เอเจนซีส์ - จีนเริ่มต้นขั้นตอนท้ายสุดของกระบวนการเปลี่ยนถ่ายอำนาจจากผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์รุ่นที่ 4 สู่รุ่นที่ 5 ด้วยการเปิดประชุมรัฐสภาประจำปีในวันอังคาร (5 มี.ค.) โดยที่นายกรัฐมนตรี เวิน เจียเป่า กล่าวรายงานว่าแดนมังกรยังคงตั้งเป้าเศรษฐกิจขยายตัวปีนี้ที่ 7.5% พร้อมกันนั้นก็ปักธงต่อสู้คอร์รัปชั่น นอกจากนั้นยังมีการเปิดเผยว่ามีการอัดฉีดงบประมาณการทหารเพิ่มขึ้นในอัตราเลข 2 หลัก ทว่างบด้านความมั่นคงภายในก็ยังคงสูงกว่างบกลาโหมเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน
ในการกล่าวรายงานกิจการรัฐบาลของเวิน ตอนช่วงเช้าวันแรกของการเปิดประชุมเต็มคณะประจำปีของสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ หรือรัฐสภาของจีนคราวนี้ เขายังได้เรียกร้องให้แดนมังกรดำเนินการพัฒนาอย่างสมดุลมากขึ้น
การทำตามธรรมเนียมปฏิบัติของผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคราวนี้ ถือเป็นครั้งสุดท้ายของเวิน โดยที่การประชุมรัฐสภาเต็มคณะหนนี้ซึ่งน่าจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์นั้น จะมีการประทับตรารับรองให้ประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ก้าวลงจากตำแหน่ง โดยรองประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ขึ้นนั่งเก้าอี้แทน เช่นเดียวกับประทับตราให้ เวิน ลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรองนายกฯหลี่ เค่อเฉียง ขึ้นแทนที่
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้เมื่อปลายปี 2012 ที่ผ่านมา หู ในฐานะของผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนรุ่นที่ 4 ก็ได้ก้าวลงจากตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรค เพื่อให้ สี ผู้นำพรรครุ่นที่ 5 ขึ้นเป็นแทนไปแล้ว
นอกเหนือจากตำแหน่งประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรี ในโอกาสการประชุมรัฐสภาเต็มคณะซึ่งมีผู้แทนประชาชนเข้าร่วมประมาณ 3,000 คนคราวนี้ จีนยังจะเปลี่ยนถ่ายผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ในภาครัฐเป็นจำนวนมาก จึงเป็นที่สนใจติดตามจับตามองของผู้สังเกตการณ์ทั้งภายในแดนมังกรและนานาชาติ
สำหรับรายงานความยาว 29 หน้าของเวินฉบับนี้ ซึ่งต้องได้รับการอนุมัติอย่างเป็นเอกฉันท์จากคณะผู้นำจีนมาก่อนแล้ว มีทั้งส่วนที่พูดถึงความสำเร็จที่ผ่านมาและแผนการต่างๆ ที่จะดำเนินการต่อไปในอนาคต
เขาเริ่มต้นด้วยการพูดถึงความสำเร็จต่างๆ ในยุคสมัยของเขา เป็นต้นว่า การส่งยานอวกาศพร้อมนักบินขึ้นสู่อวกาศ, เรือบรรทุกเครื่องบินลำแรกของจีน, ระบบนำทางผ่านดาวเทียมที่เป็นของจีนเอง, เครือข่ายรถไฟความเร็วสูง, และการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก 2008
กระนั้น ท่ามกลางความสำเร็จเหล่านี้ ประชาชนกลับกำลังมีความวิตกกังวลมากขึ้นจากปัญหามากมาย ดังเช่น การทุจริตคอร์รัปชัน, ปัญหามลพิษ, และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่กลับยิ่งถ่างช่องว่างระหว่างคนรวย-คนจน
คณะผู้นำชุดใหม่ที่นำโดย สี ได้ก่อให้เกิดความหวังขึ้นมากจากการโฆษณาป่าวร้องในระหว่างช่วง 4 เดือนแรกที่ขึ้นบริหารพรรคคอมมิวนิสต์ว่า จะสร้างรัฐบาลที่ขาวสะอาดยิ่งขึ้น และทุ่มเทความพยายามเพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้สูงขึ้น
รายงานของเวินในคราวนี้ก็มีน้ำเสียงในทำนองเดียวกัน ด้วยการให้สัญญาที่จะถือเรื่อง “การปรับปรุงยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นจุดเริ่มต้นและเป็นจุดหมายแห่งกิจการทั้งหลายทั้งปวงของรัฐบาล” รวมทั้งยังได้ระบุว่าเรื่องมลพิษในอากาศ, ระบบรักษาพยาบาล, ที่อยู่อาศัยของประชาชน คือภาคส่วนสำคัญที่สุดที่จะต้องปรับปรุงแก้ไข
“เราจักต้องต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชัน, ทำให้ความซื่อสัตย์ในวงการเมืองยิ่งแข็งแกร่ง … และทำให้แน่ใจว่าพวกเจ้าหน้าที่ทั้งหลายจะต้องมีความเที่ยงตรง, รัฐบาลมือสะอาด, และกิจการทางการเมืองทั้งหลายก็ดำเนินไปด้วยความซื่อสัตย์” เขากล่าวในตอนหนึ่ง
เกี่ยวกับเป้าหมายทางเศรษฐกิจนั้น เมื่อปี 2012 ที่ผ่านมา จีนมีอัตราเติบโต 7.8% ซึ่งถือว่าเลวร้ายที่สุดในรอบ 13 ปี ทว่าก็ยังคงล้ำเกินตัวเลขเป้าหมายที่กำหนดเอาไว้ในการประชุมรัฐสภา เวินระบุว่า สำหรับปี 2013 นี้ เป้าหมายยังอยู่ที่ 7.5% เท่าเดิม พร้อมกับสำทับว่า การเพิ่มการบริโภคภายในประเทศ จะเป็นยุทธศาสตร์ระยะยาวสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนต่อไปในอนาคต
“เพื่อขยายการบริโภคในระดับบุคคล เราควรต้องเพิ่มพูนความสามารถในการบริโภคของประชาชน ทำให้ความคาดหวังเกี่ยวกับการบริโภคของพวกเขาอยู่ในภาวะมีเสถียรภาพ, ปรับปรุงยกระดับภาวะแวดล้อมแห่งการบริโภคของพวกเขา, และทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจได้รับการขับดันจากการบริโภคให้มากยิ่งขึ้น” เวินระบุ
ปฏิรูประบบทะเบียนครัวเรือน
ถึงแม้จีนประกาศอย่างเป็นทางการว่านับถึงปี 2011 พลเมืองของตนประมาณ 51% ทีเดียวเป็นชาวเมือง ทว่าตัวเลขนี้ได้รวมเอาคนงานอพยพที่เคลื่อนย้ายจากเขตชนบทจำนวนราว 200 ล้านคนเข้าไว้ด้วย คนงานเหล่านี้โดยทั่วไปแล้วต้องทำงานที่ได้ค่าจ้างต่ำในเมืองใหญ่ๆ, ไม่ได้รับการยอมรับให้เป็นผู้ตั้งถิ่นฐานในเขตเมืองตามปกติจึงขาดไร้สิทธิต่างๆ จำนวนมาก, และดังนั้นพวกเขาจึงแทบไม่มีเงินทองที่จะจับจ่ายใช้สอยเพื่อการบริโภค
เวินกล่าวในรายงานคราวนี้ว่า จำเป็นต้องเร่งรัดปฏิรูประบบการจดทะเบียนครัวเรือนซึ่งยังเต็มไปด้วยข้อจำกัดต่างๆ มากมาย เพื่อขับดันกระบวนการเพิ่มขยายเขตชุมชนเมือง ซึ่งเขาย้ำว่าจะเป็นเครื่องสนับสนุนการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ในเวลาส่วนใหญ่ของช่วงระยะ 10 ปีแห่งการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเวิน เขาให้ความสำคัญลำดับต้นๆ แก่เรื่องการปรับสมดุลแห่งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยมุ่งถอยออกมาจากโมเดลการพัฒนาที่มุ่งขับเคลื่อนด้วยการลงทุนและการส่งออก โมเดลดังกล่าวถึงแม้มีบทบาทให้เศรษฐกิจแดนมังกรเติบโตในอัตราเลข 2 หลักมาตลอด 3 ทศวรรษและยกระดับจีนกลายเป็นประเทศเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก ทว่าก็ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ มากมาย
ปัจจุบันกำลังมีความวิตกกันมากขึ้นว่า การมุ่งลงทุนในด้านสินทรัพย์ถาวร เช่น การขยายโรงงาน และสิ่งสาธารณูปโภคต่างๆ (ทั้งที่ปัจจุบันก็อยู่ในระดับเท่ากับประมาณ 50% ของจีดีพีและทำให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) แสดงความกังวลอยู่แล้วนั้น) สิ่งที่จะได้มาก็เพียงแต่จะเพิ่มความไร้ประสิทธิภาพของภาครัฐของจีนให้มากขึ้นเท่านั้น
โดยที่ความไร้ประสิทธิภาพของการลงทุนขยายโรงงานต่างๆ นี่เอง กำลังก่อให้เกิดปัญหามลพิษร้ายแรง และสร้างความไม่พอใจให้แก่ประชาชนจำนวนมาก
เวิน ยอมรับว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจทำให้สิ่งแวดล้อมเสียหายเป็นมูลค่ามหาศาล เขาจึงเรียกร้องให้จีนยึดมั่นอยู่กับนโยบายในการอนุรักษ์ทรัพยากรและปกป้องสิ่งแวดล้อม รวมทั้งต้องพยายามส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียว
เขาชี้ด้วยว่า ความสำเร็จในการดำเนินนโยบายทั้งทางด้านผู้บริโภค, ความปลอดภัยของอาหารล มลพิษ, การรักษาพยาบาล, การทุจริตคอร์รัปชัน, และการปฏิรูปภาคการเงิน มีความเกี่ยวข้องโยงใยกับความชอบธรรมที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะทำการปกครองประเทศต่อไป
เพิ่มงบประมาณรายจ่าย
นอกจากรายงานกิจการรัฐบาลของเวินแล้ว หลายๆ กระทรวงของจีนยังได้เผยแพร่เอกสารต่างๆ อันเกี่ยวข้องกับงบประมาณออกมาอีกด้วย โดยที่เอกสารฉบับหนึ่งของกระทรวงการคลังระบุว่า จีนจะเพิ่มงบประมาณรายจ่ายในปี 2013 ให้สูงขึ้น และเพิ่มเป้าหมายการขาดดุลงบประมาณไปอยู่ที่ระดับ 2% ของจีดีพี สูงขึ้นจากระดับ 1.6% ในปี 2012 และถือว่าสูงที่สุดนับแต่ปี 2010 เป็นต้นมา
เมื่อดูกันเป็นองค์รวมแล้ว ยอดงบประมาณรายจ่ายของจีนสำหรับปี 2013 นี้จะอยู่ที่ 13.82 ล้านล้านหยวน (2.2 ล้านล้านดอลลาร์) นับเป็นตัวเลขสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ในเอกสารอีกฉบับหนึ่ง จีนเปิดเผยงบประมาณรายจ่ายด้านการทหารในปีนี้ว่าเพิ่มขึ้น 10.7% เป็น 740,600 ล้านหยวน (119,000 ล้านดอลลาร์) ขณะที่งบประมาณรายจ่ายด้านความมั่นคงภายในแม้จะสูงขึ้นด้วยฝีก้าวที่ช้ากว่าคือ 8.7% แต่ตัวเลขงบประมาณก็อยู่ที่ 769,100 ล้านหยวน ถือเป็นปีที่ 3 ต่อเนื่องกันแล้วที่งบด้านความมั่นคงภายในสูงกว่างบการทหารเช่นนี้