สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 17
มิรันตีขับรถไป โดยไม่รู้ว่าหลวงพิชัยภักดีนั่งมาในรถด้วย
“ใกล้จะถึงรีสอร์ทแล้ว มิสเตอร์ร็อบบี้ I’m coming ฉันจะสารภาพความในใจของฉันทุกอย่างกับยูวันนี้ ยูต้องไม่เชื่อแน่ๆ ว่าผู้ชายทั้งหมดที่เข้ามาในชีวิตฉันยูคือผู้ชายในสเป็คมิรันตีที่สุด ฮิๆ แต้งก็อดที่ประทานชายคนนี้มาให้ลูก”
“แหม...แต้งก็อด ดัดจริต คนอย่างหล่อนมีพระเจ้าอยู่องค์เดียวเท่านั้นแหละ นังมิรันตรี นั่นก็คือพระเจ้าหน้าเงิน ฉันถามจริงๆ แกไม่ห่วงเจ้าติณห์ลูกชายแกบ้างเลยเหรอเนี่ยะ”
“ว้าย”
อยู่ๆมิรันตีก็เบรคเอี๊ยด จนหลวงพิชัยภักดีหัวทิ่ม
“แกเบรกรถทำสวรรค์วิมานอะไรห่ะ”
“ไม่จริง ฉันต้องตาฝาดไปแน่ๆ ทำไมทางเข้ารีสอร์ทหรูของฉันถึงได้เหมือนทางไปป่าช้าขนาดนี้”
“ห่ะ ป่าช้า”
หลวงพิชัยภักดีหันมองไป...เห็นทางเข้ารีสอร์ทที่เคยสวยงามด้วยต้นไม้สองข้างทางกลับกลายสภาพเป็นป่าทรุดโทรม ต้นไม้แห้ง บ้างก็ยืนต้นตายไม่มีใบ
“เฮ้ย ฉันไปอยู่กรุงเทพวันเดียว ทำไมมันถึงได้เปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้”
มิรันตีรีบขับรถเข้ารีสอร์ตไป
มิรันตีรีบเดินเข้ามาในรีสอร์ท วิญญาณหลวงพิชัยภักดีตาม พบว่าไม่มีคนเลยสักคนเดียว
“พนักงานฉันหายไปไหนหมดเนี่ยะ”มิรันตีตะโกน “นี่...อยู่ไหนกัน ทำไมไม่ออกมาประจำตำแหน่ง ฉันไม่อยู่หน่อยเดียว ไม่คิดจะทำมาหากินกันเลยหรือไง เดี๋ยวฉันจะไล่ออกให้หมดเลยคอยดู”
“ไล่กับผีอะไรล่ะ ฉันรู้สึกได้ ว่าในรีสอร์ทนี้ไม่มีคนอยู่เลยสักคนเดียว นอกจากแกกับผีอีกหนึ่งตัว ซึ่งก็คือฉัน”
“นี่มันวันสิ้นโลกหรือไงเนี่ย แขกของฉันก็หายหัวไปหมด...มิสเตอร์ร็อบบี้”
มิรันตีนึกได้รีบเดินไปที่ห้องสมคิด ผลักประตูเข้ามา
“ยู้ฮู...มิสเตอร์ร็อบบี้...ห่ะ”
มิรันตียืนหน้าจ๋อย เพราะเจอแต่ห้องว่างเปล่า หลวงพิชัยภักดีนอนเอกเขนกอยู่บนเตียง
“ฉันหาทั่วแล้ว ไม่มีใครอยู่เลย ไอ้หมอสมคิด มันไม่ได้อยู่ที่นี่ มันทิ้งแกไปแล้ว ฮ่ะๆ”
“โนเวย์...เขาต้องอยู่ที่นี่ซิ ก็เขาอยากจะเป็นหุ้นส่วนที่รีสอร์ทนี่จนตัวสั่น ฉันมองตาเขา ก็รู้แล้ว ว่าเขาอยากใช้ชีวิตอยู่กับฉันที่นี่”
“อ๋อเหรอ แกมองตาเขาก็รู้ แกเนี่ยนะมันเป็นตัวอย่างของคนสมัยนี้ที่หลงตัวเอง ชอบคิดว่าตัวเองรู้มากกว่าคนอื่นในโลกนี้ ไม่ได้เคยสำเหนียกตัวเองเลยว่าจริงแล้วเป็นยังไง”
มิรันตีคิดๆ
“ใช่แล้ว...เขาต้องอยู่ที่สปาแน่ๆ เขาชอบนวด เขาต้องผ่อนคลายรอฉันอยู่”
มิรันตีรีบออกจากห้องไปที่เรือนไทย แล้วหยุดยืนมองเมื่อพบว่าบรรยากาศรอบๆ เงียบวังเวงเหมือนตอนที่เคยเป็นบ้านร้าง ไม่คึกคักเหมือนตอนที่เปิดเป็นสปา
“พนักงานต้อนรับข้างหน้าไปไหนเนี่ย ปล่อยให้สปาของฉันเงียบวังเวงแขกที่ไหนมันจะมาใช้บริการยะ”
มิรันตีรีบเดินขึ้นเรือนไป หลวงพิชัยภักดียืนมองยิ้ม
“บ้านของฉัน บรรยากาศเก่าๆที่ฉันเคยสิงสถิตอยู่มันกลับมาแล้ว”
“อร๊ายยย”
เสียงมิรันตีกรี๊ดดังออกมาจากบ้าน ทำเอาหลวงพิชัยภักดีตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นกับนังมิรันตี”
หลวงพิชัยภักดีรีบหายตัวแว๊บไป
วิญญาณหลวงพิชัยภักดีหายตัวแว๊บเข้ามาในเรือนไทย พลางควงไม้เท้าพร้อมปกป้องลูกสาวเต็มที่
“ไหน...นังมิรันตี ใครทำอะไรแก”
แต่หลวงพิชัยภักดีกลับเห็นมิรันตี ยืนตกใจตัวลีบตัวสั่นอยู่กลางบ้าน ที่บัดนี้กลับมารกร้าง มีแต่ใบไม้ใบหญ้า งูอยู่ภายในเหมือนเดิม
“ไม่จริง...ไม่จริง...มันจะกลับมาเป็นบ้านร้างได้ยังไง ก็ก่อนที่ฉันจะถูกไอ้ติณห์อุ้มไปกรุงเทพ มันยังเป็นสปาระดับไฮคลาสอยู่เลย”
หลวงพิชัยภักดีเริ่มเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“ตรงนั้นเคยเป็นมุมรับแขก ตรงนั้นเป็นห้องสปา ตรงนั้นห้องอบสมุนไตร แล้วตรงโน้นก็ห้องทำงานหรูหราของฉัน แล้วมันหายไปไหนหมด มันหายไปไหน”
“มันไม่หายไปไหนหรอก มันไม่เคยมีด้วยซ้ำนังมิรันตีเอ้ย ที่แกกับฉันและทุกคนเห็นว่ามันเป็นโรงนวดสวยงามดังวิมานน่ะ คงไม่แคล้วเป็นภาพลวงตาที่นังเบญจามันใช้อาคมสร้างขึ้นแหกตาแกนั่นแหละ นังมิรันตีเอ้ย ฮ่ะๆ”
หลวงพิชัยภักดีนั่งลงหัวเราะที่ตั่งเก่าๆของตัวเอง มิรันตีนั่งทรุดลงกับพื้นอย่างหมดสภาพ
ภายในกองปราบ ห้องทำงานผู้การ ณัฐเดชกับวรวรรธยืนรออยู่ต่อหน้าผู้การ ขณะที่ผู้การยังคงนั่งหมกมุ่นอยู่กับการสร้างพลังจิต โดยมองไปที่มือทั้งสองข้างของตัวเอง
“เทคนิคการดึงพลังงาน สร้างพลังจิต ขั้นแรก…กำหนดตำแหน่งจะสร้างพลังที่มือทั้งสองข้าง...ขั้นต่อมาคือเลือกแหล่งกำเนิดพลังงาน ซึ่งก็คือพระอาทิตย์นั่น…”
ผู้การมองที่พระอาทิตย์นอกหน้าต่าง
“จากนั้นก็ดึงพลังงานจากต้นกำเนิดมาล้อมรอบตัวเรา...เข้าไปในตัวเรา”
ผู้การหลับตาเหมือนดูดพลังอาทิตย์
”จากนั้นก็ส่งพลังไปสร้างบอลพลังจิตขึ้นมา”
ผู้การลืมตามองไปที่มือทั้งสองข้างที่ทำเหมือนปั้นบอลกลมๆไว้ในมือ จากนั้นก็เพิ่มขนาดขึ้น...เพิ่มขึ้น...
“ฮ่ะๆคุณเห็นไหมว่าลูกบอลพลังจิตของผมมันใหญ่ขนาดไหน”
วรวรรธแอบหน้าแหย แต่ณัฐเดชออกอาการเอือมๆ
“ผมไม่เห็นอะไรเลยครับ นอกจากอากาศ...แล้วก็อากาศ”
ผู้การถอนใจ ทำตาปะหลับปะเหลือกแล้วแบมือเหมือนขอของ
“ปลดบัตรประจำตัวกับปืนของคุณวางลงบนโต๊ะผม”
ณัฐเดชอึ้งไปเลย วรวรรธมองหน้าณัฐเดชอย่างตกใจ
“ผมจะพักงานสารวัตร...ไม่ได้ยินหรือไง ผมบอกให้คุณปลดบัตรปลดปืนของคุณมาเดี๋ยวนี้”
“ผมมีความผิดอะไรครับ ผู้การต้องบอกผมมาก่อน”
“ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มีส่วนช่วยนายติณห์ลักพาตัวแม่ และรู้เห็นให้น้องสาวเปิดบริษัทต้มตุ๋นชาวบ้าน แค่นี้เพียงพอหรือยังครับสารวัตร หือ?”
ณัฐเดชพูดอะไรไม่ออก...
“ผู้การครับ ก่อนจะมีการพักงาน ทำไมไม่รอให้มีการสอบสวน...” วรวรรธขัด
“คุณก็ถูกพักงานเหมือนกัน ยังจะมาพูดแก้ต่างให้เขาอีกเหรอ”
“อ่ะ...อ้าว!” วรวรรธลุกขึ้นยืน “พวกผมไม่ได้ทำอะไรผิดครับผู้การ”
ผู้การเสียงดัง
“คุณอย่ามาเสียงดังกับผมนะ หลักฐานทุกอย่างมันชัดเจนผูกมัดทุกข้อกล่าวหาคุณจะเถียงอีกว่าไม่ได้ทำอะไรผิด”
“แม่คุณติณห์ถูกไอ้หมอสมคิดมันปลอมตัวมาหลอกใช้ หวังจะฮุบสมบัติคุณติณห์”
“พอแล้ว ไอ้หมอ...”
วรวรรธไม่ยอมหยุด
“มันใช้อาคมของยัยเบญจาครอบงำแม่คุณติณห์จนหลงใหลไม่มีสติ คุณติณห์ต้องพาหนีมาที่บริษัทซิกส์เซนส์”
“โอมายก๊อด”
“ดร.แผนยุทธก็โดนวิญญาณกิ๊กสาวตามเกาะ คอยหึงหวงด่าผู้หญิงทุกคนที่เข้าใกล้”
“โอ๊ว..สนุกตื่นเต้น แต่พล้อตนี้จีทีเอชเค้าทำแล้วนะ”
“แฟนผมกับเพื่อนๆเขามีซิกส์เซนส์ของจริง ไม่ใช่ซิกส์เซนส์หลอกๆแบบที่ผู้การทำนะครับ”
“หยุดซะที ไอ้หมอ ยิ่งแกพูด ยิ่งดูติงต๊อง”
ผู้การสวนกลับ
“แล้วพวกคุณจะพิสูจน์ยังไง จะสืบสวนยังไง”
“พวกผมไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยการสืบสวนตามแนวทางแบบตำรวจอย่างพวกเราแน่นอน พวกผมต้องให้พวกสาวๆซิกส์เซนส์ช่วยเหมือนคดีต่างๆที่ทำเช่น คดีกำนันพงษ์ หมอสมคิด หรือแม้กระทั่งคดีใบหม่อน”
“งั้นก็แปลว่าพวกคุณต้องทำงานนอกระบบ ว่างั้น”
“ใช่ครับ” วรวรรธตอบ
ทุกอย่างเงียบ ผู้การแบบมือมาอีกที
“เพราะอย่างนี้ไง ผมถึงต้องพักราชการพวกคุณทั้งสอง”
“แต่…”
“ไอ้หมอหยุด... นี่ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ”
“เข้าใจอะไรพี่ณัฐ...ผู้การจะพักงานเรา จะให้ผมเข้าใจอะไรอีก”
“ก็เข้าใจว่าหนึ่งเดือนต่อจากนี้ พวกคุณไม่ได้เป็นตำรวจอีกต่อไป ดังนั้นทุกอย่างที่พวกคุณทำก็ไม่ได้ต้องมารายงานผม พวกคุณอยากจะทำอะไรก็ทำตามใจชอบไง..ส่วนผม..ก็จะคอยติดตามดูพวกคุณ..อยู่ห่างๆ..อย่างห่วงๆ” ผู้การหลิ่วตาให้
วรวรรธอึ้ง เพิ่งจะเข้าใจ บัตรประจำตัวตำรวจและปืนของทั้งคู่วางลงบนโต๊ะ
ณัฐเดชและวรวรรธออกมาจากห้องผู้การ
“ผมตามท่านผู้การไม่เคยทันเลย”
“ได้เวลาลุยแบบนอกกรอบได้แล้ว ไอ้หมอวรรธ ไสยศาสตร์ที่ไร้ข้อจำกัด ก็ต้องเจอกับตำรวจไร้ข้อจำกัดไงล่ะ” ณัฐเดชบอกอย่างไม่ยอมแพ้
ญาณินเดินนำสาวๆเข้าห้องมาคุยกันเป็นการส่วนตัวในห้อง
“มีอะไรยัยเจ๊ ถึงต้องแยกมาประชุมลับ” สุคนธรสถาม
“จะวางแผนบุกไปเอาคืนไอ้หมอสมคิดกับนังเบญจาใช่มั้ย เอาเลยฉันคันไม้คันมืออยากจะเอาคืน”กรรณาบอกทันที
“เนตรก็ไม่ยอมเหมือนกัน คนชั่วทำผิดแล้วไม่สำนึก ไม่รู้จักกลับตัวกลับใจแบบนี้ ขืนปล่อยไว้ ต้องมีคนตกเป็นเหยื่ออีกนับไม่ถ้วน” เนตรสิตางศุ์ออกความเห็น
“แต่คราวนี้เราต้องจัดการมันให้หมดอนาคตในวงการหมอผี อย่าให้มันหนีรอดไปได้เหมือนคราวที่แล้ว โอ๊ย...พูดแล้วอารมณ์เสีย เม็ดสีผิวจะทำงานผิดปกติ ทำให้เกิดกระฝ้าได้” กรรัมภาเสริม
“แต่ฉันไม่คิดอย่างนั้น”
ทุกคนอึ้ง เมื่อญาณินเหมือนจะถอดใจไปมาก
“งั้นแกคิดยังไงก็พูดมายัยเจ๊ พวกเราพร้อมยอมรับการตัดสินใจของแก แกเป็นผู้นำของพวกเรา”
สุคนธรสบอก อีกสาวพยักหน้าเห็นตาม ญาณินยิ้มเศร้า
“ขอบใจมากนะที่พวกแกไม่เคยหมดความเชื่อมั่นในตัวฉัน แต่ในครั้งนี้ฉันคิดว่าถ้าเราขืนสู้ต่อไปก็ต้องแพ้ แล้วยังทำให้คนอื่นที่อยู่รอบๆตัวเราต้องเดือดร้อนและตกอยู่ในอันตรายไปกับเราด้วย”
ทุกคนตกใจอึ้งไปหมด
“แล้วแกจะเอาไง รีบๆบอกมาซี ฉันอึดอัดนะ” กรรัมภาถาม
“ฉันอยากให้เรา...ปิดบริษัทนี้ไปก่อน”
“ปิดบริษัทแล้วพวกเราล่ะ” กรรณาถาม
“เราก็แยกย้ายไปตั้งหลักกันสักพัก แยกกันเราอาจจะรอด แต่ถ้าเรายังรวมตัวอยู่ด้วยกัน อาจจะตกเป็นเป้าของหมอสมคิดหมดทั้งห้าคน”
“แปลว่า...พวกเราต้องแยกจากกันเหรอ ยัยเจ๊...”
เนตรสิตางศุ์โผกอดญาณินร้องไห้ ทำเอาทุกคนร้องไห้ตามโผเข้ากอดกัน
“ก็แค่ชั่วคราว บอกแล้วไงว่าแค่ตั้งหลัก พวกเราทั้งห้าคนยังเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอยู่ เมื่อเราพร้อม เราจะต้องได้กลับมาพร้อมหน้ากันอีก”
ทั้งห้าสาวกอดกันร้องไห้
ไตรรัตน์โอบไหล่พาสุคนธรสเดินออกจากบริษัทมาขึ้นรถ สุคนรสร้องไห้หันไปมองบริษัทเป็นครั้งสุดท้ายก่อนขึ้นรถไป
วรวรรธขี่มอเตอร์ไซด์พาเนตรสิตางศุ์ซ้อนท้ายมาถึงหน้าบ้าน เนตรศิตางศุ์ร้องไห้ตลอดเวลา วรวรรธต้องจับมือปลอบใจอยู่หน้าบ้าน
ภายในบริษัท...กรรณาเก็บเสื้อผ้าในห้องพัก พงอินทร์มาช่วยเก็บอย่างเห็นใจ มองกรรณาที่พยายามไม่ร้องไห้ แต่ก็กลั้นไม่ได้ ต้องปาดน้ำตา พงอินทร์เข้ามาโอบไหล่ปลอบ
รัมภาเปิดประตูเข้าห้องนอนที่เต็มไปด้วยรูป จุนจี โผไปร้องห่มร้องไห้ที่เตียงนอน
น้ำหนึ่งกลับมารอแผนยุทธที่ออฟฟิศ วิญญาณช่อเพชรสะอื้นอยู่ที่มุมห้อง
“ฉันบอกให้แกไปไง แกมารออะไร อย่ามายุ่งกับผัวฉัน ฉันบอกให้แกไปไปซี”
แต่น้ำหนึ่งกลับนั่งนิ่ง ไม่ได้ยินเสียงช่อเพชร ดวงตาแข็งกลอกไปมาอย่างครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ช่อเพชรเงยหน้ามองไปที่ประตูห้อง
“เขามาแล้ว...ทำไมแกไม่กลับไป แกต้องการอะไรจากเขา”
แผนยุทธเปิดประตูเข้ามา เห็นน้ำหนึ่งนั่งรออยู่ก็ปิดประตูเสียงดังอย่างไม่พอใจ ปรี่เข้ามาหาน้ำหนึ่ง ช่อเพชรพยายามจะขวางเขาไว้
“อย่านะคุณ...ฉันขอร้อง อย่ายุ่งกับอีบ้านี่เลย”
แต่แผนยุทธถลาเข้าไปจับไหล่น้ำหนึ่งให้หันมา แล้วตะคอกถาม
“เธอไปยุ่งอะไรกับไอ้โจ้ เธอไปรู้จักกับมันได้ยังไง”
น้ำหนึ่งเปลี่ยนเป็นบีบน้ำตา โผกอดแผนยุทธ
“หนึ่งขอโทษค่ะ หนึ่งถูกบังคับ”
“อร๊าย...อีตอแหล อีหน้าด้าน คุณอย่าไปหลงกลมันนะแผนยุทธ” ช่อเพชรกรี๊ดลั่น
“ไอ้โจ้มันบังคับอะไรเธอ บอกฉันมานะ”
“เขาอยากได้ข้อมูลของคุณช่อเพชร หนึ่งจำเป็นต้องช่วยเขาเพราะเขาขู่ว่าจะทำร้ายคุณ ถ้าหนึ่งไม่ทำตามที่เขาบอก หนึ่งกลัว หนึ่งรักคุณ หนึ่งไม่อยากเห็นคุณเป็นอะไรไป คุณอย่าโกรธหนึ่งนะ”
น้ำหนึ่งกอดซบราวกับรักแผนยุทธมาก ทำเอาแผนยุทธใจเย็นใจอ่อนลง
“เอาล่ะๆ...ครั้งนี้ฉันจะยกโทษให้เธอ แต่ถ้าฉันรู้ว่าเธอไปแอบติดต่อหรือให้ข้อมูลอะไรกับไอ้โจ้อีก...”
แผนยุทธจับไหล่น้ำหนึ่งดึงออกจากตัว แล้วมองหน้าเอาจริง ”เธอกับฉันขาดกัน”
น้ำหนึ่งทำเป็นส่ายหน้ายกมือไหว้
“หนึ่งสาบาน หนึ่งจะไม่พูดไม่คุยกับเขาอีกแล้ว คุณอย่าทิ้งหนึ่งเลยนะคะ”
“ทีหลังก็อย่าทำอีก”
แผนยุทธผละไปนั่งที่โต๊ะ ช่อเพชรถลาไปหาแผนยุทธที่โต๊ะ
“คุณไปไว้ใจมันได้ยังไง คุณไปเชื่อมันได้ยังไง ทำไมไม่ฟังฉัน ไอ้ด็อกเตอร์หน้าโง่”
ขณะเดียวกัน น้ำหนึ่งยืนหันหลังเช็ดน้ำตาที่อาบแก้ม ด้วยสีหน้ากลับมาร้ายมาก
“คุณจะดื่มน้ำหรือกาแฟสักแก้วไหมคะ หนึ่งจะชงให้”
“เอากาแฟ หวานๆนะ”
“ค่ะ”
น้ำหนึ่งยิ้มร้ายเดินออกไป ขณะที่ช่อเพชรหันมองตามน้ำหนึ่งอย่างตกใจ
น้ำหนึ่งเดินออกมาจากห้องทำงานแผนยุทธ ภายในบริษัท พนักงานเลิกงานกันหมดแล้ว สีหน้าน้ำหนึ่งกลับมาเย็นชา เดินตรงทื่อไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง
ช่อเพชรทะลุผนังห้องทำงานตามมาข้างหลัง น้ำหนึ่งหยุดที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ล้วงกุญแจออกมาจากกระเป่าถือ ไขไปที่ลิ้นชัก เปิดออกมา แผงยานอนหลับโดมิคุมเม็ดสีฟ้าวางอยู่ น้ำหนึ่งหยิบยาออกมาจากลิ้นชัก
“แกจะทำอะไร...แกจะทำอะไร” ช่อเพชรกังวลใจเป็ฯฮย่างมาก
น้ำหนึ่งวางถาดใส่แก้วกาแฟ และน้ำดื่มให้แผนยุทธที่กำลังนั่งยิ้มสะใจที่เอาเรื่องกรรณาได้ถึงคุกตะรางได้
“กาแฟค่ะ คุณอยากทานของว่างไหมคะ”
“ไม่ต้อง แค่กาแฟแก้วเดียวก็พอแล้ว”
แผนยุทธหยิบแก้วกาแฟขึ้นมา ช่อเพชรร้อนรนพลุ่งพล่านมาก
“อย่ากินเข้าไปนะ...อย่า...มันมียาพิษ...อย่า...”
แต่แผนยุทธก็จิบกาแฟเข้าไปคำใหญ่ น้ำหนึ่งมองอย่างพอใจ
“เธอกลับบ้านได้แล้ว แล้วคืนนี้ ฉันอาจจะไปหา”
“ค่ะ แล้วหนึ่งจะรอ”
“อร๊าย...แกยุ่งกับผัวฉันทำไม แกมันโรคจิต แกแย่งผัวฉัน”
น้ำหนึ่งหันเดินมาที่ประตู สีหน้าเปลี่ยนมาเกลียดชังมาก ก่อนออกจากประตูไป ขณะที่แผนยุทธยังคงถือแก้วกาแฟดื่มละเลียดกับชัยชนะของตัวเอง
“นังกรรณา ดันใฝ่ต่ำไปเล่นกะไอ้โจ้หักหลังใครไม่หักหลัง มาหักหลังทนายระดับด็อกเตอร์อย่างแผนยุทธ ปิดบริษัทมันซะเลยฮ่ะๆ”
แผนยุทธหัวเราะร่วน แต่ช่อเพชรกำลังร้องไห้
“เป็นถึงด็อกเตอร์ ทำไมถึงโง่อย่างงี้ แกไม่รู้เลยเหรอว่ากำลังถูกอีน้ำหนึ่งมันหลอก”
ปั๊ง!
แรงโกรธของช่อเพชร ทำเอารูปทนายอันทรงเกียรติของแผนยุทธที่แขวนอยู่ตกลงมาแตกเพล้ง!
“เฮ้ย”
แผนยุทธตกใจจนกาแฟกระฉอกหกราด มองตกใจไปทั่วห้อง
“ห่ะ...ผีตัวนั้นอีกแล้วเหรอ แกจะรังควานฉันไปถึงไหนวะ”
แผนยุทธปาแก้วกาแฟลงพื้นแตกกระตายอย่างโมโห
ญาณินแอบมานั่งร้องไห้คนเดียว มองรูปถ่ายของตัวเองกับเพื่อนรักอีกสี่สาวที่ถ่ายร่วมกันตอนเปิดบริษัท อรวรรณเดินเข้ามาหา
“คุณหนู… แอบมาร้องไห้อยู่ที่นี่เอง”
“ทุกคนออกไปหมดแล้วเหรอคะป้า”
“ค่ะ ออกไปกันหมดแล้ว เสียอกเสียใจกันใหญ่ ไม่มีใครอยากจะทิ้งบริษัทไปเลย”
“เพราะณิน ทุกคนก็เลยเดือดร้อนไปกันหมด”
ติณห์เดินมาหยุดยืนมอง
“ไม่มีใครโทษคุณหนูเลยนะคะ ถึงยังไงพวกคุณหนูก็เป็นคนธรรมดา ไม่ได้เป็นผู้วิเศษวิโสมาจากไหน มีโอกาสทำผิดพลาดได้ ล้มได้ แต่ก็มีโอกาสลุกขึ้นยืนสู้ใหม่ได้เหมือนกัน คุณหนูของป้า คุณหนูต้องไม่หมดกำลังใจนะคะ”
ญาณินพยักหน้า ตามองไปเห็นติณห์ยืนมองอยู่ อรวรรณหันมองตาม
“เอ่อ เดี๋ยวป้าไปทำอะไรให้ทานกันดีกว่า ตั้งแต่เกิดเรื่อง แม้แต่น้ำสักแก้วยังไม่ได้ทานกันเลย”
อรวรรณลุกขึ้นเดินผละมา ผ่านติณห์ ก็จับแขนปลอบอีกคน
“ป้าฝากคุณหนูด้วย อย่าทิ้งไว้คนเดียวนะคะ ป้าเป็นห่วง”
ติณห์พยักหน้า อรวรรณเดินออกไป ติณห์เดินเข้ามานั่งลงข้างญาณินช่วยเช็ดน้ำตาให้
“คุณต้องเข้มแข็งซี เพราะคุณเป็นกำลังใจของผม”
“คุณก็เป็นกำลังใจของฉันค่ะติณห์”
“เราต้องเป็นกำลังใจให้กันและกัน บริษัทซิกส์เซนส์แค่ปิดชั่วคราว Not forever.”
ติณห์โอบญาณินมานั่งหัวพิงกัน
“นึกถึงวันเวลาที่ผ่านมาซิ คุณสู้อะไรมาตั้งเยอะ แม้แต่กับผม”
ญาณินยิ้มออกทั้งน้ำตา
“นั่นซิ เราสองคนก็ต้องสู้กันเอง กว่าจะเข้าใจกัน มานั่งอยู่ด้วยกันอยู่ตรงนี้”
“Do you remember...วันแรกที่เราเจอกัน ก็ปะทะกันเลย ตู้ม!”
“ใช่ ตู้ม!”
ทั้งสองคนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต....ญาณินที่ขับรถ โดยเนตรศิตางศ์นั่งอยู่ข้างๆ มองเห็นรถติณห์หมุนเหวี่ยงอยู่ข้างหน้าก็ร้องกรี๊ดลั่นรถ
“อ๊ายยยย”
ติณห์บังคับรถเบรกหยุดอยู่กับที่ได้ แล้วติณห์ต้องช็อคอีกครั้งเมื่อเห็นรถญาณินพุ่งเข้ามาหาด้านข้าง
“โอ้ว..โน...!”
แต่ญาณินหักพวงมาลัยหลบ จนเฉี่ยวชนแค่ท้ายรถติณห์แล้วก็หยุดกึก
ญาณินเปิดประตูลงจากรถเดินจับเอวเคล็ดยอก มาดูหน้ารถของตัวเองที่จูบอยู่กับท้ายรถของติณห์แล้วแทบกรี๊ดเมื่อเห็นหน้ารถคู่ชีพ ขณะที่เนตรสิตางค์นั่งตกใจหน้าซีดซืดยาดมจะเป็นลมอยู่ในรถ ญาณินยกชายกระโปรงยาวขึ้น เท้าเตะไปที่ท้ายรถติณห์ป๊าบๆอย่างฉุน ติณห์โวยลั่น
“เฮ้ๆ อาร์ยูเครซี้...มาเตะรถผมทำไม”
“ก็คุณ...เอ่อ..”
ญาณินหันไปชี้หน้าจะด่า แต่แล้วต้องหยุดตะลึงค้าง เมื่อเห็นติณห์ที่กำลังเปิดประตูก้าวลงมาจากรถ…ศรรักปักอกทัน
“อะ...อ่า...ใช่..เลย”
“หา...คุณว่าไงนะ”
ญาณินได้สติ
“เอ่อ...ก็...คุณถามว่าไงล่ะคะ”
ติณห์เท้าเอว
“ผมถามว่าคุณมาเตะรถผมทำไม บ้าเหรอ”
“อ๋อ ! นี่ฉันต้องไหว้ขอบคุณรถคันนี้ เพราะเจ้าของหล่อแล้วขับรถมาล่อให้ชนงั้นเหรอ”
“หล่อ ล่อ..wha… no no no no ผมไม่ได้อยากล่อคุณ”
ญาณินตาลุก
“อร๊ายยย ทะลึ่ง หยาบคาย”
ติณน์งงเลย
“What”
“รถฉันเสียหายนะ ยังจะมาพูดจาสองแง่สองง่ามอีกเหรอ”
ติณห์งงโคตรๆ ชูสองนิ้วขึ้นมา
“สองง่าม...ง่ามคืออะไรเหรอ ทำไมถึงต้องสองง่าม”
ติณห์กับญาณินหัวเราะกับเหตุการณ์วันหวาน ติณห์ชูสองนิ้ว
“นี่คือตัววี ย่อมาจากวิคทอรี่...แปลว่าชัยชนะ”
ญาณินชูสองนิ้ว
“สู้ๆค่ะ”
“ต้องสู้ๆจึงจะชนะ”
สองคนยิ้ม นั่งโอบไหล่เป็นกำลังใจให้กัน
รถพงอินทร์แล่นเข้ามาจอดที่ประตูหลังบ้านเวียงทับ พงอินทร์ลงจากรถรีบวิ่งไปเปิดกระโปรงหลัง พงอินทร์ยกกระเป๋าลง
“ก๊อง มาช่วยกันเร็ว”
จารุณี กับก้องฟ้าปราดเข้ามาช่วย แต่กรรณาวิ่งมายื้อกระเป๋าตัวเองไว้ ทุกคนชะงัก
“อะไรของนาย หา โจ้...ไหนนายบอกจะพาเรากลับบ้าน”
“ก็นี่ไงบ้าน”
“ต้องกลับบ้านฉันซิ ไม่ใช่บ้านนาย”
“จะกลับได้ยังไง ในเมื่อผมโทรไปเช็คมาแล้ว น้ากุ้งนางไม่อยู่ต้องไปเป็นหัวหน้าทีมอบรมพยาบาลอาสาที่ขอนแก่นตั้งสองอาทิตย์”
“เฮ้ย..ล้อชื่อแม่กันนี่..”
“อืม..น้ากุ้งนางๆ”
“อีตาบ้า...รู้ได้ไงว่าแม่ฉันทำอะไรอยู่ที่ไหน”
“ใช่...แถมยังรู้อีกนะว่า น้ากุ้งนางแม่คุณไม่เคยเชื่อว่าคุณได้ยินเสียงผี แล้วถ้าน้ากุ้งนางรู้เข้าว่าบริษัทซิกส์เซนส์ของคุณ และเพื่อนโดยฟ้องว่าต้มตุ๋นหลอกหลวงประชาชนละก็ มันจะเกิดอะไรขึ้นน้า...”
“นายนี่มันสาระแนสุดๆเลย”
“ขอบคุณที่ชม แต่ผมชอบสาระแนเรื่องคุณคนเดียวเท่านั้นนะ”พงอินทร์ยียวน “ผมเลือกแล้ว เพราะฉะนั้น คุณกับก๊องอยู่บ้านผมนี่แหละ ปลอดภัยสุดล่ะ”
“อยู่บ้านรั้วเดียวกับไอ้แผนยุทธที่เพิ่งให้ตำรวจไปพังบริษัทฉันเนี่ยนะจะปลอดภัย...ใช้อะไรคิด”
“เออ...นั่นดิพี่โจ้มันจะดีเหรอ” ก้องฟ้ากังวล
“ดีซิ” พงอินทร์พูดกับกรรณา “นี่ยัยคุณแว่วเสียงผี ไม่เคยได้ยินเหรอว่า ที่ๆอันตรายที่สุด คือที่ๆปลอดภัยที่สุด สมัยเด็กๆเราเรียนโรงเรียนเดียวกันเปล่าเนี่ย...”
พงอินทร์เอานิ้วจิ้มหัว กรรณาปัดมือเขาออกทำท่าจะเถียงต่อ ก้องฟ้ารีบกระซิบ
“พี่กรรณาตอบตกลงไปก่อนเถอะ ป้ากุ้งนางแม่พี่ไม่อยู่บ้านด้วย ถ้าเขากลับมาแล้วค่อยว่ากันใหม่”
กรรณาอึ้ง
วรวรรธทำท่าจะสำรอก..อ๊อก!..รีบเอามือปิดปากไว้ พูดไม่ได้ เดี๋ยวมันย้อนออกมา ทุกคนร่วมโต๊ะทานอาหารฝีมือเนตรสิตางศุ์อยู่ต่างสยอง
“เอ้า ดื่มน้ำหน่อย”
วรวรรธรับน้ำมาดื่ม แล้วก็แทบสำรอกอีก เพราะเป็นน้ำปั่นกะปิ แต่ก็ฝืนกลั้นใจกลืนลงไปจนหมด ณัฐเดชเห็นอาการวรวรรธแล้วสยอง
“เป็นไง น้ำกะปิปั่นดื่มคู่กับขนมจีบกะปิไข่มดแดง เข้ากันดีมากใช่มั้ย” เนตรสิตางศุ์เห็นคนอื่นๆนิ่ง “อ้าว ทานสิคะพี่ณัฐ พี่ต้องไปทำงานต่อไม่ใช่เหรอ..นี่ๆ ไข่แมงดาผัดกะปิกับน้ำบูดู..ต้มซุปเปอร์กะปิ..ทานคู่กับข้าวสวยอบกะปิร้อนๆ รับรองจะวางไม่ลง..อ้อ ถ้าอิ่มแล้วมีของหวานปิดท้ายเป็นพุดดิ้งกะปิสดนะคะ”
“แหม๋ วันนี้มีธีมเป็นกะปิซะด้วย” ณัฐเดชหน้าแหย
“รีบทานสิพี่ณัฐ” วรวรรธเร่ง
“เอ่อ..แต่..”
แต่แล้วณัฐเดชก็ตักไปใส่จานให้วรวรรธ
“พี่ณัฐมีน้ำใจกับผมมากจริงๆ”
แต่ยังไม่ทันมีใครได้ทานอะไร อยู่ๆสุพิชชาก็เดินบุกเข้ามา
“พี่ณัฐ”
“พีช..พี่ส่งข้อความไปบอกแล้ว”
“อยู่ดีๆพี่ณัฐก็ส่งข้อความมายกเลิกนัดหน้าตาเฉย ..นี่เหรอสาเหตุที่พี่ณัฐเบี้ยวนัด มีปาร์ตี้กันก็ไม่บอกเรา”
เนตรสิตางศุ์ลุกเชิญตามมารยาท
“พี่พีชมาทานด้วยกันสิคะ”
สุพิชชามองหน้าทุกคน หัวเราะ
“ว้าย..แบบนี้พี่ไม่กินด้วยหรอกนะ น้องเนตร”
“ทำไมล่ะคะ”
“ดูหน้าทุกคนมั่งสิจ๊ะ..ตลกดีนะ ทุกคนทำหน้าตาเหมือนจะอ้วกเลย.. ทำไมทุกคนหวังดีกะเนตรเขา..แล้วไม่บอกความจริงกะน้องตรงๆล่ะคะ แปลก..”
ทุกคนอึ้งที่สุพิชชาตวาดความจริงออกมา
“พีช”
“ทำไมคนที่จริงใจต่อกัน ..ไม่เตือนกันบ้าง..น้องเนตร..เธอควรจะรู้ตัวสักทีว่าอาหารที่เธอทำมัน.. รสชาติสยดสยองม้ากกก.. เมนูปัญญาอ่อนพวกนี้ ใครเขาทำกัน..พี่ณัฐต้องฝืนใจกินแล้วไปแอบอ้วกทิ้งมากี่ปีกี่ชาติแล้ว”
วรวรรธลุกขึ้นปกป้องเนตรสิตางศุ์
“คุณพีช...พี่ณัฐพาแฟนพี่ออกไปไหนก็ได้..ผมขอร้อง..”
“พีช..ไป..เราไปกันเถอะ”
ณัฐเดชพยายามจะลากสุพิชชาออกไป แต่สุพิชชากำลังฉุนที่วรวรรธออกตัวปกป้องเนตรสิตางศุ์
“พีชไม่ได้พาล มันคือความจริง..ทุกคนในที่นี้ มีใครกล้าพูดมั้ยล่ะว่าชอบกินอาหารฝีมือยัยเนตร อยากกินทุกวันเลย” สุพิชชามองกราด ทุกคนจ๋อย “นี่ต่างหากความจริง”
“จริงเหรอพี่ณัฐ” เนตรสิตางศุ์หน้าเสีย
“เอ่อ..”
“เลิกปกป้องน้องแบบผิดๆเถอะ ยัยเนตรจะได้โตและเลิกใช้ความง้องแง้งปัญญาอ่อนเรียกร้องความสนใจจากคนอื่นซะที”
“ที่พี่พีชพูด..จริงเหรอคะพี่ณัฐ..พูดมาสิคะ”
“เนตร..เอ่อ..”
แค่ณัฐเดชอ้ำอึ้ง เนตรสิตางศุ์ก็รู้ได้เลยว่ามันคือความจริง เธอผิดหวัง เดินหนีไป ณัฐเดชกับหมอรีบตามไป สุพิชชาสะใจ
เนตรสิตางศุ์เดินเข้ามาในครัว ร้องไห้ หยิบข้าวของอุปกรณ์ทำครัวทุกอย่างทิ้งลงถังขยะ ณัฐเดชตามเข้ามา
“เนตร..”
“พี่ณัฐโกหกเนตร..โกหกตั้งแต่วันแรกที่เนตรหัดทำอาหารเลยใช่มั้ย”
“ก็ตอนนั้นเราไม่มีเพื่อน เอาแต่เก็บตัว ไม่ออกไปไหนเพราะกลัวจะเห็นอะไรที่ไม่อยากเห็น..พี่อยากให้น้องพี่มีชีวิตที่ปกติ มีความภูมิใจในตัวเองบ้าง แล้วพอดีเนตรหัดทำอาหาร...” “พี่ณัฐก็เลยทำเป็นชื่นชมว่าเนตรมีพรสวรรค์ เพื่อให้เนตรออกจากบ้านไปเรียนทำอาหาร”
“ตอนนี้เราก็รู้แล้ว ต่อไปก็ไม่ต้องทำแล้วอาหาร..หาอย่างอื่นทำแทนแล้วกัน”
“พี่ณัฐ..”
เนตรสิตางศุ์ยิ่งน้อยใจ วรวรรธไม่พอใจ
“พี่ณัฐพูดอย่างนั้นได้ไง..คุณเนตรเข้าใจผิดก็เพราะเราทุกคน..แล้วจะมาล้มกระดานทิ้งง่ายๆได้ไง..เราต้องรับผิดชอบ..ต้องช่วยกันสนับสนุนคุณเนตรให้ทำอาหารได้จริงๆสิ”
“อย่าเสียเวลาเลย..อย่างที่พิชพูดก็ถูก เนตรควรจะยอมรับและเข้าใจโลกความจริงบ้าง..จะเอาแต่ใจแบบเด็กๆไม่ได้แล้ว”
“พี่ณัฐ..ทำไมพี่พูดอย่างนี้”
“ก็พูดความจริง อยากให้พูดไม่ใช่เหรอ”
“ความจริงบางอย่างเราไม่ต้องพูดมันออกมาทั้งหมดก็ได้ เหมือนที่ผมไม่พูดเรื่องพิช..”
วรวรรธเกือบหลุดปาก แต่ยั้งไว้ได้ทัน
“เรื่องอะไร”
ณัฐเดชสงสัย อยากรู้ แต่วรวรรธไม่พูด แม้จะคันปาก
“หมอ..ไปเถอะ..เนตรไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”
เนตรสิตางศุ์คว้ามือวรวรรธลากออกจากบ้านไป สุพิชชารีบตามไปดัก
“จะไปไหนกัน”
วรวรรธชี้หน้าสุพชชา
“พีช..อย่ายุ่งกับผมและคุณเนตรอีก ไม่อย่างนั้นผมก็จะไม่เสแสร้งแกล้งทำดีกับคุณอีกแล้วเหมือนกัน”
ณัฐเดชวิ่งมาสมทบ
“พูดอย่างนี้แสดงว่าแกรู้เรื่องอะไรมาใช่มั้ย...เอาสิ ถ้าแกมีเรื่องอะไรอยากจะพูดก็พูดมาเลยดีกว่าไอ้หมอ”
“ก็เรื่อง..” วรวรรธเปลี่ยนใจ “ถามแฟนพี่เองสิครับ พีชเป็นคนชอบพูดแต่ความจริงไม่ใช่เหรอ”
สุพิชชาเลิ่กลั่ก ทำหน้าใสซื่อ
“หมออย่ามาใส่ร้ายพีชนะ”
“เหรอ” วรวรรธทำหน้ากวน
“ไอ้หมอ” ณัฐเดชกระชากคอเสื้อวรวรรธ
“แกอย่ามากวนประสาท พูดออกมา”
“บอกก็ไม่หนุกดิครับ”
“ไอ้หมอ”
ณัฐเดชผลักวรวรรธออก แล้วจะชก
“อย่านะ“ เนตรสิตางศุ์เข้าปกป้องหมอ ผลักณัฐเดชออก “เนตรตาสว่างแล้ว เหลือแต่พี่ณัฐนั่นแหละยังตาบอดอยู่..เชิญตาบอดต่อไปเถอะค่ะ”
เนตรสิตางศุ์ลากวรวรรธไปที่รถ ขึ้นซ้อน ขี่ออกไป
“ยัยเนตร”
ณัฐเดชอึ้งเครียด หันมองสุพิชชาว่ามีอะไร แต่สุพิชชาทำหน้าอ่อนแอ
ภาพในมอนิเตอร์ การแสดงของจุนจี เป้ย และซองซู จุนจีกับเป้ยกอดกันอยู่ ขณะที่ซองซู มองซ้ายมองขวาแล้วกำลังจะออกไป สถานการณ์เหมือนกำลังถูกไล่ล่า
“จีโฮ...นายกับคุณหนูหลบอยู่ที่นี่นะ อย่าไปไหน” ซองซูพูดอย่างร้อนใจ
“แล้วนายจะไปไหน” จุนจีถาม
“ฉันจะไปล่อนายใหญ่ ให้หลงไปอีกทาง กว่าพวกมันจะรู้ตัว ฉันหวังว่านายจะพาคุณหนูหนีไปไกลแล้ว... ไม่ต้องห่วงฉัน”
หน้ามอนิเตอร์ ลีจองกุ๊กนั่งอยู่ข้างหลัง ผู้กำกับ เสียงโทรศัพท์ของจุนจีที่ฝากไว้กับเขาสั่น ลีจองกุ๊กดูหน้าจอเห็นเป็นเบอร์กรรัมภาโทรเข้า ก็กดให้หยุดสั่นแล้วเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ
กรรัมภาฟังเสียงรอสายจนอ่อนใจ ที่สุดสายที่เธอโทรหาจุนจีก็ถูกตัด เธอมองโทรศัพท์ในมืออย่างว้าวุ่นใจ
“...เฮ้อ...จะถึงกองถ่ายอยู่แล้ว” กรรัมภาพูดใส่โทรศัพท์ “จะให้ดิฉันไปรอที่ไหนคะคุณปาร์คจุนจี”
กรรัมภามองโทรศัพท์ในมืออีกครั้งอย่างชั่งใจ
ซองซูวิ่งออกไป จุนจีกอดเป้ยไว้ มองตามซองซูไปแบบลุ้นๆ เอาใจช่วย ผู้กำกับนั่งดูอย่างพอใจ ขณะที่ลีลองกุ๊กมีท่าทางไม่สบายใจ
“คัท!..ดีมาก สุดยอดการแสดง เดี๋ยวผมขอเก็บภาพกว้างมากที่เห็นสองคนกอดกันบนดาดฟ้าอีกคัทเดียว ย้ายกล้องเลย” ผู้กับตะโกน
โทรศัพท์จุนจีในกระเป๋าเสื้อลีจองกุ๊กสั่นอีก ลีจองกุ๊กหยิบออกมาดู เห็นเป็นเบอร์กรรัมภาอีกแล้ว จุนจีพุ่งมาหาลีจองกุ๊กที่รีบเก็บโทรศัพท์เข้าไปในกระเป๋าเสื้อ โดยที่จุนจีไม่ทันเห็น
“คุณแก้มโทรมาหรือยัง”
ลีจองกุ๊กตีหน้าซื่อตาใส
“ไม่รู้ซิ มือถือนายแบตหมด ฉันเลยชาร์ทมันไว้ในห้องแต่งตัว”
“โอ้ย ก็ไปดูหน่อยซิ ถ้ามีมิสคอลคุณแก้ม นายก็โทรกลับไปบอกว่าฉันเหลืออีกคัทเดียวเสร็จแล้วจะรีบโทรหา...”
“รู้แล้วน่า...เป็นนักแสดงมัวแต่สนใจโทรศัพท์ได้ไง เดี๋ยวก็โดนแจ้งไปทางบริษัทแม่ที่เกาหลีแล้วจะแย่กันไปเป็นแถบๆ”
ขณะเดียวกัน ผู้ช่วยเข้ามากระซิบบอกบางอย่างผู้กำกับ
“ซองซูหมดนะครับ กลับไปพักได้เลย อ้อ...” ผู้กำกับเสียงดังขึ้น “แต่แจ้งนักแสดงทราบนะครับ ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ นักข่าวมาออเต็มล๊อบบี้ตึกนี้เลยครับ อย่างกับเข้าแถวซื้อโดนัทยังไงอย่างนั้น ออกตัวก่อนนะครับ...วันนี้กองเราไม่ได้เชิญนักข่าวให้เข้ากอง เอาเป็นว่า ทางที่ดีหลีกเลี่ยงประตูหน้า ใช้ประตูหลังลิฟท์ขนของแทนจะดีกว่านะครับ”
เป้ยกระแทกจุนจี
“นักข่าวจะมาทำไม ถ้าไม่ใช่เพราะอยากจะมาทำข่าว” เป้ยเน้น “เพื่อนสนิทไฮโซสาวจอมลวงโลก นักต้มตุ๋นชาวบ้าน...”
เป้ยพูดจบก็เดินปาดหน้าจุนจีกับลีจองกุ๊กไปเข้าฉาก ซองซูยืนฟังนิ่งๆ ผู้กำกับโวยขึ้น
“อะไรก็ได้ อย่ามากวนการถ่ายทำของผมแล้วกัน อยากทำงานแบบราบรื่นบ้าง...อะไรบ้าง”
ผู้กำกับเดินไปอย่างฉุนๆ จุนจีกังวลใจมาก หันหาลีจองกุ๊ก
“นายรีบโทรบอกคุณแก้มด่วนเลยนะว่าอย่ามาที่นี่ ให้เธอจอดรถรอฉัน ฉันจะรีบไปหาเธอให้เร็วที่สุด จะให้คุณแก้มเจอนักข่าวอีกไม่ได้เด็ดขาด”
“โอเคๆ” ลีจองกุ๊กรับคำ .
“จุนจีคะ เซ็ทพร้อมแล้วค่ะ” ผู้ช่วยร้องบอก
จุนจีหันไปกำจับลีจองกุ๊ก
“ รีบเลยนะ!”
จุนจีเดินออกไปลีจองกุ๊กถอนหายใจ พลันสายตาก็ไปเจอซองซูที่ยืนจ้องอยู่
ซองซูยักคิ้วให้ลีจองกุ๊กกวนๆแล้วเดินไป โทรศัพท์ของจุนจีสั่นอีกครั้ง ลีจองกุ๊กล้วงออกจากกระเป๋ามาดู เป็นข้อความจากกรรัมภา
“แก้มมาถึงแล้วนะคะ จอดรถแล้ว จุนจีจะให้แก้มรอที่ไหนคะ”
ลีจองกุ๊กลังเลใจอยู่สักพัก ก็ตัดสินใจพิมพ์ข้อความจากโทรศัพท์จุนจีตอบกลับไป
โทรศัพท์กรรัมภาสั่น กรรัมภารีบคว้าขึ้นมาอ่านข้อความ
“ผมเหลืออีกคัทเดียวจะถ่ายเสร็จแล้ว คุณไปรอผมที่ล๊อบบี้นะ จะรีบลงมาหาครับ...จุนจี”
กรรัมภายิ้มออก
“ขอบคุณมากนะคะจุนจี จริงๆแก้มไม่ได้อยากกวนคุณ แต่ตอนนี้มันแย่...แย่ๆ...แย่เกินกว่าจะอยู่คนเดียวจริงๆ...”
กรรัมภาห้ามน้ำตาไม่ให้ไหล
“หยุด...พอ...จบ! วันนี้เธอร้องไห้เกินโควต้าแล้วกรรัมภา มันเปลืองคอลาเจน”
กรรัมภาปาดน้ำตา เปิดประตูลงจากรถ
กรรัมภาเดินเข้ามาในล๊อบบี้ เธอมัวแต่ส่องกล้องหน้าของมือถือแทนกระจกเพื่อ เช็คหน้าตา จึงไม่ทันเห็นกลุ่มนักข่าวที่ออกันอยู่
กลุ่มนักข่าวหันมาเห็นกรรัมภา ยืนนิ่งกันหมด พยายามเล็งว่าใช่ไหม กรรัมภาผิดสังเกต เลยหยุดเดิน เงยหน้าขึ้นมอง เห็นนักข่าวเป็นโขยง ต่างฝ่ายต่างมอง ยืนแข็งทื่อทั้งสองฝั่ง ทันใดนักข่าวคนหนึ่งตะโกนขึ้น
“เฮ้ย! นั่นไฮโซแก้มจอมลวงโลก หนึ่งในสาวซิกส์เซ้นส์”
นักข่าวอีกคนหันมองตาม
“จริงด้วย...สงสัยจะมาหาจุนจีแหงๆ เร็วทุกคน”
นักข่าวกรูเข้าไปล้อมกรรัมภา
“ว้าย...นักข่าว”
กรรัมภาหันหลังจะวิ่งกลับ แต่เพราะตั้งตัวไม่ทันจึงตกอยู่ในวงล้อมของนักข่าวอย่างรวดเร็ว
“นี่คุณแก้มกับแก๊งค์ได้รับการประกันตัวแล้วเหรอครับ หลักทรัพย์เท่าไหร่ครับ”
“ธุรกิจนำเข้าเครื่องสำอางจากเกาหลีของคุณพ่อคุณแก้มมีปัญหาเหรอคะ คุณแก้มถึงต้องมาทำอาชีพทรงเจ้าเข้าผีหลอกลวงชาวบ้าน”
“แล้วที่ตามประกบปาร์คจุนจีไปทุกที่แบบนี้ ไม่ทราบว่าเป็นแผนหลอกจับซุปตาร์เกาหลีหรือเปล่าคะ”
กรรัมภาอึ้งกับแต่ละคำถามที่ยิงมา จนอยากจะวิ่งหนี แต่แข้งขาอ่อนเพราะจิตตกอย่างหนัก ขณะนั้นซองซูออกจากลิฟท์ ตั้งใจจะเดินตรงมาหานักข่าวพอดี พึมพำกับตัวเอง
“หนีนักข่าว ก็จะไม่เป็นข่าว ...ถึงคราวพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสแล้วซองซู”
ทันใดนั้น ซองซูก็ฝ่าวงล้อมของนักข่าวเข้ามา คว้ามือกรรัมภาไว้ แล้วประกาศเสียงดัง
“ขอโทษพี่ๆทุกคนนะครับ พอดีคุณแก้มเธอนัดมาคุยงานกับผม ไม่ใช่นัดจุนจีครับ เราต้องขอตัวก่อน...ขอโทษจริงๆนะครับ...ไปกันเถอะครับคุณแก้ม”
ซองซูรีบลากกรรัมภาออกไป กลุ่มนักข่าวพยายามถ่ายภาพกันไม่หยุด
“วันก่อนอยู่กับปาร์คจุนจี มาวันนี้นัดกับคิมซองซู ยัยไฮโซแก้มนี่แรงสุดๆเลยนะเนี่ย”
นักข่าวจับกลุ่มเมาท์กันไม่หยุด
อาหารหลายอย่างในจานยังเต็ม เหมือนตอนอรวรรณยกมาให้ญาณินเมื่อชั่วโมงที่แล้ว
ญาณินยืนมองฟ้าอย่างเศร้าใจ
อรวรรณแอบยืนมองญาณินอยู่ด้วยความทุกข์ใจ ติณห์เดินออกมาหา
“ป้าออไปพักเถอะครับ ผมไปดูคุณณินเอง”
“ฝากคุณหนูด้วยนะคะ”
“ครับ”
อรวรรณกลับเข้าบ้าน ติณห์เดินเข้าไปสวมกอดญาณินจากทางด้านหลัง
“ฉันพยายามทำใจให้นิ่งที่สุดแล้ว แต่สุดท้ายฉันก็ยังทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ ทำไมความดีถึงแพ้... ธรรมะต้องยอมสยบต่อมารร้าย”
ญาณินน้ำตารื้อ พยายามเงยหน้าขึ้นซ่อนน้ำตา
“แต่ยังไงเราก็จะยึดมั่นศรัทธาในตัวเราเอง ศรัทธาในความดี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันคงเป็นอุปสรรคที่จะทำให้เราแข็งแรงขึ้น มั่นคงขึ้น”
“แล้วเมื่อไหร่เราจะผ่านมันไปได้”
“Soon... ไม่นานหรอกนะดาร์ลิ้ง คุณต้องแข็งแรงไว้ เริ่มจากร่างกายก่อนนะ”
ติณห์ประคองญาณินให้ลงนั่ง แล้วตักข้าวป้อน ญาณินยิ้ม
“ดาร์ลิ้งของผมยิ้มแล้ว...รู้มั้ยเวลาคุณยิ้ม ทำให้โลกสว่างกว่าดวงอาทิตย์สามดวงเลยนะ”
“ร้อนแย่กันพอดี ดวงอาทิตย์สามดวง”
มุมหนึ่งนอกรั้วบริษัทซิกส์เซนส์ จิตของเบญจายืนดูภาพติณห์กับญาณินมีความสุขกัน
จิตเบญจาน้ำตาคลอ
“พี่ติณห์...ทำไม...เบญจาสู้อีกญาณินไม่ได้ตรงไหน...” จิตเบญจาเริ่มจะโมโห
จิตเบญจาทนไม่ไหว จะพุ่งเข้าไปหาติณห์กับญาณิน แต่แล้วจิตเบญจาชะงัก แล้วหายวับไปที
คฤหาสน์ร้าง สำนักใหม่สมคิด กายหยาบของเบญจาที่นั่งขัดสมาธิอยู่ ลืมตาโพลง สมคิดนั่งอยู่ตรงหน้า มีกรกฎยืนอยู่ข้างๆ
“ถอดจิตไปไหนมา”
เบญจาอึกอัก ไม่กล้าสบตา
สมคิดตะคอก
“ฉันถามว่าถอดจิตไปไหนมา”
“คือ...หนู...”
“งี่เง่าที่สุด ...ต่อไปนี้ฉันขอสั่ง ห้ามแกคิดถึงไอ้ติณห์อีกเด็ดขาด ตอนนี้สิ่งที่แกต้องคิดมีเพียงเรื่องเดียว คือ สร้างฐานอำนาจ และทำให้ฉันกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง”
สมคิด กรกฎ หันเดินจะออกจากห้อง เบญจารวบรวมความกล้าพูดขึ้น
“แต่หนูไม่อยากทำแล้ว”
สมคิดหยุดกึก ค่อยๆหันกลับมามองเบญจาตาแข็ง
สมคิดไม่เชื่อหู
“แกพูดอีกทีซิ”
“หนูบอกพ่อว่า หนูไม่อยากทำแล้วค่ะ...”
กรกฎมองปฏิกิริยาของสมคิด
“พูดต่อซิ”
“...ตอนนี้บริษัท ซิกส์เซนส์ ถูกปิด นังผู้หญิงพวกนั้นก็แยกกันไปคนละทาง พลังวิเศษทั้งห้าไม่ถูกรวมกันอีกแล้ว หนูทำงานที่พ่อมอบหมายสำเร็จ หน้าที่ของหนูก็ควรจบลงได้แล้ว”
สมคิดค่อยๆเดินเข้าไปหา เบญจากลัวถอยหลังไปติดกำแพง สมคิดยื่นมือไปบีบแก้มเบญจาอย่างแรง
“ฉัน...คือ...ผู้ให้ชีวิตแก เพราะฉะนั้น แกมีหน้าที่ต้องรับใช้ฉันไปตลอดชีวิต...จำไว้”
“แต่หนูเป็นลูก ไม่ใช่ทาส”
“จะเป็นลูก หรือเป็นทาสมันก็ไม่ต่างกัน เพราะแกไม่มีสิทธิ์คิดกบฏกับฉัน”
เบญจาเจ็บปวดจนทนไม่ได้ กระชากมือสมคิดออกอย่างแรง แล้ววิ่งออกไป
“ท่านจะรอไปถึงเมื่อไหร่ครับ” กรกฎถาม
“อีกไม่นานหรอกกรกฎ ฉันจะให้มันทุกข์เพราะความรักให้ถึงที่สุด เมื่อนั้น มันจะลืมความเป็นคนที่มีความอ่อนแอ แล้วด้านมืดในตัวมันจะทรงพลังจนไม่มีใครหรืออะไรทำอะไรมันได้ ฮ่าๆ”
ในร้านอาหาร แก้วเครื่องดื่มถูกพนักงานเสิร์ฟวางลงตรงหน้ากรรัมภาที่ยังนั่งน้ำตาซึม
“ขอบคุณครับ”
ซองซูพยายามเอาใจ
“น้ำผลไม้สด เพื่อผิวสวยของคุณแก้มจะสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก” ซองซูยกแก้วขึ้นยื่นให้แก้ม “ดื่มซะหน่อยนะครับ อาจจะช่วยให้คุณแก้มรู้สึกสดชื่นขึ้น”
กรรัมภารับแก้วมาดื่ม
“ขอบคุณค่ะ”
กรรัมภาดื่มไปเกือบครึ่งแก้ว
“ผมเห็นข่าวบริษัทของคุณแก้มกับเพื่อนๆตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วละครับ แต่ไม่รู้รายละเอียดอะไรสงสัยจะเป็นเรื่องใหญ่มาก นักข่าวถึงได้รุมทึ้งคุณแก้มขนาดนั้น”
กรรัมภาปล่อยโฮ
“ถ้าจุนจีไม่นัดให้ฉันมา ฉันคงไม่ต้องเจอเรื่องแบบนี้...”
“ใจเย็นๆไม่ร้องไห้นะครับ” ซองซูแสร้งยุแยง “แต่ก็แปลกนะครับ จุนจีจะนัดคุณแก้มให้มารอที่ล๊อบบี้ทำไมในเมื่อเขารู้อยู่แล้วว่า มีนักข่าวมารออยู่เพียบ”
“จุนจีรู้...”
“ครับ ผู้กำกับประกาศออกดัง ให้นักแสดงทุกคนใช้ลิฟท์ขนของแล้วก็ออกทางประตูหลัง กันหมดแหละครับ...”ซองซูรีบออกตัว
กรรัมภาน้ำตาคลอ กำแก้วน้ำผลไม้แน่น แล้วยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมด
กรรัมภาทำท่าเหมือนสั่งเหล้า
“น้อง! ขอแบบนี้อีกแก้ว”
ซองซูคว้าแก้วมา
“ผมจัดการให้เองดีกว่าครับ”
ซองซูเหลือบมองกรรัมภา ยิ้มอย่างมีเลศนัย
จุนจีเดินออกมาพร้อมกับลีจองกุ๊ก เพื่อจะมาขึ้นรถตู้ที่จอดอยู่ที่ลาน จุนจีดูโทรศัพท์ในมือไปด้วย
“คุณแก้มไม่ได้โทรมาเลยเหรอ”
“คุณแก้มเธอคงเหนื่อย เจอเรื่องหนักๆมาทั้งวันคงไม่มีแรงออกมาจากบ้านน่ะ คุณแก้มเป็นคนรักสวยรักงามป่านนี้คงนอนเอาช้อนแช่เย็นโปะตาอยู่.. ไว้พรุ่งนี้นายค่อยโทรไปหาเธอดีกว่า วันนี้ให้คุณแก้มได้พักก่อน...เนอะ”
จุนจีไม่ตอบ แต่ก็เห็นด้วยกับลีจองกุ๊ก กำลังจะก้าวขึ้นรถตู้ พลันสายเหลือบไปเห็นรถของกรรัมภาจอดอยู่
“นั่นรถคุณแก้มนี่” จุนจีหันหาลีจองกุ๊ก “ไหนนายบอกว่าเธอไม่ได้มาไง”
ลีจองกุ๊กเลิกลั่ก
“เอ่อ...เอิ่บบ...คือ... รถเหมือนกันมั้ง”
“นายอย่าแถนะ ฉันจำทะเบียนรถคุณแก้มได้”
จุนจีพุ่งไปดูที่รถกรรัมภา เมื่อไม่เห็นวี่แววของกรรัมภา ก็หันมาส่งสายตาเอาเรื่องกับลีจองกุ๊กที่ยืนร้อนรนอยู่ข้างรถตู้
“แก...ไอ้กุ๊ก”
กรรัมภายกน้ำผลไม้อีกแก้วขึ้นดื่ม ซองซูมองตามอย่างพอใจที่เธอดื่มน้ำผสมยานอนหลับ กรรัมภามัวแต่ร้องไห้ จึงไม่รู้สึกว่าตัวเองค่อยๆซึมและเริ่มง่วงนอน
“...ไม่อยากคุย ไม่อยากเจอก็บอกกันตรงๆก็ได้ ไม่เห็นต้องใช้วิธีนี้เลย...ฮ้าว...”
“คุณแก้มอย่าคิดมากเลยครับ จุนจีมันทำแบบนี้ประจำน่ะครับ ตอนอยู่ที่เกาหลี”
“คงจะสาวๆเยอะล่ะสิท่า หลอกผู้หญิงมากี่คนแล้วล่ะ”
“นางเอก นางร้ายที่เกาหลีโดนเขาเหมาเรียบหมดแล้วครับ ผมเสียอีกเป็นแค่พระรอง ไม่มีคนสนใจ”
“เสียแรงที่ไว้ใจ” กรรัมภาเริ่มมึนยา
โทรศัพท์กรรัมภาดังขึ้น เห็นเป็นเบอร์จุนจีโทรเข้ามา พยายามเสียงแข็ง
“ ว่าไงคะ คุณปาร์ค จุนจี!”
จุนจีได้ยินเสียงกรรัมภาก็ดีใจมาก
“คุณแก้มคุณอยู่ที่ไหน เป็นยังไงบ้าง...ทำไมทิ้งรถไว้แบบนี้”
กรรัมภาคุยโทรศัพท์ โดยมีซองซูนั่งทำท่าไม่สนใจ แต่แอบฟังอย่างจิตจดจ่ออยู่ข้างๆ
“สนใจด้วยเหรอคะจุนจี”
“โธ่...อย่าพูดอย่างนี้ซิคุณแก้ม ผมเป็นห่วงคุณมากนะ”
“กองไว้ตรงนั้นแหละคะ ปาร์คจุนจี คุณมันก็เป็นพระเอกได้แค่ในจอเท่านั้น ตอนนี้ฉันมีพระเอกตัวจริงนอกจอดูแลอยู่แล้ว คงไม่ต้องรบกวนคุณอีก...แค่...นี้...นะ คร่อก”
แล้วจู่ๆกรรัมภาก็คอพับไป โดยยังไม่ทันกดตัดสายของจุนจี
“คุณแก้มๆ ได้ยินผมไหม ฮัลโหล คุณแก้ม”
“ฮัลโหล...จุนจี”
จุนจีตาโต เพราะได้ยินเสียงซองซูผ่านโทรศัพท์
“ไอ้ซองซู แกทำอะไรคุณแก้ม”
“จุ๊ๆ...ไม่ได้ยินเหรอ คุณแก้มบอกว่า มีพระเอกตัวจริงดูแลอยู่แล้ว เอาเป็นว่าฉันจะดูแลคุณแก้มให้ดีให้มีความสุขเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เลย นายไม่ต้องเป็นห่วง...ฮ่าๆ”
ซองซูหัวเราะแล้วกดตัดสายปิดเครื่องทันที แล้วหยิบซองยาสีขาวในมือออกมาดู
“คุณแก้มบทจะฉลาด ก็ฉลาดเว่อร์ แต่พอความรักบังตานิดหน่อย ก็โง่ซะ”
ซองซูค่อยๆประคองกรรัมภาที่หลับไม่รู้เรื่องเพราะฤทธิ์ยาออกไป
จุนจีตะคอกใส่โทรศัพท์อย่างหัวเสีย
“แกอย่าทำอะไรคุณแก้มนะ ไอ้ซองซู ฮัลโหลๆ...โธ่เว้ย”
จุนจีหัวเสียอย่างหนัก ตัดสินใจพุ่งเข้าไปหาคนขับรถตู้
“เอากุญแจรถมา”
“คะ...ครับ”
จุนจีกระชากคอเสื้อ
“บอกให้เอากุญแจรถมาไง”
คนขับรถลนลานส่งกุญแจรถให้จุนจี
“ครับ กุญแจครับ”
จุนจีได้กุญแจ รีบวิ่งไปเปิดประตูรถตู้ด้านคนขับทันที ลีจองกุ๊กวิ่งมาดักหน้าไว้
“จุนจี...นี่นายจะทำอะไร ฉันว่า นายเลิกเอาตัวไปวุ่นวายกับคุณแก้มได้แล้ว ผู้หญิงคนนี้มีแต่จะทำให้นายเดือดร้อน...”
จุนจีดึงลีจองกุ๊กอัดติดประตูรถตู้
“นายเงียบไปเลยนะ จำไว้ ถ้าคุณแก้มเป็นอะไรไปละก็นายจะเป็นอีกคนที่ฉันจะเอาเรื่องต่อจากไอ้ซองซู”
จุนจีหุนหันขึ้นรถตู้ แล้วขับออกไปทันที
“เดี๋ยวก่อน จุนจี...จุนจี” ลีจองกุ๊กพยายามร้องเรียก แต่ไม่สำเร็จ
ประตูลิฟท์เปิดออกชั้นที่นักแสดงพัก ซองซูประคองกรรัมภาที่เบลอเพราะฤทธิ์ยานอนหลับไว้ในอ้อมแขน
“จะ...ปาย...ไหน เหรอคะ?”
“พาคุณแก้มกลับไปเอารถไงครับ ใจเย็นๆนะครับ เดี๋ยวก็ถึงแล้ว...”
ซองซูประคองกรรัมภาไปตามทางเดินในโรงแรม
จุนจีขับรถตู้ด้วยความเร็วสูง หัวใจเป็นห่วงกรรัมภาอย่างหนัก รถตู้ทะยานแซงทุกโค้ง ปาดหน้ารถทุกคัน
ซองซูเปิดประตูห้องเข้ามา แล้วค่อยๆพากรรัมภาไปที่เตียง ซองซูวางกรรัมภาลงบนเตียง แล้วไล่มองเรือนร่างของกรรัมภาอย่างหื่นมากๆ
“คิ้วหนา ตาโต ปากนิด จมูกหน่อย..มิน่าละ ไอ้จุนจีมันถึงหวงก้าง แต่เสียใจ...คืนนี้ คิมซองซู จะกินไม่ให้เหลือก้างเลย...อิๆ”
รถณัฐเดชเข้ามาจอดหน้าบ้านเนตรสิตางศุ์ เขาคุยโทรศัพท์มือถือไปด้วย
“ใช่…แกช่วยหาเส้นทางการเงินของไอ้อติเทพมาหน่อย ภายในสามเดือนที่ผ่านมา”
ณัฐเดชเปิดประตูลงมา เปิดประตูหลังเอาของที่เบาะหลัง ขณะที่ในสำนักงานตำรวจที่ณัฐเดชทำงาน ตำรวจลูกทีมคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าคอม จดสิ่งที่ณัฐเดชสั่ง
“แต่ตรวจสอบบัญชีในธนาคาร เราต้องทำเรื่อง ไหนจะต้องเข้าไปคุยกับทางธนาคาร..”
ณัฐเดชเอาของหลังรถเรียบร้อย ปิดประตูหลัง
“ฉันรู้ว่าแกทำได้ ไม่มีใครรู้ระบบคอมทุกอย่างเท่าแกแล้ว เออ...ก็อย่าให้ผู้การรู้สิวะ”
ณัฐเดชเดินเข้าบ้าน
“บ่อนทุกบ่อนที่มันเคยไปสั่งพวกเราตาม คนสนิทที่มันเกี่ยวข้อง รวมถึงทนายสมชาย และอรวีเลขามัน”
ณัฐเดชเปิดประตูเข้ามาในบ้านอย่างอ่อนล้า วางโทรศัพท์มือถือ แล้วต้องแปลกใจ อาหารฝรั่งสุดหรูวางอยู่บนโต๊ะ ภายในบ้านสลัวไปด้วยแสงไฟจากเทียนไข ครู่หนึ่งเสียงเพลงดังขึ้น ณัฐเดชหันไปตามที่มาของเสียง ทันใดนั้น ก็มีผ้าลูกไม้สีดำมาผูกตาเขาเอาไว้ และเพราะไม่ทันตั้งตัวจึงเซลงไปนั่งบนเก้าอี้ สุพิชชาในชุดลูกไม้สุดเซ็กซี่กอดคอณัฐเดชไว้
“พีช...”
“ค่ะ...พีชเองค่ะ เหนื่อยนักก็พักหน่อยนะคะ พีชจะช่วยให้พี่ณัฐผ่อนคลาย...นะคะ”
สุพิชชาลูบไล้ไปตามแขน ณัฐเดชอึกอัก
“อย่าเลยพีช...เดี๋ยวยัยเนตร...”
สุพิชชาเอานิ้วแตะปากณัฐเดช
“น้องเนตรยังไม่กลับค่ะ พอน้องเนตรมาพีชจะกลับทันที”
สุพิชชาลุกขึ้น แล้วลากณัฐเดชที่ยังคงถูกปิดตาอยู่ลุกตามไป
ซองซูถอดเสื้อตัวเองออก แล้วค่อยๆโน้มตัวเองลงลูบไล้ใบหน้ากรรัมภาเบาๆ แล้วสายตาก็มาหยุดที่ริมฝีปาก ซองซูก้มหน้าลงจะจูบปากแก้ม ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียง กริ่ง ดังขึ้น ซองซูชะงัก
“ใครวะ”
ซองซูเดินไปส่องตาแมว แทนสายตาซองซูเห็นพนักงานโรงแรมพร้อมรถเข็นอาหารที่มีขวดแชมเปญอยู่ในที่แช่
“แชมเปญครับ”
ซองซูตะโกน
“ฉันไม่ได้สั่ง ผิดห้องแล้ว”
ซองซูสบถอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วย้อนกลับมาหากรรัมภาที่ยังคงนอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียง ซองซูโน้มตัวลงปลดกระดุมเสื้อกรรัมภาอย่างรีบร้อน
“ใจเย็นๆ...อย่าใจร้อนนะซองซู...นายมีเวลาทั้งคืน”
เสียงกริ่งดังขึ้นอีกครั้ง ซองซูชะงัก เดินไปส่องตาแมวที่ประตูอีกครั้ง พนักงานคนเดิมยังคงยืนอยู่
“ส่งแชมเปญครับ”
ซองซูอารมณ์เสียทันที เปิดประตูออกไป
“ใครส่งมาให้ฉัน”
“เขาไม่บอกชื่อครับ บอกแต่ว่าขอให้มีความสุขครับ”
“เอ้า...รีบๆเข้ามาวางไว้กลางห้องแล้วรีบออกไป”
“ครับผม”
พนักงานเข็นรถเข้ามาแล้วรีบออกไป
พอพนักงานออกไป ซองซูรีบปิดประตูทันที พอซองซูดึงประตูปิดก็ชะงัก เมื่อเห็นจุนจียืนอยู่หลังประตูที่เปิดคาเอาไว้ภายในห้อง
“ขอให้มีความสุข ไอ้ซองซู”
เท้าข้างหนึ่งของจุนจีถีบซองซูกระเด็นกลับเข้าไปในห้อง ซองซูเซกระแทกพื้นมึนตึ๊บ
“โอ้ย”
จุนจีก้าวเข้ามาในห้อง
“จุกเลยละซิไอ้หมาจิ้งจอก”
จุนจีพุ่งเข้าไปหากรรัมภาที่นอนหลับไม่ได้สติ
“คุณแก้ม...คุณแก้มตื่นซิ...”
“หนอย...ไอ้จุนจี ไอ้มารชีวิต”
ซองซูพุ่งไปคว้าไหล่จุนจีให้หันมา แล้วซัดหมัดเข้าหน้าจุนจีเต็มๆ จุนจีเซล้มไปข้างกรรัมภา ซองซูจะพุ่งไปซ้ำ แต่จุนจีหลบแล้วขึ้นมายืนตั้งท่าเทควันโด้ ซองซูคว้าโคมไฟตั้งโต๊ะมาฟาดจุนจี จุนจีไวกว่า หลบได้ พร้อมหมุนตัวเตะซองซูตัวงอ แล้วเหวี่ยงซองซูเข้าไปในห้องน้ำ
ซองซูเซตามแรงเหวี่ยงเข้ากระแทกกับอ่างล้างหน้า จุนจีตามมาล๊อคแขนซองซู เข่าเข้าที่ขาพับซองซูทรุดลง จุนจีล๊อคคอซองซูให้เงยหน้าขึ้นมองกระจก อีกมือเปิดน้ำก๊อกใส่อ่าง
ซองซูกลัวตาย
“แกจะทำอะไรฉัน”
“ล้างหน้าให้แก”
จุนจีจับหัวซองซูกดลงแช่น้ำในอ่าง ซองซูดิ้นขลุกขลัก แล้วก็ถูกดึงขึ้นมา จุนจีกดหัวซองซูลงไปอีก ซองซูดิ้นสุดชีวิต จุนจีดึงขึ้นมา แล้วปล่อยตัวซองซูกองกับพื้น
“ทีนี้ตาสว่างแล้วสินะไอ้ซองซู”
ซองซูหายใจหอบใหญ่ จุนจีออกมาดูกรรัมภาที่เตียง
“จำเอาไว้คุณแก้มคือคนรักของฉัน แกห้ามยุ่ง”
กรรัมภายังคงไม่ได้สติ จุนจีรีบอุ้มกรรัมภาออกไป
วรวรรธขี่มอเตอร์ไซค์คู่ใจมาส่งเนตรสิตางศุ์ เห็นรถณัฐเดชจอดอยู่แล้ว
“คุณเนตร แน่ใจนะครับว่าไม่ให้ผมเข้าไปส่งในบ้าน”
“ไม่ละคะ เดี๋ยวเนตรจะรีบมุดเข้าห้องนอนเลย ไม่อยากเจอคน..”
ทั้งคู่มองหน้ากัน เนตรสิตางศุ์เครียดไม่อยากเจอณัฐเดช
“เดี๋ยวถึงบ้านแล้วผมจะโทรหานะ”
“ค่ะ หมอ”
เนตรสิตางศุ์เปิดประตูเข้ามาเงียบๆ เนตรสิตางศุ์เข้ามาในบ้าน แสงไฟสลัว มีเสียงเพลงโรแมนติกดังมาจากมุมหนึ่ง เนตรเดินไปทางที่มาของเสียงเพลง เห็นเงาของณัฐเดชกับสุพิชชากำลังกอดกัน เต้นรำไปตามจังหวะเพลง เงาของสองคนเอาจมูกชนกัน มองในความมืดเหมือนกำลังจูบกัน เงาสุพิชชาค่อยๆ ดันตัวณัฐเดชจนไปชิดกับเก้าอี้ แล้วทั้งคู่ก็ล้มลงไปบนโซฟาพร้อมๆกัน
วรวรรธที่ตัดสินใจเดินตามมา ยืนมองอย่างตกตะลึง ขณะที่เนตรสิตางศุ์โกรธมาก
“พี่ณัฐ”
ณัฐเดชได้สติกระชากผ้าผูกตาออกทันที
“ยัยเนตร”
เนตรสิตางศุ์หมดความอดทน เข้าไปเอาเรื่องณัฐเดช
“นี่มันอะไรกันคะพี่ณัฐ ทำไมพี่ณัฐทำแบบนี้”
“พี่ทำอะไรเนตร”
“เล่นปิดตาตีหม้อมั้งคะ”
“ยัยเนตร…รู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา”
สุพิชชารีบแทรก
“พี่ขอโทษนะคะน้องเนตร มันเป็นความผิดของพี่เอง พี่แค่อยากช่วยให้พี่ณัฐได้ผ่อนคลายบ้าง ช่วงนี้พี่ณัฐเจอแต่เรื่องหนักๆมาตลอดเลย”
“อยากช่วย..อยากผ่อนคลาย หรืออยากจะทำอะไรมากกว่านี้ ก็ไปทำในที่ส่วนตัวที่อยู่กันแค่สองคนซิคะ แต่ไม่ใช่ที่นี่ บ้านหลังนี้เนตรก็ยังอยู่ด้วย หรือว่าพี่ณัฐลืมไปแล้วว่าเนตรเป็นน้องสาวพี่”
ณัฐเดชอึ้ง สุพิชชาพูดยั่ว
“น้องเนตร พอเถอะค่ะแค่ปัญหาของบริษัทน้องเนตรก็ทำให้พี่ณัฐโดนพักงาน พี่ณัฐเครียดจนแทบบ้าอยู่แล้ว หยุดต่อว่าพี่ณัฐให้แย่ไปกว่านี้เลย”
เนตรสิตางศุ์อึ้ง ถูกแทงใจดำน้ำตารื้อคลอเบ้า
วรวรรธทนไม่ได้โพล่งขึ้นมา
“คุณนั่นแหละกำลังสร้างปัญหาเพิ่มให้กับพวกเราพีช ผมว่าคุณควรกลับไปได้แล้ว”
ณัฐเดชแทรกทันที
“นายนั่นแหละที่ควรกลับไปไอ้หมอ”
“พี่ณัฐ...”
“นี่เป็นเรื่องระหว่างฉัน พีช และยัยเนตร ไม่เกี่ยวกับนาย”
“ทำไมจะไม่เกี่ยว ผมเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น พี่ณัฐก็รู้”
“ไอ้หมอ แกหยุดพูดเดี๋ยวนี้...”
“ผมไม่เข้าใจ...ผมไม่เข้าใจพี่จริงๆ พี่ณัฐ เวลาปฏิบัติหน้าที่ปัญหาเล็กๆที่คนอื่นมองข้าม แต่พี่จะมองเห็น พี่จะรู้ว่าอะไรคือปัญหา แล้วพี่จะแก้ไขมันยังไง...แต่ทำไมพี่กลับมองไม่ออกว่าผู้หญิงคนนี้ต้องการจะทำอะไร นี่พี่โง่จริงๆ หรือแกล้งโง่กันแน่”
ณัฐเดชชกวรวรรธ
“ฉันบอกให้แกหยุดพูดไง”
เนตรสิตางศุ์ตกใจ ในขณะที่สุพิชชายืนมองนิ่ง แอบสะใจเล็กๆ
“หมอ”
ณัฐเดชพุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อดึงวรวรรธขึ้นมา วรววรธปากแตกเลือดซิบ แต่ยังท้าทาย
“เอาเลยพี่...ต่อยผมอีก เตะ กระทืบ เหมือนที่เคยทำ...ผมพูดแทงใจดำพี่ใช่มั้ยล่ะ พี่รักผู้หญิงคนนี้จนเกินกว่าจะยอมรับว่าเขากำลังพยายามเล่นเกมส์ปั่นหัวพวกเรา เขากำลังพยายามทำร้ายพวกเราทุกคนใช่มั้ย”
ณัฐเดชง้างหมัดค้าง เพราะคำพูดหมอกระแทกใจสุดๆ ในที่สุดก็ผลักวรวรรธไปกองที่พื้น
“แกออกไปจากบ้านฉัน...ไป๊”
เนตรสิตางศุ์เสียใจ ที่ณัฐเดชไม่ยอมรับความจริง เดินตรงไปหาวรวรรธ
“เนตรไปด้วยค่ะ”
“เนตร”
“พี่ณัฐอย่าคิดจะมาห้ามเนตร เพราะถึงยังไงเนตรก็ไม่มีวันอยู่กับคนที่ตาบอด ใจบอดไปแล้ว เชิญพี่ณัฐกับพี่พีชคลายเครียดตามสบายเลยนะคะ เนตรจะไม่กลับมาเป็นก้างขวางคออีก...ไปค่ะหมอ ไปเดี๋ยวนี้”
เ
นตรสิตางศุ์วิ่งนำวรวรรธไปที่มอเตอร์ไซค์ วรวรรธตามไปแล้วสตาร์ทรถ ออกตัวอย่างรวดเร็ว ณัฐเดชวิ่งตามออกมา
“ยัยเนตร...ยัยเนตร”
ณัฐเดชชะงักอยู่แค่หน้าประตู เพราะสุพิชชามาคว้าแขนไว้
“พี่ณัฐคะ...พี่ณัฐอย่าไปฟังวรรธนะคะ พีชรักพี่ณัฐ พีชรักน้องเนตร พีชไม่เคยคิดแบบนั้นนะคะ วรรธใส่ร้ายพีช วรรธใส่ร้ายพีช”
ณัฐเดชสุดสับสนและอึดอัด แต่ก็ยังกอดตอบสุพิชชาด้วยความรัก ขณะที่สุพิชชายิ้มออกมาอย่างสะใจ
จุนจีอุ้มกรรัมภาเข้ามาในห้องพักของเขา แล้ววางลงอย่างถนอม
“คุณแก้ม...คุณแก้ม...กลิ่นแหล้าก็ไม่มี โดนยานอนหลับแน่ๆ เป็นสาวเปรี้ยวยังไงไม่ทันคนเอาซะเลย”
จุนจีส่ายหน้า มองกรรัมภาอย่างเอ็นดู ระหว่างนั้นกรรัมภาก็สะลึมสะลือลืมตาขึ้นมา
“จุน...จี...”
“ใช่...ผมเองคุณแก้ม...คุณปลอดภัยแล้วนะ”
กรรัมภาพะอืดพะอม
“จุนจี...ฉัน...ฉันจะ...”
“แก้ม...คุณเป็นอะไร”
กรรัมภายันตัวขึ้น
“ฉัน...รู้สึก อยากจะ...”
“รู้สึกอะไรคุณแก้ม คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
กรรัมภาพยายามยันตัวขึ้น
“ฉัน...จะ..แหวะ”
กรรัมภาพูดไม่ทันจบ ก็อ้วกพุ่งใส่จุนจีเต็มๆ ทั้งตัวเขาและเธอต่างเปื้อนอ้วกไปหมด
“อึ๋ยยย...คุณแก้ม”
กรรัมภาเอามือปาดปาก
“ฉันจะ...อ้วก...”
กรรัมภาพูดจบก็ล้มตัวลงไปนอนต่ออย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
เนตรสิตางศุ์นั่งร้องไห้ริมทะเลคนเดียว บริเวณด้านหน้าบ้านป้าสุดใจที่พัทยา วรวรรธเดินออกมาจากบ้าน เดินมาหา
“หยุดร้องไห้ได้แล้วครับคุณเนตร ร้องไห้ทั้งคืนแบบนี้ ต่อมน้ำตาอักเสบกันพอดี”
เนตรสิตางศุ์ยังคงสะอื้น
“เนตร...เนตร...ก็อยากจะหยุด แต่มันหยุดไม่ได้คะ”
วรวรรธเอาผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้
“ผมเข้าใจครับ แต่คุณเนตรต้องเข้มแข็งนะ คุณเนตรของผมเก่งขึ้นตั้งเยอะแล้ว”
“เรื่องอื่นเนตรอาจจะเก่งขึ้น แต่เรื่องพี่ณัฐกับพี่พีช เนตรยอมแพ้ค่ะหมอ พี่ณัฐไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย แต่ตั้งแต่พี่พีชเข้ามา...” เนตรสิตางศุ์ปล่อยโฮอีกครั้ง
วรวรรธกอดเธอไว้แน่น
“เราอาจต้องให้เวลาพี่ณัฐหน่อยนะครับ ผมเชื่อว่าทุกอย่างจะมีทางออกที่ดี...นะครับ”
ประตูบ้านเปิดออก ป้าสุดใจถือไม้เรียวยืนจังก้าอยู่หน้าบ้าน
“มายืนกอดกันกลมตั้งแต่ตะวันเพิ่งขึ้นแบบนี้ ไม่อายผีสางเทวดาบ้างหรือยังไง”
วรวรรธกับเนตรสิตางศุ์สะดุ้งสุดตัว ผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว มองหน้ากันเลิกลั่ก
อ่านต่อหน้า 2
สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 17 (ต่อ)
วรวรรธนั่งฟังป้าสุดใจอบรมสอนกลอนเนตรสิตางศุ์
“ผู้ใดเกิดเป็นสตรีอันมีศักดิ์ บำรุงรักกายไว้ให้เป็นผล สงวนงามตามระบอบให้ชอบกล จึงจะพ้นภัยพาลการนินทา”
“คุณเนตรกำลังเสียใจ หนูเลยอยากให้กำลังใจ อีกอย่างหนูกับคุณเนตรเราก็เป็นแฟนกัน...”
วรวรรธพยายามอธิบาย ป้าสุดใจแทรกทันที
“เป็นแฟนกันแล้วยัง เด็กสมัยนี้ชอบเอาคำว่าแฟนมาเป็นข้ออ้างในการทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม...ชิงสุกก่อนห่าม”
“ป้าสุดใจคะ เนตรกับหมอแค่กอดให้กำลังใจกันเฉยๆ ไม่เคยทำอะไรเกินเลยมากกว่านั้น”
“แล้วเธอรับประกันได้ยังไง มันจะไม่ไปถึงไหนต่อไหนในที่สุด”
“ป้าก็...อย่าคิดมากซิครับ”
“คิดมากน่ะดีแล้ว คิดน้อยๆแบบคนสมัยนี้ปัญหาถึงบานตะไท แล้วนี่แม่หนูเนตรจะมาพักอยู่กับฉันสักกี่นานกันละ”
“นึกว่าป้าจะไม่ถามเรื่องนี้ซะแล้ว”
ป้าสุดใจง้างไม้เรียว
“ยอกย้อน ประชดประชัน เดี๋ยวโดนป้าบ”
“หนูขอโทษคร้าบ...”
“เนตรก็...คิดจะรบกวนคุณป้าจนกว่า...”
เนตรสิตางศุ์ไม่รู้จะตอบอย่างไร จิตใจยังว้าวุ่น
“เอาละๆ จะอยู่ที่นี่นานแค่ไหน ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก ตามสบายเถอะ แค่อยากจะบอกให้ฟังว่า อย่ามัวแต่ฟังเหตุผลของตัวเอง จนลืมเปิดหูฟังเหตุผลของคนอื่นด้วยละ”
“ค่ะคุณป้า...” เนตรสิตางศุ์ยกมือไหว้ “เนตรขอบพระคุณมากนะคะ”
ป้าสุดใจลุกขึ้นเดินจะเข้าบ้าน
วรวรรธรีบปรี่เข้ามาจับมือหวังให้กำลังใจเนตรสิตางศุ์ แต่ป้าสุดใจย้อนกลับเข้ามา
“แน่ะ”
วรวรรธกับเนตรสิตางศุ์กระเด้งออกจากกันทันที
“เผลอเป็นไม่ได้ เดี๋ยวพาหนูเนตรเข้าไปทานอาหารเช้าด้วยล่ะ”
“ครับป้า...” วรวรรธยิ้มแหย
ไตรรัตน์นั่งทานอาหารเช้ากับสมาชิกในบ้าน อาม่าปลอบสุคนธรสก่อนใคร
“โอ๋ๆ...อารส...ไม่ต้องเสียใจนะลูก กลับมาอยู่บ้านเรา อาม่าจะดูแลหนูเอง”
“ขอบคุณค่ะอาม่า”
“เรื่องคดีไม่ต้องเป็นห่วงนะ เดี๋ยวเตี่ยกับแม่จะวิ่งเต้นหาทนายเก่งไปสู้กับมันเอง” เสี่ยจำเริญบอก
“ตอนนี้พวกเราโดนปิดบริษัทชั่วคราวค่ะ”
ทุกคนอึ้งๆไป
“เอ่อ...ปิดไปก่อนก็ดีแล้ว เดี๋ยวพอเสร็จเรื่องคดี ค่อยเปิดกันใหม่ อุ้ย...ใครๆเขาก็ทำกันยังงี้ทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวปิดเดี่ยวเปิด” อาอี้เสริม
“นั่นซิ ถือซะว่าหยุดพักร้อน หนูน่ะทำงานหนัก แทบไม่ได้อยู่บ้านอยู่ช่องเลยดีแล้ว จะได้มีเวลาอยู่กับอาตี๋น้อยเยอะๆ ลูกฉันยิ่งไม่ค่อยมีน้ำยาอยู่” เจ๊หญิงแซว
“แม่อ่ะ! ทำไมดูถูกลูกตัวเองอย่างงี้”
“เออ...ฉันดูถูกๆแก แกจะจะได้มีความพยายามมากขึ้น”
สุคนธรสหน้าซีด ทานข้าวไม่ค่อยลง เสี่ยจำเริญสังเกตได้
“เอ๊า… มัวแต่เถียงกับแม่แกอยู่นั่นแหละ หนูรสดูท่าทางเพลียนะ อาตี๋น้อยพาหนูรสไปพักผ่อนก่อนดีกว่านะ ”
“ไปพักผ่อนให้สบายนะลูกนะ เดี๋ยวให้อาอี้เค้าทำของบำรุงให้กิน”
“ได้อาม่า เดี๋ยวฉันจะขุนให้อ้วนเลย จะได้อวบอั๋นกับเขามั่ง”
“เอาเลยอาอี้ผมชอบ”
สุคนธรสเหมือนโดนย้ำเรื่องทายาท และความพร้อมของร่างกายอีกเลยหมดกำลังใจ
“ไปกันเถอะจ๊ะที่รัก ผมพาไปเอ่เอ้นะ”
“ไม่เห็นต้องอุ้มเลย ฉันเดินเองได้”
“น่า...นะ! ให้ผมได้ดูแลคุณบ้าง”
สุคนธรสฝืนยิ้มเศร้าๆ ไตรรัตน์เห็นแล้วเห็นใจ ตบมือที่โอบไหล่อยู่เบาๆ สุคนธรสโอบสองแขนรอบคอไตรรัตน์ ซบอยู่กับคอไตรรัตน์ ให้เขาอุ้มเดินไป
ไตรรัตน์อุ้มสุคนธรสมาที่ห้องนอน ทันทีที่เปิดประตูเข้าห้อง ทั้งคู่ต้องผงะ เมื่อเห็นร่างมืดๆของเด็กอุ้มตุ๊กตายืนอยู่ที่เตียงภายในห้องที่สลัวเพราะปิดผ้าม่าน
“ห่ะ !” ไตรรัตน์และสุคนธรสตกใจ
“ขโมยพี่ไตรของหนูไปทำไม อร๊าย”
เสียงโบตั๋นตวาดเกรี้ยวกราด พร้อมกับหายวาบมากระชากร่างสุคนธรสร่วงลงพื้นอย่างแรงโครม สุคนธรสไม่ทันระวังตัว ถึงกับมึน
“รส!”
ไตรรัตน์ยืนช็อคมองร่างของสุคนธรสถูกลากหายไปใต้เตียง
“อ๊าย”
พร้อมกับประตูห้องที่ปิดดังลั่น !
ทุกคนกำลังนั่งกินของว่างกันอยู่ ต่างตกใจ ช็อคกับเสียงโครมครามชั้นบนกับเสียงกรี๊ดร้องโหยหวนของโบตั๋น จนมือสั่นถือแก้ว ช้อนกระทบกัน
“อาโบตั๋นเอาอีกแล้ว” อาม่าใจไม่ดี
“เงียบไปได้ตั้งนาน พออาตี๋น้อยกลับมา...เอ่อ...” เจ๊หญิงนึกได้ ”หรือว่าอีกำลังอาละวาดอาตี๋น้อยกับหนูรส”
“จะไปเหลือเรอะ...ตอนตาไตรไม่อยู่บ้าน อีเที่ยวตามหา จนเล่นพวกเราซะหง่อม ตาไตรกลับมา ก็ต้องโดนจัดหนัก” อาอี้บอก
“อาตี๋น้อย”
เสี่ยเจริญกังวลรีบวิ่งขึ้นบันไดไป ทำเอาทุกคนตกใจ
“เสี่ย...เสี่ย...เดี๋ยว..”
เจ๊หญิง อาม่า อาอี๊รีบตามไป
ในห้องนอน...ข้าวของล้มปั่นป่วนด้วยแรงโกรธของผีโบตั๋น ขณะที่ไตรรัตน์หายตกตะลึงแต่ยังตัวสั่นตื่นกลัวผีรีบทิ้งตัวลงถลาไปหาสุคนธรสที่ใต้เตียง
ละล่ำละลักเรียก
“รส...รส…คุณอยู่ไหน”
ทันใด...ร่างสุคนธรสโดนเหวี่ยงลอยมาจากอีกด้านของเตียง ข้ามตัวไตรรัตน์ไป
“ห่ะ!”
ไตรรัตน์ตกใจนั่งผงะมองไป เห็นร่างสุคนธรสถูกตรึงอยู่กับผนังในอาการที่สองมือจับไปที่คอตัวเองหายใจแทบไม่ออกเหมือนถูกบีบคออยู่
“คุณรส”
ไตรรัตน์แผดเสียงเรียกทำท่าจะลุกเข้าไปช่วย แต่วิญญาณโบตั๋นปรากฏตัวขึ้น ยืนอยู่ที่ผนังข้างสุคนธรสในมือถือตุ๊กตาหมีด้วยท่าบีบคอ
“อย่าเข้ามานะ หนูหักคอจริงๆด้วย”
ไตรรัตน์ตกใจแทบช็อค ได้เห็นวิญญาณโบตั๋นเต็มตาเป็นครั้งแรก
“ห่ะ! โบ...โบ...โบตั๋น”
“พี่ไตรไม่รักหนูเลย พี่ไตรไม่คิดถึงหนู”
ไตรรัตน์ได้แต่ส่ายหน้า น้ำตาร่วงเผาะ พูดอะไรไม่ออก ขณะที่โบตั๋นเกรี้ยวกราดขึ้นเรื่อยๆ
“พี่ไตรเอาแต่หลงผู้หญิงคนนี้ ทิ้งให้หนูอยู่บ้านคนเดียว หนูโป้งแล้ว”
โบตั๋นพูดพลางบีบคอตุ๊กตาแน่น ทำให้สุคนธรสหายใจไม่ออก ดิ้นพล่าน
“อ็อกกก”
“ห่ะ...โบตั๋นอย่านะ อย่าทำเมียพี่ พี่รสเขาเป็นคนที่พี่รักนะ ก็เป็นเหมือนพี่สาวของโบตั๋นคนนึง”
“ไม่เอา...หนูไม่อยากมีพี่ที่ไหนอีกแล้ว หนูมีพี่ไตรคนเดียว หนูไม่ยอมให้ใครมาแย่งพี่ไปจากหนู”
โบตั๋นบีบคอตุ๊กตาแรงขึ้น สุคนธรสดิ้นรน พยายามอดทนชี้มือข้างหนึ่งไปที่เป้ของตัวเองที่วางอยู่บนเตียง
“มีด...หมอ...มีดหมอ“
ไตรรัตน์หันไปที่กระเป๋าเป้ ล้วงหยิบมีดหมอขึ้นมาดู โบตั๋นเห็นรัศมีอาคมของมีดสว่างจ้าขึ้นก็กรี๊ดลั่น
“อร๊าย หนูกลัวมีด มีดจะบาดหนู พี่ไตรเอาไปทิ้ง”
สุคนธรสร้องสั่ง
“เขวี้ยงมีด...ไปที่โบตั๋น...เขวี้ยงไป...”
“อย่าทำหนูนะพี่ไตร มีดน่ากลัว มันจะบาดหนูเลือดออก หนูเจ็บนะพี่ไตร”
“เขวี้ยงซิ”
“พี่ไตรอย่าทำหนู หนูรักพี่”
ไตรรัตน์ทรุดนั่งถือมีดร้องไห้ ไม่รู้จะทำยังไงดี จะเขวี้ยงใส่โบตั๋นก็รักน้อง แต่ก็อยากจะช่วยสุคนธรส
เสียงเคาะเสียงเขย่าประตูดังขึ้น เสี่ยจำเริญร้องเรียก
“อาตี๋น้อย...เกิดอะไรขึ้นข้างใน เปิดประตู”
“หนูรสได้ยินไหม...เปิดประตู” เจ๊หญิงช่วยเรียก
“อย่ามายุ่งนะ หนูจะสั่งสอนยัยหน้าแหลมนี่ มันแย่งพี่หนู” โบตั๋นตวาดลั่น
หน้าห้องทุกคนได้ยินเสียงโบตั๋นชัด พากันมองหน้ากันตกใจ
“อาโบตั๋นอีอยู่ในห้องจริงๆด้วย ทำไงดี นู๋รสแย่แล้ว” อาม่ากังวล
เจ๊หญิงกับเสี่ยจำเริญพยายามจะเปิดประตูแต่ประตูล็อค
“โบตั๋นฟังแม่นะลูก อย่าทำพี่เขา พี่รสเป็นคนดี”
“เขาช่วยเหลือพวกเรานะโบตั๋น” อาอี๊ร้องบอก
ปัง! โบตั๋นใช้อำนาจย้ายข้าวของเขวี้ยงมาที่ประตู ทำเอาทุกคนร้องตกใจ
“หนวกหู...หนูไม่อยากฟัง”
“แต่ลูกต้องฟังเตี่ยนะ อาหมวยของเตี่ย อย่าไปทำพี่เขา เปิดประตูให้เตี่ยเข้าไป”
“อย่ามาหลอกหนู หนูไม่ใช่เด็กโง่ หนูฉลาด แต่ถูกทิ้ง หนูไม่ยอมอยู่คนเดียวอีกแล้ว ถ้าทุกคนบังคับหนู หนูจะเอาพี่ไตรไปอยู่ด้วย”
“โบตั๋น อย่าทำพี่เขานะ อย่า เปิดประตูให้แม่เข้านะเถอะลูก”
ทุกคนพากันตกใจร้องห้ามเสียงหลง
ภายในห้อง...สุคนธรสกำลังแย่ ไตรรัตน์เห็นอย่างนั้นเลยเงื้อมีดหมอขึ้น
“โบตั๋นอยากได้พี่ไปอยู่ด้วย ตกลง พี่จะไป แต่โบตั๋นต้องไม่ทำอะไรพี่รสนะ”
“พี่ไตรอย่าหลอกหนูนะ”
“พี่ไม่หลอกโบตั๋นหรอก พี่รักน้องสาวของพี่ ถึงมันจะผ่านมา 16 ปีแล้ว พี่ก็ไม่เคยลืมโบตั๋นเลย”
“ฮือๆ พี่ไตรของหนู พี่จะไปอยู่กับหนู หนูจะไม่เหงาอีกแล้วใช่ไหม”
ไตรรัตน์พนักหน้า
“พี่จะไปหาหนูเดี๋ยวนี้ พอพี่ไปแล้ว หนูต้องปล่อยพี่รสนะ อย่าลืม หนูต้องปล่อย”
ไตรรัตน์เงื้อมีดจะแทงตัวเอง สุคนธรสตกใจ
“อย่านายไตวาย โกลเดนอยู่ไหน...ช่วยที”
สุคนธรสอึดแรงตะโกนออกมา
สิ้นเสียงวิญญาณโกลเดนเบบี๋ก็โผล่พรวดแหวกอากาศเข้ามาทันที โกลเด้นเบบี๋ทำมือปัดส่งพลังไปกระแทกมือไตรรัตน์ จนมีดกระเด็นหลุดจากมือ แล้วโกลเดนเบบี๋ก็พุ่งตัวเข้าไปชนวิญญาณโบตั๋นพาล้มกลิ้งกันไป ตุ๊กตาร่วงจากมือโบตั๋น ทำให้ร่างสุคนธรสที่ถูกตรึงหลุดจากผนัง
“รส...”
ไตรรัตน์รีบเข้าไปโอบร่างสุคนธรสเอาไว้
“ที่รักเป็นไงบ้าง”
“ฉันก็อยากจะเตะนายน่ะซิ คิดได้ไง จะฆ่าตัวตายเพื่อช่วยฉัน”
สุคนธรสพูดด้วยความอัดอั้นเป็นที่สุด ทำเอาไตรรัตน์หน้าเศร้า เถียงไม่ออก สุคนธรสผลักอกไตรรัตน์ออก
“ค่อยคิดบัญชีกับนายทีหลัง ฉันขอปราบพยศน้องสาวนายก่อน”
สุคนธรสคลานไปคว้าเป้ ขณะที่โกลเดนเบบี๋กำลังปล้ำสู้กับโบตั๋น และกำลังแย่เมื่อถูกโบตั๋นขี่หลังและดึงมวยผม
“ฉันไม่ใช่ม้านะ มาขี่ฉัน อ๊าย ผมหนูเสียทรงหมดแล้วพี่รส รีบๆเข้าซิ”
สุคนธรสล้วงเข้าไปในเป้คว้าได้หนุมานของหลวงพ่อสุ่น รุ่นหน้าโขนทรงเครื่อง เลยหันมาชูใส่ไปทางโบตั๋น โกลเดนเบบี๋รู้แกวรีบหายตัวหนีแว๊บไปก่อน
“เอาหนุมานหลวงพ่อสุ่นไปเล่นหน่อยเป็นไง”
“ห่ะ!”
โบตั๋นหันไปมองต้องตกใจ เมื่อเห็นพลังคลื่นเป็นหน้าหนุมานพุ่งคำรามเข้าใส่
“อร๊าย....ไปให้พ้นนะไอ้ลิงบ้า”
แล้วโบตั๋นก็หายตัวแว๊บไป ทำให้ความปั่นป่วนในห้องกลับมาเป็นปกติ สุคนธรสลดมือที่ถือหนุมานลง...คลื่นพุทธคุณของหนุมานหดกลับวูบ
เจ๊หญิง เสี่ยจำเริญ อ่าม่า อาอี๊เปิดประตูผัวะเข้ามา มองสภาพห้องเละ และสุคนธรสกับไตรรัตน์ต่างนั่งอย่างหมดแรง...
“ทีนี้ทุกคนจะเล่าความจริงให้รสฟังได้หรือยังคะ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโบตั๋น”
โกลเดนเบบี๋ยืนพยักหน้าเห็นด้วยกับสุคนธรสอยู่ข้างหลัง เจ๊หญิง เสี่ยจำเริญ ไตรรัตน์สีหน้าจำนนที่จะเล่า
16 ปีก่อน
เสี่ยจำเริญนั่งอยู่ในรถ มีโบตั๋นนั่งถือกล่องของขวัญอยู่ข้างๆ
“พี่ไตรจะชอบของขวัญไหมน้า”
เสี่ยจำเริญหันมายิ้มลูบหัวลูกสาว
“ไม่ชอบได้ไง ก็โบตั๋นทำให้พี่เขาเองกับมือไม่ใช่เหรอลูก?”
“จุ๊ๆ อย่าเอ็ดไปเตี่ย เดี๋ยวพี่ไตรได้ยิน ก็หมดลุ้นกันพอดี”
เสี่ยจำเริญหัวเราะ
“พี่ไตรเขารอหนูอยู่ที่ร้านอาหาร ถ้าได้ยินก็มีหูทิพย์แล้วล่ะลูก”
“เมื่อไหร่จะถึงร้านซะที หนูอยากแฮปปี้เบิร์ดเดย์พี่ไตรแล้ว”
“อีกแป๊บนึงลูก เดี๋ยวเตี่ยแวะรับแม่เขาที่ร้านทำผมข้างหน้าก่อนนะ”
เสี่ยจำเริญพูดพลางมองชะเง้อออกไปนอกหน้าต่างรถ
“จอดที่ข้างหน้านี่แหละ เดี๋ยวฉันลงไปตามเอง”
“ครับเสี่ย”
รถขับเข้ามาจอดริมฟุตบาท คนขับรีบลงมาเปิดประตูให้เสี่ยจำเริญลงจากรถ
“เร็วๆนะเตี่ย หนูอยากเอาของขวัญไปให้พี่ไตรแล้ว”
“เออน่า เตี่ยจะรีบไปเร่งแม่ให้เดี่ยวนี้ ป่านนี้ทำผมเสร็จหรือยัง”
เสี่ยจำเริญเดินตรงไปที่ร้านเสริมสวย พลางหันมามองที่รถ
โบตั๋นโบกมือส่งยิ้มให้ในรถ ขณะที่คนขับรถมีโทรศัพท์โทรเข้ามาพอดี เลยยืนรับสายอยู่บนริมฟุตบาทนอกรถ ขณะที่เสี่ยจำเริญหันกลับเดินตรงไปที่ร้านทำผม ได้ยินเสียงเอี๊ยดๆมาแต่ไกล รถกระบะเล็กบรรทุกของเต็มคันวิ่งส่ายราวเบรกแตกเลี้ยวโค้งพุ่งมาแต่ไกล
ในรถกระบะ คนขับเมายาตาหลับๆตื่นๆ ไม่มีสติ ขณะที่ขาก็เหยียบคันเร่งต่อไป และแล้วคนขับก็เมาหมดสติฟุบลงกับพวงมาลัยหน้ากดทับลงกับแตรรถ ทำให้เสียงแตรรถดังขึ้นลั่นถนน
เสี่ยจำเริญผลักเปิดประตูร้านเสริมสวย ให้เจ๊หญิงเดินออกมา ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงแตรรถดังแผดลั่นถนนเลยหันไปมอง ต้องอ้าปากค้าง เมื่อเห็นรถกระบะพุ่งมาที่รถของตัวเองที่จอดอยู่ และโบตั๋นกำลังนั่งมองของขวัญในมือ
“โบตั๋น!”
ทั้งสองคนตะโกนลั่น คนขับรถเลยหันไปมองต้องตกใจ เมื่อเห็นรถพุ่งเข้ามาถึงตัว คนขับกระโดดหนี จากนั้นก็มีเสียงชนโครมลั่น เสี่ยจำเริญกับเจ๊หญิงร้องลั่นด้วยหัวใจที่แตกสลาย
ปัจจุบัน...ไตรรัตน์โอบเจ๊หญิงกับเสี่ยจำเริญร้องไห้ อาม่ากับอาอี๊ก็นั่งน้ำตาตก สุคนธรสกับโกลเดนเบบี๋นั่งมองทุกคนอย่างเห็นใจ
“โบตั๋นรักพี่ชายคนเดียวมากนี่เอง วิญญาณถึงไม่ยอมไปไหน”
“งั้นฉันรู้แล้ว” สุคนธรสบอก
ทุกคนเงยหน้ามองมาที่สุคนธรสอย่างแปลกใจทันที
“รู้ว่าอะไรเหรอหนูรส” อาม่าถาม
“รู้ว่าจะช่วยวิญญาณน้องโบตั๋นให้สงบลงยังไงน่ะซิคะอาม่า แล้วก็รู้ด้วยว่าที่วิญญาณยึดติดอยู่กับอาตี๋น้อยของทุกคน ก็เพราะวันที่โบตั๋นตายเป็นวันเกิดของไตรรัตน์พอดี โบตั๋นไม่ได้อวยพรวันเกิดพี่ชายตามที่ตั้งใจจึงเป็นบ่วงคอยรั้งวิญญาณไว้ ไม่ให้ไปไหนจนกว่าจะทำตามความตั้งใจเดิมก่อนตายสำเร็จ”
“โธ่โบตั๋น ลูกแม่...”
เจ๊หญิงซบเสี่ยจำเริญร้องไห้
“ไปเถอะนายไตวาย ไปหาน้องนายด้วยกัน”
ไตรรัตน์อึ้งมองสุคนธรส เขายังหวั่นๆกับความเฮี้ยนของโบตั๋น แต่เมื่อสุคนธรสยื่นมือมาให้ความมั่นใจเขา ไตรรัตน์ก็ยื่นมือไปจับ
ไตรรัตน์ค่อยๆเปิดประตูห้องโบตั๋นเข้าไป โดยมีสุคนธรสยืนอยู่ข้างหลังกับโกลเดนเบบี๋ ไตรรัตน์รวบรวมความกล้า พูดออกไป
“โบตั๋น...”
ทันใดนั้นก็มีเสียงตวาดมาจากในห้อง
“ออกไป”
พร้อมกับตุ๊กตาบาร์บี้ลอยมาปะทะที่อก ไตรรัตน์ยังทำใจดีสู้
“น้องอยากพูดอะไรกับพี่ใช่ไหม”
“หนูไม่อยากพูด หนูโป้งพี่แล้ว พี่ให้เมียผีมารังแกหนู”
ไตรรัตน์หันมามองหน้าสุคนธรส คิดว่าการเจรจาอาจจะไม่ได้ผลแล้ว แต่สุคนธรสทำหน้า คะยั้นคะยอบอกให้พูดต่อไป
“จำวันเกิดพี่ได้ไหม วันนั้นน้องอยากจะไปอวยพรวันเกิดให้พี่ น้องอยากจะพูดอะไรกับพี่ แต่น้องก็...ก็ยังไม่ได้พูดกับพี่เลย”
ได้ผล...โบตั๋นร้องไห้โฮออกมา
“ฮือๆ รถคันนั้นมันชนหนู หนูเลยไม่ได้ไปอวยพรวันเกิดให้พี่เลย”
“ถ้าอย่างงั้น เรากลับไปวันนั้นกันไหม พี่จะให้โบตั๋น ได้อวยพรวันเกิดให้พี่”
“เรากลับไปได้เหรอคะพี่ไตร”
เสียงโบตั๋นหายก้าวร้าว เปลี่ยนมาดีใจ มีความหวัง
“ได้ซิ พี่รสจะช่วยเราเอง ตกลงไหมโบตั๋น”
“อืม...ก็ได้”
ไตรรัตน์ลงนอนบนเตียงโบตั๋น สุคนธรสหยิบตุ๊กตามายื่นส่งให้
“กอดตุ๊กตาของน้องสาวคุณไว้ แล้วหลับตา ปล่อยวางทุกสิ่ง”
ไตรรัตน์กอดตุ๊กตา แล้วหลับตาลง
สุคนธรสหันไปพยักหน้าให้โกลเดนเบบี๋ทันที โกลเด้นเบบี๋จึงใช้มนต์สะกดของผี
“โอม...จงหลับ...จงหลับ...”
ไม่นานไตรรัตน์ก็หายใจสม่ำเสมอ หลับลึกไป
ไตรรัตน์รู้สึกตัวลืมตาขึ้น พบว่าตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติสวยงาม
“พี่ไตร”
เสียงเรียกดังก้องมา ไตรรัตน์หันมองไป เห็นโบตั๋นวิ่งมาแต่ไกล
“โบตั๋น”
โบตั๋นวิ่งถลาเข้ามากอดไตรรัตน์ ร่างของไตรรัตน์กลายเป็นเด็กชายเมื่อ 16 ปีก่อน เขาโอบกอดน้องสาวด้วยความคิดถึงอย่างสุดซึ้ง
โบตั๋นผละออกจากอกไตรรัตน์ มองจ้องเขาอย่างภูมิใจ มือน้อยๆสัมผัสไปที่แก้มของไตรรัตน์
“วันนี้พี่ไตรหล่อมากเลยค่ะ”
ไตรรัตน์ยื่นมือไปจับแก้มยุ้ยๆของน้องสาวน้ำตาคลอ
“น้องมีของขวัญวันเกิดมาให้พี่ค่ะ”
ไตรรัตน์แปลกใจ
“ไหนคะ ของขวัญ”
โบตั๋นแบมือสองข้างออกมาข้างหน้า เหมือนกำลังถือของขวัญอยู่
“นี่ไงคะ...ของขวัญที่น้องเอามาให้พี่ กระดาษห่อน้องก็เป็นคนเลือกเองนะคะสีสวยไหม”
ไตรรัตน์มองมือที่ว่างเปล่าแล้วมองหน้าโบตั๋นอย่างสงสาร
“โบตั๋น...พี่...พี่ไม่เห็นมีของขวัญในมือน้องเลย”
“ห่ะ ไม่มีของขวัญเหรอ...”โบตั๋นมองมือตัวเอง “ไม่มีจริงๆด้วย ของขวัญหนูอยู่ไหน หนูอุตส่าห์ทำมาให้พี่ ตอนนั่งมาในรถกับเตี่ย น้องยังถืออยู่เลย แล้วรถมันก็ชนน้อง กล่องของขวัญหนูหาย ฮือๆ”
“โอ๋ๆ...โบตั๋นไม่ต้องร้องนะ ไม่เป็นไรจ้ะ ไม่เป็นไร”
“หนูจะหากล่องของขวัญของหนู ของขวัญหนูหาย พี่ไตร...ช่วยน้องหาทีกล่องของขวัญของน้องอยู่ไหน”
สุคนธรสกับโกลเดนเบบี๋มองไปที่เตียง...เห็นร่างไตรรัตน์นอนหลับอยู่ โดยมีวิญญาณของโบตั๋นกอดซบอกร้องไห้อยู่
“กล่องของขวัญของน้อง...น้องจะหาให้พบ...น้องจะให้พี่ไตร ฮือๆ”
สุคนธรสกับโกลเดนเบบี๋หันมามองหน้ากัน...
“ที่วิญญาณไม่ยอมไปไหน ก็เพราะกล่องของขวัญที่หายไปนี่เอง”
“ไม่ต้องห่วงนะโบตั๋น พี่จะบอกทุกคนในบ้าน ให้ช่วยกันหากล่องของขวัญให้เองแต่โบตั๋นต้องใจเย็นๆนะ ค่อยๆหา พี่ไตรรู้ว่าโบตั๋นมีของขวัญจะให้ พี่ไตรต้องตั้งตารอแน่”
โบตั๋นหันมองมาที่สุคนธรส สายตาดูไว้ใจในทันที
ห้องครัวบ้านเวียงทับ...มูมู่เดินเข้ามาในครัว เห็นจารุณีกำลังประดิษฐ์ประดอยทำแพนเค้กรูปหัวใจอยู่อย่างอารมณ์ดี ด้านข้างมีจานอาหารเช้าแบบอเมริกันเบรคฟาส์ทธรรมดา ที่ทำเสร็จแล้วตั้งอยู่สองจาน ส่วนตรงหน้าจารุณี มีจานอาหารอีกจานที่มีไข่ดาวรูปหัวใจ แฮมรูปหัวใจ และไส้กรอกรูปหัวใจวางอยู่
จารุณีฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี
จารุณีร้องเพลงซีรี่ย์เรื่อง My Girl ไปด้วย
“Don’t you let me go, baby don’t you let me down. You’re never say goodbye…”
“คุณแม่บ้าน คุณผู้ชายออกไปแล้ว เป็นหยังบ่ยกอาหารออกไปให้คุณโจ้ คุณกรรณซะที”
“อาหาร คือ งานศิลปะชนิดหนึ่ง เวลาทำน่ะเราก็ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ”
“แล้วสองจานนั้นละคะ คุณแม่บ้านไม่ใส่ใจเหรอ”
“สองจานนั้นก็ใส่ใจ แต่ไม่พิเศษเท่านั้นเอง...อิๆ” จารุณีนึกได้ ”ยัยนี่ชวนฉันคุย เดี๋ยวหัวใจฉันดำหมด”
จารุณีหันไปทอดแพนเค้กต่อ มูมู่มองคุณแม่บ้านที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับกระทะแพนเค้กอย่างเอือมๆ
กรรณานั่งสวมหูฟังอยู่ตรงเก้าอี้สวนริมสระบัว ในมือถือหนังสืออ่านเล่นเล่มหนึ่ง แต่สายตากลับทอดอาลัย เหม่อลอยคิดถึงแต่เรื่องราวร้ายๆที่เกิดขึ้นกับบริษัทซิกส์เซนส์
ก้องฟ้ายืนแอบดูอาการของกรรณาผ่านกระจกห้องนั่งเล่นอย่างกลุ้มๆ พงอินทร์เดินออกมาจากห้องนอน เห็นก้องฟ้าทำท่ากำลังแอบดูอะไรอยู่เลยเดินเข้ามาหา พงอินทร์ตบบ่า ก้องฟ้าไม่ทันตั้งตัวสะดุ้งเฮือก
“ฮึ้ย! พ่อ แม่ ช่วยด้วย”
“ตกใจโอเว่อร์ไปป่าวไอ้น้อง...เป็นตุ๊ดป่าวเนี่ย”
“ไม่ได้เป็นตุ๊ด..แต่เป็นเก้ง..ไม่ช่าย..โหย...ก็พี่โจ้เล่นมาไม่ให้ซุ่มให้เสียงอ่ะ เป็นใครก็เสียจริต”
พงอินทร์หันไปมองทางที่ก้องฟ้าแอบดูอยู่
“ไอ้ก๊อง นี่แกโรคจิตขนาดถ้ำมองพี่สาวตัวเองเลยเหรอ”
“โอ้โห้ คิดได้นะเนี่ยพี่โจ้ ถ้าไม่เห็นเป็นพี่นะจะตีปากแตก คนยิ่งเป็นห่วงพี่สาวอยู่ด้วย”
“เป็นห่วงทำไม”
“ปกติพี่กรรณเคยเป็นแบบนี้ซะทีไหน นั่งนิ่งๆก็ไม่เป็น ต้องวิ่งหาอะไรทำตลอดๆ แต่นี่พี่โจ้ดูดิ ลุกขึ้นนั่งซึมกะทือแบบนี้ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางลักษณะเมื่อคืนพี่กรรณจะไม่ได้นอน ขอบตานี่คล้ำ เชียว แถมก๊องพูดด้วยก็ไม่พูดด้วย อึ้ย...น่ากลัวอ่ะ”
พงอินทร์ครุ่นคิด ในใจเป็นห่วงกรรณาเหมือนกัน
กรรณายังคงนั่งเหม่อลอย พงอินทร์กับก้องฟ้าเดินมาหาด้วยกัน พงอินทร์ตบบ่าก้องฟ้า แล้วทำมือโอเคเพื่อแสดงความพร้อม ก้องฟ้าทำมือโอเคตอบ พงอินทร์เริ่มแผน กวนประสาทกรรณาทันที
“ฮะแฮ่ม... มานั่งเหม่อมองฟ้า ทอดสายตาอาลัยอย่างกับเล่นมิวสิควีดีโอ เพลงอกหักอยู่แน่ะ อ่ะๆ หรือว่า ยัยหนูกรรณแว่วเสียงผีเกิดอยากจะเปลี่ยน อาชีพ เป็นนางเอกมิวสิควีดีโอขึ้นมา” พงอินทร์ตบเข่าฉาด “โธ่! แล้วก็ไม่บอกฉันมีเพื่อนที่ทำ แผ่นขาย แนะนำให้เธอรู้จักได้นะ”
“เพื่อนพี่ทำแผ่นเพลงเหรอพี่โจ้”
“ฮื้อ” พงอินทร์ส่ายหน้า “แผ่นซีดีเปล่า ถ้ามีพี่สาวนายเป็นนางเอกนะก๊อง ให้คนดูดูจอขาวยังจะดีกว่า”
“ฮ่าๆ”
พงอินทร์กับก้องฟ้าประสานเสียงกันหัวเราะ แต่กรรณายังนิ่ง พงอินทร์จึงทำเสียงดังขึ้น
“แต่ถ้าเธอเอาแบบมีเส้นสาย ถ่ายได้ทันทีละก็ เธอก็คงจะต้องมาลงปกหนังสือของฉัน"
“โอ้โห้! นี่พี่โจ้ จะให้พี่กรรณเป็นนางแบบลงปกหนังสือเลยเหรอพี่”
“ใช่”
“หนังสืออะไรอ่ะ”
“หนังสือสารคดีเพื่อนร่วมโลกของมนุษย์ ฉบับพิเศษฉลองครบรอบ 2 เดือน กับคอนเซปท์ สิ่งมีชีวิตที่ใกล้เคียงมนุษย์มากที่สุด “
“พี่โจ้ว่าพี่กรรณเป็น ชะนี”
“ชะนี แรงไปนะ เป็น ลิงก็พอแล้ว”
กรรณาปิดหนังสือ พึ่บ! แล้วลุกขึ้นยืน ก้องฟ้ากระซิบพงอินทร์
“เย้! ได้ผล พี่กรรณลุกแล้ว”
ว่าแล้วพงอินทร์ก็ร้องเพลง “ลิง” แล้วก็ส่งซิกท์ให้ก้องฟ้าเต้นท่าลิงใส่กรรณาทันที
พงอินทร์ร้องเพลง “เจี๊ยกๆ...เป็นเสียงเรียกของ...”
“ลิง!!” ก้องฟ้าเต้นวนไปรอบตัวกรรณา “...ลิงมันไม่อยู่นิ่ง มันชอบวิ่งกระโดดไปมา”
ระหว่างนี้พงอินทร์ปรบมือให้จังหวะ กรรณาหันขวับมาทางก้องฟ้า
“เจี๊ยก...” ร้องได้เท่านี้ ก้องฟ้าหุบปากทันที แล้วรีบวิ่งไปหลบหลังพงอินทร์
“โดนแล้วๆ”
พงอินทร์กับก้องฟ้าหลับตาปี๋ แต่กรรณากลับเดินผ่านไปอย่างไม่รู้สึกใส่ใจ พงอินทร์รู้สึกว่ากรรณาเงียบไป หรี่ตาข้างหนึ่งขึ้นดู เห็นกรรณาเดินผ่านไปกำลังจะเดินเข้าบ้าน
“อ้าว”
“ฉัน...อยากอยู่คนเดียว”
กรรณาบอกนิ่งๆ พงอินทร์อึ้งไป จารุณีถืออาหารเช้าเข้ามา
“ยู้ฮู...อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเลย อาหารเช้าร้อนๆมาแล้วค่า...”
เมื่ออยู่ตามลำพังในห้อง กรรณาหยิบรูปห้าสาวที่สอดไว้ในหนังสือขึ้นดูแล้วถอนใจ ระหว่างนั้น เธอใส่หูฟังตลอดเวลาเพราะไม่อยากได้ยินเสียงวิญญาณอีก เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น พร้อมกับเสียงเรียกของพงอินทร์
“ยัยกรรณ...ยัยกรรณ”
กรรณาสูดหายใจเข้าแล้วเดินไปเปิดประตู พบพงอินทร์ยืนถือจานอาหารเช้ารออยู่
“กินซะ...”
“ฉันยังไม่หิว”
“อดข้าวประชดชีวิต แล้วอย่างกับบริษัทซิกส์เซนส์ของเธอจะกลับมาเปิดใหม่ได้อย่างนั้นแหละ”
“พูดจบแล้วใช่มั้ย”
กรรณาจะปิดประตู แต่พงอินทร์เอาตัวมาขวางไว้
“กองทัพต้องเดินด้วยท้องเคยได้ยินใช่มั้ย พอท้องอิ่ม ร่างกายก็จะมีพลัง สมองก็จะแล่น เธอจะได้มีสติช่วยฉันคิดแล้วก็สืบหาตัวฆาตกรที่ฆ่าพี่พิมต่อได้”
“ฉันคงช่วยนายสืบคดีนี้ต่อไปไม่ได้ บริษัทของฉันปิดไปแล้ว”
“ปิดแล้วไง ฉันไม่ได้เลิกจ้างเธอนี่ ค่าจ้างก็ไม่ได้ลด ฉันยังให้ค่าจ้างเธอสองเท่า จากที่ไอ้แผนยุทธให้เธออยู่เหมือนเดิม...”
กรรณาเงียบ
“ให้เพิ่มเป็นสามเท่าเลยก็ได้อ่ะ”
“ทุกเคสที่ผ่านมาพวกเราทำงานกันเป็นทีม ถึงใครจะรับผิดชอบเคสไหนเป็นหลัก แต่ที่สุดพวกเราต้องช่วยกัน” กรรณาน้ำตาไหล “ตอนนี้ทุกอย่างพังหมดแล้ว ซิกส์เซนส์วงแตก พลังวิเศษทั้งห้าไม่ได้กลับมารวมกัน แล้วนายคิดว่า ลำพังฉันได้ยินเสียงวิญญาณแค่คนเดียวจะทำคดีนี้สำเร็จได้งั้นเหรอ มันไม่มีทางอยู่แล้ว”
“ทำไมเธอถึงยอมแพ้ง่ายนักยัยแว่วเสียงผี”
“ก็เพราะพวกฉันแพ้แล้วจริงๆน่ะซิ...แล้วฉันก็ไม่อยากได้ยินเสียงผีเสียงวิญาณอะไร อีกต่อไปแล้ว”
กรรณาปิดประตูแล้วยืนพิงประตู มองรูปเพื่อนทั้งห้าในมือแล้วร้องไห้ พงอินทร์ยืนถือจานอาหารมองประตูห้องอย่างทรมานใจ
แสงแดดสาดผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องพักจุนจี แยงตากรรัมภาที่นอนหลับพริ้ม กรรัมภาค่อยๆลืมตาขึ้น บิดตัวอย่างขี้เกียจสุดๆก่อนจะรู้สึกว่ามีอะไรพาดอยู่ที่ตัว
กรรัมภาเห็นแขนของจุนจีโอบตัวเธออยู่ กรรัมภาค่อยๆมองขึ้นไปจนเห็นหน้าจุนจีที่นอนตะแคงโอบเธอในระยะประชิด เขาไม่ได้สวมเสื้อ
“จุนจี...”
กรรัมภายังเคลิ้มๆ ทำท่าจะหลับต่อแต่ได้สติก่อน
“หา!! จุนจี...อร๊าย”
กรรัมภากรี๊ดแตกก่อนก้มลงมองตัวเอง ที่ตอนนี้อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำแล้วก็กรี๊ดอีก จุนจีสะดุ้งตื่นนจีเอามือปิดปากกรรัมภาไว้
“เห้ย...คุณเงียบก่อน เดี๋ยวก็ได้ยินกันทั้งโรงแรมหรอก อยากเป็นข่าวหน้าหนึ่งหรือไง”
กรรัมภาเสียงอู้อี้
“อ่อย อั้น อิ”
“ปล่อยแน่ แต่ต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่กรี๊ด”
กรรัมภาพยักหน้า จุนจีปล่อยมือ ทันใดนั้น กรรัมภาก็ชกเข้าเต็มคาง จุนจีหงายหลังตกเตียงทันที
“คนเลว คนฉวยโอกาส”
จุนจีลุกขึ้นมา เลือดกำเดาไหล
“นี่อย่ามากล่าวหากันมั่วๆนะ ใครฉวยโอกาสจากคุณ”
“แล้ว เสื้อผ้าฉันไปไหน แล้วคุณถอดเสื้อทำไม”
“นี่คุณจำอะไรไม่ได้เลยสักนิดเหรอ?”
กรรัมภาเขินมากจะชกอีกหมัด แต่จุนจีจับหมัดเธอไว้ทัน
“คิดหน่อยสิคุณ”
กรรัมภาพยายามคิด
“ฉันจำได้แค่ว่า ฉันนั่งดื่มกับ...”
“คุณโดนไอ้ซองซูมันวางยา”
“หา!”
กรรัมภารีบก้มลงสำรวจตัวเองทันที จุนจีขำ
“ขำอะไร”
เปรี้ยง กรรัมภาถีบจุนจีอีกดอกเต็มหน้าอกตกเตียงไปอีก
“นี่ผมมาช่วยคุณทัน ไม่งั้นคุณ... คุณน่ะหลับไม่รู้เรื่องเลย แถมพอผมอุ้มคุณมาที่นี่คุณยังลุกขึ้นมาอ้วกจนเลอะเทอะไปหมด ผมก็เลย...ต้องเปลี่ยนเสื้อให้”
“ตอนเปลี่ยนเสื้อฉัน ปิดไฟหรือเปิดไฟ”
“ปิดไฟแล้วจะมองเห็นได้ยังไงล่ะ”
”ว้ายยย...แล้วคุณ” กรรัมภามองตัวเองแล้วมองจุนจี
จุนจียิ้มประมาณเห็นทุกอย่างแล้ว กรรัมภาทั้งอึ้งทั้งอายพูดอะไรไม่ออก
“คราวนี้ผมยังเป็นคนเลวอยู่หรือเปล่า”
“เลว”
“อ้าว...”
“ก็ไม่ใช่เพราะคุณเหรอ ฉันถึงต้องมาเป็นแบบนี้”
“ก็ได้ ผมผิดเอง ผมทำให้คุณเกือบเสียท่าไอ้ซองซู ผมขอโทษ แต่ผมก็มาช่วยคุณทันนะ”
“แล้ว...คุณตามฉันเจอได้ยังไง”
“ยุคสมาร์ทโฟน จับสัญญาณหาพิกัด ไม่ยากหรอกคุณหนูแก้ม”
จุนจีแกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้กรรัมภา กรรัมภาอายม้วนไปไม่ถูก
“ไม่ขอบคุณสักคำ”
”...ขอบคุณ”
“ผมไม่ได้ยิน”
“เอิ่บ...คือ...เอ่อ...อืม...อ่อ...”
กรรัมภาสบตาจุนจี แล้วก็นิ่งเหมือนโดนสะกด จุนจีค่อยๆยื่นหน้าเข้าไปใกล้จะจูบ กรรัมภาเคลิ้ม แต่แล้วกลับยั้งจุนจีไว้
“เดี๋ยวค่ะ ฉันขอไปดูกระจกแป๊บ”
กรรัมภาคว้ากระเป๋ารีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำแล้วปิดประตูทันที จุนจีมองตามส่ายหน้ายิ้มๆในความเว่อร์สุดๆของกรรัมภา
ในห้องน้ำ…กรรัมภาหยิบตลับแป้งขึ้นมาเตรียมโป๊ะหน้าอย่างเคย กรรัมภามองตัวเองในกระจก ยิ้มออกมาได้เพราะหน้ายังสวยเด้งอยู่ ไม่ต้องแต่งเพิ่ม
”บรรยากาศกำลังจะพาไป ต้องไม่หลง ต้องหักห้ามใจตัวเองให้ได้..” อมยิ้มหน้าแดงเขินสุดๆ “ให้แค่ Kiss เบาๆนะคะจุนจี...อิๆ”
กรรัมภายิ้ม แล้วยิงฟันใส่กระจกเช็คความเรียบร้อย เสียงออดดังขึ้น กรรัมภาชะงักแปลกใจ
จุนจีเปิดประตู เห็นลีจองกุ๊กยืนรออยู่อย่างร้อนใจ ลีจองกุ๊กพอเห็นเป็นจุนจีมาเปิดประตูให้ ก็รีบพุ่งเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูทันที ลีจองกุ๊กพุ่งเข้าไปกอด
“จุนจี...ฉันดีใจจริงๆที่เห็นนายอยู่ที่นี่ เมื่อคืนฉันนอนไม่หลับทั้งคืนเลย กลัวนายจะมีปัญหาเพราะคุณแก้มอีก...”
กรรัมภาเปิดประตูห้องน้ำออกมา
“คุณจองกุ๊ก”
ลีจองกุ๊กหันไปเห็นกรรัมภาในชุดคลุมอาบน้ำ แล้วหันกลับมามองจุนจีที่ไม่สวมเสื้อก็ตาโตตกใจยิ่งกว่าเห็นผี
“นี่นายกับคุณแก้ม...”
“อย่าเข้าใจผิดค่ะคุณจองกุ๊ก เราสองคนไม่ได้มีอะไรกัน”
“ใช่ ฉันกับคุณแก้มไม่ได้ทำอะไรเสียหาย แต่ถ้าเมื่อคืนฉันตามมาช่วยไม่ทันละก็ ป่านนี้คุณแก้มคงป่นปี้เพราะฝีมือไอ้ซองซูไปแล้ว”
ลีจองกุ๊กไม่ฟังที่จุนจีอธิบาย เดินเข้าไปคว้ามือกรรัมภาแล้วลากเธอไปที่ประตูห้องทันที
“นี่นายทำอะไร” จุนจีตกใจ
“มันอะไรคะคุณจองกุ๊ก” กรรัมภาร้องถาม
“คุณแก้มต้องออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้”
“ให้แก้มออกไปในสภาพนี้เนี่ยนะ”
“นี่มันจะเกินไปแล้วนะจองกุ๊ก ฉันยังไม่ได้คิดบัญชีเรื่องที่นายทำให้คุณแก้มเกือบเสียท่าให้ไอ้ซองซูเมื่อคืนเลยนะ”
“หลังจากนี้ฉันให้นายคิดรวบยอดทบต้นทบดอกเลยก็ได้ แต่ฉันไม่ยอมให้คุณแก้มอยู่ในห้องพักของนายต่อแม้แต่วินาทีเดียว ดูซิ...ถ้ามีคนมารู้มาเห็นว่าคุณแก้มนอนค้างกับนายในห้องพักส่วนตัวทั้งคืนมันจะเกิดอะไรขึ้น ทั้งต้นสังกัดเรา ทั้งแฟนคลับนาย ความสัมพันธ์ไทย-เกาหลีจะต้องลุกเป็นไฟ มันมีแต่เดือดร้อน เดือดร้อน แล้วก็เดือดร้อน...” ลีจองกุ๊กพลั้งปาก “ผู้หญิงคนนี้มีแต่จะทำให้นายเดือดร้อน”
ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ กรรัมภาอึ้ง เสียใจและรู้สึกผิด กรรัมภาปลดมือออกจากลีจองกุ๊กแล้วเดินไปรวบเสื้อผ้าของตัวเองที่จุนจีผึ่งไว้ให้ขึ้นมากอดไว้ แล้วเดินตรงไปเปิดประตู จุนจีตามมาคว้าตัวไว้
“คุณแก้ม...คุณไม่ต้องไปฟังจองกุ๊กได้มั้ย”
“อย่าห่วงเลยค่ะ แก้มเปิดห้องที่ฉันอื่นเปลี่ยนชุดได้”
ปาร์คจุนจีสะเทือนใจดึงกรรัมภาเข้ามากอด ในหน้าจอมือถือของใครบางคนแอบถ่ายคลิบเหตุการณ์นี้อยู่ ภายหลังบานประตูที่ถูกแง้มไว้
หน้าห้องปาร์คจุนจีทุกคนไม่รู้ตัวว่าถูกแอบถ่าย กรรัมภาผละออก แล้วรีบเดินออกไป
“...ฉันตามไปดูแลคุณแก้มให้”
ลีจองกุ๊กรีบตามกรรัมภาไป จุนจีมองตามอย่างเป็นห่วง หน้าจอมือถือถูกกดหยุดการบันทึก และบานประตูที่แง้มไว้ถูกปิดลง
ในห้อง...คิมซองซูที่หน้าเยินเพราะโดนจุนจีซ้อมเมื่อคืน ยืนมองโทรศัพท์ยิ้มเหี้ยมเกรียม
“หึๆ ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ แต่จริงๆก็ลากไปกินเองทั้งคืน...” คิมซองซูแค้น “คราวนี้แหละไอ้จุนจี หนักแน่...” คิมซองซูเจ็บปาก “อูย....”
ติณห์ใช้เครื่องทำกาแฟชงกาสดเตรียมไว้ให้ญาณินที่นั่งซึมอยู่ เสียงออดของบริษัทดังขึ้น อรวรรณที่ทำอาหารให้ญาณินอยู่วิ่งมาจากครัว
“ป้าออ...ผมไปเปิดเองครับ ป้าทำอาหารให้คุณณินเถอะครับ”
“ค่ะๆ” อรวรรณกลับไป
ติณห์วิ่งมาหน้าประตู พบพงอินทร์ยืนรออยู่
“คุณติณห์ครับ ผมโจ้นะครับ...”
“จำได้ไม่ลืม พงอินทร์ ณ แมลงทับ น้องเมีย ดร.แผนยุทธ”
ติณห์ยังโมโหอยู่ที่พงอินทร์เป็นหนึ่งในตัวต้นเหตุ
“เวียงทับครับ ไม่ใช่แมลงทับ...”
ติณห์ยักคิ้ว ประมาณว่าแล้วไง
“เออ...คุณญาณินอยู่ไหมครับ”
“อยู่แล้วทำไมครับ”
“ผมมีเรื่องจะปรึกษาเธอ”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องกรรณา”
ติณห์ประชดประชัน
“อย่าบอกนะว่าพี่เขยคุณเจอคุณกรรณ แล้วก็เอาโพลิสมาลากเธอเข้าคุกไปแล้ว”
พงอินทร์กวนกลับ
“เยอะไปแล้วครับคุณติณห์ กรรณแค่เป็นโรคซึมเศร้า ไม่เป็นกรรณาคนก่อนที่มีชีวิตชีวาร่าเริง ผมเลยอยากปรึกษาคุณญาณิน เผื่อจะมีวิธีทำให้ยัยกรรณดีขึ้น”
“แล้วนายคิดว่า ดาร์ลิ้งของผมรู้สึกดีนักเหรอ คุณณินเองก็แย่ กินไม่ได้นอนไม่หลับเหมือนกัน”
พงอินทร์อึ้ง รู้สึกผิด
“ผมขอโทษ...”
“เพิ่งรู้สึกผิดวันนี้”
“กรุณาอย่ากวนประสาทผม”
“ผมพูดข้อเท็จจริง...รับได้ไหม”
พงอินทร์พยายามระงับอารมณ์
“ว่าแต่วันนี้ผมจะได้คุยกับคุณญาณินมั้ยครับคุณติณห์”
“ในฐานะที่เป็นแฟนของคุณณิน และรู้จักกับห้าสาวซิกส์เซ้นส์มานานก่อนคุณ ผมจะไม่ยอมให้คุณณินต้องไม่สบายใจเรื่องคุณกรรณอีก สาวๆทุกคนเขารักกันมากถ้ารู้ว่าคุณกรรณกลายเป็นโรคซึมเศร้า ญาณินของผมจะต้องรู้สึกแย่อีกแน่ๆ คุณรู้มั้ยว่ากว่าผมจะทำให้คุณณินยิ้มได้น่ะมันยากขนาดไหน”
“เอิ่ม..คุณติณห์หลอกด่าผมพอหรือยัง...แค่นี้ผมก็รู้สึกผิดระดับแอดวานส์แล้ว ช่วยบอกวิธีทำให้ยัยกรรณดีขึ้นซะทีเถอะครับ พลีส”
“Just hug.”
“Hug...กอดน่ะเหรอ”
“ใช่...กอด เวลาที่คุณณินกับเพื่อนๆท้อแท้ หรือต้องการกำลังใจ พวกเธอก็จะกอดกันแน่นๆนานๆ แล้วทุกคนก็จะกลับมายิ้มได้ ตอนนี้ฉันก็ใช้วิธีนี้กับคุณณินอยู่ กอดคุณณินแน่นๆนาน คุณณินก็ค่อยๆรู้สึกดีขึ้น”
“Are you sure”
“ลองดูแล้วกัน So long”
ติณห์เดินกลับเข้าบ้านไป พงอินทร์ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าวิธีนี้จะได้ผล
ติณห์กลับเข้ามาในบ้าน
“ใครมาเหรอคะติณห์” ญาณินหันมาถาม
“คุณโจ้น่ะ”
“คุณโจ้มาทำไมเหรอคะ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับยัยกรรณหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรหรอก เขาแค่มาถามวิธีให้กำลังใจคุณกรรณเท่านั้นเอง แล้วผมก็แนะนำไปเรียบร้อยแล้ว”
“แล้วคุณแนะนำว่าอะไรคะ”
“ผมก็บอกให้เขา” ติณห์เข้าไปกอดญาณิน “...ทำแบบนี้ไง”
ญาณินยิ้มอบอุ่นหัวใจ อรวรรณมองอย่างมีความสุขไปด้วย เสียงออดบริษัทดังขึ้นอีกครั้ง ติณห์เซ็งนึกว่าพงอินทร์ยังไม่ไป
“อย่าบอกว่ายังไม่เก็ตนะ...นายแมลงทับ”
ติณห์จะออกไปอีก แต่เมื่อมองไปหน้าบ้านก็ต้องชะงัก
“อะไรเหรอคะติณห์” ญาณินสงสัย
“...เบญจา...”
ญาณินอึ้ง อรวรรณตกใจ
เบญจายืนนิ่งอยู่หน้ารั้วบริษัท โดยมีเจ้าที่ยืนขวางอยู่ ติณห์ออกมา โดยมีญาณินกับอรวรรณตามมาข้างหลัง ติณห์ค่อยๆก้าวเข้าหาเบญจาอย่างระแวดระวัง
“เธอมาที่นี่ทำไมอีก”
“เบญจามีเรื่องอยากคุยกับพี่ติณห์”
“คุยเหรอ”
“ค่ะ หนูคิดว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน...ให้จบ”
ติณห์หันกลับมาสบตาญาณินขอความเห็น ขณะที่อรวรรณส่ายหัวยิกๆ
“อย่าไปหลงกลมันนะคะคุณติณห์ มันต้องคิดจะทำอะไรชั่วๆอีกแน่”
เบญจาแทรกทันที
“หนูมาวันนี้เพราะต้องการจะเคลียร์เรื่องระหว่างเรา หนู...กับพี่ติณห์ เราจะคุยกันแบบคนธรรมดาที่มีแค่หัวใจ ไม่มีคาถาอาคมใดๆเข้ามาเกี่ยวข้อง และถ้าไม่มีใครทำร้ายหนู หนูก็จะไม่ทำร้ายใคร...”
เบญจาบอกอย่างหนักแน่น ติณห์ ญาณิน มองตากันอย่างชั่งใจ
สำนักใหม่ของสมคิด...คนงานกำลังช่วยกันยกอ่างน้ำมนต์ทรงกลมสีดำขนาดยักษ์ ตั้งไว้ตรงหน้ารูปสลักอีกาสีดำขนาดใหญ่มหึมาที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางโถง กรกฏยืนควบคุมการทำงานอยู่ สมคิดยืนสังเกตการณ์อยู่ไกลๆ
คนงานค่อยๆวางอ่างน้ำมนต์ยักษ์ลงบนตำแหน่งที่ถูกต้อง กรกฏไล่คนงานออกไป กรกฏเดินมารายงานสมคิด
“ตามสเป็คแล้วครับท่าน”
สมคิดเดินมาหยุดมองรูปสลักอีกาที่ตั้งตระหง่านแล้วยิ้มขรึม
“ฉันจะกลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิมให้ได้”
“ยินดีล่วงหน้าครับท่าน”
“แล้วเบญจาหายหัวไปไหน ฉันไม่เห็นหน้าตั้งแต่เช้า”
กรกฏโกหก
“คุณหนูฝึกจิตอยู่ในห้องครับ เธอคงต้องเตรียมพร้อมสำหรับงานใหญ่ที่ท่านมอบหมายให้”
“ฝึกจิตเหรอ...กรกฏ แกคิดว่าฉันกับแกใครฉลาดกว่ากัน”
“ท่านต้องฉลาดกว่าผมอยู่แล้วครับ”
“งั้นแกจะโกหกฉันทำไม”
“ผมขอโทษครับท่าน ผมไม่ได้ตั้งใจ”
“เอาเถอะ ในเมื่อเบญจารนหาที่อยากเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟก็ลองดู โดนไฟครอกสักที นางจะได้ตาสว่าง”
สมคิดสายตาเหี้ยมเกรียมขึ้นทันที
เบญจายืนรออยู่ที่เรือนกระจก ติณห์โอบญาณินเดินเข้ามา
“หนูไม่ได้บอกเหรอคะว่าอยากคุยกับพี่ติณห์แค่สองคน”
“บอก...แต่ฉันอยากให้คุณณินอยู่ฟังด้วย เราสองคนไม่เคยมีความลับต่อกัน”
ติณห์ประคองญาณินให้นั่งลงข้างตัวเอง จับมือญาณินไว้ไม่ปล่อย เบญจามองด้วยแววตาเจ็บปวด พูดอย่างยากเย็น
“...หนู...หนูอยากรู้ว่า เรายังรักกันอยู่หรือเปล่า...เอ่อ...คือ...หนูหมายถึง พี่ติณห์เคยรักหนูมั้ย”
ติณห์นิ่ง เบญจายิ่งอึดอัดใจมาก เบญจาพร่างพรู
“พี่ติณห์ก็รู้ว่าหนูรักพี่ติณห์มาก พี่ติณห์คือรักแรกและจะเป็นรักเดียวของหนู แต่ที่หนูอยากรู้ คือพี่ติณห์เคยรักหนูบ้างมั้ย” เบญจายิ้มมีหวัง
“เธอกล้าถามถึงความรักหรือ...ในเมื่อทุกอย่าง เธอวางแผนมาทำให้คุณณินขับรถชนเธอ ทำให้เราคิดว่าเธอเป็นเด็กความจำเสื่อมไม่มีที่ไป” ติณห์เน้น “ทำให้พวกเรารักเอ็นดูเธออย่างน้องสาวคนหนึ่ง แต่ตอนนี้ความรู้สึกดีๆที่พวกเราเคยมีให้เธอ มันหมดไปแล้ว เธอเป็นไม่ได้แม้กระทั่งคนรู้จักของฉัน”
เบญจาใจหายวาบ น้ำตาไหล
“ไม่จริง! พี่ติณห์โกหก พี่ติณห์รักหนู ไม่อย่างนั้นพี่ติณห์จะคอยเอาอกเอาใจ เทคแคร์ดูแลหนูทำไม”
“ทุกอย่างคือแผน เบญจา...เธอกับไอ้หมอสมคิดวางแผนเข้ามาทำลายเรา เราก็ วางแผนเปิดโปงตัวตนของเธอ”
เบญจาน้ำตาร่วงเผาะ เสียใจอย่างหนัก ญาณินได้แต่นั่งมองเบญจาอย่างเห็นใจลูกผู้หญิงด้วยกัน แต่ก็พูดอะไรไม่ได้
“พี่หลอกหนู...พี่เอาความรู้สึกของหนูมาล้อเล่น พี่ใจร้ายกับหนูเกินไปแล้ว”
“เธอกล้าพูดเรื่องความรู้สึกได้ไง เธอใช้ไสยศาสตร์มนต์ดำทำเสน่ห์ใส่ฉัน ดีที่ฉันมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ป้องกันเอาไว้ ฉันไม่เคยโดนมนต์เสน่ห์พ่องั่งแม่งั่งของเธอ ที่ผ่านมาฉันแกล้งทำ เพื่อให้เธอตายใจ”
“แต่...แต่ที่หนูทำไปทุกอย่าง ก็เพราะหนูรักพี่ติณห์นะคะ หนูรักพี่ด้วยความจริงใจ พี่ติณห์คือคนที่สอนให้หนูรู้จักกับ...ความรัก”
“โนว! เบญจา... มันไม่ใช่ความรัก มันคือความอยากเอาชนะ เธอแค่อยากแย่งของรักของญาณินมาให้ได้ ถ้าเธอได้ก็คือเธอสามารถรังแกญาณินสำเร็จ ในทุกเรื่อง ก็เท่านั้น”
เบญจาพูดไม่ออก
“พี่ติณห์...”
ติณห์พรั่งพรู
“เธอทำร้ายมัมของฉัน ทำร้ายคุณณิน ทำร้ายแกรนด์ปา ทำร้ายเพื่อนๆของคุณณิน แล้วเธอจะมาถามหาความรักเหรอ..เธอควรถามหาแสงสว่างจากสวรรค์ ที่จะมาช่วยชะล้างจิตใจเธอที่มืดบอด ให้สว่างขึ้นบ้าง จะดีกว่าไหม”
ญาณินบีบมือติณห์ให้พอ
“ติณห์คะ..”
ติณห์กุมมืออญาณินเป็นการตอบรับ เบญจายิ่งเห็นยิ่งปวดใจ ความรักเปลี่ยนเป็นความแค้น เบญจาปาดน้ำตาทิ้ง รวบรวมสติ เสียงแข็งขึ้น
“เข้าใจละคะ...พี่ติณห์ไม่เคยรักหนู ทุกอย่างที่เกิดขึ้นคือเรื่องโกหก จริงๆแล้ว ..หนูแพ้...เป็นผู้แพ้...ยัยป้านี่มันคือผู้ชนะ ฮะๆพวกแกชนะ แต่พวกแกจะชนะฉันได้ไม่นานหรอก”
ญาณินตะลึง
“เบญจา...”
“เลือกเอาค่ะพี่ติณห์ ถ้าพี่เลือกหนู หนูสัญญาว่าหนูจะ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับห้าสาวซิกส์เซนส์อีก แต่ถ้าไม่...ทั้งพี่และมันรวมถึงทุกคนที่เกี่ยวข้องกับมันจะต้องพินาศ”
ติณห์โอบไหล่ญาณินให้ลุกขึ้นเผชิญหน้ากับเบญจา
“ฟังให้ดีนะเบญจา เธอหมดแล้วล่ะ ลงต้องใช้ความกลัวมาขู่ให้คนรัก เธอก็ไม่เหลืออะไรทั้งนั้น แม้แต่ความนับถือตัวเอง หรือความชื่นชมในตัวเอง แล้วขอบอกเลยนะ เธอกะไอ้สมคิด ไม่ได้เจ๋งที่สุดในโลกนี้ ความชั่ว ไม่มีวันชนะความดี ธรรมะย่อมชนะอธรรม นี่คือสัจจธรรม ถ้าไม่อยากแพ้ ก็กลับตัวกลับใจเป็นคนดีซะ”
เบญจากำหมัดแน่น ข่มความเจ็บปวดที่ปะทุขึ้นมาในใจอย่างเต็มที่ พยายามกลืนน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา แล้วหันหลังเดินออกไปด้วยความแค้นสุมอก ญาณินมองตามอย่างรู้สึกเห็นใจเบญจา และกังวลกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ติณห์กระชับญาณินเข้ามากอดแน่น เพื่อให้กำลังใจ
เบญจาเดินเข้ามาในโถงที่มีรูปสลักอีกาตั้งตระหง่านอยู่ เบญจาชะงัก เพราะสมคิดยืนหันหลังให้เธออยู่ตรงหน้ารูปสลักอีกา สมคิดไม่หันมามองเบญจา แต่เอ่ยถาม
“เป็นยังไงบ้างล่ะ”
เบญจาไม่ตอบ แต่น้ำตาไหลรินออกมาไม่หยุด
“นี่แหละรสชาติที่แท้จริงของความรักที่แกโหยหานักหนา...” สมคิดหันกลับมาหาเบญจา “ยังอยากได้มันอยู่มั้ย”
เบญจาคุกเข่าลง นัยน์ตาแข็งกร้าวขึ้น แต่ยังคงเจือด้วยน้ำตา ประกาศกร้าว
“ตั้งแต่นี้ต่อไป หนูจะเชื่อฟังคำสั่งของพ่อทุกอย่าง จะไม่ปราณีใคร ไม่เชื่อใจใคร และจะไม่มีวันรักใครอีกต่อไป”
สิ้นเสียงของเบญจา ฟ้าก็ผ่าลงมาทันที เปรี้ยง! สมคิดแสยะยิ้มอย่างผู้ชนะ
“ต้องอย่างนี้ซิ ถึงคู่ควรที่จะเป็นลูกสาวคนเดียวของฉัน”
เบญจา แววตากร้าว เหี้ยมเกรียม
บรรยากาศในบริษัทซิกส์เซนส์ขมุกขมัวฟ้าหลัวตอนกลางวัน เสียงฟ้าร้องดังสนั่น ติณห์ ญาณิน เงยมองฟ้า อรวรรณวิ่งออกมาจากบ้าน
เมฆดำบนท้องฟ้าลอยมาปิดพระอาทิตย์ ทำให้แสงสว่างตอนกลางวันมืดลงอย่างรวดเร็ว ตามด้วยฝูงอีกาปีศาจบินว่อนไปทั่ว
“เกิดอะไรขึ้นหรือคะคุณหนู”
“ติณห์คะ” ญาณินหันไปมองติณห์อย่างไม่สบายใจ
ติณห์กอดญาณินไว้แน่น
เนตรสิตางศุ์กำลังอ่านหนังสืออยู่หน้าบ้านเพลินๆ ทันใดนั้น ฟ้าผ่า เปรี้ยง!
เนตรสิตางศุ์ปิดหนังสือ มองออกไปยังท้องฟ้าและทะเลที่มีคลื่นลมแปรปรวนเหมือนฝนจะตก และก็ต้องตระหนก เพราะเห็นฝูงอีกาปีศาจบินโฉบเฉี่ยวไปมาอย่างน่ากลัว
เนตรสิตางศุ์รีบคว้าแว่นดำขึ้นมาสวมทันที วรวรรธวิ่งออกมาหาเนตร เนตรสิตางศุ์กอดวรวรรธแน่นด้วยความหวาดกลัว
กรรณานอนกอดรูปห้าสาวหลับตาอยู่บนเตียง หูฟังหลุดออกมาข้างตัว ทันใดนั้น เสียงฟ้าร้องและเสียงอีกาปีศาจก็ดังเสียดเข้าไปในหูของกรรณาทันที กรรณาลืมตาโพล่ง
“โอ้ย!”
กรรณารีบคว้าหูฟังขึ้นมาสวม แล้วก้มลงมองรูปเธอและเพื่อนๆในมืออย่างกังวลใจ
กรรัมภาที่เปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วนั่งตัวขดตัวสั่นอยู่บนเตียงตัวเอง เห็นบรรยากาศท้องฟ้าในกรุงเทพฯที่วิปริต และฝูงอีกาปีศาจที่บินเหนือบ้าน
สุคนธรสเดินไปเดินมาอย่างทุกข์ใจในห้องนอน ฟ้าร้องโครมคราม เธอเดินไปยืนที่หน้าต่าง
อีกาตัวนึงมาเกาะ สบตา สุคนธรสสะดุ้ง จ้องอีกา
อีกาอันตรธานหายไป ในที่สุดก็ตัดสินใจนั่งขัดสมาธิ ลงบนเตียงเพื่อนั่งสมาธิสงบจิตใจ
สุคนธรสหลับตาลง นั่งสมาธิ จู่ๆของที่วางอยู่บนทีวีก็ตกลงมา เธอตกใจ ลืมตาขึ้น แล้วเก็บของขึ้นไปวางเหมือนเดิม
สุคนธรสกลับมานั่งสมาธิต่อ ของโชว์บนหัวเตียงก็ตกลงมาอีก สุคนธรสลืมตา แล้วเก็บของไปวางที่เดิม
สุคนธรสดุ
“อย่าป่วนนะ...”
สุคนธรสพยายามหลับตาเข้าสู่สมาธิ โบตั๋นวิ่งผ่านไป สุคนธรสทำจมูกฟุดฟิด เพราะได้กลิ่นโบตั๋น
“โบตั๋นพี่บอกว่าอย่าป่วนไง พี่ต้องการความสงบ”
โบตั๋นปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า สุคนธรสได้กลิ่นแต่ไม่เห็นตัว
“มาช่วยหนูหาของขวัญก่อนไม่ได้เหรอ หนูว่ามันต้องอยู่ที่บ้านนี้แหละ มันยังอยู่ หนูอุตส่าห์ทำมากะมือเลยนะ”
สุคนธรสเปิดตาอย่างหงุดหงิดใจ
“นี่”
ไตรรัตน์ก้าวเข้ามาพอดี ในมือมีโอวันตินร้อนกับซาลาเปามาด้วย
โบตั๋นหายแว๊บไปทัน
ไตรรัตน์แปลกใจ
“ที่รัก...คุณพูดกับใคร”
“โบตั๋น” สุคนธรสเสียงดัง “อย่าหนีสิ แน่จริง มาคุยกะพี่ชายตัวเองสิ”
“แน่ะ หาเรื่องน้องผมอีกละ ไม่เอาน่า...กลุ้มใจ คันไม้คันมือ..อยากทำกิจกรรมเกี่ยวกับผี.. น่า..ที่รัก..โบตั๋นก็เป็นผีเหมือนกันนะ เราช่วยเหลือผีในบ้านเรา ก่อนที่จะไปช่วยผีชาวบ้าน..ดีไหม”
“อะไรนะ”
“แหะๆ ผมพูดเล่น..คุณจะได้ลืมเครียดเรื่องบริษัทโดนปิดไปสักสองวินาทีก็ยังดี”
สุคนธรสเงียบไปอีกครั้ง ไตรรัตน์เริ่มหน้าเจื่อน รีบวางถาดของว่างลงบนโต๊ะ
“อาอี๊ชงโอวันติน กับนึ่งซาลาเปามาให้ คุณกินหน่อยนะ”
“ฝากขอบพระคุณอาอี๊ด้วย เกรงใจมากเลย ฉันไม่หิวเลย รบกวนอาอี๊เปล่าๆ วันๆอาอี๊ก็เหนื่อยมากแล้ว..ไม่น่าจะมาเสียเวลากับฉันเลย”
“เสียเวลาอะไร อาอี๊ชอบทำของว่างอยู่แล้ว ยิ่งได้ทำให้หลานสะใภ้คนโปรดยิ่งเต็มที่เข้าไปใหญ่ ช่วงนี้ที่บริษัทปิด เราหาอย่างอื่นทำกันดีกว่านะ”
สุคนธรสชะงัก
“ทำอะไร”
“เราก็จะได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน มากขึ้น...อะจึ๋ยๆ” ไตรรัตน์ทำปูไต่ไปบนแขนสุคนธรส “เราจะได้มีเวลาสร้างอาตี๋น้อยจูเนียร์ ทำให้ครอบครัวของเราสมบูรณ์ คุณได้ทำหน้าที่ศรีสะใภ้ที่ดีซะที”
สุคนธรสนิ่งๆ
“หมายความว่า ตั้งแต่เราแต่งงานมา ฉันเป็นลูกสะใภ้ที่แย่มากซินะ”
ไตรรัตน์อึ้ง
“เอ่อ...ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย”
“เหรอ...”
ไตรรัตน์ผมแค่พูดตลก อยากให้คุณฮาๆ
“ฉันไม่อยากฮาอะไรทั้งนั้น” สุคนธรสร้องไห้ ล้มตัวลงนอน
ไตรรัตน์ขยับเข้าไป ลูบหลัง
“ไม่ใช่นะคุณ ผมเพียงแต่ไม่อยากเห็นคุณเป็นแบบนี้ ผมเป็นห่วงคุณ ทุกคนที่นี่ทั้งป๊า ม้า อาม่า อาอี๊ ก็เป็นห่วงคุณ ทุกคนอยากเห็นคุณสบายใจ อยากเห็นคุณร่าเริง”
สุคนธรสทนไม่ได้
“ใครจะร่าเริงได้ ขณะที่เพื่อนๆมีความทุกข์ ซิกส์เซนส์เป็นครอบครัวของฉันนะ เราห้าคนเป็นเพื่อนตายกันมา ทุกคนมีความ สำคัญกับฉันเท่าชีวิต”
ไตรรัตน์ทนไม่ได้เหมือนกัน เสียใจ
“แล้วผมละมีความสำคัญกับคุณบ้างหรือเปล่า คุณเคยเห็นผมในสายตามั้ย คุณรักผมมั่งมั้ย ถามจริง”
สุคนธรสอึ้ง
“แล้วทำไมคุณถึงคิดว่า..ฉันไม่รัก”
“บางที..ผมว่า..เหมือนผมรักคุณข้างเดียว..”
สุคนธรสตาลุก โกรธปรี๊ด
อาอี๊กำลังรินน้ำชาให้ทุกคนเพื่อดื่มล้างปากหลังอาหารเช้า เสียงสุคนธรสกับไตรรัตน์เถียงกันดังแว่วมา ทุกคนชะงักมองหน้ากันงงๆ
“สองคนทะเลาะกันเหรอเนี่ย” เสี่ยจำเริญถาม
“อยากรู้มั้ยละ อยากรู้ก็ขึ้นไปดูซิ...เร็ว”
เสี่ยจำเริญกับเจ๊หญิงรีบปรี่ขึ้นไป
อาอี๊ประคองอาม่าเพื่อที่จะตามขึ้นไปเหมือนกัน
“ค่อยๆนะอาม่า”
“เฮ้อ...ชีช้ำจริงๆเลย...มีแต่เรื่อง”
ไตรรัตน์น้อยใจ...
“คุณไม่ได้รักผมเลย ผมไม่มีความหมายอะไรเลยสำหรับคุณ..นอกจากเป็นสมุนคนนึง ที่คุณเอาไว้ใช้งานเท่านั้น”
“แล้วที่ฉันเคยทำทุกอย่าง เคยต่อสู้เสี่ยงชีวิตมาเพื่อคุณล่ะ”
“คุณก็เห็นผมเป็นเหมือนพวกดร.แผนยุทธ หรือผีใบหม่อน..ผีเจ๊พิมพิลาศ เป็นพวกน่าสงสาร ที่คุณอยากช่วยเหลือเท่านั้น”
“ใช่! แล้วหลังจากนั้นล่ะ..ฉันไม่ได้แต่งงานกะคุณ แล้วก็อยู่กะคุณเหรอ”
“แต่งงานแล้วไง คุณแต่งเพราะกลัวตัวเองเสียหาย เสียชื่อเสียง แต่งเพราะพ่อแม่ผมรักคุณ ขอร้องคุณ..คุณก็เลยยอม...”
“บ้าไปแล้วนายไตวาย การแต่งงานมันไม่ใช่การเล่นขายของนะยะ ฉันจะเอาชีวิตฉันมาโยนทิ้งกับชีวิตแต่งงานทำไม ถ้าเราไม่รักกัน”
“ผมรักคุณ...ใช่...แต่คุณน่ะเปล่าเลย กี่เดือนมาแล้วที่เราแต่งงานกัน แต่เราได้เป็นสามี-ภรรยากันจริงๆไหมล่ะ คุณว่ามันปกติไหม”
“อ้อ...เข้าใจละ ความรักของคุณมันก็คือเรื่องนั้นเท่านั้นเอง เอะอะอะไร คุณก็โยงเข้าเรื่องเดียว คือการเอ็กซ์ เอ็กซ์ เอ็กซ์ เอ็กซ์”
สุคนธรสจะเดินหนีไป แตไตรรัตน์ก้าวเข้าไปจับแขนสุคนธรสให้มาเผชิญหน้า
“ถ้าคุณไร้หัวใจ ปิดตา ปิดใจ มองไม่เห็นความรักแท้รักอย่างลึกซึ้ง ที่ผมมีต่อคุณอย่าง ที่สุด ผมก็จะไม่ขออยู่ตื๊อคุณให้คุณรำคาญอีกต่อไป จนกว่าเมื่อไหร่คุณจะคิดได้ว่าผมรักคุณแค่ไหน รักคุณยังไง...ผมถึงจะกลับมา”
ไตรรัตน์พูดจบก็ก้าวฉับๆออกไป ไตรรัตน์เปิดประตูเจอเสี่ยจำเริญ เจ๊หญิง อาม่า อาอี๊ ยืนออฟังกันอยู่
“นี่มันอะไรกันอาตี๋น้อย ทะเลาะเรื่องอะไรกันใหญ่โต”เจ๊หญิงถาม
“นั่นซิๆ แล้วลื้อจะไปไหนอาตี๋น้อย” อาม่าถาม
“ยังไม่รู้ครับอาม่า แต่ผมคงไม่กลับบ้านสักพัก”
ไตรรัตน์หันกลับไปมองสุคนธรสที่ยืนอึ้งน้ำตาไหลอยู่ในห้อง
“ผมไปนะครับ ฝากดูแลคุณรสด้วยครับ” ไตรรัตน์ตัดใจ
อ่านต่อหน้า 3
สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 17 (ต่อ)
ไตรรัตน์เดินออกไปทันที
“โอ้ย...อั้วจะเป็นลม มันอะไรกันหนักหนา เก็กซิมจริงๆ”
“ใจเย็นๆอาม่า” อาอี๊ประคองออกไป “ไปๆอาม่า กลับไปนอนพักที่ห้องก่อนนะ อย่าเครียดๆ เดี๋ยวความดันขึ้น”
อาอี๊ประคองอาม่ากลับห้องไป เจ๊หญิงหันมาสบตาสุคนธรสที่ยืนอึ้งอยู่
“หนูรส...”
สุคนธรสปล่อยโฮ วิ่งตามไตรรัตน์ไป เจ๊หญิง เสี่ยจำเริญตกใจ
“หนูรส”
ไตรรัตน์กำลังเปิดรถ สุคนธรสวิ่งออกมา
“นายไตวาย นายจะมาหนีฉันไปแบบนี้ไม่ได้”
“เห็นไหม แค่เรียกชื่อผม คุณจะเรียกให้มันดีๆก็ยังไม่ได้ ถามหน่อยเถอะ ถ้าพูดกับผมดีๆ หวานๆสักครั้งนึง มันจะทำให้คุณเสียศักดิ์ศรีอะไรมากนักเหรอ”
“ทำไม ฉันจะเรียกนายยังไงก็ได้ มันจะสำคัญอะไรนักหนา”
“นั่นสินะ สำหรับคุณ ผมจะชื่อเบาหวาน ไตวาย หรือความดันต่ำ ก็คงเหมือนๆกัน แต่คุณสิ ผมก็คงเรียกได้แต่คำว่าที่รักเท่านั้นเอง”
เสียงเคที่ดังมา
“ฮันนี้ ดาร์หลิง สวีทฮาร์ท”
ทั้งสองหันไป
เคที่เดินเข้ามา รีบร้อน
“ไธรส์คะ..ที่รัก...ช่วยเคที่ด้วย เคที่ขอโทษนะคะ ที่มารบกวน แต่เคที่ต้องการความช่วยเหลือจากที่รักจริงๆ...อู๊ปส์...สุคนธรส ไอ’ม์ซอรี่นะ ขอยืมยอร์ฮัสแบนด์แป๊บ”
ไตรรัตน์เห็นเคที่นึกได้
“ไม่ต้องยืมหรอกเคที่ผมว่างๆ จีบได้ เมียไม่รัก ว่าไงจ๊ะ มีอะไรให้ผมช่วยว่ามา แหมผมก็ลืมไปว่าในโลกนี้ ก็ยังพอมีคนเห็นค่าของผมเหมือนกัน บอกมาเลย เคที่ ผมพร้อมช่วยคุณเสมอ”
เคที่งงนิดๆ สุคนธรสอึ้ง
ไตรรัตน์ตกใจกับสิ่งที่เคที่บอก
“อะไรนะ..ต้องการให้ผมไปแสดงละครหลอกคน ว่าผมเป็นสามีคุณ”
“ใช่ค่ะ ไม่งั้นไอ้พ่อเลี้ยงกำจร มันจะส่งสมุนมาอุ้มเคที่ไปปลุกปล้ำข่มขืนกระทำชำเรา”
“อุ๊ต่ะ น่ากลัวจริงอะไรจริง”
“มันตัวใหญ่ยังกะหมีควายแน่ะค่ะ เคที่กลัว...กลัวจะตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว”
“น่ากลัวจริงๆด้วย แต่ทำไมอยู่ๆ เขาจะมาอุ้มคุณล่ะ”
“เคที่รับของเขามานิดหน่อยน่ะค่ะ แต่เขามาให้เคที่เอง เคที่ไม่ได้ขอสักหน่อย แต่พอเคที่รับมา เขาก็มาอุบอิ๊บว่าเคที่ยอมเขาแล้ว ที่จริงเคที่ไม่ได้ยอมซะหน่อย แค่เอาของเขามาเฉยๆ”
“ของอะไรครับ”
“เงินค่ะ นิดหน่อยเองสองล้าน”
“หา..”
“เคที่เอามาให้แม่ใช้หนี้นี่คะ เคที่เป็นลูก เคที่ก็ต้องกตัญญู แต่ตอนนี้เคที่กลับต้องมารับกรรม จะต้องถูกผู้ชายฉุด แล้วไธรส์คิดดูสิคะ ในเมืองไทย เคที่ไม่รู้จักใครเลยที่จะไว้วางใจ ให้มาเล่นบทนี้ได้ เคที่ก็มีแต่ไธรส์นี่แหละ ที่จะแสดงตัวว่าเป็นผัวเคที่ได้อย่างไม่ขัดเขิน ตกลงนะคะ”
ไตรรัตน์มองด้วยหางตาเห็นสุคนธรสแอบฟัง สุคนรสรีบแอบหลังต้นไม้ ลุ้น ได้ยินทุกอย่าง ไตรรัตน์เสียงดัง ตั้งใจให้ได้ยิน
“สบายมากเลยเคที่ ผมจะทำตัวเป็นผัวคุณ ให้ไอ้พ่อเลี้ยงดำเกิง..”
“กำจรค่ะ”
“นั่นล่ะมันจะชื่ออะไรไม่สำคัญ สำคัญตรงเวลาเราทำตัวว่าเป็นคนที่รักกัน มันจะสมจริงมากๆ ใครเห็นก็ต้องเชื่อ เพราะเราสองคนต่างมีหัวใจ รักเป็น และชอบแสดงออกซึ่งความรักอย่างมากมาย ไม่อายใคร จริงไหม โอเคไป จะให้ผมไปโชว์สดๆว่าเรารักกันแค่ไหน ที่ไหน เมื่อไหร่ ไปกันเลย”
ไตรรัตน์โอบเคที่เดินไป ไม่วายแอบเหล่ ว่าสุคนธรสฟังอยู่หรือเปล่า สุคนธรสซีด
ออฟฟิศแผนยุทธ บรรยากาศขมุกขมัว ฟ้าร้องดังสนั่น ฟ้าแลบแปลบปลาบ หลอดไฟในมุมกาแฟติดๆ ดับๆอย่างน่ากลัว
น้ำหนึ่งวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะ ค่อยๆปรุงกาแฟ ล้วงซองพลาสติดใสใส่ยาบางอย่างออกมา จากกระเป๋ากางกาง ใส่ยาที่ล้วงออกมาลงไปในแก้วกาแฟ แล้วคนให้ ละลายอย่างใจเย็น
แผนยุทธนั่งทำงานอย่างกระสับกระส่าย เห็นว่าเขาพยายามรวบรวมสติระงับความรู้สึก
เสียงฟ้าร้องดัง ตามด้วยเสียงฟ้าผ่าดัง เปรี้ยง! ทำให้แผนยุทธตกใจเสียจริต
“เฮ้ย”
แผนยุทธมองซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวง เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรก็พยายามตั้งสติทำงานต่อ
ช่อเพชรที่ยืนอยู่ข้างๆ ค่อยๆเข้ามาโอบกอดแผนยุทธเอาไว้
“คุณเป็นอะไรค่ะที่รัก ตั้งสตินะคะ อย่ากลัวไปเลย ฉันจะไม่ยอมให้ใครทำอะไรคุณ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น แผนยุทธผวา ก่อนจะได้สติเพราะตามมาด้วยเสียงของน้ำหนึ่ง
“กาแฟค่ะคุณแผนยุทธ”
“เข้ามา...”
ช่อเพชรมองแค้นๆ
“แก”
น้ำหนึ่งถือแก้วกาแฟเข้ามาในห้อง ช่อเพชรมาดักหน้าน้ำหนึ่งไว้
“ออกไปจากห้องนี้นะนังหน้าด้าน”
น้ำหนึ่งไม่เห็น เดินทะลุช่อเพชรตรงไปหาแผนยุทธที่โต๊ะ
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ หน้าซีดเชียว”
“ผมรู้สึกไม่สบายนิดหน่อยน่ะ”
น้ำหนึ่งยื่นแก้วกาแฟให้
“งั้นดื่มกาแฟนะคะ สักแก้วหนึ่งคงทำให้สดชื่นขึ้น”
“อย่าดื่มนะคะ...อย่าไปเชื่อมัน”
ช่อเพชรพยายามยื่นมือไปปัดแก้วแต่ก็ทะลุผ่านไปทุกครั้ง แผนยุทธยื่นมือไปรับแก้วกาแฟ แล้วถือโอกาสจับมือเบาๆ แผนยุทธสบตาน้ำหนึ่งที่ยิ้มเอียงอาย
“อร๊าย นังคนทรยศ”
น้ำหนึ่งค่อยถอนมือออกจากการเกาะกุมของแผนยุทธ
“ดื่มเถอะค่ะ เดี๋ยวหนึ่งจะนวดให้นะ”
“จ๊ะ...”
“อย่าดื่มนะคะที่รัก...ฉันบอกว่าอย่าไง...” ช่อเพชรคลั่งเพราะทำอะไรไม่ได้
แผนยุทธรับกาแฟมา แล้วค่อยๆดื่มจนเกือบจะหมดแก้ว น้ำหนึ่งที่กำลังนวดบ่าให้แผนยุทธอยู่ยิ้มเย็นอย่างเดาความรู้สึกไม่ออก แผนยุทธผ่อนคลาย หลับตาเคลิ้ม พิงเก้าอี้อย่างมีความสุข
“อีคนทรยศ เอามือสกปรกของแกออกไปจากตัวที่รักของฉันนะ”
น้ำหนึ่งยื่นหน้ามากระซิบแผนยุทธ
“รู้สึกดีขึ้นมั้ยคะ”
แผนยุทธยิ้ม
“จ๊ะ...”
แผนยุทธค่อยๆลืมตาขึ้น หมายจะจูบน้ำหนึ่ง แต่แล้วก็ตะโกนโหวกเหวกโวยวายออกมา
เพราะเห็นหน้าน้ำหนึ่งเป็นผี ที่มีสภาพซีดอืดหน้ากลัวจ้องมองแผนยุทธอย่างดุร้าย
“แกฆ่าฉัน”
แผนยุทธผงะ
“พิมอร”
แผนยุทธผลักน้ำหนึ่งกระเด็นไป
“พิมอร...อย่านะ อย่าเข้ามา”
“คุณแผนยุทธ นี่หนึ่งนะคะ คุณเป็นอะไรไป”
แผนยุทธขยี้ตา แล้วมองอีกครั้ง ก็เห็นเป็นน้ำหนึ่งที่ยืนอยู่จริงๆ
“หนึ่ง”
“ก็หนึ่งจริงๆซิคะ คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ”
“ไม่...ผมไม่เป็นไร แค่รู้สึกเพลีย ผมว่าวันนี้ผมกลับไปพักที่บ้านก่อนดีกว่า ถ้ามีอะไรด่วน โทรหาผมแล้วกันนะหนึ่ง...”
น้ำหนึ่งงง
“ค่ะ”
แผนยุทธรีบเก็บของ แล้วออกไปทันที
ช่อเพชรหันมองน้ำหนึ่ง
“แก....”
ช่อเพชรหายตัวตามแผนยุทธไป น้ำหนึ่งที่สีหน้าเปลี่ยนจากตื่นตระหนก เป็นยิ้มสะใจ
บ้านพงอินทร์ในบรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน ลมพัดแรง ก้อนเมฆสีดำลอยมาบดบังแสงอาทิตย์ จนทำให้ท้องฟ้าเวลากลางวันดูมืดมนไปทันที กรรณานั่งกอดเข่าหมดอาลัยตายอยากในห้องรับแขก
พงอินทร์เดินมาด้านหลังกรรณา มองกรรณาสงสาร
“ทำไมเธอไม่คิด ว่านี่คือบททดสอบ ฟ้าอาจจะอยากทดสอบว่าเธอกับเพื่อนๆจะผ่าน มันไปได้หรือเปล่า...แล้วถ้าพวกเธอผ่าน พวกเธอก็จะแข็งแกร่งขึ้นอีก”
“ทดสอบเหรอ เท่าที่ผ่านมายังทดสอบไม่พออีกเหรอ” ไ
“ตอนนี้เธอแค่เหนื่อย ท้อแท้ และสิ้นหวัง แต่ทุกอย่างจะดีขึ้น ฉันรู้ว่าตอนนี้เธออยากกอด เพื่อนๆของเธอแน่นๆ นานๆเพื่อเพิ่มพลังใจ แต่ไหนๆตอนนี้เพื่อนๆเธอก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้...ฉันอยากให้กำลังใจเธอแทน...ได้มั้ย...”
กรรณาอึ้ง
”นายโจ้...”
กรรณาอิดออด อยากกอดเหมือนกัน แต่ไม่กล้า พงอินทร์ตัดสินใจเข้าไปกอดเอง กรรณายิ้มทั้งน้ำ ทันใดนั้น จารุณีก็ถือร่มวิ่งฝ่าฝนเข้ามาหน้าตาตื่น
“คุณโจ้...คุณโจ้...ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย”
ทั้งสองผละออกจากกัน
“เกิดอะไรขึ้นครับคุณจา”
จารุณีเหนื่อยหอบ
“คุณผู้ชายค่ะ คุณผู้ชาย”
“ไอ้พี่แผนมันเป็นอะไร”
“คุณโจ้รีบไปดูเองเถอะค่ะ”
พงอินทร์หันมาบอกกรรณา
“เธออยู่ที่นี่นะอย่าออกไปไหน”
พงอินทร์วิ่งลุยฝนออกไป จารุณีรีบตามไป
“คุณโจ้ รอคุณจาด้วย”
บ้านเวียงทับในบรรยากาศ ฝนตกตอนกลางวัน ฟ้าร้อง ฟ้าผ่าอย่างหน้ากลัว เหมือนปราสาทผีสิง
ภายใน แผนยุทธคลุ้มคลั่งอาละวาดเพราะความหวาดกลัวอย่าหนัก
มูมู่ยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่ห่างๆ
“อ้าก ออกไป ฉันบอกให้แกออกไป อย่าเข้ามา”
“คุณผู้ชายขา นี่หนูเองนะคะ มูมู่...ไม่ใช่ผีค่า” มูมู่พูดอีสาน
“ที่รักคะ คุณเป็นอะไร คุณเป็นอะไร” ช่อเพชรร้องถามอย่างเป็นห่วง
พงอินทร์วิ่งเข้ามา ตามด้วยคุณแม่บ้านจารุณี
“คุณโจ้มาแล้ว…คุณโจ้ ช่วยคุณแผนยุทธด้วย”
“ไอ้พี่แผนมันเป็นอะไร”
“คุณแผนยุทธเดินเข้ามาในบ้านแล้ว จู่ๆคุณผู้ชายก็อาละวาดร้องโวยวาย หาว่าดิฉันเป็น ผีคุณผู้หญิง”
“ผีพี่พิมเหรอ”
“อย่า...อย่าเข้ามา กลัวแล้วๆ”
ช่อเพชรหายตัวมาอยู่ข้างแผนยุทธ
“ที่รักคะ ผีนังพิมอรไม่ได้อยู่ที่นี่ คุณตั้งสติดีๆซิคะ”
“เอาไงดีคะคุณโจ้” จารุณีถาม
พงอินทร์ครุ่นคิด แล้วค่อยๆก้าวเข้าไปหาแผนยุทธที่กำลังโวยวายโยนข้าวของ
“แกเป็นอะไร เลิกลีลาได้แล้ว คิดว่าแกล้งบ้าแล้วจะหนีความผิดคดีฆาตกรรมพี่พิม พ้นเหรอ”
ชื่อพิมอรทำให้สะกิดต่อมหลอนแผนยุทธทันที พงอินทร์ยื่นมือจะไปคว้าแผนยุทธ แต่สายตาแผนยุทธ กลับเห็นเป็นผีพิมอร ในสภาพเปียกน้ำ ตัวซีด ใบหน้าบวมเขียวคล้ำเพราะขึ้นอืด ยื่นมือมาจะบีบคอเขาด้วย ความอาฆาตแค้น
“คนทรยศ แกสวมเขาให้ฉัน แกทำให้ฉันต้องตายอย่างทรมาน”
“อ้าก อย่านะพิมอร”แผนยุทธยกมือไหว้ “ฉันกลัวแล้วๆ อย่าทำฉันเลยๆ ฉันไม่ได้ฆ่า เธอ...ฉันไม่ได้ฆ่าเธอ”
พงอินทร์โกรธ
“ถ้าแกไม่ได้ฆ่าพี่พิม แล้วใครฆ่า บอกมาซิวะ บอกมา” พงอินทร์เขย่าตัวแผนยุทธ “ช่อเพชรใช่มั้ย...แกบงการให้ยัยช่อเพชรเมียน้อยแกทำ ใช่มั้ย”
“อร๊าย...ฉันไม่ได้ทำ” ช่อเพชรกรีดร้องแต่ไม่มีใครได้ยินเสียง
“ใจเย็นๆค่ะคุณโจ้”
พงอินทร์เขย่าตัวแผนยุทธ ขณะที่แผนยุทธเห็นเป็นผีพิมอรที่บีบคอเขาไม่ยอมปล่อย
“ฉันจะเอาแกมาอยู่กับฉัน”
แผนยุทธหายใจอึดอัด
“ไม่...ฉันไม่อยากตาย พิมอร...ปล่อยฉัน ปล่อยฉัน”
แผนยุทธรวบรวมกำลังสะบัดหลุดจากพงอินทร์ แล้วจะวิ่งหนีออกไปทางหน้าบ้าน แต่ก็ต้องชะงัก เพราะมูมู่ขวางอยู่
“คุณผู้ชายอย่าออกไปค่ะ”
สายตาแผนยุทธ เห็นเป็นพิมอรยืนขวางอยู่
“แกหนีฉันไม่พ้นหรอก”
แผนยุทธตัวสั่น ตัดสินใจวิ่งไปอีกทาง ก็เจอคุณแม่บ้านจารุณียืนถือร่มอยู่ จารุณีเอาร่มขึ้นมาขวางเพราะกลัวแผนยุทธเข้ามาทำร้าย
“ว้าย...คุณผู้ชายอย่าเข้ามาค่ะ วิ่งไปทางอื่น”
สายตาแผนยุทธเห็นผีพิมอร ถือมีดปลายแหลมที่เต็มไปด้วยเลือด เดินเข้ามาหา แผนยุทธสติแตก
“แกต้องตาย”
“อ๊าก อย่า”
พงอินทร์ฉวยจังหวะที่แผนยุทธยกมือขึ้นป้องหน้า กระโดดรวบตัวแผนยุทธจากด้านหลัง
“แกจะทำอะไรผัวฉัน” ช่อเพชรโวย
“ปล่อยฉันนะพิมอร ปล่อย”
แผนยุทธที่แรงเยอะเพราะสติแตกสลัดพงอินทร์หลุด แล้วหันกลับมอง ภาพที่เห็นเป็นผี พิมอรใน สภาพดุร้ายถึงสามตัวยืนรายล้อมเขาอยู่ จริงๆคือ พงอินทร์ จารุณี และมูมู่นั่นเอง
แผมยุทธมองรอบๆ
“อย่านะ...อย่าเข้ามา ฉันกลัวแล้ว ฉันไม่ได้ฆ่าเธอจริงๆ ฉันไม่ได้ทำ ปล่อยฉันไป”
แผนยุทธวิ่งหนีขึ้นบันไดไปราวกับคนเสียสติ แต่แล้วเพราะสวมถุงเท้า ทำให้แผนยุทธลื่น สะดุดขั้นบันได้ กลิ้งตกลงมาทันที
“อ้าก”
แผนยุทธหัวกระแทกพื้นหมดสติ ผีช่อเพชรกรีดร้องแทบคลั่ง อร๊าย !
พงอินทร์ จารุณี มูมู่ ตกตะลึก
โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง กลางวัน ฝนหยุดตกแล้ว วรวรรธยืนคุยกับหมอเจ้าของไข้แผนยุทธอยู่มุมหนึ่ง พงอินทร์กับกรรณาและก้องฟ้านั่งรออยู่ที่เก้าอี้สำหรับนั่งรอ
“ขอบคุณมากนะครับสำหรับข้อมูล”
“ยินดีครับ”
หมอเจ้าของไข้ขอตัวแยกไป วรวรรธเดินมาหาพวกพงอินทร์
“คุณแผนยุทธปลอดภัยแล้วนะครับ แต่สมองได้รับความกระทบกระเทือน รวมถึงเส้นประสาทบางส่วนด้านซีกขวา ดังนั้นแขนและขาอาจจะขยับลำบากหน่อย โชคดีที่ตกลงมาไม่สูงนัก ไม่งั้นอาจจะอันตรายกว่านี้”
พงอินทร์พูดขึ้นอย่างหนักใจ
“เรื่องนี้ไม่ธรรมดาใช่มั้ยครับ”
“ใช่ครับ อาการคลุ้มคลั่งของดร.แผนยุทธ มีสาเหตุจากอาการทางประสาท”
“นี่คุณแผนยุทธเป็นบ้าเหรอครับ” ก้องฟ้าถาม
“ไม่ใช่หรอกก๊อง ในกระแสเลือดของดร.แผนยุทธ พบว่ามีปริมาณโดมิกุมมากเกิน ขนาด ส่งผลให้เขาเห็นภาพหลอนและคลุ้มคลั่ง บางขณะอาจจำคนอื่นไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“โดมิกุม...ยานอนหลับ ยาตัวนี้เฉพาะแพทย์สั่งให้ไม่ใช่เหรอคะ” กรรณาสงสัย
“ยาชื่อเหมือนในเพลงเลยเนาะ เมียมาคุมๆ” ก้องฟ้าร้องเป็นเพลง
“คุณน้องก๊องคะ..สักเรื่อง..ได้ไหมคะคุณ”
ก้องฟ้าจ๋อย วรวรรธอธิบายต่อ
“แต่แพทย์ประจำตัวดร.แผนยุทธบอกว่า เขาไม่เคยมีประวัติใช้ยานอนหลับเลย”
“หมอกำลังจะบอกว่า ไอ้พี่แผนมัน...”
กรรณา กับก้องฟ้าพูดพร้อมกัน
“ถูกวางยา”
“ถ้าไอ้พี่แผนโดนแบบนี้แสดงว่าต้องมีคนร้ายกว่าซ่อนอยู่” พงอินทร์เครียด
“เราคงต้องพึ่งพี่ณัฐให้ช่วย…” กรรณาบอก
วรวรรธหน้าแหย๋
“พี่ณัฐ…”
ภายในโรงพยาบาลจิตเวช...ณัฐเดชเดินรีบร้อนเข้าไปด้านใน ตามที่นัดหมอเอาไว้ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ณัฐเดชล้วงมือถือออกมาก้มลงดูชื่อ แทนสายตาเห็นเป็นชื่อกรรณา
ณัฐเดชแปลใจว่ามีเรื่องอะไร จะกดรับสาย แต่ต้องตกใจอยู่ๆมีคนไข้เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งถลาเข้ามาจับแขนสองข้างไว้
“เฮ้ย”
ณัฐเดชไม่ทำอะไรเพราะเห็นชุดสีฟ้าก็รู้ว่าเป็นคนไข้ของโรงพยาบาล ขณะที่เด็กหนุ่ม มองจ้องหน้าณัฐเดช แล้วกระพริบตาถี่ตัวสั่นเกร็ง
ในจิตของเด็กหนุ่มที่มองเห็น เป็นภาพไม่ปะติดปะต่อ แต่เห็นเป็นภาพเนตรสิตางศุ์กำลังวิ่งหนีอยู่ที่ชายหาด และล้มลง กรีดร้อง มีมือดำๆมากระชาก
“ที่ชายหาด...มีน้ำเต็มไปหมด ผู้หญิงคนนั้นเห็นผี มีคนไปฆ่า ช่วยน้องด้วย ไปช่วยที”
“น้องพูดอะไร ใครนะครับ”
ณัฐเดชกำลังงง แต่มีบุรุษพยาบาลสองคนเข้ามาแยกเด็กหนุ่มไป
“น้องต้นครับ ไปทานยาดีกว่านะครับ อย่าไปกวนพี่เขา”
“ไปช่วยน้อง ไปช่วยที คนเห็นผี ไปช่วยที”
เด็กหนุ่มถูกสองบุรุษพยาบาลพาตัวไปแต่ยังโวยวายตลอดทางโดยที่ณัฐเดชยืนมอง ไม่เข้าใจ ถามพยาบาลอีกคนที่เดินมาดู
“น้องคนนั้นเขาเอ่อ...ป่วยเหรอครับ”
“ค่ะ น้องต้นมีปัญหาทางจิต เพ้อขั้นรุนแรง แกจะชอบบอกว่าตัวเอง มองเห็นเรื่องอนาคต ของคนอื่นได้น่ะค่ะ แล้วคุณเอ่อ...ใช่สารวัตรณัฐเดชรึเปล่าคะ”
“ครับ ผมนัดคุณหมอที่รักษาคุณพิมพลอยเอาไว้”
ภายในโรงพยาบาลจิตเวช ภาพจากจอทีวี...เห็นอาการคลุ้มคลั่งของคนไข้ที่ถูกบันทึกไว้ และหมอสาวใหญ่วัยราว 50 กำลังดูพลางเขียนบันทึกพฤติกรรมลงไปในสมุดของตัวเอง ปากก็พูดกับณัฐเดชที่นั่งอยู่
“คุณมาช้าไปแล้วคุณตำรวจ”
“ครับ คุณพิมพลอยเสียแล้วเหรอครับ”
หมอหัวเราะดูเพี้ยนไม่ต่างกับคนไข้ หันมาเหลือกตามองณัฐเดช
“ฉันบอกคุณเหรอว่าพิมพลอยตาย”
“อ้าว ก็...คุณหมอบอกว่าผมมาช้า”
“หมอหมายความว่าถ้าคุณมาเร็วกว่านี้สัก 5 ปี คุณก็จะได้เจอกับพิมพลอยคนไข้คนสวย ของหมอ”
“งั้นแปลว่าคุณพิมพลอยรักษาอาการทางจิตหายแล้ว คุณหมอก็เลยอนุญาต ให้ออกจากโรงพยาบาลได้”
“อืม...จะว่าหายก็ไม่ถึงกับหายขาดนะ แค่ดีขึ้นมาก จนมองผิวเผินเหมือนคนปกติ อย่างคุณกับหมอนี่แหละฮ่ะๆ แต่ยังต้องกินยาสม่ำเสมอ เพราะถ้าหากมีอะไรมากระทบจิตใจ อาการก็อาจจะกำเริบขึ้นมาได้ทันที”
“แล้วตอนนี้คุณพิมพลอยไปอยู่ซะที่ไหนครับ”
“ก็ไปอยู่กับพี่สาวเขานั่นแหละ พี่สาวเป็นคนมารับตัวไปอยู่ด้วย”
“พี่สาว...ก็คุณช่อเพชรน่ะซิครับ”
โรงพยาบาลที่แผนยุทธรักษาตัว...น้ำหนึ่งใส่วิกปลอมตัวมาผมยาวดัดเหมือนช่อเพชร สวมแว่น กันแดด สะพายกระเป๋าเดินตรงทื่อมา จนกระทั่งมาหยุดที่หน้าห้อง
หญิงสาวเปิดประตูเข้าไปช้าๆ เห็นแผนยุทธนอนหลับอยู่บนเตียง มีพยาบาลกำลังเช็คอาการ แผนยุทธอยู่ หญิงสาวรีบปิดประตูแล้วยืนรออยู่หน้าห้อง มองซ้ายมองขวา พยาบาลคนเดิมเปิดประตูเดินออกมาจากห้องแผนยุทธ ไม่ได้สังเกตหญิงสาวนั้น พอพยาบาลเดินห่างออกไป หญิงสาวนั้นก็เข้าไปห้องแผนยุทธทันที ประตูปิด กริ๊ก...
หมอยังคงจ้องไปที่จอ...ดูความเพี้ยนคลุ้มคลั่งของคนไข้อาการขั้นรุนแรง
“พิมพลอยน่ะเป็นเด็กน่าสงสาร พอพ่อแม่ตาย ญาติพี่น้องก็ไม่มีใครเอาจนต้องมาโตเป็นสาวอยู่ที่นี่ แต่คุณเชื่อหรือเปล่า พิมพลอยน่ะเรียนจบปริญญาตรีทางอินเตอร์เน็ต ฮ่ะๆ”
ณัฐเดชทึ่ง
“เหรอครับ ถ้างั้น...อะไรถึงทำให้เธอมีอาการทางจิตได้ล่ะครับ”
“คุณรู้ใช่ไหม พิมพลอยกับคุณช่อเพชรเป็นพี่น้องคนละพ่อกัน”
“ทราบครับ ทำไมเหรอครับ”
“ก็พ่อของคุณช่อเพชรที่เป็นพ่อเลี้ยงของพิมพลอยนั่นแหละ เคยล่วงละเมิดทางเพศ พิมพลอยตอนเด็กๆอยู่นานหลายปี โดยที่แม่ไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย มีเพียงช่อเพชรที่รู้ และคอยช่วยเหลือน้อง จิตใจของพิมพลอยก็เลยถูกกระทบกระเทือนอย่างหนัก จนถึงขั้นเกลียดแค้นผู้ชายโดยเฉพาะผู้ชายเจ้าชู้”
หมอเน้น ณัฐเดชช็อคไปเลย
“คุณหมอพอจะทราบไหมครับว่าตอนนี้ทั้งคู่อยู่ที่ไหน”
หมอดีดนิ้วคิดอะไรออก
“ทำไมไม่ลองไปหาบ้านญาติ ที่เคยรับคุณช่อเพชรมาอุปการะตั้งแต่เด็กดูล่ะคุณตำรวจ”
“จริงด้วยครับ ผมลืมไปได้ยังไง”
“ฮ่ะๆ” หมอหัวเราะชอบใจ
ภายในห้องพัก...แผนยุทธที่นอนหลับอยู่บนเตียงด้วยฤทธิ์ของยากล่อมประสาท ค่อยๆขยับหน้า รู้สึกตัวตื่น
แผนยุทธที่พยายามจะลืมตามอง เห็นภาพเบลอๆของผู้หญิงยืนอยู่ข้างเตียง
“ใครอยู่ตรงนั้น...ใคร...ฉันถามว่าใคร”
น้ำหนึ่งไม่ตอบ แผนยุทธพยายามปรือตามองชัดๆ จนเห็นทรงผมและหน้าในแว่นตากันแดดกรอบใหญ่ ก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลา
“นั่น...ช่อ...ช่อเพชร...เธอใช่ไหม...ช่อเพชร”
น้ำหนึ่งไม่ตอบ แต่เอามือหักสายออกซิเจนจากเครื่องช่วยหายใจที่ครอบจมูกแผนยุทธอยู่
“จะทำอะไรช่อ...อย่า...อย่า...”
แผนยุทธไม่มีแรงดิ้น แขนข้างขวาขยับแทบไม่ได้ แขนซ้ายพยายามปัดมือน้ำหนึ่งแต่อ่อนแรง เต็มทน เพราะยังมึนๆด้วยยากล่อมประสาท นอนเจ็บแขน ไม่มีแรงลุก ได้แต่เถือกหนี มือซ้ายปัดป่ายไปทั่ว เริ่มหายใจไม่ออก
“อย่านะช่อ เธออย่าทำอะไรฉันนะ ฉันจะไม่โกหกอีกแล้ว พิมอรตายแล้ว ไม่มีใครขวางทางเราอีกแล้ว”
แต่น้ำหนึ่งไม่ฟัง เอาอีกมือบีบไปที่เครื่องช่วยหายใจที่หน้าแผนยุทธและกดเอาไว้ไม่ให้แผนยุทธ หายใจออก
“อย่าช่อเพชร อ๊าก”
น้ำหนึ่งกดเครื่องหายใจสุดแรง
แผนยุทธเริ่มหน้าเขียว ตาลอยเพราะขาดออกซิเจน แรงหมดไม่สามารถดิ้นต่อได้
ณัฐเดชเดินถอนใจอย่างผิดหวังออกมาจากห้องหมอ เสียงมือถือของณัฐเดชดังขึ้นอีกครั้ง ณัฐเดชล้วงมือถืออออกมา เห็นชื่อกรรณาโทรมาก็นึกขึ้นได้
“ฮัลโหล...โทษทีกรรณพี่ติดธุระอยู่...โทรมาหาพี่หลายครั้งมีอะไรรึเปล่า”
ภายในโรงพยาบาล...กรรณาเดินพูดมือถือมากับหมอวรวรรธและพงอินทร์
“พี่ณัฐรีบมานะคะ ป่านนั้นฤทธิ์ยากล่อมประสาทของตาด็อกเตอร์ น่าจะหมดฤทธิ์ พูดจารู้เรื่องแล้ว ค่ะ เดี๋ยวเจอกัน”
กรรณากดวางสาย ทั้งหมดเดินมาถึงหน้าห้องแผนยุทธพอดี พงอินทร์กำลังจะเปิดประตู แต่น้ำหนึ่งในชุดตัวเองปกติ ดันประตูออกมาก่อน หน้าตาตื่น
“เฮ้ย...น้ำหนึ่ง”พงอินทร์ตกใจ
“ช่วย...ด้วย...คุณแผนยุทธ หยุดหายใจ”
หมอวรวรรธรีบวิ่งเข้ามาดู เห็นเส้นวัดชีพจรบนหน้าจอเครื่องวัดชีพจรเป็นเส้นตรง หมายถึง แผนยุทธหัวใจหยุดเต้น
“คุณแผนยุทธหัวใจหยุดเต้น คุณโจ้รีบแจ้งหมอด่วน ผมจะปั๊มหัวใจเขาก่อน”
พงอินทร์รีบผลักประตูออกในทันที ผ่านน้ำหนึ่งที่ยืนตัวสั่นอยู่หน้าห้อง
“คุณหมอครับ ช่วยด้วยครับ”
ขณะพงอินทร์ร้องตะโกนเรียก พยาบาลรีบวิ่งมาแต่ไกล น้ำหนึ่งหันกลับเข้าไปมองในห้อง แผนยุทธ
วรวรรธกำลังปั๊มหัวใจแผนยุทธด้วยมือ กรรณายืนลุ้นอยู่ใกล้
คุณหมอกำลังเตรียมเครื่องปั๊มหัวใจเพื่อช่วยชีวิตแผนยุทธ หมอและพยาบาลเต็มห้อง
พงอินทร์ วรวรรธ กรรณา น้ำหนึ่ง ยืนดูอยู่หน้าห้อง
“เคลียร์”
แผนยุทธตัวกระเด้งจากแรงช็อตไฟฟ้าของเครื่องปั๊มหัวใจ พวกพงอินทร์มองและแผนยุทธที่กำลังถูกปั๊มหัวใจ
ตำรวจท้องที่ในเครื่องแบบรีบรุดมาที่โรงพยาบาล ที่หน้าห้องฉุกเฉิน ณัฐเดชยืนคุยกับกรรณา พงอินทร์ วรวรรธที่หน้าห้อง
“อีตาแผนยุทธนี่ดวงแข็งจริงๆ รอดมาได้หวุดหวิดค่ะพี่ณัฐ ดีนะที่หมอวรรธช่วยปั๊มหัวใจด้วยมือก่อนหมอจะเอาเครื่องมือมา ไม่งั้น...” กรรณาทอดถอนใจ
ณัฐเดชพยักหน้ารับรู้ แล้วหันไปมองหน้าวรวรรธอย่างมีอะไรเคืองๆในใจอยากจะเคลียร์ วรวรรธรู้สึกได้...หน้าชักตึงๆกัน พงอินทร์ขัดจังหวะขึ้นมาพอดี
“หนึ่ง...”
“คะ” น้ำหนึ่งทำสีหน้าเป็นปกติ
“ตอนคุณเข้าไป คุณพบใครหรือมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า”
“ไม่มีใครเลย...หนึ่งเข้าไปก็เจอคุณแผนยุทธนอนนิ่งไม่หายใจอยู่แล้ว”
“แปลกมาก...อาการเขาไม่มีอะไรที่จะเกี่ยวข้องกับระบบหัวใจเลย...” วรวรรธแปลกใจ
“คุณโจ้...ผมจะบอกพรรคพวกให้ช่วยนำตำรวจเฝ้าคุณแผนยุทธ 24 ชม.” ณัฐเดชตัดสินใจ
“ครับ...ขอบคุณครับ”
“คดีนี้เริ่มซับซ้อนเกินกว่าที่เราคิดซะแล้ว” กรรณากังวล
น้ำหนึ่งนิ่ง
“ใช่...พี่ไปได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณช่อเพชรและพิมพลอย” ณัชเดชเล่า
ทุกคนสนใจ
ภายในโรงพยาบาล ห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง ณัฐเดชลงนั่งที่ชุดรับแขก ทุกคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“พี่ไปโรงพยาบาลจิตเวชที่คุณพิมพลอย น้องสาวของคุณช่อเพชรเคยรักษาตัวอยู่ หมอบอกว่าคุณช่อเพชรมารับตัวน้องสาวไปอยู่ด้วยนานแล้ว”
“ไปอยู่ที่ไหนพี่ณัฐ” กรรณาถาม
“น่าจะเป็นบ้านญาติที่รับตัวคุณช่อเพชรไปอยู่ด้วยตั้งแต่เด็ก พี่กำลังให้เพื่อนใน กรมตำรวจตามหาที่อยู่บ้านหลังนี้อยู่”
“เดี๋ยวหนึ่งจะช่วยหาบ้านหลังนี้อีกแรงค่ะ”
อยู่ๆน้ำหนึ่งก็เอ่ยขึ้น ทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว น้ำหนึ่งยิ้ม
“ยังมีเอกสารเก่าๆของคุณช่อเพชรอยู่ที่บริษัท ระหว่างที่คุณแผนยุทธอยู่โรงพยาบาล หนึ่งจะแอบไปค้นให้ อาจจะโชคดีเจอก็ได้ค่ะ”
“ขอบใจมากนะหนึ่ง คุณช่วยผมเยอะมาก”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะโจ้ หนึ่งเต็มใจช่วยคุณ”
กรรณากอดอกแอบกัดฟันกรอด หมั่นไส้ท่าหวานๆของน้ำหนึ่ง พึมพำเบาๆ
“ที่งี้มาทำอ่อย ที่เขจะเอา ดันทิ้งเข”
“งั้นไม่มีอะไรแล้ว ผมกลับก่อนนะครับ มีอะไรโทรตามผมได้ตลอดเวลาไปก่อนนะครับ” วรวรรธรีบสรุป
“สวัสดีครับพี่ณัฐ”
วรวรรธเดินชิ่งมา แต่ณัฐเดชเดินตามมาข้างหลัง และเอาแขนล็อคคอวรวรรธไว้ ทำเหมือนว่า
โอบไหล่
“แกเอาน้องฉันไปซ่อนไว้ที่ไหน พาฉันไปหาเดี๋ยวนี้”
เนตรสิตางศุ์สวมแว่นกันแดดกำลังเดินทอดน่องไปริมทะเล เพื่อจะกลับบ้าน ระหว่างทางเธอก้มลงเก็บเปลือกหอยขึ้นมายืนดู ใครบางคนปรี่เข้าไปหาทางด้านหลัง เธอรู้สึกได้ หันขวับไปมองด้านหลังอย่างตกใจ แต่ต้องโล่งอกเมื่อไม่พบใครเลย
เนตรสิตางศุ์ถอนใจ จะหันหน้ากลับ แต่หางตาที่มองลอดแว่นกลับเห็นเสี้ยวหน้าของวิญญาณ ยืนอยู่ เธอพยายามทำใจไม่กลัว ค่อยๆถอดแว่นดำออกมองไป เห็นวิญญาณชายแก่ในชุด เหมือนชาวประมงกวักมือไล่ พร้อมขยับปากพูดบอก ชี้ไปที่บ้าน แต่เธอไม่ได้ยินเสียง ยืนตกใจ ตะลึง ชักสังหรณ์ใจว่าอาจมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น วิญญาณถึงมาเตือน รีบวิ่งไป
“กลับบ้าน”
วิญญาณชายแก่พยักหน้า แล้วทำมือให้รับไป
“ค่ะๆ ขอบคุณค่ะ”
เนตรสิตางศุ์รีบวิ่งไปทันที
เนตรสิตางศุ์วิ่งเปิดประตูผัวะเข้ามาในบ้าน มองหาป้าสุดใจไปทั่วแต่ไม่พบ เลยจะวิ่งเข้าไปในครัว แล้วจะตะโกนเรียกด้วยความเป็นห่วง
“ป้า...อุ๊บ!”
แต่อยู่ๆมีมือโผล่มาอุดปากจับล็อคไว้ เนตรสิตางศุ์ดิ้นด้วยความตกใจ
”ฉันเอง เงียบๆไว้”
ป้าสุดใจพูดเบาๆที่หู เนตรสิตางศุ์พยักหน้า ป้าสุดใจปล่อยมือ
”มีอะไรเหรอคะป้า ทำไมมาหลบอยู่ตรงนี้” เนตรสิตางศุ์พูดเบาๆ
“มีคนบุกรุกเข้ามาในบ้าน”
ไม่ทันที่เนตรสิตางศุ์จะถามว่าเป็นใคร ตาก็มองไปเห็นชายฉกรรจ์สองคนพร้อมปืนโผล่ออกมายืน กลางบ้านหลังจากตามหาแล้วไม่พบใคร
“ไม่เจอได้ไงวะ”
ทันใดกรกฎปรากฏตัวออกมาพร้อมปืน เนตรสิตางศุ์ปิดปากตัวเองอย่างตกใจ จำได้ว่าพวกสมคิด ป้าสุดใจดึงเนตรสิตางศุ์มาโอบหลบอยู่ข้างผนังด้วยกัน
“เห็นชัดๆว่าในครัวมีคนทำกับข้าวค้างอยู่ ต้องเป็นนังเนตรนั่นแหละ มันชอบทำกับข้าว รีบไปค้นทุกห้อง หาให้ทั่ว”
สมุนทั้งสองแยกย้ายไป เหลือกรกฎยืนใช้ความคิดกวาดตามองไปทั่ว คิดว่าเนตรสิตางศุ์น่าจะ ซ่อนตัวอยู่ที่ไหน แล้วก็มองมาทางที่เนตรสิตางศุ์กับป้าสุดใจหลบอยู่ เดินตรงมาอย่างช้าๆ เสียงรองเท้าของกรกฎก้าวช้าๆกระทบพื้นไม้ใกล้เข้ามา ทำให้เนตรสิตางศ์กับป้าสุดใจมองหน้ากันอย่างตกใจ ป้าสุดใจชี้ไปยังห้องนอนตัวเองที่มองเห็นอยู่ไม่ไกล บอกให้วิ่งไปที่ห้องนั้นกัน
กรกฎรู้สึกได้ว่ามีคนซ่อนอยู่ข้างหน้าแน่ๆ จึงถลกแขนเสื้อขึ้น ดึงกระชับถุงมือหนัง สีดำที่ใส่อยู่ ขยับกรงนิ้วทั้งสิบ บิดคอเล็กน้อย แววตาและรอยยิ้มนั้นพร้อมที่จะฆ่าแต่พอกรกฎเดินเข้าไปใกล้ ป้าสุดใจก็โผล่พรวดออกมาพร้อมเขวี้ยงตะกร้าใส่ผ้า พลางตะโกนบอกเนตรสิตางศุ์
“วิ่งไปนังหนู เร็ว”
เนตรสิตางศุ์ออกวิ่งไป ขณะที่กรกฎกำลังใช้แขนปัดเสื้อผ้าที่กระเด็นใส่ ป้าสุดใจฉวยจังหวะรีบวิ่งตามเนตรสิตางศุ์ไป กรกฎคว้าเสื้อคอกระเช้าป้าสุดใจที่ติดอยู่ที่หน้าออก อย่างหงุดหงิด
“โธ่...อีแก่...จะหนีไปไหน หนีกูไม่พ้นหรอก”
เนตรสิตางศุ์วิ่งกรี๊ดเข้าห้องมาได้ก่อน หันไปลุ้นป้าสุดใจที่วิ่งมา โดยมีกรกฎวิ่งตามหลังมา ติดๆ เนตรสิตางศุ์กรี๊ด ตะโกนลุ้นลั่น
“เร็วค่ะป้า...เร็ว”
กรกฎยื่นมือจะไปคว้าป้าสุดใจได้แล้ว แต่ป้าสุดใจเข้าห้องไปได้ก่อน ทั้งสองช่วยกันปิดประตูล็อคได้ ทันฉิวเฉียด โครม! กรกฎโกรธทุบเตะประตู
“คิดว่าอยู่ในนั้นแล้วจะรอดมือฉันไปได้เหรอ วันนี้แกสองคนตายแน่ๆ”
เนตรสิตางศุ์กับป้าสุดใจได้ยินก็ตกใจมองหน้ากัน
“ไม่ต้องกลัว มาช่วยฉันเลื่อนตู้นี่ดันประตูถ่วงเวลามันไว้ก่อนไว้ก่อน”
ทั้งคู่ช่วยกันดันตู้เตียง ป้าสุดใจดันพลางสอนไปด้วย
“อึ้บ...สติเท่านั้นที่จะพาเรารอดจากคนชั่วได้ จงดูวีรสตรีหญิงของเราในอดีตเป็นเยี่ยงอย่าง ทั้งงานหลวง งานหลัก ชาติก็รัก งานหนัก งานเบา ก็ต้องสู้ มือก็ไกว ดาบก็แกว่ง ไม่กลัวศัตรู เพราะโฉมตรู กูนี่คือหญิงไทย เอ๋ย”
“ค่ะป้า... มีสติ... มีสติ...” เนตรสิตางศุ์เตือนตัวเอง
กรกฎทุบประตู โครม!
“ว้าย” เนตรสิตางศุ์ตกใจ ”...มีสติ...มีสติ...”
สมุนสองคนวิ่งมาหากรกฎที่หน้าห้อง
“มันอยู่ในห้องนี้ ช่วยกันพังเข้าไป”
สมุนทั้งสองคนพยักหน้าแล้วช่วยกันใช้ทั้งไหล่ ทั้งขาถีบประตูกันโครมคราม
“ออกแรงหน่อยซีโว้ย”
แรงกระแทกตรงประตูเจอกับตู้เตี้ยช่วยดันถ่วงเวลาเอาไว้ เนตรสิตางศุ์ยืนมองตกใจ ขณะที่ป้าสุดใจคว้าปืนลูกซองที่วางไว้ข้างเตียงออกมาเช็คกระสุนเตรียมพร้อม
“ฮึ่ม! ถึงยุคนี้กูไม่มีดาบ แต่กูก็มีปืนมรดกของเว้ย เอาเร็วนังหนู มีสติอย่างเดียวไม่พอ ต้องคิดด้วย...ไป... รีบปีนหน้าต่างนั่นออกไป ไอ้ตู้นั่นคงต้านแรงพวกมันได้ไม่นานนัก หรอก”
เนตรสิตางศุ์วิ่งไปที่หน้าต่าง แต่ชะงักรอ ป้าสุดใจเช็คกระสุนแล้วก็หันเล็งปืนไปที่ประตูราวนักรบหญิง
“เอ่อ...แล้วป้าล่ะ”
“ไปก่อนเถอะน่า เดี๋ยวฉันตามไปเอง ไปซิ ก่อนที่มันจะพังเข้ามา”
“ค่ะๆ”
เนตรสิตางศุ์พยักหน้ารีบไปที่หน้าต่าง เปิดออกแล้วปีนออกไป ป้าสุดใจจ้องที่ประตูเขม็ง
“ลองโผล่หัวเข้ามาซี แม่จะยิงให้แตกเหมือนลูกโป่งงานวัดเลย”
หน้าห้อง...กรกฎขัดใจที่สมุนพังประตูไม่ได้สักที
“โธ่เว้ย ไม่ได้เรื่อง หลีกไป ฉันเอง”
ลูกน้องหลีกทาง กรกฎยกสองแขนขึ้นชนกัน ยกขึ้นเหนือศีรษะเหมือนท่าไหว้ครูมวย ปากท่อง คาถาหมัดธนู ปรากฏลายสักยันต์หมัดธนูวาบขึ้นราวถ่านแดงๆที่หลังหมัดทั้งสองข้างของกรกฎ ก่อนจะวูบดับลงและหายไป กรกฎท่องคาถาเสร็จ ดันสองฝ่ามือผลักไปที่ประตูเต็มแรง
“ย๊าก คาถายันต์หมัดธนู...”
ได้ผล...ประตูถูกพลังสักยันต์ดันเปิดออกยันตู้เตี้ยเลื่อนออกไปราวกับตู้กระดาษ กรกฎรีบวิ่งกระโดดข้ามตู้เข้าไปในห้องพร้อมสมุนทั้งสอง แต่ไม่พบเนตรสิตางศุ์กับป้าสุดใจแล้ว กรกฎหันไปเห็นหน้าต่างรีบถลาไปดู เห็นป้าสุดใจกับเนตรสิตางศุ์กำลังวิ่งไปที่ชายหาด
“อีแก่สารพัดพิษ”
ทั้งสามโดดออกจากหน้าต่าง วิ่งตามไป
เนตรสิตางศุ์เกาะป้าสุดใจ ที่ถือปืนวิ่งหนีกันกระหืดกระหอบมาตามป่าสนริมหาด ทันใดนั้นก็มีปืนระดมยิงมา3 - 4นัด ตูบๆ
“อร๊าย”
สองสาวก้มหลบ กระสุนเจาะถูกต้นไม้แทน หันไปมองเห็นกรกฎกับสมุนทั้งสอง วิ่งตามไล่ยิงมา
“มันตามมาแล้วป้า”
“วิ่งไป อย่าหยุดเป็นเป้านิ่งให้มัน เดี๋ยวฉันจะเอาคืนมันเอง ไม่ได้ออกแรงอย่างนี้มานาน แล้ว”
ป้าสุดใจผลักเนตรสิตางศุ์ให้วิ่งต่อ แต่ตัวเองหยุดหันไปเล็งปืน
“ป้า”
“บอกให้วิ่งต่อไป อย่าหยุด ไม่ต้องห่วงฉัน ฉันยังสาวยังสวยเจอหนุ่มๆแค่สามคน ฉันไม่ยอม มันง่ายๆหรอก วิ่งไป ไปซี” ป้าสุดใจตวาดลั่น
เนตรสิตางศุ์เลยจำต้องวิ่งหนีร้องไห้ไป ขณะที่ป้าสุดใจลั่นไกยิงลูกซองเข้าใส่ กระสุนลูกปรายแตกกระจายออกไปทั่ว พุ่งเข้าหาพวกกรกฎกับสมุนทั้งสอง จนต้องรีบหลบเข้าที่กำบัง
กระสุนลูกปรายเจาะผุบๆไปตามต้นไม้
“เล่นกระสุนลูกปรายเลยเหรอมึง...”
พูดจบกรกฎกับสมุนยิงสวนไปที่ป้าสุดใจอีกหลายนัด ป้าสุดใจหลบเข้าหลังต้นไม้
“ไม่ได้แอ้มฉันหรอกไอ้เด็กเมื่อวานซืน รู้จักลูกสาวอดีตกำนันแห่งบางน้ำเปรี้ยวน้อยไป ซะแล้ว”
ป้าสุดใจโผล่ออกไปยิงลูกซองอีกนัด ตูม!
กระสุนลูกปรายพุ่งกระจายราวกับห่าฝน พวกกรกฎหลบหัวซุกหัวซุน ตอนนั้นเองที่กรกฎหลบแล้วตามองไปเห็นหลังเนตรสิตางศุ์วิ่งอยู่ที่มุมไกล กรกฎยิ้ม โอกาส มาแล้ว กรกฎพาสมุนวิ่งลัดเลาะไปอีกทาง ขณะที่สมุนที่เหลืออยู่คนเดียว ยิงตอบโต้ไปที่ป้าสุดใจ ที่กำลังหลบอยู่หลังต้นไม้บรรจุกระสุนใหม่ ไม่ทันเห็นว่ากรกฎแยกตามเนตรสิตางศุ์ไปแล้ว
เนตรสิตางศุ์วิ่งมา ยังได้ยินเสียงปืนดังอยู่ข้างหลังเป็นระยะทำให้นึกห่วงป้าสุดใจ
“ป้าสุดใจ”
เนตรสิตางศุ์หยุดวิ่ง แอบนั่งยองหลบอยู่ที่หลังกำแพงหินที่กั้นตลิ่งกับชายหาดไว้ หยิบมือถือขึ้นมา พลางหยุดคิดว่าจะโทรหาใครเป็นคนแรก
“พี่ณัฐ...ฮือๆ”
เนตรสิตางศุ์ก้มลงกด แต่ยังไม่ทันได้กดโทรก็ต้องชะงักเมื่อเห็นขาของใครคนหนึ่งมายืนอยู่ตรง หน้า เนตรสิตางศุ์ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมอง เห็นกรกฎยืนถือปืนยิ้มอยู่
“อร๊าย”
“เป็นไงจ๊ะ เห็นพี่ตกใจยิ่งกว่าเห็นผีซะอีก เฮ้ย จับมันไว้”
กรกฎสั่งลูกน้องที่ยืนอยู่ข้างหลังเนตรสิตางศุ์
“ลุกขึ้นมา”
สมุนก้มลงมาจะคว้าตัว แต่แม่นราวจับวางเนตรสิตางศุ์กำทรายข้างตัวปาไปข้างหลังใส่หน้า มันเต็มๆ
“อ๊ากกก”
มันแสบตาร้องลั่น เนตรสิตางศ์ฉวยโอกาสลุกวิ่งหนี
“เฮ้ย จะไปไหน”
กรกฎคว้าแขนเนตรสิตางศุ์ได้ แต่เนตรสิตางศุ์ตีๆทุบๆ
“ปล่อยฉันนะ...ปล่อย”
เผี๊ยะ! กรกฎใช้หลังมือตบเนตรสิตางศุ์
“อ๊าย!”
ตบไปแค่ไปทีเดียว เนตรสิตางศุ์ถึงกับกระเด็นไปไกล
ร่างเนตรสิตางศุ์ร่วงลงที่พื้นทราย กลิ้งมานอนแน่นิ่งไป มีเลือดไหลกลบปาก แล้วค่อยๆ พยายามลืมตา แต่ลืมไม่ขึ้นเพราะมึน กรกฎเดินหัวเราะในคอตามเข้ามายืนดู พลางเหน็บปืนไว้ที่เอว
“ตัวนิ่มปวกเปียก นี่เหรอหนึ่งในซิกส์เซ้นส์ กระจอก คงไม่ต้องใช้ปืนให้เปลืองกระสุน”
กรกฎเข้ามายื่นมือไปจิกผมดึงเนตรสิตางศุ์ขึ้น พร้อมก็ใช้สองมือที่แข็งเหมือนคีมบีบคอ เนตรสิตางศุ์ ทันใดวรวรรธกระโดดถีบเข้ามา เข้าเต็มสีข้างกรกฎ จนมันกระเด็นล้มกลิ้งไป
วรวรรธเข้ามาประคองเนตรสิตางศุ์
“เนตร! คุณเนตร ผมมาช่วยแล้ว...”
วินาทีนั้นกรกฎกลิ้งตัวขึ้นนั่งยองได้ก็ชักปืนที่เหน็บเอวข้างหลังออกมาจะยิงไปที่เนตรสิตางศุ์กับวรวรรธ แต่มีปืนยิงเข้ามาใส่ที่มือและแขนของกรกฎก่อนสองนัด ปังๆ
“โอ๊ะ”
กรกฎถูกแรงกระสุนอัดจนเซไป แต่กระสุนกลับไม่ระคายผิวมัน ณัฐเดชซึ่งเป็นคนยิงเดินเข้ามา
“หนังเหนียวยิงไม่เข้าเหรอ ไอ้ปีศาจ”
“หึๆ พวกแกมาด้วยก็ดีแล้ว จะได้ฆ่าทีเดียวให้หมด”
กรกฎพูดพลางลุกขึ้นยิงใส่ณัฐเดช ปังๆ ณัฐเดชกลิ้งหลบ พลางยิงสวนคืน
“ไอ้หมอ...พาเนตรหนีไปก่อนเร็ว ไอ้นี่ฉันจัดการเอง”
“ระวังนะพี่”
วรวรรธช้อนตัวเนตรสิตางศุ์ขึ้นแล้วพาวิ่งไป เนตรสิตางศุ์ร้องไห้มองมาที่ณัฐเดชด้วยความเป็นห่วง
“พี่ณัฐ...”
กรกฎเห็นวรวรรธพาเนตรสิตางศุ์หนีก็จะตาม เพราะถูกสั่งมาฆ่าเนตรสิตางศุ์ แต่ถูกณัฐเดชยิงสกัดไว้ กระสุนเจาะถูกตัวกรกฎแต่เสียงเหมือนยิงถูกเหล็กกล้า เสียดังเคร้งๆ กระสุนไม่ระคายผิวกรกฎเลย
“รำคาญจริงโว้ย”
กรกฎยิงใส่ณัฐเดชเป็นชุดบ้าง ณัฐเดชกระโจนไปหลบข้างเรือที่จอดเกยตื้นอยู่ ทั้งสองคนยิงสู้กัน
วรวรรธวิ่งพาเนตรสิตางศุ์วิ่งเขยกๆหนี เจอเข้ากับสมุนอีกคนที่เนตรสิตางศุ์ปาทรายใส่หน้า มันโผล่มาขวางหน้าแล้วยิง วรวรรธพาเนตรสิตางศุ์หลบเข้าหลังต้นไม่ทัน แต่มันระดมยิงมาไม่หยุด วรวรรธเอาตัวโอบปกป้องเนตรสิตางศุ์ไว้จากเศษต้นไม้ที่กระจุยกระจาย แต่พอเงยหน้าก็เห็นเศษไม้แผ่นหนึ่งที่แตกจากการยิงปักอยู่ที่แขนซ้ายวรวรรธ ลึกพอควร
“ว้าย......หมอ”
วรวรรธพยายามดึงเอาเศษไม้นั้นออก แต่ความที่ปักเข้าไปลึกจึงดึงไม่ออก
“อ๊ากก...”
เนตรสิตางศุ์รวบรวมกำลัง
“มีสติ...มีสติ...หมอ...เนตรดึงเอง...”
วรวรรธไม่ทันอ้าปาก เนตรสิตางศุ์ดึงไม่นั้นออกพรวด
“คุณเนตร...อ๊ากกก...”
“ใจเย็นๆค่ะหมอ... ห่างหัวใจมาก ไม่เป็นไรหรอก...”
วรวรรธลืมเจ็บไปชั่วขณะ ตะลึงกับความเด็ดเดี่ยว มั่นใจ ของแฟนตัวเอง เนตรสิตางศุ์ฉีกแขนเสื้อตัวเองออกมาแล้วรีบพันแผลห้ามเลือดที่แขนซ้านให้หมอวรวรรธ
“หมอห้ามเป็นอะไรนะคะ...หมอต้องช่วยเนตรกับพี่ณัฐให้ได้...สู้ๆ...”
“ครับ สู้ๆ อ๊ากกก...” วรวรรธเจ็บเพราะเนตรสิตางศุ์ผูกผ้าพันแผลแน่นมาก
เบญจาในชุดแม่หมอ นั่งหลับตายื่นมือเตะสัมผัสไปที่รูปของห้าสาวตรงหน้าและกำลังใช้พลังพิเศษเหมือนกรรัมภา
เบญจานั่งอยู่บนแท่นวงกลมที่มีสัญลักษณ์ของซาตาน ในห้องที่ตกแต่งเหมือนห้องบัญชาการลับ บรรยากาศเป็นแบบมนต์ดำแต่ไฮเทคมาก สมคิดยืนอยู่ตรงหน้า รอฟังสิ่งที่เบญจาเห็น
เบญจาลืมตาผึงขึ้น...เห็นภาพจากญาณสัมผัสของเบญจาเมื่อมือแตะ
“ตอนนี้ไอ้สารวัตรณัฐเดชกับแฟนมันตามมาช่วย แต่พวกมันกำลังเสียเปรียบ”
สมคิดยิ้มร้าย
“ดี…กรกฎแกคงไม่พลาดนะ งานนี้ไอ้สารวัตรมันไม่สามารถเรียกพรรคพวกตำรวจมา ช่วยได้เหมือนเคย...ฮ่าๆ”
เบญจาคว้ากริชปักลงไปที่รูปเนตรสิตางศุ์ สมคิดมองรูปเนตรสิตางศุ์ที่ถูกเผากลายเป็นเถ้าอยู่ในอ่างไฟอย่างพอใจ
“ถ้าเก็บนังเนตรได้คนนึง ก็เหมือนนังพวกซิกซ์เซ้นส์ถูกควักดวงตาจนบอด เมื่อไม่ครบ ห้าคน พลังพวกมันก็จะอ่อนลงทันที”
“หนูจะไปกำจัดนังญาณินเอง”
เบญจาพูดพลางลุกขึ้นยืน สมคิดยกไม้เท้ากั้นหน้า
“ยังไม่ใช่ตอนนี้”
“แต่…”
“เรามีงานใหญ่ของสำนักต้องทำก่อน”
เบญจาขัดใจ...
ณัฐเดชยิงสู้กรกฎเป็นชุด กรกฎหลบวาบไปหลังต้นไม้ใหญ่ ณัฐเดชกระสุนหมด เลยตัดสินใจกระโดดขึ้นบนเรือที่หลบอยู่ แต่มองหากรกฎไม่เจอ ณัฐเดชตัดสินใจค่อยๆเดินมาหน้าเรือ ตั้งหลักเตรียมพร้อม จู่ๆ กรกฎก็โผล่มายืนบนเรือด้านหลัง ณัฐเดชหันมาเจอ กรกฎก็ถีบเข้าเต็มหน้าอก ณัฐเดชลอยไปไกล
“อ๊อกๆ...” ณัฐเดชไอ เจ็บหน้าอก
ณัฐเดชเงยขึ้นมา กรกฎก็มายืนอยู่ข้างหน้าแล้ว ณัฐเดชลุกขึ้นสอยหมัดซ้าย ขวา กรกฎหลบได้แล้วทุบ ตูมเดียว ณัฐเดชลงไปกองกับพื้น
วรวรรธพาเนตรสิตางศุ์วิ่งหนีหลบมาตามป่าสน สมุนวิ่งลัดเลาะตามมา วรวรรธและเนตรสิตางค์วิ่งมาหยุดมุมหนึ่งที่พอมีที่กำบัง
“คุณเนตร ใช้ตาให้เป็นประโยชน์เร็ว...”
“ห๊า...” เนตรสิตางค์เข้าใจว่าวรวรรธหมายถึงอะไร “โอเค...”
เนตรสิตางค์มองไปมารอบๆ พบวิญญาณที่อยู่แถวนั้น ชายชราบ้าง เด็กบ้าง ต่างชี้ไปทางที่สมุนนั้นอยู่
“ทางนั้นค่ะหมอ” เนตรสิตางค์ชี้ทางที่สมุนอยู่
วรวรรธออกวิ่งไป แล้วหลบตามที่กำบัง สมุนออกจากที่หลบแล้ววิ่งไปหมอบอีกที่ เนตรสิตางค์มองไป เห็นวิญญาณเหล่านั้น ชี้ไปที่สมุนหลบ
“ทางนั้นค่ะหมอ” เนตรสิตางค์ชี้ไปตามทาง
วรวรรธพยักหน้ารับ วิ่งหลบไปมามองเนตรสิตางค์ที่ส่งสัณญาณให้ควบคู่กัน จนวรวรรธวิ่งกระโดดมา จ่อปืนไปที่สมุนนั้นหลบอยู่ สมุนตกใจ ทิ้งปืน ยกมือขึ้นเหนือหัว
ทันใด สมุนอีกคนวิ่งโวยวายมาแต่ไกล มาทางวรวรรธและสมุนอีกคน เนตรสิตางค์กับวรวรรธแปลกใจว่ามันหนีอะไรมาแล้วก็เข้าใจ เมื่อเห็นป้าสุดใจถือปืนลูกซองวิ่งไล่ตามยิงมาข้างหลัง
“เก่งจริงอย่าหนีซี มาชิมลูกปรายฉันก่อน”
ป้าสุดใจยิงไล่หลังมันไปอีกนัด ตูม!
สมุนทั้งสองออกวิ่งหนีไปด้วยกัน
สมุนทั้งสองออกวิ่งหนีไปด้วยกัน
“ป้า”
“เออ...ปลอดภัยนะ...”
“คุณเนตรปลอดภัยครับ...ผมเจ็บนิดหน่อย”
เนตรสิตางศุ์ที่วิ่งมาสมทบนึกได้
“แล้วพี่ณัฐล่ะ”
ณัฐเดชสู้กับกรกฎ แม้จะเป็นฝ่ายโดนหนักกว่า แต่ก็สู้ไม่ถอย ณัฐเดชโดนถีบจนไปกองอยู่ในเรือ แต่ก็อาศัยลูกบ้าลุกขึ้นมาเอาตัวพุ่งชน
“อ๊าก”
ณัฐเดชเงื้อหมัดต่อย แต่กรกฎชกตูม ณัฐเดชลอยไถลไปกองกับพื้น กรกฎจะตามไปแต่ชะงักมองไปเห็นป้าสุดใจถือปืน กับวรวรรธและเนตรสิตางศุ์กำลังวิ่งมา
“ไอ้นี่มันหนังเหนียวครับป้า...”
ป้าสุดใจยื่นปืนให้เนตรสิตางศุ์
“หนังเหนียว...ได้...หนูเนตรง้างไกเลย...ป้าให้หนูยิง ดูซิมันจะเหนียวไหม”
“ห๊า...ให้หนูยิง...”
ป้าพยักหน้าให้ เนตรสิตางศุ์รับปืนมาเก้ๆกังๆ ยกเล็งไปที่กรกฎ กรกฎมองพวกนี้เล่นอะไรกัน
“คุณเนตร...ยิง”
เนตรสิตางค์ตกใจเสียงวรวรรธยิงออกไป ปัง...ลั่นป่า
“ว๊ายยยย...”
ได้ผล กระสุนบางเม็ดเจาะเข้าตามแขน ขา กรกฎ เลือดซิบออกมา กรกฎตกใจหัวเสียรีบผละไป....
“ไปให้พ้นนะ...ไอ้โจรห้าร้อย...ไป”
ตูม! เนตรสิตางค์ติดใจยิงไปอีกนัด วรวรรธรีบวิ่งเข้ามาดูณัฐเดชที่ฟุบอยู่
“พี่ณัฐเป็นไงบ้าง”
แต่ณัฐเดชกลับถามเนตรสิตางศุ์
“เนตร...เนตรเป็นอะไรรึเปล่า”
“ปลอดภัยค่ะไม่เป็นไร”
ณัฐเดชโผกอดน้องไว้
“เนตร...พี่ขอโทษ...พี่ขอโทษ กลับบ้านกับพี่นะ”
“นี่นังหนูเนตร...เป็นพี่น้องกัน มีอะไรคับข้องหมองใจ ต้องเปิดอกคุยกัน หนีปัญหามา แบบนี้ มันมีแต่จะทำให้ปัญหามันเพิ่มมากขึ้น จากเรื่องเล็กมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เราก็เหมือนกันหมอตาหนู ถ้ารักน้องเขาจริง ก็ต้องช่วยพี่น้องเขาให้เข้าใจกันซี ไม่ใช่ไปส่ง เสริมให้เขาผิดใจกัน”
“โธ่ป้าครับ ผมไม่ได้ส่งเสริม พูดไป ป้าก็ไม่เข้าใจหรอก”
“งั้นก็ไม่ต้องพูด ฟังคำป้าไว้นะ เรื่องบางเรื่องเราต้องแก้ไขด้วยการกระทำ ไม่ใช่คำพูด จำไว้”
“ครับป้า”
ณัฐเดชโอบสองแก้มเนตรสิตางศุ์
“กลับบ้านเรานะเนตร เรื่องอื่น เอาไว้ เราค่อยคุยกัน ช่วยกันหาวิธีแก้ปัญหานะ...กลับ บ้านกับพี่ก่อน”
เนตรสิตางศุ์พยักหน้า ณัฐเดชยิ้มดีใจ พี่น้องประคองกันเดินไป
วรวรรธยืนอยู่กับป้าสุดใจ
“ป้า”
“อะไร...”
“ทำไมลูกกระสุนป้ายิงมันเข้าล่ะ...”
“แกนึกว่ามันมีอาคมคนเดียวเหรอ ลูกปรายของป้าน่ะ ก็ลงอาคมเหมือนกัน”
ทั้งสองหันเดินไป คุยกันไป หัวเราะกันไป
“ไม่เห็นรู้เลยว่าป้ามีของอย่างนี้ด้วย”
“ทำไมฉันจะต้องบอกแกด้วยล่ะ ว่าฉันมีอะไรบ้าง”
ภายในสำนักสมคิด ห้องประกอบพิธี...สมุนร่างกายกำยำเดินนำกลุ่มนักธุรกิจสวมสูทภูมิฐาน หลายคนเข้ามาในห้อง ประกอบพิธี ทุกคนมีท่าทีตื่นตาตื่นใจกับห้องประกอบพิธีที่ไม่เคยเห็นมาก่อน สมุนผายมือไปยังจุดหนึ่งกลางห้องที่มีรูปวงกลมขนาดไหนและลวดลายอาคม
“เชิญยืนอยู่ในวงกลมเท่านั้นนะครับท่าน รอสักครู่ มิสเตอร์ร็อบบี้กับองค์เบญจาจะ ออกมา”
ภาคภูมิ นักธุรกิจผมหงอกขาวทั้งหัวที่มีสง่าราศีเป็นหัวหน้าพยักหน้า แล้วก็ยืนรวมกลุ่มกันอยู่ในวงกลม รอด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ตามองไปยังเบื้องหน้าที่เหมือนทางเข้าขนาดใหญ่แต่มีผ้าม่านปิดไว้ ครู่เดียวผ้าม่านก็ถูกสมุนจากด้านในเปิดออก เบญจาเดินนำสมคิดออกมา มีสมุนตามคุ้มกัน
การปรากฏตัวของเบญจาอบอวลไปด้วยกลิ่นไอของวิญญาณปีศาจ จนในห้องเย็นยะเยือกจนเหล่านักธุรกิจรู้สึกได้ต่างพากันขนลุก
“สวัสดีท่านภาคภูมิ”
“มีคนแนะนำผมว่าคุณสามารถช่วยให้ผม ขึ้นเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของมหึมาธนกิจกรุ๊ปได้ แม้ว่าตอนนี้กำลังจะมีการประกาศให้คู่แข่งผมขึ้นรับตำแหน่งนี้ ผมไม่เข้าใจว่าคุณจะทำยังไง...“
“คุณภาคภูมิ เดี๋ยวท่านจะได้เห็นตัวเองได้รับตำแหน่งกับตาของท่านเอง พร้อมๆกับคนทั้งประเทศ”
ภาคภูมิล้วงเช็คใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ยื่นไปตรงหน้า
“100 ล้าน ถ้าคุณทำให้ผมขึ้นนั่งแท่นผู้บริหารเบอร์หนึ่งของบริษัทนี้สำเร็จ”
“อืม ราคาสมน้ำสมเนื้อ ”
สมคิดหัวเราะหันไปมองสบตากับเบญจาที่ยืนนิ่ง
สมุนคนหนึ่งเดินเอาถาดมารับเช็คจากมือนักธุรกิจไปวางที่โต๊ะที่มีเครื่องเซ่นประกอบพิธี
“เอาล่ะ เบญจาจะทำพิธีช่วยให้คุณได้สมหวังเดี่ยวนี้แล้ว”
สมคิดมองไปที่สมุนคนหนึ่งที่ยืนอยู่ติดผนังห้องข้างๆที่มีทีวีจอLEDอยู่ข้างหลัง สมคิดพยักหน้า สมุนกดรีโมตเปิดทีวีขึ้น กลุ่มนักธุรกิจหันไปมองจอ...
ภาพข่าวสดๆบรรยากาศการแถลงข่าวในห้องประชุมใหญ่ภายในอาคารของบริษัทมหึมา ธนกิจกรุ๊ป ที่มีทั้งกลุ่มผู้บริหาร พนักงานของบริษัทและนักข่าวที่มารอทำข่าวเต็มไปหมด นักข่าวสาวกำลังรายงานสด
“หลังจากประธานกรรมการผู้จัดการใหญ่ มหึมาธนกิจกรุ๊ปคนเก่าประกาศลาออกจาก
ตำแหน่งไปเนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพ จนทำให้เกิดกระแสข่าวภายในว่ามีการล็อบบี้ ระหว่างผู้บริหารภายในบริษัทมหึมาธนกิจกรุ๊ปด้วยกันเอง เพื่อชิงเก้าอี้ประธานของบริษัท เงินทุนหลักทรัพย์อันดับหนึ่งของเมืองไทย”
ภาพที่หน้าจอทีวี ขึ้นภาพประกอบผู้บริหารสองคนที่ช่วงชิงตำแหน่งกันอยู่ ควบคู่กับการรายงาน ข่าวสดๆนั้น
“หนึ่งในผู้ที่ชิงตำแหน่งนั้นคือ ท่านภาคภูมินั่นเอง”
เบญจาเดินมาหยุดยืนหน้าโต๊ะ เริ่มสวดคาถา ขณะที่ทุกคนในห้องจับจ้องไปที่จอทีวี เบญจาเอามือแปะลงบนหีบเหล็กเก็บวิญญาณเล็กๆเท่าฝ่ามือ สมคิดเดินมาหยุดยืนห่างๆด้านหลังเบญจา
ภาพข่าว…นักข่าวสาวกำลังรายงานข่าวต่อเนื่อง
“...จนในที่สุดได้มีการคัดเลือกเหลือผู้เหมาะสมมานั่งตำแหน่งนี้เพียงสองท่าน คือคุณโอภาส และคุณภาคภูมิ สองพ่อมดทางการเงินชื่อดังที่คนไทยรู้จักดี ซึ่งผลออกมาว่าคุณโอภาส ได้ตำแหน่งประธานบริษัทไปโดยได้คะแนนเสียงชนะคุณภาคภูมิแค่หนึ่งคะแนนเท่านั้น”
เบญจาทำพิธี เบญจาเป่าควันธูปไปที่กลุ่มนักธุรกิจ แล้วมือก็เปิดหีบเหล็กออก ภายในมีซากแห้งๆดำๆอยู่ เบญจาท่องคาถาปลุกมัน ซากนั้นดิ้นไปมาขลุกขลักอยู่ในหีบ ก่อนจะสลายเป็นควันวิญญาณลอยหาย แว๊บไป
บนเวที...คุณโอภาสสวมแว่นสายตาหนาเดินออกมาพร้อมเสียง ปรบมือยินดีของกลุ่มผู้บริหาร พนักงานของบริษัท มีพนักงานสาวมอบช่อดอกไม้ให้
“ขอต้อนรับคุณโอภาส ประธานกลุ่มบริษัทมหึมาธนกิจกรุ๊ปคนใหม่ค่ะ...” พิธีกรสาวปรบมือ “ไปฟังท่านแถลงการเข้ารับตำแหน่งนี้กันค่ะ”
ภาคภูมิมองในจอทีวีอย่างร้อนใจ และมองมาที่สมคิดกับเบญจาอย่างรู้สึกหมดหวัง แต่สมคิดเหล่มองอย่างยิ้มๆ ใจเย็น มองไปที่เบญจาที่ยังคงทำพิธีต่อไปไม่หยุด
โอภาสถือช่อดอกไม้มาที่โพเดี่ยม ยื่นหน้าจะพูดที่ไมค์
“ขอบคุณมากครับที่ไว้...โอ๊ะ...”
นักธุรกิจพูดได้แค่นั้นก็ตาตั้งหายใจไม่ออก...ปล่อยช่อดอกไม้ร่วง สองมือมาจับที่คอของตัวเองแล้วก็ล้มลงจนโพเดี่ยมล้มระเนระนาด เสียงหวีดร้องดังขึ้น พร้อมภาพโกลาหล แม้แต่นักข่าวก็ตกใจ
“ว้าย...คุณโอภาสเป็นอะไรก็ไม่ทราบค่ะท่านผู้ชม ตอนนี้เหตุการณ์วุ่นวายไปหมด”
ในห้องประกอบพิธี กลุ่มนักธุรกิจทั้งตกใจทั้งแปลกใจหันมามองสมคิดเป็นตาเดียว สมคิดละสายตาจากจอมาที่กลุ่มนักธุรกิจ
“ไงครับ ตำแหน่งประธานกรรมการผู้จัดการใหญ่ที่คุณอยากได้ตกมาอยู่ในมือคุณสดๆ ต่อหน้าทุกคน”
“เป็นไปได้ยังไง คุณทำได้อย่างไร...”
เสียงโทรศัพท์มือถือของนักธุรกิจดังขึ้น เขามองชื่อแล้วรีบรับ
“ฮัลโหล...ครับ...ผมเห็นแล้ว ผมจะรีบเข้าบริษัทเดี๋ยวนี้”
นักธุรกิจกดวางสายแล้วก็ชูมือตะโกนลั่น
“เยส! ผมต้องรีบเข้าบริษัท ไปเป็นรักษาการประธานแทนไอ้โอภาสก่อน ที่หุ้นบริษัทเราจะตก สำเร็จแล้ว เราทำสำเร็จ มหึมาธนกิจกรุ๊ปอยู่ในมือของเราแล้ว”
นักธุรกิจหันมากอดจับมือดีอกดีใจกับลูกทีม ก่อนจะหันมาทางสมคิดกับเบญจาที่ลืมตาขึ้นหลัง ทำพิธีเสร็จ
“มหัศจรรย์...เหลือเชื่อ ไม่มีคำอธิบาย ผมไม่รู้จะหาคำบรรยายอะไรมาใช้กับคุณสองคน... ฮ่ะๆ แต่ผมทำนายได้ว่า สำนักของคุณจะต้องยิ่งใหญ่มีชื่อเสียงก้องโลกชัวร์”
สมคิดกับเบญจามองหน้ากัน ไม่แค่ชื่อเสียง แต่ทั้งสอง มีสิ่งที่ต้องการมากกว่านั้น
ห้องประชุมใหญ่บริษัทมหึมาธนกิจกรุ๊ป...โอภาสนอนหายใจไม่ออก เหล่าผู้บริหารและพนักงานทำอะไรไม่ถูก โทรตามรถพยาบาลกันวุ่น
“ฮัลโหล...รถพยาบาลมาถึงหรือยังครับ รีบๆหน่อยซีครับ จะให้ผมช่วยยังไงล่ะคุณ ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร อยู่ๆก็ล้มลงตาตั้ง เหมือนหายใจไม่ออก”
ผู้บริหารพูดโทรศัพท์อย่างร้อนใจ โดยไม่เห็นว่า ผีตายซากผู้หญิงกำลังคร่อมบีบคอนักธุรกิจอยู่
สุคนธรสนั่งซึม หลังไตรรัตน์หายออกไปจากบ้านกับเคที่ เธอมองไปที่รูปถ่ายแต่งงานอย่างเศร้าๆ เพราะวันนี้เหมือนแก้วร้าว...ในห้องมีเพียงตัวเอง ไตรรัตน์หายไป ทั้งเรื่องบริษัทซิกส์เซ้นส์ที่ถูกปิด แถมมาถูกไตรรัตน์ทิ้งไว้คนเดียว สุคนธรสซึมเศร้าห่อเหี่ยว หมดพลังหมดแรงที่จะทำอะไร
โกลเดนเบบี๋โผล่มาในสภาพที่หัวเนื้อตัวเต็มไปหยากไย่ มาดึงแขนสุคนธรส
“พี่รสหนูไม่ไหวจะเคลียร์แล้วนะ ยัยโบตั๋นจิกใช้หนูให้หากล่องของขวัญมาทั้งวันทั้งคืน ไม่ยอมให้หยุดหย่อนเลย ผีเพลีย“
สุคนธรสดึงแขนกลับ ไม่มีอารมณ์ต่อล้อต่อเถียงด้วย
“ไปช่วยโบตั๋นหาต่อเถอะไป”
“พี่รสอ่ะ”
“ขอพี่อยู่คนเดียว”
โกลเดนเบบี๋แปลงกายเป็นคุณยายถือไม้เท้า เป็นผู้เฒ่าผู้แก่สอนลูกหลาน
“คิดไรมาก ผัวเมียทะเลาะกันเป็นเรื่องธรรมดานะลูกนะ”
“พี่อยากอยู่เงียบๆ”
โกลเดนเบบี๋แปลงกายเป็นหมอที่ให้คำปรึกษาเรื่องปัญหาครอบครัว ติดป้ายที่หน้าอกว่าหมอจิตเวช
“ลดทิฐิ ยอมง้อกันหน่อย เดี๋ยวก็ดีกันเองแหละหนู เชื่อหมอเถอะ”
“โกลเดน”
โกลเดนเบบี๋แปลงกายกลับมาเป็นตัวเองหน้าเซ็งๆ
“โอเคๆ หนูจะไปช่วยยัยโบตั๋นหากล่องของขวัญที่หายไปก็ได้ แต่พี่ก็ช่วยคิดดูดีๆนะ ว่าตอนนี้พี่ทำอะไรหายไปจากชีวิตด้วยรึเปล่า”
“โกลเดน หากล่องของขวัญของฉันเจอหรือยัง”
“โฮ่ย...ยัยนั่นก็เรียกจริงๆเล๊ย ไปแล้วๆ”
โกลเดนเบบี๋หายตัวแว๊บไป ทิ้งให้สุคนธรสนั่งคิด
“ฉันทำอะไรหายไปจากชีวิตงั้นเหรอ...” สุคนธรสมองไปที่รูปไตรรัตน์ ”นายไตวาย...”
สุคนธรสน้ำตาไหลแต่พยายามปาดมันทิ้งอย่างมีทิฐิ
ไตรรัตน์ขับรถเข้ามาจอดหน้าบ้าน นั่งถอนใจอยู่ในรถชั่วครู่ รักสุคนธรสมาก ยอมมากจนรู้สึกเหนื่อยและน้อยใจ ไตรรัตน์สูดลมหายใจอย่างมีทิฐิเปิดประตูลงจากรถ เงยหน้า มองไปที่ห้องนอน ก่อนเดินเข้าบ้าน
ไตรรัตน์เปิดประตูเข้าบ้านก็เจอเจ๊หญิงกับเสี่ยจำเริญรออยู่ที่ประตู
“แกหายไปไหนมา” เจ๊หญิงถาม
ไตรรัตน์ยิ้มขมขื่น
“ประโยคนี้น่าจะเป็นเมียถามผมมากกว่านะ ไม่ใช่ม้า”
เจ๊หญิงเงื้อพัดในมือตี ไตรรัตน์ต้องไปหลบหลังเสี่ย
“โอ๊ยๆ ม้าตีผมทำไมเนี่ยะ เก็บค่าเช่าตลาดไม่เข้าเป้าหรือไง”
“เป้าแกน่ะซิ ไม่มีน้ำยา”
“แม่อย่ามาสบประมาทผมอย่างงี้นะ ผมโกรธจริงๆด้วย เป้าผมไม่ผิด ลูกสะใภ้แม่น่ะผิด ไม่เคยมีเวลาให้ผมเลย”
เสี่ยจำเริญฟาดกะบาลเข้าให้อีกคน
“นี่…แกก็ยอมๆตามใจเขาหน่อย เขาอารมณ์ไม่ดี ก็เอาใจเขา เขางอน...ก็ง้อเขา ตอนนี้ บริษัทหนูรสเขามีปัญหาก็คงจะหงุดหงิดมากเป็นธรรมดา”
“ไม่อ่ะ... ผมไม่ยอมง้ออีกแล้ว ผมยอมมามากแล้ว ยอมจนเขาไม่เห็นความสำคัญของผม เห็นผมเป็นหัวหลักหัวตอไปซะแล้ว”
ไตรรัตน์เดินขึ้นบ้านไป
“อาตี๋”
ทั้งสองคนยืนอ่อนใจ
สุคนธรสได้ยินเสียงไตรรัตน์กลับมา รีบลุกวิ่งมาแนบหูฟังที่ประตู ได้ยินเสียงเดินมา ถึงห้อง สุคนธรสรีบหันรีหันขวางทำเป็นค้นโน่นค้นนี่ทันที ไตรรัตน์เปิดประตูเข้ามา หยุดมองบึ้งๆสุคนธรสที่ทำเป็นหาของไม่สนใจ
“ทำอะไรน่ะ”
สุคนธรสหันมามองหน้าไตรรัตน์ ก็บึ้งตอบ
“หาของขวัญให้โบตั๋น ไม่ได้รอนายหรอก ไม่รู้จะกลับมาทำไม”
”ถึงจะมีความสุขเวลาอยู่นอกบ้าน แต่ผมก็ไม่เคยลืมคิดถึงน้องสาวหรอก จะกลับมาหา ของขวัญเหมือนกัน ไม่ได้จะกลับมาง้อใคร”
ไตรรัตน์กับสุคนธรสมองหน้าท้าทายกัน
โกลเดนเบบี๋กับโบตั๋นโผล่มามองไตรรัตน์กับสุคนธรส ที่กำลังมองหน้าทำสงคราม ประสาทใส่กันแล้วเหนื่อยใจ
สุคนธรสสะบัดหน้าเดินออกจากห้องไป ไตรรัตน์มอง...ก่อนจะตามออกไป
“คิดออกแล้ว”
โกลเดนเบบี๋หันไปกระซิบที่หู โบตั๋นยิ้มพยักหน้า
สุคนธรสเปิดเข้ามาในห้องเก็บของ มองหา
“วิญญาณโบตั๋นเคยถูกขังอยู่ในห้องเก็บของนี่ตั้งนาน ของขวัญอาจจะซ่อนอยู่ในนี้ ตรงไหนสักแห่ง”
ไตรรัตน์เดินตามเข้ามาหา สุคนธรสเท้าเอวมอง
“เอ๊ะนี่...บ้านออกตั้งกว้าง ทำไมต้องมาหาในห้องนี้ด้วย”
“บ้านผม ผมจะหาตรงไหนมันก้เรื่องของผม คุณยุ่งอะไร”
“ให้ตายเหอะ ฉันไม่อยากจะยุ่งกับนายเลย แม้แต่หน้าก็ไม่อยากจะเห็น”
ทำเอาไตรรัตน์โมโหปรี๊ด
“อะไรนะ ไหนคุณพูดอีกทีซิ”
“ฉันบอกว่าไม่อยากจะเห็นหน้านาย”
ไตรรัตน์ปรี่เข้ามา
“ยัง…ผมยังได้ยินไม่ชัด พูดอีกที”
สุคนธรสตวาด
”ฉันเกลียดขี้หน้านาย ไม่อยากจะเห็นหน้า ไปให้พ้นเลย ชัดไหม”
ไตรรัตน์ดันไหล่สุคนธรสติดผนัง ยื่นหน้าจ้องสุคนธรส
“โอ๊ะ”
“หน้าผมมันทุเรศนักหรือไงห่ะ คุณถึงได้เกลียด ถึงไม่อยากมอง หรือว่านี่เป็นวิธียั่วยวนของ แม่หมออย่างคุณ ผมบอกเลยว่ามันได้ผลมาก มันทำให้ผมคลั่ง”
“ปล่อยฉันนะนายไตวาย...ปล่อย”
โครม! เสียงปิดประตูห้อง ตามด้วยเสียงลงกลอน ทำเอาสุคนธรสกับไตวายหันไปมอง สุคนธรสรู้ ทันทีว่าเป็นฝีมือใคร ผลักไตรรัตน์ออก ไปเปิดประตู แต่เปิดไม่ออก
“โกลเดน”
“หนูป่าวทำ”
“โบตั๋น! เปิดประตูเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“ไม่เปิด! จนกว่าพี่รสกับพี่ไตรจะคุยกันดีๆซะก่อน”
“เป็นเด็กเป็นเล็กอย่ามายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่ พี่บอกให้เปิดประตู“
ไตรรัตน์ได้แต่ยืนมองสุคนธรสเซ็งๆ
อ่านต่อหน้า 4
สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 17 (ต่อ)
โกลเดนเบบี๋กับโบตั๋นยืนมองเฉยอยู่หน้าห้องขณะที่ สุคนธรสเคาะประตูเรียกดังมาจากภายในห้องตลอดเวลา
“ได้ยินมั้ย บอกให้เปิดประตู…เปิดซิ”
เจ๊หญิงเสี่ยจำเริญได้ยินเสียงรีบวิ่งมาที่หน้าห้อง ทั้งสองไม่เห็นโกลเดนเบบี๋กับโบตั๋น
“โอ๊ยอะไรกันอีกเนี่ยะ หนูรสโวยวายอะไรอยู่ในห้องลูก”
“ประตูมันล็อคน่ะค่ะ ช่วยเปิดประตูให้หนูหน่อย”
“เอ๊ะ…อยู่ดีๆเข้าไปติดอยู่ได้ไง ลื้อมีกุญแจนี่ รีบเปิดซิ”
เจ๊หญิงหยิบพวงกุญแจพวงใหญ่ที่เหน็บเอวออกมา
“แม่อย่าเปิด...หนูเป็นคนขังพี่เขาไว้เอง”
“ห่ะ โบ...โบตั๋นเหรอลูก”
เจ๊หญิงตกใจเข้ามายืนเบียดเสี่ยจำเริญ หันมองไปทั่ว ได้ยินแต่เสียงโบตั๋นแต่ไม่เห็นตัว
“ไปแกล้งพี่เขาทำไมอีกล่ะโบตั๋น พี่รสเขายิ่งไม่สบายใจ งอนกับพี่ไตรอยู่”
“ก็นี่แหละ หนูกำลังทำให้พี่เขาสองคนคืนดีกันค่ะ”
“อ๋อเหรอลูก ดีๆ เตี่ยกับแม่ก็จนใจแล้วเหมือนกัน”
โกลเดนเบบี๋ไม่มั่นใจเอาเสียเลย
“ขอให้สำเร็จทีเถ๊อะ”
ในห้อง…สุคนธรสหัวเสียมาก
“ยัยผีเด็กพวกนี้เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง สะเดาะกลอนออกไปได้ล่ะน่าดู”
สุคนธรสพนมมือขึ้นจะท่องคาถา แต่มีมือของไตรรัตน์มาจับข้อมือเอาไว้
“น้องเขาหวังดีอยากให้เราคุยกันให้รู้เรื่อง”
“รู้เรื่องอะไร รู้เรื่องว่าคุณออกไปประชดฉันด้วยการสนุกสุดเหวี่ยงกับแม่คาที่นั่นยังไงนะ เหรอ ฉันไม่อยากรับรู้ให้เปลืองสมองหรอก”
“แล้วคุณจะเอายังไง หรือว่าเราสองคนจะต้องทนกันอยู่แบบนี้”
“นายไม่ต้องห่วงหรอก ไว้ฉันหาของขวัญให้โบตั๋นเจอเมื่อไหร่ ช่วยวิญญาณน้องสาว นายได้ไปเกิดแล้ว วันนั้นแหละ...ฉันจะเป็นฝ่ายไปจากนายเอง”
ไตรรัตน์ฟังแล้วช้ำ...อึ้งไปเลย แต่ทิฐิทำให้เขาแสร้งยิ้มสะใจออกมา
“ขอบใจนะที่อุตส่าห์ทนอยู่เพื่อช่วยน้องสาวผม น้ำใจคุณนี่มันประเสริฐจริงๆ แต่ยังไงก็ รีบๆหน่อยล่ะ ผมไม่ชอบทนอะไรนานๆ”
สุคนธรสอึ้ง...เป็นฝ่ายช้ำบ้าง รีบหันไปยกมือท่องคาถาอย่างรวดเร็ว สะเดาะกลอนได้ก็เปิดประตู เดินออกจากห้อง ผ่านเจ๊หญิง เสี่ยจำเริญ โกลเดนเบบี๋ โบตั๋นไป ทุกคนได้แต่มอง...ก็รู้ว่าคืนดี ไม่สำเร็จ
ไตรรัตน์ยืนมองตามสุคนธรสทั้งโกรธทั้งเสียใจ โบตั๋นเข้าไปกอดแขนปลอบ
“โธ่...พี่ไตร”
ญาณินคุยโทรศัพท์มือถือกับสุคนธรส
“แกก็ใจเย็นๆซียัยรส เรื่องมันนิดเดียวเองนะ แกจะโกรธอะไรคุณไตรเขานักหนา เอาชนะกัน แล้วมันได้อะไรขึ้นมา ฮัลโหลๆ ดูมัน อุตส่าห์เตือนก็มาวางหูใส่ เฮ่อ”
ติณห์ก็เพิ่งคุยโทรศัพท์เสร็จเดินเข้ามา
“ยัยรสกับคุณไตรทะเลาะกันอีกแล้วค่ะติณห์ วิวาห์วิวาทจริงๆเลยคู่นี้”
“ไอ้ณัฐก็เพิ่งโทรมาบอกว่าเกิดเรื่องขึ้นกับคุณเนตรเหมือนกัน”
“อะไรนะ เกิดเรื่องอะไรกับยัยเนตรคะ”
“เบญจากับหมอสมคิดส่งคนตามไปทำร้ายเนตรถึงบ้านป้าสุดใจ ดีว่าไอ้ณัฐกับหมอวรรธ ไปเจอเข้าพอดี เลยช่วยไว้ได้ทัน...แต้งก๊อด”
“นี่มันทำลายบริษัทซิกส์เซ้นส์ของพวกเราห้าคนยังไม่พอ ยังจะตามฆ่าตามล้างแค้นพวกเรา ทีละคนเลยหรือไง”
“I think so! ไม่รู้ว่าใครจะเป็นรายต่อไป”
ญาณินตะลึงมองติณห์
หน้าบริษัทซิกส์เซ้นส์...วิญญาณเจ้าที่โผล่พรวดออกมายืนหาวบิดขี้เกียจ
“อะไรเอ่ย...นอนตอนกลางวัน ทำงานตอนกลางคืน”
“ยาม” ผีนักศึกษาเรียก
“ชะเฮ้ย! ใครแซว”
เจ้าที่หันมองไป ท่ามกลางบรรยากาศ...เงียบ วังเวง ปรากฏวิญญาณผีนักศึกษาผมยาวยืนก้ม หน้าอยู่นอกรั้ว เสื้อนักศึกษาสีขาวโพลนอยู่ในความมืดสลัว
เจ้าที่ยิ้ม...ชีกอ
“ดูจากชุดแล้ว...ว้าวๆ...นานๆจะมีวิญญาณนักศึกษาสาวหลงมาแถวนี้สักคน เจ้าที่รีบหายตัวเข้าไปหา”
“เอ่อ...ฮัลโหล...มายเนมอีสเจ้าที่ ม่ายช่ายยามจ้ะ หนูไปไหนมาจ๊ะ หลงทาง...หรือว่า เร่ร่อน”
“หนูไม่มีที่ไป พวกมันทำร้ายหนู พี่เจ้าที่ช่วยหนูด้วย”
จากอารมณ์ชีกอเจ้าที่เปลี่ยนมาเวทนาสงสาร
“จุ๊ๆนี่คงไปเจอไอ้หื่นที่ไหนมันดักฉุดฆ่าหมกศพเอาล่ะซิ โธ่...น่าสงสาร มาๆเข้ามาก่อน ไม่ต้องร้องไห้ หนูมาถูกที่แล้วล่ะจ๊ะ เจ้าของบริษัทนี้เขาเก่ง ใจบุญ ช่วยส่งวิญญาณ กลับบ้าน ได้ไปเกิดมานักต่อนักแล้ว”
“หนูเข้าไม่ได้หรอกพี่เจ้าที่”
“ทำไมจะเข้าไม่ได้ล่ะจ๊ะ ก็พี่เป็นเจ้าที่พิทักษ์บ้านหลังนี้ ก็พี่อนุญาตแล้ว หนูก็ต้องเข้าได้ เชิญเข้ามาคร้าบบบ”
เจ้าที่พูดพลางเปิดประตูรั้วผายมือให้
ทันใดนั้นวิญญาณนักศึกษาสาวก็แว๊บเข้าเขตประตูรั้วมาบีบคอเจ้าที่อย่างรวดเร็ว เจ้าที่ตกใจ
“อ็อกก หนูทำอะไรอย่างงี้ ฉันไม่ใช่คนทำร้ายหนูนะ แต่กำลังช่วยหนูนะ”
วิญญาณผีนักศึกษายิ้มน่ากลัว มีเลือดออกจากมุมปาก มองเจ้าที่อย่างดุร้าย
“แน่ะ! ยังจะมายิ้มยั่วอีก ปล่อยพี่ซิน้อง มาบีบคอพี่ไว้ทำไม”
“ขอบใจมากนะที่เชื้อเชิญให้ผีของฉันเข้าบ้าน”
“ห่ะ!”
เจ้าที่ต้องตกตะลึงเมื่อมองไปเห็นวิญญาณอาฆาตสามตัวก้าวเข้าเขตบ้านมา เป็นผีเด็กช่างกล ผีช่างก่อสร้าง ผีนางรำที่ถูกฆ่าตายเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น
อรวรรณกำลังยืนล้างจานอยู่คนเดียวในครัว รู้สึกอะไรแว๊บๆผ่านหลังไป จนรู้สึกคอเย็นยะเยือก อรวรรณสะดุ้งหันหลังไปมอง
“อึ๋ย...อะไรอ่ะ”
แต่ไม่พบอะไร อรวรรณได้แต่ยืนจับท้ายทอย หันกลับมาล้างจานต่อ แล้วต้องช็อคเมื่อเห็นมือที่ สวมกำไลยื่นลงมาในอ่าง แล้วก็เห็นช่ออุบะพวงมาลัยที่ห้อยติดอยู่ข้างมงกุฎนางรำ เคลียอยู่ที่ไหล่ตัวเอง อรวรรณกลัวจับขั้วหัวใจ รู้แล้วว่ากำลังเจอดีเข้าแล้ว
อรวรรณค่อยๆเงยหน้าหันไปมอง เห็นท่อนแขนนางรำขาวซีด จนมาเห็นใบหน้าผีนางรำมองจ้องอยู่ข้างไหล่ราวกับโกรธแค้นมากมาย
อรวรรณโยนจานในมือพร้อมร้องลั่น
“อร๊าย”
เสียงกรี๊ดและเสียงจานตกแตกทำให้ญาณินกับติณห์ตกใจ
“ป้าออ”
ญาณินกับติณห์รีบจะไปดูอรวรรณ ก็ต้องชะงัก วิญญาณผีอาฆาตทั้งสองตัวยืนอยู่
“ห่ะ!“
“วิญญาณนั่นเข้ามาในบ้านได้ยังไง เจ้าที่อยู่ไหนเนี่ย”
ทันใด เสียงเบญจาดังขึ้น
“ผีเจ้าที่กระจอก ขวางอะไรฉันได้ มันเองยังเอาตัวไม่รอด”
ผีเจ้าที่พยายามผละจากผีนักศึกษา แต่พอสลัดออกจากมือ ที่ถูกบีบคอได้ หันจะหายตัวเข้าบ้านไปช่วยญาณิน ขาก็ถูกดึงไว้ เจ้าที่ก้มมอง เห็นเป็นผีนักศึกษา นอนอยู่กับพื้นสองมือจับขาเจ้าที่ไว้
“เย้ย!ผีจับขา ปล่อยนะอีหนู เดี๋ยวจะหาว่าเจ้าที่รังแกผู้หญิง”
ผีนักศึกษาไม่ยอมปล่อย แถมยังกัดหมับเข้าที่น่องเจ้าที่
“อ๊ากกก”
ติณห์หันซ้ายขวาพยายามมองหาเบญจาอย่างโกรธ
“What do you want เบญจา?”
“ถามมาได้ ก็ทำอะไรไว้กับฉันบ้างล่ะ ถึงเวลาขอฉันเอาคืนบ้างแล้ว”
วิญญาณอาฆาตทั้งสองคำรามขู่อย่างกระหายเลือด
“แต่หนูยังให้โอกาสพี่ติณห์นะ ทิ้งนังญาณินมาซะ เดินมาหาหนู กลับมาหาหนู แล้วพี่จะ ปลอดภัยจากไอ้ผีอาฆาตสองตัวนี่”
ติณห์คว้ามือญาณินมาจับไว้แน่น
“ฝันไปเถอะเบญจา เธอจะไม่มีวันได้อะไรจากพี่เลย I hate you”
เบญจาโกรธมาก
“ฆ่ามัน”
สิ้นเสียงสั่ง วิญญาณผีทั้งสองก็หายตัวแว๊บไปจากหลังเบญจา
“ติณห์คะระวังนะ”
สิ้นเสียงญาณินวิญญาณผีทั้งก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าทั้งคู่ ผีช่างกลมีมีดดาบเล่มยาว ช่างก่อสร้างมี ค้อนเหล็ก ผีทั้งสองฟัน และทุบเข้าใส่ติณห์กับญาณิน
ติณห์ดึงญาณินหลบแต่ปลายมีดดาบเฉี่ยวแขนไป แขนเสื้อขาด แต่เนื้อไม่เป็นอะไร เพราะเขี้ยวเสือที่ติณห์แขวนไว้ที่คอ ช่วยป้องกันฤทธิ์จากภูตผีไว้
ผีทั้งสองทั้งฟันมีดทั้งทุบค้อนเข้าใส่อีก แต่ญาณินรีบล้วงยันต์กันผีที่สุคนธรสให้ไว้ออกมาส่องใส่ หน้ามัน มันชะงักไปแต่หายตัวแว๊บไป มาโผล่ข้างหลังติณห์กับญาณินแทน
“ณินระวัง”
ญาณินหลบมีดทัน แต่เจอเข้ากับค้อน แต่ติณห์เอาตัวเข้าขวาง เลยถูกฤทธิ์ค้อนฟาดเข้าสีข้าง ติณห์ไม่บาดเจ็บ แต่ถูกแรงอัดกระเด็นไปปะทะผนังแยกไปจากญาณิน
“ติณห์”
“ไม่ต้องห่วง ผมมีนี่...”
ติณห์กำสร้อยเขี้ยวเสือ มันทำผมได้ก็แค่ผิวๆ คุณรีบไปดูป้าออก่อน เถอะครับ”
ญาณินตัดสินใจวิ่งไปที่ครัว เบญจาเดินโผล่มาจากประตู ติณห์หันไปมองเบญจาด้วยสายตาเอาจริง
ญาณินวิ่งร้องเรียกเข้ามาในครัว
“ป้าออ”
ภาพที่เห็นคืออรวรรณถูกผีนางรำสิงห์ไปเรียบร้อยแล้ว ร่างอรวรรณอยู่ในชุดนางรำหน้าขาวตาแดง ยืนรำอยู่กลางห้อง
“ออกจากร่างป้าออเดี๋ยวนี้นะ”
ผีนางรำหันมาคำรามใส่ญาณินอย่างโกรธ
“นังนี่มันเลว มันอิจฉาฉันที่รำเก่งกว่า สวยกว่ามัน มันก็เลยหลอกฉันมาให้โจรฆ่าทิ้ง ฉันจะแก้แค้นมัน”
ผีนางรำในร่างอรวรรณเงื้อมือที่ใส่ปลอกเล็บฟ้อนนางรำขึ้น ในท่าที่จะจ้วงท้องตัวเอง
“อย่า! ป้าออไม่ใช่คนที่ฆ่าคุณนะ”
“ใช่...มันนี่แหละฆ่าฉัน มันต้องตาย”
นางรำในร่างอรวรรณตวัดเล็บลงมาจะจ้วงท้องตัวเอง แต่ญาณินโยนยันต์ไป เกิดรัศมีพุทธานุภาพ เปล่งรัศมีพุ่งเข้าใส่ นางรำร้อน ร้องลั่น
“อร๊าย”
วิญญาณนางรำกระเด้งหลุดจากร่างอรวรรณที่สิงอยู่ กลิ้งไปชนผนังเน้อตัวผุพองแสบร้อน ขณะที่ร่างอรวรรณกลับมาอยู่ในชุดเสื้อผ้าปรกติอ่อนปวกเปียกหมดสติล้มลง
“ป้าออ”
ญาณินวิ่งถลาเข้ามารับอรวรรณไว้ได้ทันก่อนที่จะล้มหัวฟาดพื้น
ติณห์คอยหลบวิญญาณผีทั้งสอง ที่ฟันและทุบใส่ไม่ยั้ง เลยตัดสินใจกระชากสร้อย ที่มีเขี้ยวเสือออกจากคอมาเหวี่ยงๆเป็นโซ่สั้นๆสู้กับผี
“มา...เข้ามา”
ผีช่างกลฟันดาบมา ติณห์ฟาดสร้อยใส่ถูกดาบ เขี้ยวเสือทำให้ดาบหายวับไปจากมือผี ติณห์ฟาดสร้อยใส่มัน มันร้องอย่างแสบร้อยหายตัวไป ผีก่อสร้างโผล่มาอีกตัวทุบค้อนใส่ ติณห์ฟาดสร้อยถูกมือมัน ทำให้มือผีขาดหายไปทั้งค้อน มันร้องลั่นเจ็บปวด ติณห์เงื้อสร้อย จะฟาดใส่ตัว แต่มีมือของเบญจาคว้าสร้อยไว้...
“พวกแกสองตัวตามไปจัดการนังญาณินในห้องโน้น ทางนี้ ไว้เป็นหน้าที่ของฉันเอง”
วิญญาณผีทั้งสองที่ยืนเจ็บตัวอยู่ข้างหลังหายตัวไป ติณห์ตกใจ
“เฮ้! อย่าไปนะ แน่จริงยูมาสู้กับไอซีไอ้ผีบ้า”
ติณห์จะตาม แต่เบญจาดึงสร้อยไว้แน่น ยื้อยุดสร้อยกันไปมา
“ปล่อยนะเบญจา”
“ไม่ ยังไงวันนี้นังญาณินต้องตายไปจากชีวิตเราทั้งคู่”
“เธอนั่นแหละนังปีศาจ ไปให้พ้นจากชีวิตฉันกับญาณิน ...go to hell!”
ติณห์ตัดสินใจปล่อยสร้อย แต่เบญจาโผกอดติณห์ไว้แน่น
“ถ้าจะลงนรก เราก็ต้องไปด้วยกัน”
“ต่อให้ขึ้นสวรรค์ ฉันก็ไม่ไปกับเธอ ปล่อย... ญาณิน”
ติณห์พยายามแกะมือเบญจาออก พลางหันไปตะโกนเรียกญาณินด้วยความเป็นห่วง
ญาณินพยายามปลุกอรวรรณ ขณะที่วิญญาณผีอาฆาตทั้งสามเดินเรียงหน้าเข้ามาหา
“ป้าออคะ...ป้าออ...ตื่นซีคะ...ตื่น”
อรวรรณค่อยๆลืมตารู้สึกตัวตื่นขึ้น ตาก็มองเห็นผีทั้งสามดาหน้าเข้ามาพอดี
“อร๊าย อย่าทำอะไรฉันนะ ฉันกลัวแล้ว”
ญาณินร้องสั่ง
“พนมมือสวดมนต์เร็วเข้าค่ะป้าออ พระธรรมคงช่วยเป็นเกราะป้องกันเราไว้ได้ชั่วคราว เร็วค่ะป้า”
“ค่ะๆ”
อรวรรณรีบนั่งพนมมือสวดมนต์ตามญาณิน วิญญาณทั้งสามเข้ามาใช้มีดค้อนกรงเล็บฟ้อนฟัดฟาดทำร้ายทั้งสอง แต่มีแสงของพระธรรมกันเป็นเกราะป้องกันทั้งสองไว้ ทำอะไรไม่ได้ ผีทั้งสามคำรามโกรธ พยายามฟ้อนฟันฟาดใส่ทั้งสองไม่หยุด จนญาณินกับอรวรรณเริ่มเหนื่อยกับการสวดมนต์สู้กับพลังอาถรรพ์ของผีทั้งสามที่ถาโถมมาไม่หยุด อรวรรณเริ่มเหนื่อยหอบ สำลักออกมาเป็นเลือด ญาณินลืมตาขึ้นมาเหล่มอง
“สวดต่อไปค่ะป้า... อย่าหยุด”
“ป้าเหนื่อย...หายใจไม่ออก...โอ๊ะ...”
อรวรรณฟุบหน้ากับไหล่ญาณิน
“ป้าออ”
แสงพระธรรมหายไป ผีอาฆาตทั้งสามเลยเงื้อมีกค้อนเล็บจะทำร้ายญาณินกับอรวรรณ
“เฮ้ย...หยุดนะ”
ผีทั้งสามหยุด หันไปมอง...เห็นผีเจ้าที่ในสภาพที่เสื้อผ้าฉีกยับเยินเพราะสู้กับผีนักศึกษามา
“ถ้าจะทำอะไรคนในบ้านนี้ ต้องผ่านอุ้งตีนหมีเจ้าที่ไปก่อน จ๊ากก...”
เจ้าที่กวาดขาเตะทีเดียว ผีอาฆาตทั้งสามกระเด็นไป ฟุบอยู่ที่ผนัง แล้วลุกขึ้นมองมาที่เจ้าที่ อย่างโกรธ
“อุเม่! ยังจะมามองหน้าอีก หมั่นไส้ว่ะ ย๊ากกก”
เจ้าที่กวาดขาเตะจระเข้ฟาดหางอีกรอบ วิญญาณทั้งสามกระเด็นทะลุผนังบ้านหายไป ติณห์ที่หนีหลุดมือเบญจามาได้วิ่งเข้ามา
“ญาณิน คุณเป็นไรมั้ย”
“ไม่ค่ะ แต่ป้าออซีคะ”
“ไหวไหมครับป้า”
อรวรรณพยักหน้าทั้งที่จุกในอกเต็มที่ เจ้าที่หันไปเห็นเบญจาเดินตามมา
“นั่นแน่ะนังแม่หมอใจบาป ฉันจัดการส่งผีกระจอกของแกกลับหลุมไปแล้ว ยัง...ยังจะดื้อ ด้านอยู่อีกเหรอ”
“อย่ามาปากดีกับฉันนะ ไอ้เจ้าที่สอพลอ”
“ฮ่ะๆ ถ้าฉันสอพลอ ก็แค่สองคำ แต่เธอฉันให้สามคำ...สอหอปอ”
“สามคำอะไรของแก”
“ก็ไสหัวไปไง คุณติณห์กับคุณญาณินเขารักกัน จะมาแย่งเขาอยู่ได้เป็นแม่หมอ ก็ทำตัว ให้คนเขานับถือสิ ไม่ใช่เก่งแต่ใช้อาคมหากินกับภูติผีสร้างบาปกรรม ใครมันจะไปรักได้ลงคอ อย่างเธอ...มีที่เดียวแหละที่ต้องการตัว นรกไงฮ่ะๆ”
เบญจาโกรธมาก ตาแดงกล่ำราวกับไฟลุก
“ถ้าอย่างงั้น แกก็ลงไปรอฉันในนรกก่อนเลย”
เบญจาท่องคาถาแล้วยื่นแขนชี้มาที่เจ้าที่ ทันใดนั้นก็เกิดฝูงอีกาบินเข้าไปรุมทิ้งวิญญาณเจ้าที่ เจ้าที่พยายามปัดป้องตัวเองแต่ก็สู้ไม่ได้
“อ๊ากๆ”
ร่างเจ้าที่ถูกรุมจิกทึ้ง จนวิญญาณถูกกระชากแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
“เจ้าที่”
ญาณินมองภาพวิญญาณของเจ้าที่สลายไปต่อหน้าต่อตาพร้อมฝูงอีกา เหลือแต่กองเสื้อผ้าแล้วแค้น
“เบญจา”
ญาณินหันมองมาที่ประตูอีกที...เบญจาหายไปแล้ว แต่เสียงยังดังก้อง...
“ฉันจะต้องฆ่าแกให้ได้นังญาณิน”
กรรัมภาสวมชุดกีฬาวิ่งออกกำลังไปรอบๆสวนสาธารณะร่มรื่นริมทะเลสาบในหมู่บ้าน พลางใส่หูฟังร้องเพลงปลุกปลอบให้กำลังใจตัวเอง
“เราอาจจะล้มวันนี้ แต่เราจะลุกขึ้นสู้ใหม่ เจ๊ณิน ยัยรส ยัยเนตร ยัยกรรณเข้มแข็งไว้นะ สักวันพวกเราทั้งห้าคน จะต้องกลับมารวมกันอีกครั้งนึง ฉันจะรอพวกแก จุนจี...รู้ไหมแก้มคิดถึง...มากถึงมากที่สุด”
กรรัมภาป้องปากตะโกนเสียงดังออกมา
“นอมู โพโกชิบพอ (คิดถึงมากนะ)”
จุนจีสวมเสื้อวอร์มมีฮู้ดวิ่งตามหลังมา ยิ้มที่ได้ยินอย่างนั้น แล้ววิ่งตามมาวิ่งข้างดึงหูฟังกรรัมภาออก พูดใส่หู
“นอมู โพโกชิบพอ” จุนจีพูดแล้วเปิดฮู้ดออก
กรรัมภาทั้งตกใจ ทั้งประทับใจ
“จุนจี...คุณมาได้ไงเนี่ยะ”
“อ้าว ก็มีคนบ่นคิดถึงผม ผมถึงต้องมา”
กรรัมภายิ้มเขิน จุนจีวิ่งนำออกไป
“รอด้วยจุนจี”
กรรัมภารีบวิ่งตามไปชนจุนจีเซ แล้ววิ่งแซงหน้าไป
จุนจีชี้
“เฮ้ย ขี้โกง”
“ว้าย ขี้เก๊กนี่”
กรรัมภาหันมาชี้หน้าคืน
“จับได้ล่ะน่าดู”
“ไม่ต้องจับ ฉันก็น่าดูอยู่แล้ว แบร่”
กรรัมภาแลบลิ้นใส่จุนจี
จุนจีสปีดวิ่งไล่ กรรัมภาวิ่งหนี
สวนสาธารณะอีกมุมหนึ่ง รถตู้คันหนึ่งจอดซุ่มอยู่ที่มุมไกล หน้าต่างเปิดแง้มออก กล้องส่องทางไกลโผล่ออกมาจากรถ เห็นจุนจีกับกรรัมภากำลังวิ่งเคียงคู่หยอกเย้ากันไป ภายในรถ...ลีจองกุ๊กกำลังส่องกล้องจับตาดูทั้งคู่
“จุนจีกำลังมีความรัก แต่จองกุ๊กกำลังหนักอก ต้องตามใจจุนจี แอบพามาจู๋จี๋แม่สาวปราบผี ถ้าบริษัทแม่ที่เกาหลีรู้เข้า กุ๊กถูกไล่ออกแน่”
ลีจองกุ๊กเลิกส่องกล้องพูดวอ.สั่งบอดี้การ์ด
“ตามดูห่างๆนะ อย่าเข้าไปใกล้ เขาต้องการความเป็นส่วนตัว นี่เป็นคำสั่งของจุนจี”
บอดี้การ์ดสามคนคอยวิ่งตามจุนจีอยู่ห่างๆแบบห่วงๆ หลบตามสุมทุมพุ่มไม้
“ครับผม”
ลีจองกุ๊กทิ้งตัวลงนั่งเอนเบาะเซ็งๆ พลิกซ้ายพลิกขวา หงุดหงิดเหมือนมีวันนั้นของเดือน แล้วก็ถอนใจหันไปคว้าไอแพดขึ้นมาเปิดๆดูฆ่าเวลา แล้วก็เห็นข่าวเด็ดถึงกับกระเด้งตัวขึ้นนั่งร้องจ๊าก
“ออม่อ!(ตายล่ะ) แย่แน่ๆคราวนี้”
จุนจีกับกรรัมภาวิ่งมาพักหนึ่ง กรรัมภาเหนื่อยหยุดยืนหอบ
“หยุดทำไมคุณ...ยอมแพ้จุนจีแล้วเหรอ”
“วันนี้ฉันไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจมาแข่งกับนาย ไว้คราวหน้าฉันจะฟิตมาสู้ใหม่”
จุนจีหัวเราะ วิ่งกลับมา
“สู้กี่ครั้ง ยังไงคุณก็แพ้ผมอยู่ดี”
“ทำไมอ่ะ”
“ก็คุณเป็นแฟนคลับผม คุณจะชนะอุปป้า...เมนตัวเองได้ยังไง”
“ชิ”
จุนจีส่งผ้าขนหนูผืนเล็กๆของตัวเองให้
“อ่ะ เช็ดเหงื่อ”
“คัมซาฮัมนีดา”
กรรัมภาโค้งขอบคุณแบบเกาหลี เอาผ้าขนหนูมาจะซับหน้าตัวเอง แต่จุนจีร้องเอะอะขึ้น
“เช็ดเหงื่อตัวเองทำไม”
“อ้าว...ก็คุณบอกให้เช็ด”
“เช็ดเหงื่อผมนี่ อ่ะ...เร็วๆ เหงื่อเต็มหน้าไปหมดเร็ว”
จุนจียื่นหน้าให้เช็ด พลางทำหน้ากรุ้มกริ่ม กรรัมภาค้อน...อมยิ้มเช็ดเหงื่อให้ขณะที่กำลังสุขใจ ทั้งสองคนก็ได้ยินเสียงราวกับกองทัพอะไรกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ เลยหันไปมอง แล้วต้องตกใจอ้าปากค้าง เมื่อเห็นกลุ่มนักข่าวทั้งทีวีและหนังสือกำลังวิ่งกรูกันเข้ามา
“รายงานสดจากหมู่บ้านหรู เอลิแกนท์ บุลเลอหวาด ที่ตั้งของบ้านสาวคู่ฉาวของจุนจี. แล้วเราเจอตัวจุนจีอยู่ที่นี่จริงๆค่ะ กำลังยืนสวีตกันอยู่ริมทะเลสาบ บรรยากาศเป็นใจมากเลยค่ะ เห็นกล้องจับภาพไหมคะ นั่นไงๆ จุนจีอยู่นั่น”
“นักข่าวมาทำไมกันเนี่ย”
จุนจีรีบดึงฮู้ดเสื้อขึ้นปิดหัวตัวเอง แล้วคว้ามือกรรัมภาพาวิ่งหนีทันที อีกมือกดมือถือโทร
“ฮัลโหลไอ้กุ๊ก อยู่ไหน รีบมารับฉันด่วน ฉันแย่แล้ว”
ภายในรถตู้ ลีจองกุ๊กกำลังตกอกตกใจ รถตู้ถูกกลุ่มแฟนคลับทั้งทุบ ทั้งผลัก ทั้งขย่มพยายามจะเปิดเข้ามา ลีจองกุ๊กถือโทรศัพท์ตะโกนกลับไป
“ฉันก็แย่เหมือนกัน กองทัพแฟนคลับโผล่มาจากไหนไม่รู้”
แฟนคลับล้อมหน้าล้อมหลังรถไปทั้งคัน พากันตะโกน ผลักรถจนโคลงไปเคลงมา เพราะคิดว่าจุนจีอยู่ในรถ
“จุนจี...จุนจี...โอป้า...โอป้า!”
ลีจองกุ๊กกลิ้งไปมาตามแรงโยกจนต้องจับยึดรถไว้
“จะจอดอยู่ทำไมเนี่ย ขับออกไปซิ”
“ขับก็ชนซีครับ แฟนคลับเต็มหน้ารถเลย เขาคงคิดว่าคุณจุนจีอยู่ในรถ”
แฟนคลับตะโกน
“จุนจี...จุนจี...โอป้า...โอป้า”
ลีจองกุ๊กฉุนขาด เปิดประตูผัวะโผล่หน้าออกไปตะโกน
“ในรถไม่มีจุนจีโว้ย”
แฟนคลับหยุดมอง เงียบกริ๊บ ลีจองกุ๊กได้สติว่าพูดแรงไป...ฉีกยิ้ม
“เอ่อ...ในรถไม่มีจุนจีกั๊บ แฮ่....”
จุนจีจูงมือกรรัมภาวิ่งหนีนักข่าวที่วิ่งตามหลังมา แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นแฟนคลับที่ผละมาจากรถตู้วิ่งมาดักข้างหน้า
แฟนคลับตะโกน
“จุนจีๆ...โอปป้าๆ”
จุนจีกับกรรัมภาเบรกวิ่ง ทำให้กรรัมภาเสียหลักขาพลิกล้มลง
“ว้าย”
“คุณแก้ม”
“ฉันไม่เป็นไร ทำไงดี ทั้งแฟนคลับทั้งนักข่าวดักทั้งหน้าทั้งหลัง”
กรรัมภาหันมองไปอีกด้าน เห็นคลับเฮ้าส์ของหมู่บ้านอยู่ไม่ไกล
“จริงซิ คลับเฮ้าส์ของหมู่บ้านอยู่นั่น”
“งั้นรีบไปหลบที่นั่นกันก่อน”
จุนจีจูงมือกรรัมภาลุกขึ้น แต่กรรัมภายังเจ็บขา
“โอ๊ะ”
จุนจีตัดสินใจช้อนตัวกรรัมภาขึ้นอุ้มพาวิ่งไป
“เหว๋อ…จุนจี”
“กอดผมไว้ให้แน่นๆ”
กรรัมภาโอบแขนไปรอบตัวจุนจี มองหน้าเขา...
จุนจีอุ้มกรรัมภาวิ่งหนีพลางเหลียวไปมองด้านหลัง เห็นกองทัพนักข่าวกับแฟนคลับไล่ตาม กรรัมภามองหน้าจุนจีอย่างประทับใจ ซุปเปอร์สตาร์อย่างจุนจีกำลังอุ้มเธอหนีอย่างไม่ห่วงชื่อเสียงของตัวเอง
จุนจีอุ้มกรรัมภาวิ่งหลบเข้ามาในคลับเฮ้าส์ ทำให้คนที่ดูแลคลับเฮ้าส์ตกใจ
“รบกวนขอหลบหน่อยครับ”
“นี่ฉันเอง...ช่วยกั้นคนให้ด้วยนะคะ”
คนที่ดูแลคลับเฮ้าส์ต้องรีบมาปิดกั้นที่ประตูกันนักข่าวกับแฟนคลับ
“เข้าไม่ได้นะคะ นี่ที่ส่วนบุคคลค่ะ เข้าไม่ได้ค่ะคุณ...เข้าไม่ได้”
ขณะที่จุนจีอุ้มกรรัมภาหายเข้าไปข้างในแล้ว
จุนจีอุ้มกรรัมภาเข้ามาหลบในห้องรับแขก ปล่อยกรรัมภาลงลดประตูยืนหอบ ขณะที่กรรัมภาตกอยู่ในอาการใจเสียเพราะเคยเจอฤทธิ์เดชแฟนคลับมาหนักๆหลายครั้งแล้ว
“ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ๆเลยจุนจี ไม่งั้นนักข่าวกับแฟนคลับไม่ตามล่าเราขนาดนี้หรอก”
“ชินจองฮาเซโย(ใจเย็นๆ)”
จุนจีจับไหล่ทั้งสองของกรรัมภาพยายามปลอบใจ แต่กรรัมภายังสติแตก
“คราวที่แล้วโดนทั้งไข่ ทั้งแป้ง โดนผลัก โดนทุบ เจ็บไปหมดทั้งตัว คราวนี้จะเจออะไรอีก”
“ใจเย็นๆคุณแก้ม ฟังผม”
จุนจีจับสองแก้มกรรัมภาให้หันมามองหน้าเขา
“ไม่ต้องกลัว ผมอยู่กับคุณ ผมจะไม้ให้คุณเจ็บตัวเพราะผมอีกเด็ดขาด”
กรรัมภามองหน้าจุนจีแล้วน้ำตาพาลจะไหล
“จุนจี…ฉันเข้าใจคุณแล้ว...”
“หื๊อ...เข้าใจอะไร”
“เข้าใจว่าเป็นซุปตาร์มันลำบากแค่ไหน ทำตามใจตัวเองไม่ได้ จะคบกับใครโดยเฉพาะคบกับติ่งแฟนคลับ มันเป็นข้อห้าม เราดูจุนจีได้แต่ตามืออย่าต้อง เดี๋ยวเมนสุดที่รักของเราจะเสียชื่อ เหมือนกับที่ฉันทำให้จุนจีเดือดร้อนอยู่ตอนนี้”
จุนจีดึงกรรัมภามากอดไว้ยิ้มๆรู้สึกดี
“คุณเข้าใจผมก็ดีแล้ว ขอให้คุณเข้าใจผมตลอดไปก็แล้วกัน เพราะถ้าเราจะคบกัน เรายังต้องเจออุปสรรคข้างหน้าอีกเยอะ ตราบใดที่ผม...ยังเป็นจุนจีอยู่”
กรรัมภากอดจุนจีแน่นอย่างแสนภูมิใจ
”คุณก็ต้องเป็นจุนจีต่อไปซิ เป็นจุนจีที่พวกเราแฟนคลับภูมิใจ ถ้าโลกนี้ไม่มีจุนจี พวกเราแฟนคลับจะมีความสุขได้ยังไง”
กรรัมภาหารู้ไม่ว่าคำพูดของเธอ มันเป็นภาระหนักอกของจุนจี สีหน้าจุนจีแอบหนักใจ
เสียงมือถือของจุนจีดังขึ้น
“ฮัลโหลจองกุ๊ก ฉันหลบอยู่ที่คลับเฮ้าส์ มารอรับฉันด้านหลังนะ ฉันจะพาคุณแก้มออกไป”
รถตู้แล่นมาจอดเอี๊ยดที่ถนนด้านหลังคลับเฮ้าส์ จุนจีจูงกรรัมภาที่เดินเขยกเล็กน้อยออกมาจากประตูด้านหลังคลับเฮ้าส์ ตรงมาที่รถตู้ ลีจองกุ๊กเปิดประตูรถรอ
“เร็วเข้าจุนจี...เร็วๆ”
แฟนคลับที่ออกันอยู่ประตูหน้สคลับเฮ้าส์หันมาเห็น
แฟนคลับตะโกน
“จุนจีอยู่นั่น”
ทั้งแฟนคลับทั้งนักข่าวกรูกันเข้ามา จุนจีกับกรรัมภาตกใจ รีบวิ่งไปขึ้นรถที่ขับเอี๊ยดออกไปทันที
ในรถตู้…จุนจีกับกรรัมภาหันไปมองกลุ่มแฟนคลับกับนักข่าวที่รถตู้ขับห่างออกมา ทั้งสองคนถอนใจ ลีจองกุ๊กตีโพยตีพายทันที
“เห็นไหมๆจุนจี...กุ๊กบอกว่าอย่ามาๆ...ทำไมไม่เชื่อกุ๊กทำไมๆ”
ลีจองกุ๊กพูดพลางใช้หมอนฟองน้ำในรถตีๆหัวตัวเอง จุนจีเลยแย่งหมอมาตีซ้ำอีกที
“ทัก-ชยอๆ(หุบปากๆ)บ่นเป็นตาแก่ไปได้ มีอะไรเดี๋ยวแกกับฉันค่อยมาเคลียร์กัน ตอนนี้รีบพาคุณแก้มไปส่งที่บ้านก่อนที่นักข่าวจะตามมา”
“คิดว่าจะหนีพ้นเหรอ อย่าว่าแต่กลับบ้านเลยจุนจี ต่อให้นายกับคุณแก้มขุดๆหลุมลงไปขดหลบอยู่ใต้ดินแบบกิ้งกือ พวกนักข่าวแฟนคลับก็จะตามขุดๆลากพวกนายขึ้นมา”
“ตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่คุณจองกุ๊ก”
“เรื่องอะไรเหรอครับ นี่ไง”
ลีจองกุ๊กเปิดไอแพดให้ดู จุนจีกับกรรัมภาช็อค...ภาพที่เห็นเป็นภาพนิ่งที่ถูกแอบถ่ายไว้ด้วยมือถือจากมุมไกลหน้าห้องพักจุนจี ขณะที่จุนจียืนส่งกรรัมภาที่ถือเสื้อผ้าเดินออกมาจากห้องพัก
สุพิชชาผลักประตูเดินเข้ามาในบ้านเนตรสิตางศุ์อย่างเงียบเชียบ และแล้วสายตาก็มองไปเห็นวรวรรธนอนหลับอยู่ที่โซฟามุมไกลที่ห้องนั่งเล่น จึงเดินเข้าไปหา เธอวางกระเป๋าหลุยส์ใส่เสื้อผ้าไว้ที่โต๊ะข้างๆแต่แล้วต้องชะงักแอบเข้าข้างตู้โชว์เมื่อเห็นเนตรสิตางศุ์ เดินถือแจกันดอกไม้ที่จัดเข้ามาวางลงที่โต๊ะข้างๆ
เนตรสิตางศุ์หันไปมองวรวรรธ
“ดูซิ ให้ขึ้นไปนอนดีๆบนห้องก็ไม่ยอม ติดนิสัยหมอชอบนอนตามโต๊ะเก้าอี้ที่โรงพยาบาล”
เนตรศิตางศุ์เดินเข้ามายื่นมือปลุก
“สายแล้วค่ะหมอ...ตื่น...อุ้ย”
เนตรสิตางศุ์ชะงักเพราะวรวรรธคว้ามือไปกุมไว้ทั้งๆที่ตายังหลับ
“ผมโดนพักงาน ขอนอนต่ออีกหน่อยนะ”
สุพิชชาที่แอบมอง มือจิกไปที่ขอบตู้ ดวงตาเกลียดแค้น เนตรสิตางศุ์ตีมือวรวรรธเบาๆ
“อยากนอนก็นอนไป ทำไมต้องมาจับมือเขาด้วย เดี๋ยวเถอะพี่ณัฐตื่นลงมาเห็นเข้า หมอถูกจับโยนไปนอนนอกบ้านไม่รู้ด้วย”
วรวรรธยิ้ม ปรือตาขึ้นมอง
”เอาพี่ชายมาขู่ มุกเก่าไปนะจ๊ะที่รัก...จุ๊บๆ”
เนตรสิตางศุ์รีบแกะมือวรวรรธออก
“ยิ่งว่ายิ่งเอาใหญ่หมอเนี่ย เนตรไปทำอาหารเช้าแระ เสร็จแล้วจะมาปลุก“
เนตรสิตางศุ์เดินผละไป
“ทำให้อร่อยๆ ผมจะรอหม่ำฝีมือเนตร”
วรวรรธหลับตานอนต่อ สุพิชชาหันมองตามเนตรสิตางศุ์ที่เข้าครัวไป แล้วหันกลับมามองหมอวรวรรธที่นอนหลับอยู่ สุพิชชายิ้ม...โอกาสเป็นของเธอแล้ว
เนตรสิตางศุ์เข้ามาในห้องครัว ...คว้าผ้ากันเปื้อนมาใส่พลางคิด
“ทำอะไรให้พี่ณัฐกับหมอทานดีนะ?”
สุพิชชาเดินเข้ามาหาวรวรรธ ยื่นมือไปลูบที่อกวรวรรธ ที่ยังคงหลับตาไม่รู้ตัว
“หมอตาหนูของพีช...นังเนตรมันมาแย่งหมอไป มันต้องชดใช้”
สุพิชชานั่งลงข้างๆ แล้วเอนหน้าฟุบกับอกของวรวรรธ
“อกอุ่นๆของหมอที่พีชเคยซบกอด อยากได้คืนมาเหลือเกิน นังเนตรมันมีอะไรดีกว่าพีชตรงไหน หมอถึงทิ้งพีชไปรักมัน”
วรวรรธรู้สึกตัวตื่น แปลกใจเมื่อมือจับมีคนมานอนอยู่บนอก
“คุณเนตรเหรอ ไหนบอกว่าจะไปทำอาหารเช้าให้ผมทาน จะแอบมาลักหลับผมหรือไง”
สุพิชชาหัวเราะคิกคักอย่างประสาทๆ วรวรรธลืมตาขึ้นมอง เห็นเป็นสุพิชชาซบอยู่บนอกก็ตกใจ
“พีช”
วรวรรธจะลุกแต่สุพิชชากดอกเอาไว้
“จะลุกไปไหนล่ะหมอ ขอพีชกอดให้หายคิดถึงก่อน”
“คุณทำบ้าอะไรอย่างงี้พีช ปล่อยผม เดี๋ยวเนตรกับพี่ณัฐมาเห็นเข้า”
พูดไม่ทันขาดคำ เสียงณัฐเดชบิดขี้เกียจเดินเรียกลงบันไดมาจากชั้นบน
“เนตร...ตื่นหรือยัง...”
“ปล่อยผมนะ...ปล่อย”
แต่สุพิชชาทำหน้าอาฆาต กอดเอววรวรรธแน่นไม่ยอมปล่อย ณัฐเดชได้ยินเสียงแว่วๆ
“นั่นเนตรเหรอจ๊ะ เนตรอยู่ข้างล่างเหรอ”
“ไม่ใช่เนตรค่ะ พีชเอง”
สุพิชชาตะโกนตอบกลับไปทั้งๆที่มือยังโอบเอววรวรรธอยู่ วรวรรธอ้าปากค้าง
วรวรรธพูดรอดไรฟัน
”คุณมันบ้าไปแล้วพีช”
วรวรรธกระชากมือสุพิชชาออกจากตัวได้ ก็รีบเดินหลบออกประตูระเบียงห้องไป ทันฉิวเฉียด ณัฐเดชที่เดินเข้ามาเห็นด้านหลังสุพิชชาที่ยืนมองตามวรวรรธอยู่ด้วยยิ้มอย่างสะใจ
“พีช มาทำไมแต่เช้าจ๊ะ”
สุพิชชาหุบยิ้ม เบ้ปากให้ณัฐเดช ก่อนจะหันไปทำเป็นยิ้มหวานเดินเข้ามากอดณัฐเดช
“พีชก็คิดถึงพี่ณัฐน่ะซิคะ”
ณัฐเดชยิ้มโอบกอดตอบ เนตรสิตางศุ์เดินออกมาจากครัว มองสุพิชชาที่ยืนกอดณัฐเดชอยู่อย่างตกใจ ตามองปราดไปหาวรวรรธที่โซฟาอย่างเป็นห่วง แต่ไม่เห็นวรวรรธแล้ว
สุพิชชาตวัดสายตาร้ายมาสบตาเนตรสิตางศุ์ พลางพูดเสียงหวานบอกณัฐเดช
“แล้วพีชก็จะย้ายมาอยู่ดูแลณัฐที่บ้านหลังนี้ด้วย จะมาเป็นแม่ศรีเรือนให้พี่ณัฐ”
เนตรสิตางศุ์อ้าปากค้าง ขณะที่ณัฐเดชกลับตะลึงอย่างดีใจ
ภายในโรงแรม...คลิปภาพเคลื่อนไหวที่กำลังถูกนำเสนอเป็นข่าวอยู่ในทีวี โดยที่จุนจีกำลังนั่งดูเครียดอยู่กับลีจองกุ๊ก และตัวแทนบริษัทร่วมทุนไทยสองคน โดยที่หนังสือพิมพ์หลายฉบับที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า ก็มีภาพที่ถ่ายจากคลิปขึ้นหน้าหนึ่งทุกฉบับ
“คลิปดังกล่าว เป็นภาพของซุปเปอร์สตาร์เกาหลีจุนจี กำลังยืนส่งหญิงสาวคนหนึ่งออกมาจากห้องพักในโรงแรม หญิงสาวคนนี้ชื่อกรรัมภา เคยมีข่าวกับจุนจีมาแล้วหลายครั้ง แต่จุนจีก็ยืนยันว่าเป็นแค่ผู้ร่วมงานฝ่ายไทยที่มาช่วยดูแลเรื่องงานให้ ระหว่างที่ทำงานในเมืองไทยแต่จากคลิปที่มีผู้หวังดีปล่อยออกมาทางโซเซียลเน็ตเวิร์ค กลับเกิดกระแสต่อต้านมากมายว่าทั้งสองแอบมีความสัมพันธ์กันเกินเพื่อนไม่เหมาะสม และทำร้ายความรู้สึกดีๆที่แฟนคลับมีให้” นักข่าวพูด
ซองซูนั่งกินทานอาหารเช้าดูข่าวในห้องพัก อารมณ์ตรงกันข้ามกับภาพจุนจี ซองซูนั่งหัวเราะชอบใจ ยกแก้วน้ำส้มขึ้นมายื่นไปขนาดหน้า
“ฉันขอดื่มแสดงความเสียใจให้แกล่วงหน้านะจุนจี ดวงแกดับแน่แล้วคราวนี้ฮ่ะๆ”
ตัวแทนบริษัทร่วมทุนไทยส่ายหน้าอย่างไม่พอใจ
“เรื่องแบบนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย โดยเฉพาะกับซุปเปอร์สตาร์ที่เค้าร่ำลือว่าหยิ่งในศักดิ์ศรีนักหนาอย่างคุณน่ะจุนจี แล้วนี่อะไร คุณหิ้วผู้หญิงเข้าห้องคุณทำได้ยังไง”
“คุณอย่ามาพูดว่าผมหิ้วนะ คุณแก้มไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น”
“หยุดพูดน่าจุนจี...เอ่อ...ผมต้องขอโทษแทนจุนจีด้วยกั๊บ”
ลีจองกุ๊กก้มหัวลงขอโทษ
“นี่นายก้มหัวขอโทษทำไม ก็ฉันกับคุณแก้มไม่ได้มีอะไรกันเลยนะ”
“แต่ภาพที่คนทั่วประเทศเห็น...มันชัดเจนมากว่า ผู้หญิงคนนั้นค้างอยู่ในห้องกับคุณทั้งคืน แล้วกลับออกไปตอนเช้า”
“ใช่ คุณแก้มค้างอยู่ในห้องผมทั้งคืน แต่เธอไม่ได้ตั้งใจมาค้าง เธอเมาแล้วเราก็ไม่ได้มีอะไรกันเลย”
“เมา...ค้างอยู่ในห้องทั้งคืนแต่ไม่มีอะไรกัน หึ...นี่คุณจองกุ๊ก คุณอย่าให้คุณจุนจีตอบนักข่าวแบบนี้นะ ละครไม่ได้ออนแอร์แน่”
“รับรองครับ ผมจะไม่ให้จุนจีแถลงข่าวหรือตอบนักข่าวเลย จนกว่าเรื่องจะเงียบ”
“เงียบเหรอ ข่าวมันไม่มีทางจะเงียบเองหรอก ถ้าพวกคุณไม่ทำอะไรสักอย่าง”
“ทำไมผมจะต้องทำอะไรด้วย ในเมื่อข่าวนี้มันถูกกุขึ้นมาเพื่อใส่ร้ายผม มันไม่เป็นความจริง”
“ถ้าคุณยืนยันอย่างงั้นก็ตามใจ ถ้าละครมายาร้อยใจถ่ายทำต่อไม่ได้หรือถูกแบนไม่ให้ออกอากาศ ผมจะฟ้อง”
“เอ่อ...อย่าฟ้องเลยครับ”
“ผมจะฟ้องคุณนั่นแหละ ข้อหาบกพร่องต่อหน้าที่ เป็นผู้จัดการดูแลศิลปินยังไง ปล่อยให้มีเรื่องงามหน้าขึ้นได้”
“ห่ะ..ฟะๆฟ้องกุ๊กเหรอ”
ตัวแทนทั้งสอง ลุกขึ้นเดินออกจากห้องๆไปอย่างหัวเสีย
ลีจองกุ๊กนั่งกุมขมับ
“ไอ้กุ๊กซวยแล้วคราวนี้”
ขณะที่จุนจีลุกขึ้นเดินคิดหงุดหงิดคิดไปมา
“ไอ้เลวคนไหนแอบถ่ายคลิปวะ”
เสียงมือถือดังขึ้น จุนจีหยิบมือถือมาดู เห็นเป็นชื่อแก้ม…รีบรับ
“ฮัลโหลคุณแก้ม ที่บ้านคุณเป็นยังไงบ้าง”
กรรัมภาพูดมือถืออยู่ในบ้าน พลางแอบมองหน้าต่างบ้านออกไปที่ประตูรั้ว เห็นนักข่าวรออยู่เต็ม และแฟนคลับกำลังตะโกนด่าพร้อมทั้งปาไข่ข้าวของเข้ามาในบ้านประปราย
”ไม่เป็นไงหรอกค่ะ แค่มีนักข่าวกับแฟนคลับรอดักอยู่หน้าบ้านเต็มไปหมด แถมยังตะโกนสรรเสริญ และแจกไข่ให้กินฟรีอีกต่างหาก”
“นี่คุณยังตลกออกอีกเหรอ พ่อกับแม่คุณเห็นข่าวแล้ว ท่านว่ายังไงบ้าง”
“โชคดีพ่อกับแม่ฉันไปต่างประเทศ แต่ยังไงก็ต้องรู้ข่าว คืนนี้ต้องโทรมาแน่ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ฉันจะอธิบายให้พ่อกับแม่เข้าใจเอง จะทำยังไงดี ให้ทุกคนเข้าใจเราสองคน ว่าไม่ได้ทำเรื่องเสื่อมเสียแบบนั้น”
จุนจีเงียบ...ถอนใจอย่างหนักใจ เขาเองยังคิดไม่ออก
“ตอนนี้ผมยังคิดอะไรไม่ออก คิดออกแต่ว่า...ใครเป็นคนปล่อยคลิป”
จุนจีขบกรามโกรธ
ซองซูแต่งตัวหล่อ ผิวปากอย่างอารมณ์ดี
”วันนี้ต้องออกไปเดินพาราก่อนเช็คเรตติ้งซะหน่อย เจอใครสัมภาษณ์เรื่องข่าวคาวไอ้จุนจี จะได้ช่วยเพิ่มความแซ่บ ฮ่ะๆ”
ซองซูเปิดประตูห้องออกไปต้องตกใจ เมื่อเจอจุนจียืนอยู่หน้าห้อง
“เฮ้ย...แกมาทำไมวะ”
“แล้วแกล่ะ ตกใจอะไร ฉันถามว่าตกใจอะไร เว”
“ฉันไม่มีเวลาตอบคำถามงี่เง่าๆของแกว่ะ ฉันมีธุระ หลีก”
แต่จุนจีผลักอกซองซูดันเข้าห้อง
“แกยังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ตอบฉันมา แกใช่ไหมที่เป็นคนแอบถ่ายคลิป”
“อ๋อ นึกว่าเรื่องอะไร เป็นไง ฉันถ่ายชัดไหม ชัดว่าแกมันไอ้พระเอกจอมหื่น ทำเป็นฮีโร่ช่วยอีนางเอกเอาไว้ ที่แท้ก็แอบลากเข้าห้องไปกินซะเอง”
“ตูม” จุนจีเงื้อหมัดเข้าเต็มปากซองซู
จุนจีปรีเข้าไปกระชากคอจะต่อยซ้ำแต่ซองซูยก แขนกันเอาไว้ เงื้อหมัดต่อยคืน ตามเข้าซ้ำ เจอลูกเตะหลังของจุนจีเข้าเต็มอก ผงะหลังชนโซฟาไปนอนหงายอยู่ จุนจีโถมตัวเข้าคร่อมเข้าเงื้อหมัดจะต่อยซ้ำ แต่ลีจองกุ๊กวิ่งเข้ามาคว้าแขนห้ามไว้ทันเสียก่อน
“จุนจี! อย่า เรื่องเก่ายังไม่เคลียร์นายจะมีเรื่องใหม่อีกหรือไง”
จุนจีชี้หน้าซองซู
“จำเอาไว้นะ แกทำร้ายคนอื่น สักวันเวรกรรมมันต้องตามสนองแก”
“ไม่รู้จัก เวรกรรม แปลว่าอะไรว๊ะ...ไปๆ”
ลีจองกุ๊กดันหลังจุนจีออกจากห้องไป ซองซูฉุนขาด เขวี้ยงหนังสือไปกระแทกประตู
“ไอ้เห่ยเอ้ย! ถูกผีหลอกจนงมงายแถมยังหลงผู้หญิงไทยจนพาชื่อเสียงเน่าเฟะไปอีก อนาคตแกจบที่เมืองไทยนี่แน่ๆไอ้จุนจี ฮ่ะๆ”
วรวรรธที่หลบมายืนสงบสติอารมณ์เรื่องสุพิชชาที่ระเบียง วรวรรธถอนหายใจออกเฮือกใหญ่ ตัดสินใจจะเดินกลับเข้าบ้านไปทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆที่ไม่อยากจะเข้าไปเจอสุพิชชาอีก
“เอาวะ”
วรวรรธเดินกลับเข้ามาในบ้านก็เห็นภาพสุพิชชา กำลังหิ้วกระเป๋าใส่เสื้อผ้าขึ้นทำน่ารักใส่ณัฐเดช
“คุณพ่อบ้านคะ จะให้คุณแม่บ้านเอากระเป๋าเสื้อผ้าไปไว้ที่ไหนเอ่ย อย่าบอกนะว่าห้องคนใช้ยังว่าง”
วรวรรธตกใจหันไปมองเนตรสิตางศุ์จะถาม แต่กลับเห็นเนตรสิตางศุ์ยืนช็อคยิ่งกว่า ณัฐเดชคว้ากระเป๋าไปจากมือสุพิชชา
“พีชก็...ผมจะให้คุณไปอยู่ห้องคนใช้ได้ยังไง คุณทุ่มเทเพื่อผมขนาดนี้ จะมาอยู่ดูแลผม ผมดีใจจนพูดอะไรไม่ถูก แต่...มันจะดีเหรอพีช เรายังเอ่อ...ไม่แต่งงานกัน”
“แต่อีกไม่นาน เราก็ต้องแต่งไม่ใช่เหรอคะ”
“พีช...”
ณัฐเดชดีใจมาก จับมืออึ้งมองหน้าสุพิชชา แต่วรวรรธเข้าไปยืนจับมือเนตรสิตางศุ์มองหน้ากัน สิ่งที่ทั้งคู่กลัว กำลังจะเกิดขึ้น
“พีชเคยมีคุณพ่อ มีคนรับใช้คอยดูแลมาตลอด ถึงเวลาที่พีชต้องมาดูแลพี่ในฐานะภรรยา พีชอยากมั่นใจน่ะค่ะว่าพีชจะไม่ทำให้พี่ณัฐผิดหวังเมื่อถึงวันที่เราต้องมาใช้ชีวิตร่วมกัน พีชถึงต้องมาลองทำหน้าที่เป็นแม่บ้านให้พี่เป็นกรณีพิเศษก่อน”
“แต่พี่ณัฐคะ...”
สุพิชชารีบพูดขึ้น
”พี่จะมาดูแลน้องเนตรด้วย ต่อไปเราก็จะเป็นครอบครัวเดี๋ยวกันแล้ว หวังว่าน้องเนตรคงไม่ขับไล่ไสส่งพี่กลับนะคะ”
”น้องสาวผมไม่ใช่คนใจร้ายอย่างงั้นหรอก เนตรจ๊ะ...ยังไงช่วย จัดห้องข้างบนให้พีชพักทีนะ พี่หวังว่าการที่พีชมาอยู่ร่วมกับเราในครั้งนี้จะทำให้เราปรับความเข้าใจกัน และลืมเรื่องบาดหมางใจที่แล้วมาทั้งหมด ไอ้หมอ…”
“เอ่อ...ครับพี่”
“แกก็ด้วยนะ เข้าใจที่ฉันพูดไหม”
“ครับ ผมเข้าใจ”
วรวรรธจำใจต้องตอบ เหลือบมองไปที่สุพิชชา เห็นสุพิชชาส่งสายตายิ้มร้ายมาแว๊บนึง
เสียงมือถือณัฐเดชดังขึ้น เขากดรับ
“ฮัลโหล...ถอดเทปบันทึกภาพวงจนปิดที่โรงพยาบาลออกมาแล้วเหรอ เห็นหน้าคนร้ายไหมว่าเป็นใคร.... แล้วเรื่องที่ให้ไปสืบบ้านญาติคุณช่อเพชรล่ะ” ณัฐเดชยิ้มพอใจ “ทำงานได้เยี่ยมมาก”
ณัฐเดชหันมาบอกวรวรรธ
“เฮ้ยไอ้หมอ...นายไปกับฉัน ฝากเนตรด้วยนะ พีช..อย่าทะเลาะกันน้า..เนตรก็อย่าร้ายใส่พี้ชมากนักน้า”
สุพิชชาชูสองนิ้วตอบ ทำหน้าน่ารัก
“พีชสู้ๆ..เอ๊ย..พีชไม่สู้น้องเนตรหรอกค่ะ พีชเป็นคนไม่สู้คน”
ณัฐเดช สุพิชชาหัวเราะ ขำ เนตรสิตางศุ์ยิ้มฝืด
สีหน้าณัฐเดชดีใจกับหลักฐานที่ได้เพิ่มมา และสุพิชชามาอยู่ด้วย ขณะที่วรวรรธหันไปมองเนตรสิตางศุ์อย่างห่วงที่มีสุพิชชามาร่วมบ้าน
โรงพยาบาล...หมอดึงเปลือกตาล่างแผนยุทธเช็คดู...แผนยุทธนอนหลับอยู่บนเตียงในสภาพที่ใบหน้าอิดโรย รอบตาคล้ำ หมอกับพยาบาลกำลังเช็คอาการทั่วไป การเต้นของหัวใจ ความดัน น้ำเกลือขณะที่กรรณากับพงอินทร์นั่งมองอยู่ รอจนกระทั่งหมอตรวจเสร็จ หันจะเดินกลับ ทั้งสองลุกเข้ามาคุยด้วยเบาๆ
“ด็อกเตอร์อาการทรุดรึเปล่าคะหมอ ฉันมานั่งรอในห้องหลายชั่วโมงแล้วนะคะ เขาไม่รู้สึกตัวเลย”
“ไม่แม้กระทั่งกระดิกตัว หลับหรือตายก็ไม่รู้”
กรรณามองหน้า พงอินทร์ทำยักไหล่
“คนไข้มีภาวะเครียดและช็อคมากน่ะครับ หมอเลยให้ยาคนไข้ได้นอนหลับ พอพักผ่อนเยอะๆแล้ว...ร่างกายพร้อม เดี๋ยวก็จะตื่นเองแหละครับ”
“งั้นออกไปรอข้างนอกดีกว่า อยู่ในห้องนี้นานๆ มันอึดอัดยังไงก็ไม่รู้”
“ก็ใครล่ะชวนฉันมา”
กรรณา พงอินทร์ เดินตามหมอกับพยาบาลออกไปจากห้องที่มีตำรวจในเครื่องแบบสองนายนั่งเฝ้าอยู่หน้าประตู....
คล้อยหลังกรรณากับพงอินทร์ที่เดินไปแล้ว ในห้องพักที่พื้นปรากฏเงาดำขึ้นทีละน้อยๆ จนกลายเป็นวิญญาณของช่อเพชรเต็มตัว แต่ผมปิดหน้ามาหยุดยืนที่เตียงแผนยุทธ
น้ำหนึ่งแอบมองไปที่มุมไกล เห็นกรรณากับพงอินทร์เดินคุยกันออกมา ทั้งสองหยุดกดน้ำที่ตู้ น้ำหนึ่งจะเดินออกไป แต่ต้องผลุบกลับเมื่อเห็นณัฐเดช กับวรวรรธเดินเข้ามาในโรงพยาบาล เจอกับกรรณากับพงอินทร์
พูดบอกกรรณากับพงอินทร์
“ตำรวจท้องที่เช็คภาพจากกล้องวงจรปิด วันที่เกิดเหตุมีผู้หญิงคนหนึ่งเข้าไปในห้องด็อกเตอร์แผนยุทธจริงๆ “ ณัฐเดชบอก
กรรณากับพงอินทร์ต่างรีบถามกันอย่างตื่นเต้น
“เห็นหน้าชัดไหมคะ“
“ตำรวจฟันธงรึยังว่าเป็นใคร”
“พอดีว่าห้องของด็อกเตอร์ มันอยู่มุมไกลของกล้อง ทำให้เห็นหน้าไม่ชัด”
“ใช่ แล้วคนร้ายยังสวมแว่นปกปิดหน้าตาด้วย แต่จากรูปพรรณสัณฐานแล้วเหมือนคุณช่อเพชร”
“แต่ผมเจอน้ำหนึ่งออกมาจากห้องพี่แผน”
ณัฐเดช วรวรรธ มองหน้ากัน งงๆ
“เท่าที่เราดูเทปจากกล้องวงจรปิด ไม่เห็นว่าคุณน้ำหนึ่งจะเข้าไปตอนไหนเลย”
เสียงน้ำหนึ่งขัดจังหวะขึ้นมาพอดี
“เจอตัวคุณช่อเพชรแล้วเหรอคะ”
กรรณาทำหน้าโคตรเซ็ง หันไปทัก
“ขยันมาเยี่ยมเจ้านายจังเลยนะคะคุณหนึ่ง”
“ก็คราวที่แล้วหนึ่งยังไม่ได้เข้าเยี่ยมเลยนี่คะ”
“คราวนี้ตำรวจเขาก็ยังไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าเยี่ยมครับหนึ่ง”
น้ำหนึ่งทำหน้าผิดหวัง
“เหรอคะ หวังว่าอาการคุณแผนยุทธคงจะดีขึ้นแล้ว”
พงอินทร์บอกอย่างเจ็บใจ
“แต่พี่ผมซิ ตายไปแล้วก็ไม่มีโอกาสฟื้นขึ้นมาเอาเรื่องคนที่ฆ่าได้”
ช่อเพชรยืนมองแผนยุทธอยู่ข้างเตียง แผนยุทธสะดุ้ง กระสับกระส่าย เหงื่อแตกอย่างตกอยู่ในฝันร้ายจากการถูกน้ำหนึ่งทำร้ายเมื่อวันก่อน
“ที่รักของฉัน...ฉันขอโทษที่ไม่ได้มาปกป้องคุณ เจ็บมากไหมที่รัก”
ช่อเพชรยื่นมือไปลูบแผนยุทธ ยื่นหน้าไปคลอเคลียอยู่ข้างแก้มแผนยุทธ ทำให้แผนยุทธลืมตาผึงขึ้น! ตัวสั่นเทา เย็นจับขั้วหัวใจ เมื่อตามองเหล่ข้างๆเห็นผมดำยาวของผู้หญิงเคลียอยู่ข้างแก้ม พร้อมกับมีเสียงสะอื้น แผนยุทธกลัวมากก็ถึงกับร้องไห้ออกมาเงียบๆ เมื่อสัมผัสได้ว่าคนที่คลอเคลียอยู่ข้างๆไม่ใช่คนแน่
“อย่าร้องไห้ที่รัก ฉันมาอยู่ข้างๆคุณแล้ว จะไม่ให้ใครทำอะไรคุณได้อีก”
ช่อเพชรหันมา เห็นเป็นหน้าช่อเพชรชัดเจน แต่ซีดเป็นผี แก้มข้างหนึ่งเละ
“อ๊ากกก...ช่อเพชร”
แผนยุทธแหกปากร้องสุดเสียง
ช่อเพชรดีใจ
“คุณจำฉันได้...คุณจำเมียคนนี้ได้ ที่รักของฉัน”
“อ๊าก เธอตายแล้วเหรอ ตายตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันไม่รู้เรื่อง..ไปให้พ้นนะ อย่ามายุ่งกับฉัน”
แผนยุทธกระชากสายน้ำเกลือ หนีลงจากเตียง
“คุณกลัวฉันทำไม ฉันไม่ทำอะไรคุณหรอก ฉันรักคุณ ฉันจะอยู่กับคุณตลอดไป”
วิญญาณช่อเพชรลอยเข้าหา
“อ๊าก...ไม่เอา...ไปให้พ้นนะ...ไม่เอา...เลิกยุ่งกับกูเสียทีอีผีบ้า...ออกไป”
แผนยุทธขาดสติอาละวาดปาข้างของใส่
ตำรวจสองนายที่เฝ้าหน้าประตู ได้ยินเสียงโครมครามโวยวายในห้อง รีบเข้าไปดู
“เป็นอะไรครับคุณ”
“ผีๆ มันอยู่นั่น ช่วยผมด้วยคุณตำรวจ…ช่วยด้วย...”
“ผีที่ไหนคุณ ไม่เห็นมี”
“ไม่มีได้ไง มันยืนอยู่ตรงหน้าแก มันอยู่นั่น”
“แผนยุทธ อย่าทำอย่างงี้ซิ” ช่อเพชรพูดขึ้นอย่างเศร้าๆ
“อย่ามาเรียกฉันนะ ไปให้พ้นนะ ไป”
ตำรวจทั้งสองมองหน้ากัน อ่อนใจ
“ท่าทางจะคลั่ง”
ตำรวจทั้งสอง จึงเข้ามาจับตัวแผนยุทธ
“ใจเย็นๆนะครับด็อกเตอร์ สงบสติอารมณ์แล้วไปนอนที่เตียงเถอะครับ”
“มาจับฉันทำไม ไปไล่ผีโน่น ปล่อยฉัน ปล่อยซิโว้ย”
“คุณคิดไปเอง ไม่มีผีที่ไหนหรอกครับ เดี๋ยวผมตามหมอมาให้ คุณไปนอนก่อนนะ”
“ฉันไม่นอน ผีมันจะฆ่าฉัน ปล่อยฉัน...ปล่อยซีโว้ย”
“เอ๊ะคุณ พูดจาไม่รู้เรื่อง งั้นขอโทษนะครับ ผมต้องใช้กำลัง เฮ้ย! จับล็อคเลย”
ตำรวจสองคน พยายามจับล็อคแขนแผนยุทธ ดันหน้ายันกับผนัง
“มาจับฉันทำไม ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดนะ ผีมันหลอกฉัน อ๊าก...ฉันเจ็บนะ”
ช่อเพชรได้ยินว่าแผนยุทธเจ็บก็โกรธมาก
“ทำผัวฉันทำไม ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้นะ”
พลังโกรธของช่อเพชร เลื่อนโต๊ะข้าวของเข้าไปกระแทกใส่ตำรวจทั้งสอง
“โอ๊ย”
ตำรวจทั้งเจ็บทั้งมึน ทำให้แผนยุทธดิ้นหลุดจากมือตำรวจ วินาทีนั้นแผนยุทธเหลือบเห็นปืนที่เอวของตำรวจ เลยดึงปืนมา จ่อขู่ไปที่ช่อเพชรมือสั่น
“อย่าเข้ามานะ ฉันยิงจริงๆด้วย”
“คุณยิงฉันไม่ได้หรอก เพราะฉันตายไปแล้ว“
แผนยุทธกลัวสติแตก วิ่งออกจากห้องไปเลย
“อ๊าก”
“แผนยุทธ คุณจะทิ้งฉันไปไหน รอฉันด้วย”
สองตำรวจสะบัดหัวไล่มึน พยายามเรียกสติลุกขึ้น
โถงชั้นล่าง กลุ่มพงษ์อินทร์ยังคุยกันอยู่
“แล้วตกลงตำรวจหาตัวคุณช่อเพชรเจอแล้วเหรอคะ น้ำหนึ่งพยายามซัก”
“ยังหรอกครับ แต่ผมมีข่าวดี”
“ข่าวดีอะไรคะ”
“ผมได้ที่อยู่ญาติของคุณช่อเพชรที่กรุงเทพมาแล้ว”
น้ำหนึ่งฝืนยิ้ม
”เหรอคะ ดีใจด้วยค่ะ”
“เจ๋งจริงๆ พี่ณัฐสุดยอดไปเลย อนาคตต้องได้เป็นผบ.ตร.แน่”
“เว่อร์ไปยัยกรรณ”
“ลืมไปแล้วเหรอว่าพี่ณัฐกำลังถูกพักงานเหมือนผม”
“นี่...แกก็ไม่ต้องย้ำได้ไหม๊ไอ้หมอ”
“แล้วบ้านญาติคุณช่อเพชรอยู่ไหนล่ะครับ?”
“ผมส่งแมสเซสเข้ามือถือทั้งคุณทั้งยัยกรรณเลยนะแล้วเดี๋ยวเราไปหาคุณช่อเพชรด้วยกัน”
ณัฐเดชพูดพลางก้มลงกดๆส่งมือถือ
ตอนนั้นเองที่วรวรรธสังเกตเห็นพยาบาล รปภ.วิ่งกันให้พล่าน
“มีเรื่องอะไรกัน”
พยาบาลที่ดูแลแผนยุทธหันมาเห็นพงอินทร์
“ญาติด็อกเตอร์แผนยุทธใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับ มีอะไรครับ”
“ด็อกเตอร์คลุ้มคลั่ง ทำร้ายตำรวจ แล้วหนีออกจากห้องค่ะ มีปืนด้วยค่ะ”
“ว้ายตายแล้ว” กรรณาตกใจ
“ไอ้หมอ คุณโจ้เรารีบไปดูเถอะ”
“คุณกรรณ คุณน้ำหนึ่งอยู่นี่นะ ไม่ต้องตามไป คุณแผนยุทธมีปืน มันอันตราย”
“โอเช...ไม่ไปก็ไม่ไป”
กรรณาตอบอย่างเซ็งนิดๆ ณัฐเดช วรวรรธ พงอินทร์รีบวิ่งตามพยาบาลไป น้ำหนึ่งทำเป็นยืนร้อนใจเป็นห่วง
“ขออย่าให้ด็อกเตอร์เป็นอะไรไปเลย สาธุ”
กรรณาแอบเบ้ปากใส่น้ำหนึ่ง แล้วใจก็คิดถึงแมสเซสของณัฐเดช หยิบมือถือขึ้นมากดดู
“แมสเซสของพี่ณัฐมาแล้ว”
น้ำหนึ่งหันมามอง....
ณัฐเดช วรวรรธ พงอินทร์วิ่งขึ้นบันไดหนีไฟมาถึงดาดฟ้า เห็นแผนยุทธยืนถือปืนแต่ไม่ได้จ่อใคร ตามองกวาดลอยไปมา ขณะที่รปภ.2-3 คน หมอ พยาบาลกับตำรวจที่เฝ้าหน้าห้องสองนายกำลังยืนเกลี่ยกล่อมให้วางปืนลง
“ไอ้พี่แผน...จะทำบ้าอะไรน่ะ”
แผนยุทธหันขวับมามอง
“หุบปากนะไอ้โจ้...ฉันไม่ได้บ้านะโว้ย”
“โธ่คุณโจ้ ผมว่าคุณเฉยๆ เดี๋ยวผมจัดการเอง”
ณัฐเดชพยายามเดินช้าๆเข้าไปใกล้
“วางปืนก่อนนะครับด็อกเตอร์ ใจเย็นๆ มีอะไร คุณคุยกับผมได้”
“ฉันรู้แล้ว ผีที่มันคอยตามฉัน ที่แท้...มันเป็นผีช่อเพชร”
ทั้งสามหนุ่มพากันอึ้ง
“ทำไมถึงคิดว่าเป็นคุณช่อเพชรครับ คุณช่อเพชรยังไม่ตายเลยนะครับ”
“หลักฐานก็นี่ไง มันอยู่ตรงหน้าฉันนี่”
แผนยุทธมองไปที่ช่อเพชรที่ยืนอยู่ตรงหน้า ขณะที่สามหนุ่มหันมองหาผีให้ควั่ก แต่ไม่เห็น
“อย่ากลัวฉันเลยแผนยุทธ ฉันรักคุณมากที่สุด ไม่มีใครรักคุณมากเท่าฉันอีกแล้ว ฉันจะไม่ยอมไปเกิด ฉันจะไม่ยอมไปไหน ฉันจะอยู่เป็นผีเฝ้าคุณตลอดไป”
“ไม่เอา...อย่ามาเฝ้าฉัน...ไปซะ...จะไปผุดไปเกิดที่ไหนก็ไป อ๊าก”
แผนยุทธจ่อปืนยิงกราดไปที่ช่อเพชร ปังๆ ทุกคนหลบเข้าที่กำบังหัวซุกหัวซุน สามหนุ่มมาหลบอยู่ข้างกัน
“ผมว่าไอ้ผีเขยผมมันเพี้ยนแล้วล่ะ”
“เขาอาจจะเห็นผีจริงๆก็ได้ เสียดาย น่าจะให้คุณกรรณขึ้นมาด้วย อาจจะได้ยินผีพูดอะไรก็ได้”
“ให้ผมโทรตามมั้ย” พงอินทร์คว้ามือถือ
“อย่าเพิ่ง ไม่เห็นเหรอด็อกเตอร์ยิงดะขนาดนั้น เราจับตัวด็อกเตอร์ให้ได้ก่อนดีกว่า”
ณัฐเดชพยายามคิดแผน
กรรณาเดินชะเง้อร้อนใจ ตาก็ก้มดูที่อยู่ของช่อเพชรในมือถือตลอดเวลา ใจอยากไปเร็ว
“โฮ่ย...ทำไมช้านักนะ แค่ตาด็อกเตอร์แก่ๆเดี้ยงๆคนเดียว ไปกันตั้งสามหนุ่มบึ้ก จัดการไม่ได้หรือไงนะ”
ทันใดน้ำหนึ่งทำท่าสะดุ้ง แล้วควักมือถือตัวเองออกมา
“เอ๊ะ..หา..จริงๆด้วย..แปลกจัง” น้ำหนึ่งกดรับสาย
น้ำหนึ่งพูดโทรศัพท์ กรรณาชะงัก เหล่ๆมอง
“คุณช่อเพชร..นั่น...คุณช่อเพชรจริงๆเหรอ”
กรรณาตาโต
“ใช่ค่ะ ใช่..นี่..น้ำหนึ่งเองค่ะ” น้ำหนึ่งมองหน้ากรรณา ”คุณช่อเพชร..เป็นยังไงบ้างคะ สบายดีหรือเปล่า คุณช่อเพชรอยู่ที่ไหนคะ..อะไรนะคะ..อย่านะคะ..อย่า..อย่าทำอย่างนั้น ใจเย็นๆนะคะ อย่าคิดสั้นนะคะ..ผูกคอตายเหมือนแม่..ว้าย..ไม่นะ..อย่า..คุณ..คุณอยู่ที่ไหนคะ ตอนนี้ รอก่อนนะคะ น้ำหนึ่งจะไปหานะคะ..ค่ะๆ ที่บ้าน..ที่ไหนนะคะ ค่ะๆ จะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ” น้ำหนึ่งกดวางหู แล้วหันมามองหน้ากรรณา
“อะไรนะ..คุณน้ำหนึ่ง..คุณช่อเพชรเหรอ”
“ค่ะ..ตายแล้ว..ทำไงดี คุณกรรณาจะรอไปพร้อมพวกนั้นใช่ไหมคะ งั้น..ดิฉันจะไปหาคุณช่อเพชรก่อนนะคะ คือเขาบอกว่าจะผูกคอตาย เหมือนแม่ของเขา น่ากลัวจังเลย หนึ่งจะรีบไปหาเขาก่อนนะคะ เกิดเขาคิดสั้นขึ้นมา จะทำยังไงดี ไปก่อนนะคะ”
“เดี๋ยว..คุณน้ำหนึ่ง..เขาบอกว่าเขาอยู่ไหนนะคะ”
“เค้าบอกว่า..บ้านเลขที่7/17 ซอย ลาดพร้าว77”
“หา..” กรรณากดโทรศัพท์ดูแมสเสจ “จริงด้วย ที่อยู่เดียวกันเลย”
กรรณาตัดสินใจที่จะไปด้วย
ณัฐเดช กับพงอินทร์แอบย่องตีโอบไปหาแผนยุทธคนละด้าน โดยส่งวรวรรธเดินเป็นตัวล่อเข้าไปเจรจา เรียกความสนใจแผนยุทธให้มองมาที่วรวรรธคนเดียว
“เอ่อ...ด็อกเตอร์ครับ ตอนนี้ผีที่คุณเห็น เขาอยู่ตรงไหนครับ”
“ก็อยู่ตรงหน้าฉันนี่ไง แกมองไม่เห็นหรือไง”
วรวรรธทำเป็นมองไปตามที่แผนยุทธชี้
“ออ...นั่นไง...ผมเห็นแล้วครับ...เห็นแล้ว”
ช่อเพชรหันขวับมาที่วรวรรธ
“โกหก แกไม่เห็นฉันหรอก”
ช่อเพชรหันมามองแผนยุทธ
“มาเถอะคุณแผนยุทธ...เลิกเอาปืนมาขู่ฉันซะที มาหาฉัน มาเถอะที่รัก อย่าทำอย่างนี้กับฉัน”
ช่อเพชรพูดพลางขยับเข้ามาใกล้ แผนยุทธยิ่งถอยหนี
“อย่านะ...แกอย่าเข้ามานะ...อย่า”
แผนยุทธเดินถอยหลังไปที่ขอบตึก วรวรรธตกใจ
“ด็อกเตอร์อย่าไป...หยุดอยู่ตรงนั้นนะครับ เดี๋ยวตก”
วรวรรธพูดพลางหันไปมองทั้งณัฐเดช กับพงอินทร์ให้รีบหาจังหวะเข้าไปชาร์ทแผนยุทธเร็วๆ
“ฉันเหนื่อยแล้วนะ เหนื่อยที่จะตามคุณ เอางี้ไหม...คุณมาอยู่กับฉัน” ช่อเพชรร้องถาม
“ไม่...ฉันไม่ไปอยู่กับเธอ”
“ทำไมล่ะ คุณไม่รักฉันเหรอแผนยุทธ”
“อีบ้า อีผี ฉันจะไปรักแกลงได้ยังไง ไปให้พ้นนะ ไป๊”
ช่อเพชรโกรธ
”แต่ฉันรักคุณ ฉันจะเอาคุณไปอยู่กับฉัน”
ช่อเพชรโกรธ พุ่งเข้าไปหา แผนยุทธตกใจจนถอยหลังจะตกตึก
“อ๊าก”
“ด็อกเตอร์ ระวัง”
จังหวะที่จะหงายหลัง ณัฐเดชกับพงอินทร์ก็กระโจนกันออกมารวบขาไว้ได้ แต่ตัวหลุดออกไปแล้ว ปืนร่วงตกลงสู่เบื้องล่าง แผนยุทธแหกปากร้องลั่น
“อ๊าก”
ณัฐเดชกับพงอินทร์ช่วยกันดึงขาพาตัวแผนยุทธขึ้นมา โดยที่วรวรรธเข้ามาช่วยอีกแรง
จนเอาตัวแผนยุทธขึ้นมาได้อย่างหมดแรงตามๆกัน แต่แผนยุทธช็อคลมใส่สลบเหมือดไปแล้ว
น้ำหนึ่งกำลังขับแล่นไปบนถนนในซอยแห่งหนึ่ง กรรณานั่งร้อนใจมองทางข้างหน้าอยากให้ถึงบ้านญาติช่อเพชรเร็วๆ จนลืมสังเกตสีหน้าท่าทางของน้ำหนึ่งที่กำลังขับรถความเย็นชา ราวเพชฌฆาตผุดขึ้นในสีหน้าแววตาของน้ำหนึ่ง ที่ตวัดสายตาเหล่มองไปที่กรรณา พลางถาม
“คุณกรรณได้ยินเสียงวิญญาณจริงๆเหรอ”
ทำเอากรรณา หันมามองหน้าน้ำหนึ่งอย่างไม่พอใจ
“นี่นายแผนยุทธปากโป้ง เอาเรื่องฉันมาบอกคุณเหรอ”
“แปลว่าคุณได้ยินเสียงผีจริงๆ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย” น้ำหนึ่งตกใจไม่น้อย
“แต่คุณไม่ต้องกลัวไปหรอก ในรถตอนนี้ฉันไม่ได้ยินเสียงผีที่ไหนทั้งนั้น คุณรีบๆขับเข้าเถอะ”
ตาข้างหนึ่งของน้ำหนึ่งหรี่เล็กลง กระตุกๆนิดๆอย่างคนโรคจิตที่มีอาการระแวง สองมือเกร็งกำพวงมาลัยรถแน่น”
“ถ้าอย่างงั้นคุณคงได้ยินเสียงวิญญาณคุณพิมอรด้วยล่ะซิ คุณพิมอรบอกรึเปล่าว่าใครเป็นคนฆ่าเธอคะ?”
กรรณาหันไปมอง น้ำหนึ่งขับรถนิ่ง ไม่แสดงอาการ แต่รอฟังคำตอบ กรรณาหันกลับไปมองถนนต่อ
“เธอไม่ได้บอก ฉันเองก็สงสัยว่าทำไม แต่ถ้าวันนี้เจอตัวยัยช่อเพชรแล้ว ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าใครเป็นฆาตกรตัวจริง โอ๊ะ”
กรรณาร้องลั่นเพราะอยู่ๆน้ำหนึ่งก็เลี้ยวเอี๊ยดเข้าซอยเล็กๆข้างทาง
“นี่คุณเลี้ยวทำไมเนี่ยะ เราต้องตรงไปไม่ใช่เหรอ”
“บ้านญาติคุณช่อเพชรซอย 77 แยก 7 ไม่ใช่เหรอคุณ”
กรรณาก้มลงดูMESSAGEในมือถือที่ณัฐเดชส่งให้
“ใช่จริงๆด้วย คุณนี่จำแม่น”
น้ำหนึ่งยิ้ม แววตาเริ่มคลุ้มร้าย
รถจอดเอี๊ยดที่หน้าบ้านไม้สองชั้นทรงโบราณสวยงามหลังหนึ่ง ที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวแยกตัวมาจากบ้านหลังอื่นๆ บ่งบอกว่าเป็นบ้านคนมีฐานะตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย แต่ถูกปล่อยให้ภายนอกรกทรุดโทรมลงไปบ้าง
“คุณกรรณดูสิคะ ใช่หลังนี้หรือเปล่า”
กรรณาไม่ตอบรีบเปิดประตูลงจากรถ ไปที่ประตูรั้วทันที พลางก้มลงมอง เช็คเลขที่บ้านในมือถือกับป้ายเลขที่หน้าบ้าน
“บ้านเลขที่ตรงกัน คุณจำได้ไงเนี่ย อะอ้าว...คุณหนึ่ง”
กรรณาเงยหน้ามองไปก็เห็นน้ำหนึ่งเดินเข้าประตูรั้วไปแล้ว กำลังเดินตัวปลิวไปที่ประตูหน้าบ้าน
“เดี๋ยวรอด้วย เร็วจริงๆ”
แต่พอกรรณาวิ่งเข้าประตูรั้วไป น้ำหนึ่งก็เปิดประตูบ้านเข้าไปเสียแล้ว ตามมาด้วยเสียงกรี๊ดตกใจ
เสียงน้ำหนึ่งดังขึ้น
“อย่าคุณช่อเพชร...อย่า”
กรรณารีบวิ่งไปที่ประตู
กรรณาเปิดประตูผัวะเข้ามาในบ้านพลางร้องเสียงหลง
“อย่าทำอะไรบ้าๆนะคุณช่อเพชร ทำร้ายตัวเองทำไม!”
แต่กรรณาต้องหยุดยืนเหว๋อ เมื่อไม่พบใครสักคน ในบ้านดูปกติ
“คุณหนึ่ง คุณอยู่ไหน ตะกี้คุณร้องทำไม เกิดอะไรขึ้น คุณหนึ่ง”
เงียบ...ไม่มีเสียงตอบ กรรณายืนหันเคว้งสักครู่ เลยเดินลึกเข้ามาในบ้านมองหาไปทั่ว พบว่าสภาพภายในบ้านไม่ได้เก่าทรุดโทรมเหมือนภายนอก ข้าวของเครื่องใช้ เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นแม้จะเป็นเครื่องไม้โบราณ แต่ถูกทำความสะอาดไว้อย่างสะอาดเป็นระเบียบ
“คุณช่อเพชร คุณน้ำหนึ่ง”
ทันใดนั้นมีคนเดินผ่านหลังกรรณาวูบไปอย่างรวดเร็ว กรรณาหันขวับมามอง
“คุณหนึ่ง...นั่นคุณเหรอ”
แต่กรรณากลับไม่เห็นใคร มีคนเดินวูบผ่านหลังไปอีก กรรณาหันขวับมอง
“คุณช่อเพชร...คุณรึเปล่า”
แต่ก็ไม่เห็นใครอีก กรรณาชักสงสัยพึมพำ
”ถ้าไม่ใช่คน ก็ต้องผีแหละวะ”
กรรณาเลยตัดสินใจยืนอยู่กลางบ้าน ใช้หูสัมผัสพิเศษหาเสียงของวิญญาณในบ้าน แต่กลับไม่พบเสียงของวิญญาณเลย นอกจากความเงียบวังเวงจนน่ากลัว
“ไม่มีเสียงผีสักตัว งั้นก็ต้องเป็นคน”
กรรณาชักไม่ไว้ใจ ถลกแขนเสื้อสองข้างขึ้นเล็กน้อย พลางเดินบีบหมัด เตรียมพร้อมป้องกันตัวหากเกิดอะไรขึ้น แล้วเดินลึกเข้าไปด้านในบ้านที่กว้าง ที่ประกอบด้วยห้องหลายห้องอย่างเป็นสัดเป็นส่วน
น้ำหนึ่งแอบมองตามด้านหลังของกรรณาอย่างมุ่งร้าย
กรรณาผลักประตูเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น พบว่าเครื่องเล่น CD เพลงกำลังเปิดเพลงลูกกรุงสมัยรุ่นพ่ออยู่ บนโต๊ะมีแก้วกาแฟที่ดื่มข้างไว้ มีไม้นิตติ้งถักผ้าพันคอข้างไว้วางอยู่ที่เก้าอี้ บ่งบอกว่า ก่อนกรรณาเข้ามา มีคนอยู่ในห้องนี้
“คุณช่อเพชรคะ คุณอยู่ในห้องนี้รึเปล่า คุณช่อเพชรคะ”
ไม่มีเสียงตอบกรรณาชักหัวเสีย
“แล้วนี่ยัยน้ำหนึ่งไปไหนเนี่ย”
กรรณาหันจะเดินออกจากห้อง แต่ตาเหลือบไปเห็นรูปๆหนึ่งใส่กรอบวางอยู่ด้านในกระจกตู้โชว์
กรรณาเดินช้าๆเข้าไปดู เห็นเป็นรูปหญิงสาวสองคนถ่ายรูปคู่กัน คนหนึ่งคือช่อเพชรอยู่ในชุดครุยบัณฑิตปริญญาโท ส่วนอีกคนที่ยืนยิ้มแววตาเศร้าๆคือน้ำหนึ่งนั่นเอง
กรรณายืนตะลึงมอง มึนงงไปหมด
“สองคนนี้...คนนี้คุณน้ำหนึ่ง..แล้วคนนี้...”
กระจกตู้โชว์สะท้อนให้เห็นน้ำหนึ่งโผล่มายืนอยู่ข้างหลังกรรณา กำลังเงื้อกระทะท้องแบนขึ้นหมายฟาดหัวกรรณา แต่กรรณาหันไปใช้แขนกันแขนน้ำหนึ่งที่ฟาดมา หยุดกรรณาไว้ได้พลางถาม
“ก็แกมันสาระแน ตามหาช่อเพชร พี่สาวฉันอยู่ได้”
“คุณช่อเพชรเป็นพี่สาวคุณเหรอ?”
น้ำหนึ่งหัวเราะแทนคำตอบ แล้วกรรณาผงะออก หลังไปชนโต๊ะ
“แกตาย”
น้ำหนึ่งปรี่เข้าไปเงื้อกระทะฟาดกรรณาอย่างคลั่ง แต่กรรณาหลบทัน เลยฟาดถูกข้าวของบนโต๊ะกระจาย กรรณากระโดดเข้าไปกอดตะครุบน้ำหนึ่งทางด้านหลัง น้ำหนึ่งดิ้น กอดปล้ำเซไปมาจนกลิ้งตกพนักโซฟาไปด้วยกัน
กระทะหลุดจากมือน้ำหนึ่ง น้ำหนึ่งฉุนลุกเข้ามาหากรรณาที่นอนเจ็บไหล่ที่กระแทก น้ำหนึ่งกระชากผมกรรณาขึ้นมาตบเผี๊ยะ กรรณาสวนหลังมือตบคืน น้ำหนึ่งเซไปคว้าแจกันเขวี้ยงใส่ กรรณาก้มหลบ
กรรณาถีบเข้าท้องน้ำหนึ่งได้หนึ่งตุบ น้ำหนึ่งกระเด็นลงไปกอง น้ำหนึ่งลุกขึ้นมาทันที ไม่มีท่าทางเจ็บปวด กรรณาตกใจ
“อ๊าก... แก...อีนังตัวดี แกตาย”
น้ำหนึ่งคลั่งเป็นคนสติแตก
น้ำหนึ่งเข้ามาตบ กรรณาหลบได้แต่ไม่พ้นหมัดซ้าย “ปัง” เต็มหน้ากรรณา น้ำหนึ่งปรี่เข้าไปเหวี่ยงกรรณากระแทกผนังบ้านลงไปกอง กรรณาฮึดลุกขึ้นมา น้ำหนึ่งเข้ามา กรรณาสวนหมัดเข้าหน้า อีกหมัดเข้าท้อง น้ำหนึ่งจุกลงไปกอง
กรรณาวิ่งจะออกทางประตู น้ำหนึ่งวิ่งกระโดดมาทันจับขากรรณาล้มลงก่อนถึงประตู
น้ำหนึ่งตามมาจิกผมที่ท้ายทอยกรรณากระแทกหน้ากับพื้น ทำให้กรรณาแตกที่หน้าผาก กรรณาพยายามยืนสะบัดหัวมึน แต่หันมาก็เจอน้ำหนึ่งเงื้อรูปปั้นขนาดเหมาะมือทุบเข้าที่ต้นคอ กรรณาสะดุ้งเฮือก ล้มลงหมดสติ ทุกอย่างดับสนิท
แผนยุทธนอนหมดฤทธิ์อยู่บนเตียง โดยมีแพทย์เจ้าของไข้กำลังฉีดยาคลายเครียดให้
พงอินทร์ วรวรรธ ณัฐเดช ยืนมองอยู่ห่างๆ ช่อเพชรยืนน้ำตาไหลเพราะความสงสารแผนยุทธอยู่มุมหนึ่ง
“อาการคุณแผนยุทธไม่น่าจะมาจากโดมิกุมในกระแสเลือดนะครับ เพราะปริมาณมันลดลงเหลือน้อยมากแล้ว”
ณัฐเดชพยักหน้ารับรู้ หมอกับพยาบาลออกไป
พงอินทร์ มองแผนยุทธที่นอนอยู่บนเตียงอย่างอึดอัดใจ จะพุ่งเข้าไปหาความจริงจากแผนยุทธ แต่วรวรรธขวางไว้
“ให้เขาพักก่อนเถอะครับ”
พงอินทร์ชะงัก แต่แผนยุทธที่อยู่บนเตียงกลับเอ่ยขึ้น
“ฉัน...ฉันมีอะไรกับช่อเพชรจริงๆ”
พงอินทร์ วรวรรธ ณัฐเดช มองหน้ากันแล้วพุ่งไปที่ข้างเตียงแผนยุทธ
พงอินทร์เดือด
“ยอมคายความจริงออกมาซะทีนะ ไอ้...”
พงอินทร์จะพุ่งไปเอาเรื่องแผนยุทธที่นอนอยู่ ณัฐเดชกับวรวรรธห้ามกันพัลวัน
“ใจเย็นก่อนได้มั้ยคุณโจ้ ...”
“เล่าต่อเลยครับคุณแผนยุทธ”
“กับช่อเพชร...เราแอบคบกันตั้งแต่ช่อเพชรมาทำงานเป็นเลขาผมได้ไม่นาน...ผมหลอกช่อเพชรว่าหย่าขาดกับพิมอรแบบเงียบๆ เพราะพิมอรเป็นห่วงหน้าตาในสังคม ผมพาช่อเพชรไปจดทะเบียนสมรสเพื่อเธอจะได้สบายใจ ผมซื้อรถ ซื้อคอนโดให้เธอ แลกกับการอย่าบอกความสัมพันธ์นี้กับใคร”
“เลวได้โล่ห์เลย...” พงอินทร์พูด
แผนยุทธเหมือนไม่รับรู้ยังคงพูดต่อไปนิ่งๆ
“นานเข้าช่อเพชรก็ทนไม่ไหว เธอไประรานอาละวาดกับพิมอร แล้วอยู่ๆ ช่อเพชรก็หายตัวไป เธอส่งจดหมายลาออกมาพร้อมกับแหวนที่ผมชื้อให้”
สามหนุ่มอึ้งไปกับข้อมูลใหม่ที่ได้รับ
“เธอไม่ได้บอกอะไรกับคุณเลยเหรอ”
“ไม่...ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอหายไปไหน ติดต่อก็ไม่ได้ ไปหาที่คอนโดก็ไม่เจอ แต่ไม่คิดว่า...เธอจะตายแล้ว”
“ช่อเพชรยังไม่ตาย เขายังติดต่อพวกผมกับกรรณาตลอดๆ”
“ช่อเพชรตายแล้วจริงๆ ฉันเห็นวิญญาณช่อเพชร พวกนายต้องช่วยฉันนะ”
วรวรรธทำปากกระซิบๆ ไม่อยากให้แผนยุทธได้ยิน
“..เรื่องผีช่อเพชรนี่สงสัยแกจะหลอนไปเองว่ะ“
พงอินทร์ วรวรรธ ณัฐเดช มองหน้ากัน เชื่อกัน ว่าแผนยุทธหลอนจริงๆ
อ่านต่อตอนที่ 18