สุดสายป่าน ตอนที่ 11
กานดามณีแค้นแต่พูดไม่ออก ได้แต่ฮึดฮัด แต่จำเป็นต้องเดินตามวิสูตรออกไป ท่านหญิง พุดตาน นมสาย หน้าชื่น นมสายแทบจะลุกไปอุ้มเจ้าหน้าที่จากเขตให้รีบกลับๆ ออกไป
“เสร็จแล้วก็รีบกลับเถอะค่ะ เดี๋ยวจะเสียเวลา เชิญค่ะ เชิญ...เดี๋ยวอิฉันจะให้รถไปส่งให้ถึงที่เลย”
นมสายรีบรุนหลังเจ้าหน้าที่ออกไป ฐิติลอบถอนหายใจอย่างโล่งใจ
ครู่ต่อมาท่านหญิงทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ในห้องทรงสำราญอย่างเหนื่อยอ่อน แต่สีหน้ายิ้มอย่างสบายใจ
“นี่โชคดีนะที่พ่อวิสูตรเข้ามาขัดไว้ ไม่งั้นฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน”
“วิญญาณของท่านชายกับคุณชายฐิติเทพคงจะคุ้มครองตาติอยู่เพคะถึงได้ทำให้เกิดอุปสรรคขึ้น”
นมสายซับเหงื่อ รู้สึกเหมือนจะเป็นลม
“แต่ก็น่าจะมาคุ้มครองให้เร็วกว่านี้นะคะคุณพุดตาน มาเอาเส้นยาแดงผ่าแปดขนาดนี้ อิฉันหัวใจจะวายซะให้ได้”
“มาช้าแต่ก็ยังดีกว่าไม่มาไม่ใช่รึคะคุณนม” พุดตานบอก
“ก็ถูกล่ะค่ะ” คุณนมลดเสียงเตรียมนินทา “ไม่อยากจะพูด อิฉันว่าอิฉันมองไม่ผิดนะคะ คุณฐิติดูท่าทางจะแอบโล่งใจซะด้วยซ้ำ”
ท่านหญิงค้อนลมแล้ง หมั่นไส้ฐิติเต็มทน
“จะโล่งใจทำไม ในเมื่อตัวเองก็ยืนยันหนักแน่นว่าจะแต่งงานกับแม่กานดามณีให้ได้...ฮึ พอจะแต่งจริงๆ ก็หน้าซีดหน้าเซียว”
“ดิฉันแน่ใจนะเพคะว่าตาติรักแม่กานดาวสี แต่ที่หย่ากันก็เพราะมัวแต่ถือทิฐิ”
ท่านหญิงฟังแล้วหงุดหงิด “น่ารำคาญเด็กพวกนี้จริงๆ ปากอย่างใจอย่าง ไม่รู้จะเอาชนะคะคานกันไปถึงไหน”
“นี่เราจะยื้อเรื่องการแต่งงานของตาติกับแม่กานดามณีไปได้อีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้นะเพคะ” พุดตานเครียดหนัก ไม่ต่างจากท่านหญิง
“นั่นสิ แต่ตอนนี้ฉันอยากรู้จริงๆ ว่า คุณวิสูตรมีเหตุผลอะไรถึงได้ทำให้แม่กานดามณียอมล้มเลิกการจดทะเบียนได้”
ส่วนกานดามณี ตามมาที่บ้านวิสูตร ตะคอกถามอย่างเอาเรื่อง
“แกทำอย่างนี้กับฉันไม่ได้นะ”
“ทำไมจะไม่ได้ พ่อบอกแล้วไงว่าพ่อจะไม่ยอมให้ลูกทำผิดอีกแล้ว”
“แต่มันเรื่องของฉัน ชีวิตของฉัน”
“เรื่องของลูกแต่มันไปกระทบกระเทือนชีวิตของคนอื่น...”
“แล้วชีวิตฉันล่ะ ถ้าฉันไม่ดิ้นรนหาทุกอย่างเอาเอง ฉันจะมาได้ถึงขนาดนี้ได้มั้ย ป่านนี้ก็คงจะดักดานทำงานหาเช้ากินค่ำเหมือนกับแกน่ะแหละ”
“พ่อขอโทษที่พ่อไม่สามารถให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ลูกต้องการได้ แต่พ่อก็พยายามอย่างที่สุดแล้ว ถึงพ่อจะไม่ใช่พ่อแท้ๆ แต่พ่อก็รักลูกมากเท่าที่พ่อคนนึงจะรักลูกในไส้ของตัวเองได้...”
กานดามณีไม่สนใจ ไม่ซาบซึ้งแม้สักน้อย
“พ่อไม่เคยโกรธที่ลูกไม่ยอมรับพ่อ แต่ที่พ่อเสียใจก็คือที่ลูกเป็นอย่างนี้ก็เพราะพ่อทำให้ลูกยอมรับไม่ได้ ลูกถึงไม่เคยเชื่อในสิ่งที่พ่อสอน...พ่อขอร้องเถอะนะลูกณี เลิกทำบาปทำกรรมซะที เลิกทำลายชีวิตคนอื่นโดยเฉพาะพี่สาวของลูก”
กานดามณีระเบิดออกมา “ฉันจะทำ แกจะทำไม ฮะ หน้าอย่างแกจะทำอะไรฉัน”
วิสูตรเสียใจที่กานดามณีไม่ฟัง แต่ก็พูดต่ออย่างตัดสินใจแล้ว
“พ่อก็จะเป็นคนยืนยันกับคุณฐิติเองว่าผู้หญิงที่มั่วกับผู้ชายไปทั่ว...ตั้งแต่เด็ก คือลูก ไม่ใช่กานดาวสี”
“อย่านะ แกทำลายชีวิตแม่ฉันมาคนนึงแล้ว แล้วแกยังจะมาทำลายชีวิตฉันอีกเหรอ”
วิสูตรเริ่มเจ็บหน้าอก ร้าวรานใจที่ลูกคิดว่าตนเป็นคนทำลายชีวิต
“พ่อไม่เคยคิดจะทำลายชีวิตลูกเลย ทุกสิ่งที่พ่อทำก็เพราะพ่อรักและหวังดีกับลูก”
“ไม่ใช่ ก็สิ่งที่แกทำอยู่นี่ล่ะ แกกำลังทำลายชีวิตฉัน...แกทำลายชีวิตฉันตั้งแต่แกเข้ามาในชีวิตแม่ฉันน่ะแหละ ทำไมแกต้องมายุ่งวุ่นวายกับฉันทั้งๆ ที่แกก็ไม่ใช่พ่อของฉัน ถ้าไม่มีแก ฉันก็อาจจะมีความสุขอยู่กับพ่อแท้ๆของฉันก็ได้”
กานดามณีเดินเข้าไปจ้องหน้าจ้องตาวิสูตรอย่างเกลียดชัง
“ที่ฉันเลว สำส่อนอยู่ทุกวัน ก็เพราะฉันกับแม่ต้องมาจมปรักอยู่กับแก...เมื่อไหร่แกจะไปให้พ้นๆจากชีวิตของฉันซะที จะไปตายที่ไหนก็ไป ไป๊...ฉันเกลียดแก ได้ยินมั้ยว่าฉันเกลียดแก ฉันเกลียดแก ฉันเกลียดแก”
วิสูตรหัวใจสลาย เจ็บปวดในสิ่งที่กานดามณีพูดจนล้มลงไป ขวดยาแก้โรคหัวใจกระเด็นออกมาจากกระเป๋า วิสูตรพยายามจะตะเกียกตะกายไปเอายาให้ได้
กานดามณีรีบเข้าไปหยิบขวดยาเอาไว้ มองวิสูตรอย่างสะใจ
“อยากได้ใช่มั้ยยานี่ ขอร้องฉันสิ อ้อนวอนสิ พูดสิว่าแกจะไม่บอกเรื่องฉันกับใคร”
วิสูตรมองกานดามณีอย่างขอร้อง
“ล...ลูก ณี”
กานดามณีมองวิสูตรอย่างเป็นต่อ ไม่ยอมเอายาให้ วิสูตรมองมณีด้วยความเสียใจ น้ำตาไหล ลูกเกลียดตนขนาดนี้เลยหรือ
เสียงรถมาจอดหน้าบ้าน กานดามณีรีบวิ่งไปดูที่หน้าต่าง เห็นท่านหญิง พุดตาน และนมสายกำลังลงจากรถ
กานดามณียืนอึ้งตกใจสุดขีด
ขณะที่ท่านหญิงลักษมี พุดตาน และนมสาย เดินเข้ามาในบ้าน ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ท่าทางกานดามณีตกใจสุดขีด
“ตายแล้ว...ท่านย่ามา ทำไงดีเนี่ย”
กานดามณีรีบร้อนเอายาโรคหัวใจของวิสูตรทิ้งถังขยะ
สามคนกำลังเดินตรงเข้ามาที่ตัวบ้าน กานดามณีในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยวิ่งหน้าตาตื่นหันรีหันขวางออกมา
“ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วยค่ะ”
ท่านหญิง พุดตาน และนมสาย มองสภาพกานดามณีอย่างตกใจ
“แม่กานดามณี เกิดอะไรขึ้น ทำไมหล่อนถึงอยู่ในสภาพอย่างนี้”
กานดามณีแกล้งทำเป็นเพิ่งเห็นท่านหญิง รีบผวาเข้าไปหาอย่างดีใจ
“ท่านย่า...ท่านย่าเพคะ ช่วยหนูด้วย”
พุดตานงง “ใครทำอะไรเธอ”
กานดามณีแกล้งทำเป็นสะอื้น “คุณพ่อค่ะ...คุณพ่อ” แล้วร้องไห้โฮออกมา
ท่านหญิง พุดตาน นมสาย เข้ามาในบ้าน เห็นวิสูตรนอนหายใจพะงาบอยู่ ร่างกายถอดเสื้อ และเข็มขัดกางเกงถูกปลดออก ทั้งหมดตกใจ
“คุณวิสูตร!...” พุดตานอุทาน
นมสายร้องลั่น “ว้าย! คุณพระ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
พุดตานรีบเข้าไปดู
“คุณวิสูตร คุณวิสูตรเป็นอะไรไปคะ”
วิสูตรพยายามจะพูด แต่พูดไม่ออกได้แต่อึกอักอยู่ในคอ จับที่หัวใจ
“ยา”
พุดตานถามงงๆ “ยา ยาอะไรคะ”
นมสายนึกได้ “หรือว่ายาโรคหัวใจ”
ท่านหญิงดุ ”มัวแต่ถามอยู่นั่นล่ะ รีบไปหาสิ อยู่ตรงไหนล่ะพ่อวิสูตร”
สายตาวิสูตรมองเขม็งไปที่กานดามณี
“กาน...”
ท่านหญิงมองตามสายตาวิสูตรไปที่กานดามณีอย่างงงๆ ขณะกานดามณีมองลุ้นสุดขีด กลัววิสูตรจะพูดอะไรออกมา วิสูตรเงียบไป
ท่านหญิงหันกลับไปมอง เห็นวิสูตรนิ่งไป
“อ้าว ตายแล้ว คุณวิสูตรนิ่งไปแล้ว รีบพาไปโรงพยาบาลสิ”
นมสายละล้าละลังก่อนจะรีบเดินแกมวิ่งออกไป ร้องเรียกคนขับรถไปด้วย
“ทองดี มานี่เลย รีบมาช่วยกันหน่อย เร็วๆเข้า”
ไขนภารู้ข่าววิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา ท่านหญิง พุดตาน นมสายเดินสวนมาพอดี กานดามณีเดินตามมาด้วย ในชุดเดิมแต่มีเสื้อหรือผ้าคลุมไหล่ทับไว้ ไขนภาไหว้ท่านหญิง และพุดตาน สองคนรับไหว
“คุณวิสูตรเป็นยังไงบ้างคะ”
ท่านหญิงกับพุดตานมองหน้ากันอย่างสลดใจ
“คุณวิสูตรตายแล้ว”
“อะไรนะคะ จะเป็นไปได้ยังไง”
ไขนภาตกใจสุดขีด
กานดามณีกำลังตีหน้าเศร้าเล่าเรื่องเท็จ ใส่ร้ายวิสูตร ให้ทุกคนฟังอยู่ในห้องรับแขกวังสูรยกานต์
“คุณพ่อพยายามจะปล้ำฉันค่ะ แต่ฉันขัดขืนแล้วก็ผลักเค้าล้ม...”
ไขนภาขัดสุดทนขึ้นทันทีอย่างมั่นใจ
“เป็นไปไม่ได้...ดิฉันรู้จักครูใหญ่ดี ท่านรักและเป็นห่วงคุณกานดามณีเหมือนลูกแท้ๆ ท่านไม่มีทางจะทำอะไรอย่างนั้นแน่ๆ”
กานดามณีตีหน้าเศร้า “คุณหญิงจะรู้ดีกว่าฉันได้ยังไง คุณเพิ่งรู้จักเค้าได้ไม่กี่เดือน แต่ฉันอยู่กับเค้ามาตั้งแต่เด็ก...และเค้าก็พยายามเข้าหาหนูมาตลอด หนูถึงต้องหนีออกมา” พร้อมกับหันไปเรียกร้องความเห็นใจจากฐิติ “จริงๆนะคะฐิติ”
ฐิติตกหลุมพรางอย่างเก่า “ผมว่าเรื่องแบบนี้คงไม่มีใครกล้าพูดขึ้นมาหรอกครับถ้ามันไม่จริง”
กานดามณีได้จังหวะ รีบแสดงละครต่อ บีบน้ำตาให้ไหลพร่างพรูอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส
“แล้วทำไมเธอถึงยอมออกไปกับคุณวิสูตร” พุดตานคาใจ
กานดามณีหน้าเศร้า พูดด้วยเสียงเจือสะอื้น “พ่อขู่ว่าถ้าหนูแต่งงานกับคุณฐิติ เค้าจะโกหกทุกคนว่าหนูเป็นของเค้าแล้ว...”
นมสายร้อง “ว้ายตาย...”
ไขนภาทนฟังกานดามณีใส่ความวิสูตรต่อไปอีกไม่ได้
“เรื่องอย่างนี้ดิฉันคงจะหาหลักฐานมายืนยันไม่ได้ว่าครูใหญ่บริสุทธิ์ แต่ดิฉันก็มั่นใจว่าครูใหญ่เป็นคนดี”
เสียงวิเศษดังขึ้น “ผมก็มั่นใจอย่างนั้นครับ...”
กานดามณีหันขวับไปมองอย่างนึกไม่ถึง เห็นวิเศษกับกานดาวสียืนฟังอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ กานดาวสีประคองวิเศษเข้ามา
“ถึงผมจะรู้จักคุณวิสูตรได้ไม่นาน แต่ผมไม่เคยคลางแคลงใจในความรักความจริงใจที่คุณวิสูตรมีต่อยัยณีเลย ผมยืนยันได้ว่าคุณวิสูตรไม่ได้เข้ามาขัดขวางการแต่งงานของกานดามณีเพราะเรื่องที่กานดามณีบอกแน่ๆ”
กานดามณีหันมาทางวิเศษ “คุณพ่อ... คุณพ่อพูดอย่างนี้หมายความว่าณีโกหกใช่มั้ยค่ะ” แฝดแสบแกล้งทำเป็นน้อยใจกลบเกลื่อน “ใช่สิ ณีมันไม่ใช่พี่วสีนี่ ที่พ่อจะคอยปกป้องทำอะไรเพื่อเค้าได้ทุกอย่าง”
กานดาวสีท้วง “มันไม่ใช่อย่างนั้นนะน้องณี”
กานดามณีหันมาพูดใส่หน้ากานดาวสี “เพราะพ่ออยากให้พี่ได้คนดีๆ อย่างคุณฐิติไง ถึงขนาดทำร้ายฉันพ่อก็ทำ”
กานดามณีมองวิเศษอย่างเจ็บปวด
“ในเมื่อพ่อมีพี่กานดาวสีแล้ว ทำไมพ่อไม่ฆ่าหนูให้ตายไปตั้งแต่เกิดเลยล่ะ จะปล่อยให้หนูเกิดมาเป็นมารทุกคนทำไม”
วิเศษรู้สึกสะเทือนใจ ท่านหญิงตัดบทเสียงขุ่นเขียว
“พอเถอะแม่กานดามณี ไหนๆคุณวิสูตรก็ตายไปแล้ว เรื่องจริงเป็นยังไงมีแต่เธอเท่านั้นที่รู้ อย่าลากเอาคนที่อยู่ไปเดือดร้อนด้วยเลย”
“หนูรู้ว่าหนูเลวในสายตาทุกคนอยู่แล้ว ถึงจะเกิดอะไรขึ้นกับหนูก็คงไม่มีใครสนใจ” กานดามณีพูดราวกับเจ็บปวดเหลือแสน “ในเมื่อพูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ งั้นหนูไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรอีกแล้วล่ะค่ะ”
กานดามณีวิ่งร้องไห้ออกไป
“น้องณี”
กานดาวสีขยับจะวิ่งตาม ฐิติลุกขึ้นหันมาบอกทุกคน
“ผมไปเอง”
อ่านต่อหน้า 2
สุดสายป่าน ตอนที่ 11 (ต่อ)
กานดามณีหนีเข้ามาในห้องนอน แสร้งซบหน้าร้องไห้กับหมอนราวกับเจ็บปวดรวดร้าว น้อยอกน้อยใจเหลือแสน ฐิติเดินตามเข้ามาลงนั่งข้างเตียง
“ทำไมชีวิตฉันจะต้องเจอแต่เรื่องร้ายๆ มาตลอด แม่ก็ตาย พ่อเลี้ยงก็คิดไม่ซื่อ พ่อแท้ๆ ก็ไม่เคยรัก ไม่เคยเห็นว่าฉันเป็นลูกในชีวิตฉันไม่เหลือใครอีกแล้ว”
ฐิติกอดกานดามณีไว้อย่างปลอบประโลม
“อย่าคิดมากเลยนะ ถึงยังไงคุณก็ยังมีผม ส่วนเรื่องคุณอาวิเศษ ผมแน่ใจว่าท่านก็รักคุณไม่น้อยไปกว่าที่รักกานดาวสี เพียงแต่ท่านไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับคุณเท่านั้นเอง”
กานดามณีช้อนตาขึ้นสบตาฐิติอย่างเศร้าสร้อย
“ช่างมันเถอะค่ะ ฉันอยู่ได้โดยไม่มีพ่อมาตั้งนานแล้ว แค่มีติคนเดียวที่เข้าใจฉันก็พอ” กานดามณีชะงัก “แต่ติก็รู้แล้วว่าฉันโตมายังไง ผ่านเรื่องเลวร้ายอะไรมาบ้าง...ติจะยังรักฉันอยู่มั้ยคะ”
ฐิตินิ่งตอบไม่ถูก กานดามณีแกล้งทำเป็นสะเทือนใจ
“ถ้าติไม่แน่ใจในตัวฉัน ติไม่ต้องแต่งงานกับฉันก็ได้นะคะ แต่ขอให้รู้ไว้ว่าฉันไม่เคยมีผู้ชายคนอื่นเลย ชีวิตของฉันมีแต่ติเพียงคนเดียว”
ฐิติจับมือกานดามณีบีบเบาๆ ปลอบโยน
“อย่ากังวลเลยนะครับ ผมสัญญา ยังไงผมก็จะแต่งงานกับคุณ”
กานดามณีโผเข้าซบฐิติอย่างดีใจ ดวงตาเป็นประกายอย่างผู้ชนะ
“ขอบคุณมากนะคะติที่คุณยังรักและเชื่อมั่นในตัวฉันอยู่”
ฐิติกอดกานดามณีไว้ แต่สีหน้าไม่ได้มีความสุข เช่นผู้ชายที่จะแต่งงานกับคนรักเลย
เย็นนั้นที่บ้านกิริเนศวร วิเศษมีท่าทางทุกข์ใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“พ่อไม่เคยคิดเลยว่าลูกณีจะไม่เข้าใจพ่อขนาดนี้ เป็นความผิดของพ่อเองที่ไม่เคยเลี้ยงดูแก ถ้าพ่อรู้ว่าแกยังมีชีวิตอยู่ พ่อคงไม่ปล่อยให้แกต้องโตมาแบบมีปมในใจ แล้วกลายเป็นคนที่ทำร้ายคนอื่นไปได้”
“คุณพ่ออย่าโทษตัวเองสิคะ น้องณีคงน้อยใจถึงได้พูดกับคุณพ่ออย่างนี้
“พ่อแค่ไม่อยากให้ยัยณีทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง สิ่งที่พ่อทำพ่อไม่เคยคิดจะทำร้ายแกเลยแม้แต่นิดเดียว”
“ลูกรู้ค่ะ ลูกเองก็ไม่เคยคิดโทษโกรธน้องเลย ลูกรู้ว่าน้องผ่านอะไรมาเยอะ แกคงอยากจะมีความสุขเหมือนคนอื่นบ้าง”
วิเศษรำพึง “พ่อก็ได้แต่หวังว่า สักวันลูกณีจะคิดได้และเข้าใจในสิ่งที่พ่อทำลงไป”
“ลูกเชื่อว่าในที่สุดน้องณีจะต้องเข้าใจค่ะ เพียงแค่ตอนนี้น้องณีอาจจะยังไม่พร้อม เราคงต้องปล่อยให้แกได้ในสิ่งที่แกต้องการบ้าง และลูกก็ตั้งใจอยู่แล้วว่าจะทำทุกอย่างเพื่อชดเชยให้น้อง แม้จะต้องแลกด้วยความสุขของลูกก็ตาม”
ส่วนฐิติกับพุดตานคุยกันอยู่สองคน ผู้เป็นแม่ถามลูกชายด้วยท่าทีผิดหวัง
“ติจะไม่เปลี่ยนใจเรื่องที่จะแต่งงานกับแม่กานดามณีจริงๆ เหรอลูก”
ฐิติอึ้งไปนิด ตอบไม่ตรงคำถาม
“ผมสงสารเธอครับ กานดามณีเจอแต่เรื่องร้ายๆมาตลอด ผมไม่อยากทำให้เธอต้องเสียใจอีก”
พุดตานพูดไม่ออกว่าตัวเองนั้นไม่เชื่อ แต่ก็ไม่อยากจะพูดจาให้ร้ายกานดามณี เดี๋ยวฐิติจะยิ่งสงสารหล่อนมากขึ้นไปอีก ได้แต่พูดเตือนสติลูกชาย
“ความสงสารกับความรักเป็นคนละเรื่องกันนะลูก ยังไงลูกก็ไม่ควรตัดสินใจแต่งงานกับใครเพราะความสงสาร”
ฐิติว้าวุ่นใจ “แต่ผมเคยบอกกานดามณีไปแล้วว่า ผมจะแต่งงานกับเธอ ผมจะผิดคำพูดได้ยังไง”
“งั้นก็หมายความว่า ติจะยอมอยู่กับคนที่ติไม่ได้รักไปตลอดทั้งชีวิตอย่างนั้นใช่มั้ยจ๊ะ” พุดตานถาม ฐิติตอบแม่ไม่ได้
เช้าวันนี้ในห้องคนไข้ที่โรงพยาบาล อิ่มใจยังมีสายน้ำเกลือระโยงระยาง นั่งเอนๆ ท่าทียังอ่อนแรงอยู่บนเตียง ลูบท้องตัวเองน้ำตาไหลพราก
“ลูกจ๋า แม่ขอโทษนะลูกที่แม่ปกป้องลูกไม่ได้ เป็นเพราะเค้าคนเดียว ลูกถึงมาจากแม่ไปเร็วแบบนี้”
พยาบาลเดินถือแฟ้มเข้ามา อิ่มใจรีบปาดน้ำตา พยาบาลเข้ามาดูที่ขวดน้ำเกลือก่อนจะหันมาที่อิ่มใจ
“เดี๋ยวน้ำเกลือหมด คุณหมอก็อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ”
พยาบาลยิ้มให้ กำลังจะเดินออกไป
“เดี๋ยวค่ะ คุณพยาบาลพอจะทราบมั้ยคะว่าใครเป็นคนช่วยพาดิฉันมาที่โรงพยาบาล”
“รู้สึกว่าเค้าจะแจ้งชื่อไว้นะคะ เดี๋ยวดิฉันดูให้”
พยาบาลเปิดแฟ้มดูชื่อ แล้วเงยหน้าบอก
“เธอชื่อ กานดาวสี กิริเนศวร ค่ะ”
อิ่มใจอึ้ง
ฟากพุดตาน นมสาย เดินนำสาวใช้เข้ามาในห้องกานดามณี นมสายท่าทางไม่ค่อยจะสบอารมณ์ นัก เลยพาลไปหมด
“พวกหล่อนมานี่เลย...ช่วยกันขนเสื้อผ้าคุณฐิติกับคุณกานดามณีไปจัดเข้าตู้ในห้องใหญ่ปีกโน้น”
สาวใช้เปิดตู้ ทยอยขนเสื้อผ้าออกไป
นมสายบ่นบ้าไม่เลิก “ไม่รู้คุณตินึกยังไง ถึงได้ตัดสินใจแต่งงานกับคุณกานดามณี” คุณนมถือโอกาสประชดฐิติผ่านพุดตาน “นี่สงสัยว่าจะลืมคุณกานดาวสีได้สนิทใจแล้วกระมังคะ”
พุดตานเครียดก็เครียด แต่ก็อดขำนมสายไม่ได้
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะคุณนม ก็เพราะยังรัก...ยังตัดใจไม่ได้น่ะสิคะ ถึงได้ทนอยู่กับผู้หญิงอื่นในห้องนี้ไม่ได้”
นมสายไม่พยายามจะเข้าใจสักน้อย
“โอ๊ย ทำไมต้องคิดอะไรให้มันยอกย้อนซับซ้อนขนาดนั้นด้วยล่ะคะ รักใครก็บอกกันไปตรงๆ ไม่รู้จะเอาพระยศ พระเกียรติ อะไรกันนักหนา”
นมสายหยิบนู่นกระแทกนี่ระบายอารมณ์ไปเรื่อยๆ
“แล้วนี่ก็เหมือนกัน ไหนบอกว่าจะรอให้เสร็จงานศพคุณวิสูตรซะก่อนแล้วค่อยจดทะเบียน งานเพิ่งจะผ่านไปได้แค่ไม่กี่วัน ทำไมต้องมารีบร้อนจัดห้องกันตั้งแต่ตอนนี้ด้วยก็ไม่รู้”
พุดตานเครียดอยู่เหมือนกัน แต่ก็พูดปลอบตัวเองและนมสายไปด้วย
“เค้ายังไม่แต่งกันตอนนี้หรอกค่ะคุณนม ตาติแค่ต้องการให้ย้ายของเตรียมไว้ก่อน...” พุดตานอดประชดขึ้นมาไม่ได้ “คงจะอยากให้แม่กานดามณีมั่นใจล่ะมั้งว่า ยังไงก็ได้แต่งงานแน่ๆ”
“คุณตินะคุณติ จิ้งจกทักเค้ายังต้องหยุด นี่อะไร้ ใครพูดยังไงก็ไม่ฟัง...ระวังเถ๊อะ มัวแต่หนีใจตัวเอง เดี๋ยวคุณกานดาวสีโดนคนอื่นฉกไปแล้วจะรู้สึก”
นมสายยังบ่นไม่เสร็จ ยิ่งคิดยิ่งเครียด
อีกฟากหนึ่ง กานดาวสีดิ้นรนหางานที่ใช้หนี้ฐิติ วันนี้เธอมาพบบรรณาธิการสำนักพิมพ์ ที่ออฟฟิศ และ บอกอหนุ่มส่งหนังสือฝรั่ง 3 เล่มให้
“3 เล่มนี่คุณคิดว่าจะใช้เวลาแปลนานซักเท่าไหร่”
“เล่มละหนึ่งเดือนนานไปมั้ยคะ”
“ได้ครับ ถ้าเสร็จแล้วก็ทยอยส่งมาให้ผมได้เลย...ผมชอบสำนวนการแปลของคุณนะ อ่านแล้วรื่นหูดี ถ้าคุณมีเวลาผมก็อยากจะให้แปลไปเรื่อยๆ”
“ดิฉันตั้งใจอยู่แล้วว่าจะรับงานแปลไปเรื่อยๆ ค่ะ”
บอกอยิ้มพอใจ ยื่นซองใส่เงินให้กานดาวสี
“นี่เป็นค่าแปลของเล่มที่แล้วครับ”
กานดาวสีรับมามองอย่างพอใจ
ครู่ต่อมากานดาวสีหอบหนังสือเต็มแขน กำลังจะเดินออกไปด้านหน้าสำนักพิมพ์ ม.ล.วิทย์เดินสวนเข้ามา ชนกับกานดาวสี หนังสือในอ้อมแขนหล่นลงไปกองอยู่ที่พื้น ทั้งคู่ชะงักมองหน้ากัน
“เอ๊ะ....คุณกานดา...” วิทย์ลังเล ไม่รู้ว่าเป็น แฝดพี่ หรือแฝดน้อง
กานดาวสีกำลังจะตอบ วิทย์ก็พูดขึ้นทันที
“ไม่ต้องๆ ให้ผมทายดีกว่า เอ...”
กานดาวสีไม่สนใจ ก้มลงเก็บหนังสือที่พื้น วิทย์รีบเข้าไปช่วยเก็บ พลิกๆ ดูหนังสือในมือก่อนจะส่งให้กานดาวสี แต่ไม่ยอมปล่อยมือจากหนังสือ
“หนังสือภาษาอังกฤษ ...คุณไม่ใช่กานดามณีแน่ๆ
วิทย์มองกานดาวสี ยิ้มโปรยเสน่ห์
“หนังสือเยอะขนาดนี้ จะอ่านหมดเหรอครับ ถ้าผมจะขอแบ่งไปอ่านบ้างได้มั้ยครับ จะได้มีเรื่องมาคุยกันสนุกๆ”
กานดาวสีดึงหนังสือมาจากมือวิทย์อย่างแรง
“ดิฉันไม่ได้อ่านเพื่อความสนุกค่ะ มันเป็นงานที่ดิฉันต้องเอาไปแปล”
วิทย์ทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ
“อะไรกันครับ ไม่น่าเชื่อว่าหม่อมหลวงฐิติ สูรยกานต์จะปล่อยให้ภรรยามาลำบากลำบนมารับแปลเอกสาร ล้อเล่นรึเปล่าครับ”
กานดาวสีบอกเสียงเรียบ “ดิฉันหย่ากับคุณฐิติแล้วค่ะ”
วิทย์ตาวาวขึ้นมา ทำเสียงตกใจ “อ้าว เลิกกันแล้ว” ผู้กำกับจอมหื่นยิ้มในสีหน้า “คุณฐิตินี่ใจแข็งมากเลยนะครับทำใจเลิกกับคุณได้ยังไง ผมไม่เข้าใจจริงๆ”
กานดาวสีไม่สนใจเดินออกไป
กานดาวสียืนรอรถรับจ้างอยู่ริมถนน วิทย์ตามมาตอแย
“ผมว่าคุณนี่...สวยมากนะ คุณไม่คิดอยากจะเป็นดาราบ้างเหรอครับ งานก็สบาย เงินก็ดีกว่าแปลเอกสารตั้งเยอะ”
“ขอบคุณนะคะ แต่ดิฉันไม่สนใจค่ะ... ดิฉันพอใจในงานของดิฉันแล้ว”
รถรับจ้างมาพอดี
“ดิฉันขอตัวนะคะ”
กานดาวสีเปิดประตูกำลังจะขึ้นรถ วิทย์จับประตูรถไว้
“เดี๋ยวครับ...” วิทย์ยื่นนามบัตรให้กานดาวสี “นี่นามบัตรของผม ถ้าคุณเปลี่ยนใจ อยากเป็นดาราเมื่อไหร่ ก็มาหาผมได้ทุกเวลา”
กานดาวสีรับนามบัตรมาพอเป็นมารยาท แล้วขึ้นรถไป วิทย์มองตามอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง มุ่งมั่นว่าจะต้องเอาชนะหล่อนให้ได้
ด้านนมสายเปิดลิ้นชักอันโน้นอันนี้ ทยอยเอาของใช้ส่วนตัวของฐิติออกมาจากตู้เสื้อผ้า
“พวกหล่อนยกไปแค่นี้ก่อน แล้วก็ไปจัดซะให้เข้าที่เข้าทาง เดี๋ยวฉันจะตามไปดู”
สาวใช้ถือถาด ใส่ของกระจุกกระจิกเดินออกไป
นมสายไปเก็บข้าวของในตู้ต่อ แล้วชะงักเมื่อมาเจอกล่องสร้อยคอ ที่กานดามณีแอบขโมยสร้อยไปให้วสันต์
“แล้วเครื่องเพชรของคุณกานดาวสีล่ะคะ จะทำยังไง” นมสายหันมาทางพุดตาน
“ก็คงต้องเอาไปให้พ่อติน่ะแหละ ให้เค้าไปคืนกันเอาเอง”
นมสายหยิบขึ้นมา
“เอ๊ะทำไมมันเบาๆ”
นมสายเปิดกล่องดู แล้วมีสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ
“คุณพระ...ทำไมมีแต่กล่องล่ะคะ แล้วสร้อยเพชรล่ะหายไปไหน”
ทุกคนอยู่ในห้องนั่งเล่นท่านหญิงลักษมีประทับเป็นประธาน ฐิติบอกด้วยท่าทางไม่ได้ตกใจอะไร
“สร้อยคงไม่ได้หายไปไหนหรอกครับ ก็ท่านย่าประทานให้กานดาวสีเป็นของขวัญวันแต่งงานแล้ว เค้าก็อาจจะเอาไปด้วยก็ได้นะครับ”
นมสายขัดขึ้นทันทีด้วยเสียงหนักแน่น
“เป็นไปไม่ได้แน่นอนค่ะ คุณกานดาวสีไม่ได้เอาสร้อยออกไปจากห้องเลย เพราะวันที่เธอย้ายไปที่เรือนรับรอง อิฉันเป็นคนบอกให้เธอเอาไปด้วย แต่เธอก็ไม่ยอม บอกว่าให้เก็บไว้ในห้องคุณฐิติอย่างเดิม เอาไว้คืนคุณฐิติ”
พุดตานฉงน “ถ้าแม่กานดาวสีไม่ได้เอาไป แล้วใครจะเอาไป...”
นมสายโพล่งขึ้นมา
“จะใครซะอีกล่ะคะ ก็มีแต่คุณกานดามณีคนเดียวที่ใช้ห้องนั้นอยู่ตอนนี้”
อ่านต่อหน้า 3
สุดสายป่าน ตอนที่ 11 (ต่อ)
ฐิติเข้ามาในห้องก็ถามเอากับกานดามณีขึ้นทันที
“คุณเห็นสร้อยในกล่องนี้หรือเปล่า
กานดามณีมองกล่องเครื่องเพชรในมือฐิติอย่างตกใจ แต่ระงับความรู้สึกนั้นไว้ พยายามยิ้มเป็นปกติ
“สร้อยอะไรเหรอคะ”
“สร้อยของกานดาวสีน่ะ...ผมเป็นคนเก็บไว้ในตู้นั้นเอง”
“ฉันไม่เคยเห็นจริงๆ ค่ะ ตู้นั้นฉันเคยเปิดดูก็เห็นแต่เสื้อผ้าติก็เลยไม่ได้สนใจอะไร”
“คุณไม่เห็นก็ไม่เป็นไร มันไม่น่าจะหายไปไหนได้หรอก แล้วผมจะลองไปถามกานดาวสีดู เค้าอาจจะเอาของๆ เค้าไปแล้วก็ได้”
กานดามณีเครียดหนัก พยายามคิดหาทางออก
ฝ่ายอิ่มใจกลับมาที่บ้านตอนบ่ายคล้อย นั่งหย่อนใจอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน
อิ่มใจนั่งนิ่งๆ จับท้องตัวเองอย่างอาลัยอาวรณ์ลูกในท้อง ภาพจำตอนที่หมอบอกว่า “เสียใจที่ช่วยชีวิตลูกในท้องไว้ไม่ได้” ผุดขึ้นมาหลอกหลอน อิ่มใจน้ำตาคลอ วสันต์เดินเข้าบ้านมาพอดี
“กลับมาแล้วเหรอ หายไปไหนมา”
อิ่มใจบอกด้วยเสียงนิ่งๆ “ฉันแท้งลูก”
วสันต์ชะงักไปนิดนึง
“ก็ดีแล้วนี่ ฉันก็ไม่เคยตั้งใจจะให้มันเกิดมาซะหน่อย”
อิ่มใจน้ำตาไหล สะเทือนใจสุดๆ
“นี่คุณไม่ได้รู้สึกอะไรเลยใช่มั้ย ที่ฆ่าลูกตัวเอง”
“อยากจะให้ฉันโกหก หรืออยากจะให้ฉันพูดความจริงล่ะ”
อิ่มใจไม่ตอบ แต่ตาเป็นประกายวาววับด้วยความโกรธ
“ถ้าจะให้โกหก ฉันก็จะบอกว่า...ฉันเสียใจมาก แต่ถ้าอยากจะฟังความจริง...ฉันก็จะบอกว่าฉันดีใจที่สุดในชีวิตเลยล่ะ”
อิ่มใจนิ่งอั้นไปด้วยความเจ็บปวด ร้องไห้ไม่ออกน้ำตาตกใน วสันต์ไม่สนใจ จะเดินเข้าไปในบ้าน แต่นึกอะไรขึ้นมาได้ ชะงัก หันมาพูดกับอิ่มใจ
“อีกอย่าง ฉันจะเตือนเธอไว้เลยนะ ถ้าฉันรู้ว่าเธอพยายามจะเปิดโปงเรื่องกานดามณีอีก คราวนี้เธอได้ตามไปอยู่กับลูกของเธอแน่ๆ”
พูดจบวสันต์ก็เดินเข้าบ้านไป อิ่มใจกำมือแน่นด้วยความเคียดแค้น
วสันต์เดินเข้ามาในบ้านอิ่มใจ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพอดี วสันต์รับสาย
“ฮัลโหล”
กานดามณีโทร.จากวังสูรยกานต์ มองซ้ายมองขวาพูดโทรศัพท์อย่างระมัดระวัง
“สร้อยที่ฉันให้แกยังอยู่หรือเปล่า...เอามาคืนฉันก่อนได้มั้ย ฉันจำเป็นต้องใช้จริงๆ”
“ทำไมพูดง่ายงั้นล่ะ เธอให้สร้อยเป็นค่าจ้างฉันแล้ว อยู่ดีๆ จะมาเอาคืนได้ยังไง”
อิ่มใจเดินเข้ามาในบ้านจังหวะนี้ ได้ยินที่วสันต์พูดว่าสร้อย อิ่มใจชะงักนิดหนึ่งก่อนจะเดินขึ้นไปข้างบน
“ตอนนี้ติคิดว่าสร้อยอยู่กับนังกานดาวสี ถ้าเค้าไปถามกับมัน ฉันก็แย่น่ะสิ” กานดามณีร้อนรนสุดๆ “...ยังไงแกก็ต้องเอาสร้อยคืนฉันมาก่อน แล้วฉันจะเอาเงินสดไปให้”
“ฉันไม่เชื่อหรอก ถ้าเธอมีเงินจริง เธอคงไม่ขโมยสร้อยนังกานดาวสีมาให้ฉันหรอก”
อิ่มใจยืนแอบฟังอยู่ที่บันได ได้ยินที่วสันต์พูดว่าสร้อยเป็นของกานดาวสี อิ่มใจชะงัก ก่อนจะรีบวิ่งขึ้นไปข้างบน
อิ่มใจรีบเข้ามาในห้องล็อกประตู ก่อนจะวิ่งไปเปิดลิ้นชักหยิบสร้อยของกานดาวสีขึ้นมาดู
“สร้อยของคุณกานดาวสี!”
อิ่มใจตัดสินใจเปิดตู้เสื้อผ้า โกยเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นลงกระเป๋าผ้าใบใหญ่ และเอาสร้อยเพชรของกานดาวสีใส่ลงไปด้วย เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“อิ่มใจ เปิดประตูเดี๋ยวนี้ ล็อกประตูทำไม”
อิ่มใจหน้าตื่น หันซ้ายหันขวา มองหาทางหนีทีไล่แล้วไปสะดุดที่หน้าต่างในห้องนอน
วสันต์เคาะประตูอย่างหงุดหงิด
“อิ่มใจ...ทำอะไรอยู่น่ะ เปิดประตูเดี๋ยวนี้”
ประตูเปิดออก อิ่มใจในชุดใหม่เปิดประตูออกมา
“ทำอะไรอยู่ ทำไมต้องล็อกประตูด้วย”
“เปลี่ยนเสื้อผ้า กำลังจะลงไปทำกับข้าว”
อิ่มใจเดินตัวลีบลงไป วสันต์มองตามอย่างรำคาญ
วสันต์เดินเข้ามาในห้องนอน เปิดลิ้นชักโต๊ะที่เก็บสร้อย
“ฉันไม่โง่คืนสร้อยให้แกหรอก นังกานดามณี ปัญหาของแก แกก็แก้เอาเองละกัน”
วสันต์หาสร้อยแต่ไม่เจอก็ตกใจ “เฮ้ย อยู่ไหนวะ”
วสันต์เปิดไล่ดูตามลิ้นชักอื่นๆในห้องก็ไม่มี วสันต์กระโจนจะไปหาในตู้เสื้อผ้า แต่พอเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วก็ยืนตะลึง สีหน้าเปลี่ยนเป็นโกรธจัด พบว่าตู้ผ้าส่วนหนึ่งโล่ง ไม่มีเสื้อผ้าของอิ่มใจอยู่ในตู้
วสันต์คำราม “อิ่มใจ”
ส่วนอิ่มใจวิ่งมาคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าที่วางอยู่ แล้ววิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต วสันต์วิ่งเข้ามา เห็นอิ่มใจวิ่งออกไปนอกบ้านแล้ว
“นังอิ่มใจ!”
อิ่มใจหันมามองด้วยความตกใจแล้วรีบวิ่งเตลิดหนีไป วสันต์วิ่งไล่ตาม
อิ่มใจวิ่งหนีวสันต์อย่างพะว้าพะวัง เห็นวสันต์วิ่งตามมาไกลๆ อิ่มใจเร่งฝีเท้ารีบวิ่งหนีเข้าไปที่ถนนย่านชุมชน ที่มีร้านค้า ผู้คนมากมาย วสันต์วิ่งตามมาแล้วชะงัก มองหา เห็นแต่ร้านค้าและผู้คนจับจ่ายซื้อของกันตามปกติ
อิ่มใจยืนหลบอยู่ข้างในใกล้ๆ ทางเข้า มองออกไปข้างนอก เห็นวสันต์กำลังพยายามมองหาตนอยู่ อิ่มใจละล้าละลัง ไม่รู้จะทำยังไงดี มองซ้ายมองขวาพยายามหาทางออก แล้วก็ชะงัก เมื่อเหลียวไปเห็นพนักงานไปรษณีย์กำลังทำเรื่องส่งพัสดุให้ลูกค้า
อีกมุมหนึ่งในไปรษณีย์ แลเห็นอิ่มใจรีบเขียนจดหมายฉบับหนึ่งอย่างเร็ว มืออีกข้างกำสร้อยของกานดาวสีไว้ อิ่มใจเขียนจดหมายเสร็จก็เอาจดหมายและสร้อยใส่ลงในกล่องพัสดุที่มีชื่อ หม่อมหลวงฐิติ สูรยกานต์ และที่อยู่หน้ากล่องซึ่งเขียนไว้ก่อนแล้ว ก่อนจะยื่นให้เจ้าหน้าที่
“ส่งพัสดุด่วนค่ะ”
เจ้าหน้าที่รับกล่องไป อิ่มใจถอนใจ โล่งไปอีกหนึ่งเปลาะ
ส่วนวสันต์เดินแกมวิ่งมาตามถนนในชุมชน หันไปหันมาสอดตามองหาไปทั่ว เห็นอิ่มใจหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าเดินหลบๆ เลี่ยงๆ ออกมาจากไปรษณีย์ อิ่มใจหันมาสบตาวสันต์พอดี อิ่มใจวิ่งหนีผ่านกลุ่มคนที่บริเวณนั้นวสันต์วิ่งตาม ผลักคนที่ยืนขวางทางอยู่
“ถอยๆ โว้ย ถอยๆ นังอิ่ม แกจะหนีไปไหน คิดว่าจะหนีฉันรอดเหรอ”
วสันต์รีบตาม ผู้คนแถวนั้นเริ่มหันมามอง
บริเวณริมน้ำปลอดผู้คน อิ่มใจวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาตรงนั้น เกาะต้นไม้พักหอบหายใจ มองซ้ายมองขวานึกว่าจะรอด วสันต์ตามมาทัน จิกหัวให้หันมา อิ่มใจตกใจ
“แกจะหนีไปไหน เอาสร้อยฉันคืนมา”
อิ่มใจหันหน้ามาสู้อย่างจนตรอก
“สร้อยแกเหรอ! อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่า สร้อยเส้นนั้นเป็นของคุณกานดาวสี”
วสันต์โกรธ ผลักอิ่มใจไปติดต้นไม้ บีบคอแน่นอิ่มใจพยายามดิ้นรนต่อสู้
“แต่ตอนนี้มันเป็นของฉัน ถ้าไม่อยากตายก็คือสร้อยมาให้ฉันเดี๋ยวนี้”
“ก็ฆ่าฉันให้ตายเลยสิ แต่จำไว้นะ ถึงฉันจะตายแต่แกก็อย่าหวังเลยว่าแกจะลอยนวลอยู่ได้ อีกไม่นานเรื่องชั่วๆ ของแกกับนังกานดามณีก็จะต้องถูกเปิดเผย”
วสันต์ชะงักคลายมือออกนิดหนึ่ง
“ทำไม แกทำอะไรลงไป บอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะ”
“ถึงฉันตาย ฉันก็ไม่มีทางบอก ฉันอยากเห็นแกอยู่อย่างไม่เป็นสุข”
“นังอิ่ม แกจะบอกฉันมั้ยว่าแกทำอะไรลงไป...”
วสันต์บีบคออิ่มใจสุดแรง
“แกเข้าไปทำอะไรที่ไปรษณีย์ บอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะ”
อิ่มใจพยายามดิ้น แต่ไม่ยอมพูดอะไร
“ฉันบอกให้แกบอก บอกมาเดี๋ยวนี้”
วสันต์โกรธจัดยิ่งบีบคอแน่นขึ้น จนอิ่มใจหมดลมหายใจแน่นิ่งไป วสันต์ตกใจค่อยๆ ปล่อย ร่างอิ่มใจร่วงไปกองกับพื้น วสันต์เอาเท้าเขี่ยๆ แล้วเอานิ้วไปอังจมูก อิ่มใจไม่ไหวติงวสันต์ตกใจ คิดไม่ถึงว่าอิ่มใจจะตาย
“อิ่มใจ...เฮ้ย นี่แกตายจริงๆ เหรอเนี่ย” ชายโฉดหน้าเสีย “ซวยแล้วกู ทำไงดีวะ”
วสันต์นึกอะไรขึ้นมาได้ รีบค้นกระเป๋าอิ่มใจดูสร้อยแต่ไม่พบ
“โว้ย..แกเอาสร้อยไปไว้ที่ไหนนะ”
วสันต์มองศพอิ่มใจอย่างจนปัญญาไม่รู้จะทำยังไงดี วสันต์มองไปที่แม่น้ำ แล้วตัดสินใจผลักร่างไร้ชีวิตอิ่มใจลงไปในน้ำ วสันต์มองร่างอิ่มใจค่อยๆ จมลงน้ำไป
หลังจากนั้นไม่นาน วสันต์ตะลีตะลานเข้าบ้าน แล้วรีบขึ้นห้อง เก็บเสื้อผ้าข้าวของยัดใส่กระเป๋าเตรียมหนี แล้ววิ่งลงมาโทรศัพท์หากานดามณี
วสันต์รอสายอย่างไม่เป็นสุข
“ขอพูดกับกานดามณีหน่อย...เร็วๆ ด้วยนะ”
ตกเย็นในสถานที่เปลี่ยวแห่งหนึ่งวสันต์ยืนรออย่างกระวนกระวาย กานดามณีเดินเข้ามาอย่างหงุดหงิด
“เอาเงินมาให้ฉันหรือเปล่า”
กานดามณีมองวสันต์อย่างเกลียดชัง แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะมันกุมความลับของหล่อนอยู่
“แกโทร.มาเมื่อกี้ บอกจะเอาเงินเดี๋ยวนี้ แล้วฉันจะไปหาให้แกทันได้ยังไง”
วสันต์ร้อนใจ “แต่ฉันไม่มีเวลาแล้ว ฉันต้องหนีไปให้เร็วที่สุด”
“แกจะหนีอะไร”
“นังอิ่มมันขโมยสร้อยไป แล้วฉันก็ฆ่ามันตายไปแล้ว”
“อ้าว ในเมื่อนังอิ่มมันตายไปแล้ว แกก็ไปเอาสร้อยคืนมาสิ”
“จะเอาคืนได้ยังไงเล่า ไม่รู้นังอิ่มเอาไปไว้ที่ไหน มันบอกว่ามันจะแฉเรา ก่อนตายมันไปที่ไปรษณีย์ ฉันว่ามันต้องส่งอะไรซักอย่างให้ไอ้ฐิติแน่ๆ คราวก่อนมันก็เคยคิดจะบอกไอ้ฐิติมาครั้งนึงแล้ว”
กานดามณีตกใจมากโวยลั่น
“แกปล่อยให้คนของแกทำอะไรแบบนี้ได้ยังไง มันรู้เรื่องอะไรของฉันบ้างแล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่ามันส่งอะไรไปให้ใคร โว้ย...ทำไมมันซวยอย่างนี้”
วสันต์หันไปตวาดกานดามณี
“หยุดโวยวายซะทีเถอะ เรื่องนั้นเก็บไว้ก่อน ที่สำคัญตอนนี้ยังไงแกก็ต้องหาเงินมาให้ฉันให้ได้ ก่อนที่ตำรวจจะเจอศพนังอิ่มแล้วมาตามหาตัวฉัน ยังไงฉันไม่รอดแน่เพราะมีพยานเห็นกันทั้งตลาด”
“แล้วฉันจะไปหาเงินที่ไหนมาให้แกล่ะ”
วสันต์พูดคาดคั้น ขณะเค้นคอกานดามณี
“ไม่รู้ล่ะ ยังไงแกต้องหาเงินมาให้ฉัน ฉันให้เวลาแกถึงพรุ่งนี้ ไม่งั้นแกได้เข้าไปนอนในคุกกับฉันแน่ๆ”
เย็นนั้นวิไลวรรณถอนใจอย่างกลัดกลุ้มปนปลงๆ ขณะมองหน้ากานดามณีเดินไปเดินมาอย่างเครียดๆ
“ฉันจะทำยังไงดีนะ ไหนจะเรื่องที่นังอิ่มพยายามจะเปิดโปงฉัน แล้วยังต้องหาเงินมาปิดปากไอ้วสันต์อีก”
วิไลวรรณเครียดไปด้วย
“ยังไงตอนนี้แกก็ต้องคอยดักรับจดหมายที่วังก่อน ส่วนไอ้วสันต์ก็ให้มันไปกบดานที่ไหนซักพัก รอแกจดทะเบียนกับคุณฐิติเมื่อไหร่แล้วค่อยเอาเงินไปให้มัน”
กานดามณีชะงัก ทำตาวาวอย่างคิดออก
“ฉันไม่รอแล้วล่ะ ชีวิตฉันมันก็วุ่นวายมากพออยู่แล้ว ฉันจะไม่ยอมให้ไอ้วสันต์มันมาสร้างปัญหาอะไรให้ฉันอีกแล้ว”
วิไลวรรณงง “แกจะทำอะไร”
กานดามณีปรายตามองวิไลวรรณ
“ในเมื่อมันมีเสี้ยนคอยตำเท้าเราอยู่ เราก็กำจัดมันออกไปซะก็สิ้นเรื่อง”
วิไลวรรณมองหน้ากานดามณีอย่างตกใจ เข้าใจทันทีว่ากานดามณีหมายความว่ายังไง วิไลวรรณตกใจ
“อย่าบอกนะว่าแกคิดจะ...”
กานดามณียิ้มร้าย ใบหน้าสวยนั้นดูเหี้ยมเกรียม และน่ากลัวมาก
อ่านต่อหน้า 4
สุดสายป่าน ตอนที่ 11 (ต่อ)
เช้าวันต่อมา รำเพยแต่งตัวจะไปทำงาน กานดาวสีแต่งตัวพร้อมจะออกข้างนอก มือหอบหนังสือที่จะต้องแปลไปด้วย เดินออกมาจากบ้านจะขึ้นรถไปด้วยกัน รำเพยมองกานดาวสีพลางยิ้มๆ ชื่นชมเพื่อนรัก
“เธอนี่ไม่ยอมว่างเลยนะ ขนาดจะไปเฝ้าคุณพ่อก็ยังอุตส่าห์หอบงานไปทำด้วย
“นี่โชคดีนะ ที่ฉันได้งานแปลหนังสือ ก็เลยทำไปด้วยดูแลคุณพ่อไปด้วยได้ ถ้าต้องไปทำงานที่บริษัท ยัยรัตน์ก็คงต้องลาออกจากโรงเรียนมาเฝ้าคุณพ่อ”
ขณะที่สองสาวกำลังจะขึ้นรถ รำเพยหันไปเห็นฐิติก้าวเข้ามา
“คุณฐิติ”
กานดาวสีหันไปตามสายตารำเพย เห็นฐิติยืนมองมาอย่าง มีความอาวรณ์ในดวงตา กานดาวสีชะงักนิดหนึ่งหัวใจเต้นแรง แต่พยายามระงับความรู้สึกเดินเข้าไปหาด้วยท่าทางปกติ
“คุณมาถึงที่นี่มีธุระอะไรกับดิฉันเหรอคะ”
ฐิติพูดด้วยเสียงเอางานเอาการ ปิดบังความอาวรณ์ในใจ
“ท่านย่าให้ผมมาถามอะไรบางอย่างจากคุณ”
กานดาวสีมองอย่างสงสัย
ฐิติกับกานดาวสีนั่งไปในรถด้วยกัน ฐิติชวนคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ
“ก็ดีนะที่คุณรับงานแปลมาทำที่บ้าน จะได้คอยดูแลคุณอาวิเศษด้วย...” ฐิติพูดแล้วนึกขึ้นมาได้ “แล้วทำไมคุณไม่กลับมาอยู่ที่บ้านคุณล่ะ”
“ก็เพราะฉันยังใช้หนี้คุณไม่หมดไงล่ะคะ เพราะฉะนั้นบ้านนี้ก็ยังไม่ใช่บ้านของฉัน”
ฐิติหมั่นไส้ความดื้อรั้นมีทิฐิของกานดาวสีเต็มทน ทั้งๆที่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ทะเลาะกัน แต่ก็อดกระแนะกระแหนไม่ได้
“งั้นก็เปลี่ยนอาชีพเถอะ ต่อให้แปลหนังสือไปทั้งชาติคุณก็ไม่มีทางจะหาเงินได้พอที่จะมาใช้คืนผมหรอก”
ไม่นานต่อมาฐิติขับรถมาถึงที่หน้าบ้านกิริเนศวร กานดาวสีหันไปมองฐิติอย่างโมโห แต่พยายามจะอดกลั้นไว้ เปลี่ยนเรื่องด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ
“ไหนคุณบอกว่าท่านย่าสั่งให้มาถามอะไรฉันไงคะ”
ฐิติอดน้อยใจไม่ได้ที่กานดาวสีไม่ได้มีทีท่าว่า จะเหลือเยื่อใยหรือความทรงจำใดๆ อยู่อีกเลย
“ท่านย่าให้ผมมาถามว่า คุณเอาสร้อยที่ท่านประทานให้เป็นของขวัญวันแต่งงานของเรามาด้วยหรือเปล่า”
กานดาวสีบอกทันที “เปล่านี่คะ ดิฉันบอกคุณนมไปแล้วว่าดิฉันเอาสร้อยเก็บไว้ในตู้ของคุณ” แฝดพี่อดสงสัยไม่ได้ “มีอะไรหรือเปล่าคะ”
ฐิติอึ้งไป เริ่มสงสัยว่าสร้อยหายไปไหน แต่ไม่อยากพูดอะไร
“ก็...ไม่มีอะไร”
กานดาวสีมองอย่างไม่อยากเชื่อ แต่เห็นว่าไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับตนอีกเลยตัดบท
“ถ้าไม่มีอะไร ฉันไปนะคะ ขอบคุณอีกครั้งที่กรุณามาส่ง”
กานดาวสีลงจากรถเดินเข้าไปในบ้าน ฐิติมองตาม แน่ใจว่ากานดาวสีไม่ได้โกหก
ตอนสายๆ กานดามณีอยู่ที่บ้านวิไลวรรณกำลังพูดโทรศัพท์กับวสันต์ ซึ่งนั่งเซ็งอยู่ที่บ้านอิ่มใจ
“คืนนี้ฉันจะเอาเงินไปให้นะ”
“ทำไมต้องคืนนี้ มาตอนนี้ไม่ได้หรือไง ฉันจะได้รีบหนี”
“ฉันให้เพื่อนเอาของไปปล่อยให้ กว่าจะได้เงินก็คงเย็นๆ แกจะเอามั้ยล่ะ”
“เออ ก็ได้ ได้เงินเมื่อไหร่ก็รีบมาเลยนะ ฉันจะรออยู่ที่บ้านนี่ล่ะ” วสันต์บอกอย่างหงุดหงิด
“ไม่ได้ ไปที่อื่นดีกว่า...ตอนนี้ไม่รู้ว่าตำรวจเห็นศพเมียแกหรือยัง เดี๋ยวมันตามกลิ่นแกมาเจอฉันเข้า ฉันก็ซวยไปด้วยน่ะสิ”
“งั้นจะให้ฉันไปเจอที่ไหน...เอางั้นก็ได้”
กานดามณีวางโทรศัพท์และยิ้มเหี้ยมอย่างสมใจ วิไลวรรณอยู่ข้างๆ มองกานดามณีอย่างหวาดๆ อดห้ามไม่ได้
“ยัยณี...แกจะฆ่ามันจริงๆ เหรอ มันเสี่ยงนะแก ผู้ชายทั้งคน ถ้าพลาด มันเอาแกตายแน่”
“หยุดพูดไปเลยนังวรรณ ถ้าแกกลัว แกก็อยู่เฉยๆ ฉันจะจัดการเอง หน้าที่ของแกก็คือปิดปากให้สนิท แล้วเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ซะ เข้าใจมั้ย”
กานดามณีหน้าเหี้ยมนึกแค้นวสันต์ ไม่ได้ตั้งใจจะขู่เพื่อน
แต่ทว่าวิไลวรรณเริ่มหวาดกลัวกานดามณีแล้ว
ตกตอนกลางคืน วสันต์เดินมองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวังเข้ามาในสวน จนมองเห็นกระท่อมอยู่ด้านหน้า มีแสงไฟสลัวๆ ลอดออกมา
ชายโฉดค่อยๆ เดินไปเปิดประตู ก่อนจะชะโงกหน้ามองสำรวจเข้าไปในกระท่อม เห็นเป็นที่เก็บอุปกรณ์ทำสวน เช่น จอบ เสียม ปุ๋ย ถังน้ำฯลฯ ซึ่งวางกองสุมๆ กันอยู่
วสันต์ก้าวเข้าไปช้าๆ เห็นกานดามณียืนอยู่ข้างในคนเดียวตรงมุมห้อง วสันต์ถอนใจโล่งใจ ถามขึ้นอย่างฉุนเฉียว
“ทำไมต้องนัดให้มันลึกลับขนาดนี้”
“ฉันต้องระวังตัว ตอนนี้คนในวังมันกำลังคอยจับผิดฉันอยู่น่ะสิ” กานดามณีบอก
วสันต์รับรู้แกนๆ ไม่สนใจนัก เพราะกำลังพะวงจดจ่ออยู่กับเรื่องเงิน
“ไหนล่ะเงิน ฉันจะได้รีบไป”
กานดามณีจ้องตา “แกต้องสัญญากับฉันก่อนว่าถ้าแกได้เงินไปแล้วแกจะออกไปจากชีวิตฉันและไม่พูดเรื่องของฉันให้ใครฟัง”
“รู้แล้วน่า...แล้วเงินล่ะ”
“ก็นั่นไง”
กานดามณีพยักหน้าไปทางมุมกระท่อมด้านใน วสันต์มองตามเห็นกระเป๋าใบหนึ่งวางอยู่ก็ถลาเข้าไปก้มลงกำลังจะเปิดกระเป๋า มือกานดามณีถือมีดเงื้อมลงมาแทงด้านหลังวสันต์จนมิดด้าม
“โอ๊ย” วสันต์เจ็บปวด หันมาอย่างตกใจ กานดามณีแทงซ้ำอีกที
กานดามณียิ้มเยาะ “แกรนหาที่เองนะ ฉันไม่ปล่อยให้แกขู่ฉันไปตลอดหรอก แกตายไปสักคนเรื่องมันก็จะได้จบไปกับแก จะได้ไม่ต้องมีใครคอยตามหลอกตามหลอนฉันอีก”
“แก...นังกานดามณี...นังงูพิษ”
กานดามณียิ้มรับ แล้วเดินไปเอาแกลลอนน้ำมันที่เตรียมไว้มาราดทั่วกระท่อม ตามองไปที่วสันต์ที่นอนจมกองเลือดอยู่อย่างสะใจ
“แกจะทำอะไร”
“ก็เผาศพให้แกซะเลยไง”
ขาดคำกานดามณีหยิบไฟแช็คขึ้นมา กำลังจะจุดไฟ วสันต์รวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายกระโจนเข้ารัดกานดามณีล้มกลิ้งไปด้วยกัน
“ถ้าฉันจะตาย แกก็ต้องตายกับฉันด้วย”
“ฉันไม่มีวันยอมตายกับแก”
กานดามณีดิ้นรนสุดชีวิต วสันต์บีบคอกานดามณี
“แกฆ่าฉันไม่ได้หรอก แกน่ะแหละที่ต้องกลายเป็นผีเฝ้ากระท่อม”
ไม้ขนาดใหญ่เหวี่ยงมาฟาดท้ายทอยวสันต์อย่างแรง วสันต์ทรุดลงไป เห็นวิไลวรรณยืนถือไม้ค้างอยู่
“นังวรรณ!”
วิไลวรรณรีบวิ่งไปประคองกานดามณีขึ้นมา
“รีบไปกันเถอะแก”
วิไลวรรณลากกานดามณีให้วิ่งออกไป
“เดี๋ยวก่อน”
กานดามณีหยิบไม้ที่วิไลวรรณทิ้งไว้ขึ้นมาฟาดหัววสันต์สุดแรง ก่อนจะหยิบไฟแช็คที่กระเด็นตกอยู่ที่พื้นขึ้นมา วิไลวรรณตาเหลือกโตขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นการกระทำอันโหดเหี้ยมของกานดามณี
“เฮ้ย ยัยณี นี่แกจะ...”
“ฉันต้องให้แน่ใจว่า มันจะไม่ลุกขึ้นมาเป็นหนามยอกอกฉันอีก”
วิไลวรรณกำลังจะอ้าปากค้าน แต่กานดามณีโยนไฟแช็คลงไปบริเวณที่ราดน้ำมันไว้ ไฟลุกพรึบ
“เร็วเข้าสิแก เดี๋ยวก็ได้ไหม้ไปพร้อมมันหรอก”
กานดามณีลากวิไลวรรณวิ่งออกไป ทิ้งให้วสันต์นอนสลบอยู่ในกองไฟที่เริ่มโหมแรงขึ้นเรื่อยๆ
ไม่นานต่อมา กานดามณียืนมองเปลวไฟที่กำลังโหมไหม้ลุกลามกระท่อมอย่างสาสมใจ ขณะที่วิไลวรรณมองด้วยท่าทางหวาดหวั่นเต็มที่
“ยัยณี ฉันว่าแกไม่น่าจะต้องทำขนาดนี้เลย”
กานดามณีตวัดตามองวิไลวรรณอย่างไม่พอใจ
“แกอยากให้มันย้อนกลับมาฆ่าฉันนักหรือไง”
วิไลวรรณท่าทางว้าวุ่นใจ
“ไม่ใช่ แต่แกไม่ควรคิดจะฆ่ามันตั้งแต่แรก...”
จังหวะนี้เสียงชาวบ้านตะโกนเข้ามา
“เฮ้ย ไฟไหม้...ไฟไหม้กระต๊อบในสวน...มาช่วยกันดับเร็ว”
เสียงชาวบ้านร้องเรียกกันดังสนั่น กานดามณีตกใจ รีบฉุดวิไลวรรณวิ่งไปหาที่หลบ ชาวบ้านรีบวิ่งมาดู
“เร็วๆ เข้าช่วยกันดับไฟ”
ชาวบ้านต่างชุลมุนหาอุปกรณ์ใส่น้ำมาดับไฟ เห็นร่างโชกเลือดของวสันต์โซซัดโซเซออกมาถึงหน้ากระท่อมแล้วล้มลงกลิ้งอยู่ใกล้ๆ กับไฟที่กำลังจะลามมาถึงตัว
ชาวบ้านคนหนึ่งร้องบอก
“เฮ้ย มีคนอยู่ตรงนั้น รีบเข้าไปช่วยมันก่อน”
ชาวบ้านช่วยกันประคองวสันต์ออกมา กานดามณีกับวิไลวรรณมองไปที่วสันต์อย่างหวาดหวั่นปนตื่นตกใจ
“ซวยแล้วยัยณี ทีนี้จะทำยังไงกันล่ะเนี่ย”
อ่านต่อตอนที่ 12