สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 11
แล้วอยู่ๆประตูห้องนั้นก็เปิดเอง ราวกับต้อนรับ ทุกคนเห็นสภาพเละเทะกระจุยกระจายมาก ภายในห้องนั้น ข้าวของ ถูกรื้อค้น มีนั่นนี่ปลิว กระเด็นไปมาตลอด ทีวีเครื่องเก่าเอียงกะเท่เร่อยู่ในห้องกำลังฉายภาพการ์ตูนเจ้าหญิงเจ้าชายสักเรื่องอยู่ ทุกคนถูกโจมตีด้วยอดีตอันเลวร้ายทันที ต่างผงะ น้ำตาไหล
"อาโบตั๋น!"
อาม่าจะเป็นลม ทุกคนประคองกันวุ่นวาย
สุคนธรสพึมพำกับตัวเอง
"โบตั๋น"
สุคนธรสอยากรู้ ผละเข้าไปในห้องทันที
สุคนธรสมองตามหาพิกัดตำแหน่งของวิญญาณ ไตรรัตน์ตามเข้ามา ได้แต่มองอย่างตะลึง
ไตรรัตน์ไม่อยากเชื่อตาตัวเอง
"โบตั๋น ยังอยู่จริงๆเหรอ"
เสี่ยจำเริญกับเจ๊หญิงตามมาประกบไตรรัตน์ ทุกคนไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น อาอี๊เสาวภาดูแลอาม่าอยู่
"โบตั๋น เธอชื่อโบตั๋นใช่มั้ย เธออยู่ที่นี่มานานแล้วเหรอ ทำไมไม่ไปผุดไปเกิด เธอต้องการอะไร อยากให้ช่วยเหลืออะไร บอกพี่มา"
มีเครื่องครัวของเล่นสำหรับเด็กลอยใส่สุคนธรส เหมือนมีใครเขวี้ยงไล่ เธอปัดป้องได้
"คุยกันดีๆ อย่าเกเรนะคะ"
อยู่ๆมีขวดแก้วของเล่นเด็ก กลิ้งมาอย่างเหมือนมีใครจงใจกลิ้งมา สุคนธรสเหยียบและลื่นล้ม
"โอ๊ย!"
นาฬิกาปลุกทุกเครื่องภายในห้องดัง บางเรือนมีนกโผล่หน้าออกมาจากรัง ร้องจุ๊กกรู๊ๆ ราวกับกำลังหัวเราะเยาะสุคนธรสอยู่
"ตลกมากใช่มั้ย"
สุคนธรสกำลังจะลุก แต่เหลือบไปเห็นผ้ายันตร์ผืนนึงอยู่ที่ด้านหลังของประตู
สุคนธรสเข้าไปดูผ้ายันตร์
"ผ้ายันตร์ผืนนี้ นี่มัน...เพราะอย่างนี้ใช่มั้ย เธอถึงต้องอยู่ที่นี่ ชั้นเข้าใจแล้ว ถ้าเธออยากให้ช่วย ก็หยุดอาละวาดได้แล้ว ถ้าไม่หยุด พี่จะปิดทีวี ไม่ต้องดูแล้วการ์ตูน"
สุคนธรสกำลังจะไปปิดทีวี แต่อยู่ๆทีวีกลายเป็นภาพซ่าๆๆ แล้วประตูตู้เสื้อผ้าก็เปิดผลั๊วะออก ทุกคนหันไปมอง เห็นเท้าซีดเปล่าเปลือยของเด็กผู้หญิง นั่งขดตัวอยู่ในตู้นั้น เห็นแววตาผ่านชายเสื้อผ้า เป็นแววตาเด็กผู้หญิงที่กลัวและทุกข์ทรมาน
เจ๊หญิง เสี่ยจำเริญ ไตรรัตน์มองไปที่ตู้ซึ่งเปิดเอง แต่ไม่เห็นอะไร สุคนธรสเดินเข้าไปที่ตู้ แล้วนั่งยองๆ
"ชั้นรู้ว่าเธออยู่ในนี้ ชั้นได้กลิ่นของเธอชัดเจนมาก โบตั๋น เธอไม่ต้องกลัวนะ ชั้นเป็นสะใภ้ของบ้านนี้ และชั้นช่วยเธอได้"
ทันใด แววตาของโบตั๋นก็เปลี่ยนไป เป็นโมโหกราดเกรี้ยว ทันทีที่ได้ยินคำว่า สะใภ้ สุคนธรสผงะ เพราะกลิ่นเปลี่ยน
โบตั๋นแฮ่!!!! แยกเขี้ยว เห็นหยากไย่แมงมุมเกาะเป็นผังผืดในปาก
สุคนธรสถูกพลังงานบางอย่างกระแทกจนกระเด็นไถลไป ทุกอย่างในห้องปลิวพล่านอย่างดุเดือด สุคนธรสงงของพลังของผีเด็กตนนี้ เธอจะลุกยืน แต่ก็ถูกพลังงานซัดเหวี่ยงให้กระเด็นออกไปจากห้องจนกระอักบอบช้ำเล็กน้อย อาอี๊กำลังแกว่งยาหอมให้อาม่า
"หนูรส แล้วอาไตรอาเฮียและอาเจ๊หญิงล่ะ"
ในห้อง ไตรรัตน์ เสี่ยจำเริญ เจ๊หญิงยืนงง โดยมองไม่เห็นว่าตรงหน้าตัวเอง มีผีโบตั๋นยืนอยู่ ทั้งสามคนมองไปรอบๆ
"โบตั๋น...น้องยังอยู่ที่นี่จริงๆเหรอไตร"
"ผมว่าเราออกไปก่อนเถอะครับม้าป๊า"
โบตั๋นมองทั้งสามคน สีหน้าเศร้าร้องไห้
สุคนธรสรู้เรื่องราวโบตั๋น
"น้องสาว...นายมีน้องสาวอีกคนนึงด้วยหรือ"
เจ๊หญิง อาม่า อาอี๊ยังคงร้องไห้ มีเพียงเสี่ยรัตน์กับไตรรัตน์ที่พอตั้งสติได้
"ใช่โบตั๋น เป็นน้องสาวแท้ๆของผมเลย...แต่เขาอายุสั้นจากพวกเราไปซะก่อน
"แล้วทำไมถึงไม่ทำพิธีปลดปล่อยให้โบตั๋นไปผุดไปเกิดล่ะคะ ทำไมต้องกักขังเขาไว้แต่ในห้อง"
เสี่ยจำเริญบอก
"พวกเราไม่ได้กักขัง..แต่ แต่พวกเราไม่รู้ ไม่รู้ว่าไอ้หมอสมคิดมันทำยังงี้กับอาโบตั๋น"
"หมอสมคิดเกี่ยวอะไรด้วย"
เจ๊หญิงบอก
"ตอนนั้น หลังจากโบตั๋นเสีย พวกเราทุกคนฝันเห็นโบตั๋นทุกวัน โบตั๋นบอกว่าเขายังอยู่ที่นี่ ไปไหนไม่ได้ เขาเหงา ไม่มีใครมองเห็นเขา ไม่มีใครเล่นด้วย ทุกคนเลิกรักเขาแล้วโดยเฉพาะอาไตร พวกเราไม่รู้จะทำยังไงให้โบตั๋นพ้นไปจากความทรมานนี้ ก็เลยไปพึ่งหมอสมคิด ขอให้เขาช่วยปลดปล่อยอาหมวยด้วย อย่าให้ติดค้างอยู่ในโลกนี้เลย"
"แล้วรู้หรือเปล่า ว่าผ้ายันตร์นี้ ไม่ได้มีไว้เพื่อปลดปล่อย แต่มันคือการกักขัง"
เสี่ยจำเริญถาม
"กักขังวิญญาณอาโบตั๋นเหรอ"
"ค่ะ!"
เจ๊หญิงบอก
"ก็ถ้าพวกเรารู้ เราจะทำมั้ยล่ะหนูรส"
อาม่าคร่ำครวญ
"อั๊วเอง เป็นเพราะอั๊ว ที่ไปขอร้องให้หมอสมคิดมาทำพิธีปลดปล่อยอาโบตั๋น..อั๊วไม่ได้เจตนา"
อาอี๊เสาวภาบอก
"ชั้นก็ด้วย ชั้นเป็นคนเตรียมอุปกรณ์ทำพิธีทุกอย่าง ชั้นทำร้ายหลานของชั้นเอง"
เจ๊หญิงบอก
"อาโบตั๋น ม้าขอโทษ ม้าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้หนูทรมาน"
ทุกคนคร่ำครวญเสียใจหมด
"อาม้า อาม่า อาอี๊ครับ ไม่ใช่ความผิดของพวกเราหรอกครับ ก็ตอนนั้นมันหลายปีมาแล้ว เรายังไม่รู้ว่าหมอสมคิดเป็นคนไม่ดี อย่าเสียใจไปเลยครับ" ไตรรัตน์บอก
เสี่ยจำเริญน้ำหูน้ำตาเต็มหน้า
"ใช่ อย่าร้องไห้ เราต้องไม่ร้องไห้"
ทุกคนคร่ำครวญหมด ไตรรัตน์หันมาหาสุคนธรส อยากจะให้ช่วยปลอบ แต่สุคนธรสสนใจผ้ายันตร์ในมืออยู่
"ผ้ายันตร์ผืนนี้ เป็นฝีมือของหมอสมคิด"
กลุ่มคนงานกำลังล้อมวงเฮแบบเชียร์มวย มิรันตีกับเบญจาเดินตามเสียงออกมาชะโงกมองว่าเกิดอะไรขึ้น มีเรื่องอะไรกัน สักพัก ทนายสมชาติวิ่งเข้ามารายงาน
"คุณมิรันตี..คุณติณห์ครับ คุณติณห์"
มิรันตีตกใจ รีบรุดตามทนายสมชาติไป
ในวงคนงานที่กำลังร้องเชียร์นั้น อยู่ๆหัวหน้าคนงานก็ถูกถีบทะลุวงไทยมุงออกมา แล้วติณห์ก็กระโจนพุ่งตามเข้ามาคร่อมร่างหัวหน้าคนงานคนนั้นไว้ กระชากคอเสื้อมาเขย่าๆ
มิรันตีวิ่งเข้ามา
“ติณห์!! โอ้มายก๊อด หยุดๆๆ”
หลวงพิชัยภักดีพยายามจะห้ามติณห์ รีบร้องให้มิรันตีมาช่วยกันห้าม ในขณะที่โกลเดนเบบี๋นั่งปิดตา
“ผู้ใหญ่ใช้กำลังทะเลาะกันเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อเยาวชนรู้หรือเปล่า”
“นังมิรันตีมาช่วยข้าห้ามไอ้ติณห์เร็ว”
“แกรนด์ปาไม่ต้องมาห้ามผม”
สมชาติบอก
“เฮ้ย พวกเอ็งช่วยกันแยกสิวะ เดี๋ยวให้คุณท่านไล่ออกให้หมดเลย”
สมชาติกับคนงานหลายคนช่วยกันหิ้วปีกดึงติณห์ออกมา ติณห์ดิ้นสุดๆ
“ปล่อย ไอจะอัดมัน..ปล่อย”
“มันเกิดอะไรขึ้น” มิรันตีถาม
“ผมแค่ถามว่าคุณญาณินจะกลับมาที่นี่อีกหรือเปล่า คุณติณห์ก็ถีบผมเลย” หัวหน้าคนงานบอก
โกลเดนเบบี๋ว่า
“ไอ๊หย๋า จริงเหรอ”
“จริงสิ ข้ายืนยันได้ ไอ้ติณห์มันบ้าไปแล้ว”
“ทำไมทำยังงี้ล่ะพี่ติณห์”
ติณห์โวยวาย ของขึ้นสุดๆ ชี้หน้ากราด
“ปล่อยชั้น แกไม่ต้องมาแกล้งโง่ แกรู้ว่าญาณินทิ้งชั้นไปแล้ว ก็เลยจะมาเยาะเย้ยชั้นว่าถูกผู้หญิงทิ้ง พวกแกทุกคนด้วย..ออกไป..ไปให้หมด ชั้นไล่พวกแกออก”
เบญจานิ่งวิเคราะห์มองความคิดของติณห์และปฏิกิริยาที่ติณห์แสดงออกมา
“เลิกงี่เง่าได้แล้วติณห์ ไปทำงานไป”
พวกคนงานแยกย้ายไปตามคำสั่งของมิรันตี ติณห์สะบัดตัวออกจากการถูกล็อก เดินออกไป
“ผู้หญิงเลว..ผู้หญิงไม่มีความจริงใจ ผู้หญิงงี่เง่า ซิลลี่ ฟูลลิช ชิท โกทูเฮล”
“ติณห์...ติณห์”
มิรันตีวิ่งตามมาขวาง
“ติณห์ หยุด อย่าเดินหนีแม่ แค่เลิกคบกับผู้หญิงคนเดียว อย่าทำตัวให้มันน่าสมเพชได้มั้ย ช่วยเห็นแก่หน้าแม่ หน้าตาของรีสอร์ตบ้าง”
หลวงพิชัยภักดีบอก
“อ้าว แทนที่จะห่วงความรู้สึกลูก ดันห่วงหน้าตาตัวเอง”
ติณห์ฮึดฮัดขัดใจเซ็งที่แม่ดุ
“เย็นนี้ แม่นัดพวกลูกสาวเพื่อนแม่ไว้ ไปเป็นเพื่อนแม่หน่อย”
“เฮ้ย นี่ ลูกอกหักปุ๊บ จะหาเมียใหม่ให้เลยเหรอวะ ใครมันจะไปเปลี่ยนคนรักเหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้าได้เหมือนเอ็ง”
โกลเดนเบบี๋ขานรับ
“ตาพูดจาได้ศิวิไลมาก”
“เชื่อแม่ ออกไปเจอผู้คน...แล้วลูกจะรู้ว่าผู้หญิงทุกคนดีกว่าแม่ยิปซีทั้งนั้น”
โกลเดนเบบี๋บอก
“ไม่จริง”
ติณห์รีบพูดดัก เน้น เด็ดขาด
“ผมยังไม่อยากเจอหน้าใครทั้งนั้น อย่าบังคับผม ไม่งั้นผมจะไม่อยู่ที่นี่อีกแล้ว”
ติณห์จะเดินไป แต่เบญจาขวางอยู่
“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวเบญจาเอายาไปให้พี่ใส่แผลฟกช้ำนะคะ”
“ไม่ต้อง”
“อย่าดื้อด้านเป็นเด็กๆสิคะ”
“เธอว่าใครเด็ก”
“ก็ใครล่ะคะที่ปฏิเสธทุกอย่าง...เอะอะอะไรก็ไม่เอา ไม่ยอม ไม่ทำไว้ก่อน”
“ชั้นไม่!”
“นี่ไง!”
ติณห์ชะงักเพราะรู้ตัวเถียงไม่ออก เบญจาจ้อง ยิ้มๆ
“ไม่ต้องมายุ่งกับชั้น”
ติณห์เดินฟึดฟัดออกไปเลย มิรันตีมองเบญจารู้สึกสนใจในตัวเด็กคนนี้ขึ้นมา
โกลเดนเบบี๋ถาม
“ตา...หนูว่าพี่เบญจาดูแปลกๆนะ”
เบญจากำลังเตรียมถาดยาสมุนไพร ถุงน้ำเย็นเตรียมเอาไปประคบแผลให้ติณห์ แต่มิรันตีเข้ามาก่อน
“เบญจา...ชั้นไม่มีอะไรให้เธอรับใช้แล้ว เอายาไปให้ติณห์เสร็จแล้ว ก็อยู่เป็นเพื่อนเขาหน่อยแล้วกันนะ ชวนคุยเรื่องอะไรก็ได้ ให้เขาไม่คิดมากนั่นนี่ เดี๋ยวจะเตลิดไปกันใหญ่ ฝากทีนะ ชั้นไม่มีใครที่ไว้ใจได้แล้วนอกจากเธอ”
“ค่ะ หนูจะพยายาม ขอบคุณมากค่ะคุณแม่”
เบญจาถือถาดออกไป มิรันตียิ้มนิดๆ สมชาติตามเข้ามา สงสัยในการกระทำของมิรันตี
“คุณกำลังคิดจะให้หนูเบญจามาแทนที่คุณญาณินเหรอครับ”
“ดูไปดูมา หนูเบญจาก็ใช้ได้นะ ว่านอนสอนง่าย เชื่อฟังและอยู่ในโอวาท เห็นไหมล่ะ ว่าข้อดีแค่นี้ก็เริ่ดกว่ายัยยิปซีล้านเท่าแล้ว ส่วนเรื่องสวย น่ารัก นั่นก็คงไม่มีใครเถียง หรือคุณจะเถียงล่ะ..ฮะๆ”
ติณห์กระวนกระวาย สับสนว่าควรจะโทร.ไปหาญาณินดีหรือไม่ หลวงพิชัยภักดีกับโกลเดนเบบี๋เดินไปเดินมา ท่าทีร้อนรน
“ไม่ต้องลังเลแล้ว โทรไปปรับความเข้าใจกับหนูณินเร็วๆ”
ติณห์มองไม่เห็น ไม่ได้ยิน เขาวางสาย ตัดสินใจไม่โทร.
“เฮ้ย ข้าบอกให้โทร.ไปอ็งได้ยินมั้ย ไอ้ติณห์!”
หลวงพิชัยภักดีโผล่มาตรงหน้าติณห์โบกมือไปมา
“เฮลโหล๋วๆๆ..เป็นอะไร อยู่ๆเอ็งก็ไม่เห็นไม่ได้ยินข้าซะดื้อๆ”
“หรือว่าพี่ติณห์จะเศร้าจนประสาทสัมผัสมืดบอดหมดแล้ว”
ทันใด วิญญาณทั้งคู่ก็หันขวับไปหน้าบ้าน สัมผัสได้ว่ามีคนมา เบญจาถือถาดยาเข้ามา
“มาทำไม!! อ๋อ... กลับไปได้เลย ช้ำแค่นี้ ไอ้ติณห์มันไม่ตายหรอก”
“กลับหลังหัน แอนด์โกโก”
โกลเดนเบบี๋พูดแล้วไปหลบหลังคุณหลวง
“แอนด์โกโก้ เออ ข้ารู้สึกชอบคำนี้จัง แอนด์โกโก้ๆ อะโกโก้ๆ”
“พี่ติณห์คะ”
บญจาเรียกหา จนกระทั่งมองไปเห็นติณห์ยืนหลบมุมต้นไม้ เบญจาวางถาดยาที่โต๊ะ แล้วเดินเข้าไปที่มุมนั้น พบว่าติณห์กำลังปล่อยโฮแบบหมดสภาพเพราะคิดถึงญาณิน เบญจายืนเหวอ
“พี่ติณห์”
ติณห์อึ้ง พยายามกลั้นโฮ หันหนี
“เธอ..มาทำไม..ไป”
“พี่ติณห์เป็นอะไรคะ”
“มันธุระอะไรของเธอ..ไป”
ติณห์คว้าแขนลากเบญจาจะให้ไปให้ได้ แต่เธอดื้อ กระชากแขนตัวเองออกมาจนได้
“หนูไม่ไป พี่ติณห์ไม่ควรอยู่คนเดียว เพราะพี่จะจมอยู่กับความคิดตัวเองแล้วก็ฟุ้งซ่าน ฟูมฟาย มันไม่มีอะไรดีกับชีวิตเลย พี่ควรจะมีใครสักคนอยู่เป็นเพื่อน”
“ชั้นไม่ต้องการ”
ติณห์จะคว้าตัวเบญจาออกไป แต่เธอหลบ
“เชื่อเถอะว่าการมีคนอยู่รับฟัง มันจะดีกับพี่”
แต่จังหวะที่ติณห์คว้าตัวได้กระชากเบญจาอย่างแรงจนเสียหลักพุ่งเข้ามาในอ้อมอกติณห์ ทั้งสองคนใกล้ชิด แนบสนิท สบตากัน
เบญจาจะดึงตัวเองออก แต่ติณห์กลับจับตัวเอาไว้ ไม่ปล่อย
“ให้หนูอยู่ดูแลพี่ติณห์นะ หนูเป็นห่วงพี่นะ”
“เป็นห่วง”
“ค่ะ พี่ติณห์เป็นคนดี...หนูไม่อยากเห็นพี่เศร้าและทำร้ายตัวเองอย่างนี้ หนูอยากให้พี่ยิ้มหัวเราะและมีความสุขมากกว่า”
ติณห์ดึงเบญจาเข้ามากอดด้วยความซึ้งใจ เบญจาอึ้งงง สองมือที่เก้ๆกังๆอยู่ สุดท้ายก็วางลงบนแผ่นหลังของติณห์ กอดตอบเบาๆ สักพัก ติณห์เคลื่อนตัวออกมา ใบหน้าใกล้ชิด สบตาเคลิ้มหลงใหล
วิญญาณทั้งสองต้องผงะ แทบปิดตาไม่ทันกับภาพที่เห็น
“เฮ้ยๆๆๆ จะทำอะไร อย่านะ”
“นี่มันเรตฉอฉิ่งชัดๆ ผู้ชายกับผู้หญิงใกล้ชิดกันทีไรเป็นเรื่องทุกที”
ติณห์มองตา มองริมฝีปากโน้มเข้าใกล้ เบญจาชะงัก ถอยหน้าหนีเล็กน้อย
“พี่ติณห์ จะทำอะไร”
ติณห์ไม่ตอบ สายตาเคลิ้ม โน้มหน้าเข้าไปใกล้อีก
หลวงพิชัยภักดีบอก
“อย่านะ..อย่าหลับตา หลับทีไรเป็นเรื่องแน่”
ไม่ทันขาดคำ เบญจาก็หลับตาลง พร้อมจะยอมให้จูบ แต่ในจังหวะที่ปากเกือบชนกัน ติณห์ดันผละออก หักห้ามใจตัวเองได้
“ไม่”
เบญจาลืมตา เหวอ งง
“เธอไปได้แล้ว”
“พี่ติณห์”
“ชั้นไม่ต้องการเธอ ไม่ต้องการใครทั้งนั้น ชั้นรักญาณินคนเดียว ไม่มีอะไรมาทำให้ชั้นหมดรักญาณินได้”
เบญจาอึ้ง
ติณห์ตวาด ขับไล่
“ออกไป..ออกไป”
ติณห์เดินหนี หลวงพิชัยภักดีกับโกลเดนเบบี๋เฮลั่น
“เยส”
“ต้องได้อย่างนี้สิหลานข้า เย้ๆๆ”
เบญตาอึ้ง โกรธแค้นญาณิน
“ไม่มีอะไรจะทำให้หมดรักได้งั้นเหรอ...หึ!! เดี๋ยวชั้นจะทำให้พี่ติณห์หมดรักญาณินเอง”
มุมหนึ่งในป่า อีกาบินมาเกาะคาคบไม้หนึ่ง ส่งเสียงร้อง
เบญจาเดินฟึดฟัดหัวเสีย ผ่านตรงไหนตลอดทางเดินตรงนั้น ก็มีนกร่วงตกลงมาตาย เธอมาหยุดที่ริมน้ำ ในน้ำก็มีฟองอากาศปุดๆ แล้วปลาตายก็ลอยขึ้นมาจากใต้น้ำ
บญจาเปิดกระเป๋าประจำตัว หยิบรูปหล่อของพ่องั่งแม่งั่งตาแดงเนื้อสัมฤทธิ์ออกมา เธอเอารูปหล่อนั้นมาไล้ไปตามต้นแขนคอ พึมพำคาถา
“พ่องั่งแม่งั่ง พี่ติณห์ต้องรักชั้น หลงชั้น อยากได้ชั้น พี่ติณห์ต้องรักชั้น หลงชั้น อยากได้ชั้น”
อีกาบินลงมายืนที่พื้นตรงหน้าเบญจา แหกปากร้องก๊าใส่เบญจา ซ้ำๆ
ทันใด รูปหล่อพ่องั่งแม่งั่งก็ดวงตาแดงวาบ กระพริบราวกับเป็นการตอบรับ แล้วพลันก็เกิดเสียงหัวเราะของชาย-หญิงประสานกัน เป็นเสียงแหลม รูปหล่อนั้นมีชีวิต โดดเข้าหาร่างกายของเบญจา เคลื่อนที่ไปทั่วตัวอย่างรวดเร็ว เบญจาเนื้อตัวสะท้าน กระตุกๆ ก่อนพ่องั่งแม่งั่งจะมุดหายเข้าไปในร่มผ้า
เบญจาทำหน้าเคลิ้ม ก่อนจะตาเบิกกว้าง โตแต่ไร้แวว ดวงตาก็กลายเป็นสีแดงกระพริบแบบตาของพ่องั่งแม่งั่ง
เนตรสิตางศุ์เดินเข้าบ้านอย่างกระตือรือร้นมาที่โต๊ะกินข้าว ในมือเปิดอ่านตำราทำอาหารเล่มใหม่มาด้วย ตื่นเต้นที่จะลองเมนูใหม่ๆของเย็นวันนี้
“เย็นนี้ทำข้าวผัดชาเขียวไข่มุกดีกว่า พี่ณัฐต้องชอบแน่ๆ”
เธอวิ่งเข้าไปในครัว แต่แล้วต้องชะงัก เพราะภายในครัว สุพิชชากำลังทำอาหารอยู่ เธอแปลกใจ
สุพิชชายิ้มแย้ม
“อ้าว กลับมาแล้วเหรอจ๊ะเนตร หิวแล้วใช่มั้ย ไปนั่งรอที่โต๊ะเลย พี่ขออีก ยี่สิบนาที”
“คุณพีช ทำไม...”
ณัฐเดชเดินเข้ามาพอดี
“ยัยเนตร...มายืนเกะกะอะไรพี่พีชตรงนี้”
“เอ้า ไปว่าน้องทำไมคะ น้องเนตรเพิ่งจะเข้ามาเองค่ะ”
“ก็ผมกลัวไม่ได้ทานของอร่อยๆนี่คะ”
ณัฐเดชโอบเอวสุพิชชาแตะเบาๆ อย่างใกล้ชิด
“หืม ทำอะไรอ่ะคะ หอมน่าทานมากๆ ขอชิมหน่อยได้มั้ย”
สุพิชชาตีมือเบาแบบหยอก
“ไม่ได้ค่ะ ยังไม่เสร็จเลย”
“ใจร้ายอ่ะ”
สุพิชชาหัวเราะ
“ไปเลยค่ะ ไปรอที่โต๊ะนู้น...น้องเนตรคะ ช่วยเอาตัวพี่ชายตัวแสบออกไปทีเถอะคะ ไปๆๆ”
“ฟ้องเหรอ”
ณัฐเดชจี้เอว สุพิชชาบิดตัวหลบ หยอกเอินกัน หัวเราะกันร่าเริง เนตรสิตางศุ์ช็อก ทำไรไม่ถูก ก่อนจะกลายเป็นฉุน คว้าแขนณัฐเดช กระชากลากออกไปทันที สุพิชชางง ยิ้ม ไม่ได้แคร์อะไร
เนตรสิตางศุ์ลากพี่ชายออกมาด้านนอก
“เบาๆๆ”
“พี่ณัฐ คุณพิชมาทำอะไรบ้านเรา”
“อ๋อ เอ้อ พี่ลืมบอกไป คือช่วงนี้ พี่งานยุ่งไม่ค่อยจะมีเวลาดูแลบ้าน ปล่อยเราทำคนเดียวมาตลอด พีชก็เลยอาสามาช่วยดูแลให้”
“ดูแลอะไรคะ”
“ก็ดูแลบ้าน ดูแลความเรียบร้อย นั่นนี่ จิปาถะ ดูสิ...ไม่ทันไร บ้านสะอาดและเป็นระเบียบขึ้นตั้งเยอะ ต่อไปเราก็ไม่ต้องเหนื่อยทำอาหารเองแล้ว พีชทำอาหารอร่อยมากเลยนะ”
“แล้วอาหารที่เนตรทำล่ะคะ พี่ณัฐจะทำอะไรทำไมไม่ปรึกษา”
ณัฐเดชอึ้ง เธอโวยไม่ทันจบ สุพิชชาก็เดินถือถาดอาหารที่ทำเสร็จแล้วออกมา เป็นพวกพาสต้า สลัด ซุป
“มาแล้วค่าๆๆ เอ้า ทำอะไรกันอยู่คะสองพี่น้อง ทำไมไม่นั่งประจำที่ หรือว่ายังไม่หิว.. นับหนึ่งถึงสามใครไม่นั่ง อด...หนึ่ง”
ณัฐเดชรีบไปนั่งที่ตามคำสั่งทันที
“เนตร นั่งสิ เดี๋ยวอดหรอก”
เนตรสิตางศุ์กำลังจะไปนั่งที่ประจำของตัวเอง แต่สุพิชชาทักขึ้นมาก่อน
“อ๊ะ ตรงนั้นที่นั่งของพี่จ้ะ”
“คะ เนตรนั่งตรงนี้ประจำนะคะ ใช่มั้ยคะพี่ณัฐ”
“แต่พี่ต้องนั่งตรงนี้ เพราะมันลุกนั่งสะดวก เวลาพี่ณัฐหรือเนตรอยากจะเอาอะไรเพิ่มเติม พี่จะได้บริการได้ไงจ้ะ เราน่ะ นั่งกินเฉยๆ นั่งตรงไหนก็ได้ ไปนั่งตรงนั้นไป”
สุพิชชาไล่ เธออึ้ง หันไปมองพี่ชาย ขอความเห็น
“หรือเราอยากจะเป็นคนบริการพี่กับพี่พีช”
เธอจำใจต้องขยับไปนั่งเก้าอี้อีกตัว
“เราเริ่มทานเลยดีมั้ยคะ”
ณัฐเดชให้ความร่วมมือกระตือรือร้นทุกอย่าง ในขณะที่เธอนั่งนิ่ง ได้แต่มองอาการทั้งคู่ ไม่อยากมีส่วนร่วมด้วย
ทันใด หมอวรวรรธก็โผล่พรวดเข้ามาอย่างร่าเริง
“มาแล้วครับ เนตรทำอาหารเย็นเสร็จยังครับ”
แล้วสีหน้าหุบลงอย่างทันที … “พีช”
สุพิชชาดีใจ เนตรสิตางศุ์รีบฉวยโอกาสลุกทันที
“คุณหมอพาเนตรไปข้างนอกหน่อยสิคะ”
ณัฐเดชถาม
“เนตร...เพิ่งกลับมาจะออกไปไหนอีก”
สุพิชชารีบลุกตาม
“ทำไมไม่ชวนคุณหมอวรรธทานด้วยกันเลยล่ะ พี่ทำเผื่อเอาไว้แล้ว”
วรวรรธกำลังจะปฏิเสธ แต่สุพิชชาตัดบท
“จริงมั้ยคะพี่ณัฐ”
“จริงด้วย อยู่ทานด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาบ้างเถอะหมอวรรธ..นั่งๆๆ”
ณัฐเดชลุกเชิญ จัดแจงให้นั่งร่วมโต๊ะ วรวรรธอึ้ง ปฏิเสธไม่ออก
ที่รีสอร์ต ติณห์โยนกระเป๋าเสื้อผ้าใส่ท้ายรถ โครม! มิรันตีรีบร้อนวิ่งออกมา ทนายสมชาติตามมาด้วย
“ติณห์ ลูกจะไปไหน”
“มัม..ผมไม่มีอะไรต้องรับผิดชอบแล้ว รีสอร์ตก็มีมัมดูแล...ผมขอไปอยู่ในที่ๆผมสบายใจ ดีกว่า”
“แล้วอยู่ที่นี่มันไม่สบายใจเหรอครับ” สมชาติถาม
“ลูกจะไปง้อยัยยิปซีเหรอ”
“อาจจะใช่ หรืออาจจะไม่ใช่”
ติณห์ปิดท้ายรถ พร้อมจะไป
“ติณห์...หนูเบญจาเขาออกจะดี ทำไมแกไม่มองน้องเขาบ้าง ไม่รู้ล่ะ แม่ไม่ให้ลูกไป”
หลวงพิชัยภักดีบอก
“ยัยมิรันตีนี่ก็จะยัดเยียดเมียใหม่ให้ไอ้ติณห์จริงๆ”
“เจ๊จีจ้าดีกว่าเห็นๆ”
“มัม...มัมห้ามผมไม่ได้หรอกครับ”
มิรันตียื้อประตูรถ ไม่ให้ขึ้น
“แม่ไม่ให้ไป...ทนายสมชาติ มาช่วยกันหน่อย”
สมชาติเข้าไปช่วยห้ามติณห์อีกคน
แต่ทันใด อยู่ๆลมแรง ฟ้าวูบวาบ กลุ่มเมฆเคลื่อนบังแสง ทุกคนแปลกใจกับการเปลี่ยนแปลง กะทันหัน
“เมฆอะไร มาจากไหนวะเนี่ย”
“ฝนตกแน่ๆเลยตา”
“เมฆขนาดนี้ข้าว่ามันมากกว่าฝนอะนะ”
ทันใด ฟ้าผ่าเป็นทางยาว ดังเปรี้ยงสนั่นไปทั่ว ทุกคนสะดุ้ง ติณห์รีบฉวยโอกาสที่มิรันตีตะลึงกับเมฆบนฟ้ารีบไปขึ้นรถทันที สมชาติหันมาเห็น รีบตามไปเคาะกระจก
“อ้าว คุณติณห์ ติณห์ ลงมานะ ลงมาครับ”
ติณห์ไม่สนใจเสียงห้าม กำลังจะออกรถ อยู่ๆวงจรไฟฟ้าต่างๆของรถกลับทำงานด้วยตัวเอง ที่ปัดน้ำฝน วิทยุ แอร์ ทุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้เลย เข็มไมล์บนหน้าปัดกระดิกไปจนสุด ตีดิกๆๆ ทั้งๆที่รถจอดนิ่ง ราวกับระบบรวนเพราะพลังงานที่มองไม่เห็น ติณห์พยายามจะปิด จะควบคุม แต่ทำไม่ได้ แล้วพอเงยหน้าขึ้นมา มองอีกที ติณห์ต้องงง ตะลึงงัน มีหมอกหนาทึบปกคลุมไปทั่ว มิรันตี สมชาติ ใครต่อใคร หายไปหมดแล้ว
ติณห์รีบลงจากรถ มองหามิรันตี
“มัม..มัมอยู่ไหนทนายสมชาติ หมอกพวกนี้มาจากไหนกัน...มัม”
ขณะที่ติณห์กำลังเรียกหาทุกคน อยู่ๆมีเงาตะคุ่มๆของคนๆหนึ่งอยู่ภายในหมอก กำลังเดินตรงมา เห็นดวงตาสีแดงวาบๆชัดเจน ติณห์มองจ้องไปที่เงานั้น ราวกับถูกตรึงสายตา คนๆนั้นคือเบญจา
ติณห์จ้องตาเบญจา สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคลิ้ม รักหลง แบบควบคุมตัวเองไม่ได้
“เบญจา”
เบญจายืนตรงหน้า
“พี่ติณห์คะ...มีอะไรอยากจะบอกกับหนูหรือเปล่า”
“พี่รักเบญจา รักมาก”
ติณห์ดึงเบญจาเข้ามากอดแล้วจะจูบ แต่เบญจาเอามือห้ามไว้ก่อน มองอย่างยั่วล้อ ทอดสะพาน ปั่นหัว
“รักมากแค่ไหน พูดให้ชัดๆสิ”
“มากกว่าชีวิตพี่...มากกว่าเงินทอง มากกว่าผู้หญิงทุกคนที่พี่เคยผ่านมา มากกว่าญาณิด้วย ชีวิตพี่ขาดเบญจาไม่ได้”
เบญจาพอใจกับคำตอบจึงลดมือที่ห้ามไว้ลง ติณห์ดึงเบญจามาประทับจูบกลางสายหมอก
ความจริง... ติณห์ยืนอยู่กับมิรันตี เธอเห็นลูกนิ่งไปก็ถาม
“ติณห์...ได้ยินที่แม่พูดมั้ย แม่ไม่ให้ลูกไป”
ติณห์เพิ่งได้สติ
“เบญจา...เบญจาอยู่ไหน...เบญจา”
ติณห์เรียกร้องมองหาเบญจาให้ควั่ก จนมิรันตีกับสมชายงงกับท่าทางที่เปลี่ยนไป
หลวงพิชัยภักดีกับโกลเดนเบบี๋ร้อง
“ห๊า...เบญจา”
แต่แล้ว ติณห์ก็พบว่า เบญจาเดินยิ้มโปรยเสน่ห์เข้ามาด้านหนึ่ง เขาตะลึงงัน ยิ้มแฉ่ง ยินดีแบบสุดๆ รีบถลาเข้าไปหา
“เบญจา”
ติณห์กอดเบญจาแนบแน่น
“ผมจะไม่จากคุณไปไหนแล้ว เบญจา ผมรักคุณ ผมรักคุณ”
เบญจายิ้ม กระหยิ่ม
“เฮ้ย อะไรของมัน ทำไมมันกลับตาลปัตรแบบนี้วะ”
“เขาไปรักกันตอนไหนอ่ะคุณตา”
อ่านต่อหน้า 2
สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 11 (ต่อ)
บนโต๊ะอาหาร สุพิชชายกชามซุปมาวางให้หมอวรวรรธที่นั่งตัวเกร็ง เบี่ยงตัวหลบ เมื่อเธอโน้มตัวมาใกล้แบบไม่หวงเนื้อหวงตัวเลย เธอวางมือบนหลังวรวรรธเบาๆ ใช้นิ้วเขี่ยสะกิดๆ หลังจึ้กๆ
“ทานให้อร่อยนะคะ”
หมอวรรธสะดุ้งเฮือก หลังตรง สุพิชชายิ้มแล้วไปนั่งที่ฝั่งตรงข้ามกับวรวรรธมองตาอย่างมีนัยยะลึกซึ้ง เธอขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งเป็นไขว้ห้าง วรวรรธรีบหดเท้ามาชิดเก้าอี้ นั่งเกร็ง
“เป็นอะไรไอ้หมอ นั่งสบายๆก็ได้”
“ไม่ได้...เอ๊ย นี่แหละ นั่งอย่างนี้สบายที่สุดแล้วครับ”
“รีบๆทานเถอะค่ะ จะได้เสร็จๆ”
ณัฐเดชบอก
“เอ้าๆ ทานเลยๆ”
ณัฐเดชทาน แล้วส่งเสียงอื้ม อ้า บ่งบอกว่าอร่อยมากๆ
“อร่อยมากเลยพีช”
“จริงเหรอคะ ดีใจจังที่พี่ณัฐชอบ...หมอตาหนูไม่เห็นทานเลยค่ะ ไม่อร่อยเหรอ”
“เอ่อ คือ ผมไม่ค่อยหิวน่ะครับ”
“งั้นดีเลยค่ะ... พีชทำพั้นช์ผลไม้เอาไว้ เดี๋ยวพีชเอาออกมาเสิร์ฟเลยดีกว่า”
“ให้ยัยเนตรไปช่วยก็ได้นะครับพีช”
“จะไปรบกวนเวลาทานของน้องเนตรทำไมล่ะคะ ให้หมอตาหนูไปดีกว่า”
หมอวรวรรธสะอึก ช้อนแทบหลุดมือ
“ก็คุณไม่หิวไม่ใช่เหรอ”
เนตรสิตางศุ์มองเขม็ง
“หา เอ่อ คือ...”
“ไปสิไอ้หมอ เป็นไร มีอะไรเหรอ”
“เอ่อ ไม่มีครับ”
“งั้นก็ลุกสิครับ เอ้าเนตรทานเยอะๆสิ อร่อยนะ”
วรวรรธจำใจต้องลุกเดินตามสุพิชชาไป สีหน้าเหมือนจะถูกพาไปเชือด ณัฐเดชทานอาหาร พอเงยหน้ามาเจอเน้องสาวจ้องรออยู่
“พี่ณัฐ...เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
สุพิชชาเดินนำเข้ามาในครัว วรวรรธตามมาแบบรักษาระยะห่าง เธอหยิบถุงน้ำแข็งออกมาส่งให้
“ตาหนูช่วยทุบน้ำแข็งให้ทีนะคะ”
สุพิชชายิ้มหยิบเหล็กสำหรับทุบน้ำแข็งมายื่นให้ วรวรรธเอื้อมมือจะรับ แต่สุพิชชากลับคว้ามือเขากุมไว้ หมอวรวรรธอึ้ง
“คุณจะทำอะไร”
“ชู่ว์...ไม่กลัวข้างนอกได้ยินเหรอคะ”
“คุณทำแบบนี้ ไม่ดีนะ”
“แบบไหนเหรอคะ”
สุพิชชาเอื้อมมือไปแตะต้นแขนวรวรรธ หน้าซื่อๆ เขาชักสยองวางที่ทุบ จะกลับออกไป
“ผมไปดี...”
แต่สุพิชชาไวกว่า ขยับเข้ามาประชิดติดตัววรวรรธทันที
“ทุบน้ำแข็งให้เสร็จก่อนสิคะ”
หมอวรวรรธอึ้งๆ
บนโต๊ะอาหาร เนตรสิตางศุ์พูดจาขึงขัง
“พี่ณัฐจะให้คนอื่นเข้ามาอยู่ในบ้าน ทำไมไม่ปรึกษาเนตรก่อน บ้านนี้พี่ณัฐไม่ได้อยู่คนเดียวนะคะ”
“ยัยน้องหนู ทำไมต้องมีปัญหากับเรื่องแค่นี้ด้วย พีชเขาอุตส่าห์จะมาช่วยเรานะ”
“ถามเนตรสักคำมั้ยคะ ว่าเนตรอยากให้ช่วยหรือเปล่า”
“จะเสียงดังทำไม เดี๋ยวพีชได้ยิน ก็เสียน้ำใจหมด”
“เดี๋ยวนี้พี่ณัฐแคร์คนอื่นมากกว่าน้องตัวเองแล้วเหรอคะ”
“เรานี่มีปัญหาจริงๆ เอาแต่ใจ นิสัยเสีย เหมือนที่พีชบอกไว้ไม่มีผิด ดีแล้ว ให้พีชมาอยู่ด้วย จะได้ช่วยจัดระบบระเบียบบ้านและคนใหม่”
“พี่ณัฐ”
“หยุดโวยวายได้แล้ว..กิน”
เนตรสิตางศุ์จ้องขัดใจ ไม่ชอบใจ
หมอวรวรรธยังคงยืนประจันหน้ากับสุพิชชา
“พีช...คุณคบพี่ณัฐอยู่ แล้วทำอย่างนี้ทำไม”
“ก็อยากทำ”
สุพิชชาคว้ามือวรวรรธขึ้นมากุม อย่างท้าทาย
“คิดบ้างมั้ยว่าถ้าพี่ณัฐรู้ ว่าคุณทำอย่างนี้กับผม จะเกิดอะไรขึ้น”
“ถ้าพี่ณัฐรู้ว่าหมอตาหนูแอบจับมือพีช จับแก้ม จับริมฝีปากพีช พี่ณัฐก็คงจะโกรธมาก เพราะเขาอุตส่าห์ไว้ใจหมอ ฝากน้องสาวตัวน้อยๆให้หมอ ช่วยดูแล หมอก็คงจะถูกพี่ณัฐเกลียด และถูกห้ามไม่ให้มาเจอน้องเนตรอีก” สุพิชชาพูดพลางไล้มือจับตามตำแหน่งที่เอ่ยถึง
“พีช”
“อุ๊ย แล้วถ้าน้องเนตรรู้เข้าอีกคน ก็อาจจะหมดความไว้วางใจในตัวหมออีกเลย”
“คุณขู่ผมเหรอ”
สุพิชชาโน้มตัวเข้าซบอกหมอวรวรรธ
“พีชเป็นแฟนพี่ณัฐ หมอเป็นแฟนเนตร เราก็เหมือนครอบครัวเดียวกัน พีชแค่อยากให้เราเข้ากันได้”
วรวรรธได้แต่ยืนทื่อ ทำอะไรไม่ได้
ทันใด เสียงเนตรสิตางศุ์ก็ดังเข้ามา
“หมอคะ”
เธอผลุนผลันเข้ามา เห็นจังหวะที่ทั้งคู่ผละออกพอดีอย่างฉิวเฉียด ไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มองสุพิชชาที มองหมอวรวรรธที ว่ามีอะไรกัน
“มีอะไรกันหรือเปล่าคะ”
“หมอวรรธน่ะสิ ทุบน้ำแข็งแค่นี้ก็ทำไม่เป็น ตล๊กๆตลก รอแป๊บนึง นะจ๊ะน้องเนตร”
“ตามสบายเถอะค่ะ เนตรจะไปข้างนอกแล้ว หมอคะ ไปกันเถอะค่ะ”
“ครับๆๆ”
ณัฐเดชตามเข้ามา
“เนตร...ทานให้เสร็จแล้วค่อยไป พี่พีชอุตส่าห์ตั้งใจทำ อย่าเสียมารยาท”
“เนตรไม่ทาน”
เธอแหวกพี่ชายออกไป และลากหมอวรวรรธออกไปด้วย
“ยัยเนตร!!..เดี๋ยวนี้ฤทธิ์มากขึ้นเยอะ พี่ขอโทษด้วยนะคะพีช”
สุพิชชาจ้องตามไป แค้น หมั่นไส้ กระหยิ่ม
บริเวณรีสอร์ตติณห์ เวลาเย็นต่อเนื่อง ติณห์ขี่ม้า โดยมีเบญจานั่งอยู่ข้างหน้า ทั้งคู่โอบกอดกัน เดินตัดผ่านทุ่งหญ้าสวยงาม ชี้ดูนั่นดูนี่ ทั้งสองคนยิ้มแย้ม หัวเราะให้กัน มีความสุขมากๆ
มุมหนึ่งในรีสอร์ต มิรันตียืนมองอยู่กับทนายสมชาติ แล้วหยิบมือถือมาถ่ายรูป
“ดูสิคุณทนาย...สองคนนี้ดูเหมาะสมกันมากๆเลย น่ารักอ่ะ”
“ทีแรกคุณติณห์ดูออกจะรังเกียจๆเบญจา แล้วอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นทะนุถนอมแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมอย่างนี้ ผมว่ามันแปลกๆนะครับ”
“ในความเกลียดมีความรัก ยิ่งเกลียดมากก็ยิ่งรักมากไง คุณทนายไม่เข้าใจความรักเลย”
หลวงพิชัยภักดีกับโกลเดนเบบี๋โผล่เข้ามา
“ไม่จริง...ไอ้ติณห์ไม่มีวันรักใคร นอกจากหนูญาณินคนเดียว”
“หนูเกลียดพี่ติณห์”
ติณห์ขี่ม้ามาตรงหน้ามิรันตี แล้วกระโดดลงมา เอื้อมมืออุ้มเบญจาลงมาจากหลังมาอย่างสวยงาม น่าประทับใจ
“ทำไมรีบเลิกขี่ม้ากันนักล่ะ”
“พอดีน้องเบญจาท้องร้องน่ะครับ ร้องดังมากๆ ผมก็เลยต้องรีบไปเข้าครัวทำอาหารให้ทาน ก่อนที่น้องจะโมโหหิว”
“แน๊ ขี้ตู่ ใครหิวกันแน่คะ”
“นั่งไง โมโหแล้ว ต้องรีบไปหาอะไรทานด่วนที่สุด ผมขอตัวก่อนนะครับมัม ก่อนที่ผมจะเอาชีวิตไม่รอด”
ติณห์อุ้มเบญจาเดินไป สองคนคิกคักหัวเราะๆ มิรันตีปลื้ม ดีดดิ้นชอบใจสุดๆ
“คุณทนาย คู่นี้น่ารักอ่ะ น่ารักๆๆ”
หลวงพิชัยภักดีไม่พอใจ ดีดดิ้นแทบคลั่ง
“ข้าไม่ยอมๆๆๆ ทำไมมันถึงชอบหลงหญิงอื่นมากกว่าหนูณิน”
“ตอนนั้นก็หลงแม่เพนนี ตอนนี้ก็... เฮ้ย!! ใช่ อาการหลงหัวปักหัวปำอย่างนี้ มันเหมือนตอนที่พี่ติณห์ถูกยัยเพนนีทำเสน่ห์”
“ทำเสน่ห์”
หลวงพิชัยภักดีตาโตเ มื่อคิดได้ถึงเรื่องทำเสน่ห์
เวลาค่ำ ญาณินเดินถือโทรมือถืออยู่ในกลาสเฮ้าส์ เธอกำลังลังเลใจว่า จะโทรไปหาติณห์ดีไหม สุดท้ายไม่โทร. แล้วลงนั่งถอนใจที่เก้าอี้ กรรณาเดินเข้ามาพอดี เห็นญาณินนั่งเหม่อลอย
“ไม่ต้องห่วงคุณติณห์หรอกเจ๊”
“กรรณ!”
“ถึงชั้นจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องรักเดียวใจเดียวของพวกผู้ชายนะ แต่ชั้นใช้ทฤษฎีนี้กับคุณติณห์ไม่ได้... คุณติณห์เป็นคนดีและเขาก็รักเจ๊มาก”
“แต่ชั้นก็ยังอดเป็นห่วงเขาไม่ได้ เขาอยู่คนเดียวกับคนที่เราไม่รู้ประวัติ แถมยังมีอาคม น่ากลัวอยู่ในตัว คุณติณห์พลาดนิดเดียว...เสร็จมันแน่”
“เจ๊สอนคุณติณห์นั่งสมาธิแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ใช่...สมาธิจะทำให้เขาจะมีสติมีปัญญาที่จะช่วยคุ้มครองเขา”
“ถูกต้องแล้วเจ๊... คนดีก็คือคนดีวันยังค่ำ ธรรมะย่อมคุ้มครอง อวิชชาจะไม่สามารถทำอะไรคุณติณห์ได้”
ญาณินพยักหน้า ใจชื้นขึ้นมา ทั้งสองกอดกัน
ในครัว บ้านพักติณห์ เวลาค่ำ ติณห์กำลังคนเส้นสปาเก็ตตี้ที่ต้มอยู่ในหม้อ สายตามองเบญจาที่อยู่หน้าเตากำลังปรุงรสครีมซอส ติณห์ยิ้มให้เบญจาตลอด เบญจาเขินๆ ทำท่าน่ารัก ปรุงอาหารไป
โกลเดนเบบี๋โผล่มาตรงกลาง บังสายตา แต่ติณห์ยังคงยิ้มแฉ่ง
“ชัวร์ จ้องกันยิ่งกว่าปลากัดแบบนี้ เพราะถูกทำเสน่ห์แน่ๆ”
“ไอ้ติณห์มีสติหน่อย เอ็งปฏิบัติสมาธิจนสื่อสารกับข้าได้แล้ว กะอีแค่เสน่ห์ มนต์ดำชั้นต่ำ เอ็งต้องเอาชนะมันได้สิ”
“ตา...ถ้าเขามีอาคม ยังงี้เขาจะรู้ว่าเราอยู่ตรงนี้มั้ยอ่ะ”
“เออ จริง”
วิญญาณทั้งคู่เพิ่งนึกได้ ชะงัก ทันใด … เบญจาหันขวับมา แล้วมองผ่านทั้งคู่
“พี่ติณห์คะ...ช่วยหยิบเกลือให้หน่อยสิคะ”
“ได้เลยค่ะ”
คุณหลวงใช้พลังผลักขวดเกลือให้ขยับ ติณห์หยิบพลาด
“เอ้ย...”
ติณห์ไล่ตะครุบขวดเกลือทั้ง2มือจนหยิบได้
“ว๊าก”
“มีอะไรคะพี่ติณห์”
“เปล่าจ้ะ”
ติณห์เข้าด้านหลัง โอบเบญจาเอาไว้ แล้วจึงเหยาะเกลือ
“พี่ติณห์อ่ะ”
“ก็เหยาะเกลือไงคะ”
หลวงพิชัยภักดีโวยวาย
“ฮึ่ย ไอ้นิสัยกะล่อนฉวยโอกาส ไปเอามาจากไหน”
“ก็เอามาจากตานั่นแหละ”
“มิน่าคุ้นๆ”
เบญจาจับมือที่ถือขวดเกลือออก
“พอแล้วค่ะ เดี๋ยวเค็มพอดี”
ติณห์หยุดเท ทั้งสองคนหัวเราะกัน เบญจาคนๆ แล้วตักด้วยช้อนชิม กลับหลังหันมาหาติณห์
“ชิมสิคะว่าใช้ได้หรือยัง”
ติณห์อ้าปากให้เบญจาป้อน
“อื้ม เยี่ยมยอดที่สุดเลยค่ะ”
“เดี๋ยวเบญจาดูเส้นก่อนนะคะว่าสุกหรือยัง”
“เชิญตรวจงานได้เลยค่ะ”
เบญจาไปดูเส้น
หลวงพิชัยภักดีคิดหาทางช่วยติณห์
“จะทำยังไงดีไอ้ติณห์ถึงจะหลุดจากอาคม”
ระหว่างนั้น เบญจาตักเส้นขึ้นมาพันๆเป็นก้อน
“น้องเบญจะทำอะไรคะ”
“ทดสอบว่าเส้นสุกแล้วหรือยังน่ะค่ะ”
เบญจาเขวี้ยงเส้นไปใส่กำแพง ด้านที่หลวงพิชัยภักดีอยู่ โบ๊ะ! เส้นสปาเก็ตตี้ติดผนังหนึบ
“ติดหนึบ แสดงว่าสุกแล้ว ทานได้ค่ะ”
ติณห์ดีใจ หลวงพิชัยภักดีและโกลเดนเบบี๋ที่ยืนอยู่ตรงนั้น มีเส้นสปาเก็ตตี้แปะติดหัว หน้าตาเซ็ง แค้นสุดฤทธิ์
ติณห์กับเบญจาช่วยกันยกอาหารออกมา วางจัดบนโต๊ะ เบญจาถอดกระเป๋าถือประจำตัววางไว้ที่เก้าอี้ แล้วนึกขึ้นได้
“เดี๋ยวไปเอาพริกไทยมาให้นะคะ”
เบญจาหายเข้าไป ติณห์มองที่กระเป๋าของเบญจา แต่ยังไม่ได้ทำอะไร เบญจาก็วกกลับมาก่อน
“พี่ติณห์ไปตามคุณแม่มาทานด้วยกันสิคะ”
ติณห์ยิ้มรับ
“คะ งั้นพี่ไปตามมัมนะ”
ติณห์รีบออกไป
ติณห์เดินแยกออกมา มุมด้านหลังบ้าน ห็นว่าทางสะดวก ก็หยิบมือถือขึ้นมากดโทร.ออก
“ฮัลโหล...คุณณิน”
มุมหนึ่งภายในบริษัทซิกส์เซนส์ ญาณินพูดโทรศัพท์อยู่
“นายเป็นยังไงบ้าง ปลอดภัยดีใช่มั้ย... อะไรนะ ยัยเบญจาทำเสน่ห์ใส่นายงั้นเหรอ”
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าเขาใช้คาถาอาคมอะไร แต่ความรู้สึกมันใช่ เหมือนตอนที่เพนนี ทำผมเลยคือ เวลามองหน้าเบญจาแล้วมันรู้สึกวูบวาบ มึนๆเ คลิ้มๆ เขาทำอะไรก็ดูดี น่ามอง พูดอะไร ก็ไพเราะ น่าฟัง ยิ้มก็สวย เวลาหัวเราะยิ่งน่ารัก”
“พอๆๆ ทำไมต้องพูดจาฝันหวานถึงกันอย่างนั้นด้วย”
“ผมฝันหวานเหรอ”
“มากๆเลยล่ะ...นายไม่ได้หลงเสน่ห์เบญจาจริงๆหรอกใช่มั้ย”
“ผมก็ไม่แน่ใจ”
“คุณติณห์”
“ห่วงผมอ่ะดิ จะบอกให้ว่าเสน่ห์ที่คุณทำใส่ผมน่ะ ขลังสุด ยิ่งกว่าของเบญจากอีก”
“นี่ยังมาทำเล่นอีก”
ติณห์หยิบผ้ายันตร์ที่พกใส่กระเป๋าไว้ออกมา
“จ้ะๆ...ต้องขอบคุณผ้ายันตร์ของคุณรส ที่ช่วยคุ้มครองผม แต่ก็ไม่รู้ว่าจะรอดไปได้อีกนานแค่ไหน”
“ชั้นกำลังสืบหาที่มาของเบญจาอยู่ ตอนนี้คุณต้องอดทน เล่นละครต่อไปก่อน อย่าให้ เบญจาจับได้ และอย่าอินมาก เข้าใจมั้ย”
“ผมทำไม่ได้หรอก เว้นแต่คุณจะลงของให้ผมเพิ่ม..รักผมมั้ย”
“นี่คุณ”
“อย่าบ่ายเบี่ยง ไม่งั้นผมหลงเบญจาจริงๆนะ..รักผมมั้ย”
“อื้อ รัก....มีสายโทรเข้ามาอีกสายหนึ่ง ขั้นวางก่อนนะคะ ดูแลตัวเองดีๆนะคะติณห์”
“คุณก็เหมือนกันนะ”
ติณห์วางสาย ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนจะพยายามหุบยิ้ม รีบกลับเข้าไป
ญาณินกดรับสายเรียกซ้อน “ฮัลโหล” สุคนธรสเดินแยกออกมาพูดโทรศัพท์
“ยัยเจ๊...แกเห็นดูผ้ายันตร์ที่ชั้นส่งไปให้ดูสิ”
ญาณินดูรูปในโทรศัพท์มือถือที่สุคนธรสส่งรูปมาให้ดู … “ผ้ายันตร์อะไร”
“แกดูดีๆสิ...ผ้ายันตร์ของชั้นกับยันต์ที่แกถ่ายรูปมาจากสปาของคุณมิรันตี ชั้นว่ามันคล้ายกัน”
ญาณินมองเทียบ
“มันมีอะไรหลายๆอย่างคล้ายกัน มีอักขระมายันผสมปนเปกับอักขระแบบต่างๆ แล้วแกดูรอยพับบนผ้ายันต์สิ รอยพับมันเป็นแปดแฉก แล้วแกรู้มั้ยว่า ผ้ายันตร์ที่ชั้นเจอ เป็นฝีมือใคร”
“ใคร”
“หมอสมคิด”
“หมอสมคิด … เดี๋ยวนะ แค่ยันต์สองผืน มีอะไรคล้ายกัน แล้วจะมาเหมาว่าเป็นคนๆ เดียวกันทำ ชั้นว่ามันสรุปง่ายไปนะ อย่าลืมสิว่าหมอสมคิดถูกถอดของออกจากตัวหมดแล้ว”
“ชั้นไม่รู้ ชั้นก็พูดไปตามเนื้อผ้า. ยัยเจ๊ เวลานี้ไม่มีใครรู้นะว่าห มอสมคิดหายไปไหน ชีวิตของเขาเป็นยังไง โลกของไสยศาสตร์ อะไรๆมันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น”
“ชั้นรู้ แต่ยังไงชั้นก็เชื่อว่าเป็นฝีมือเบญจา”
“จะเป็นเบญจา หรือหมาแมวที่ไหนก็ตาม สิ่งนึงที่ชั้นแน่ใจมากก็คือ มันมีอาคมระดับเดียวกันกับหมอสมคิด..แกต้องระวังตัวให้มากๆเลยนะ”
“ชั้นไม่มีอะไรน่าห่วงหรอก แต่ติณห์น่ะสิ”
ญาณินกังวล เป็นห่วงติณห์
ติณห์กับเบญจานั่งดูดาวกันอยู่หน้าบ้าน ติณห์ชี้ให้เบญจาดูดาวดวงต่างๆ พร้อมทั้งอธิบายความ หมายและชื่อของมัน ทั้งคู่โอบกอดกันอยู่อย่างมีความสุข
“พี่ติณห์รู้เรื่องดาวดีจังเลยนะคะ”
“พี่ชอบศึกษาเรื่องธรรมชาติน่ะค่ะ”
เบญจานิ่ง ยิ้ม ติณห์มองเบญจาตาเยิ้ม
เบญจาหาวออกมา
“น้องเบญไปอาบน้ำก่อนดีกว่านะคะ เดี๋ยวเสร็จแล้วเราไปเดินเล่นกันริมน้ำตก ตอนกลางคืนสงบมากเลยนะคะ”
“เบญจาอยากไปเลยค่ะ”
“เอาน่าเชื่อพี่ อาบน้ำก่อนดีกว่า...ไปๆๆ”
“อาบน้ำให้เสร็จก่อน แล้วเดี๋ยวพี่พาไป”
เบญจายิ้มๆ รักมาก เข้าไปในห้อง ติณห์อยู่ตรงนั้น จนกระทั่งได้ยินเสียงน้ำฝักบัวดัง ทันใด ติณห์ก็แววตาเปลี่ยนไปทันที
ห้องรับแขกด้านหน้า ติณห์รีบเดินวกกลับออกไปที่กระเป๋าของเบญจาวางอยู่ ติณห์ฟังเสียงน้ำจากฝักบัวยังคงดัง ติณห์หยิบกระเป๋านั้นขึ้นมา
“กระเป๋าที่เธอติดตัวตลอดเวลา ขอดูหน่อยเถอะ”
หลวงพิชัยภักดีงงๆว่า ติณห์คิดทำอะไร ขณะที่เขากำลังจะเปิดกระเป๋า เบญจาก็เดินสวมเสื้อคลุมเดินออกมา
“วางกระเป๋าหนูลงเดี๋ยวนี้นะพี่ติณห์”
ติณห์ผงะ ช็อก เบญจาสีหน้าแววตาจริงจังมาก ติณห์ตัดสินใจถือกระเป๋า หันกลับมาเผชิญหน้า
“พี่ไม่วาง”
ติณห์ถอยหนี กำลังจะออกประตูบ้าน เบญจาที่เดินตามมาขมุบขมิบปาก ประตูบ้านปิดเอง และล็อกลงกลอนทันที แกร็กๆ! เบญจาตามมาทวงกระเป๋าคืน
“พี่คิดจะทำอะไรคะ”
“ทำไม...ทำไมน้องเบญต้องหวงกระเป๋าใบนี้มากขนาดนี้ด้วย”
“เอากระเป๋าหนูคืนมา”
“พี่ไม่คืน จนกว่าพี่จะรู้ว่าในกระเป๋านี้มันมีอะไร...มันสำคัญอะไรนักหนา น้องเบญจาถึงไม่ยอมห่างจากมันเลย ทำไม แฟนเก่าซื้อกระเป๋านี้ให้เหรอ หรือว่ามีรูปเขาอยู่ ฮ้า นี่ น้องเบญจามีคนอื่นอยู่แล้ว แต่มาหลอกพี่ใช่มั้ย”
“นี่พี่หึงหนูจริงๆเหรอคะ”
ติณห์โวยวาย
“ทำไมพูดอย่างนี้ พี่บอกแล้วไงว่าชีวิตพี่ขาดเบญจาไม่ได้ อย่าดูถูก ความรักของพี่ พี่รักเบญจามากกว่าอะไรทั้งหมด ใครที่มันมายุ่งกับเบญจา มันต้องตาย”
“หนูไม่ได้คบคนอื่น หนูมีพี่ติณห์คนเดียว ขอกระเป๋าคืนด้วยค่ะ”
“ถ้าไม่มีอะไร ทำไมไม่ให้พี่ดู”
“เดี๋ยวนี้พูดอะไรไม่เชื่อกันแล้วใช่มั้ยคะ”
ติณห์อึ้ง จำใจต้องคืนกระเป๋าให้
“เบญจาพูดจริงนะ เบญจาไม่มีใครจริงๆนะ”
เบญจาหอมแก้มติณห์
“ค่า...”
เบญจาหยิบกระเป๋าคืนมาจากติณห์
“แล้วทีหลังอย่ายุ่งกับกระเป๋าของหนูอีก”
“เบญจา ให้อภัยพี่นะค .ทั้งหมดเป็นเพราะพี่รักเบญจามาก แต่ต่อไปพี่จะไม่อยากรู้แล้ว พี่จะเชื่อใจ ไว้ใจเบญจา ขอแค่เบญจาให้สัญญาว่าจะไม่หลอกพี่ จะไม่ทิ้งให้พี่เสียใจ ได้มั้ยคะ”
“ค่ะ หนูไม่โกรธพี่หรอก หนูสัญญา”
“พี่รักน้องเบญนะคะ รักมาก รักที่สุด”
เบญจาเคลิ้มจะโน้มตัวเข้าจูบติณห์
แต่ทันใด มิรันตีเข้ามาก่อน
“ว้าย ตายแล้ว แม่ขอโทษๆ ไม่เห็น ไม่รู้อะไรทั้งนั้น เชิญตามสบายเลยจ้ะ เชิญๆๆ”
มิรันตีรีบออกไป บ่นว่าตัวเอง ไม่น่ามาขัดจังหวะหนุ่มสาวเลย ติณห์กับเบญจาแยกออก ยิ้มเขินๆที่แม่ดันเข้ามาเห็นพอดี ทั้งสองยิ้มให้แก่กันและกัน ติณห์โล่งอก
เช้าวันใหม่ จุนจีกับกรรัมภากำลังเดินตามพนักงานในร้าน ที่พาไปมุมรับรองแขก ภายในบริเวณร้านเพชร
กรรัมภามองสภาพร้านเพชรอย่างตื่นเต้นๆ
“นั่งรอสักครู่นะจุนจี เขากำลังไปตามเจ้าของร้านออกมา”
“ครับ”
จุนจีนั่ง สวมแว่นดำ
กรรัมภามองเครื่องเพชรต่างๆ จนอดใจไม่อยู่ ต้องลุกขึ้นไปมองที่ตู้โชว์ด้านหนึ่ง ไล่มองเครื่อง เพชรตามตู้ต่างๆ ร้องอย่างตื่นเต้นไม่หยุด จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่หน้าตู้แหวนเพชร กรรัมภาตาโต มองจับจ้องไปที่แหวนเพชรวงหนึ่งซึ่งน้ำงามมากๆ
“แหวนเพชรสวยจังเลย ถ้ามันได้มาอยู่ในที่ๆมันควรอยู่ ก็คงจะ ดีสินะ แต่..ใครล่ะ..ใครจะเป็นคนๆนั้น”
จุนจีลดแว่นตาดำลงนิดนึง เหลือบมองเธอว่าทำอะไรอยู่ พอเห็นว่าเธอกำลังตื่นเต้นกับเครื่องเพชร ก็ส่ายหัวขำๆ อย่างระอา พอดีเธอหันขวั่บกลับมามอง จุนจีรีบสวมแว่น นั่งไม่รู้ไม่เห็นต่อไป
เธอเบ้หน้า เหยียดๆ
“ถ้าเป็นเมื่อก่อน เราคงเพ้อถึงอีตานี่..แต่ตอนนี้..เชอะ..คนพรรค์นี้ ไม่มีวันทำอะไร โรแมนติกได้หรอก”
แล้วความเพ้อก็สร้างจินตนาการให้กับเธอ เมื่อเธอหันกลับมาที่ตู้เครื่องเพชร แล้วพบว่า จุนจีมายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว
“เฮ้ย นายมาได้ยังไง”
“นินทาอะไรชั้น อย่าคิดว่าชั้นไม่รู้”
“เปล่าซะหน่อย”
จุนจีจ้องหน้ากรรัมภา
“มองอะไร”
กรรัมภาจะหันหน้าหนี แต่จุนจีจับหน้าเอาไว้ จ้องพินิจมากๆ เลื่อนหน้าตัวเองมาใกล้สุดๆ
“เธอรู้ตัวเปล่าว่า เธอก็น่ารักเหมือนกันนะ”
“หื”
“ถ้าชั้นอยากจะมีแฟนสักคน ก็อยากจะได้คนที่หน้าตาและนิสัยเหมือนกับเธอ”
“หือ”
“เอ๊ะ แล้วทำไมชั้นไม่เอาเธอเป็นแฟนซะที”
“หือ”
ว่าแล้วจุนจีเอื้อมมือเปล่าๆ จับต้นแขนกรรัมภา
“จะ..จะทำอะไร”
จุนจีทำท่ารูดลงมาจากต้นแขน จนสุดที่ปลายมือ แล้วอยู่ๆ มีกำไลข้อมือเพชรติดออกมาด้วย จุนจีชูให้แก้มดู แก้มร้องว้าว สวมกำไลนั้นให้
"นายทำได้ยังไง"
จุนจีทำท่าชู่ว์ บอกให้เธอเงียบก่อน แล้วเอื้อมมือไปที่หลังคอของแก้ม ก่อนจะหยิบสร้อยคอเพชรออกมาจากที่คอ เธออ้าปากค้าง หัวใจแทบหยุดเต้น เขาสวมสร้อยเพชรให้
"สำหรับคนที่สวยที่สุดของผม"
กรรัมภาตะลึงในสร้อยเพชร เอื้อมมือขึ้นมาจับ แต่จุนจีคว้ามือนั้นจากด้านหลัง จับเธอหมุน ราวกับเต้นรำ จนหันกลับมาประจันหน้ากัน แล้วจุนจีก็คุกเข่าลง กุมมือเธอเอาไว้
"แต่งงานกับผมนะครับ"
กรรัมภาเหวอ จุนจีปล่อยมือ ปรากฏว่ามีแหวนเพชรวงนั้นอยู่ในมือเธอเรียบร้อย เธฮทั้งตะลึง กรี๊ด ดีใจ
กรรัมภายืนอยู่หน้าตู้กระจก กรี๊ดลั่นร้าน ปากก็พูดว่า “แต่งค่ะ” จนกระทั่งเสียงจุนจีดังเข้ามาในโสตประสาท
"แต่งอะไร"
"ก็แต่งงานไง" กรรัมภาจะโผกอดจุนจี แต่เบรกเอี๊ยด เพิ่งรู้ตัวว่าเพ้อไปเอง
"เอ๊ย..นาย"
"แต่งงานอะไร"
กรรัมภาเลิ่กลั่ก
"เปล่า!"
คนในร้านต่างจับจ้องมองทางเธอ เหวอๆ มองประมาณ เป็นอะไรของเธอ
"ท่าจะบ้านะ แล้วมายืนทำไรตรงนี้ ไหนว่าจะมาช่วยกันสืบข้อมูล..อย่าอู้!"
จุนจีลากมือกรรัมภาไป เธอกระโดกกระเดกเดินตาม ปากบ่นๆ
จุนจีเลื่อนกล่องกำมะหยี่ใส่เครื่องเพชรมาตรงหน้าเจ้าของร้าน
"คือ เราอยากให้คุณช่วยดูเครื่องเพชรของคุณพิมพ์พิลาศพวกนี้ทีครับ ร้านคุณเป็นผู้ผลิตเครื่องเพชรชุดนี้ขึ้นมาใช่มั้ยครับ"
เจ้าของร้านพิจารณาด้านหน้าด้านหลัง ใช้แว่นขยายส่อง
"ไม่ใช่ของร้านเราแน่นอนคะ"
"แต่นี่ ใบเสร็จที่คุณย่าผมซื้อเครื่องเพชรชุดนี้จากร้านคุณ"
"ชื่อร้านคุณชัดเจน แล้วจะปฏิเสธได้ยังไงว่านี่ไม่ใช่ของของร้านคุณ" กรรัมภาถาม
"คุณพิมพ์พิลาศซื้อเครื่องเพชรร้านดิฉันจริง แต่ท่านซื้อของแท้ค่ะ ไม่ใช่ของปลอม"
จุนจี กรรัมภาโพล่งพร้อมกัน
"ของปลอม"
"ใช่ค่ะ สร้อยเพชรนี้เป็นของปลอมทั้งหมด ถ้าเป็นเพชรจริงเหลี่ยมมุมจะเรียบและคมกว่า และไม่สามารถมองทะลุได้เหมือนเพชรปลอม และถ้าเป็นของร้านเรา ที่ตะขอด้านหลังจะมีสลักชื่อร้านและรหัสของเพชรเอาไว้ ซึ่งนี่ไม่มีค่ะ"
จุนจีลองพิจารณาเพชรตามคำบอกของเจ้าของร้าน และพบว่าจริงทุกอย่าง เจ้าของร้านลุกยืน แสดงความระแวง ไม่ไว้ใจทันที
"พวกคุณต้องการอะไร เป็นญาติของคุณพิมพ์พิลาศจริงหรือเปล่า หรือแอบอ้าง ทำงานกันเป็นขบวนการ เพราะก่อนหน้านี้ไม่นาน คุณอติเทพและทนายประจำตัวของคุณพิมพ์พิลาศ เพิ่งจะเอาเครื่องเพชรชุดนี้มาขายคืนให้กับทางร้านเอง"
"อติเทพกับทนายสมชายน่ะเหรอ"
"ร้านของดิฉันมีกล้องวงจรปิด มีตำรวจยี่สิบสี่ชั่วโมงนะคะ จะทำอะไรคิดให้ดีก่อน"
กรรัมภาบอก
"คุณคะ..อีตาขี้เก็กคนนี้ ชื่อนายจักร เป็นหลานชายคนเดียวของคุณพิมพ์พิลาศ หรือพวกคุณอาจจะรู้จักเขาในชื่อ ปาร์คจุนจี ศิลปินเกาหลีชื่อดัง ที่กำลังมาถ่ายละคร ในเมืองไทย"
เธอถอดแว่นดำของจุนจีออก
"เฮ้ย!"
"คุ้นหน้าตี๋ๆนี้บ้างมั้ยคะ ถ้าไม่คุ้น กรุณากูเกิ้ลดูได้เลย"
เลขาฯเจ้าของร้านพยักหน้าหงึกๆเพราะจำจุนจีได้แม่นมากๆ แล้วล้มตึงไปเลย
สำนักงานนิติเวช เวลากลางวัน หมอวรวรรธส่งแฟ้มเอกสารให้พงอินทร์ ทั้งคู่ยืนอยู่ข้างซากรถพิมอรด้านล่างสำนักงาน
"ผลการตรวจสภาพรถของคุณพิมอรครับ"
"ข่าวดีหรือข่าวร้าย"
"มีทั้งสองอย่าง"
"งั้นผมขอข่าวดีก่อน"
"ข่าวดีคือ สภาพรถของคุณพิมยังดี ยางล้อรถไม่แตก ด้านข้างไม่มีรอยบุบชน เพราะฉะนั้นคุณพิมไม่ได้ขับรถมาแล้วยางแตก รถชนกับต้นไม้ ฟุตบาธทำให้เสียหลักพุ่งลงไปในน้ำแน่นอน"
พงอินทร์พยักหน้า คิดตาม
"ช่วงล่างรถก็ไม่มีร่องรอยกระแทก ทั้งๆ ที่ขอบสระน้ำที่พบรถคุณพิมมีหินก้อนใหญ่ๆ อยู่เยอะ ถ้ารถคุณพิมพุ่งลงไปในบึง มันก็น่าจะมีร่องรอยกระแทกอยู่บ้าง แต่นี่ไม่มี แสดงว่ารถค่อยๆ ขับลงไปในบึง"
"แล้วข่าวร้ายล่ะหมอ"
"หลักฐานพวกนี้ยังบอกเราไม่ได้อยู่ดีว่าฆาตกรเป็นใคร"
เนตรสิตางศุ์และกรรณาเดินเข้ามา
"ติ๊งหน่อง อาหารกลางวันมาส่งแล้วค่ะ อุ้ย ! ขอโทษค่ะ เนตรไม่รู้ว่าหมอมีแขก"
"ผมคนไทยครับ ไม่ใช่แขก"
เนตรสิตางศุ์ถาม
"คุณโจ้มาทำอะไรที่นี่คะ"
"มาฟังผลตรวจสภาพรถคุณพิมอรครับ"
"อ้าว...ไหนว่าจะช่วยกันสืบไง ทำไมไม่โทร.ชวนกันบ้าง กั๊กนี่หว่า" กรรณาบอก
"ทีคุณไปหาช่อเพชรคนเดียว ไม่บอกผมสักคำ กั๊กนี่หว่า"
"รู้ได้ไงว่าฉันไปหาช่อเพชร อ๋อ...ลืมไป ว่านายโทรคุยกับคุณน้ำหนึ่งทุกวัน คุณน้ำหนึ่งคงบอกสินะ"
"ฉลาดนี่ยัยตูดเด็ก"
พงอินทร์หยิกแก้มกรรณา เธอปัดมือออก
"ทะลึ่งแหละ ที่ชั้นยังไม่บอกนายเพราะยังไม่มีความคืบหน้าอะไร ถ้ามีแล้วชั้นจะรีบบอกนายเลย นายจะได้มีเรื่องไปคุยกับคุณน้ำหนึ่ง ผลพิสูจน์รถเป็นยังไงบ้างหมอ"
"ทุกอย่างสนับสนุนสิ่งที่คุณแก้มเห็นครับ"
"คุณแก้มเห็นอะไร"
เนตรสิตางศุ์บอก
"แก้มเคยแตะรถคุณพิมอร แล้วเห็นภาพผู้หญิงอยู่กับคุณพิมอร ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนเข็นรถคุณพิมอรลงไปในน้ำ แต่เสียดายที่แก้มไม่เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร"
"เห็นหรือยังว่าพวกชั้นไม่ธรรมดา"
"คุณแก้มเห็นอะไรอีก" พงอินทร์ถาม
"แก้มเห็นว่าคุณพิมไม่อยากตาย น่าจะเป็นเพราะว่าตอนรถอยู่ในน้ำ คุณพิมคงจะกระเสือกกระสนออกมาจากรถ แต่ออกไม่ได้ ติดเข็มขัดนิรภัย หรือไม่ก็ประตูรถเปิดไม่ออก คุณพิมคงหายใจไม่ออก กลัวตาย ทุกข์ทรมานมาก ยัยแก้มถึงรู้สึก"
พงอินทร์สะเทือนใจ ผลุนผลันออกไป
"คนยังเล่าไม่จบ เดินหนีไปเฉยๆ ไร้มารยาท อสรกุ๊ย"
เนตรสิตางศุ์บอก
"พอได้แล้วกรรณ สงสารคุณโจ้ ขนาดเนตรเป็นคนอื่น เนตรฟังเนตรยังสะเทือนใจ ถ้าคนที่เนตรรักต้องมาตายอย่างทุกข์ทรมาน เนตรก็คงรับไม่ไหวเหมือนกัน"
เนตรสิตางศุ์ร้องไห้ หมอวรวรรธดึงไปกอดปลอบ กรรณามองตามพงอินทร์ด้วยความเป็นห่วง
อ่านต่อหน้า 3 / 17.00 น.
สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 11 (ต่อ)
กรรณาเดินมาจากทางห้องหมอวรวรรธ มองหาพงอินทร์ที่หลบออกมายืนอยู่ลำพังที่ริมระเบียง พอเธอจะเดินเข้าไปหา เขาก็ปรับท่า น้ำเสียงเป็นกวนตีนเหมือนเดิม
"ดราม่ามาก เดี๋ยววิญญาณคุณพิมไม่สบายใจนะเฟ้ย นี่แน่..."
"มดสักตัวพี่พิมยังไม่เคยบี้ ไม่เคยคิดร้ายกับใคร ใครขอให้ช่วยเหลือ พี่พิมไม่เคยพูด คำว่าไม่ คนดีๆ อย่างพี่พิมต้องตายอย่างทรมาน แต่ทีไอ้พวกคนเลว มันยังลอยนวล มีความสุขอยู่ได้ ความยุติธรรมมันอยู่ตรงไหน"
"ไม่มีใครหนีกรรมที่ตัวเองก่อไปได้หรอก สักวันพวกเขาต้องชดใช้ให้คุณพิมอร"
"ใช่ พวกมันต้องชดใช้ให้พี่พิม ! พาผมไปบ้านช่อเพชรเดี๋ยวนี้"
พงอินทร์ลากแขน กรรณายื้อ
"ไม่มีประโยชน์หรอก ชั้นทิ้งเบอร์ไว้แล้ว ช่อเพชรยังไม่โทร. กลับเลย เขาไม่อยากเจอ
เรา เขาต้องหาทางหลบหน้าเราแน่ๆ"
พงอินทร์หยิบโทรศัพท์ออกมาจะกด
"หลบได้หลบไป"
"โทร.หาใคร"
"สารวัตรณัฐเดช จะให้เขาออกหมายจับช่อเพชร"
"จะบ้าเรอะ ! จะออกหมายจับมันต้องมีหลักฐาน แค่ไดอารี่ของคุณพิมกับภาพที่ยัยแก้มเห็น ใช้เป็นหลักฐานไม่ได้หรอกนะ"
พงอินทร์โมโห
"อะไรๆ ก็ไม่ได้ แล้วจะเอาไงวะ"
"ไม่เอาไงหรอกโว้ย แต่ช่วยใจเย็นๆ ก่อนได้ไหมวะ"
พงอินทร์นิ่งเหมือนจะสงบ แต่จู่ๆก็ชกกำแพงเต็มหมัด
"โจ้ อย่า จะบ้าไปแล้วหรือไง หยุดเดี๋ยวนี้"
พงอินทร์ไม่ยอมหยุด อยู่ดีๆ กรรณาก็ตบหน้าเขา
"จะหยุดไม่หยุด"
พงอินทร์ไม่ตอบ กรรณาตบหน้าอีก
"หยุดแล้ว ! ตบนักประเดี๋ยวก็จูบกลับซะเลยนี่"
กรรณาจะตบอีก
"ผมพูดเล่น ก็คุณบอกให้ผมใจเย็น ผมก็ทำอยู่ ผมมันเป็นพวกเจ็บแล้วเย็น"
"งี่เง่า ปัญญาอ่อน มิน่าวิญญาณคุณพิมถึงไม่ยอมไปไหน แต่ถ้าชั้นเป็นคุณพิมอร ชั้นจะไม่คอยตามกล่อมนายนอนหรอก แต่ชั้นจะบีบคอนายให้ตายไปด้วยกันซะเลย"
พงอินทร์นึกขึ้นได้
"คุณได้ยินพี่พิม"
"จะล้ออะไรอีกล่ะ"
"ไม่ได้ล้อ แต่จะบอกว่า ถ้าคุณได้ยินพี่พิม แล้วทำไมคุณไม่ถามพี่พิมว่าเกิดอะไรขึ้น เราจะได้หาหลักฐานไปจับไอ้ฆาตกรได้เร็วขึ้น"
"ตั้งแต่รู้จักกัน เห็นพูดจาเข้าท่าก็ตอนนี้ งั้นนายก็นอนซะ คุณพิมอรจะได้มากล่อมนาย"
"นอนตรงนี้เนี่ยนะ ผมไม่ใช่งูแมวเซานะคุณ จะหลับตรงไหนก็ได้ ถ้าอยากให้ผมนอนก็ต้องไปที่อื่น"
"ที่ไหน"
มุมมหนึ่งในร้านเพชร จุนจี กรรัมภา กำลังคุยกันอยู่
"ตอนนี้เรากำลังสืบหาความยุติธรรมให้กับคุณพิมพ์พิลาศ เชื่อใจเราเถอะค่ะ"
"คุณอติเทพหรือทนายสมชายบอกหรือเปล่าว่า เขาขายคืนให้กับคุณทำไม เขาจะเอาเงินไปทำอะไร เพราะจริงๆแล้วเขาไม่มีสิทธิ์อะไรในเครื่องเพชรของคุณย่าเลยสักนิด"
"ดิฉันไม่ได้ถามรายละเอียดขนาดนั้นหรอกค่ะ"
"ไม่ถามไม่เป็นไร ดิฉันรบกวนช่วยเอาเครื่องเพชรของคุณพิมพ์พิลาศจริงๆ มาให้ชมหน่อยได้มั้ยคะ ร้านคุณมีกล้องวงจรปิดและตำรวจยี่สิบสี่ชั่วโมง ชั้นคิดดีแล้วค่ะเลยกล้าขอ"
กรรัมภาตาวาว มั่นใจ คิดเอามาสัมผัสหาเบาะแส เจ้าของร้านหันไปพยักหน้าสั่งเลขาฯ
เลขาฯแยกไปเอาเครื่องเพชร
"ชั้นก็สงสัยอยู่...เพราะวันนั้นทั้งคู่ดูรีบร้อนมาก ยังบอกให้ดิฉันออกเป็นเช็คเงินสดด้วย"
"คนรวยล้นฟ้าอย่างคุณพิมพ์พิลาศน่ะเหรอ จะอยากได้เช็คเงินสด"
"ดิฉันตรวจสอบเครื่องเพชรว่าใช่ของแท้ ก็เซ็นเช็คจ่ายแล้วค่ะ ดิฉันไม่กล้าถามละลาบละ ล้วงเรื่องของลูกค้ามากหรอกค่ะ"
เลขาฯถือกล่องเครื่องเพชรอีกอันเข้ามาวางให้
เจ้าของร้านเปิดออกให้ทุกคนดู
"นี่ค่ะ ของจริง"
กรรัมภามองเทียบกัน
"เหมือนกันมากจริงๆ แต่ดูๆแล้ว ของจริงจะสวยกว่า แวววาวกว่ามาก"
"คุณแก้ม" จุนจีหันมาเรียก กรรัมภาถอดถุงมือออก
"ทราบแล้วค่ะเจ้านาย ... ดิฉันขออนุญาตสัมผัสเครื่องเพชรหน่อยนะคะคุณ"
กรรัมภาเอื้อมมือไปสัมผัสตัวสร้อยเพชรที่เป็นปัญหา เธอตาโต เบิกกว้าง
เธอเห็นภาพพิมพ์พิลาศควงอติเทพมาในร้านเพชร เขาหยิบกล่องเพชรมาเปิดมาเซอร์ไพรส์ เธอดีใจมากๆ เขาสวมสร้อยนี้ให้ แล้วเธอก็ควักบัตรเครดิตให้พนักงาน
ที่บ้าน พิมพ์พิลาศส่องกระจก สวมสร้อยเพชรนี้อยู่ ดูมีความสุขและรักสร้อยเพชรนี้มาก อติเทพเข้ามาโอบจากด้านหลัง ดูรักใคร่กันดี
จากนั้นเป็นภาพอติเทพเอาบัตรเครดิตเขวี้ยงใส่พิมพ์พิลาศ โวยวายประมาณว่าบัตรรูดไม่ได้ เธอเถียงกลับ ประมาณว่าเอาไปใช้อะไรมากมาย เขาโวยวาย หยิบสมุดเช็คมาวางตรงหน้า จะให้เธอเซ็นเช็คให้ แต่เธอไม่เซ็น เขาโวยวายท่าทางใหญ่โต กระฟัดกระเฟียด ก่อนจะเห็นว่าเธอสวมสร้อยเพชรนั้นอยู่ เข้าไปจะแย่งมา
เขาเอาสร้อยเพชรมาได้จะออกจากบ้าน เธอตามมาขวาง ไม่ให้เอาไป เขาชี้หน้าด่า สีหน้าเป็นยักษ์เป็นมารสุดๆ เธอตื๊อ ขอสร้อยเพชรคืน เขาควักปืนมาจ่อ พิมพ์พิลาศผงะ
แล้วอติเทพก็รับเช็ค
กรรัมภาถอนมือออกมา ท่าทางผงะสุดๆ ช็อกๆ
"เห็นอะไรบ้างคุณแก้ม"
กรรัมภามองหน้าจุนจี ซีดๆ ไม่รู้จะตอบยังไง
กรรัมภาแทบวิ่งออกมานอกร้านเพชร จุนจีรีบตามมา
"เธอเห็นอะไร"
กรรัมภาคิดทบทวน
"ย่าของคุณรักสร้อยเพชรชุดนั้นมาก เพราะนายอติเทพซื้อให้ด้วยเงินคุณย่าคุณ แต่นายอติเทพเหมือนจะร้อนเงิน คุณพิมพ์พิลาศไม่ยอมเซ็นเช็คให้ นายอติเทพเลยเอาปืนขู่"
"ใช้ปืนขู่เลยเหรอ สารเลวเอ๊ย นี่มันปล้นกันชัดๆ ไม่ต้องสงสัยแล้ว นายอติเทพคือฆาตกร ฆ่าคุณย่า"
"อย่าเพิ่งรีบสรุปสิ"
"สิ่งที่คนอย่างมันต้องการจากคุณย่าก็คือเงิน มันรักย่าก็เพราะเงิน แล้วนี่มันก็ทำเพชรปลอมขึ้นมาเพื่อสับเปลี่ยนกับของจริง แล้วคนที่กล้าเอาปืนมาขู่กรรโชกทรัพย์ ทำไมมันจะไม่กล้าฆ่าคน"
"แต่ภาพสุดท้ายที่คุณย่าคุณเห็นก่อนสิ้นใจ ท่านบอกว่ามีผู้หญิงสวมรองเท้าคัทชูสีแดง ยืนมองท่านสิ้นลมต่อหน้าต่อตา แล้วมันจะเป็นนายอติเทพได้ยังไง...ชั้นบอกนายแล้วว่าชั้นเห็นแต่ภาพ ไม่ได้ยิน ชั้นไม่รู้เหตุผลของภาพที่เกิดขึ้น บางทีมันอาจ มีอะไรซับซ้อนกว่าที่เห็นก็ได้"
จุนจีจิ้มหัวกรรัมภาตามจังหวะคำ
"หรือไม่ก็เธอเองที่เป็นคนทำให้มันซับซ้อน"
"อ้าว"
จุนจียังยืนยันในความคิดตน
"ยังไงฆาตกรก็คือนายอติเทพ"
กรรัมภาชักจะฉุน สวน
"ถ้างั้นใครล่ะที่ยืนมองย่านายสิ้นใจ"
จุนจีนิ่งไปนิดนึง หาคำตอบ
"ก็...เอ่อ"
กรรัมภาจิ้มหัวจุนจีคืน
"ไม่มีคำตอบ เพราะสมองนายคิดได้แค่อะไรตื้นๆ ไม่มีรอยหยัก"
"เฮ้ย! นี่ด่าเลยเหรอ"
จุนจีทำท่าจะโวยเอาเรื่อง แต่กรรัมภาชี้หน้า พูดดักเอาไว้ก่อน
"ใช่ด่าเลย ภาพที่คุณย่านายเห็นต้องเป็นความจริง ฆาตกรเป็นผู้หญิง ส่วนนายอติเทพ อาจจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวก็เป็นไปได้ทั้งนั้น"
จุนจีไม่ยอมแพ้ ยังเชื่อมั่นในความคิดตนเอง
"หรือไม่ ผู้หญิงคนนั้นอาจจะเป็นคนที่สมรู้ร่วมคิดกับนายอติเทพ"
"เป็นไปได้"
"หรือไม่ ตอนนั้นสมองคุณย่าขาดออกซิเจนแล้วเห็นภาพหลอนไปเองก็ได้"
กรรัมภาประชด
"อ๋อหร๋า"
จุนจีหงุดหงิดกับท่าทางยียวนกวนประสาทของกรรัมภา ตัดบท
"ชั้นจะไปแจ้งความจับนายอติเทพ"
กรรัมภารีบตามขวางดึงตัวเอาไว้
"เฮ้ย ไม่ได้ เราไม่มีหลักฐานอะไรเลย มันจะทำให้เสียรูปคดี"
"เธอนั่นแหละจะทำให้มันเสีย..!"
"เอายังงี้ดีมั้ย"
"อะไร!"
"ถ้ามั่นใจกันมากทั้งสองคน เราก็มาหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์กัน หาหลักฐานให้ได้ ใครถูกคนนั้นชนะ ใครผิดก็ต้องเต้นควิโยมี ดีมั้ย"
"ตกลง!"
จุนจีกับกรรัมภาฮึ่มฮั่มใส่กัน
ในห้องทำงานหมอวรวรรธ สำนักงานนิติเวช เนตรสิตางศุ์วางจานแซนวิชไว้บนโต๊ะตรงหน้า
แซนวิชปลาร้าสับ ไม่ต้องห่วงนะคะ เนตรคัดหนอนออกหมดแล้ว ถ่านไม้ลงไปดับกลิ่นด้วย ไร้หนอนไร้กลิ่น น่ากินไหม"
"สุดๆ เลยครับ เกิดมาไม่เคยเจออะไรน่ากินเท่านี้มาก่อน"
โทรศัพท์ของเธอมีสายเข้า เธอหยิบดูเห็นว่าเป็นสุพิชชาโทร.มา
"พี่พีช"
หมอวรวรรธตะลึง คว้าโทรศัพท์เธอ
"อย่ารับ !"
"ทำไมคะ"
"คือ...ผมไม่อยากให้ใครมาขัดจังหวะหนุงหนิงๆ ของเราน่ะครับ ถ้าพีชมีธุระอะไรเดี๋ยวก็ โทร.หาพี่ณัฐเองแหละ ผมหิวแล้ว ป้อนผมหน่อยนะ นะ..นะ" วรวรรธกระพริบตาปิ๊งๆๆ
"หมอต้องกินให้หมดนะ ชดเชยกับที่เนตรยอมทำตัวไม่น่ารักกับพี่พีช"
"ครับผม"
เนตรสิตางศุ์ป้อนแซนวิชให้แค่เคี้ยวคำแรกก็แทบพ่น แต่ต้องแกล้งทำหน้าระรื่น ...สายสุพิชชาวางไปแล้ว
บ้านพงอินทร์ เขานอนหลับตาบนโซฟา กรรณานับแกะและเดินไปเดินมาเป็นจังหวะ กล่อมโจ้
"แกะตัวที่ 10 แกะตัวที่ 11 แกะตัวที่ 12"
เขานอนยุกยิก เดี๋ยวเกาขา เกาแขน เธอคว้าหมอนอิงฟาดใส่ตัวเขา แต่ปากยังนับแกะต่อเนื่อง
เขาสะดุ้ง ลืมตาจะว่ากรรณา
"คุณ"
เธอถลึงตาใส่ ชี้ให้นอนลงไป ปากยังนับแกะต่อเนื่อง เขายอมล้มตัวลงนอนหลับตา เธอเดินไปเดินมานับแกะต่อ
กรรณาหัวพิงกับฝาผนัง ตาปรือ สัปหงกเป็นระยะๆ
"แกะตัวที่ 97 98 99 ..... 40 !"
เธอสัปหงกไปแล้ว แต่เขาลืมตาใสแจ๋ว ลุกขึ้นมา
"นับเลขได้ไม่เกินสองหลักหรือไงคุณ"
"เฮ้ย ยังไม่หลับอีกเหรอ"
"ก็บอกแล้วว่าวิธีนี้ไม่ได้ผลหรอก คุณนับแกะนับแมวให้ผมฟังก็เท่ากับบังคับให้ผมนอน"
เขายื่นหน้าใกล้กรรณา ทำตาวิบวับ
"ป่านนี้ยังไม่รู้จักกันอีกเหรอว่าผมเป็นคนยังไง"
กรรณาเอานิ้วจิ้มตาพงอินทร์ร้องโอ๊ย
"ชั้นไม่ใช่คุณน้ำหนึ่งนี่ที่จะต้องรู้จักนายดี นายหาวิธีนอนเองก็แล้วกัน เร็วๆ ด้วย ไม่งั้นชั้นจะเอาไม้ฟาดหัวนาย"
เธอออกไปหน้าบ้าน
"พวกนิยมความรุนแรง ทำให้ง่วง...ก็ต้องใช้วิธีแมนๆ"
พงอินทร์ยิ้มกริ่ม
ที่หน้าบ้าน กรรณานั่งพลิกเปิดอ่านไดอารี่ของพิมอร
"พ่อแม่รังแกไอ้โจ้แหง พี่สาวออกจะน่ารัก แต่น้องชายโคตรอสรกุ๊ย"
กรรณาเปิดไปอีกหน้า เจออะไรบางอย่างในสมุด
"เอ๊ะ"
ทันใดนั้นเสียงโจ้หอบถี่ดังขึ้นจากในบ้าน
"ทำอะไรของมัน"
เธอแนบหูฟังกับกำแพง)
เสียงหอบโจ้ถี่ขึ้นเรื่อยๆ
"คุณ ช่วยผมด้วย ผมไม่ไหวแล้ว"
"ทำอะไรของมัน หรือว่า... อี๋ ! ไอ้บ้าโจ้ ไอ้ลามก ไอ้หน้าไม่มียางอาย ไอ้กามราคะ"
"คุณ เข้า..มาหา..ผมหน่อย ผมหยุดไม่ได้ มันขะ...ขาดช่วง"
กรรณาตะโกน
"ไม่เข้าโว้ย ! อยากทำอะไรก็ทำไป อย่ามายุ่งกับชั้น"
"คุณ ! ช่วยหน่อย ใกล้แล้ว"
กรรณาควานหยิบมีดพับเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋า
"วิตถารนักใช่ไหม ด้าย...แม่จะเฉือนเอาไปสับให้เป็ดกิน"
กรรณาถีบประตูเข้าไป ตะลึง
โจ้ถอดเสื้อกำลังวิดพื้น เหงื่อแตกเต็มหน้า
"คุณเช็ดเหงื่อให้ผมหน่อย มันจะไหลเข้าตาผม ผมไม่อยากหยุด"
กรรณายังอึ้ง
"เฮ้ย !"
กรรณารู้สึกตัวคว้าเสื้อของเขาซึ่งพาดอยู่กับเก้าอี้มาเช็ดเหงื่อที่หน้าผากให้
"พอได้แล้วมั้ง เดี๋ยวก็หลับไม่ตื่นฟื้นไม่มีหรอก"
พงอินทร์ทิ้งตัวนอนแผ่กับพื้นอย่างหมดแรง หายใจหอบถี่
"จะนอนตรงนี้เลยเหรอ"
"ลุกไม่ได้ เดี๋ยวตาสว่าง ถ้าได้คุยกับพี่พิม ฝากบอกด้วยนะว่าผมคิดถึง"
กรรณายืนมองเขานิ่งๆ สักพักเขาก็ค่อยๆ ตาปรือ เพดานห้องลางเลือน แล้วค่อยๆ มืดลง..มืดลง... เขานิ่ง เธอโน้มหน้าลงไปมองหน้า เช็คว่าเขาหลับหรือยัง
"หมดฤทธิ์สักที ทำไมคุณพิมยังไม่มา คุณพิมคะ คุณพิม"
กรรณาเงี่ยหูฟังไปรอบๆ เท้ากรรณาไปโดนตัวเขา เขารู้สึกตัวปรือตาขึ้น สายตาเขามองลอดเข้าไปในกางเกงเธอ เห็นขาอ่อนเกือบถึงแก้มก้น
เขาเบิกตาโพลง อุทาน
"โอะ"
กรรณาหันขวับ เห็นเขาตาโต เลือดกำเดาไหลเยิ้ม เธอเห็นว่าสายตาเขาอยู่ที่ขาอ่อน เธองอตัวปิดร้อง
"ไอ้ลามก"
กรรณาเตะป้าบเข้าไปที่ท้อง จนพงอินทร์เจ็บงอตัว พลิกคว่ำ เธอนั่งคร่อม ดึงผมเขาด้วยสองมือแล้วจับหัวโขกกับพื้น
"ไอ้วิตถาร ! กับเพื่อนกับฝูงก็ยังไม่เว้น ชั้นจะเอาเลือดลามกออกจากหัวนาย"
"โอ๊ยๆๆ คุณ ผมเจ็บนะ"
เขาคว้าข้อมือสองข้างของเธอจนเสียหลัก ล้มทับ หน้าของเธอพาดอยู่กับบ่าของเขา จากนั้นก็ดึงข้อมือสองข้างของเธอมาโอบรอบตัวเขา ทำให้หน้าทั้งคู่ชิดแนบกัน
กรรณาดิ้นขลุกขลัก แต่หน้ายังแนบกัน
"ถ้าไม่อยากอายุสั้น ปล่อยชั้นเดี๋ยวนี้"
"แก้มคุณนิ่มเหมือนตูดเด็ก ให้ผมตายตอนที่หน้าได้อิงแอบแนบชิดกับตูดคุณ เฮ้ย ! แก้มคุณผมก็ยอม"
เขาแกล้งถูแก้มตัวเองไปมากับเธอ
"อี๋ๆๆ ไอ้บ้าโจ้ แก้มสากอย่างกับข้อศอกหมา ปล่อยเดี๋ยวนี้"
เธอเอียงหน้าไปกัดหน้าโจ้ แต่กัดไม่โดน เธอหวืดไป ค้างอยู่ในท่าหอมแก้มเขา ทั้งสองต่างอึ้ง...
แค่แปบเดียว เธอก็ใช้ทีเผลอ กัดหูเขาเต็มแรง
"อ๊าก"
เขาปล่อย เธอลุกขึ้น เตะป้าบเข้าไปที่ท้องเขาอีกที
"ถ้านายทำตัวทุเรศกับชั้นอีก ชั้นจะไม่ช่วยนายอีกเลย และชั้นก็จะสั่งให้พี่ณัฐ กับหมอไม่ช่วยนายด้วย"
"ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะคุณ มีแต่คุณนั่นแหละ เตะผมเอา เตะผมเอา"
"แล้วใครใช้ให้นายมามองขาอ่อนชั้น"
"อ๊ะๆ ขอโทษก็ได้"
"จะทำไร"
"คาราวะขอโทษคุณมั้ง"
พงอินทร์ตั้งท่าเตรียมวิดพื้น
"ไม่ต้องแล้วเสียเวลา ชั้นรู้วิธีจะทำให้นายหลับแล้ว"
เขาแปลกใจ กรรณาหยิบไดอารี่โชว์ให้ดู
พงอินทร์นอนกอดหมอนข้างตะแคงข้าง อ่านไดอารี่ มีสำลีอุดจมูก
"ที่ผมไม่บอกคุณ ไม่ใช่ว่าผมอาย แต่ผมไม่เคยคิดจะให้ใครทำแบบนี้ให้ผมอีก เพราะคงไม่มีใครทำได้ดีเท่าคุณย่ากับพี่พิม"
กรรณาดึงไดอารี่ไปจากมือเขา
"หยุดพล่าม แล้วนอนได้แล้วจ้ะเด็กชายโจ้ ชั้นเมื่อยมือ"
กรรณานั่งเกาหลังให้ พงอินทร์ยิ้มมีความสุข
"มือคุณเบาดีเหมือนกัน ถ้าตกงานบอกผมนะ ผมจะจ้างให้มาเกาหลัง"
"ถ้าไม่หยุดพูด ชั้นจะใช้เท้าเกาแทน"
"ก็ได้ๆ ฮาร์คคอร์จริงคุณนี่ ขึ้นมาสูงๆ หน่อย"
กรรณาเลื่อนมือขึ้นไปเกาหลังท่อนบนให้ เขาเคลิ้มมีความสุข เธอฮัมเพลง เขาค่อยๆ หลับตา...หลับตา
ด้านนอกบ้านลมพัดอ่อนๆ ดอกไม้สดบนต้นถูกลมพัดร่วงลงพื้น บรรยากาศอบอุ่น แล้วลมก็พัดพาดอกไม้มุ่งหน้าทางบ้านโจ้
ลมพัดทำให้ประตูบ้านขยับ เธอหันไปมองประตู ได้ยินเสียงพิมอรร้องเพลงหวานเศร้าดังมาจากทางโจ้ เธอหันกลับไป วิญญาณพิมอรร้องเพลงพลางลูบหัวกล่อมน้องชาย แต่กรรณาไม่เห็น
"คุณพิมคะ ชั้นมีเรื่องอยากจะถามคุณ"
พิมอรหยุดร้องเพลงหันมองกรรณา ใบหน้าเศร้าอย่างคนปลงตก ไม่มีความโกรธแค้น
"วันที่เกิดอุบัติเหตุรถตกน้ำ เกิดอะไรขึ้นกับคุณ"
"ถามทำไม"
"ตอนนี้เพื่อนชั้นได้หลักฐานแล้วว่าคุณไม่ได้เกิดอุบัติเหตุรถตกน้ำ แต่มีใครผลักรถคุณ ลงไปในน้ำ ถ้าชั้นรู้ว่าจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับคุณ จะได้ช่วยจับฆาตกรให้เร็วขึ้นไงคะ"
พิมอรนึกถึงเหตุการณ์วันนั้น
"ช่อเพชรโทร.มานัดเจอชั้น บอกว่าอยากเคลียร์ปัญหาเรื่องคุณแผนยุทธ ชั้นเองก็เบื่อ เต็มทนแล้ว ไปคุยกับมันให้รู้เรื่องก็ดีเหมือนกัน"
พิมอรนั่งคอยบนรถฝั่งคนขับ แววตาเข้มแข็งอย่างคนที่ตั้งใจว่า วันนี้จะจบปัญหาให้ได้ สายตาเธอเหลือบไปที่กระจกส่องหลังเห็นรถแท็กซี่ขับเข้ามาจอดไกลๆ แล้วผู้หญิงคนหนึ่งก็ลงจากรถเดินมาที่รถพิมอร แต่กระจกส่องหลังมองไม่เห็นว่าเป็นใคร พิมอรกำมือแน่น ใบหน้าสั่นริก ดวงตาแข็งกร้าว ฃ
"ชั้นไม่เคยคิดว่าจะโกรธจะเกลียดใครได้มากเท่านี้ ชั้นอยากให้เขาตาย จะได้ไม่ต้องมีใครมาแย่งความรักของคุณแผนยุทธไปจากชั้นอีก ชั้นนึกอยากจะฆ่าเขาเอง แต่ชั้นต้องข่มใจ เตือนตัวเองว่าจะไม่ทำลายชีวิตตัวเอง ชั้นจะคุยกับเขาดีๆ ถ้าเขาอยากได้อะไร ชั้นจะให้เขา ขอให้เรื่องจบก็พอ"
พิมอรหลับตา สะกดกลั้นความรู้สึกของตัวเองจนนิ่งขึ้น
ผู้หญิงคนนั้นสวมรองเท้าส้นสูงเดินมาถึงรถ ประตูรถเปิด พิมอรหันมอง จากโกรธเปลี่ยนเป็นแปลกใจ
"แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่ชั้นคิด"
"ทำไมคะ"
"เพราะเขาไม่ใช่..."
จังหวะนั้น พงอินทร์ละเมอขึ้นพอดี
"กระทิงป่า"
เขากระเด้งตัวลุก ลืมตา พิมอรเลือนหายไปพร้อมกับเสียง พงอินทร์ยังละเม้อค้าง
"คุณมีกล้องไหม ผมเห็นตูดกระทิงป่าวิ่งไปไวๆ"
"ไม่มีกล้อง มีแต่หมัด"
กรรณาเสยคางเขาจนล้มตึง กรรณาเซ็งมาก
มุมสวนสวยๆ ในรีสอร์ตติณห์ ยามบ่าย เขายืนอยู่กลางสวนอย่างมีความทุกข์ ที่ไม่ได้อยู่กับคนที่ตัวเองรักแล้วยังต้องมาแสร้งทำเป็นรักผู้หญิงที่ร้ายกาจ เขาก้มลงมองบางสิ่งบางอย่างที่ถืออยู่ในมือ พลางคิด
"โอเคติณห์ ยูต้องทำ ถึงยูไม่อยากทำ แต่นี่อาจจะเป็นวิธีสุดท้ายที่จะได้รู้ความจริง"
"พี่ติณห์"
ติณห์ตกใจ รีบหันไปพลางซ่อนของในมือไว้ข้างหลัง เบญจายืนอยู่ข้างหลัง ตะกรุดในตัวของ ติณห์เปล่งแสงวาบขึ้น เขาเห็นตาของเบญจาแดงวาบขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนดับวูบลงเป็นตาปรกติ แต่รัศมีความชั่วร้ายยังคงเคลื่อนไหวคุกรุ่นอยู่รอบๆ ตัวเบญจา
"มาแล้วเหรอจ๊ะเบญจา"
"พี่ติณห์เป็นอะไรคะ ทำท่าตกใจแปลกๆ"
"ใครบอกว่าตกใจ พี่ดีใจที่เห็นหน้าเบญจี้ตะหาก"
"แล้วพี่ถืออะไรอยู่ในมือคะ"
"no! nothing! ไม่มีอะไรจ้ะ"
"ไม่เอาค่ะพี่ติณห์ อย่าโกหกเบญจาซีคะ ก็เบญจาเห็นว่าพี่ซ่อนมันอยู่ข้างหลัง"
ติณห์จงใจขยับมือที่กำของไว้ข้างหลัง แต่ปากยังปฏิเสธ
"เอ่อ...ไม่มีอะไรจริงๆจ้ะ"
"พี่ติณห์คะ!"
เบญจาก้าวเดินเข้ามาใกล้ติณห์ พลางใช้สายตาบังคับ ติณห์ยังคงยิ้ม ทีเล่นทีจริง
"no…no…no…พี่บอกว่าไม่มีก็คือไม่มีซีจ๊ะ"
เบญจาโกรธ ตะเพิดออกไปสุดแรง
"พี่ติณห์..."
เสียงของเธอทำให้เกิดลมปะทะเข้าตัวจนติณห์ผงะ เศษใบไม้ที่สวนลอย กระจายไปทั่ว เธอแบมือขอมาที่เขา
"ส่งมาค่ะ หนูขอดีๆ เพราะรักพี่ติณห์นะคะ อย่าให้หนูโกรธมากกว่านี้ค่ะ"
"ไม่ให้ ยังไงพี่ก็ไม่ให้"
เขาหันวิ่งเข้าสวนที่ซับซ้อนไป เธอยืนโกรธมาก
"พี่ล้อเล่นกับความรักของหนูอย่างงี้เหรอพี่ติณห์ หนูโกรธจริงๆแล้วนะ"
เบญจาหลับตาลงท่องคาถาบางอย่าง…ค่อยๆยก 2 มือขึ้นระดับหน้าอก .ที่ฝ่ามือปรากฏเป็นกลุ่ม ควันสีขาวเป็นก้อนกลมๆเคลื่อนไหว หมุนรอบตัวไปมา แล้วเธอก็ลืมตาขึ้น...ชนสันมือทั้ง 2 เข้าประชิดกันแล้วเป่าควันสีขาวไปพุ่งไปที่สวนดัด
ติณห์ที่ทำเป็นวิ่งหนีมา ยิ้มๆมั่นใจว่าแผนนี้คงสำเร็จ
"เร็วซีเบญจา อยากได้ก็ตามมา ไอจะทำให้ยูอึ้งจนยอมบอกไอทุกสิ่งทุกอย่างที่ไออยากรู้เลย"
แต่แล้วติณห์ต้องชะงักเมื่อพบว่า มีหมอกควันสีขาวเข้าปกคลุมสวนอย่างรวดเร็วราวกับเงาของปี ศาจ
"ห่ะ! โกรธแล้วปล่อยอาวุธนิวเคลียร์เลยเหรอเนี่ยะ ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวจริงๆ แต่ไอต้องไม่ หวาดหวั่นเพื่อช่วยมัม แกรนด์ปา คุณณิน ไอต้องยอมเสี่ยง"
และแล้วมีเสียงเบญจาดังก้อง
"พี่ติณห์! เอาของนั่นมาให้หนู"
ติณห์หันขวับไปมองด้านหลัง เห็นเบญจาเดินยื่นมือขอออกมาจากหมอกควันหนามุมหนึ่ง
เขาไม่ให้ แล้วหันวิ่งไปยังทางแยกของสวนอีกทางหนึ่ง
"ฮึ่ม พี่ติณห์!"
เบญจาหยุดยืนแล้วหายเข้ากลุ่มหมอกควัน
ติณห์สีหน้าเจ้าเล่ห์
"ยัยแม่มดน้อย.. ชั้นก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าถ้าเธอโมโหหนุ่มโคตรฟาเตอร์ มาเตอร์เจนเทิลแมน..อย่างชั้นสุดๆ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น"
อยู่ๆเบญจาก็เดินโผล่ออกมาจากกลุ่มหมอกข้างหน้า
"หนูบอกว่าให้เอามาให้หนู!"
เขาหันเดินหนีไปอีกทาง ก็เจอเบญจาเดินออกจากหมอกควันมาขวางหน้าไว้อีก
"เอามาเดี๋ยวนี้พี่ติณห์ ได้ยินไหม"
เขารีบวิ่งหลบไปอีกทางทันที ทำเอาเบญจาวี๊ด
"แอร๊ย... พี่ติณห์ หนูจะไม่อดทนกับพี่แล้วนะ"
มุมหนึ่งภายในบริษัทซิกส์เซนส์ ญาณินกำลังนั่งเข้าญาณ...เหงื่อตก... เห็นภาพติณห์กำลังวิ่งหนีอยู่ในสวนดัดที่ปกคลุมไปด้วยควันอาคมของเบญจา
ญาณินหน้าเครียดมาก พึมพำเรียก
"ติณห์"
อรวรรณที่เฝ้าอยู่ตรงนั้นรีบถลาเข้ามาใกล้ มองด้วยความเป็นห่วง
"ถึงจะห่วงคุณติณห์ขนาดไหน แต่อย่าเชียวนะคะ..คุณหนู อย่าถอดจิตของคุณหนูไปที่นั่น ให้ยัยเบญจาเห็นเป็นอันขาด เดี๋ยวจะเสียแผน"
"ติณห์คะ...ระวังติณห์!"
"อย่าไปนะคะคุณหนู...อย่า!"
ติณห์เดินหนีมาตามทางกลางสวนดัดกว้าง ข้างหน้าเป็นต้นไม้ดัดมาขวางเป็นแผง พร้อมกับมีเสียงเบญจาตามมากดดันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
"พี่ติณห์"
"แลบบริริ้นท์ เขาวงกตเหรอ..เป็นไปได้ยังไง"
เขาหันเดินหนีไปอีกทาง แต่ก็กลายเป็นทางตันต้นไม้ดัดมาขวางอีก
"พี่ติณห์!"
เขาหันกลับไปยังทางเดิมที่เพิ่งมา แต่กลายเป็นเขาวงกตไปแล้ว
"Oh My God! นี่มันยังกะสมัยที่เราเคยไฟท์กะไอ้หมอผีสมคิด"
เบญจายืนโกรธอยู่ข้างหลัง
"หยุดเล่นได้แล้วค่ะพี่ติณห์"
ติณห์แจอแรงปะทะหงายหลังล้มลงไปทันที เนื้อตัวมีแสงช็อตระยิบระยับราวกับคลื่นแม่เหล็ก เจ็บปวด
"อ๊าก"
อ่านต่อหน้า 4
สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 11 (ต่อ)
ภาพติณห์ถูกอาคมเล่นงานชัดเจน ทำให้ญาณินหลุดจากสมาธิทันที ลืมตาขึ้น
"เกิดอะไรขึ้นคะคุณหนู"
ญาณินบอก
"ติณห์เจออาคมของเบญจาเข้าแล้ว"
"อ้าว ก็ไหนว่าคุณติณห์มีตะกรุดไงคะ"
"ตะกรุดคงต้านได้แค่เสน่ห์ที่เบญจาทำใส่ติณห์ แต่ต้านอาคมพิศดารอื่นๆของเบญจาไม่ได้ ติณห์กำลังตกอยู่ในอันตราย หนูต้องไปหาเค้า"
"ไม่ได้นะคุณหนู อย่าไป!"
"ญินเป็นห่วงเค้า หนูต้องไปดูเค้า"
"คุณหนู เดี๋ยวยัยเบญจามันรู้ความจริงว่าเรา..."
อรวรรณเตือนไม่ทันขาดคำ ญาณินหลับตาเข้าสมาธิอีกครั้ง
"อย่า... คุณหนู โธ่..ถอดจิตไปซะแล้ว โธ่เอ้ย! นังเบญจา ตกลงแกเป็นคนหรือปีศาจกันแน่เนี่ยะ"
อรวรรณโกรธไปถึงเบญจา
มุมหนึ่งที่กลางสวน ติณห์นอนเจ็บปวดราวถูกไฟช็อตตรึงอยู่ที่พื้น เบญจาเดินเข้ามานั่งยองลงข้างๆ เอามือยื่นไปลูบไล้ใบหน้าเขา
"หนูเตือนพี่แล้วให้หยุด พี่ก็ขัดใจหนู ทำให้หนูโกรธ ถึงได้เป็นอย่างงี้ เสียแรงที่หนูรักพี่ แต่พี่แอบมีลับลมคมนัยกับหนู หึ ของในมือพี่คิดจะมาทำอะไรหนูเหรอ เอามาให้หนูดู เดี๋ยวนี้ เอามา"
เบญจายื่นมือไปยังมือติณห์ที่กำของอยู่แน่น แย่งของมาดู แต่เมื่อเห็นต้องชะงัก หน้าร้ายเปลี่ยน ไปทันที เพราะของในมือมันเป็นกล่องกำมะหยี่และอาคมของเบญจาที่ควบคุมติณห์อยู่ก็หายไป ด้วยทันทีที่เบญจาหายโกรธ
"นี่กล่องอะไร"
"เบญจา...ก็...เปิดดูซี"
เธอค่อยๆเปิดกล่องดู เห็นเป็นแหวนเพชรวงเล็กๆน่ารัก
"ห่ะ...แหวน!"
"พี่ตั้งใจเอาแหวนวงนี้มาให้เบญจา"
"โธ่พี่ติณห์ แล้วทำไมต้องทำลับๆล่อๆ ไม่บอกหนูแต่ทีแรก ปล่อยให้หนูเข้าใจผิด"
"พี่อยากเซอร์ไพรส์เบญจา"
"พี่ติณห์ หนูขอโทษ"
เบญจาเข้าประคองกอดติณห์
"ขอโทษที่ระแวงพี่ ทำให้พี่ต้องเจ็บตัวอย่างงี้"
"พี่ไม่ยกโทษให้หรอก จนกว่าเบญจาจะยอมรับแหวนวงนี้จากพี่เสียก่อน"
"ห่ะ...พี่ติณห์"
เบญจาดีใจแทบช็อก
"แหวนวงนี้อาจจะไม่ใช่แหวนขอแต่งงาน แต่ก็เป็นแหวนที่พี่อยากจะสวมให้เบญจา
จับจองไว้ก่อน เบญจาเต็มใจจะสวมมันไว้ไหม"
"เต็มใจค่ะ เต็มใจที่สุด"
ติณห์ยิ้ม หยิบแหวนมาใส่นิ้วให้เบญจา แล้วจูบที่หน้าผากเธอ
จิตญาณินยืนแอบดูอยู่แบบปวดใจ
"ต่อแต่นี้...เบญจาคือรักเดียวของพี่"
"ค่ะ พี่ติณห์ก็คือรักเดียวของเบญจา เบญจาสัญญาจะไม่ระแวงพี่อีกแล้ว"
ดวงจิตญาณินมองภาพนั้นด้วยแววตาปวดร้าวสุดจะบรรยาย เบญจาโผกอดซบติณห์ไว้ ติณห์กอดตอบดีใจที่ซื้อใจเบญจาได้ขาด แต่ครู่เดียวสีหน้ากลับ มาเป็นติณห์คนเดิมที่รู้สึกอึดอัดกับสิ่งที่ทำ แต่ต้องทำ และต้องดำเนินตามแผนต่อไป
"เบญจา"
"ขา...พี่ติณห์"
"พี่จะไปบอกมัมว่าให้ไปติดต่อสู่ขอ แต่พี่ก็ไม่กล้า"
เบญจาขำ
"กลัวทำไมล่ะคะ คุณแม่พี่ไม่ขัดขวางเราหรอก"
"ก็พี่ยังไม่รู้เลยว่าบ้านเบญจาอยู่ที่ไหน คุณพ่อคุณแม่ของเบญจาเป็นใคร"
เบญจาหุบยิ้มทันที จิตญาณินสังเกตการณ์อยู่ตลอด แม้จะรู้ว่าติณห์เล่นละครก็เถอะ
"ตกลงบ้านอยู่ที่ไหนเบญจา พี่อยากจะไปกราบแนะนำตัวเองกับคุณพ่อคุณแม่เบญจา"
เบญจาผละออกจากอกติณห์ทันที
"หนูไม่รู้ว่าแม่หนูเป็นใคร พ่อหนูไม่เคยพูดถึง"
"เอ่อ...โน พรอมแพรม พี่ไม่อยากรู้หรอก งั้นพาพี่ไปกราบคุณพ่อคนเดียวก็พอ"
เบญาจาหันมามองหน้าติณห์อย่างเย็นชาทันที
"หนูก็ไม่รู้ว่า ตอนนี้พ่อหนูอยู่ที่ไหนค่ะพี่ติณห์ จริงๆนะคะพี่ติณห์ หนูไม่ได้อำพี่ หนูจะได้เจอพ่อก็ต่อเมื่อพ่ออยากเจอเท่านั้น หนูถึงต้องอยู่ตัวคนเดียว ที่ผ่านมาหนูดูแล ตัวเอง หนูไม่เคยมีใคร นอกจากพี่"
เบญจาโผกอดติณห์ ติณห์ลูบหลังปลอบ แต่แอบเซ็ง ลงทุนไปเกือบตาย ไม่ได้อะไรเลย ทันใด เบญจารู้สึกเหมือนมีคนแอบดู หันขวับไปทางที่จิตญาณินอยู่แต่ไม่พบอะไร จึงหันไปกอด ติณห์ต่อ
อีกมุมหนึ่ง จิตญาณินแอบอยู่หลังต้นไม้ แต่น้ำตาเริ่มไหลเปาะๆ
กายหยาบของญาณินยังคงนั่งสมาธิอยู่ แต่น้ำตาไหลออกมาอาบแก้ม
"คุณหนูขา...ออกมาจากสมาธิเถอะค่ะ คุณหนูจะไปเฝ้าดูเขาอยู่ทำไม ในเมื่อดูแล้ว เห็นแล้ว ทำให้คุณหนูเป็นทุกข์ ความรักมันทำให้คนเราทุกข์ได้ถึงขนาดนี้เชียวเหรอ"
อรวรรณเศร้าตามญาณิน
เวลากลางคืน เจ้าที่กำลังนั่งเหงาอยู่ที่หน้าบริษัท ซิกส์เซนส์
"เหงาที่สุดๆ เหงาสุดซอย เฮ่อ... เวลาสาวๆ เดอะแก๊งค์ซิกส์เซนส์อยู่ไม่ครบให้ได้ยิน เสียงทะเลาะ เจี๊ยวจ๊าวกวนประสาทเนี่ย...ทำไมหัวใจป๋ามันช่างแห้งเหี่ยวเหมือนมะเขือเผาจริงๆหนอ เอ๊ะๆๆ...พูดถึงก็มา"
พงอินทร์ขับรถเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน กรรณาเปิดประตูลงจากรถ
เจ้าที่ดีใจ
"เฮ้ What’s up หนูกรรณ!"
"เดี๋ยวก่อนคุณ!"
พงอินทร์รีบลงจากรถตามลงมา กรรณาหยุดยืนมองอย่างกวนๆ
"ฮันแน่...ไอ้หนุ่มหน้าตากรุ้มกริ่ม มันมาส่งหนูกรรณอีกแล้ว ไม่ธรรมดาซะแล้ว"
แต่กรรณาดันได้ยิน
"ไม่ธรรมดายังไงเหรอ"
"ชะอุ้ย! เก๊าไม่รู้"
เจ้าที่รีบหายตัวไปแอบฟังบนต้นไม้
"คุณพูดอยู่กับใครน่ะ"
"ฉันคุยกับเจ้าที่"
"ห๊า! เจ้าที่ ฮ่ะๆๆ"
เจ้าที่เท้าเอว ฉุนแทน
"นี่หยุด! ฉันเกลียดที่สุดเสียงหัวเราะเยาะของนายแบบนี้"
พงอินทร์หยุดแทบไม่ทัน
"ฮ่ะๆๆ ดีสมน้ำหน้า"
"หึ สุดท้ายนายก็คิดว่าที่ฉันได้ยินเสียงผี เป็นเรื่องแหกตา"
"เปล่านะคุณ ถ้าผมคิดอย่างงั้น ผมจะยอมให้คุณเกาหลังผมจนหลับเพื่อให้คุณคุยกับพี่พิมทำไม"
เธอหันไปคว้าคอเสื้อพงอินทร์กระชากเข้ามาพูดใส่หน้า
"งั้นนายบอกฉันมาให้ชัดๆซิ...ว่านายเชื่อฉัน! เชื่อว่าฉันได้ยินเสียงวิญญาณจริงๆเชื่อว่า ฉันมีสัมผัส พิเศษ…เชื่อด้วยหัวใจของนาย ไม่ใช่เสแสร้งแกล้งทำ"
กรรณาถามพลางใช้มืออีกข้าง จิ้มนิ้วไปที่อกซ้ายพงอินทร์ ทั้ง2มองจ้องตากัน เธอรอคอยคำตอบของเขาด้วยใจจดจ่อมาก
"ผมเชื่อ"
กรรณายิ้มดีใจ แต่แว๊บนึง ความแสบที่เขาเคยทำไว้ในวัยเด็ก ทำให้เธอกลับมาระแวงอีกครั้ง
"แต่ฉันไม่เชื่อว่านายจะคิดอย่างนั้นจริงๆ"
กรรณาดึงมือกลับ ผลัก ปล่อยคอเสื้อ เขาเป็นฝ่ายที่จับไหล่เธอไว้แทน
"ทำไมเหรอคุณ! หน้าตาผมมันเชื่อถือไม่ได้งั้นเหรอ"
"ก็เออดิ หน้านายมันเดาใจไม่ถูก ตอนนี้นายพูดแบบนี้กับฉัน แต่เดี๋ยวหลับหลังนายก็อาจ จะเอาไปพูดใส่สีตีไข่เป็นเรื่องโจ๊ก เรื่องตลก หัวเราะเยาะฉัน"
"จริงเหรอ! ผมเป็นคนแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ"
"ก็นายเคยทำอย่างงั้นมาแล้ว จำไม่ได้หรือไง เมื่อตอนประถมน่ะ"
กรรณาพูดอย่างแค้นฝังลึก พลางนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่เจอเข้ากับตัวเอง
กรรณาเจ็บไม่ลืม พงอินทร์ทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ เพราะเขาคิดว่ามันก็แค่เรื่องเด็กๆเล่นกัน
"โธ่คุณ! เรื่องสมัยประถมเกือบ 20 ปีมาแล้ว คุณยังเก็บมาแค้นฝังหุ่นอีกเหรอ"
"ใช่ซี นายลืมสิ่งที่นายทำกับฉันไว้ แต่สำหรับฉัน ตลอด20ปีฉันไม่เคยลืมนายเลย รู้มั้ยนายโจ้!"
เจ้าที่บอก
"เออ...รู้ไหม เจ็บแล้วจำเว้ย!"
กรรณาพูดแล้วน้ำตาพาลจะไหล จนต้องหันหน้าหนี แต่มันทำให้พงอินทร์รู้สึกดีมากๆ
"ผมดีใจมาก ที่คุณยังจำเรื่องตอนเด็กของเรา2คนได้ ไม่เคยเจอกัน20ปี คุณไม่เคยลืม ผมเลย วู้!"
"นี่ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ"
กรรณาหันขวับจะมาด่า แต่พงอินทร์ชิงพูดเสียก่อนด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ จริงใจ ตาจ้องเป็นประกาย
"ผมขอโทษ!"
กรรณาเจอไม้นี้ อึ้งกริบ
"ไม่ว่าผมจะเคยทำอะไรเอาไว้เมื่อตอนเด็กๆ...ผมต้องขอโทษคุณ ผมอยากให้คุณรู้ว่า ตอนนี้ผมเปลี่ยนไปแล้ว ดูผมซี...ผมโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กชายโจ้ที่ทำอะไรเฮี้ยวๆ ซนๆ ไม่รู้จักคิดเหมือนตอนเด็กๆอีกแล้ว จากนี้ไปไม่ว่าผมจะทำอะไร รับรองได้ว่า ผมจะไม่มีวันทำร้ายจิตใจคุณเด็ดขาด"
"ฮั่นแน่! มามุกนี้ ไม่ต้องไปเสม็ดก็เสร็จทุกราย" เจ้าที่บอก
หัวใจกรรณาถึงกับเต้นโครมคราม แต่ยังปากแข็ง
"เหม็นขี้ฟันนะนายโจ้ ไม่ต้องมาทำปากหวานกับฉัน ไม่ได้ผลหรอกนายโจ้"
กรรณาหันจะเดินหนีเข้าบ้าน แต่พงอินทร์คว้ามือจับไว้
"คุณก็ให้โอกาสผมซี แล้วผมจะพิสูจน์ให้ดู"
"นี่ปล่อยมือฉันนะ"
กรรณาจะดึงมือกลับแต่พงอินทร์จับไว้แน่น แถมยื่นหน้าเข้าใกล้จนเธอต้องเอนตัวหนี
"เอาล่ะเว้ยเฮ้ย หนูกรรณเจอจิ้งจอกหนุ่มบุกจู่โจมถึงตัว"
"ก็ให้โอกาสแบบว่า...ให้ผมอยู่ใกล้ๆคุณ โทร.หาคุณ มาหาคุณทุกวัน ไปรับไปส่ง ไปกินข้าว ด้วยกัน เสาร์อาทิตย์ก็ไปดูหนังด้วยหัน วันหยุดเราก็ไปทะเล"
"เฮ้ย...เพ้อเจ้อ มาอยู่ใกล้ฉันไม่กี่วัน นายก็เผ่นแล้วล่ะ ไม่มีวันมาทนอยู่ใกล้คนที่ได้ยิน เสียงผีอยู่ตลอดเวลาอย่างฉันได้หรอก"
"ฮะฮ่า...ยัง...ยังไม่ได้แอ้มเว้ยไอ้หนุ่ม"
"พนันกันมั้ยล่ะ ผมไม่เผ่นง่ายๆหรอก"
พงอินทร์พูดพลางดึงกรรณามาโอบเอวไว้
"เย้ย! มันกำลังใช้ท่าไม้ตายแล้ว"
"ผมไม่ใช่คนกลัวผี แล้วผมก็จะขอให้วิญญาณพี่พิมที่ตามคุ้มครองผมอยู่ช่วยคุ้มครองคนที่ผมรักด้วยอีกคน"
วลีหลังทำให้กรรณานิ่งอึ้งอยู่ในอ้อมแขนพงอินทร์ เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้จะจูบ
"เสร็จมันจนได้ อึ๋ย!"
เจ้าที่ยกมือขึ้นปิดตา เธอลืมตัวหลับตาพริ้ม แต่พอพงอินทร์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ก้องฟ้าก็มาแทรกมาตรงกลาง เธอลืมตาหันมาเจอหน้าน้องชายพอดี
"จ๊ะเอ๋...หลับตาทำไมจ๊ะ พี่สาว"
"อ๊า...ไอ้บ้า ไอ้ก๊อง"
"พี่โจ้ พี่กรรณากำลังจะคิส กันหรา"
"เฮ้ย ไม่ใช่นะ บ้าเหรอ ชั้น..ไม่ได้เป็นคนแบบนั้นนะ"
"อะไรนะ หมายความว่าไง" กรรณาถาม
"หมายความว่า พี่โจ้...ไม่ได้คิดอะไรกะพี่สาวผม"
"ก็..เอ้อ..ก็" พงอินทร์อ้ำอึ้งมองหน้ากรรณา
"ไปได้แล้ว หมดธุระแล้ว ก็รีบไปสิ"
"พี่กรรณา ก็..ไม่ได้คิดอะไรกะพี่โจ้"
"ก็..ชั้นเหนื่อยแล้ว..ขออนุญาตไปพักผ่อนก่อนล่ะ"
กรรณารีบเข้าบ้านไป ก้องฟ้าหันมายิ้ม พงอินทร์ยื่นมะเหงกให้ จังหวะนั้นเจ้าที่เขกป๊อก
ก้องฟ้าหันมองหา แต่ไม่ยักมีใคร
พงอินทร์ก้าวขึ้นรถ เหลียวมองไปเห็นกรรณายืนมองส่งอยู่ที่หน้าต่าง แล้วยิ้มอย่างมีความสุข
"กู๊ดไนท์ยัยแว่วเสียงผี"
พงอินทร์ขับรถออกไป
เวลากลางคืน ติณห์เดินเปิดประตูห้องนอนเข้ามาแล้วชะงัก มองไปมุมหนึ่งพบจิตญาณินยืนมองเขาอยู่
"คุณณิน"
ความคิดถึงจนลืมตัว เขารีบวิ่งเข้าไปกอดเธอทันที
"ติณห์คะ"
ติณห์ทะลุจิตโปร่งใสของญาญินไป
"คุณสัมผัสชั้นไม่ได้หรอกค่ะ"
"ผมอยากกอดคุณ ผมคิดถึงคุณ"
ติณห์พูดพลางยื่นมือไปทำได้แค่เหมือนประคองที่หน้าโปร่งใสของญาณิน
"ฉันก็คิดถึงคุณ คุณปลอดภัยดีนะคะ"
"ผมปลอดภัยดี ญาณิน แต่ผมไม่รู้แล้ว ว่าศัตรูของเรามันเป็นคนเหมือนเราหรือเป็นอะไร..มันต้องการอะไร...มันมีความสามารถทำเรื่องเหนือธรรมชาติที่เราเดาไม่ได้เลย"
"คุณกลัวเหรอคะ ติณห์"
"ผมยอมรับว่าผมกลัว แต่แม่ผมล่ะ ผมจะทิ้งแม่ได้ไง"
"เราจะไม่ทิ้งกันค่ะ จะไม่มีใครทิ้งใครทั้งนั้น ณินก็จะสู้ไปกะคุณ แม้ตัวจะไม่ได้อยู่ข้างๆ คุณ แต่คุณก็รู้ใช่ไหม ว่าจิตใจฉันจะมาช่วยคุณเสมอ"
"คุณอยู่กับผมจริงๆใช่ไหม ไม่ใช่ผมฝันไป ใช่ไหม"
"เราไม่ได้ฝันค่ะ ติณห์"
"แต่ผมว่า มันเหมือนฝันร้ายเลย"
"คุณระวังตัวนะคะ...ชั้นต้องไปแล้ว"
"เห็นไหม ฝันร้ายชัดๆ เดี๋ยวคุณก็จะละลายหายไปต่อหน้าเลย"
"ฉันก็จะลืมตาขึ้นมา แล้วไม่เห็นคุณเหมือนกัน"
"ถ้าแผนนี้สำเร็จเมื่อไหร่ ผมจะไม่ยอมให้คุณอยู่ห่างผมอีก ดาหลิง"
"คุณต้องเข้มแข็งนะติณห์ คุณจะหลงรักเบญจาหรือเปล่า"
"ญาณิน...อย่าถามแบบนี้อีก"
"ขอโทษค่ะ ขอโทษ"
"ไม่ใช่แค่ผมต้องเข้มแข็ง คุณก็ต้องเข้มแข็ง แล้วก็เชื่อใจผมด้วย"
"ค่ะ..ชั้นจะเชื่อใจคุณ ฉันรู้ว่าคุณต้องเสี่ยงอันตราย อยู่ใต้สภาวะกดดันแค่ไหน"
"ขอกำลังใจผมหน่อย"
"สู้ๆนะคะ...ไฟท์ติ้ง"
"ไฟท์ติ้ง"
ทั้งคู่กอดกันทั้งๆที่ไม่สามารถสัมผัสกันได้
ห้องนอน ภายในบริษัทซิกซ์เซนส์ กลางดึก กรรณานอนพลิกไปพลิกมา คำพูดของพงอินทร์ทำให้เธอนอนไม่หลับ
"อี๋ย์...เสร่อ เชย แหวะ"
ด่าเสร็จ แต่ก็แอบนอนกัดเล็บคิด อมยิ้มคนเดียว เสียงไลน์ที่มือถือดังขึ้น กรรณาเปิดโคมไฟข้างเตียง คว้ามือถือมากดดู เห็นพงอินทร์ส่งข้อความเสียงมา
"นายโจ้!"
กรรณาเปิดข้อความเสียงของพงอินทร์
"หลับยังคุณ พอรู้ว่าพี่พิมคอยจะร้องเพลงกล่อมผม ผมเลยนอนไม่หลับ"
"ชิ เรื่องของนายซิ ไหนบอกว่าไม่กลัวผี"
ข้อความของเขายังไม่หมด แต่เป็นเสียงของพิมอรร้องเพลงกล่อมโจ้ผ่านมาทางข้อความเสียงของเขา เธอฟังสักพักแล้วจึงปิดข้อความเสียง เธอจะวางมือถือ ทำท่าจะนอน เสียงไลน์ดังขึ้นอีก
"อะไรอีกเนี่ยะ คนจะนอน"
แต่เธอก็เปิดอ่าน สีหน้าจดจ่อ
"ถ้ายังไม่หลับ ผมโทรหานะ"
"เอ๊ะ! ใครบอกนายว่าฉันยังไม่หลับ ไม่ต้องส่งมาแล้ว ฉันจะนอนแล้ว"
กรรณาวางมือถือ นอนลง แต่หูก็คอยเงี่ยฟังรอพงอินทร์โทรเข้ามาตลอดเวลา แต่ก็ไม่โทรมาซะที เธอพลิกตัวหันมามองมือถืออย่างฉุน
"ดีแต่ส่งมาอยู่ได้ ไม่เห็นโทร.มาเลย ฉันไม่รอแล้ว"
กรรณาตวัดผ้าห่มคลุมโปง แล้วเสียงมือถือก็ดังขึ้น กรรณาตวัดผ้าห่มโผล่หน้ามา สีหน้าดีใจสุดๆ รีบคว้ามากดรับโดยไม่ทันดูเบอร์
"ฉันหลับแล้ว โทรมาทำไมดึกๆดื่นๆ"
ปลายสายเงียบ
"ฮัลโหลๆ นี่ โทรมาแล้วทำไมไม่พูด โรคจิตเหรอห่ะ"
ปลายสายเงียบจนกรรณาชักผิดสังเกต ก้มมองลงมือถือเขียนว่าเป็นเบอร์ส่วนตัว
"ไม่ใช่เบอร์นายโจ้นี่ งั้นใครโทร. ฮัลโหล…นั่นใครน่ะ"
กรรณาพยายามแนบหูฟังชัดๆ แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะของผู้หญิงดังมาตามสาย
"ฮิๆๆๆ เตรียมตัวไว้ให้ดี ฉันจะเอา...แก....ลงนรก"
กรรณาอ้าปากค้าง เสียวสันหลังวาบ
เช้าวันต่อมา กองถ่ายในโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง ปาร์คจุนจีก้าวเร็วเข้ายืนแอบเข้าที่ผนังพลางโผล่หน้าออกไปแอบมอง...
เนื้อหาในละครในตอนนี้คือ พระเอกหลงรักนางเอก แต่ถูกกีดกันเพราะนางเอกถูกที่บ้านหมายหมั้นจะให้แต่งงานกับตัวโกงลูกเจ้าของโรงแรม ด้วยความรัก พระเอกเลยแอบเข้าโรงแรมมาหานางเอกเมื่อรู้ว่านางเอกจะมางานเลี้ยงที่ในโรงแรม แต่ซีนนี้ดันมาเจอตัวโกงเสียก่อน
... ปาร์คจุนจีมองไม่เห็นใครเลยเดินออกไป แต่ต้องชะงักเมื่อไปเจอกับตัวโกงในชุดสูทยืนอยู่กับ ลูกน้อง2คน
"จับมันโยนออกไปจากโรงแรมฉัน"
ปาร์คจุนจีตั้งท่าสู้รอสีหน้าเข้ม ลูกน้องหน้าเหี้ยมทั้ง 2 วิ่งปรี่เข้าไปหา
"ย๊าก"
ปาร์คจุนจีเตะต่อย 2 สตั๊นแมนที่เล่นเป็นลูกน้องด้วยลีลาเทควันโด้
ลีจองกุ๊กยืนดูการถ่ายทำอย่างเมามันราวกับเชียร์มวยอยู่
"โต่ยซ้าย...โต่ยขวา...ถีบๆๆ...เยๆๆอย่างงั้นแหละ ไม่เสียแรงที่กุ๊กพาไปเรียนเทควันโด้
คิกๆๆ รางวัลผู้จัดการเข็นใจเอ่อ...ขวัญใจดารามะหาชนปีนี้ต้องเป็นของกุ๊กแน่ๆ"
2 สตั๊นแมนหมุนตัวกลางอากาศใส่เกรียว ตีลังกาล้มแบบเว่อร์ลงกับพื้น ปาร์คจุนจีสะบัดหมัดจะเดินต่อไปเพื่อไปหานางเอก แต่ตัวโกงชักปืนออกมา
"มึงหยุด! ไม่งั้นกูยิง"
ปาร์คจุนจีหยุด ตัวโกงเดินจ่อปืนขบกรามเข้ามาหาช้าๆ
"มึงคิดจะมาแย่งคุณหนูไปจากกูเหรอ ไอ้กระจอก!"
ตัวโกงเงื้อปืนตบหน้าปาร์คจุนจีด้วยปืน
ผู้กำกับสั่งผู้ช่วย
"คัท! เอ๊า...เติมเลือดให้พระเอกหน่อย เต้ยๆ เดี๋ยวเอ็งไปบอกให้อินเซิร์ท"
ทีมงานหน้าผมเดินเข้ามาเติมเลือดที่มุมปากให้ ลีจองกุ๊กถือขวดน้ำเข้ามา
"สุดโค่ยๆเลยจุนจี เรื่องนี้ออนแอร์เมื่อไหร่ ดังระเบิดเมื่อนั้น ฮ่ะๆๆ กินน้ำก่อนๆ"
"ไม่เอาน้ำ จะเอาคุณแก้ม"
"หา!"
ทีมงานที่มาเติมเลือดเติมหน้าผมพากันหยุดชะงัก
"เป็นอาไร้! โพ้มหมายถึง คุณแก้มมาหรือยัง"
"อ๋อ...กอ-ทอ-มอรถติดมั่กๆ รออีกแป๊บเดียวก็คงมา"
ปาร์คจุนจีอารมณ์เสียเพราะอยากเห็นหน้ากรรัมภา
"รู้ว่ารถติด ทำไมไม่รีบออกมา เกลียดจริงๆเลย ผู้หญิงมาไม่ตรงเวลานัดผู้ชาย"
"แล้วนายจะให้คุณแก้มรีบทำไมจุนจี นายก็ยังถ่ายละครอยู่เลย"
"ก็ฉันอยากจะเห็นหน้ายัยนั่น!"
ปาร์คจุนจีลืมตัวพูดโพล่งออกมา แล้วก็หยุดกึก ทำเอาทีมเติมเลือด เติมหน้าผม อึ้ง ฟังตาเป็นเรดาร์ ลีจองกุ๊กต้องรีบแก้
"เอ่อ...จุนจีเค้าหมายถึงอยากจะคุยธุระด้วยนะ เรื่องเป็นพรีเซ็นเตอร์เครื่องสำอางตัวใหม่ คุยทางมือถือแล้วมันไม่ถนัด ต้องคุยกันแบบเห็นหน้า แฮ่"
ช่างแต่งหน้าทำผมแอบหันมาเม้าท์กัน
"ต๊าย...อีผู้จัดการนี่แถซะเลือดซิบๆเลย"
"เออใช่ ถ้ามันไม่พูดมาก ชั้นก็ไม่คิดมากหรอก"
อีกมุมหนึ่ง...ปาริฉัตรในชุดราตรีสั้นสำหรับงานเลี้ยงกลางวันกำลังให้สัมภาษณ์นักข่าวขณะรอ เข้าฉากโดยมีแฟนคลับของปาร์คจุนจีมารวมตัวกันรออยู่ใกล้ๆ หวังได้พบหน้าเขาในช่วงพักถ่ายทำ
"แบบว่าจุนจีหลงรักเป้ยแล้ว...อุ้ย...พระเอกหลงรักนางเอกแล้วน่ะค่ะ โทษที ฮิๆ แต่ถูกทาง
บ้านนางเอกกีดกัน เพราะรังเกียจที่พระเอกเป็นแค่เด็กเสิร์ฟต่างด้าว และกำลังจะ
ให้นางเอกแต่งงานกับทายาทโรงแรม พระเอกเลยแอบตามมาหานางเอกที่งานเลี้ยงคอก
เทลด้วยความคิดถึง ฉากที่จะถ่ายวันนี้จุนจีเค้าจะน่าสงสารมากเลยค่ะ ทั้งถูกด่าถูกทำร้ายต่างๆนานา ขนาดเป้ยอ่านบทยังร้องไห้เลยค่ะ"
แฟนคลับพากันทำเป็นหน้าเศร้าจะร้องไห้ตามอย่างเว่อร์
"แต่ว่า...ฮิๆๆ จะมีฉากเลิฟๆ ซึ้งๆ ด้วยนะคะ แบบว่าพระเอกพอเจอนางเอกก็จะกอดจะหอม"
แฟนคลับพากันทำหน้าประมาณอยากเป็นนางเอก
"มีจูบด้วยป่าวคะน้องเป้ย" นักข่าวถาม
"อุ้ย...ในบทก็เขียนไว้ค่ะ คนเขียนบทเค้าก็คงคิดว่าสมควรจะจูบ ก็คนเค้ารักกันอ่ะ แต่เป้ย...ก็แล้วแต่ผู้กำกับค่ะ คุณแม่เป้ยก็อนุญาตไว้แล้ว ว่าถ้าเป็นการแสดง คุณแม่ก็ไม่ว่า เป็นนักแสดงต้องแสดงได้ทุกบทค่ะ"
อีกมุมหนึ่งไม่ไกล...ซองซูกำลังตั้งกล้องโทรศัพท์ และกำลังแสดงควิโยมี่ เพื่อทวีตให้แฟนๆดู
"1 + 1 น่ารักป๊ะ? 2 + 2 น่ารักป๊ะ? 3 + 3 น่ารักป๊ะ? นะ นะ น่ารักป๊ะ? นะ นะ น่ารักป๊ะ?
4 + 4 น่ารักป๊ะ? 5 + 5 น่ารักป๊ะ? 6 + 6 จุ๊บๆๆๆๆ น่ารักป๊ะ? ฉันน่ารักใช่ไหมล่ะ?"
ซองซูส่งจูบใส่ไอโฟนแล้วตาก็มองไปเห็นกรรัมภากำลังเดินตรงเข้าโรงแรมมาอย่างเด่น
เช่นเดียวกับปาริฉัตรที่หันไปเห็น หน้าแอบเปลี่ยนเป็นร้ายทันที ลุกขึ้น พูดนำดังๆให้แฟนคลับได้ยิน
"ว้ายๆ...ผู้หญิงคนนั้นมาอีกแล้ว คราวก่อนที่พาจุนจีหายตัวไปถึงอัมพวา ยังคาใจแฟนคลับไม่หายเลยนะคะ วันนี้จะมาพาจุนจีไปไหน อีกรึปล่าวก็ไม่รู้"
ไม่ทันขาดคำ เหล่าแฟนคลับก็กรูกันเข้าไปล้อมกรอบกรรัมภาทันที
แฟนคลับ1บอก
"ออกไปนะ อย่ามายุ่งกับโอปะของเรา"
"ว้าย!"
กรรัมภาพยายามจะแหวกวงล้อมออกไป แต่ออกไปไม่ได้ ถูกแฟนคลับคล้องแขนกันล้อมไว้เป็นไข่แดงแล้วก็พากันตะโกนใส่พร้อมๆกัน
"ชะนีออกไป ชะนีออกไป จุนจีเป็นของเรา จุนจีเป็นของเรา จุนจีเป็นของเรา จุนจีเป็นของเรา"
"อ๊าย"
กรรัมภาได้แต่ยืนมือปิดหูก้มหน้าก้มตาหลบกล้องของนักข่าวที่กำลังกดชัตเตอร์รัว ปาริฉัตรยืนสะใจ ซองซูยืนเก้ๆกังๆจะเข้าไปช่วยก็ไม่กล้า กลัวตกเป็นประเด็น ลีจองกุ๊กเดินออกมาเห็นพอดี ตกใจ
"คุณแก้ม! หยู๊ด...ครับ...หยุด"
ลีจองกุ๊กรีบวิ่งแหวกวงล้อมของแฟนคลับเข้ามาดึงกรรัมภาออกมา
"ขอโทษครับ มีอันฮัมนีดา...มีอันฮัมนีดา...ทู๊กคนอย่าเข้าใจผิดนะคร๊าบ คู้ณแก้มเธอเป็นลูกสาวเจ้าของบริษัทเครื่องสำอางที่มาติดโต่จุนจีไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้น่ะคร๊าบ"
กรรัมภาทำมือโอเค 2 นิ้วชนกันโพสต์ท่า
"ใช่แล้วค่ะ เครื่องสำอางค์O-O-OK เป็นของคุณพ่อแก้มเองค่ะ"
เหล่าแฟนคลับสงบลงทันที ปาริฉัตรอึ้ง ซองซูทึ่ง ลีจองกุ๊กรีบปัดมือไล่กรรัมภา ลีจองกุ๊กกระซิบบอก
"ไปซี ไปก่อน"
"เอ่อ...แล้วเจอกันนะคะ อัน-นยอง-ฮี-คา-เซ-โย"
กรรัมภารีบเดินเข้าไป ผ่านซองซูที่ยืนมองตาม อ้าปากหว๋อ
"เป็นถึงลูกสาวเจ้าของเครื่องสำอางโอ-โอ-โอเคเลยเหรอ โธ่เอ้ยซองซู...แกโง่อะไรอยู่ถึงเพิ่งรู้ คุณแก้ม รอผมด้วยคร้าบ"
ซองซูรีบเดินตามไป
"คุณแก้มครับ ดูผมทำควิโยมีสิครับ 1 + 1 น่ารักป๊ะ? 2 + 2 น่ารักป๊ะ? 3 + 3 น่ารักป๊ะ? นะ นะ น่ารักป๊ะ? นะ นะ น่ารักป๊ะ?"
ลีจองกุ๊กยืนอธิบายกับแฟนคลับและนักข่าว
"คืออย่างงี้นะครับ วันนั้นที่ไปตลาดน้ำกัน เค้าไปดูโลเกชั่นถ่ายโฆษณาเครื่องสำอาง น่ะครับ"
ปาริฉัตรสะบัดหน้าเดินไปอย่างหงุดหงิด
"สะตอเบอรี่เกาหลี ชริ"
อ่านต่อตอนที่ 12