊กลุกพูดกับอันยา "ทีนี้ก็เหลือหล่อนคนเดียวแล้วสินะ"
หญิงเหมือนกับอิงค์กี้ที่เดินพรวดๆไปนึกได้ก็เบรกกึก แล้วหันกลับมามองอันยาด้วยสีหน้าจิก แล้วทั้งสองคนก็ลากกระเป๋ากลับมา
"อ้าว ...เปลี่ยนใจแล้วเรอะ" หนานปิงถาม
ม.ร.ว.เหมือนพูด "ขอเจรจาค่ะ...ทำไมพ่ออุ๊ยต้องให้ว่าที่หลานสะใภ้มาลำบากแบบนี้ด้วยคะ?”
"ใช่ค่ะ ...หลานสะใภ้นะคะ ไม่ใช่คนงานอพยพ" อิงค์กี้ว่า
"ครอบครัวฉันทุกคน เคยอยู่ เคยกิน เคยนอนแบบนี้ แล้วก็ต้องทำงานเป็น ถึงจะคุมคนงานอยู่ ถ้าแค่นี้ทำไม่ได้ ! ก็ไม่เหมาะจะมาเป็นหลานสะใภ้ฉันหรอก"
อิงค์กี้กับหญิงเหมือนสะดุ้ง ทั้งสองครุ่นคิดก่อนจะหันไปมองจิกอันยา
"ปากอมอะไรอยู่ไม่ทราบ ไม่คิดจะพูดบ้างเลยรึไง" อิงค์กี้ว่า
"ฉันไม่ได้หวัง..ว่าจะอยู่สุขสบายอยู่แล้ว"
หนานปิงเหลือบมองอันยาก็สังเกตเห็นความใจนักเลงของเธอ
"นี่แปลว่า ยังไงหล่อนก็จะปลูกสตอเบอรี่ชิงตัวด๊อกเตอร์ให้ได้ใช่มั้ย!”
อันยาไม่ตอบแต่ก็ไม่ยอมขยับไปไหน
อิงค์กี้กับหญิงเหมือนมองอันยาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
หนานปิงถามอีกที "ตกลง จะสละสิทธิ์มั้ย ?”
ทั้งสองสาวอึ้งแล้วมองกระต๊อบแล้วมองอันยาสลับกัน
อันยาถือกระเป๋าเข้ามาในกระต๊อบของตัวเองแล้วนั่งพักอย่างเหนื่อยใจ ปุ๊กลุกถือกระเป๋าตามเข้ามาด้วย อันยางงมาก
"อย่าบอกนะ ว่าจะพักที่นี่" อันยาถาม
"ใช่สิ ไม่งั้นฉันจะเข้ามาทำไม" ปุ๊กลุ๊กว่า
"คุณปู่ให้เธอไปนอนสบายๆที่บ้าน ทำไมไม่ไป จะมาลำบากที่นี่ทำไม?”
"ฉันจะนอนที่ไหน ทำไมหล่อนต้องเดือดร้อน กลัวอะไรมิทราบ?”
อันยาส่ายหน้า "อย่างเธอไม่มีอะไรให้ฉันกลัวหรอก ที่พูดเนี่ยสงสารเด็ก ทำอะไรหัดคิดถึงลูกในท้องบ้าง"
"อยู่กันแค่สองคน ไม่ต้องมาสร้างภาพรักเด็กหรอกย่ะ”ปุ๊กลุ๊กว่า
อันยาส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ ปุ๊กลุกไม่สนใจ เธอหันไปเปิดกระเป๋า
ปุ๊กลุกพึมพำ "ฉันไม่ยอมให้พวกหล่อนปลูกสตรอว์เบอร์รี่กันตามสะดวกแน่"
หนานปิง สิน และฟองคำยืนคุยกันที่แปลงปลูกแข่งขัน
"พ่อจะให้พวกนั้นปลูกสตรอว์เบอร์รี่ที่นี่?” สินถาม
หนานปิงตอบ "ใช่!”
"แต่ตรงนี้ไม่มีสปริงเกอร์ ถ้าอากาศแห้ง วันนึงต้องรดน้ำตั้ง 3-4 หนนะคะ" ฟองคำบอก
"รดน้ำเหมือนตอนพ่อเป็นหนุ่มๆไง" หนานปิงถือกระบวยใส่น้ำให้ดู "แค่ไร่เดียว ทำไม่ได้ให้มันรู้ไป"
"แล้วจะให้พวกสาวๆใช้ไหลจากไหนครับ?”
"หากันเองสิวะ!! จะได้รู้ไง ว่าใครมีกึ๋น ถ้ารักหลานชายเจ้าของไร่สตรอว์เบอร์รีจริง ต้องรู้ว่าจะหาไหล ต้นอ่อนสตรอว์เบอร์รีดี ๆ ได้จากไหน"
หนานปิงยิ้ม เมื่อพูดจบเขาก็เดินไป
สินหันไปคุยกับฟองคำ
"ตกลงจะให้โอกาสแม่หนูนั่นแก้ตัวกับแสนจริง ๆ เหรอ...ไว้ใจเค้าได้เร้อ?” สินว่า
"ได้ไม่ได้เดี๋ยวก็รู้.. แม่แค่ไม่อยากเห็นแสนเป็นแบบนี้ ...ลูกเราต้องหัดเผชิญหน้ากับความผิดพลาด แล้วข้ามมันไปให้ได้" ฟองคำบอก
สินมองแปลงสตรอว์เบอร์รีอย่างหวาดๆ
"กลัวว่าแผนของพ่ออุ๊ยจะไม่ได้แค่กัน คนไม่รักลูกเราจริงออกไปน่ะสิ ทำไปทำมาไอ้แสนจะโสดไปจนตาย ? ลำบากขนาดนี้ ผู้หญิงในเมืองที่ไหนเค้าจะทนได้" สินว่า
ฟองคำมองแปลงสตรอว์เบอร์รีแล้วก็ชักจะไม่แน่ใจเหมือนกัน
แสนหลบมุมมาดูต้นสตรอว์เบอร์รีในไร่ แล้วสิงห์ก็เดินเข้ามาหา
"มาหลบอยู่นี่เอง ทำไมไม่ไปกินข้าว ยังโกรธอยู่รึไง?” สิงห์ถาม
"พ่ออุ๊ยไม่น่าทำแบบนี้" แสนหันมา "พี่ก็ด้วย ทำไมถึงต้องหาเรื่อง ให้อันยาลงแข่ง?”
"ถ้าไม่แคร์เค้า ทำไมนายจะต้องเดือดร้อนด้วย"
แสนชะงัก
"ถ้าเป็นคนที่ทำกับพี่ขนาดนั้น มาอยู่ใกล้ๆ ถามจริงๆ พี่จะรู้สึกยังไง" แสนถาม
"แสน ไมใช่ฉันไม่ห่วงความรู้สึกนาย แต่...เพราะพวกเราเป็นห่วง ถึงไม่อยากให้นายหนีจากความรู้สึกของตัวเอง"
"ผมไม่รู้ว่าทุกคนคิดอะไรกันอยู่ แต่เรื่องระหว่างผมกับอันยา มันจบไปแล้ว ไม่มีอะไรอีกแล้ว"
"แปลว่า มันเคยมี ?”
"เคยหรือไม่เคยมันก็ไม่สำคัญ ผมไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวอะไรกับเค้าอีก อย่าเอาผมไปเกี่ยวเรื่องนี้อีก"
แสนเดินหนีไป
"จะดูซิ ว่านายจะไม่เกี่ยวได้นานแค่ไหน" สิงห์เปรย
อิงค์กี้กับม.ร.ว.เหมือน ยืนอยู่หน้ากระต๊อบอย่างไม่แน่ใจ เพราะสภาพกระต๊อบทั้งสองหลังที่ทั้งมืด ทั้งวังเวงน่าหวั่นไหวเหลือเกิน
"นาน! ยืนนานไปแล้วนะป้าหญิง ทำไมไม่เข้าไปในกระต๊อบสักที?” อิงค์กี้ว่า
"หล่อนก็เข้าไปก่อนสิยะ ฉันจะยืนชมวิวตรงนี้ก่อน"
"วิวตรงนี้ไม่เห็นมีอะไรน่ามอง กลัวก็ยอมรับมาเถอะป้า"
ม.ร.ว.เหมือนทำฟอร์ม "กลัวอะไร? ไม่เห็นจะมีอะไรน่ากลัว หรือว่าหล่อนกลัว?”
อิงค์กี้ก็ฟอร์ม "ไม่ได้กลัว แค่สงสัยว่าในนั้น จะมีหนู แมลงสาป จิ้กจก ตุ๊กแกรึเปล่า?”
ม.ร.ว.เหมือนมองอย่างหวาด ๆ เหมือนกัน แต่ก็ปั้นหน้าจิกอิงค์กี้ไว้เช่นเคย
"พวกนั้นน่ะ ไม่น่ากลัวเท่าหล่อนหรอก นังงูพิษ!”
"แล้วป้าเป็นกระต่ายน้อยน่ารักรึไง!! เสือซุ่ม ป้าก็ไว้ใจไม่ได้พอกันนั่นแหละ"
ม.ร.ว.เหมือนกับอิงค์กี้สะบัดบ๊อบใส่กัน ก่อนจะเดินเข้าไปในกระต๊อบของตัวเอง แต่ทั้งคู่ก้าวไปเพียงสองก้าว จู่ ๆ สายลมเย็นก็พัดโชยมา เสียงนกกลางคืนร้อง ม.ร.ว.เหมือนกับอิงค์กี้หันมองหน้ากันโดยอัตโนมัติด้วยสายตาที่พอจะเข้าใจความรู้สึกของกันและกัน
ม.ร.ว.เหมือนและอิงค์กี้จัดข้าวของอยู่คนละมุมของกระต๊อบ
"ห้ามเลยเข้ามาในเขตฉันเด็ดขาด!" อิงค์กี้เอาขวดโลชั่นมาวางแบ่งเส้นเขตแดน
"พอดีรึเปล่า อย่ามาโกงที่ฉันนะ" ม.ร.ว. เหมือนเลื่อนให้อยู่ตรงกลาง "ต้องตรงนี้ย่ะ !”
"งกจริงๆเลย"
"อยู่กับพวกชอบเอาเปรียบ ก็ต้องระวังตัว"
"จ้า ป้าหญิงผู้มีจิตใจประเสริฐ ดีขนาดนี้ไปบวชชี อย่ามาเป็นมารความรักของฉันกับด๊อกเตอร์เลย"
"แยกแยะดี ๆ นะยะ ระหว่างรัก กับ สมเพช ดูๆ แล้วแสนเค้ามองหล่อนด้วยสายตาอย่างหลังมากกว่า"
"พูดแบบนี้ สงสัยจะอยู่ร่วมกันไม่ได้แล้ว!”
"อย่านึกนะ ว่าฉันอยากอยู่กับตัวเสนียดอย่างหล่อน!” ม.ร.ว. เหมือนว่า
"ไม่อยากอยู่ก็ไปสิยะป้า!”
ม.ร.ว.เหมือนลุกขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้และทำท่าจะไปจริง ๆ อิงค์กี้เบะปากใส่ ทว่าเสียงหมาหอนก็ลอยแหวกอากาศมา ทั้งสองสาวผงะไปนิดนึงก่อนจะมองหน้ากัน อิงค์กี้ลุกพรวด สองสาวขยับไปใกล้กันทันที
"เมื่อ เมื่อกี๊นี้พูดเล่นน่ะ ไม่ต้องคิดจริงจังหรอกนะ" อิงค์กี้บอก
คุณหญิงเหมือนกลัวเหมือนกัน เลยนั่งลงจัดเสื้อผ้าต่อ อิงค์กี้นั่งลงจัดเสื้อผ้าเช่นกัน
ทั้งสองไม่วายมองหน้ากันแล้วเชิดใส่กันเล็กน้อยแต่ก็จำเป็นที่ต้องอยู่ด้วยกัน
อ่านต่อหน้า 2
อันโกะ กลรักสตรอว์เบอร์รี่ ตอนที่ 10 (ต่อ)
เมขลาฟังไอเดียคิมหันต์ที่ต้องการล้างความผิดให้แสนแล้วก็ครุ่นคิด
"หาหลักฐานเองเนี่ย ไม่ใช่เรื่องๆเลยนะคะ เพราะอะไรถึงไม่ให้ตำรวจเป็นคนจัดการล่ะคะ" เมขลาว่า
"กำนันโกมลมีพรรคพวกเยอะนี่ครับ อย่างน้อยผมอยากมีหลักฐานอะไรไว้สักอย่างให้แน่ใจว่าเอาผิดเค้าได้จริง"
"แล้ว..ถ้าคุณได้หลักฐานมา ฉันถามจริงๆ อันโกะ กับคุณไม่กลัวต้องรับโทษไปด้วยเหรอคะ กำนันต้องซัดทอดมาถึงพวกคุณแน่"
คิมหันต์อึ้งไปเพราะนี่ล่ะสิ่งที่กลัว
"กลัวสิครับ แต่..ทีด็อกเตอร์ยังต้องมาเสียชื่อกับสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำ เราก็แค่รับผิดในสิ่งที่เราทำ แค่นี้ทำไมจะรับไม่ได้ล่ะครับ"
เมขลาเห็นใจคิมหันต์จึงเผลอบีบมือเขาเพื่อให้กำลังใจ "ขอบคุณคุณคิม และอันโกะมากนะคะ ที่เลือกจะทำความดีลบล้างความผิด"
"ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ ที่คุณเข้าใจพวกเรา"
"ฉันจะช่วยอีกแรงนึงนะคะ"
คิมหันต์ใจชื้นขึ้นเมื่อได้ยินเมขลารับปาก แต่แล้วเมขลาก็รู้ตัวว่าจับมือคิมหันต์อยู่
"เอ่อ..โทษค่ะ" เมขลาดึงมือออกมาอย่างเขินๆ
เมขลาอายตัวเองว่าเผลอไปจับมือคิมหันต์ได้ยังไง คิมหันต์อมยิ้มเพราะรู้สึกว่าเมขลาน่ารักดี
คิมหันต์ลาเมขลาที่หน้าร้านกาแฟ
"กลับดีๆนะครับคุณเม"
"ค่ะ แล้วไว้คิดอะไรได้ ฉันจะติดต่อคุณนะคะ"
คิมหันต์โบกมือลาเมขลา เมขลายิ้มตอบแล้วเดินไปแต่แล้วด้วยความเขินจึงเดินสะดุดข้างทาง คิมหันต์มองอย่างเป็นห่วง เมขลารีบส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นไรแล้วรีบจ้ำเดินไป เธอหันมาอายกับตัวเอง ว่าทำไมซุ่มซ่ามขนาดนี้
คิมหันต์มองตามยิ้มๆ แล้วรู้สึกได้ว่ามือถือสั่นเหมือนมีข้อความเข้า
คิมหันต์หยิบมือถือมาดูก็ชะงัก "เจ๊อัน ให้เราโทรกลับ"
คิมหันต์ที่อยู่ที่ห้องพักกำลังคุยโทรศัพท์กับอันยา
"ไหนบอกจะไปขอโทษเค้าไง ไหงเปลี่ยนไปทำไร่สตรอว์เบอร์รีซะแล้ว ?”
อันยาที่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วคุยมือถือกับคิมหันต์
"ฉันอธิบายมากไม่ได้ มันเมื่อย! มันไม่มีสัญญาณ"
อันยายืนเขย่งคุยโทรศัพท์อยู่บนโอ่ง
คิมหันต์หัวเราะลั่นเมื่อได้ฟังเรื่องราวจากอันยา
"ที่แท้ก็จะปลูกสตรอว์เบอร์รีไถ่โทษ ความรักมันทำให้คนเราเพี้ยนได้จริงๆเลยนะ อูย อย่าเพิ่งด่า นี่ถ้าเทียบกับความพยายามร้าย ๆ ที่ผ่านมา...ปลูกต้นไม้ก็ยังช่วยลดโลกร้อนได้ เอาเป็นว่า ผมเชียร์เจ๊ก็แล้วกัน"
"ขอบใจ" อันยาเสียงอ่อน "ฉันคงต้องฝากแกให้ช่วยดูแลคุณย่าให้ด้วยนะ ช่วงที่ฉันไม่อยู่"
"ได้...ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ๊ ชิงตำแหน่งหลานสะใภ้มาให้ได้ก็แล้วกัน" คิมหันต์โดนอันยาด่า "อูย ล้อเล่นๆ"
อันยาพูดจากโทรศัพท์ "เดี๋ยว คิมบอมบ์ ฉันมีเรื่องให้ช่วยอีกเรื่องนึง"
"เรื่องอะไรเจ๊?”
เวลาผ่านไป อันยาวางสายแล้วจะเดินไปแต่เธอนึกได้ว่าอยู่บนโอ่ง เธอรีบคว้าขอบโอ่งเอาไว้แทบไม่ทัน
"เกือบไป"
อันยาปาดเหงื่อ
อันยากลับเข้ามาในห้องก็ตกใจเพราะปุ๊กลุกเอาที่นอนปิกนิคมาปูเพิ่ม แถมนอนขวางจนเหลือที่ไว้ให้อันยาเท่าแมวดิ้น
"เหลือที่ให้ฉันแค่นี้ ฉันจะนอนยังไงล่ะ?”
"โทษที คนท้องก็งี้แหละต้องใช้เนื้อที่เยอะ ไม่งั้นนอนลำบาก มันอึดอัด ...ถ้าเธอนอนไม่ได้ก็ออกไปนอนข้างนอกแล้วกัน" สีหน้าของปุ๊กลุ๊กหาได้แยแสไม่ เธอยืดแข้งขืดยาและขยับไปมาจนเต็มห้อง อันยาหงุดหงิดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เธอลงมานอนอย่างกระเบียดกระเสียรตามยถากรรม
ปุ๊กลุกคุยกับลูกในท้อง "ดึกแล้ว นอนกันดีกว่านะลูกนะ ลูกรักของแม่ปุ๊กลุก พ่อแสน"
อันยาส่ายหน้าเพราะที่นอนก็แคบ เพื่อนร่วมห้องก็เพี้ยน ปุ๊กลุกยื่นขาไปเบียดอันยาเพิ่มอีก
อันยาไม่ชอบใจแต่พอเห็นท้องโตๆ ของปุ๊กลุกก็ได้แต่อดทน
อิงค์กี้ที่อาบน้ำเพิ่งเสร็จกำลังจะย่องไป
หญิงเหมือนตะโกนมาจากในห้องน้ำ "ยังอยู่รึเปล่า?”
อิงค์กี้ที่กำลังจะเดินหนีถึงกับหยุดกึก หญิงเหมือนตะโกนออกมาอีก
"ถ้าทำตัวตลบตะแลง หนีไป พรุ่งนี้ฉันจะไม่รออาบน้ำเป็นเพื่อนหล่อน รับรองขี้กลากขึ้นหลังแน่ๆ"
อิงค์กี้เซ็งที่ม.ร.ว.เหมือนรู้ทัน เธอจำต้องยืนที่เดิมแล้วปัดยุงไปด้วย
"รู้แล้วน่ะ... อาบเร็วๆสิ เนื้อก็ยุ่ยอยู่แล้ว ไม่รู้จะถูสบู่เยอะแยะไปทำไม เดี๋ยวหนังก็หลุดออกมาเป็นแผ่นๆหรอก!” อิงค์กี้บอก
ม.ร.ว.เหมือนสาดน้ำออกมาโดยเฉียดอิงค์กี้ไปนิดเดียว
อิงค์กี้โวยวาย "ว๊าย นี่ป้า!”
"อย่าหาเรื่อง รอไปเงียบ ๆ เดี๋ยวโดน"
อิงค์กี้ทำปากด่ามุบมิบแล้วตบยุงอย่างเซ็ง ๆ
แสงสาดเข้ามาในกระต๊อบ ปุ๊กลุกนอนยิ้ม
"สมน้ำหน้านังอันยา นี่คงไม่ได้หลับทั้งคืน ตื่นไปทำไร่สายแน่ ๆ"
ปุ๊กลุกแกล้งแหย่ขาเข้าไปทางที่นอนอันยาแต่แหย่ไปแหย่มาสักพักก็ไม่เจอ เธอเลยลุกขึ้น
"นังอันยา หายหัวไปไหนแล้ว?”
อันยาคุยกับโทรศัพท์กับคิมหันต์
"ขอบใจนะที่ช่วยหาข้อมูลให้"
คิมหันต์แซว
"ไม่เป็นไรครับเจ๊ แต่ถ้าได้รางวัลเกษตรกรดีเด่นขึ้นมา ก็ช่วยแบ่งกันด้วยนะ"
อันยานิ่วหน้าที่คิมหันต์แซว
"ถ้าได้จริง ฉันยกให้นายเลย ฉันขอแค่ คุณแสนเค้าหายโกรธก็พอ"
คิมหันต์ปลอบใจ
"เอาน่ะ อย่าเพิ่งจ๋อย" คิมหันต์สงสัย "ว่าแต่เริ่มงานในไร่วันแรกเนี่ย ถามจริง เจ๊ใส่ชุดไหนทำไร่"
อันยาอยู่ในชุดทำไร่สุดอลังการและถืออุปกรณ์พร้อม
"ก็ธรรมดานะ แบบทุกทีนั่นแหละ นี่ ให้ฉันแต่งตัวแบบอื่น แล้วฉันจะไปมีแรงทำไร่ได้ยังไงล่ะ มันไม่ชิน ให้ถ่ายรูปส่งมาให้ดู? เห็นเป็นเรื่องสนุกไปได้นะ"
อันยากำลังต่อล้อต่อเถียงกับคิมหันต์แล้วสายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง
"แค่นี้ก่อนนะ ฉันมีธุระ"
อันยารีบวางสายจากคิมหันต์ทันที
อันยากึ่งเดินกึ่งวิ่งมาตามทาง เธอมองไปยังเป้าหมายข้างหน้าซึ่งก็คือแสนที่กำลังจะเดินไปที่รถ
"คุณแสน"
แสนได้ยินแต่กลับทำเป็นไม่ได้ยิน เขาจงใจเดินผ่านไปเฉยๆ อันยาจ๋อยไปเล็กน้อย แสนเดินอย่างรวดเร็วมาเรื่อยๆ แต่จู่ๆอันยาก็วิ่งมาหยุดยืนหอบใกล้ๆ
"ขอ..ขอถามอะไร..หน่อย..ค่ะ"
แสนมีสีหน้าหงุดหงิดเพราะรู้สึกว่าอันยาตื๊อ เขาตอบโดยไม่มองหน้า
"ถามคนอื่นเถอะ อยากอยู่ปลูกสตรอว์เบอร์รีก็ถามคนที่เค้าอนุญาตให้คุณอยู่ก็แล้วกัน"
อันยาเหวอ "แต่ฉันแค่จะถามว่า...”
แสนตัดบท "ผมมีธุระต้องรีบไป"
แสนผละจากอันยาไปขึ้นรถกระบะแล้วขับออกไปเลย
อันยาหน้าเหวอ "จะขอติดรถไปด้วย" อันยาไหล่ตก "ได้มั้ย ?”
อันยามองตามรถแสนที่แล่นจากไปแล้วอย่างจ๋อยๆ
อันยาเดินไปตามถนนด้วยอาการเหนื่อย เธอเดินไปบ่นไป
"ถนนร้างรึไงเนี่ย ไม่มีรถสักคัน!!”
อันยาเดินต่อไปอย่างล้า ๆ แล้วก็มีเสียงเด็กดังขึ้นด้านหลังอันยา
"ปี้สาวครับ ไปรถผมบ่ครับ"
อันยายิ้มดีใจมาก
"เยส คนสวยสวรรค์ไม่ทอดทิ้ง" อันยาหันไปทันที
อันยาหันมาเห็นรถจักรยานเก่า ๆ ของเด็กอ้วนที่ยิ้มแป้นถีบอยู่ก็จ๋อยลง อันยามองจักรยานกับเด็กแล้วยิ้มแหยๆ
เด็กอ้วนถามซ้ำ "ไปก่อ?”
อิงค์กี้เอามือแตะ ๆ เขี่ย ๆ ดินด้วยสีหน้าไม่อยากทำมาก ๆ เธอมองแดดอย่างไม่ชอบใจ
"แดดแรงขนาดนี้ SPF 200 จะเอาอยู่มั้ยเนี่ย ผิวฉัน"
แล้วอิงค์กี้ก็ลุกขึ้นแล้วหันไปมองม.ร.ว.เหมือนที่พยายามเอาต้นไหลลงดินแบบเก้ ๆ กัง ๆ แต่พอทำไปได้นิดนึง ม.ร.ว. เหมือนก็หงุดหงิดเพราะเล็บที่ต่อมาหัก
"อี๋!!! ตายแล้ว!! เล็บทั้งดำ ทั้งหัก"
ม.ร.ว.เหมือนโยนต้นไหลในมือทิ้งด้วยอาการหงุดหงิดสุด ๆ อิงค์กี้เห็นก็ตะโกนแซว
"โถ โถ โถ ที่เล็บมันหักไม่ใช่เพราะดิน เพราะไหลหรอกหญิงป้า วัยนี้แล้ว แคลเซียมก็คงน้อย! นิ้วป้าก็เลยรั้งเล็บเอาไว้ไม่อยู่ ฮ่าๆ"
อิงค์กี้หัวเราะเสียงดัง ม.ร.ว.เหมือนของขึ้นจึงหยิบต้นไหลขว้างใส่อิงค์กี้เต็มๆ อิงค์กี้ร้องลั่น
"อ๊าย!!”
ม.ร.ว.เหมือนหัวเราะเยาะ "ถึงเล็บฉันจะหัก แต่มือฉันแข็งแรงดีย่ะ!! ถ้าไม่เชื่อก็ลองเอาหนังหน้าด้าน ๆ ของหล่อนมากระทบฝ่ามือฉันดูก็ได้"
อิงค์กี้โมโห เธอหยิบต้นไหลปาใส่ม.ร.ว.เหมือนเป็นชุด ม.ร.ว.เหมือนหลบเป็นพัลวัน
"นี่ นี่ นี่!!! นังหญิงป้าวัยทอง เรื่องอะไรฉันมาเอาหน้าสวย ๆ ของฉันไปเปรียบเทียบกับมือเหี่ยว ๆ ย่น ๆ ของป้า"
"นังดาราขาแอ็บ!!! ทำแบบนี้ อยากมีเรื่องใช่มั้ย!!! ได้! จัดให้"
ว่าแล้วม.ร.ว.เหมือนก็ก้มลงหยิบต้นไหลปาใส่อิงค์กี้ อิงค์กี้เอาต้นไหลปากลับ ทั้งสองคนปากันไปมาราวกับห่าฝน
ในที่สุด อิงค์กี้ปาต้นไหลต้นหนึ่งเข้าหน้าม.ร.ว.เหมือนเต็ม ๆ
อิงค์กี้ทำสีหน้าเยาะเย้ยสุด "สมน้ำหน้า"
"แกตายแน่!!! นังดาราชั้นต่ำ"
ทั้งคู่จะถลาเข้าหากันโดยหวังฟาดฟันกันให้แหลกคามือ
"แกตายแน่!”
หญิงเหมือนกระโดดเข้าจิกหัวอิงค์กี้ทันที ทั้งสองคนตะลุมบอน กอดรัดฟัดกัน ราวกับจะฆ่ากันให้ตายไปข้าง ปุ๊กลุกมองแล้วหัวเราะสะใจก่อนจะลูบท้องตัวเอง
"คนฉลาดไม่ต้องใช้แรงใช่มั้ยลูก เอาเลย พังมันให้หมด"
อันยาซ้อนท้ายจักรยานของเด็กอ้วนที่ปั่นมาอย่างกระเด้งกระดอนมาก
อันยาบ่นเบาๆ "ไม่รู้จักรยานกับก้นฉัน อะไรจะพังก่อน" อันยาถามเด็ก "น้อง เมื่อไหร่จะถึง?”
เด็กอ้วนจอดจักรยานทันที อันยายิ้ม
"ถึงแล้วเหรอ!”
เด็กอ้วนตอบ "ยัง"
"แล้วจอดทำไม?”
เด็กอ้วนพูดเสียงอ่อย ๆ "เป็นตะคริว ปั่นบ่ะไหว"
อันยาอึ้งไป
อันยาปั่นจักรยานโดยมีเด็กอ้วนซ้อนท้ายมาด้วยความยากลำบาก เหงื่อของเธอไหลไปทั้งหน้า ขาสั่น จักรยานคลืบคลานไปทีละนิด อันยาเหนื่อยมากจึงหยุดมองเบื้องหน้าของเธอที่เป็นเนินสูงมาก อันยามองเนินแล้วอยากจะร้องไห้
"นี่มันเนินหรือเทือกเขาเอเวอร์เรสต์เนี่ย ทำไมมันสูงขนาดนี้"
แล้วอันยาก็กลั้นใจปั่นต่อไป จักรยานค่อย ๆ คลืบคลานไปช้าๆ
ต้นสตรอว์เบอร์รีของม.ร.ว.เหมือนเละตุ้มเปะเพราะอิงค์กี้กับหญิงเหมือนฟัดกันนัว ปุ๊กลุกยืนมองพร้อมกับหัวเราะสะใจ คนงานวิ่งมาเห็นก็ตกใจ ปุ๊กลุกหยุดหัวเราะเพื่อสร้างภาพ
ปุ๊กลุกตะโกนลั่น "ช่วยด้วยค่า...ทะเลาะกัน เละตุ้มเป๊ะหมดแล้ว"
คนงานจำนวนมากเข้ามามุงดู สักครู่หนานปิงก็แหวกคนงานเข้ามาแล้วร้องห้าม
"เฮ้ย!! หยุด!!!! หยุดเดี๋ยวนี้!”
อิงค์กี้กับม.ร.ว.เหมือนยังไม่ยอมหยุด
หนานปิงสั่งเสียงเข้ม "ถ้ายังไม่หยุดตีกันเหมือนหมา ก็ออกไปจากไร่ฉันเดี๋ยวนี้"
ทั้งสองคนผละออกจากกันทันที
ม.ร.ว.เหมือนรีบฟ้อง "พ่ออุ๊ยคะ ต้องไล่นังดาราบ้าผู้ชายนี่ออกจากไร่ไปนะคะ มันทำลายต้นสตรอว์เบอร์รีของหญิงเละตุ้มเป๊ะเลยค่ะ"
"ยัยป้าหญิงก็ทำลายต้นสตรอว์เบอรีของหนูเหมือนกัน!” อิงค์กี้ฟ้อง
ม.ร.ว.เหมือนมองจิกอิงค์กี้ "ชั้นต่ำ!”
อิงค์กี้มองจิกม.ร.ว.เหมือน "เลว!!”
"ลองตบตีกันได้ มันก็ชั้นเดียวกัน นิสัยพอกันนั่นแหละ!”
อิงค์กี้กับปุ๊กลุกหัวเราะลั่นเพื่อเยาะเย้ยอิงค์กี้กับหญิงเหมือนทันที หนานปิงหันไปทำหน้าดุ อิงค์กี้กับปุ๊กลุกรีบหุบปาก หนานปิงว่าอิงค์กี้กับหญิงเหมือน
"อายุขนาดนี้ การศึกษาก็มี ทำอะไรหัดใช้หัว!!! อย่าใช้แต่มือแต่เท้าแต่ปากแก้ปัญหา คนเค้าจะพูดเอาได้ ว่าไม่มีใครสั่ง ไม่มีใครสอน"
ม.ร.ว.เหมือนกับอิงค์กี้หน้าชาเพราะเถียงไม่ออก ทั้งสองจ๋อยสนิท
"ไม่กล้าขุดดิน ไม่กล้าจับไหล!! ทำไม่ได้แบบนี้ ก็กลับไปซะ อย่ามาเสียเวลากัดกันที่นี่"
หนานปิงพูดจบก็เดินออกไป ม.ร.ว.เหมือนกับอิงค์กี้ยังจ๋อย ปุ๊กลุกยิ้มสะใจ
"จ๋อยไปสอง" ปุ๊กลุ๊กสงสัย "แล้วยัยอันโก๊ะล่ะ!”
แสนแวะจอดรถเพื่ออุดหนุนผลไม้ที่ชาวบ้านเอามาขายริมทาง อันยาที่ทั้งเหนื่อยทั้งหนักขี่จักรยานพาเด็กอ้วนที่นั่งชิล ๆ มา แสนจ่ายเงิน พอหันไปเห็นอันยาเขาก็ชะงักไปทันที
"คุณ !!”
อันยาดีใจที่มาเจอแสน "คุณ.. คุณแสน !”
แสนไม่พอใจ "นี่พูดไม่เข้าใจรึไง!!.. จะตามตื๊อผมไปถึงไหน"
อันยาที่เหนื่อยมากได้ฟังก็ยิ่งน้อยใจ เธอพูดจ๋อย ๆ
"ฉันไม่ได้ตาม...”
แสนส่ายหน้า "คุณนี่เหลือเชื่อจริง ๆ...เห็นอยู่จะๆยังจะบอกไม่ได้ตามอีกเหรอ"
อันยาเศร้าแต่ไม่รู้จะพูดยังไง เด็กอ้วนหันมาบอกอันยา
"ไปเต๊อะ เอารถถีบผมไปก่อได้"
"ขอบใจนะ เดี๋ยวจะเอามาคืน"
อันยาหันหน้าหนีแสนแล้วปั่นต่อ แสนเดินตามไปห้าม
"จะไปไหนอีก เดี๋ยวก็หลงป่าเหมือนคราวที่แล้ว กลับไปที่ไร่เลย" แสนว่า
"ไม่กลับ!! รับรองว่าครั้งนี้ฉันไม่หลง" อันยารั้น
"ก็แน่สิ ขี่รถตามผมจะหลงได้ยังไง"
"ฉันไม่ได้ตามจริงๆ" อันยาชี้ไป "รถคุณจอดอยู่โน่นไม่ใช่เหรอคะ"
"ถ้าไม่ได้ตาม แล้วคุณจะมาอยู่นี่ได้ยังไง?!! กลับไร่ไปซะ อย่าสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นเค้ามากกว่านี้"
อันยาทั้งเจ็บใจและน้อยใจจนตัวสั่น เธอพยายามรวบรวมสติแล้วพูดให้เสียงเป็นปกติมากที่สุด
"ขอพูดครั้งสุดท้าย...ฉันไม่ได้ตาม! ส่วนฉันจะไปไหน เป็นตายร้ายดียังไง จะไม่ให้เดือดร้อนคุณ ไม่ต้องมาใจดีกับผู้หญิงแย่ๆ อย่างฉันหรอกค่ะ"
อันยาถีบจักรยานออกไปทันทีด้วยความน้อยใจ แสนส่ายหน้าในความดื้อรั้นของอันยา
รถแสนขับรถตามอันยาที่ขี่จักรยานมาห่างๆ แสนเพ่งมองอันยาด้วยความสงสัยมาก
"ไม่ได้ตามเรา ...แล้วไปไหน?”
อันยาขี่จักรยานไป ปาดเหงื่อไป บางทีก็แวะจอดเอาหมวกมาพัดให้ตัวเองโดยไม่รู้ว่าแสนตามมา แสนขับตามพลางมองอันยาอย่างครุ่นคิด อันยาเลี้ยวจักรยานเข้าไปที่หน้าศูนย์เพาะไหล แสนเห็นสถานที่ที่อันยาเข้าไปก็ชะงักด้วยความแปลกใจ
อันยาเดินไปหาเจ้าหน้าที่
อันยายกมือไหว้ "ฉันชื่ออันยา ที่โทรมาเมื่อเช้านี้น่ะค่ะ"
"อ๋อ....เชิญด้านนี้เลยครับ เตรียมไว้ให้แล้ว"
เจ้าหน้าที่พาอันยาไปดูขวดโหลที่ข้างในบรรจุต้นไหลที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
"นี่คือตัวอย่างที่ยังไม่ได้เพาะลงดินครับ ไหลหรือต้นอ่อนสตรอว์เบอร์รีพวกนี้ได้มาจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อของต้นแม่พันธุ์ที่คัดสรรมาดีแล้ว ถ้านำไปปลูกจะได้ต้นสตอรว์เบอร์รีที่แข็งแรง ทนทานต่อโรค"
อันยาฟังเจ้าหน้าที่แล้วพยักหน้าตามด้วยความสนใจ
"ปกติจะต้องจองไว้ก่อน แต่พอดีที่ไร่แสนรักเค้าใช้เยอะ ทางเราเพาะเผื่อไว้ เลยพอมีเหลือให้คุณ"
"ไร่แสนรัก ก็ใช้ไหลที่เพาะจากที่นี่เหรอคะ?”
"ครับ" เจ้าหน้าที่บอก
อันยายิ้มอย่างโล่งอก
แสนซึ่งมาแอบดูอยู่อึ้งไปเพราะนึกไม่ถึง
สิงห์กำลังตัดแต่งใบสตรอว์เบอร์รี แสนเดินตาม หลังจากที่ทั้งคู่คุยกันมาสักพักหนึ่งแล้ว
"ถ้าพี่ไม่ได้บอกคุณอันยาเรื่องศูนย์เพาะไหล แล้วเค้าจะรู้ได้ยังไง?” แสนว่า
"พี่แค่บอกทางไปศูนย์ให้ ...ส่วนเรื่องอื่น เค้าหาข้อมูลมาก่อนแล้ว แกเคยทำงานกับเค้า ก็น่าจะรู้ว่าเค้าเป็นยังไง ทำไมเรื่องแค่นี้เค้าจะรู้เองไม่ได้" สิงห์บอก
แสนนิ่งไป
"ทำไม รึกลัวว่าจะได้เป็นเจ้าบ่าว?”
"อย่าพูดเล่นกับผมแบบนี้"
สิงห์เปรย "เฮ้อ.. ผู้หญิงตัวเล็กๆ ทนตากแดด ตากลม ...มือบาง ๆ ทนจับจอบ จับเสียม..เค้าต้องมีความมุ่งมั่น ตั้งใจจริง ๆ...ส่วนใครจะเห็นหรือไม่เห็น มันอยู่ที่จะใช้ตา หรือใช้ใจดู"
สิงห์เดินออกไป แสนมองตามแล้วนิ่งคิด
รถของศูนย์วิจัยเพาะพันธุ์ต้นไหลแล่นมาจอด
อันยาบอกคนงานที่มาช่วยขนต้นไหล "ยกไปทางโน้นเลยค่ะ"
อิงค์กี้กับหญิงเหมือนกำลังนั่งทำแผลอยู่ที่เพิงข้างแปลงปลูก ทั้งสองมองอันยา ปุ๊กลุกที่คั้นน้ำสตรอว์เบอร์รีอยู่ก็หันไปมองอันยาด้วยความสงสัย
"นังนั่นมันคิดจะทำอะไร?”
"โง่จริง ๆ ต้นไหลใกล้ๆ ไร่มีขายเยอะแยะไป ...มัวไปเอาที่ไหน ดูซิกว่าจะได้!” ม.ร.ว. เหมือนว่า
หนานปิง สิน และฟองคำที่เดินมาดูเห็นอันยามากับรถของศูนย์วิจัยก็ประหลาดใจ
"หนูอันยา รู้จักไปเอาไหลมาจากศูนย์วิจัยซะด้วย" ฟองคำทัก
"รอบคอบ รู้จักศึกษาหาข้อมูล ไม่ได้สักแต่จะปลูกอะไรก็ปลูก" สินชมอันยาแต่ว่าคนอื่น
หนานปิงชอบใจ "นังหนูนี่รู้จริง ใช้ได้เว้ย!”
สามสาวได้ยินครอบครัวแสนชมอันยาที่กำลังขนไหลอยู่ก็เจ็บใจ ทั้งสามสาวมองอันยาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
อ่านต่อหน้า 3
อันโกะ กลรักสตรอว์เบอร์รี่ ตอนที่ 10 (ต่อ)
อันยารดน้ำให้ต้นไหล เธอยิ้มแล้วมองต้นไหลด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวัง พลางพูดกับต้นไหล
"แข็งแรง โตไวๆ ออกลูกมาเยอะๆ นะ"
แสนเดินเข้ามาเห็นสีหน้าอันยาที่กำลังง่วนอยู่กับต้นไหลก็คิดถึงตอนที่อันยาขี่จักรยานไป ปาดเหงื่อไปก่อนหน้านี้
แสนมองอันยาที่กำลังรดน้ำต้นไหลอยู่อย่างตั้งใจ แสนมองนิ่ง ๆ แล้วก็มีสีหน้าอ่อนลงก่อนจะเดินเข้าไปหาอันยา
"อันยา"
อันยาหันไปเห็นแสนเดินเข้ามาหาแบบนึกไม่ถึง
"ทีนี้คุณเชื่อฉันแล้วใช่มั้ย ว่าฉันไม่ได้จะกวนคุณ ฉันแค่ไปเอาต้นไหลที่ศูนย์" อันยาบอก
"เรื่องนั้นผมรู้แล้ว"
"ถ้างั้น" อันยาแอบหวัง "คุณไม่รำคาญฉันแล้ว ใช่มั้ย ?”
แสนนิ่งไป
อันยามองลุ้น ๆ ว่าแสนจะพูดว่ายังไง แสนขยับมาใกล้อีกนิดก่อนจะพูดออกมา
"ถึงคุณจะพยายามยังไง มันก็ไม่มีประโยชน์" แสนว่า อันยาอึ้ง "ที่ผมมาบอก เพราะไม่อยากให้คุณเสียเวลาไปฟรีๆ กลับไปซะเถอะ"
แสนพูดจบก็เดินออกไป อันยามองตามด้วยสีหน้าเศร้าจากที่มีแรงรดน้ำต้นไม้อยู่ อันยากลับค่อยๆทรุดลงนั่งอย่างหมดแรง สายตาของเธอยังคงมองตามด้านหลังของแสนไปด้วยความเสียใจ
อันยายังคงจ๋อยสนิทแต่ก็พยายามฝืนลุกขึ้นรดน้ำต่อด้วยสีหน้าเศร้า ม.ร.ว.เหมือนกับอิงค์กี้เดินเข้ามาด้วยสีหน้าท่าทีเอาเรื่อง
ม.ร.ว.เหมือนพูด "ฉันเห็น.... เห็นว่าแสนเค้ามาไล่เธอ! มาไล่ด้วยตัวเอง"
อิงค์กี้ตอกย้ำ "สุภาพบุรุษอย่างด็อกเตอร์ ถึงขั้นออกปากไล่ ..แสดงว่า เหลืออด สุดจะทนกับเธอจริง ๆ"
"นั่นสิ! ..โดยมารยาท เจ้าของบ้านไล่ ก็ต้องไป รู้รึเปล่า!”
"ไสหัวไป ชิ้ว ๆ ...ไป"
อันยายังยืนรดน้ำต่อนิ่งๆ
"ไล่แล้วยังไม่ไป เรียกว่าอะไรน้า?” หญิงเหมือนว่า
"หน้าด้าน!”
ม.ร.ว.เหมือนกับอิงค์กี้หัวเราะเยาะด้วยความสะใจ อันยาได้ยินแล้วจี๊ดอยากจะด่ากลับ แต่เสียงของย่าในอดีตที่เคยเตือนเธอก็ลอยเข้ามาในหัวเสียก่อน
"ไม่ว่าเค้าจะพูดยังไง หนูก็ต้องเข้มแข็ง จำไว้ว่าย่า..รักหนู เอาใจช่วยหนูอยู่นะลูก"
อันยาตั้งสติได้ก็กลั้นความรู้สึกต่าง ๆ ด้วยความอดทนอย่างถึงที่สุด แล้วเธอก็เดินออกไปโดยไม่พูดอะไร อิงค์กี้กับม.ร.ว.เหมือนเห็นแล้วยิ่งหมั่นไส้
"หนอย ทำเป็นไม่ตอบโต้ สร้างภาพเป็นนางเอกให้คนสงสาร"
"เห็นแล้วน่าสมเพชมากกว่า! นางมารตัวแม่แบบนี้ สร้างภาพกลบความชั่วร้ายยังไงก็ไม่มิด"
อันยาหลบมาอยู่คนเดียวด้วยสีหน้าเศร้าสุดๆ น้ำตาของเธอเริ่มซึมออกมา อันยารีบยกมือขึ้นป้ายน้ำตา
"ไม่ต้องร้อง ๆ ...จะร้องทำไม"
อันยาบอกตัวเองแต่น้ำตาก็ยังไหล อันยาเช็ดน้ำตาตัวเองแล้วพยายามฮึดแต่ก็ฮึดไม่ไหว
เธอจึงร้องไห้ออกมาเบาๆ เพียงลำพัง
อิงค์กี้ยังบ่นต่อเนื่อง
"ทำเป็นยอมลำบากเพื่อเรียกคะแนนสงสาร สมน้ำหน้า! ที่โดนด็อกเตอร์ไล่"
แต่ม.ร.ว.เหมือนกลับครุ่นคิดโดยไม่ยอมผสมโรงด้วย
"แม่นั่นอาจจะทำให้แสนสงสารไม่ได้ แต่ก็เรียกคะแนนจากบรรดาญาติๆของแสนได้ แผนสูงจริงๆ"
อิงค์กี้นึกได้ "งั้นคนอื่นก็ต้องมองว่าพวกเราเหยาะแหยะ ไม่เอาไหนน่ะสิ นังอันยา หล่อนร้ายมาก ยังงี้ต้องไปจัดการ"
"ไปเล่นงานมัน ให้มันยิ่งกลายเป็นนางเอก ได้คะแนนสงสารเพิ่มงั้นเหรอ?" ม.ร.ว. เหมือนว่า อิงค์กี้ชะงัก "จะเรียกคะแนนจากครอบครัวของแสนทั้งที ต้องทำอะไรที่มันได้ผลมากกว่านี้"
"ทำเป็นฉลาด แล้วตัวเองคิดอะไรออกรึเปล่าล่ะ ห๊ะ"
ม.ร.ว.เหมือนหน้าเสียเพราะยังคิดไม่ออกเหมือนกัน ทันใดปุ๊กลุกก็เดินเข้ามาพร้อมตระกร้าใส่กับข้าว
"เฮ้อ ไม่รู้คุณแม่ฟองคำจะเลี้ยงข้าวพวกเธอทำไม วันๆมานั่งลอยชาย ไม่ได้ทำอะไรให้เกิดประโยชน์เลย สู้คนท้องยังไม่ได้ ยังรู้จักหยิบฉวยช่วยงานนั่นนี่"
"ทำงานเอาหน้า ไม่นับความดีความชอบย่ะ" อิงค์กี้ว่า
"แล้วใครในที่นี้ปิดทองหลังพระบ้างยะ ก็เอาหน้ากันทุกคนนั่นแหละ เอาหน้าสู้ฉันไม่ได้ก็เลยอิจฉาน่ะสิ"
อิงค์กี้ฉุน "นังนี่ !”
ม.ร.ว.เหมือนมองกับข้าวแล้วปิ๊งไอเดีย "ใช่แล้ว ถ้าเป็นนี่อันนี้ล่ะก็"
อิงค์กี้กับปุ๊กลุกที่เถียงกันอยู่ชะงักแล้วต่างก็หันไปมองม.ร.ว.เหมือน
"ประสาทกลับแล้วเหรอป้า จู่ๆก็พูดคนเดียว" อิงค์กี้ว่า
"ที่ฉันพูดคนเดียว ยังมีสาระกว่าที่พวกเธอเถียงกันเมื่อกี๊นี้ตั้งเยอะ"
ม.ร.ว.เหมือนว่าพลางยกสำรับของตัวเองไปแล้วแยกออกไปนั่งคนเดียว
อิงค์กี้มองด้วยความสงสัย "ยัยป้าหญิง คิดอะไรอยู่กันแน่"
"โถ่เอ๊ย ทำเป็นพูดดี ที่แท้ก็แค่หิว" ปุ๊กลุ๊กไม่ได้รู้ทันเลย
ม.ร.ว.เหมือนนั่งมองกับข้าวด้วยตาเป็นประกายเพราะคิดแผนบางอย่างได้
สินชะโงกมองอันยาจากหน้าต่างก็เห็นอันยาซึ่งเดินถืออุปกรณ์ทำสวนผ่านมา
"นี่แอบมองสาวๆเหรอ ฉันจะฟ้องฟองคำ" หนานปิงว่า
"พ่อ มันไม่ใช่แบบนั้น" สินบอก
"ก็แกแอบมองแม่หนูนั่นอยู่เห็นๆ"
"มองน่ะใช่ แต่ว่า…"
"นั่นไง ยอมรับแล้วใช่มั้ยว่าเจตนาไม่บริสุทธิ์"
ฟองคำเดินออกมา "เมื่อกี๊ได้ยินว่าเรียกฉัน มีอะไรกันรึเปล่าคะ"
"ฉันมองหนูอันยา แต่ไม่ได้คิดอะไรไม่ดี คือ..ฉันสงสัยว่าวันนี้เค้าจะแต่งแฟชั่นอะไรลงมาทำไร่"
ฟองคำกับหนานปิงชะงักกันไป
"ก็..ไม่เคยเห็นคนแต่งตัวแบบนี้มาทำไร่ จะได้ช่วยเป็นหูเป็นตาให้ลูกชายเราด้วยไง แม่หนูเนี่ยต่างกับลูกเราสุดขั้วเหมือน สตรอว์เบอร์รีกับต้นประดู่ มันจะเข้ากันได้มั้ย"
"พ่อนี่ก็ ดูเปรียบเข้า" ฟองคำว่า
"ก็มันต่างกันจริงๆนี่" สินบอก
หนานปิงเหลือบไปเห็นใครบางคนที่กำลังมา
"จะว่าไปของแปลก...ที่ต่างกับนายแสนสุดขั้วก็ไม่มีได้มีแค่คนเดียวนะ"
สินกับฟองคำชะงักกันไป เมื่อหันไปมอง ม.ร.ว.เหมือนเดินเข้ามาไหว้
"สวัสดีค่ะคุณพ่อ คุณแม่ พ่ออุ๊ย คงไม่ว่าอะไรใช่มั้ยคะ ถ้าหนูมีเรื่องจะปรึกษา"
สิน ฟองคำ และหนานปิงชะงักไปเพราะแปลกใจเล็กน้อยว่าม.ร.ว.เหมือนมาหาทำไม
ม.ร.ว.เหมือนรินน้ำชาให้บรรดาผู้ใหญ่ด้วยท่วงท่าผู้ดี
"นี่เป็นชาชั้นดีจากอังกฤษที่หญิงจะพกไว้เสมอเวลาเดินทาง พ่ออุ๊ย คุณพ่อ คุณแม่ลองชิมดูนะคะ ถ้าชอบหญิงจะสั่งแบบเกรดเอคัดพิเศษ มาให้เลยค่ะ"
"ขอบใจนะจ๊ะ แต่ยังไม่ต้องทุ่มทุน เอ่อ สิ้นเปลืองมากขนาดนั้นหรอก ที่นี่เราก็พอจะมีชาดีๆ" สินบอก
"ไม่สิ้นเปลืองเลยค่ะ อะไรที่พ่ออุ๊ย คุณพ่อ คุณแม่ชอบ หญิงยินดีจะจัดหามาให้ หญิงเต็มใจจริงๆนะคะ"
"พวกฉันเชื่อ แต่ทีนี้มาเข้าเรื่องของคุณเถอะ ตกลงว่ามาคุยธุระเรื่องอะไร"
หญิงเหมือนชะงักไปนิดๆ แล้วยิ้มแบบเกรงใจ
ปุ๊กลุกซึ่งเป็นคนท้อง ยังเดินว่องไวกว่า และนำหน้าอิงค์กี้ที่พยายามผัดหน้าทาปากระหว่างเดินไปด้วย
"ป่านนี้ไม่รู้ยัยคุณหญิงประจบครอบครัวพี่แสนเค้าไปถึงไหน เห็นถือชาเดินไปที่บ้านใหญ่ มันต้องไปเอาหน้าแน่ๆ เร็วๆเข้าสิ" ปุ๊กลุ๊กว่า
"ก็ฉันยังสวยไม่เสร็จนี่ นี่ฟันก็ยังไม่ได้แปรงเลยด้วย" อิงค์กี้บอก
"ระหว่างสวยเสร็จ กับเสร็จมัน! เธอจะเอาอะไร"
"โอ๊ย ! ก็รีบอยู่นี่ไงล่ะ นังป้าหญิงนะ ถ้าแทงข้างหลังกันล่ะก็ คอยดู"
อิงค์กี้ซึ่งยังตื่นไม่สนิทดีเดินกระย่องกระแย่งตามปุ๊กลุกไป
ณ แปลงปลูกสตรอว์เบอร์รีของอันยาที่มีต้นไหลลงเสร็จสรรพเต็มแปลง อันยาปาดเหงื่อแต่ก็มองผลงานอย่างภูมิใจ แสนเดินผ่านมาเห็นอันยายังอยู่ก็อึ้ง เขาเห็นว่าลงไหลเต็มแปลงแล้วก็ยิ่งไม่อยากเชื่อ
แสนเดินมาแบบใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทำให้เกือบจะชนนั่นชนนี่อยู่หลายที สิงห์แอบมองก็ยิ้มเจ้าเล่ห์
"หงุดหงิดอะไรแต่เช้า?”
"ไม่ได้หงุดหงิด" แสนบอก
สิงห์ขำเบาๆ "เสียงหงุดหงิดชัดแบบนี้ ยังมีหน้ามาบอกว่าไม่หงุดหงิด"
แสนไม่สนใจ เขาทำทีเป็นสนใจงาน สิงห์ยิ่งแหย่
"ระวังน้า เค้ายิ่งเกลียดยิ่งเจอ!”
แสนหยุดจัดของ "ผมไม่ได้เกลียด!! แค่ไม่เข้าใจ ว่าทำไมเค้าถึงไม่ยอมเข้าใจอะไรซักที"
"ฉันว่าอันยา ก็คงอยากจะถามนายแบบนี้เหมือนกัน"
แสนได้ยินแล้วก็เดินหนีไปเลย สิงห์มองตามแล้วถอนใจ
"เหนื่อยมั้ย สู้กับใจตัวเอง" สิงห์เปรย
แสนเดินเข้ามาหยิบอุปกรณ์ทำไร่ เขาค้นชั้นวางกรรไกรตัดกิ่งทั้งหลาย อันยาเปิดประตูเข้ามา แสนได้ยินเสียงบานประตูเปิดซ้ำก็นึกว่าเป็นสิงห์
"ถ้าพี่จะมาพูดเรื่องอันยาอีก..ก็เชิญไปคุยกับคนอื่นเถอะ" แสนพูดโดยไม่ได้หันไปมอง
พอแสนหันไปมองก็ปรากฏว่าเป็นอันยา แสนจึงอึ้งไป
อันยาอึ้ง แสนรีบหันหน้าหนีไปหาของทำราวกับเป็นเรื่องสำคัญในชีวิต อันยาเข้ามาหยิบที่ตักดิน ระหว่างนั้นก็เลยชวนแสนคุยไปด้วย
"ฉันได้ข้อมูลมาว่าต้นสตรอว์เบอรีมีทั้งโรคทั้งแมลงกวนเยอะแยะเลย ท่าทางจะปลูกยากเหมือนกันนะ"
แสนหาของโดยทำเป็นไม่สนใจ อันยาพูดต่อ
"ขอสูตรสารสกัดสะเดาได้มั้ยคะ? จะทำเอาไว้ฉีดพ่นกันแมลง" อันยาบอก
แสนเงียบ อันยาเลยขยับมาใกล้
"นอกจากใช้สะเดาแล้ว ใช้อะไรอีกคะ?” อันยาถาม
แสนเงียบ เขาหยิบกรรไกรแล้วจะเดินออกไปโดยทำราวกับว่าไม่เห็นอันยาเลย อันยาทนไม่ไหวจึงเดินไปขวางหน้าแสน
"คุณแสน คุณก็ได้ยินที่ฉันพูดแล้วนี่คะ" อันยาขอดีๆ "ให้สูตรฉันไม่ได้เหรอคะ"
แสนนิ่งก่อนหันไป "แล้วทีผม ขอให้คุณกลับไป คุณยังไม่เห็นฟังผมเลย ทำไมห๊ะอันยา ทำไมต้องมาพยายามทำไร่ด้วย ! ทำไมคุณถึงไม่ยอมเข้าใจอะไรซะที"
"ก็เพราะฉันเข้าใจไง..ว่าทำให้คุณรู้สึกแย่แค่ไหน ฉันถึงยังกลับไปไม่ได้"
อันยามองแสนอย่างจะวอนขอความเห็นใจ
"เมื่อก่อนฉันทำร้ายคุณ ฉันรู้ว่ามันผิด!! แต่..สิ่งที่ฉันกำลังทำตอนนี้ ที่ฉันพยายามชดใช้ความผิดนั้นอยู่ คุณช่วยตอบฉันหน่อยสิ ว่าฉันทำผิดตรงไหน"
แสนอึ้งไปเพราะพูดไม่ออก เขามองอันยาที่พูดด้วยความเศร้ามาก
"ฉันพยายามขอโทษคุณ มันผิดตรงไหน?? ใช่! คุณมีสิทธิ์จะโกรธจะเกลียดฉัน! แต่ฉันก็มีสิทธิ์จะขอโทษ หนึ่งครั้ง สิบครั้ง ร้อยครั้ง พันครั้ง... ขอโทษ.. จนกว่าคุณจะเข้าใจว่าฉันเสียใจมากแค่ไหนกับเรื่องที่ผ่านมา ...ฉันขอโทษ..." อันยาเสียงแผ่วลง "ได้ยินมั้ยคะคุณแสน"
พูดจบอันยาก็เดินออกไปทั้งน้ำตา แสนมองตามไปอย่างเครียดเคร่ง และรู้สึกเจ็บไม่ต่างกัน
หญิงเหมือนบรรยายอย่างดิบดี เพื่อพยายามดันไอเดียตัวเองเป็นอย่างมาก
"หญิงคิดว่า การเป็นสะใภ้ที่ดีของที่ไร่แสนรัก ไม่จำเป็นต้องทำไร่อย่างเดียว คุณสมบัติอื่นก็จำเป็นไม่แพ้กันนะคะ"
หนานปิงมองตาสินและฟองคำ
"เธอเห็นว่า ที่ฉันให้พวกเธอทำไร่มันไม่ใช่วิธีการที่ดี?” หนานปิงถาม
"หญิงเคารพกติกาของคุณปู่นะคะ ถ้าเป็นสมัยก่อนเนี่ย เห็นด้วยร้อยเปอร์เซนต์ แต่ตอนเนี๊ยะที่ไร่ก็มีคนงานตั้งเยอะแยะแล้ว น่าจะเลือกสะใภ้จากความสามารถอย่างอื่นได้"
"แล้วความสามารถอย่างไหนเหรอจ๊ะ ที่คุณเห็นว่าดีกว่าทำไร่" ฟองคำว่า
ม.ร.ว.เหมือนยืดอกอย่างภูมิใจ "เดี๋ยวเนี๊ยะตามไร่และรีสอร์ทต่างๆไม่ได้มีจุดขายแค่วิวทิวทัศน์ และผลิตภัณฑ์อย่างเดียวนะคะ อาหารจานเด็ดก็เป็นสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวและเหล่านักชิมให้มาเยี่ยมชม"
ฟองคำ สิน และหนานปิงพยักหน้าเข้าใจ
"หญิงยอมรับว่าทำไร่ไม่เก่ง แต่ความสามารถด้านอื่น เช่นการครัว ที่ได้รับการอบรมมาจากที่วัง น่าจะนำมาใช้สร้างชื่อเสียงให้กับไร่แสนรักได้ไม่แพ้ใครเลยล่ะค่ะ"
ม.ร.ว.เหมือนพรีเซนต์ยังไม่จบดี เสียงปรบมือก็ดังขึ้น อิงค์กี้เดินออกมากับปุ๊กลุก
"น่าประทับใจจริงๆที่มาขายโปรเจ็คท์ของตัวเอง ตัดหน้าผู้เข้าแข่งขันคนอื่นอย่างน่าไม่อาย" อิงค์กี้ว่า
ม.ร.ว.เหมือนอึ้งที่อิงค์กี้และปุ๊กลุกโผล่มาขัดคอ
ม.ร.ว.เหมือนพูด "ฉันไม่ได้ตัดหน้าใคร แค่มานำเสนอสิ่งที่ดีกว่า เธอควรจะขอบคุณฉันด้วยซ้ำที่ช่วยหาวิธีไม่ให้เธอต้องตรากตรำทำไร่ เอ๊ะ หรือว่าทำไร่ก็ไม่ได้ ทำอาหารก็ไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง"
"นึกว่าฉันสู้หล่อนไม่ได้ใช่มั้ย !คอยดูฝีมือฉันก็แล้วกัน"
"โห มือไม้อ่อนแบบเนี๊ยะนะ ทำอาหารกันเป็น?” ปุ๊กลุ๊กว่า
อิงค์กี้กับม.ร.ว.เหมือนประสานเสียง "ท้องก็อยู่ส่วนท้อง ไม่ต้องยุ่ง"
ปุ๊กลุกชะงักไปว่าไม่ยุ่งก็ได้
"เอ้า อย่าเพิ่งเถียงกัน ไอ้ที่พูดๆมาน่ะ ต้องถามคนตั้งกติกาเค้าก่อนนะ ว่าเค้าเห็นด้วยกับพวกเธอมั้ย" สินหันไปทางหนานปิง
หนานปิงยังไม่ทันจะตอบ แสนกับสิงห์ก็เดินเข้ามาด้วยกัน
"ไม่เห็นด้วยครับ มันชักจะไปกันใหญ่แล้ว ที่ทุกคนต้องมาทำลงทุนลงแรงกันแบบนี้ ผมไม่เคยรับประกันนะครับ ว่าจะยอมรับผลการแข่งอะไรนั่น" แสนบอก
หนานปิงฟังแสนแล้วก็พยักหน้า "ก็ดีเหมือนกัน"
"พ่ออุ๊ย จะให้เราเลิกแข่งเหรอคะ" อิงค์กี้ถาม
"เปล๊า ฉันว่า แข่งทำอาหารก็ดีเหมือนกัน" หนานปิงบอก
สิน สิงห์ และฟองคำถึงกับอึ้งกันไป
หนานปิงพูดกับแสน "แกไม่ชอบใช่มั้ย ที่ทุกคนเค้ามาแข่งชิงตำแหน่งเมียแก งั้นแข่งทำอาหารครั้งนี้ฉันให้โอกาสแก เป็นคนตัดสิน"
"อะไรนะครับ" แสนถาม
"ถ้าแกกินอาหารของใครไม่หมด ก็ให้คนนั้นกลับบ้านไป ถ้าชอบใครก็เลือกซะ ทีนี้แกจะได้ไม่ต้องมาบ่นว่าตัวเองไม่เกี่ยว ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ" หนานปิงบอก
"แต่..ผมว่ามันยังไม่ถูกอยู่ดี ผมไม่อยากยุ่งกับเรื่องนี้ และไม่ต้องการเป็นกรรมการด้วย" แสนบอก
"งั้นก็เงียบซะ" หนานปิงว่า "ฉันกับไอ้สิน ตัดสินเอง ว่าใครจะได้กลับบ้าน"
หนานปิงมองขู่ไปทางม.ร.ว.เหมือน และอิงค์กี้แล้วพูด
"แบบนี้พวกเธอรับได้มั้ย หรือว่า ไม่มั่นใจ
ม.ร.ว.เหมือนฮึด "หญิงไม่มีปัญหาอยู่แล้วค่ะ ถ้าไม่มั่นใจหญิงก็ไม่เสนอกติกานี้แต่แรกหรอกค่ะ"
"ฉันก็ไม่กลัวเหมือนกัน" อิงค์กี้ว่า
"แต่ผมมีปัญหา" สิงห์บอก
"แกจะมีปัญหาทำไม ไม่ได้แข่งกับเค้าซะหน่อย" สินถาม
"แล้วที่อันยาเค้าลงแรงปลูกสตรอว์เบอร์รีไปแล้วล่ะ มันไม่ยุติธรรมกับเค้าเลย ที่จู่ๆจะมาเปลี่ยนกติกากันเองแบบนี้" สิงห์บอก
ม.ร.ว.เหมือนรีบพูด "แต่หญิงว่า ยุติธรรมค่ะ ใครเลือกทำอาหาร โหวต" ม.ร.ว. เหมือนยกมือ อิงค์กี้ยกตามอย่างไม่ยอมกัน “2 ใน 3 ของผู้เข้าแข่งขันเลือกวิธีการนี้ ถือว่า..เสียงข้างมากชนะค่ะ"
สิงห์อึ้งไปแล้วมองหนานปิง หนานปิงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ สิงห์ขมวดคิ้วงงว่าอะไรเนี่ย ม.ร.ว.เหมือนยิ้มพอใจ อิงค์กี้มีแววตาไม่ยอมแพ้ แสนถอนใจเพราะไม่รู้ว่าอะไรกันนักหนา
อันยาทำสีหน้างงมากๆ เพราะไม่อยากจะเชื่อ
"จะแข่งทำอาหารกันแทน ไม่ต้องปลูกสตรอว์เบอร์รีแล้ว ?”
"ใช่ เสียงโหวต 2 ใน 3" ม.ร.ว. เหมือนชี้ตัวเองกับอิงค์กี้ "ถือเป็นเอกฉันท์"
“3 ใน 4 ก็ได้ ฉันช่วยโหวตอีกคน" ปุ๊กลุ๊กบอก
อันยายังงงอยู่ "แต่..แต่ว่า ฉันลงสตรอว์เบอร์รีไปหมดแล้ว"
"ช่วยไม่ได้ ก็อยากไม่ฉลาดเอง" อิงค์กี้ว่า
อันยามองหน้าหนานปิงเหมือนจะขอความเห็นใจ
"ถ้าฉันไม่ยอมเปลี่ยนกติกาเดี๋ยวเค้าจะหาว่าเผด็จการ ในเมื่อเสียงข้างมากเค้าอยากทำอาหารความจริงไม่ต้องปลูกสตรอว์เบอร์รีต่อเธอก็สบายนะ ไม่ต้องมาเดินตากแดดใส่ปุ๋ย รดน้ำต้นไม้อีกตั้งเป็นเดือนๆ" หนานปิงบอก
"แล้วต้นไม้พวกนี้ จะให้ทำยังไงล่ะคะ" อันยาถาม
สิงห์พูดกับหนานปิง "ก็ให้คนงานมารด"
"เฮ่ย ไม่ต้องหรอก ในเมื่อไม่ใช้แล้ว ก็แล้วแต่บุญแต่กรรมไปนั่นแหละ" หนานปิงบอก
สิงห์งงไปอีกคน
"ตกลงว่าถ้าจะแข่งต่อ ก็มาแข่งทำอาหารก็แล้วกัน ถ้าไม่ทำ จะถือว่าเธอไม่เข้าแข่งแล้ว" หนานปิงบอก
"แปลว่า ต้องกลับบ้าน โกโฮมไปไงจ๊ะ ฉันแปลให้ !” ม.ร.ว. เหมือนว่า
หญิงเหมือนเย้ยเพราะรู้สึกตัวว่าเป็นต่อมากก่อนที่ทั้งสามสาวจะสะบัดบ๊อบเดินเรียงแถวตามหนานปิงออกไป
อันยาอึ้งเพราะงงว่าอะไรกันเนี่ย?
อ่านต่อหน้า 4
อันโกะ กลรักสตรอว์เบอร์รี่ ตอนที่ 10 (ต่อ)
ทางด้านสิงห์เดินมากับหนานปิงในขณะที่คนอื่นแยกไปหมดแล้ว สิงห์ยังคงหัวเสียอยู่
"พ่ออุ๊ย ไอ้ที่เปลี่ยนกติกามันก็ใจร้ายแล้วนะ"
หนานปิงกระแอม
สิงห์ว่า "ไม่ยุติธรรม"
"ดีขึ้นนิดหน่อย" หนานปิงบอก
"แล้วยังจะปล่อยให้ต้นไม้ตายอีกเหรอ พ่ออุ๊ยเองไม่ใช่เหรอที่บอกว่าต้นไม้ทุกต้นคือของขวัญจากธรรมชาติ ห้ามทิ้งๆขว้างๆ" สิงห์บอก
"อันนั้นน่ะฉันไม่ได้เป็นคนตัดสิน" หนานปิงบอก สิงห์ชะงัก "ต้นไม้จะถูกทิ้ง หรือว่ามีคนดูแล ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ฉัน"
"แล้วมันขึ้นอยู่ที่ใคร?”
สิงห์ถามแล้วก็ชะงักก่อนจะคิดตาม
อันยารดน้ำต้นไม้แปลงปลูกสตรอเบอร์รี่ สิงห์และหนานปิงมาซุ่มมอง สิงห์หันไปมองหนานปิงที่ยิ้มๆ
"แผนสูงนะเนี่ย" สิงห์ว่า
หนานปิงมองอันยาด้วยความพอใจและรู้สึกว่าแม่หนูคนนี้ใช้ได้
อันยาวางที่รดต้นไม้แล้วก็พักปาดเหงื่อ สิงห์เดินเข้ามาหา
"ทำไมยังมารดน้ำสตรอว์เบอร์รีอีก" สิงห์ถาม
"ใครจะปล่อยให้ตายได้ลงคอ ลงแรงไปเอาไหลมาเอง ปลูกเองกับมือ ฉันทิ้งไม่ลงหรอก" อันยาบอก
"เจ็บใจรึเปล่า ที่โดนสองคนนั้นบลั๊ฟเอาลับหลังแบบนี้" สิงห์บอก
อันยาหันไปเคาะที่รดน้ำที่เปื้อนดินให้ดินออกเต็มแรง จนสิงห์ยังสะดุ้ง
"คงไม่เจ็บเลยมั๊ง ฉันก็เป็นคนนะคุณสิงห์ โดนแกล้งมันก็จี๊ด แต่ว่า...ฉันพอแล้วล่ะ" อันยาว่า
"พอแล้ว?”
"อือ เรื่องฟัดกับคนอื่น ขัดแข้งขัดขากันเพื่อจะเอาชนะน่ะ พอแล้ว เมื่อก่อนฉันเคยอยากเอาชนะจนยอมทำทุกอย่าง แม้แต่เรื่องเลวๆ สุดท้าย ฉันซึ้งแล้วว่ารางวัลที่ได้มาจากการทำลายคนอื่น มันน่าอายมากกว่าน่าภูมิใจ"
"ถ้าไม่อยากชนะคนอื่น...แล้วจะเหนื่อยแข่งต่อเพื่อ ?” สิงห์ถาม
อันยาอึ้งไปก่อนจะบอก "ฉันอยากให้คุณแสนรู้ ว่าฉันเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมามากแค่ไหน แค่เค้าเข้าใจฉันมากขึ้นสักนิดก็ยังดี"
อันยาพูดด้วยความหวังอันน้อยนิด
โกมลดูบัญชีรายรับของร้านแล้วก็พอใจมาก
“4-5 เดือนมาเนี่ย ร้านเราขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลยนะครับกำนัน" ลูกน้องบอก
"จะไม่ดีได้ยังไง ก็ชาวบ้านหมดศรัทธากับด็อกเตอร์ขี้โกง แล้วก็พากันไม่เชื่อถือบริษัทเพียงพอดีไปด้วย ก็ต้องกลับมาง้อปุ๋ย ง้อยาเคมีของเราเหมือนเดิม" โกมลว่า
"เดี๋ยวผมไปเอารายการของสั่งของล็อตใหม่มาให้นะครับ"
"เออ รีบๆไปเอามา"
ลูกน้องเดินไปอีกทาง ขณะที่โกมลเดินเข้าไปในบ้าน
โกมลเดินเข้ามาด้านในอย่างอารมณ์ดีแล้วก็เห็นปรานีกำลังบอกเด็กรับใช้ในบ้าน
"พรุ่งนี้เอาสตางค์เนี่ย ไปโอนเข้าบัญชีพี่ปุ๊กลุกให้ทีนะ"
โกมลอารมณ์ขึ้น "ไม่ต้อง !”
ปรานีหันมาเห็นสามีหน้าตาเอาเรื่องจึงขยิบตาให้เด็กรับใช้ออกไปก่อน
"ยังจะไปให้เงินมันอีกทำไม" โกมลคิด "ไม่ใช่ซะละมั๊งที่บอกว่าไปทำงานน่ะ เอาที่อยู่มันมา" ปรานีอึ้ง "ฉันจะไปดูให้เห็นกับตาว่ามันไปทำงานจริงๆรึเปล่า"
ปรานีกลัวมาก แต่ไม่กล้าบอกความจริงในตอนนี้ "พี่.. ทำไมพี่ไม่เชื่อลูกบ้าง"
"ถามมาได้ มันเคยทำอะไรให้พ่ออย่างฉัน ที่เป็นถึงกำนันเนี่ย ภูมิใจบ้างมั้ย ก่อแต่เรื่องสร้างแต่ปัญหา อย่างมันไม่น่าเกิดมาเป็นลูกฉันเลย" โกมลบอก
ปรานีโกรธขึ้นมา "ก็เพราะพี่ชอบพูดแบบนี้ ลูกมันถึงได้อยากจะหนีไปไงล่ะ"
"อ๋อ นี่แตะต้องไม่ได้เลยใช่มั้ย"
"ถ้าพี่อยากจะไปเยี่ยมลูก ฉันไม่ว่าหรอก แต่นี่พี่จะไปจับผิดมัน ถามจริงๆ พี่น่ะเคยรัก เคยห่วงลูกเราบ้างมั้ย วันๆสนใจแต่เพื่อนฝูง แล้วก็ร้านปุ๋ยนั่น ลูกมันถึงได้เป็นแบบนี้"
"หนอย !! แล้วไม่ใช่เพราะร้านปุ๋ยของฉันรึไง พวกเธอถึงอยู่สุขสบายอย่างทุกวันเนี๊ยะมันเป็นหน้าที่ของแม่อย่างเธอที่ต้องเลี้ยงลูกให้มันดีๆ"
โกมลกำลังจะอารมณ์ขึ้นใส่เมียมากกว่านี้แต่ลูกน้องเข้ามาพร้อมรายการของที่จะสั่งพอดี
"รายการของมาแล้วครับ" ลูกน้องชะงักเมื่อเห็นว่าทั้งสองทะเลาะกันอยู่
"ก็เพราะยังงี้ไง ถึงไม่อยากอยู่บ้าน ทำงานซะยังสบายใจกว่า" โกมลว่า
โกมลเบือนหน้าหนีจากเมียแล้วเดินนำลูกน้องไป ปรานีร้องไห้ด้วยความช้ำใจ
โกมลเดินกระแทกกระทั้นออกมาอย่างอารมณ์เสีย แต่พอเดินมาได้สักพักเขาก็ต้องหยุด
ลูกน้องมองโกมล "กำนัน เป็นอะไรเปล่าครับ"
โกมลนิ่งแต่คำพูดของเมียยังดังก้องอยู่ในหัว
"ถามจริงๆ พี่น่ะเคยรัก เคยห่วงลูกเราบ้างมั้ย วันๆสนใจแต่เพื่อนฝูง แล้วก็ร้านปุ๋ยนั่น ลูกมันถึงได้เป็นแบบนี้"
โกมลโมโหและไม่อยากจะสนใจ แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมคำพูดของเมียถึงได้ติดอยู่ในใจของเขาแบบนี้
ฟองคำไม่อยากจะเชื่อ
"ทำอาหารไม่เป็น ?”
อันยาพยักหน้าด้วยสีหน้าเจื่อนๆ "จริงๆก็ ทำได้นิดหน่อยค่ะ" ฟองคำกับสิงห์รอฟังว่าคืออะไร "ไข่ต้มกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป"
ฟองคำกับสิงห์เก็ททันที
"นิดหน่อยจริงๆน่ะแหละ" ฟองคำว่า
"ค่ะ ฉันก็เลย..อยากจะมาขอใช้ครัวที่นี่ฝึกซ้อมได้มั้ยคะ แล้วถ้า...”
สิงห์ส่งสายตาให้อันยาให้กล้าๆพูดหน่อย
"เป็นไปได้ ก็อยากให้คุณน้า..ช่วยสอนให้ ได้มั้ยคะ" อันยาบอก
ฟองคำถึงบางอ้อ เธอมองสิงห์ที่ส่งซิกให้อันยาอย่างรู้ทัน
"แหม ก็โจทย์ของพ่ออุ๊ยยากจะตาย ให้ทำอาหารจากสตรอว์เบอร์รี คนทำอาหารไม่เป็นจะเหลือเหรอครับ" สิงห์ว่า
"แล้วมีเวลาแค่วันเดียวเนี่ย มันจะทันเหรอ" ฟองคำถาม
"ก็ยังดีกว่าไม่ได้ฝึกเลยนะครับ" สิงห์บอก อันยาหน้าเจื่อน "ผมว่ามีลุ้นน่า เพราะว่าคู่แข่งก็ดูไม่เก่งเท่าไหร่ ว่ามั้ยครับ"
ฟองคำกับอันยาชะงักแล้วคิดตาม
หน้าจอแท็บเล็ตของหญิงเหมือน โชว์ภาพอาหารไทยฟิวชั่นที่ดูน่ากินมาก และมีคนกดไลค์ไม่ใช่น้อย อิงค์กี้มองด้วยสายตาเย็นชา ส่วนปุ๊กลุกไม่อยากจะเชื่อ
"พวกเนี๊ยะฉันทำเองทั้งหมด คนตามไลค์หลักพันเลยนะ" ม.ร.ว. เหมือนคุย
"แค่ถ่ายภาพอาหารให้ออกมาดูน่ากิน เดี๋ยวนี้มีแอ็พช่วยเยอะแยะไป" อิงค์กี้ว่า
"อยากคิดอย่างนั้นก็ตามใจ อุตส่าห์บอกใบ้ให้รู้ว่ากำลังเจอกับอะไร พรุ่งนี้ฉันไม่ออมมือแน่ๆ" ม.ร.ว. เหมือนเดินเชิดไป
"ไม่น่าเชื่อ แม่นั่นต้องเอาของจากร้านอาหารมาถ่ายหลอกคนอื่นว่าทำเองแน่ๆ" ปุ๊กลุ๊กว่า
อิงค์กี้ไม่อยากยอมรับ แต่รู้ "นางทำเองจริงๆ" ปุ๊กลุกอึ้ง "ได้ยินว่าในวังบังคับจับมือหัดทำมาตั้งแต่เด็กๆ ฮึ่ย"
"ยังงี้เธอก็แพ้สิ" ปุ๊กลุ๊กบอก
"ไม่มีทาง ! ศักดิ์ศรีนางเอกอย่างฉัน เล่นบททำครัวมาตั้งเยอะแยะ ไปโชว์ทำอาหารตามรายการอาหารก็บ่อย ฉันก็มีทีเด็ดของฉันเหมือนกัน"
แม้จะกลุ้มแต่อิงค์กี้ก็มีแววตาที่มุ่งมั่นมากๆ
ฟองคำบอกด้วยความหนักใจ
"สูตรเด็ดน่ะมี"
อันยากับสิงห์ฟังอย่างมีหวัง
"แต่..คงจะบอกให้ไม่ได้หรอกนะ" ฟองคำบอก
สิงห์งง "อ้าว ทำไมล่ะครับ"
"ข้อแรก มันไม่ยุติธรรม"
"แล้วทีสองคนนั่นมาเปลี่ยนกติกาปุบปับ มันยุติธรรมเหรอครับน้าฟอง" สิงห์ว่า
"ข้อสอง ถ้าฉันบอกไป แล้วเธอเอาไปใช้แข่งขัน ทุกคนก็ต้องรู้ทันทีว่าสูตรมาจากฉัน" ฟองคำบอก
สิงห์และอันยาชะงักไป
"เธออาจจะถูกปรับแพ้ทันทีเลยนะ จริงมั้ย" ฟองคำถาม
"มันก็จริง แล้วถ้างั้น จะทำยังไงดี ?” สิงห์ครุ่นคิด
"ให้สอนจานเด็ดคงไม่ได้ แต่ถ้าช่วยฝึกพื้นฐานให้ ฉันก็ไม่ขัดข้อง" ฟองคำบอก อันยามองฟองคำอย่างไม่อยากจะเชื่อ "สนใจมั้ยล่ะ แล้วสูตรเด็ด เธอก็คิดต่อยอดจากพื้นฐานเอาเอง"
"ขอบคุณค่ะ แค่นี้ก็ดีมากแล้วค่ะ" อันยาฮึด "ฉันสู้เต็มที่เลยค่ะ"
ฟองคำยิ้มที่เห็นว่าอันยาเชื่อฟังดี สิงห์โล่งใจที่ฟองคำยอมช่วย
เวลาผ่านไป อันยาฝึกทำอาหารกับฟองคำโดยเริ่มตั้งแต่ล้างผัก ฟองคำสอนให้ผักใบต้องแกะใบออก ผักหัวต้องลอกเปลือกออกค่อยล้าง ผักที่ช้ำง่ายจึงต้องเบามือ
ฟองคำสอนให้อันยาใช้มีดหั่นวัตถุดิบ แต่อันยายังจับมีดไม่เป็น เธอหั่นหอมจนน้ำตาไหล หั่นพริกแล้วเผลอขยี้ตาตัวเองจนแสบ
อันยาเอาวัตถุดิบโยนลงกระทะ แล้ววิ่งหนีทันทีเพราะน้ำมันกระเด็นไปทั่ว อันยาผัดของในกะทะ อย่างเกร็งและกลัวน้ำมันจะกระเด็น อาหารจึงไหม้ไปครึ่งกะทะแล้ว ฟองคำรีบมาลดไฟแล้วยกกะทะออกให้ อันยาหน้าเจื่อน
อันยาคนซุปในหม้อด้วยความสบายใจ แล้วกลับมาหั่นผักที่ค้างไว้ที่เขียงต่อ หั่นๆไป น้ำในหม้อก็เดือดล้นออกมา อันยาหันไปเห็นก็ตกใจทำให้มือที่ยังง้างมีดค้างอยู่บาดนิ้ว อันยาร้องลั่น ฟองคำรีบเดินมาดู
นิ้วอันยาพันปลาสเตอร์ยาเอาไว้
"อยากให้นายแสนมาเห็นจริงๆ ว่าเพราะมันปากแข็ง ทำให้ใครบางคนต้องบาดเจ็บ" สิงห์ว่า
อันยาเอายาสีฟันพอกบริเวณที่น้ำมันกระเด็นใส่ "ฉันไม่อยากให้เค้ามาสงสาร หรือว่าสมเพทฉันหรอกค่ะ แค่อยากให้เค้าเห็นความตั้งใจของฉันมากกว่า" แต่แล้วเธอก็ไหล่ตก "แต่ฝึกมาตั้งครึ่งค่อนวันแล้ว ยังไปไม่ถึงไหนเลย"
อันยาชักจะจ๋อยขึ้นมาเมื่อเห็นว่าความหวังช่างดูริบหรี่ สิงห์มองอันยาอย่างเห็นใจ ฉับพลันเขาก็คิดอะไรขึ้นมาได้
"คุณไม่จำเป็นต้องทำอะไรที่มันยาก หรือเกินความสามารถหรอกนะ แค่ทำสิ่งที่ตรงใจกรรมการ ก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว"
อันยาฟังสิงห์แล้วคิดตาม
"น้าฟองสอนจานเด็ดให้คุณไม่ได้ แต่ผมบอกใบ้ให้คุณได้นะ ว่ากรรมการชอบอะไร คำใบ้คือ ความภูมิใจในท้องถิ่น”
อันยาฟังคำใบ้ด้วยความประหลาดใจ สิงห์แตะไหล่ให้กำลังใจอันยาก่อนจะลุกไป
"ความภูมิใจในท้องถิ่นเหรอ ?”
อันยาครุ่นคิด
ลดาโขลกน้ำพริกอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วเสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดัง ลดารับสายพอรู้ว่าหลานโทรมาเธอก็พูดด้วยเสียงเริงร่าขึ้นมาทันที
"หนูอัน ย่ากำลังคิดถึงอยู่พอดี ว่าไงนะจ๊ะ มีอะไรจะให้ย่าช่วยงั้นเหรอ?”
เวลาผ่านไป อันยาจดตามคำบอกของลดาอย่างตั้งอกตั้งใจ
"เรียบร้อยแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะคุณย่า นี่ถ้าไม่ได้คุณย่า อันแย่แน่ๆ"
ลดาพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ
"ได้สูตรเด็ดจากย่าไปแล้ว อย่าให้เสียชื่อย่าล่ะ ใช้สเน่ห์ปลายจวั..เอ่อ" ลดาหันไปเห็นสาก "ปลายสากเนี่ย มัดใจพ่อแสนให้อยู่หมัดเลยนะจ๊ะ"
รับทราบค่ะคุณย่า บางทีสูตรของคุณย่า อาจจะทำให้เค้านึกถึง ตอนที่พวกเราเคยกินข้าวด้วยกัน แล้ว…ใจอ่อนกับอันบ้างก็ได้ บางทีนะคะ"
อันยาแอบมีความหวังอยู่ลึกๆ
หนานปิงและสินเดินออกมารับอากาศยามเช้าด้วยกันด้วยหน้าตาสดชื่น
"วันนี้จะได้ชิมฝีมือพวกสาวๆ แค่คิดกระเพาะมันก็เต้นตึ้กตั้ก ตื่นเต้นไปจนถึงลำไส้แล้ว" สินบอก
"มากไป" แล้วหนานปิงกลับบอก "แต่ก็...ชักจะเปรี้ยวปากเหมือนกันแฮะ"
สองพ่อลูกหัวเราะคิกคัก ฟองคำเดินออกมาส่ายหน้า
"เฮ้อ น่าสงสารพวกสาวๆ" ฟองคำแขวะสิน "หลงกล คนเจ้าเล่ห์ซะแล้ว"
"เปล่าซะหน่อย พ่อกับฉันตั้งใจจะให้ไอ้แสนมันตัดสิน แต่มันไม่ยอมตัดสินเอง ทำไงได้ล่ะ"
แสนเดินออกมาด้วยมาดเตรียมออกไปทำงาน
"เอ้า มาพอดี คิดดีแล้วเหรอไอ้แสน ที่จะให้พ่อกับพ่ออุ๊ยเป็นคนตัดสินใจเลือกผู้หญิงให้แกเนี่ย" สินว่า
"ผมบอกแล้วไงครับ ว่าเรื่องนี้ผมไม่เกี่ยว ถึงผลการแข่งจะออกมาเป็นยังไง ผมก็ไม่รับรองอะไรทั้งนั้น"
"แกก็ทำได้อยู่แค่นี้แหละ พูดแต่ว่าไม่เกี่ยวๆ ยังไงคนชนะ เค้าก็ต้องหวัง ต้องรอแกอยู่ดี" หนานปิงบอก
"พ่ออุ๊ย ผมขอร้องล่ะ อย่าทำแบบนี้เลยนะครับ พ่ออุ๊ยจัดการแข่งแบบนี้ ไปทำให้พวกหวังอะไรกันผิดๆ มันดีแล้วเหรอครับ" แสนบอก
"แสน แกมองว่าฉันทำไม่ถูก แต่สิ่งที่แกทำ ก็คือไม่ทำอะไรเลย ได้แค่หนีอย่างเดียว" หนานปิงว่า
แสนอึ้ง
หนานปิงพูดต่อ "ถ้าแกคิดว่าตัวเองมีวิธีการที่ดีกว่าฉัน ก็ช่วยทำให้เห็นหน่อยสิ ว่าที่ถูกน่ะมันเป็นยังไง"
แสนถึงกับอึ้งไปกับสิ่งที่หนานปิงพูด
มุมแข่งขันมีโต๊ะสำหรับแข่งวางเตรียมอยู่ อันยามาเช้ากว่าคนอื่น เธอเอาข้าวของมาจัดวาง อันยาฮัมเพลงพลางจัดเตรียมวัตถุดิบไปอย่างอารมณ์ดี ปุ๊กลุกโผล่มาแอบดูแล้วก็คิด แล้วปุ๊กลุ๊กก็เข้าไปหาคนงานที่กำลังจะยกเข่งที่ใส่หม้อและอุปกรณ์ต่างๆอยู่
"มานี่ ฉันช่วยเอง" ปุ๊กลุ๊กบอก
"ท้องไส้อยู่ ไม่เป็นไรหรอกจ้า"
"ฉันอยากออกกำลังบ้างไงล่ะ ให้ฉันช่วยเถอะน่ะ" ปุ๊กลุ๊กดึงของมาเลย
ปุ๊กลุกหิ้วเข่งใส่อุปกรณ์มาจนใกล้จะถึงตัวอันยาแล้วก็แกล้งวางลง
"โอ๊ย...หนักจัง ไม่ไหวแล้ว"
อันยาหันมามอง
"แถวนี้ ไม่มีคนมีน้ำใจเลยหรือไงนะ" ปุ๊กลุ๊กว่า
อันยาถอนใจ "ถ้ารู้ตัวเองว่ายกไม่ไหว ไปแย่งของมาจากคนงานทำไมล่ะ"
ปุ๊กลุกเหวอที่อันยาเห็น แต่ก็แอบลุ้นว่าอันยาจะติดกับมั้ย
"เฮ้อ...ยกไปตรงโน้นใช่มั้ย ทีหลังก็อย่าทำอะไรเกินตัวอีกล่ะ"
อันยายกเข่งไปให้ในที่สุด ปุ๊กลุกมองตามอันยา พอเห็นว่าอันยาไปแล้วก็ยิ้มกริ่ม
ปุ๊กลุกปราดมาที่โต๊ะอันยาที่วางวัตถุดิบไว้ "คนโง่ก็แพ้คนฉลาดวันยันค่ำ"
ปุ๊กลุกจัดแจงหยิบเกลือขึ้นมาโรยลงไปในส่วนผสมที่อันยาเตรียมไว้ พอโรยจนสะใจแล้วเธอก็ย่องจากไป
ม.ร.ว.เหมือนเดินนวยนาดมือเปล่ามาโดยมีคนงานตามหลังถือของให้ พอมาถึงเธอก็ให้เงินคนงาน คนงานยกมือไหว้และจะเดินไป ม.ร.ว.เหมือนมองโต๊ะแรกที่มีคนมาถึงก่อนอย่างแปลกใจแล้วก็เรียกคนงาน
"เดี๋ยว รู้รึเปล่า โต๊ะนั้นของใคร"
"คุณอันยาค่ะ"
ม.ร.ว.เหมือนพยักหน้า "ไปได้แล้ว"
พอคนงานไป ม.ร.ว.เหมือนก็ย่องเข้าไปใกล้โต๊ะของอันยาแล้วกวาดตาสำรวจ
"คนบาปอย่างหล่อน ไม่สมควรได้แข่งด้วยซ้ำไป"
ม.ร.ว.เหมือนหยิบพริกสดในกล่องวัตถุดิบของตัวเองออกมาแล้วสอดไส้เข้าไปในสตรอว์เบอร์รีที่อันยาเตรียมไว้ ห่างออกไป อิงค์กี้เพ่งมองม.ร.ว.เหมือนอยู่ห่างๆ
อิงค์กี้เปรย "มาเตรียมของแต่เช้าเลยนะยะ ยัยป้า"
ม.ร.ว.เหมือนยัดไส้พริกเสร็จก็ปัดมือแล้วก็ชักจะรู้สึกแสบๆ จึงเดินไปหาที่ล้างมือ อิงค์กี้รีบย่องไปที่โต๊ะที่อันยาวางวัตถุดิบไว้เพราะเข้าใจว่าเป็นของม.ร.ว.เหมือน
"ดูซิ ว่าความอร่อยแบบชาววังจะสู้ความซ่าส์ของพริกไทยอินเตอร์ได้รึเปล่า"
อิงค์กี้เอาพริกไทยจากกล่องวัตถุดิบของตัวเองโรยลงไปผสมโรงในวัตถุดิบของอันยาด้วย
อันยา ม.ร.ว.เหมือน และอิงค์กี้ทุกคนประจำที่ตรงโต๊ะทำอาหารของตัวเอง แสนนั่งหน้านิ่งรออยู่ที่โต๊ะฝั่งกรรมการ ขณะที่สินกับหนานปิงทำหน้าระรื่น ใกล้ๆกันมีฟองคำกับสิงห์ยืนอยู่ ปุ๊กลุกก็คอยสังเกตการณ์ไม่ห่าง
สิงห์มองแสนแล้วซุบซิบกับฟองคำ "พอโดนพ่ออุ๊ยท้าก็ยอมมานั่งตัดสินจนได้ แต่หน้าตาไม่เหมือนมาชิมอาหาร เหมือนมารอประหารคนมากกว่านะครับ"
ฟองคำเหลือบมองไปทางแสนด้วยสีหน้าเป็นห่วงนิดๆ
"พวกสาวๆเหนื่อยทำอาหารกันแทบตาย ไม่ใช่ว่าตาแสนตัดสินให้กลับบ้านกันไปหมดนะ" ฟองคำว่า
ฟองคำและสิงห์มองสีหน้าแสนแล้วก็ชักจะหวั่นๆ
"ต่อไปนี้จะเป็นการแข่งขันทำอาหารจากสตรอว์เบอร์รี แสนลูกชายฉันจะเป็นคนตัดสินเอง ว่าอาหารของใครโดนใจเค้ามากที่สุด คนนั้นก็จะได้รับเลือกให้อยู่ที่ไร่นี่ต่อ" สินบอก
ม.ร.ว.เหมือนเชิดหน้า อิงค์กี้ก็ยืดบ้างอย่างไม่ยอมแพ้
"แต่ถ้านายแสน ไม่กินอาหารของใคร ผู้เข้าแข่งขันรายนั้นก็ต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้าน"
ม.ร.ว.เหมือนกับอิงค์กี้ทำสีหน้าประหนึ่งว่าไม่ใช่ตัวเองแน่ๆ ส่วนอันยาก็ยังฮึดอยู่
อิงค์กี้สงสัยขึ้นมา "คุณพ่อ พ่ออุ๊ยคะ ทำไมคนชนะถึงไม่ได้เป็นสะใภ้ไปเลยล่ะคะ"
"วอนซะแล้ว ! ฉันอุ้มท้องลูกพี่แสนอยู่ทั้งคน คนอื่นจะมาเป็นเมียพี่แสนได้ยังไงล่ะ" ปุ๊กลุ๊กว่า
หนานปิงเบรคปุ๊กลุก "ก็ต้องพิสูจน์เรื่องนี้ด้วย ว่ามันจริงหรือไม่จริง สำหรับคนชนะ ถ้ารักตาแสนก็ต้องรอได้ จริงมั้ย" หนานปิงพูดกับปุ๊กลุก "ส่วนเธอ ถ้าที่พูดมาไม่เป็นความจริง ก็จะต้องหลีกทางให้กับคนชนะเค้า"
ปุ๊กลุกอึ้งเพราะหน้าเสียไปอีกหนึ่งดอก แต่ก็พยายามไม่แสดงอาการออกมา
"ถ้าพร้อมแล้ว งั้นก็...เริ่มแข่งได้"
สิ้นคำของสิน แต่ละคนก็ลงมือทำอาหารกันทันที
เวลาผ่านไป หญิงเหมือนเอาสตอว์เบอร์รีกับดอกไม้ชนิดที่กินได้และผลไม้บางอย่างมาเตรียม แล้วหั่นวัตถุดิบเครื่องยำอย่างคล่องแคล่วก่อนจะปรุงน้ำยาด้วยท่าทางมืออาชีพ
อิงค์กี้ลวกเส้นพาสต้า หั่นสตรอว์เบอร์รี ทำน้ำซอส ด้วยท่าทางที่ดูไม่ทะมัดทะแมงเท่าม.ร.ว.เหมือนแต่ก็ไม่มีอะไรผิดพลาด
อันยาตักวัตถุดิบสำหรับทำน้ำพริกหยอดใส่ครก วัตถุดิบทางเหนือ เช่น แคบหมู มะเขือเทศ และมีสตรอว์เบอร์รีสำหรับใส่ในน้ำพริกรวมทั้งที่เป็นเครื่องเคียงวางอยู่
ขณะทำอาหารอยู่ อิงค์กี้ก็เหลือบมองม.ร.ว.เหมือนที่ทำอาหารอย่างสง่าและมั่นใจ
"มั่นใจไปเถ๊อะ" อิงค์กี้เหล่มองอาหารของม.ร.ว.เหมือนชัดๆ "เอ๊ะ ทำไมไม่เหมือนเมื่อเช้านี้ล่ะ" อิงค์กี้ชักมึน "แล้วเราเอาพริกไทยใส่ให้ใคร?”
อันยาโขลกน้ำพริกอย่างเมามันและไม่ห่วงสวย สินซุบซิบกันกับหนานปิง
"ท่าตำน้ำพริกแรงดีใช้ได้นะเนี่ย" สินบอก
สินชมไม่ทันไร อันยาก็ตำน้ำพริกกระเด็นเปื้อนหน้าซะแล้วแต่เธอก็หาได้แคร์ไม่ อันยาตำต่ออย่างเมามันส์ สินกับหนานปิงมองด้วยความเอ็นดู
แสนทำเป็นไม่อยากจะมอง แต่แล้วเขาก็อดเหลือบมองอันยาไม่ได้ แสนเห็นอันยาดูตั้งใจมากๆแบบไม่ห่วงสวย สายตาของแสนก็อ่อนลงอย่างไม่อยากจะเป็น ฟองคำกับสิงห์เฝ้ามองการแข่งที่มีสีสันนี้อย่างเพลิดเพลิน ขณะที่ปุ๊กลุกยิ้มอย่างมีเลศนัย
สินมองนาฬิกาแล้วบอกทุกคน
"เหลือเวลาอีกแค่ 1 นาที เร่งมือกันหน่อยนะ"
อิงค์กี้และม.ร.ว.เหมือนต่างก็กำลังจัดจานอาหารกันอย่างสาละวน อันยาที่กำลังจะชิมอาหาร ได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไป เธอวางช้อนโดยไม่ได้ชิมแล้วมาเร่งจัดจานแทน
"เอาล่ะ หมดเวลา ขอให้ผู้เข้าแข่งขันทุกคนวางมือทันที" สินบอก
ผู้เข้าแข่งขันวางมือ แต่ละคนดูเหน็ดเหนื่อยแต่ก็มีทีท่ามั่นใจกันมาก
"ใครจะออกมานำเสนอเมนูอาหารจากสตรอว์เบอร์รีก่อนเป็นคนแรก"
ม.ร.ว.เหมือนและอิงค์กี้มองกันและกัน แล้วม.ร.ว.เหมือนก็ชิงยกมือก่อน อิงค์กี้รีบยกตามแต่ช้ากว่าจึงเจ็บใจเบาๆ ม.ร.ว.เหมือนยกจานเดินออกมาพรีเซนต์
"ยำสตรอว์เบอร์รีพฤกษาแสนรักค่ะ"
ทุกคนที่ได้เห็นต่างก็ตื่นตะลึงกับความงามของอาหารที่มีสีสันสวยงามจากสตรอว์เบอร์รี ผลไม้และดอกไม้หลายชนิด
"ตำรับนี้ หญิงดัดแปลงมาจากสูตรยำผลไม้ทรงเครื่องของทางวัง น้ำยำหอมและกลมกล่อมอย่างมีเอกลักษณ์ ไม่เหมือนที่ไหนแน่ๆค่ะ" ม.ร.ว. เหมือนให้สินและหนานปิงลองชิม
"อืม ไม่ธรรมดา อร่อยจริงๆ" สินบอก
ม.ร.ว.เหมือนยิ้มจนแก้มแทบปริ
อิงค์กี้หน้าตึงด้วยความหมั่นไส้ แล้วก็ถือจานของตัวเองออกไปพรีเซนต์บ้าง จานของอิงค์กี้เป็นพาสต้าราดด้วยซอสที่มีสตรอว์เบอร์รีเป็นส่วนผสม
"พาสต้าซอสสตรอว์เบอร์รีแสนรักค่ะ" อิงค์กี้คุยข่ม "อิงค์กี้ได้สูตรของน้ำซอสมาจากเชฟมิชลินในโรงแรมห้าดาวเลยนะคะ" อิงค์กี้ตักให้สินและหนานปิงชิม
"น้ำซอส รสชาดดีจริงๆแฮะ"
ม.ร.ว.เหมือนหน้าเสีย เธอมองอิงค์กี้ด้วยสายตาอาฆาต อิงค์กี้ลอยหน้าลอยตา อันยาหยิบจานของตัวเองไปพรีเซนต์บ้าง
อาหารของอันยาเป็นน้ำพริกซึ่งมีสตรวอ์เบอร์รีเป็นส่วนประกอบ และมีสตรวอ์เบอร์รีและผักพื้นเมืองเป็นเครื่องเคียง
"น้ำพริกล้านนาสูตรพิเศษใส่สตรวอ์เบอร์รีค่ะ" อันยาบอก
ม.ร.ว.เหมือนและอิงค์กี้มองอาหารอันยาด้วยอาการหยามเหยียดทันที
"ง่อย"
"บ้าน พื้นมากๆ"
อันยาพยายามไม่ใส่ใจกับเสียงค่อนแคะ
สินกลับชม "แหม เห็นคนที่อื่นใช้ของพื้นบ้านเรามาทำอาหารแบบนี้..มันปลื้ม ฉันน่ะชอบกินน้ำพริกซะด้วย"
อันยายิ้มอย่างมีกำลังใจขึ้นมาทันที อิงค์กี้กับม.ร.ว.เหมือนชักสีหน้า
"ไหนลองชิมดูหน่อยซิ" สินตักเข้าปากแล้วก็อึ้งไปเพราะแทบจะกลืนต่อไม่ไหว
อันยามองอาการของสินก็ชะงักทันที ฟองคำกับสินก็แปลกใจเหมือนกัน
"ไง อร่อยจนพูดไม่ออกเลยเหรอ" หนานปิงจะตักชิมบ้าง
"คือ..อย่า อย่ากินครับคุณพ่อ..." สินบอก หนานปิงแปลกใจ "คือรสชาด..ไม่เหมาะกับเด็ก สตรีและคนชราน่ะครับ..เชื่อ.. เชื่อผม"
อันยาแปลกใจมากว่าทำไมสินพูดและทำหน้าตาแบบนั้น ม.ร.ว.เหมือนหัวเราะคิกคักด้วยความสะใจ อิงค์กี้นึกได้
"ของยัยอันยาสิเนี่ย ที่เราเติมพริกไทยลงไป ?”
อันยาเห็นอาการของสินแล้วก็คิด เธอกลับไปที่ครกของตัวเอง ตักน้ำพริกที่ติดครกมาชิมดู แล้วก็แทบช็อค
อาหารทั้งสามสูตรถูกยกมาตรงหน้าแสน
"ตาแกแล้ว รักใครชอบใครก็..กินซะให้หมด" สินบอก
แสนมองอาหารทั้งสามจานแล้วก็ชั่งใจคิด
ม.ร.ว.เหมือน และอิงค์กี้ยืนลุ้นส่งสายตามาทางแสนอย่างสุดฤทธิ์ ปุ๊กลุกมองอย่างหมั่นไส้ สินบอกแสนเสร็จก็มาคุยกับหนานปิง ฟองคำ และสิงห์ สินบอกด้วยท่าทางกังวล
"หนูอันยา คราวนี้คงรอดยาก ปกติแสนมันก็โกรธอยู่แล้ว แล้วยังทำอาหารออกมา..รสชาด..." สินพูดไม่ออก
"รสชาดยังไงเหรอครับ" สิงห์ถาม
ทันใดนั้นอันยาก็รีบวิ่งมาด้วยหน้าตาตื่นเพราะเป็นห่วงแสน
"กินไม่ได้ค่ะ ฉัน ฉันขอน้ำพริกคืน อย่าเพิ่งกินนะคะคุณแสน"
"ต๊าย นี่คงรู้ตัวแล้วสิ ว่าน้ำพริกนรกแตกมาก อาจจะทำคนกินเป็นอันตรายได้" ม.ร.ว. เหมือนค่อนขอด
"ถ้าอย่างนั้น ก็ต้องโกโฮมไปก่อนคนแรกเลยนะ ถือว่าแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้ชิม"
อันยาอึ้งๆ เมื่อเจอสองสาวตอกเข้าให้ เธอมองหน้าแสนด้วยสีหน้าจ๋อยมากๆ อันยาลุ้นว่าแสนจะใจอ่อนหรือไม่ แต่แล้วแสนก็หันไปตักอาหารของม.ร.ว.เหมือนมากินแทน
"อุ๊ย เค้าทานของฉัน ทานให้เยอะๆให้หมดเลยนะคะ"
อิงค์กี้หน้าเสีย แต่แล้วแสนก็ตักชามของอิงค์กี้มากินด้วยด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์พอๆกัน
"ด็อกเตอร์ น่ารักที่สุด ทานให้หมดเลยนะคะ" อิงค์กี้บอก
ม.ร.ว.เหมือนกับอิงค์กี้บลั๊ฟกันให้แสนกินอาหารของตัวเอง อันยามองถ้วยน้ำพริกและจานผักของตัวเองที่วางอยู่อย่างเงียบเหงาโดยที่แสนไม่สนใจเลยสักนิดเดียว ฟองคำกับสิงห์มองอันยาอย่างเห็นใจ
"มันเป็นแบบนี้ได้ยังไงจ๊ะ หนูอันยา" ฟองคำถาม
"หนูพลาดเองค่ะ หนูไม่ได้ชิม" อันยามองแสนที่กินแต่อาหารของคนอื่นด้วยความน้อยใจ "แต่ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องเก็บออกก็ได้ เพราะยังไง คุณแสนก็คงไม่กินอยู่แล้ว"
อันยาพูดเสร็จก็รู้สึกน้อยใจมากๆ จนยืนอยู่ต่อไม่ไหว เธอต้องรีบเดินออกไปจากตรงนั้น
หญิงเหมือน อิงค์กี้และปุ๊กลุก มองอันยาที่ถอนตัวออกไปด้วยความสะใจ
อ่านต่อตอนที่ 11