สาปพระเพ็ง ตอนที่ 11
วาเรมองเห็นติสสาก็คิดหาทางรอด ติสสา เมฆา มารุตวิ่งเข้ามาใกล้ วาเรรีบโวยวาย ชี้ไปที่อสุนีทันที
"ไอ้คนนี้ มันจะฆ่าตัดแขนตัดขาเด็ก"
ติสสามองไป เห็นกรงไม้ที่มีร่างของดาราน้อยอยู่ริมทะเล
"ดาราน้อย"
ติสสาวิ่งเร็วออกไปช่วยลูก อสุนีพุ่งเข้าหา แต่วาเรทำเป็นรับดาบไว้ไม่ได้ ล้มกลิ้งไป เมฆา มารุตเข้ารุมอสุนีทันที วาเรไอ้โอกาสวิ่งหลบหนีไป ทั้งสามคนสู้กันอย่างดุดัน รวดเร็ว
ติสสาฟันท่อนไม้ขาดสองท่อนด้วยแรงมหาศาล กรงไม้เปิดออก เพื่อช่วยลูกสาวที่ถูกคลื่นซัดจนริมฝีปากแห้งแตกเพราะแดดเผา
"ดาราน้อย พ่อมาช่วยแล้วลูก"
ติสสารีบเข้าไปอุ้มร่างดาราน้อยออกมาไว้แนบอกด้วยความดีใจ เมฆา มารุต ยังสู้กับอสุนีด้านหลัง อสุนีถีบมารุตล้ม ติสสาส่งดาราน้อยให้เมฆาอุ้มไว้ อสุนีหันมา เจอติสสาโถมดาบใส่ อสุนีรับไว้ ติสสาพุ่งเข้าหาด้วยฝีมือดาบที่ดุดัน รวดเร็ว จนอสุนีรับไม่ทันล้มลง อสุนีกำลังจะลุกขึ้น ติสสาฟันฉับลงไปกลางอก แล้วแทงซ้ำ จนอสุนีเลือดกระอัก ล้มลงขาดใจตาย ติสสามองอสุนีด้วยแววตาสมเพช
สีหสาเดินเร็วเข้าหาอินยา ปันแสง ไพลินที่มารายงานเดินตามหลัง
"ข้าบอกแล้วว่าห้ามยุ่งเรื่องดาราน้อยอีก"
"แค่แขนข้างเดียว เด็กนั่นมันไม่ตายหรอก"
"แต่มันคือการขัดคำสั่งองค์นรสิงห์"
"เจ้านางไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย สีหสา แค่ใจร้อนไปหน่อย เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรู้ถึงองค์นรสิงห์ มันเป็นแค่เรื่องเล็กๆที่เข้าใจผิดกัน" ปันแสงบอก
"เข้าใจผิดตรงไหน มันทำให้เห็นต่างหากว่า ท่านไม่พร้อมจะทำตามคำสั่งของเรา"
อินยาหน้าเชิดไม่ยอมรับผิด ปันแสงสีหน้าอึดอัดเพราะสีหสาแสดงความไม่พอใจเต็มที่ วาเรวิ่งรีบร้อนเข้ามา สีหสาหันไปถามทันที
"วาเร เจ้ามาที่นี่ทำไม"
"ติสสามันช่วยดาราน้อยได้แล้ว"
สีหสา ปันแสง อินยาสีหน้าตกใจมาก
ติสสาอุ้มร่างดาราน้อยเข้ามาในตำหนักมรันมา ร้องเรียกด้วยความดีใจ
"น้องน้อย น้องน้อย"
มรันมานั่งสีหน้าหมองเศร้า พอได้ยินเสียงติสสาก็หันไปมอง พอเห็นร่างดาราน้อยในอกติสสา มรันมาก็ลืมความทุกข์ทันที
"ดาราน้อย"
กาหลง พินทุอยู่ใกล้มรันมา มองด้วยความดีใจ ติสสาวางร่างดาราน้อยลง มรันมามองสภาพลูกแล้วน้ำตาแทบร่วง
"พี่ชาย ทำไมลูกเป็นอย่างนี้"
"ดาราน้อยไม่เป็นอะไร ลูกแค่สลบไป"
มรันมากอดลูกไว้ด้วยหัวใจยินดีที่สุด
"ข้าจะไปเอาผ้าห่มมาให้เจ้าดาราน้อย"
กาหลงรีบวิ่งออกไป พินทุยิ้มยื่นมือไปกุมมือเล็กๆของดาราน้อยไว้ ด้วยสีหน้าตื้นตัน
"ท่านเจอเจ้าดาราน้อยที่ไหน"
ติสสากำหมัดแน่น มรันมา พินทุมองความโกรธแค้นที่ฉายชัดในใบหน้าติสสา
"สุดเขตศรีพิสยาที่ไม่มีใครเคยเข้าไปถึง แล้วคนที่มันทำร้ายลูกข้า คือทหารของปันแสง"
มรันมาฟังแล้วแววตาโกรธวาบขึ้นมา
"ใช่มันจริงๆ"
"ปันแสง อินยา มันสองคนต้องชดใช้ให้ความเจ็บปวดของดาราน้อย"
แววตาติสสากับมรันมาเต็มไปด้วยโกรธแค้นศัตรูคู่อาฆาต
ในท้องพระโรง เวลากลางคืน ปันแสง อินยาเชิดหน้ามองปรันมา ด้านข้างคือ ติสสา เมฆา มารุตยืนประจำที่
"ยังมีหน้าจะแก้ตัวอะไรอีกมั้ย ปันแสง ทหารของเจ้าเป็นคนทำร้ายดาราน้อย"
"อสุนีมันตายไปตั้งนานแล้ว ข้าไม่ใช่ผู้วิเศษ ที่จะปลุกวิญญาณคนตายมารับใช้ได้" ปันแสงบอก
ปรันมาสุดทนตบหน้าปันแสง อินยาตะลึง ติสสา เมฆา มารุตถืออาวุธพร้อมระวังปรันมา
"เจ้ามันสิ้นศักดิ์ศรีความเป็นคน ตั้งแต่กล้าทำร้ายเด็กที่เป็นสายเลือดเดียวกัน"
"ข้าไม่เคยนับมัน สายเลือดศรีพิสยาบริสุทธิ์มีแค่ข้ากับเจ้านาง"
"ข้าจะอยากฆ่าเจ้าให้ตายตรงนี้ ราชวงศ์ศรีพิสยาจะได้ไม่เหลือสายเลือดชั่วชาติ"
"ก็เอาดาบของแม่ทัพมาตัดคอคนสายเลือดเดียวกันสิ ปรันมา"
อินยาโต้กลับปรันมาอย่างไม่เกรงกลัว
"ถ้าเจ้าทำได้ เจ้ามันก็เลวเท่ากับที่ด่าปันแสง"
"อินยา"
"เอาสิ ปรันมา ข้ากับเจ้านางจะไม่หนี แต่ขอให้ตัดหัวข้ากับเจ้านางต่อหน้า คนทั้งศรีพิสยา ให้ทุกคนจดจำเจ้าปรันมาผู้เปี่ยมคุณธรรม ว่าที่แท้ก็แค่ฆาตกรฆ่าพี่น้องตัวเอง"
ปรันมาโกรธจัด ติสสามองแล้วห้าม
"อย่าลดมือของท่านทำสิ่งแปดเปื้อนเหมือนเดรัจฉานสองตนนี้ ให้เป็นหน้าที่ของข้า"
"เอาสิ ปรันมา ให้แม่ทัพของเจ้าตัดหัวข้ากับปันแสงซะ ไม่ต้องคิดหรอกว่าน้ำนมที่ข้าเคยเลี้ยงดูเจ้าแทนแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ มันจะทำให้เจ้าโตมาเป็นคนได้"
"บุญคุณของเจ้านาง ไม่เคยอยู่ในหัวมัน มันไม่เคยเห็นข้าเป็นพี่น้อง"
"ข้าเห็นเจ้าเป็นพี่น้องมาตลอด แต่เจ้าไม่เคยเห็นแก่ใคร นอกจากตัวเอง ข้าผิดหวังที่สุดที่ให้โอกาสคนผิด ต่อจากนี้เจ้าสองคนจงอยู่แต่ในตำหนักส่วนในไปจนชั่วชีวิต อย่าออกไปสร้างความอับอายให้ใครได้อีกจนวันตาย" ปรันมาบอก
ติสสามองจ้องปันแสง ด้วยความเกลียด
"ถ้าวันไหนที่เจ้าสองคนออกไปนอกตำหนัก ข้าจะถือว่าเจ้าไม่ใช่ศรีพิสยาอีกต่อไป และข้าจะเลือกโทษที่เหมาะสมที่สุดคือ ตัดหัวเสียบประจานทั้งคู่"
ปรันมามองจ้องอินยาและปันแสงด้วยแววตาดุดัน ติสสาที่ยกดาบจ่อไปที่อกปันแสง
"ดาบข้าอยากกินเลือดจัญไรของเจ้าสองคนนัก ...เสียดาย จงมีลมหายใจอยู่ต่อ ปันแสง อินยา เจ้าต้องทนอยู่อย่างทรมาน ตอนที่ครอบครัวข้ามีความสุขที่สุด"
เมฆา มารุตเข้ามาคุมตัวอินยา ปันแสง ให้หันหลังเดินออกไป เสียงปันแสงคำรามด้วยความแค้นขณะเดินออก
"ไอ้ติสสา ถ้าข้าอยู่บนบัลลังก์ศรีพิสยาเมื่อไหร่ ข้าจะกระทืบลงที่อกแกให้สำลักความสุขจนตาย"
ปันแสง อินยาถูกคุมตัวออกไป ติสสามองตามด้วยสายตาเกลียดชัง
ศรีพิสยา เช้าวันใหม่ ติสสากับมรันมากำลังมองดูดาราน้อยที่สีหน้าดีขึ้น ยิ้มน่ารัก กาหลง พินทุนั่งดูแลอยู่ใกล้ๆ ติสสาก้มลงจูบหน้าผากลูกด้วยความรัก แล้วหันมาบอกมรันมา
"วันนี้พี่ชายจะไปที่วิหาร ขอบคุณพระเพ็ง กับเมืองมาสที่ช่วยนำทาง จนเราเจอดาราน้อย"
ติสสาลุกขึ้นเดิน มรันมาเดินตามมา
"น้องน้อยกลัวเหลือเกินพี่ชาย อินยากับปันแสงไม่มีวันลืมเรื่องนี้"
"พี่ชายถึงต้องไปภาวนาขอให้พวกเราปลอดภัย เชื่อพี่ชายนะ น้องน้อย สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งศรีพิสยาจะคุ้มครองคนที่เชื่อมั่นในความดี"
ติสสายิ้มให้กำลังใจและความเชื่อมั่น
วิหารศรีพิสยา สุเลวินนั่งสวดมนต์อยู่ด้านในกับนักบวชต่างแคว้น เสียงประตูวิหารเปิดออกโดยนักบวช 2 คน สุเลวินขยับตัวเล็กน้อยตั้งใจฟังเสียง
ปรันมา จันทเทวี ติสสาที่เดินตามเมืองมาสเข้ามา นักบวชตามหลังอีก 2 คนปิดประตูลง ปรันมาก้าวมายืนตรงกลางวิหาร หันไปยิ้มกับน้องสาว
"ถึงเวลาที่เจ้าทั้งสองจะต้องเพิ่มพลังให้ผีนาถ ผีฟ้า"
"ข้ากับเจ้านางจันทเทวีจะตั้งใจสวดมนต์ทั้งวันทั้งคืน เพื่อให้เกราะป้องกันศรีพิสยาแข็งแกร่งที่สุด"
"ศรีพิสยาต้องขอบใจความเสียสละของเจ้าสองคน"
"ชีวิตน้องต่างหากที่ต้องตอบแทนคุณศรีพิสยา"
จันทเทวีเดินนำติสสาเข้าไปด้านในหอขวัญเมือง ปรันมามองด้วยสายตาปลื้มใจกับความเสียสละของทั้งคู่ สุเลวินที่คลี่ยิ้มออกมาเพียงนิด เมื่อรู้แล้วว่าคนสองคนที่เข้าไปในหอขวัญเมืองคือติสสาและจันทเทวี
ภายในกระโจม นรสิงห์ยิ้มออกมาทันทีเมื่อสุเลวินกลับมารายงาน สีหสายืนอยู่อีกด้าน
"ปรันมามันฝากศรีพิสยาไว้ที่แม่ทัพคู่ใจ กับ น้องสาว นี่เอง" นรสิงห์เอ่ยขึ้น
"ตลอดเวลาที่ข้าอยู่ศรีพิสยา ข้าไม่เคยเห็นจันทเทวี มันคงถูกซ่อนตัวไว้ในที่สำคัญ"
"แต่เราก็รู้แล้วว่า จุดอ่อนที่สุดของแม่ทัพติสสา คือลูกสาว" สุเลวินบอก
" ข้ายังจำได้ เสียงเล็กๆ แววตาซุกซน น่ารัก สมกับที่เป็นดวงใจของติสสา"
นรสิงห์หัวเราะขึ้นกับแผนการโหด
"และถ้าจะให้เหมาะสมกับเกียรติของผู้พิทักษ์ศรีพิสยา ข้าก็จะบีบหัวใจน้อยๆ ดวงนั้นให้ค่อยๆหมดลมหายใจต่อหน้าต่อตาพ่อแม่มัน"
"ต่อจากนี้ดาราน้อยคงจะถูกคุ้มกัน เข้าถึงตัวยากกว่าเดิม" สีหสาว่า
"ข้ามีสิ่งที่จะดึงเด็กคนนั้นเข้ามาหาข้า"
นรสิงห์หันไปเปิดผ้าที่คลุมกรงผีเสื้อออก เห็นผีเสื้อพิษสีสวยบินอยู่ด้านใน
"ผีเสื้อ ?"
นรสิงห์มองเหล่าผีเสื้อพิษในกรงด้วยรอยยิ้ม
"ใช่ ผีเสื้อ สีสวยของมันคือพิษร้าย แตะเพียงนิด ก็จะหลับเหมือนตาย ยิ่งหายใจ พิษจะยิ่งกระจายไปทั้งตัว ข้าเลือกให้มันเป็นอาวุธที่ดีที่สุด เพื่อใช้บดขยี้หัวใจติสสา"
นรสิงห์กับสีหสายิ้มมองผีเสื้อที่ขยับปีกสวยสีฟ้าเข้มจัดด้วยแผนเหี้ยม
มรันมาถือกระรอกน้อย ตัวอ้วนในกรงเดินเข้ามา
"ดาราน้อย ดูสิแม่เอาอะไรมาให้"
มรันมามองไปไม่เห็นดาราน้อย ก็เรียก
"ดาราน้อย ดาราน้อย"
กาหลงวิ่งตามเข้ามา มองไม่เห็นดาราน้อยก็ตกใจ
"เมื่อคืนข้าได้ยินเจ้าดาราน้อยบ่นว่า อยากไปเที่ยวตลาด"
"พินทุ"
พินทุวิ่งเร็วเข้ามาตามเสียงเรียกของมรันมา
"รีบไปตลาดกับข้า"
มรันมารีบวางกรงกระรอกเดินเร็วออกไป กาหลง พินทุวิ่งตามทันที
ดาราน้อยวิ่งเข้ามาในตลาดศรีพิสยา ชาวบ้านกำลังขายของอย่างคึกคัก กาหลงกับข้าหลวงวิ่งตามมา
"เจ้าดาราน้อย"
ดาราน้อยได้ยินเสียงกาหลงก็ก้มหลบ คลานหนีไปกับพื้น
"เจ้าดาราน้อย อย่าหนีนะ ออกมาหากาหลงเดี๋ยวนี้"
ดาราน้อยซุกตัวหลบ อมยิ้มที่ได้แกล้งกาหลง
อีกด้านในตลาด มรันมามีพินทุตามคุ้มกันอยู่
"แยกกัน รีบหาตัวดาราน้อยให้เจอ" มรันมาสั่ง
พินทุรับคำสั่งแล้วรีบแยกกันไปคนละทาง
ดาราน้อยวิ่งหลบมาอีกด้านในตลาดที่ผู้คนไม่พลุกพล่าน
"ทางนี้มี... ผีเสื้อสวยๆ"
ดาราน้อยพอได้ยินคำว่า ผีเสื้อ ก็หันไปมองทันที มุมหนึ่ง นรสิงห์ปลอมเป็นพ่อค้าเร่มองตรงมาที่ดาราน้อย และขยับกรงผีเสื้อออกมาหลอกล่อ ผีเสื้อตัวใหญ่หลากสีสันเกาะกิ่งไม้ในกรงผ่านผ้าโปร่งเบาบาง
ก่อนที่นรสิงห์จะค่อยๆเปิดผ้าโปร่งออกให้เห็นผีเสื้อหลากสีชัดๆ
นรสิงห์ยื่นหน้ามาใกล้ใบหน้าดาราน้อย
"ผีเสื้อจากแดนไกล"
"สวยจังเลย"
"ผีเสื้อชอบเกาะนิ้วเด็กเล็กๆ คิดว่าเป็นเกสรดอกไม้ที่เต็มไปด้วยน้ำหวาน"
ดาราน้อยมองเหล่าผีเสื้ออย่างตื่นเต้น นรสิงห์มองยิ้มเจ้าเล่ห์
ตลาดด้านที่ขายผ้า และเครื่องประดับ กาหลงกับข้าหลวงวิ่งมาจากอีกทาง เจอกับพินทุที่แยกกันตามคนละด้าน กาหลงถามเสียงกังวลขึ้นทันที
"เจอเจ้าดาราน้อยหรือยัง"
ดาราน้อยที่กำลังมองผีเสื้ออย่างใจจดใจจ่อ นรสิงห์พยายามหลอกล่อ
"ผีเสื้อสวยๆ ยังไม่มีเจ้าของ"
"ขอให้ดาราน้อยได้มั้ยจ๊ะ"
นรสิงห์ยังไม่ทันตอบ มรันมาก้าวเข้ามาเห็นลูกสาวก็เรียกด้วยความดีใจ
"ดาราน้อย"
เสียงเรียกของมรันมาทำให้นรสิงห์หันไปพร้อมๆกับดาราน้อย
"แม่จ๋า"
มรันมาเห็นดาราน้อยกำลังตื่นเต้นกับผีเสื้อ นรสิงห์ยิ้ม ทำเป็นปิดผ้าบังผีเสื้อไว้ทันที ดาราน้อยหน้าเสียลงทันทีเพราะอยากได้ผีเสื้อ
"แม่จ๋า ดาราน้อยอยากได้ผีเสื้อในนั้น"
มรันมาคิดว่า นรสิงห์เป็นเพียงพ่อค้าคนหนึ่ง
"พ่อค้า ผีเสื้อทั้งหมดของเจ้า ข้าจะขอซื้อให้ลูกสาว"
นรสิงห์ทำอิดออด ไม่อยากขาย
"ผีเสื้อมากมาย ข้าจับมาด้วยความยากลำบาก"
กาหลง พินทุและข้าหลวงเดินเร็วเข้ามาเห็นนรสิงห์กำลังยื้อ กาหลงพูดข่มขึ้นทันที
"รู้มั้ยว่าเจ้ากำลังพูดกับใคร นี่คือน้องนางมรันมา เมียแม่ทัพติสสา"
มรันมาปราม
"กาหลง"
มรันมาหันไปยิ้มกับนรสิงห์
"ลูกข้าอยากได้ผีเสื้อสวยๆไปเลี้ยง ถ้าเจ้าจะพอขายให้บ้าง ข้าก็จะขอซื้อเป็นของขวัญ"
"ของขวัญ"
"ใช่ ข้าอยากจะให้ผีเสื้อเป็นของขวัญกับดาราน้อย ลูกสาวของข้า"
"แม่ผู้มีหัวใจประเสริฐ ทำทุกสิ่งได้เพื่อลูก"
นรสิงห์มองด้วยสายตาพิจารณาลึกซึ้ง แต่มรันมาไม่ได้เอะใจ กาหลงรีบหยิบเหรียญทองเล็กๆส่งให้นรสิงห์ ดาราน้อยที่มองผีเสื้อตาแป๋ว
"สัญญากับข้าได้มั้ย เจ้าดาราน้อย ผีเสื้อพวกนี้ข้าดั้นด้นเสาะหามา จงรักมันเหมือนที่ข้ารัก เลี้ยงมันด้วยน้ำหวานของดอกไม้จากมือท่าน อย่างที่ข้าเลี้ยง มันถึงจะเป็นของขวัญล้ำค่าที่คู่ควรกับเด็กหญิงตัวเล็กๆ"
นรสิงห์หยิบกรงยื่นให้ ดาราน้อยยิ้มกว้างรีบรับเอาไว้
"ดาราน้อยสัญญา"
ดาราน้อยยิ้ม ถือกรงผีเสื้อไว้แน่น
"ขอบใจนะ พ่อค้า เจ้าใจดีจริงๆ"
นรสิงห์ยิ้มมองภาพแม่ ลูก กาหลง พินทุ และข้าหลวงที่เดินออกไป
นรสิงห์เปลี่ยนรอยยิ้มเป็นแววตาสีเข้ม ดูโหดเหี้ยม เลือดเย็นผุดพรายเต็มหน้า ... บัดนี้ เจ้าดาราน้อยได้รับของขวัญอันร้ายกาจจากนรสิงห์แล้ว
บริเวณโถงล่างบ้านนรสิงห์ สถบดี รัดเกล้า คทารัตน์ วิวรรธน์ เพชรดา พัทธยา ทุกคนที่ยังอยู่ในมนตร์สะกดนิ่งให้อยู่ในภวังค์ นรสิงห์ ภายใต้ท่าทาง แววตาแข็ง นิ่งขึงเหมือนรูปปั้นกลับน้ำตาหยาดหยดลงมาเป็นสายอาบหน้า ด้วยความรู้สึกผิดท่วมท้นกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป
สวนในตำหนัก มรันมายื่นดอกไม้ส่งให้ ดาราน้อย แตะนิ้วที่น้ำหวานบนเกสรดอกไม้ แล้วยื่นไปที่ผีเสื้อ มรันมา กาหลง พินทุมองผีเสื้อบินมาดูดน้ำหวานที่นิ้วเล็กๆของดาราน้อย
"แม่จ๋า แม่จ๋า ดูผีเสื้อที่นิ้วดาราน้อยสิจ๊ะ"
ดาราน้อยตื่นเต้น มรันมา กาหลง พินทุยิ้มไปด้วย
"น้ำหวานหมดแล้ว ดาราน้อยไปเอาดอกไม้มาอีกนะจ๊ะแม่"
ดาราน้อยวิ่งไปที่แปลงดอกไม้ เด็ดดอกไม้เสร็จก็หันหลัง จะวิ่งกลับมาหาแม่ แต่จู่ๆก็ทรุดลง ดอกไม้หลุดจากมือ มรันมาวิ่งเข้าไปกอดลูก
"ดาราน้อย"
นิ้วดาราน้อยที่ให้น้ำหวานผีเสื้อ มีจุดแดงเข้มขึ้น แต่ยังไม่มีใครสังเกตเห็น
"ดาราน้อย ดาราน้อยเป็นอะไร"
"เจ็บจ้ะ แม่"
"ลูกเจ็บตรงไหน"
ดาราน้อยหรี่ตาลงเหมือนง่วง กาหลงกับพินทุวิ่งมาเรียกสติ
"เจ้าดาราน้อย"
"แม่จ๋า ดาราน้อย ง่วง"
ดาราน้อยหาวแล้วหลับไปอย่างว่าง่ายในอ้อมกอดมรันมา มรันมาเขย่าร่างลูกเบาๆ
"ดาราน้อย ตื่นก่อน ดาราน้อย อย่าเพิ่งหลับ"
"เมื่อกี้ยังวิ่งเล่นอยู่เลย พอให้น้ำหวานผีเสื้อ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้"
ดาราน้อยไม่รู้สึกตัว มรันมาหันกลับไปมองกรงผีเสื้อทางด้านหลัง สายตาสงสัยแต่ไม่แน่ใจ
บริเวณค่ายรบ นรสิงห์ก้าวออกมามองกองทัพด้านล่าง ที่มีคชา ไพลิน เป็นผู้นำซ้อมรบ สีหสา สุเลวินก้าวมายืนด้านข้างนรสิงห์
"ความทรมานของดาราน้อยจะฉีกหัวใจทุกคนที่รักมัน โดยเฉพาะหัวใจแข็งแกร่งของแม่ทัพติสสา"
"ทำลายติสสาได้ ก็เท่ากับทำลายพลังที่คุ้มครองศรีพิสยาไปครึ่งหนึ่ง" สุเลวินบอก
สีหสายิ้ม
"เหลือแค่จันทเทวีคนเดียวก็ไม่ใช่ปัญหา ข้าจะลากมันมาบั่นคอเอง"
"หัวใจคนเป็นพ่อนี่แหละที่จะช่วยให้เราเหยียบย่ำศรีพิสยาทั้งหมด"
นรสิงห์ยิ้มอย่างสุขสมหวัง กับแผนการเหี้ยมโหดของตน
ห้องนอนตำหนักมรันมา เวลากลางวัน ติสสาเดินเร็วเข้ามา เห็นมรันมา กาหลงนั่งข้างดาราน้อยด้วยสายตาเป็นห่วง
"น้องน้อย ลูกเป็นอะไร"
"พอให้น้ำหวานผีเสื้อก็หลับไปเลย แต่ตอนนี้ดาราน้อยตัวร้อนมาก น้องน้อยกับกาหลงกำลังผลัดกันเช็ดตัวให้"
ติสสามองใบหน้าลูกที่แก้มแดงเรื่อด้วยพิษไข้ พินทุนำหมอหลวงเข้ามาดูอาการ
"เพราะน้ำทะเลหรือเปล่า ลูกข้าถึงไม่สบาย"
หมอหลวงมองไปที่จุดแดงบนแก้ม แล้วส่ายหน้า
"ไม่ใช่...จุดสีแดงเล็กๆนี่ เหมือนโดนพิษ"
มรันมาสบตาติสสา ความกังวลฉายชัดในดวงตาของคนทั้งสองอีกครั้ง
ในท้องพระโรง เจ้าปรันมาเดินเข้าหาหมอหลวง
"จงรีบไปหายาแก้พิษทุกอย่างที่มีทั้งศรีพิสยา มารักษาหลานข้า"
หมอหลวงก้มหัวรับคำสั่งแล้วรีบออกไป
"สั่งปิดเขตติดต่อทุกด้านโดยเฉพาะทางทะเล วางกำลังทหารไว้ทุกจุด เราจำเป็นต้องงดการติดต่อค้าขายชั่วคราว อย่าให้ใครเล็ดรอดเข้ามาได้อีก เมฆา มารุต ล่าตัวไอ้พ่อค้าขายผีเสื้อมาให้ได้"
เมฆา มารุตรับคำสั่งแล้วเดินเร็วออกไป
ปรันมามองให้กำลังใจติสสา
"ใครที่คิดจะเอาชีวิตลูกข้า หรือว่าปันแสงมันยังไม่หยุดทำชั่ว"
"ข้าสังหรณ์ใจว่า เป้าหมายมันไม่ใช่ดาราน้อย ทำแบบนี้ก็เหมือนทำลายเจ้า ซึ่งหมายถึงศรีพิสยา"
ติสสาฉุกคิด
"พวกนรสิงห์ จะเป็นไปได้ยังไง ความลับเรื่องขวัญเมือง ข้าไม่เคยเล่าให้ใครฟัง แม้กระทั่งมรันมา"
"ในสงคราม พวกนรสิงห์มันต้องใช้ทุกทางเพื่อทำลายขวัญและกำลังใจของเรา"
"ยิ่งมันคิดจะทำลายข้า ข้าจะแข็งแกร่งให้มากกว่าที่มันเคยเจอ"
ปรันมามองขอบใจ ติสสาสีหน้าเชื่อมั่นในตัวเองอย่างมาก
มรันมาซับผ้าเช็ดตัว ลดความร้อนที่หน้าผากของดาราน้อย กาหลงคอยช่วยเช็ดที่แขน แต่พอยกแขนดาราน้อยขึ้น ก็เห็นจุดแดงลามมาที่แขน
"มรันมา"
มรันมามองแขนของลูกที่กาหลงยกให้ดู ก็ตกใจ ติสสาเดินนำหมอหลวงเข้ามาพอดี มรันมารีบบอก
"พี่ชาย พิษมันลามมาที่แขนดาราน้อยแล้ว"
"ไม่เป็นไร น้องน้อย หมอหลวงหายาสมุนไพรมาช่วยรักษาแล้ว"
ติสสาโอบประคองมรันมาให้ความอุ่นใจ หมอหลวงที่เอาสมุนไพรวางลงที่แขนดาราน้อย ทุกคนมอง
"สมุนไพรจะช่วยขับพิษ ไข้จะลดลง"
กาหลงยิ้มออก พินทุมองทอดสายตาสงสารดาราน้อย มรันมา ติสสามองอย่างมีหวัง
นรสิงห์เดินเข้ากระโจม ตามด้วยสีหสา คชาจับมือให้สุเลวินตามเข้ามา
"ถ้ายาของศรีพิสยาช่วยชีวิตเด็กนั่นไว้ได้"
สีหสาหันขวับไปทางสุเลวินอย่างไม่พอใจทันที
"เจ้าคิดว่าองค์นรสิงห์จะประมาท ไม่วางแผนเรื่องนี้ไว้ก่อนล่ะสิ"
"ข้ารู้ว่าองค์นรสิงห์รอบคอบ แต่ข้าเห็นมาแล้วว่าศรีพิสยามีพลังอำนาจของพระเพ็งคอยช่วยอยู่"
"ข้าถึงต้องเอาชีวิตดาราน้อยเป็นเครื่องสังเวยให้พระเพ็งมันรู้ว่า อำนาจของข้าต่างหากที่จะเข้าไปลบล้างอำนาจของพระเพ็งให้หมดสิ้น" นรสิงห์บอก
สีหสายิ้มบอก
"ยังไง เด็กนั่นก็ต้องตาย"
"หรืออาจจะไม่ตาย ถ้าแม่ทัพติสสาฉลาด ว่าควรจะเลือกสิ่งไหนมากกว่ากัน ระหว่างศรีพิสยา กับ ชีวิตลูก"
"เราคงรู้เรื่องในศรีพิสยายากขึ้น ปรันมามันเอาทหารมาเฝ้าตลอดแนวฝั่งทะเลแล้ว"
"ไม่ต้องห่วง ต่อให้มันก่อกำแพงสูงเสียดฟ้า สายตาข้าก็ยังมองเห็นทะลุไปถึงวังศรีพิสยาทั้งหมดอยู่ดี"
"พลังจากผีนาถ ผีฟ้ากั้นทุกอย่างอยู่ แม้แต่ญาณวิเศษของข้าก็ยังถูกบดบัง"
"มันต้องมีสักทางที่จะบุกเข้าไปสืบข่าวในศรีพิสยาให้ได้ ไม่งั้นเราเสียเปรียบ" สีหสาบอก
สุเลวินกับสีหสาทักท้วงอย่างไม่เข้าใจ แต่นรสิงห์เอ่ยย้ำ
"ก็ข้าบอกแล้วว่า ข้ามีตา ข้ามีตา"
นรสิงห์ยิ้มอย่างคนเจ้าเล่ห์และรอบคอบ เตรียมแผนทุกอย่างมาไว้แล้วอย่างดี
พินทุยืนมองติสสา มรันมา เฝ้าดูแลดาราน้อย กาหลงยืนใกล้พินทุ ติสสาสั่งขึ้น
"พินทุ รีบไปบอกหมอหลวง ว่าอาการดาราน้อยไม่ดีขึ้น"
พินทุรีบเดินออกไป มรันมาเอามือแตะหน้าผากลูก
"ตัวร้อนกว่าเดิม ร้อนเหมือนไฟ"
ติสสาลูบแขนลูกอย่างเบามือ สายตาอยากจะรับความเจ็บปวดมาแทน
"ดาราน้อย ลูกพ่อ"
ติสสาอุ้มดาราน้อยมาไว้ในอก มรันมามองตาแดงก่ำ
"พ่ออยู่ตรงนี้ ได้ยินพ่อใช่มั้ย ดาราน้อย ให้พ่อเจ็บ ให้พ่อทรมานแทนลูกเสียยังดีกว่า"
มรันมาเอื้อมมือไปจับมือเล็กๆของดาราน้อย
"เวรกรรมอะไรที่ลูกต้องมาเจ็บอย่างนี้"
มรันมาน้ำตาหยดมองไปที่ติสสา
"พี่ชาย ข้าทำผิดอะไรหนักหนา ขอให้พระเพ็งบอกข้า เอาชีวิตข้าคนเดียว"
"ไม่ น้องน้อย ถ้าบาปกรรมนี้จะมีจริง พี่จะขอให้พระเพ็งลงโทษพี่แค่คนเดียว ชีวิตพี่จะยอมแลกเพื่อน้องน้อยกับลูก"
ติสสาตาแดงก่ำ มองมรันมาด้วยความทุกข์อย่างหนักที่ต้องเห็นลูกสาวทรมาน
ในท้องพระโรง เวลากลางคืน ปรันมานั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เมฆา มารุตตรงเข้ามารายงาน
"พวกเราค้นจนทั่วแล้ว เจ้าปรันมา"
พินทุเดินเข้ามา ได้ยินมารุตที่กำลังรายงาน
"ชาวบ้านบอกว่าพ่อค้าเร่คนนั้นพอขายให้ผีเสื้อให้เจ้าดาราน้อย ก็ไม่เห็นมันกลับมาที่ตลาดอีกเลย"
พินทุตรงมาหยุดรายงานต่อหน้าปรันมา
"อาการเจ้าดาราน้อยทรุดหนักลงไปอีก"
ปรันมาลุกขึ้นพรวดอย่างร้อนใจ
"ป่าวประกาศออกไปให้ทั่วทั้งอาณาจักร ใครมียารักษาหลานข้าได้ ข้าจะให้รางวัลมากเท่าที่มันขอ"
พินทุก้มหัวรับคำสั่งแล้วรีบออกไปพร้อมกับเมฆา มารุต ปรันมาสีหน้ากังวลที่สถานการณ์ทุกอย่างไม่ดีขึ้น
สวนตำหนักอดีตเจ้านาง อินยาเดินนำปันแสงเข้ามา สองคนมีแต่รอยยิ้มแห่งความสมหวัง
"เสียงหายาแก้พิษให้นังเด็กดาราน้อยดังไปทั่วศรีพิสยา" อินยาบอก
"แผนชั่ว ไร้ความปรานีของนรสิงห์ มันสะใจข้าจริงๆ"
"เรายิ่งต้องระวังนรสิงห์ พวกมันทุกคนคืออสรพิษ มีเล่ห์เหลี่ยม พิษสงรอบตัว" อินยาว่า
"ข้าไม่เคยไว้ใจมัน โดยเฉพาะสีหสา มันเคยหลอกเรา ตอนเข้ามาสืบความลับถึงในนี้"
"ข้าขอแค่นรสิงห์กับกองทัพของมันลงมือสำเร็จ ส่งเจ้าขึ้นบัลลังก์เมื่อไหร่ เราจะไม่ต้องรับคำสั่งมันอีก"
ปันแสงกับอินยายิ้มให้กัน
ในกระโจมนรสิงห์ สีหสานอนทอดกายอยู่ในอกนรสิงห์
"ข้ารู้ว่าท่านจะไม่ส่งปันแสงขึ้นสู่บัลลังก์ศรีพิสยาจริงๆ"
นรสิงห์ยิ้ม
"ทำไมล่ะ ข้อตกลงของข้ากับเจ้านางอินยาคือทำให้ปันแสงเป็นกษัตริย์ศรีพิสยาองค์ใหม่"
"ปันแสงไม่มีวันยอมตกอยู่ใต้อำนาจของท่าน"
"นั่นล่ะยิ่งดี ข้าชอบคู่ต่อสู้ที่ทำให้ข้าตื่นเต้นได้บ้าง"
"อีกนานมั้ยกว่าเด็กนั่นมันจะตาย"
"ก็จนกว่าข้าจะพอใจ ให้มันมีหวังแล้วก็สิ้นหวัง ต้องรอวันตายของลูก"
นรสิงห์ยิ้มอย่างมีความสุขที่สุดเมื่อนึกถึงอนาคตที่จะเกิดกับดาราน้อย
อ่านต่อหน้าที่ 2
สาปพระเพ็ง ตอนที่ 11 (ต่อ)
ในวิหารศรีพิสยา เช้าวันใหม่ ติสสาอุ้มร่างสลบไม่ได้สติของลูกเข้ามา มรันมาเดินเร็วมายืนข้างๆ
"เมืองมาส ช่วยลูกข้าด้วย"
เมืองมาสและนักบวชทั้ง 4 พากันเข้ามามอง ติสสาวางร่างดาราน้อยที่ถูกผีเสื้อพิษกระจายอยู่ทั้งแขนขา
"ดาราน้อยเป็นอะไร อยู่ๆก็เป็นไข้ แล้วก็มีจุดพวกนี้ขึ้นทั้งตัว" มรันมาถาม
"หมอหลวงก็จนปัญญา ไม่มีใครช่วยอะไรได้เลย มีอะไรที่จะรักษาลูกข้าได้บ้าง เมืองมาส" ติสสาถาม
เมืองมาสมองจุดแดงที่แขนขาดาราน้อยอย่างสงสัย เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน
"ข้าไม่เคยเห็นโรคอย่างนี้มาก่อน"
"คิดเร็วๆ คิด ข้าปล่อยให้อาการดาราน้อยทรุดหนักไปกว่านี้ไม่ได้"
มรันมามองไปที่รูปเคารพพระเพ็งด้วยสายตาวิงวอน
"พระเพ็งโปรดช่วยลูกข้าด้วย ให้ความเจ็บปวดทั้งหมดมาลงที่ข้า อย่าให้ดาราน้อยต้องทรมาน"
มรันมา ติสสามองรูปพระเพ็งด้วยสายตาวิงวอน
ในท้องพระโรง ปรันมาลุกขึ้น ถามหมอหลวงด้วยเสียงอันดัง จันทเทวี นันทวดี พินทุ ทุกคนที่ยืนอยู่มองไปที่หมอหลวง
"ทำไมถึงหายารักษาดาราน้อยไม่ได้"
"พิษนี้ร้ายแรงมาก เจ้าปรันมา"
"ร้ายแรงเกินสติปัญญาของหมอทั้งศรีพิสยาเลยหรือไง"
หมอหลวงก้มหน้าเงียบ ปรันมาสีหน้าโมโห นันทวดีเอ่ยแนะขึ้น
"ตอนนี้เราหายาบรรเทาอาการดาราน้อยไปก่อน ให้เวลาหมอเก่งๆทั้งศรีพิสยา คิดหายาอีกสักหน่อย"
พินทุมองทุกคนที่สีหน้ากลัดกลุ้ม โดยเฉพาะเจ้าปรันมา
"ข้าจะให้คนไปรับหมอเก่งๆจากแคว้นอื่นมาด้วย เจ้าจงจัดการให้ได้ยามาเร็วที่สุด"
หมอหลวงก้มหน้ารับคำแล้วรีบออกไป ปรันมามองตามสีหน้าวิตก
ห้องนอนตำหนัก มรันมาและติสสานั่งมองลูกที่นอนหลับไม่ได้สติ กาหลงนั่งห่าง รอคอยรับใช้ มองด้วยความสงสาร พินทุนำนันทวดี จันทเทวีเข้ามา พอเห็นสภาพดาราน้อย นันทวดีก็เสียงเศร้า
"โธ่ ... หลานดาราน้อย"
นันทวดีเข้ามากอดดาราน้อยไว้ จันทเทวีหันไปบอกกับติสสา มรันมา
"เจ้าพี่ให้คนไปตามหมอจากแคว้นอื่นมาช่วยรักษาหลานดาราน้อย"
"ดาราน้อยยังไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย"
"ทำใจดีๆไว้นะ มรันมา จิตใจของแม่จะช่วยปลดเปลื้องความเจ็บปวดความทุกข์ของลูกได้"
"น้องน้อยไม่กิน ไม่นอน เฝ้าดาราน้อยอยู่ตลอดเวลา" ติสสาบอก
จันทเทวี นันทวดีมองอย่างสงสาร
"ข้าไม่อยากละสายตา ข้าต้องเห็นตอนที่ดาราน้อยกะพริบตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง"
มรันมาน้ำตาหยด ติสสากอดเมียไว้ให้กำลังใจ กาหลง พินทุเบือนหน้าหนีด้วยความเศร้า
ในกระโจม นรสิงห์รับแก้วเหล้าที่สีหสาเทเข้าปากให้ด้วยความสำราญใจ สุเลวินนั่งอยู่อีกด้าน
คชาเปิดกระโจม เดินถือนกพิราบเดินเข้ามาตรงหน้านรสิงห์
นรสิงห์แกะกระดาษที่ติดมากับขานกพิราบออกอ่านปราดเดียวแล้วหัวเราะ
"ตาของข้าบอกว่าพวกศรีพิสยามันกำลังคลั่ง หาทางทำทุกอย่างให้เด็กนั่นฟื้น"
"ถ้าตาของท่านมองเห็นได้ใกล้ชิดขนาดนี้ แสดงว่ามันต้องอยู่ในวังศรีพิสยา" สีหสาบอก
"ถึงเวลา เดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เอง"
นรสิงห์จิบเหล้าอย่างมีความสุข
"ข้าอยากรู้ว่าพระเพ็งจะหาทางช่วยพวกมันยังไง" สุเลวินบอก
"พระเพ็งมันเป็นหมอหรือไง ถึงจะบันดาลยารักษานังเด็กนั่นได้"
นรสิงห์ลุกขึ้นอย่างอารมณ์ขุ่น
"พระเพ็งมันก็แค่เรื่องงมงาย สวดอ้อนวอนกราบไหว้แค่ไหน มันก็ได้แต่อยู่บนฟ้า อำนาจของข้าต่างหากที่จะสั่งเป็นสั่งตายไอ้เด็กดาราน้อย"
นรสิงห์เสียงกร้าว ด้วยความลำพองใจที่สุด
พระจันทร์เต็มดวง ในวิหารศรีพิสยา มรันมากอดร่างลูกไว้ในอก ดาราน้อยเนื้อตัวแดงก่ำมากกว่าเดิมด้วยพิษของผีเสื้อ กาหลง นันทวดีนั่งลงข้างมรันมา พินทุนั่งลงถัดมา เมืองมาสกับนักบวชมองมรันมาที่น้ำตานองหน้าด้วยความสงสาร
"ชีวิตข้าตั้งแต่เกิดมามีแต่ความทุกข์ ถูกทำร้ายจากแรงอาฆาต ริษยามาตลอด ให้หนักหนาเพียงใด ข้าก็ทนได้ เพราะข้าก็ยังเชื่อมั่นในความดี แต่มาบัดนี้ ศรัทธาของข้ากำลังเสื่อมสลายลงแล้ว พระเพ็งโปรดดู"
มรันมาสะอื้นมองรูปเคารพพระเพ็ง
"ชีวิตน้อยๆในอกข้า สายเลือดของข้าผิดอะไร ถึงต้องมารับบาปเคราะห์ไปด้วย"
นันทวดีเอ่ยขึ้นด้วยสายตาวิงวอน
"พระเพ็งโปรดช่วยหลานข้าด้วย ให้มัจจุราชมาเอาวิญญาณของข้าไป แต่อย่าทำร้ายชีวิตที่บริสุทธิ์เช่นนี้"
มรันมาวางร่างดาราน้อยลงตรงหน้าแท่นบูชา ลูบใบหน้าลูกที่พิษไข้ขึ้นสูง
"โปรดเถอะ พระเพ็ง โปรดช่วยชีวิตน้อยๆชีวิตนี้ ให้ดาราน้อยตื่นขึ้นมาหัวเราะ วิ่งเล่น ให้เสียงน้อยๆได้เรียกหา... แม่จ๋า ให้ลูกได้กอดข้าเหมือนเดิม"
เมืองมาสกับนักบวชมองแล้วหลับตา เสียงสวดมนต์ดังขึ้น ทุกคนหลับตาลง ตั้งจิตสวดมนต์เพื่อช่วยอธิษฐานขอแก่พระเพ็ง
มรันมาน้ำตาหยด ดึงมือจากใบหน้าของลูกมาอย่างเชื่องช้า มองพระเพ็งแล้วหลับตาลงสวดมนต์ด้วยหัวใจเปี่ยมความหวัง
เช้าวันใหม่ นรสิงห์ที่มีสีหสา และ สุเลวินยืนคนละด้าน เอ่ยสั่งคชา วาเร ไพลินที่อยู่ตรงหน้า
"เอานักรบของเราไปที่กำแพงเมือง ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น แค่ให้มันเห็นอำนาจของเราแล้วกดดันมันไว้ อย่าให้พวกมันได้สวดอ้อนวอนพระเพ็งกันอย่างมีความสุข"
คชา วาเร ไพลินรับคำแล้วรีบออกไปพร้อมกลุ่มนักรบ นรสิงห์ สีหสามองตามด้วยรอยยิ้มสะใจ
ในวิหารศรีพิสยา ทุกคนที่ยังนั่งสวดภาวนาให้พระเพ็งช่วยดาราน้อย สีหน้าทุกคนตั้งมั่น พนมมือ จิตแน่วแน่
บริเวณกำแพงเมืองศรีพิสยา วาเร ไพลินนำกลุ่มนักรบพร้อมอาวุธในมือ ทุกคนสีหน้าถมึงทึง เดินมุ่งตรงเข้ามาใกล้ พอถึงด้านหน้าก็ตั้งแถวหยุด ไม่ล่วงล้ำเข้าไปใกล้กำบังของผีนาถ ผีฟ้าให้เจ็บตัว
ในท้องพระโรง ติสสา เมฆา มารุตเดินเร็วเข้ามารายงานปรันมา
"ทหารของเราบอกว่า เห็นนักรบของนรสิงห์เข้ามาใกล้แถวกำแพงเมือง"
"พวกมันคิดจะลองดีกับอำนาจของผีนาถ ผีฟ้า" ปรันมาว่า
"ข้าจะออกไปดู" ติสสาว่า
"แล้วดาราน้อย"
"มรันมากับแม่ดูดาราน้อยอยู่ ข้าจะรีบไปดูเรื่องนรสิงห์ แล้วกลับมารายงานท่านก่อน"
ปรันมาพยักหน้า ติสสาหันหลังเร็วออกไป เมฆา มารุตรีบตามไปทันที
บริเวณสระบัวทางเข้าตำหนัก มรันมาเดินมากับนันทวดี พินทุแบกดาราน้อยไว้ในอ้อมแขน กาหลงเอาผ้าคอยบังแดดให้ จันทเทวียืนรออยู่ รีบเดินเข้าไปให้กำลังใจมรันมา
"พี่หญิงต้องเข้มแข็งนะ"
นันทวดีมองมรันมาด้วยแววตาเห็นใจ
"พระเพ็งต้องเห็นใจเจ้า มรันมา ชีวิตเจ้าลำบากมามากเหลือเกิน"
"ข้าลำบาก ข้าทนได้ แต่ดาราน้อยยังเด็กเกินไปกับความเจ็บปวด"
มรันมามองลูกที่ยังนอนนิ่ง ด้วยแววตาปวดร้าวที่สุด
ติสสาเดินเข้ามารายงานต่อหน้าปรันมา เมฆา มารุตตามมาด้านหลัง
"พวกนรสิงห์มันไม่ได้เข้ามาใกล้เหมือนครั้งก่อน มันแค่หยุดอยู่รอบๆ"
"พวกมันจงใจกดดันเรา"
"มันไม่มีทางทำสำเร็จ"
ปรันมามองติสสาที่ยังแววตาเชื่อมั่น
"ชีวิตข้ามอบให้แผ่นดินศรีพิสยาแล้ว จิตของข้าจะแน่วแน่ ไม่อ่อนไหวไปกับทุกข์แสนสาหัสใดใดทั้งนั้น"
ในกระโจม นรสิงห์มองยาแก้พิษสีม่วงเข้มในขวดแก้ว สีหสาที่อยู่ใกล้สุเลวิน มองเห็นขวดยาแล้วเอ่ยขึ้น
"นี่มันนานเกินไปแล้วนะท่าน คนอย่างไอ้ติสสา มันยอมทนที่จะเห็นลูกมันเจ็บปวดได้นานขนาดนี้ มันน่าจะเลือกศรีพิสยามากกว่าลูก"
"ข้าก็จะสมเพชมันว่าเป็นพ่อที่มีจิตใจเลือดเย็นที่สุด"
"แต่มันจะทำให้กองทัพเราเสียเปรียบทั้งด้านเสบียง ทั้งกำลังใจของนักรบ หากฤดูฝนมา เราอาจล้อมเมืองมันได้ไม่นาน"
"ทุกอย่างขึ้นอยู่กับติสสา ถ้าท่านควักหัวใจติสสาออกมาได้ ไม่มีเกราะกำบังไหนจะต้านเราได้"
"งั้นก็ถึงเวลาที่ข้าจะต้องให้ติสสามันเลือกแล้ว"
นรสิงห์มองขวดยา คิดถึงการดำเนินแผนเหี้ยมขั้นต่อไป
ในห้องนอนตำหนักมรันมา เช้าวันใหม่ ติสสาที่นอนกอดดาราน้อยไว้ในอก มรันมานอนเคียงข้างอีกด้าน สองคนกอดประสานมือมีลูกอยู่ตรงกลาง ติสสาลืมตามองมรันมาและลูกด้วยสายตาสุดรัก
มารุตเดินเข้ามาหยุดอยู่ด้านหน้าประตู
"ข้ามีเรื่องด่วนจริงๆ ท่านแม่ทัพ"
ติสสาได้ยินเสียงก็รู้ว่าเป็นมารุต ก็ลุกลงจากเตียง มรันมาลุกขึ้นนั่ง กอดลูกไว้ในอก มองไปที่ติสสา
"ว่ามา"
"คนของเราเห็นทหารนรสิงห์แถวรอยต่อศรีพิสยาด้านตะวันตก"
มารุตบอกแล้วถอยออกไป
ติสสาหันไปมองมรันมากับลูกที่นั่งอยู่บนเตียง ก่อนตรงเข้าไปจูบลงหน้าผากมรันมา
"พี่ชายจะรีบกลับมาหาน้องน้อยกับลูก"
ติสสาประคองแก้มลูกที่หลับในอกมรันมา
"ดาราน้อย เดี๋ยวพอพ่อกลับมา ลูกต้องตื่นแล้ววิ่งมารับ พ่อจ๋า นะลูก"
มรันมาพยายามกลั้นน้ำตา ติสสาจูบแก้มลูก
"พ่อจ๋ารักลูกที่สุด"
ติสสาหันมาจูบที่แก้มมรันมาอีกครั้ง
"ไปเถอะ พี่ชาย น้องน้อยจะดูแลลูกเอง"
ติสสามองทอดสายตา ก่อนจะเดินออกไปเพื่อทำหน้าที่แม่ทัพทั้งๆที่หัวใจยังกังวลอยู่ มรันมากอดลูกมองตามติสสาด้วยสายตาเศร้า
รอยต่อเขตศรีพิสยา ดินแดนเวิ้งว้าง ติสสา เมฆา มารุต เดินเร็วมาอย่างระวังระไว
"ตลอดทางเรายังไม่เห็นทหารของนรสิงห์ มารุต เมฆา แบ่งทหารออกไปดูให้ทั่ว"
"ข้าจะอยู่กับท่าน" มารุตบอก
"ไม่ต้อง ข้าจะตรวจดูที่นี่เอง รีบไป"
เมฆา มารุตแยกย้ายกันออกไป ติสสามองไปรอบๆ แล้วเดินลงเนินไปอีกด้าน พอพ้นเนิน ติสสาก็มองเห็นสีหสา วาเรที่ยืนอยู่ ติสสากำดาบคู่เตรียมพร้อม คำรามออกมา
"สีหสา"
สีหสาถือดาบยิ้มใจเย็น วาเรเดินตามมาใกล้
"โชคดีที่วันนี้ยังไม่ใช่วันตายของเจ้า"
ติสสามองไป นรสิงห์ก้าวออกมาหลังหินก้อนมหึมา
"นรสิงห์"
ติสสากำดาบอยากจะพุ่งเข้าไปฟันร่างนรสิงห์ สีหสา วาเร ถือดาบคุ้มกันเต็มที่ นรสิงห์เดินมาทางติสสาอย่างใจเย็น
"อย่าเพิ่งใจร้อนไป แม่ทัพติสสา วันนี้ข้าไม่ได้มาเรื่องศรีพิสยา"
นรสิงห์ก้าวมายืนตรงหน้าติสสา สีหสากำดาบเตรียมพร้อมถ้าติสสาจะพุ่งเข้ามา
"ข้าได้ยินข่าวว่าลูกสาวท่านล้มป่วย นอนหายใจรวยริน ด้วยพิษจากผีเสื้อ"
"คนของแกใช่มั้ย ไอ้นรสิงห์ ที่บัดซบขนาดทำร้ายเด็กได้ลงคอ"
"ไม่ใช่ งานสำคัญขนาดทำร้ายหัวใจของแม่ทัพติสสา มันต้องข้าเอง ข้าอยากให้เจ้าเห็นเหลือเกิน สีหน้าตื่นเต้นของดาราน้อยตอนที่รับผีเสื้อพิษไปจากมือของข้า"
"เลวบัดซบที่สุด แกเข้ามาศรีพิสยาได้ยังไง"
"ข้าไม่ได้มาตอบคำถามนั้น แต่ข้ามาเพื่อถามว่า..."
นรสิงห์ยกขวดแก้วเล็กใสที่ใส่ยาแก้พิษ ขึ้นตรงหน้า
"เจ้าต้องการยาแก้พิษขวดนี้กลับไปให้ลูกสาวหรือเปล่า"
นรสิงห์ถามเสียงกร้าว จ้องตาติสสาอย่างวัดใจ
สวนตำหนักอดีตเจ้านาง มรันมาก้าวเข้ามา ปันแสง อินยาหันไปมอง
"แกสองคนด้วยใช่มั้ยที่ทำให้ลูกข้าถูกพิษผีเสื้อ"
"กล้าดีมาถึงนี่ตัวคนเดียว เอาเวลาไปกอดลูกที่ใกล้จะตายดีกว่า มรันมา หรือจะเรียกปรันมามาลงโทษข้าอีก ไหนล่ะ หลักฐาน"
"หลักฐานคือความเลวของแกสองคนที่จองเวรข้า แกอยากให้ข้าตาย"
"ใช่ แต่วันนี้ข้าจะไม่ปล่อยให้แกตายตรงนี้"
มรันมาจ้องมองปันแสงที่พูดต่อ
"ปล่อยให้แกต้องเห็นดาราน้อยตายลงไปช้าๆ ถึงจะสาสมกับความแค้นของข้ากับเจ้านาง"
"แกจะไม่มีวันสมหวัง ข้ามาเพื่อบอกว่าอะไรก็ตามที่แกสองคนลงมือชั่วช้ากับครอบครัวข้า อีกไม่นานมันจะย้อนกลับมาที่ตัวแก เลือดที่ต้องหยดลงสังเวยบาปมหันต์ จะไม่ใช่เลือดของดาราน้อย มันต้องเป็นเลือดของแกสองคน ปันแสง อินยา"
มรันมายิ้ม จ้องอินยา ปันแสงด้วยสายตาฟาดฟัน ไม่แสดงความอ่อนแอให้เห็น แล้วหันหลังกลับออกไป สองแม่ลูกมองตามคู่แค้นด้วยสายตาอาฆาต
นรสิงห์ถือขวดแก้วยาแก้พิษเข้าใกล้ติสสา
"ชีวิตลูกเจ้า ลมหายใจของดาราน้อยอยู่ในนี้"
"แกต้องการอะไร"
"แค่ยอมให้กองทัพของเราเข้าสู่ศรีพิสยา"
"ไม่มีทาง"
"เจ้าจะยอมแลกแผ่นดินที่ไม่ใช่ของตัวเองกับชีวิตลูกไปทำไม"
"ศรีพิสยาเป็นแผ่นดินของข้า ที่นี่คือที่เกิด คือดินแดนที่มีความดีคุ้มครอง ดาราน้อยจะต้องได้เติบโตมาบนศรีพิสยา แคว้นอิสระที่ไม่ใช่หนึ่งในอาณาจักรของพวกแก"
"ดาราน้อยไม่มีทางรอด ถ้าไม่ได้ยาแก้พิษขวดนี้"
"คนสันดานต่ำช้าอย่างแกทำให้ข้าเป็นคนทรยศบ้านเมืองไม่ได้"
"งั้นก็จงกลับไปนอนดูลูกสาวที่วิญญาณกำลังจะออกจากร่าง กลับไปภูมิใจในความเป็นแม่ทัพใหญ่ แต่รักษากระทั่งชีวิตลูกตัวเองไว้ไม่ได้ ข้ามีเวลาให้เจ้าตัดสินใจเท่ากับลมหายใจที่กำลังแผ่วลงของดาราน้อย"
เสียงของนรสิงห์ตอกใส่หน้าติสสาอย่างเหนือกว่าทุกทาง นรสิงห์หันหลังกลับ สีหสาตามระวังหลัง
ติสสายังยืนกำดาบแน่น
นรสิงห์ สีหสาหายลับไป ติสสาครางออกด้วยความเจ็บปวด
"ดาราน้อย ... ลูกพ่อ"
ในท้องพระโรง มรันมาเดินเร็วเข้ามา เห็นหมอหลวงที่กำลังอยู่กับปรันมา
"ได้ยาแก้พิษได้แล้วใช่มั้ย"
ปรันมาแววตากังวล มรันมามองหมอหลวงอย่างมีหวัง
"พวกเราพยายามทุกทางแล้ว"
มรันมาพุ่งเข้าไปเขย่าร่างหมอหลวง ด้วยความผิดหวัง
"พวกท่านต้องทำได้สิ ท่านเป็นหมอนะ ท่านจะปล่อยให้ดาราน้อยตายไม่ได้ เอายาแก้พิษออกมาจากผีเสื้อนั่นสิ"
ปรันมาก้าวเข้าไปดึงมรันมาออกห่างจากหมอหลวง
"มรันมา ตั้งสติก่อน"
มรันมาสะบัดตัวออกจากปรันมาทันที หมอหลวงรู้ว่าไม่สมควรอยู่ รีบถอยออกไปจากท้องพระโรง
"ท่านไม่รู้หรอกว่าหัวใจคนเป็นแม่กำลังรู้สึกยังไง ข้าต้องกอดร่างนอนนิ่งของลูกสาว ไม่มีเสียงเรียก แม่จ๋า ไม่มีเสียงหัวเราะ มีแต่เสียงลมหายใจรวยริน ที่บอกว่าลูกยังอยู่กับข้า"
มรันมาสะอื้น ปรันมาเข้ามาพยุงร่างมรันมาไว้
"มรันมา พี่รู้ว่าเจ้าเสียใจ ทุกคนก็รักดาราน้อย อยากให้ดาราน้อยฟื้น"
"ชีวิตนี้ข้าทำอะไรผิดมากมาย ทำไมพระเพ็งถึงลงโทษข้าอย่างนี้"
มรันมาเดินออกไปอย่างไร้เรี่ยวแรง น้ำตาอาบหน้า ปรันมามองตามด้วยความสลดใจที่สุด
ในวิหารศรีพิสยา เวลาเย็น มรันมากอดร่างดาราน้อยที่ทรุดลงไว้ในอก ติสสาเดินผ่านประตูเข้ามา ได้ยินทุกคำพูดของมรันมาที่กำลังอ้อนวอน
"ข้าทำดีมาทั้งชีวิต ไม่เคยคิดร้ายใคร ยอมทนต่อความเลวร้ายทุกอย่าง หวังเพียงชีวิตที่เป็นสุข ถ้าข้าทำผิดมากมายแล้วพระเพ็งจะลงโทษข้า ให้ข้าทุกข์แสนสาหัสแค่ไหน ข้าก็ทนได้ แต่อย่าให้ข้าต้องทนเห็นลูกเจ็บปวด แล้วข้าเจ็บแทนไม่ได้ ข้าขอตายแทนดาราน้อย"
มรันมาสะอื้นซบลงที่ร่างของลูกที่นอนนิ่ง ด้วยหัวใจแทบแหลกสลาย
ติสสากำหมัดแน่น แววตากดดันเต็มที่ เดินมานั่งลงข้างๆมรันมา แล้วตัดสินใจเอ่ยออกมา
"เรามีทางที่จะช่วยลูกได้"
"ทางไหน บอกข้า พี่ชาย บอกข้าเดี๋ยวนี้"
ติสสาสีหน้ากดดันมาก มองไปที่พระเพ็ง แล้วกลับมามองหน้าลูกสาว
"พี่ชาย บอกข้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะหายาแก้พิษของดาราน้อยได้จากที่ไหน"
"คนที่มียาแก้พิษ คือ นรสิงห์"
มรันมาฟังแล้วตกตะลึง
ในบ้านนรสิงห์ แสงวาบเข้ามาที่หน้าทุกคน ทุกคนที่ถูกสะกดรู้สึกตัวขึ้นพร้อมๆกัน สถบดีพุ่งเข้าขย้ำคอนรสิงห์ทันที
"ไอ้ชาติชั่วนรสิงห์"
ทุกคนตกใจ นรสิงห์มองสถบดี ที่บีบแรงจนข้อมือเกร็ง แต่นรสิงห์กลับไม่แสดงความเจ็บปวดใดๆ
"แกฆ่าลูกฉัน แกฆ่าดาราน้อย"
ทุกคนมองตกใจกับความโกรธของสถบดี ที่ขย้ำคอนรสิงห์แรงขึ้น ด้วยความโมโหสุดขีด
"ฉันจะฆ่าแก"
"ความตายไม่ได้ทำให้ฉันหลุดพ้นจากบาปครั้งนี้"
สิ้นเสียง มือนรสิงห์จับลงที่มือทั้งสองของสถบดี เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดวิ่งจากแขนเข้าสู่หัวใจ เขาร้องออกมาดังลั่น ปล่อยมือออกจากคอนรสิงห์ แล้วผงะถอยไปสะบัดมือเร่าๆ
เพชรดามองเหตุการณ์ตรงหน้า แล้วถามขึ้นอย่างไม่พอใจมาก
"พวกคุณเล่นละครอะไรกันอยู่ แล้วนี่มันเรื่องอะไร ฉันถึงต้องมาฟังเรื่องเพ้อเจ้อจากผู้ชายคนนี้"
"ไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อค่ะ นี่มันเรื่องจริง" คทารัตน์บอก
"นิทานโบราณของแก มันหลอกฉันไม่ได้" พัทธยาบอก
พัทธยาชักปืนออกจากเอว เล็งไปที่นรสิงห์ ทุกคนมองตกใจ
"ฉันจะจับตัวมันไปขัง"
"ฉันให้ทุกคนเห็นกรรมที่ก่อไว้ร่วมกันแล้ว"
พัทธยาหันไปมองทุกคน
"กรรมบ้าอะไรของแก นี่พวกคุณเชื่อผู้ชายประหลาดคนนี้เข้าไปได้ยังไง มันอาจจะใช้ยากล่อมประสาทพวกแก"
"ฉันเชื่อเค้า เราทุกคนเชื่อ เพราะเรารู้สึกได้ว่าเราเคยเกี่ยวข้องกัน" สถบดีบอก
"ฉันไม่เชื่ออะไรที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์"
"งั้นก็ยิงฉัน" นรสิงห์ท้าทาย
พัทธยาหันมาเล็งปืน วิวรรธน์มองนรสิงห์ด้วยความเชื่อมั่น
"ลองดูก็ได้ครับ ผู้กอง ลองยิงคุณนรสิงห์เลย"
"ไอ้วิว แกยุบ้าอะไร" คทารัตน์บอก
"ถ้าผู้กองจะพิสูจน์เรื่องจริง ก็ยิงคุณนรสิงห์เลย"
พัทธยามองนรสิงห์ที่ยืนเฉย แล้วเหนี่ยวไก แต่กระสุนไม่ออก เขาพยายามเหนี่ยวไกซ้ำๆ แต่กระสุนไม่ออกมาสักนัด จนเขาโมโห หันไปยิงที่โคมไฟ กระสุนลั่นเปรี้ยงออกมา โคมไฟแตกกระจาย
เพชรดา พัทธยาสีหน้าตกใจ เมื่อเห็นแล้วว่า นรสิงห์ไม่ใช่คนธรรมดา!!
"ที่คุณนรสิงห์เล่าทุกอย่างให้เราฟัง เพราะจะบอกว่าพวกเราเกี่ยวข้องกันมา เรามีกรรมต้องชดใช้ด้วยกัน" วิวรรธน์บอก
"พอแล้วค่ะ ไม่นึกเลยว่าฉันจะถูกหลอกมาให้เชื่อเรื่องเหลวไหล" เพชรดาว่า
"แล้วอะไรที่เธอเชื่อ"
เพชรดามองนรสิงห์ รู้สึกอึดอัดแต่ไม่ยอมแสดงออก
"ความโกรธแค้น ริษยา อาฆาต"
เพชรดาแววตาวาววาบเมื่อนรสิงห์พูดเน้นทุกคำ
"สิ่งที่หล่อเลี้ยงลมหายใจของเธอ"
"ผู้กองพัทธ์คะ ฉันจะกลับ ฉันไม่อยากคุยกับคนเสียสติ"
เพชรดาหันหลังเดินออกไปไม่สนใจใคร พัทธยาเก็บปืน แล้วหันมองทุกคนโดยเฉพาะสถบดี
"แกไม่น่าหลอกฉันเลยนะ ไผ่ แกทำกับเพื่อนได้ยังไง ไหนแกบอกว่ามันเป็นเรื่องคดีอภิมุข นี่มันเล่าเรื่องแหกตาทั้งนั้น"
พัทธยาหันหลังเดินตามเพชรดาไปทันที
"ทำให้เค้าเชื่อสิ คุณนรสิงห์ เราจะได้รู้ว่าจุดจบเรื่องนี้ มันคืออะไรกันแน่" คทารัตน์บอก
นรสิงห์เลื่อนสายตาไปมองรัดเกล้ากับสถบดี รัดเกล้าจ้องเกลียดชังนรสิงห์
"คุณฆ่าลูกฉัน คุณฆ่าดาราน้อย"
รัดเกล้าจะโผเข้าไปทุบตีนรสิงห์ด้วยความเสียใจ แต่อยู่ๆรัดเกล้าเจ็บตรงที่หน้าอกที่เคยเจ็บ จนตัวงอ
"เกล้า"
รัดเกล้าหมดสติไปทันที สถบดีรีบอุ้มรัดเกล้าขึ้นบอก
"ผมจะพาเกล้าไปหาหมอ"
สถบดีรีบอุ้มรัดเกล้าออกไปทันที นรสิงห์มองตาม
"ฉันไปด้วย"
คทารัตน์รีบตามออกไปทันทีด้วยความเป็นห่วงน้อง วิวรรธน์หันมาทางนรสิงห์
"คุณเล่าเรื่องพวกนี้ให้เราฟังทำไม คุณไม่ได้อยากให้เราเห็นแค่อดีตของตัวเอง เพราะจริงๆแล้ว เหมือนที่เกล้าบอก คุณคือต้นเหตุทั้งหมด แล้วผมเองก็เป็นหนึ่งในความชั่วร้ายนั่น"
"วันที่พวกเธอได้รู้จุดจบของเรื่องนี้ เธอก็จะได้คำตอบว่าทำไม ฉันถึงต้องเล่าเรื่องทั้งหมด"
วิวรรธน์มองจ้องเหมือนจะค้นให้ถึงก้นบึ้งความลับที่นรสิงห์ยังไม่ยอมเล่า
พัทธยากับเพชรดาเดินเร็วเข้าบ้านมา
"นรสิงห์มันรู้แต่เรื่องอดีตบ้าบอ ปั้นน้ำเป็นตัว ไม่รู้เรื่องคดียิงอภิมุขเลยสักอย่าง ไอ้ไผ่มันหลอกเรา"
"เรื่องอดีต เพชรไม่เชื่อ ไม่สนใจ แต่ผู้ชายคนนั้นสะกดจิตคนได้ ถ้ามันอ้างว่ารู้ทุกอย่าง แล้วสะกดจิตให้ทุกคนเชื่อ"
"ผมไม่มีทางเอาคนบ้าอย่างนรสิงห์มาเป็นพยาน ที่มันเล่ามาทั้งหมด น่าฟังอยู่อย่างเดียว คือเราสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่อดีต"
เพชรดาหัวเราะขำ
"หรือจะจริงอย่างที่มันว่าคะ เพชรกับคุณคงจะสาบานกันมาตั้งแต่พันปีก่อนนะคะ ว่าจะรักกันทุกภพทุกชาติ"
เพชรดากับพัทธยายิ้มหยันกับเรื่องอดีตที่นรสิงห์เล่า โล่งใจที่ว่ายังไม่ใช่เรื่องคดี
บริเวณสระน้ำบ้านรัดเกล้า เวลาเย็น ไผ่นั่งลงข้างรัดเกล้าที่สีหน้ามีแต่ความทุกข์ เขาเลื่อนมือไปกุมมือเธอไว้อย่างให้กำลังใจ
"ผมจะหาทางพาพัทธ์กับคุณเพชรไปหานรสิงห์ ฟังเรื่องที่เหลือทั้งหมด"
"คุณคงหลอกผู้กองพัทธ์อีกไม่ได้"
"ถ้าถึงขึ้นต้องตีหัวลากตัวมันไป ผมก็จะทำนะเกล้า"
รัดเกล้ามองแววตาเข้มของสถบดี ก็รู้ว่า ทำอย่างที่พูดได้จริงๆ
"อย่ากังวลนะครับ ผมจะทำทุกอย่างให้เกล้าสบายใจ เหมือนทุกครั้งในอดีต ไม่ว่ากี่พันปี สำหรับเกล้า ผมคือคนเดิม คนที่จะทำทุกอย่างได้เพื่อคุณ"
เขาทอดสายตามองเธออย่างความผูกพัน
"เกล้าอยากไปทำบุญค่ะ เกล้าอยากให้ดาราน้อยรู้ว่า เกล้าเป็นห่วง แล้วก็คิดถึงเธอ"
"ดีครับ เกล้า ผมพาไปนะ"
คทารัตน์เดินเข้ามากับวิวรรธน์ สถบดีหันไปบอก
"ผมกับเกล้าจะไปทำบุญ"
"ไม่เข้ากับหน้าเลยนะ ผู้กอง แต่ก็ดี เผื่อยายเกล้ามันจะสบายใจขึ้น"
วิวรรธน์ดักคอขึ้น
"เจ๊ไม่ต้องคิดจะให้ผมชวนผู้กองพัทธ์ไปด้วยเลยนะ ด่าป่นปี้ ยิงซะบ้านคุณนรสิงห์กระเจิง ขนาดนั้น เค้าคงจะไปด้วยหรอก"
"แหม แกนี่... หยั่งรู้ใจคนอื่นดีทุกชาติเลยนะ"
คทารัตน์ค่อน วิวรรธน์ยิ้มขำที่หาเรื่องพาลได้ตลอด
อ่านต่อหน้าที่ 3
สาปพระเพ็ง ตอนที่ 11 (ต่อ)
ในบ้านอภิมุข เวลากลางคืน พัทธยาเดินมาหยุด มองไปไกล สีหน้าใช้ความคิด เพชรดาเดินเข้ามามอง
"ถ้านรสิงห์มันเป็นพวกมีวิชาอาคม มองเห็นทุกอย่างได้จริง มันก็เป็นตัวอันตรายของเรา"
"เราจะปล่อยให้นรสิงห์มันพูดอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ ถ้าเกิดมันเห็นเหตุการณ์จริงๆ แล้วเล่าให้พวกผู้กองไผ่ที่พร้อมจะเชื่อมันทุกอย่าง คดีนี้จะไม่มีทางจบ อย่างที่เราวางแผนกันมาตลอด"
"จบซีครับ ไม่ยากอะไรเลย ฆ่านรสิงห์ซะคน ทุกอย่างก็ต้องจบ"
พัทธยาตอบด้วยรอยยิ้มเหี้ยม พร้อมจะลงมือกำจัดทุกคนที่ขวางทาง
เช้าวันใหม่ ที่บ้านเด็กกำพร้า สถบดี รัดเกล้า คทารัตน์ วิวรรธน์ มุรธา ยอดชายกำลังตักอาหารกลางวันแจกนักเรียนตามโต๊ะ ครูเอื้อ ครูใหญ่ที่ดูแลกับครูพี่เลี้ยงช่วยดูแลเด็กๆอยู่ด้วย ทุกคนสีหน้าสดใส คอยช่วยหยิบขนม แจกเด็กๆ ทุกคนที่กำลังเล่นกับเด็กด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เด็กๆพากันมารุมรอบสถบดีกับรัดเกล้าที่แจกขนม สองคนกอดหอมเด็กอย่างมีความสุข
วิวรรธน์พาเด็กๆ ไปเต้น เด็กไปดึงคทารัตน์ให้เต้นด้วย เธอโยกตัวยึกยัก วิวรรธน์ยิ้มมอง เธอที่สนุกกับเด็กๆ ยอดชาย มุรธาร้องเพลงเต้น เด็กๆพากันร้องตาม
ระเบียงบ้าน นรสิงห์ยืนมองไปไกล สายตาหยั่งรู้ว่า ทุกคนกำลังเลี้ยงอาหารอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
"กุศลกรรมที่ทำร่วมกันจะนำไปสู่สิ่งดี"
นรสิงห์สีหน้าเครียดนิ่งขรึมลง มองไปที่ด้านล่าง
"แต่ถ้าร่วมกันก่อการชั่ว บาปกรรมก็จะดึงลงสู่อเวจีไม่รู้จักจบจักสิ้น"
นรสิงห์มองลงมาเห็นพัทธยาที่เดินเข้ามา สอดส่ายสายตาหานรสิงห์ พัทธยาถือปืนในมืออย่างระวัง เดินเข้ามาผลักประตู ประตูไม่เปิด พัทธยาถอยออกมา แล้วมองไปทางสวน เขาเดินมาหาทางเข้าไปในบ้าน แต่มองเห็นประตู หน้าต่างทุกบานปิดสนิท เขาเดินอ้อมไปอีกด้านผ่านนรสิงห์ที่ยืนอยู่ แต่พัทธยากลับมองไม่เห็น
นรสิงห์มองพัทธยาด้วยสายตาเวทนาในความคิดและการกระทำของผู้ชายคนนี้
บ้านเด็กกำพร้าเด็กๆพากันมาดึงมือสถบดีกับรัดเกล้าให้ไปเล่นด้วย
"เด็กๆ ได้เวลานอนกลางวันแล้ว" ครูเอื้อบอก
ครูเอื้อพูดขึ้น เด็กๆยังวิ่งซนไม่ยอมเข้าแถว สถบดียิ้ม ตะโกนบอก
"ไปครับ ไป ถึงเวลานอนแล้ว"
"ตามพี่ตัวโตไปเลยค่ะ" รัดเกล้าบอก
เด็กๆเข้าจูงมือทั้งสองคนเอาไว้ด้วยกัน
"เกล้าต้องไปด้วยแล้วล่ะครับ"
รัดเกล้ายิ้มกับเด็กๆ
"ไปค่ะ พาพี่ไปเลย"
รัดเกล้าพากันเดินออกไปที่หอนอนอย่างสดใส
คทารัตน์กับวิวรรธน์คอยต้อนเด็กๆที่เหลือ ยอดชายกับมุรธาช่วย
"เข้าแถวครับเด็กๆ เข้าแถวให้เรียบร้อย" ยอดชายบอก
คทารัตน์ถอยออกมา ปาดเหงื่อน้อยๆ วิวรรธน์เดินเข้ามาถาม
"อยากมีเด็กๆเป็นของตัวเองสักคนสองคนหรือยังครับ"
"ฉันก็อยากมี"
"ดีครับ นานไปกว่านี้ ผมกลัวว่าเจ๊จะอุ้มลูกไม่ไหว ตอนจูงลูกไปโรงเรียน เด็กๆจะเข้าผิดว่า ทำไมเพื่อนคนนี้ มียายมาส่ง"
คทารัตน์หันมาหยิกแก้มวิวรรธน์ทันที
"ยายเหรอ"
"ป้าก็ได้ครับ ป้า"
คทารัตน์บิดแรงขึ้น
"อะไรนะ ป้าใช่มั้ย"
"อูย... พี่ครับ พี่ พี่สาวคนสวย"
ยอดชาย มุรธามองแล้วหัวเราะที่ทั้งคู่หยอกกัน วิวรรธน์คลำแก้มป้อย
"โหดแบบนี้ ระวังเด็กไม่รัก"
"ก็ไม่ได้อยากให้เด็กมารัก"
คทารัตน์ทำหน้าสะบัดบ๊อบมั่นใจ วิวรรธน์มอง
"ใช่ซี้ ผู้กองมันน่าสนใจกว่าอยู่แล้ว"
"อะไร บ่นพึมพำเป็นชายวัยทองอยู่ได้ ไปสิ ไปช่วยครูเค้าเก็บเก้าอี้"
"ครับๆ"
วิวรรธน์รีบไปช่วยเก็บโต๊ะ เก้าอี้เด็กๆทันที คทารัตน์มองตามแล้วอมยิ้มน้อยๆกับตัวเอง
"ไม่รู้หรือไง ฉันชอบคนว่าง่าย"
พัทธยาเดินอ้อมมาจนถึงสวนหน้าบ้าน
"มันบ้านหรือป่าช้าวะ"
พัทธยาลองผลักประตูอีกครั้ง เพื่อจะหาทางเข้าไปให้ได้
นรสิงห์มองลงมาจากระเบียง
"ความเห็นแก่ตัวที่ฝังรากลึก ไม่มีวันสลัดทิ้งออกจากจิตวิญญาณ"
สิ้นเสียงนรสิงห์ ลมพัดวูบแรง พัทธยาถอยออกมา ยืนใต้ต้นไม้ ลมพัดแรงขึ้น กิ่งไม้ใหญ่หักหล่นลงมา เฉียดร่างไปนิดเดียว เขามองตกใจ ลมสงบ พัทธยาคำรามขึ้น
"ไม่ว่าจะเป็นผีหรือคน ฉันก็ไม่ละเว้นแก ไอ้นรสิงห์"
ทุกอย่างยังนิ่งสงบเงียบ พัทธนาหันหลังเดินออกไป นรสิงห์มองตามด้วยสายตาเวทนา
สถบดีกับรัดเกล้าดูครูพี่เลี้ยงที่พาเด็กๆเดินเรียงกันขึ้นตึกหอนอนอย่างเรียบร้อย ครูเอื้อหันมาบอก
"ขอบคุณนะคะที่มาเยี่ยม วันนี้เด็กๆมีความสุขกันมาก"
"เราจะมาอีกบ่อยๆค่ะ"
"ที่นี่เป็นของเอกชน งบส่วนใหญ่ก็ได้มาจากผู้บริจาค"
ครูเอื้อเดินนำพารัดเกล้ากับสถบดีไปดูภาพกิจกรรมที่ตั้งโชว์ไว้ มีทั้งประวัติครู รายชื่อผู้บริจาค
และกิจกรรมถ้วยรางวัลต่างๆของเด็กๆ รัดเกล้าเดินตามครูเอื้อที่กำลังเล่าอย่างมีความสุข
"เด็กๆที่นี่หลายคน ออกไปจากบ้าน มีหน้าที่การงานดี ก็จะกลับมาดูแลช่วยเหลือน้องๆรุ่นหลัง"
อีกด้านหนึ่ง สถบดีเดินมองภาพที่ติดผนังไว้ จนมาถึงภาพเก่าในกรอบที่อยู่บนสุด
ในภาพเป็นการแข่งขันกีฬาสี มีเด็กชายและเด็กหญิง วัย 11-12 ปี สองคนที่ชูเหรียญทองยืนใกล้กัน เขามองลงไปที่ตัวหนังสือใต้ภาพ
"ด.ช.พัทธยา ขาวเปี่ยม"
สีหน้าสถบดีกระตุกใจมาก
"ไอ้พัทธ์"
เขาก้าวเดินเข้าไปมองภาพใกล้ๆ อ่านชื่อใต้รูปเด็กผู้หญิง
"ด.ญ.เพชรดา"
สถบดีสีหน้าตกใจ นึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นอดีตบางอย่างของเพื่อนรัก
ในบ้านพัทธยา เขาทิ้งตัวลงนั่ง สีหน้าผิดหวังตรงหน้าเพชรดา
"บ้านนรสิงห์ปิดเงียบ ผมดูทุกทางเข้าออกแล้ว ไม่มีใครอยู่เลย"
"ถ้ามันอยู่ที่นั่น เราก็ยังมีโอกาสค่ะ"
เพชรดายิ้ม บีบมือให้กำลังใจพัทธยา
"ผมจะปิดปากมัน เหมือนที่ปิดปากไอ้แก้วกล้า ผมจะไม่ปล่อยคนที่จะคายความลับของเรา"
สถบดีมองจ้องภาพพัทธยากับเพชรดาวัยเด็ก ครูเอื้อเดินเข้ามา สีหน้าปลื้มใจกับเด็กสองคนในรูป
"พัทธ์กับเพชร"
"ครูจำเด็กสองคนนี้ได้ใช่มั้ยครับ"
"จำได้แม่นเลยค่ะ พัทธยา กับเพชรดา"
สถบดีสีหน้าหายใจไม่ทั่วท้อง
"เรียนเก่ง เล่นกีฬาเก่งทั้งคู่ สองคนนี้สนิทกันมาก แต่เพชรดาโชคดีกว่า ครอบครัวหาตัวจนเจอ มารับออกไปก่อน"
"พัทธ์ล่ะครับ"
"พัทธ์ออกไปทีหลังค่ะ เค้าไม่มีญาติ เลยต้องอยู่ที่นี่นานกว่าเด็กคนอื่นๆ"
"เค้าสองคน พัทธ์กับเพชรกลับมาที่นี่บ่อยมั้ยครับ"
"ไม่เคยกลับมาเลยค่ะ คุณรู้จักเค้าสองคนเหรอคะ"
สถบดีเสียงนิ่งลง
"ไม่รู้จักครับ ไม่รู้จักมาก่อนว่าเค้าสนิทกัน"
สถบดีมองไปเห็นรัดเกล้าที่ยืนดูรูปอีกด้าน เธอหันมายิ้มให้ เขาเดินตรงไปที่รัดเกล้า
"กลับกันเถอะ เกล้า"
สถบดีเดินออกไปก่อน รัดเกล้ามองตามอย่างแปลกใจกับท่าทางเงียบขรึมลง แล้วเดินตามออกไป
ทางเดินในบ้านเด็กกำพร้า รัดเกล้ามองเห็นสีหน้าไผ่ขรึมลงก็ถามขึ้น
"มีอะไรหรือเปล่าคะ อยู่ๆก็เงียบเชียว"
"ผมกำลังคิดเรื่องเพื่อนคนนึงน่ะครับ"
"ใครคะ ผู้กองมีเพื่อนเคยอยู่ที่นี่ด้วยเหรอคะ"
"ผมก็เพิ่งรู้ว่าเค้าเคยอยู่ที่นี่ กับคนอีกคน"
"ใครคะ"
รัดเกล้ามองอย่างอยากรู้ สถบดียังไม่อยากตอบ คทารัตน์ วิวรรธน์ ยอดชาย มุรธากำลังเดินมา
"เจ๊วิกกี้กับไอ้วิวมาพอดี"
รัดเกล้าหันไปมองกลุ่มพี่สาว
"จะกลับกันหรือยัง" คทารัตน์ถาม
"ผมว่าเราไปกินข้าวต่อกันดีมั้ยครับ ให้ผู้กองเป็นเจ้ามือ"
"กลับกันเลยดีกว่า"
ยอดชาย มุรธาทำหน้าเซ็ง สถบดีไม่สนใจ เดินนำออกไป วิวรรธน์มองตาม แล้วหันมาถามรัดเกล้า
"ผู้กองไผ่เค้าเป็นอะไรครับ อยู่ๆก็เหมือนมีใครดึงปลั๊ก"
รัดเกล้าส่ายหน้าว่าไม่รู้เหมือนกัน
สถบดีก้าวเข้ามาในบ้านพัทธยา พอเพื่อนเห็นก็ทำสีหน้าตกใจ
"เฮ้ย ไอ้ไผ่ ทำไมมาเงียบๆวะ"
"ฉันก็มาให้แกด่าเรื่องที่หลอกไปบ้านนรสิงห์"
สถบดีทำท่าทางสบายๆนั่งลง แต่พัทธยากลับมีสีหน้าอึดอัด ผิดปกติ
"เออ... รู้ตัวก็ดี นรสิงห์มันล้างสมองแกจนเกลี้ยงเลยนะ เรื่องนิทานปรัมปราอะไรนั่นออกไปคุยที่ร้านดีกว่า ฉันกำลังจะไปหาข้าวกิน"
"คุยที่บ้านนี่ก็ได้"
พัทธยาที่สีหน้าเครียดขึ้นมาทันที เพชรดาหลบอยู่อีกห้อง ไม่กล้าออกมาให้สถบดีเห็น
"นรสิงห์มันเล่าอะไรให้แกฟังมั่ง ... เรื่องคดี"
"ยังไม่ได้เล่า เออ วันนี้ฉันไปทำบุญกับเกล้ามา"
"วัดไหนล่ะ"
"บ้านเด็กกำพร้า"
พัทธยานิ่งมอง สถบดียิ้มแต่สายตามองจับสังเกตอาการเพื่อน เพชรดาที่หลบฟังอยู่ด้านหลัง แววตาวาววาบน่ากลัวทันที เมื่อได้ยินสถบดีพูดถึงบ้านเด็กกำพร้า
"มีเด็กๆเยอะเลย ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง พอมีคนไปอุ้มไปกอด พวกเค้าดูมีความสุขมาก"
พัทธยาเงียบไม่พูดอะไร แต่สถบดีทำไม่สนใจ เล่าไปเรื่อยๆ
"แกเคยไปเลี้ยงอาหารเด็กกำพร้ามั่งมั้ย"
"ไม่เคย"
"วันหลังฉันพาไป"
"ไม่ต้อง"
พัทธยาสวนทันที สถบดีมอง สองสายตาปะทะกัน
"เออ ไม่ไปก็ไมไป ... ฉันเข้าห้องน้ำหน่อยนะ"
สถบดีลุกขึ้นจะเข้าในบ้าน ด้านในเพชรดาขยับจะเดินหลบ แต่แขนไปเกี่ยวหนังสือที่วางอยู่หล่นพื้น เสียงดัง สถบดีได้ยินเสียงก็หันขวับไปมอง
"มีใครอยู่ข้างใน"
"ไม่มี"
สถบดีเดินเข้าไปทันที พัทธยาสีหน้าเครียดเดินตาม
เพชรดาเข้ามาในห้องนอนพัทธยาแล้วกดล็อกอย่างเบามือ
สถบดีเดินเข้ามา เห็นหนังสือที่ตกอยู่บนพื้น มองไปไม่เห็นคน พัทธยาเดินตามมา พยายามทำท่าทางใจเย็น หยิบหนังสือขึ้นวางตามปกติ
"หนังสือมันหล่น"
"วันนี้ใครๆก็บ่นหาแก โดยเฉพาะเจ๊วิกกี้"
พัทธยามองไผ่ แล้วยิ้มเปลี่ยนท่าทีเป็นผ่อนคลาย
"คราวหน้าก็บอกแล้วกัน ถ้าฉันว่าง ฉันจะไปด้วย"
สถบดีจ้องลึกมองพัทธยา เหมือนจะค้นให้เจอความหลังที่เพื่อนเก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิด
ใน สนง.สืบฯ เวลากลางวัน วิวรรธน์เดินเร็วเข้ามา เห็นสถบดีกำลังพลิกแฟ้มหลักฐานคดียิงแก้วกล้า ทบทวนใหม่อีกครั้ง
"อะไรกันครับ เพิ่งแยกกันไม่กี่ชั่วโมง โทรตามตัวอีกแล้ว"
วิวรรธน์พูดก้มหน้ามองแฟ้มคดีแก้วกล้า
"ผู้กองเอาแฟ้มแก้วกล้ามาดูอีกทำไมครับ"
วิวรรธน์เลื่อนแฟ้มอีกสองสามแฟ้มมาทางด้านหน้าสถบดี
"แล้วนี่ก็คดีอภิมุข"
"ฉันอยากดูหลักฐานอะไรบางอย่าง ที่เกิดเหตุ กระสุนปืน"
"มีอะไรหรือเปล่าครับ วันนี้พอออกจากบ้านเด็กกำพร้า ผู้กองดูเครียดๆ"
"ฉันไปเจออะไรน่าสงสัย"
"เกี่ยวกับคดีนี้เหรอครับ ใครครับที่ผู้กองสงสัย"
"ฉันอยากแน่ใจกว่านี้ก่อน วิว ... เช็คที่โรงพยาบาลให้หน่อย มีใครไปเยี่ยมหลานคุณเพชรบ้างหรือเปล่า"
วิวรรธน์หันไปเปิดแฟ้ม หาเบอร์โทรโรงพยาบาลแล้วกดโทรศัพท์ในห้อง แววตาสีหน้าสถบดีเริ่มเครียดกังวล
ในห้องนอนพัทธยา เพชรดามองพัทธยาที่สีหน้ากังวล
"ผู้กองไผ่กำลังสงสัยคุณ เค้ารู้เรื่องที่เราเคยอยู่บ้านเด็กกำพร้ามาด้วยกัน"
"ผมคงอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ถ้าจะหายตัวไปมีอนาคตใหม่ ก็ต้องรีบออกจากที่นี่"
"พัทธ์คะ อย่าให้ใครทำลายสัญญาของเรา"
พัทธยากุมมือเพชรดาแน่น
"ผมจำได้ เพชร ผมสัญญาว่าจะดูแลปกป้องเพชร ไม่ว่าเพชรไปอยู่ที่ไหน ผมจะตามหาจนเจอ เราต้องได้อยู่ด้วยกัน"
เพชรดาโผเข้ากอดพัทธยาแน่นอย่างหวงแหน
"เพชรรู้ค่ะว่าคุณทำได้ทุกอย่าง เพราะคุณรักเพชร"
เพชรดามองพัทธยาด้วยแววตาที่เขาไม่อาจขัดขืนความต้องการของเธอได้เลย
ในสนง.สืบฯ เวลากลางคืน สถบดีมองวิวรรธน์ที่กำลังรายงาน
"โรงพยาบาลบอกว่า ไม่เคยมีใครไปเยี่ยมตาหนึ่ง ลูกชายคุณอภิมุขเลย"
"แม้กระทั่งอาที่รักหลานอย่างคุณเพชร"
"ครับ คุณเพชรไม่เคยไปเยี่ยม ...ทำไมอยู่ๆผู้กองก็สงสัยเรื่องนี้"
"ใครเป็นผู้ดูแลตาหนึ่ง ก็เท่ากับว่าได้มรดกส่วนของเด็กคนนี้ไปด้วย"
"แต่คุณเพชรเธอรักหลานมากนะครับ เธอเป็นคนเดียวที่ปกป้องตาหนึ่ง เราก็เห็น"
"แล้วตอนที่เราไม่เห็นล่ะ"
วิวรรธน์มองสถบดีที่สีหน้าครุ่นคิด
"คนเรามีอดีต ทุกอดีตก็มีทั้งด้านมืด ด้านสว่าง ฉันอาจจะพลาด มองไม่เห็นอะไรบางอย่างในคดีนี้มาตั้งแต่ต้น"
เช้าวันใหม่ ในบ้านเด็กกำพร้า สถบดีเดินเร็วเข้ามาเห็นครูพี่เลี้ยงหลายคนใส่ชุดดำ สีหน้ากำลังโศกเศร้า หลายคนร้องไห้
"ผมมาหาครูเอื้อครับ"
"ครูเอื้อท่านเพิ่งเสียเมื่อคืน หัวใจวายค่ะ เรารู้มาก่อนเลยว่าครูเป็นโรคหัวใจ"
สถบดีสีหน้าตกใจนึกไม่ถึง หันไปมองทางผนังที่ติดรูป แล้วพุ่งเข้าไปมองหารูปพัทธยากับเพชรดา
แต่ภาพนั้นไม่อยู่เสียแล้ว เขาถามเสียงร้อนใจ
"รูปเด็กสองคนตรงนี้หายไปไหนครับ เมื่อวานมันยังอยู่"
รูปเก่าของพัทธยาของเพชรดา กำลังถูกเพชรดาฟาดลงกับเก้าอี้ กรอบกระจกแตกกระจาย
พัทธยายืนมองอยู่ด้วยแววตากระด้าง เพชรดาดึงภาพเก่าออกจากกรอบที่แตก แล้วฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
"หมดสิ้นแล้วค่ะ ไม่มีแล้ว... อดีตของเรา"
เพชรดายิ้มให้พัทธยา แล้วนึกย้อนเหตุการณ์เมื่อคืน
คืนก่อนหน้านี้ ในบ้านเด็กกำพร้า ครูเอื้อที่กำลังนอนหลับ แสงจันทร์จากหน้าต่างส่องให้เห็นเงาของพัทธยาที่ทาบทับลงบนใบหน้าครู ครูเอื้อรู้สึกตัว งัวเงียตื่นขึ้น แล้วเพ่งมอง
"ใครน่ะ พัทธ์ พัทธยาใช่มั้ย"
พัทธยาก้าวเข้ามา แววตานิ่ง ปักเข็มลงไปข้อพับที่แขนครูเอื้อ
"พัทธ์"
ครูเอื้อพูดได้แค่นั้นก็ตาค้าง หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันเพราะฤทธิ์ยา พัทธยาดึงเข็มออก ตาจ้องภาพครูที่ตายด้วยน้ำมือตัวเอง
ในบ้านอภิมุข พัทธยาลูบใบหน้าตัวเองอย่างคนที่รู้สึกผิดขึ้นมาไม่น้อย เพชรดาเข้ามาโอบไหล่ปลอบประโลม
"คนๆเดียวจะปล่อยให้ทำลายชีวิตเราทำไม"
"แต่เค้าเป็นครู ... ครูที่เลี้ยงเรามา"
"เค้าเลี้ยงเราเพราะหน้าที่"
เพชรดามองพัทธยาอย่างให้ความเชื่อมั่น
"เค้าไม่ได้ให้ชีวิต ไม่ได้ให้จิตใจ ไม่ได้ให้ความรักอย่างที่เราต้องการ อย่างที่เราไขว่คว้า เค้าให้เราแค่อาหาร แค่ที่อยู่ที่เค้าต้องให้เราตามหน้าที่"
เพชรดากุมมือพัทธยาขึ้นจูบแผ่วเบา แววตามีอำนาจเหนือจิตใจพัทธยา
"เชื่อเพชรนะคะ คุณทำทุกอย่างถูกต้อง เพื่อเราสองคนแล้วค่ะ"
ในสนง.สืบฯ สถบดีเดินเร็วเข้ามา รัดเกล้า มุรธา ยอดชาย วิวรรธน์กำลังยืนคุยกัน เขารีบร้อนถามขึ้น
"พัทธ์อยู่ที่ไหน"
"ผู้กองพัทธ์ลา ไปธุระญาติเสียที่ต่างจังหวัดครับ"
"ไอ้พัทธ์เนี่ยนะ ญาติเสีย"
สถบดีหน้าตาเครียดทันที รัดเกล้ามองสงสัย คทารัตน์ถือแฟ้ม เดินลงมาได้ยินก็ถามทันที
"แล้วแกรู้ได้ยังไง ยอดชาย ผู้กองพัทธ์เค้าโทรมาลากับแกเหรอ"
"จดหมายลา ผู้กองให้เมนเสนจอร์มาส่งเมื่อเช้าครับ ผมรับแล้วก็เอาไปวางในห้องนายเองกับมือ" ยอดชายบอก
วิวรรธน์หันไปถาม
"ผู้กองมีอะไรด่วนหรือเปล่า"
สถบดีไม่ตอบหันหลังเดินออกไป ทุกคนมองอย่างงงๆ
"ผู้กองไผ่เป็นบ้าอะไร ท่าทางสติแตกแต่เช้า" คทารัตน์ว่า
รัดเกล้ากับวิวรรธน์มองตามด้วยความสงสัย
สถบดีจอดมอเตอร์ไซค์ลงหน้าบ้านพัทธยาที่ปิดประตูหน้าต่าง เขาพุ่งเข้าไปกดกริ่งรัว เพื่อนบ้านข้างๆที่กำลังรดน้ำต้นไม้ ออกมามอง
"พัทธ์อยู่มั้ยครับ"
"ปิดบ้านเงียบตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ"
สถบดีสีหน้าผิดหวังถอยออกมามอง
สถบดีขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอด ที่หน้าบ้านอภิมุข เขาถอดหมวกกันน็อกลง ไม่เห็นมียามเหมือนเคย สถบดีกดออดถี่ๆ ยืนรออย่างกระวนกระวาย
ภายในบ้าน พัทธยากับเพชรดายืนอยู่ที่ข้างม่าน มองจากหน้าต่างลงมา
"ไอ้ไผ่มันกำลังตามหาตัวผม"
"แสดงว่าเค้ารู้เรื่องครูที่ถูกฆ่า"
ทั้งสองแววตานิ่งเหี้ยม ไม่มีใครออกไปเปิดประตู จากนั้น สถบดีก็ขึ้นมอเตอร์ไซค์ขับออกไป
บริเวณโถงล่างสนง.สืบฯ ในเวลาต่อมา รัดเกล้ายืนมองทางเข้าตึก คทารัตน์ปิดแฟ้มมองแล้วถามขึ้น
"นี่แกจะชะเง้อรอไอ้ผู้กองไผ่มันกลับมาทั้งวันเลยเหรอ ยายเกล้า"
"ผู้กองไผ่เค้าแปลกๆนะคะ ตั้งแต่กลับจากบ้านเด็กกำพร้า"
"ฉันก็ไม่เคยเห็นเค้าปกติสักวัน"
"พี่วิกกี้คะ เกล้าอยากไปหาคุณนรสิงห์อีก"
"แกจะไปเซ้าซี้แค่ไหน คุณนรสิงห์เค้าก็ไม่เล่าหรอก ถ้าผู้กองพัทธ์กับคุณเพชรไม่ไปด้วย รอให้ผู้กองพัทธ์กลับมาจากงานศพญาติก่อนสิ ฉันจะลองกล่อมให้เค้าไปดูอีกที ผู้กองพัทธ์เค้าต้องฟังชั้นบ้าง"
คทารัตน์สีหน้าเชื่อมั่น ว่าจะเปลี่ยนใจพัทธยาได้ เธอเดินถือแฟ้มเข้าไปด้านใน
เสียงมือถือรัดเกล้าดังขึ้น รัดเกล้ามองเบอร์แล้วกดรับ
"สวัสดีค่ะ รัดเกล้าค่ะ ... ผู้กองพัทธ์"
บริเวณสวน นรสิงห์ยืนมองไปไกล สีหน้ารับรู้ว่า สิ่งเลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง
"ทำไมถึงไม่หยุดสร้างกรรมต่อกัน บาปเก่าก็หนักหนา เกินจะให้อภัยได้อยู่แล้ว"
สถบดีเดินเร็วเข้ามาที่โถงล่างสนง.สืบฯ วิวรรธน์กำลังจะขึ้นบันไดเห็นเข้า ก็ตรงเข้าไปหา
"มีใครโทรติดต่อไอ้พัทธ์ได้มั่งหรือยัง"
"ปิดเครื่องตลอดเลยครับ"
สถบดีหัวเสีย วิวรรธน์เสนอขึ้นอย่างกระตือรือร้น
"งั้นเดี๋ยวผมไปดูที่ฝ่ายทะเบียนให้ ว่าผู้กองแจ้งเบอร์ญาติไว้หรือเปล่า"
วิวรรธน์เดินออกไปเลย ไม่ทันได้ฟังที่สถบดีพูดขึ้น
"มันไม่ได้ไปงานศพญาติ ไอ้พัทธ์มันไม่มีญาติที่ไหน มันเป็นเด็กกำพร้า"
สถบดีสีหน้าเครียด
"พัทธ์แกกำลังจะทำอะไร"
เสียงเมสเสจมือถือดัง สถบดีกดรับเห็นเป็นคลิปส่งมาจากเบอร์ที่ไม่รู้จัก เขากดเปิดดูคลิป
เห็นภาพรัดเกล้าถูกมัดปาก
"รัดเกล้า"
คลิป 10 วินาที รัดเกล้าสีหน้าดิ้นรน
เสียงเมสเสจข้อความขึ้นมาอีกครั้ง ไผ่เปิดอ่าน เห็นข้อความ รัดเกล้ากำลังรอแกอยู่ ... เขารีบหันหลังวิ่งเร็วออกไปทันที
บริเวณตึกร้าง แดดส่องเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง สถบดีถือปืนเดินระวังเข้ามา เขาเดินขึ้นบันไดมาเรื่อยๆ สายตาสอดส่ายมองหารัดเกล้าตามชั้นต่างๆ จนถึงชั้นบนสุด เขาก้าวขึ้นมาเห็นรัดเกล้าถูกมัดมือ นอนสลบอยู่กับพื้น
"เกล้า"
ทันทีที่เขาวิ่งไป ก็ถูกฟาดด้วยไม้จนสลบไปอีกคน
พัทธยาเป็นคนลงมือ โดยมีเพชรดายืนมองและบงการทุกอย่าง
ในสนง.สืบฯ คทารัตน์เดินเข้ามาหาวิวรรธน์ ถามด้วยเสียงร้อนใจ
"โทรเจอใครหรือยัง"
"ปิดเครื่องกันหมด ทั้งผู้กองไผ่ ทั้งน้องเกล้า"
"นี่มันบ้าอะไรกัน อยู่ๆก็หายตัวไปW
คทารัตน์นิ่งคิด
"ก็เหลือแค่ที่ๆเดียว"
"บ้านคุณนรสิงห์"
คทารัตน์ก้าวฉับออกไป วิวรรธน์รีบตามเร็วออกไปทันที
ในตึกร้าง สถบดีกับรัดเกล้าฟื้นแล้ว สองคนมองหน้ากัน ทั้งคู่ถูกมัดมือติดกันและพยายามดิ้น
"เกล้า เป็นอะไรหรือเปล่า มันทำร้ายเกล้าหรือเปล่า"
"ไม่ค่ะ พวกเค้าหลอกจับเรามาที่นี่ทำไมคะ"
พัทธยาก้าวออกมามอง
"ฉันคิดไม่ผิดว่าต้องเป็นแก"
"ถ้าแกไม่ยุ่งเรื่องบ้านเด็กกำพร้า ฉันก็ไม่ต้องทำกับเพื่อนรักถึงขนาดนี้"
"บ้านเด็กกำพร้า" รัดเกล้าสงสัย
"เพื่อนที่ผมบอกเกล้า คนที่เคยอยู่บ้านเด็กกำพร้า คือ ไอ้พัทธ์ แล้วที่เราไม่เคยรู้มาก่อน คือมันกับคุณเพชรสนิทกันมาตั้งเด็กๆ เค้าโตมาด้วยกัน"
เพชรดาเดินออกมายืนข้างพัทธ์ในเสื้อผ้าและผมทันสมัย
"เสียดายที่ผู้กองรู้เร็วไปหน่อย ไม่อย่างนั้นคดีนี้ก็คงจะปิดลงที่คนตายแค่ไม่กี่ศพ"
รัดเกล้ามองท่าทาง แววตาเพชรดาแล้วเอะใจ ถามขึ้นทันที
"คุณเพชร ... คุณนั่นเองที่เป็นคนยิงพี่ชาย"
"มาฉลาดตอนนี้ ก็ไม่มีประโยชน์หรอก รัดเกล้า คดีนี้ต้องจบลงอย่างที่ฉันต้องการ"
"แล้วคนที่ฆ่าแก้วกล้ากับสิริรัตน์ ....ก็คือผู้กอง"
พัทธยายิ้ม
"เดนชีวิตอย่างมันสองคน ยิ่งตายไปเร็วๆ ชีวิตทุกคนก็จะดีขึ้น"
"แกโตมากับคุณเพชร ร่วมมือกับคุณเพชรฆ่าอภิมุขมาตั้งแต่ต้น เบี่ยงเบนหลักฐานพยานทุกอย่าง ให้ชี้ไปที่อภิวัฒน์"
"คุณสองคน ไม่เคยเปลี่ยนจากอดีตพันปีก่อนเลย ความทะเยอทะยาน ความเห็นแก่ตัว มันฝังอยู่ในจิตวิญญาณของคุณ"
"คนที่มีทุกอย่างมาตั้งแต่เกิดอย่างพวกแกจะรู้อะไร แกรู้มั้ยว่าฉันต้องเจออะไรบ้าง ในบ้านหลังนั้น อภิมุขมันไม่ได้เป็นพี่ชายที่แสนดีอย่างที่มันใส่หน้ากากหลอกทุกคน"
เพชรดาตัวสั่นเมื่อนึกถึงความหลังในคืนที่เกิดเหตุ
อ่านต่อหน้าที่ 4
สาปพระเพ็ง ตอนที่ 11 (ต่อ)
ในอดีต ที่บ้านอภิมุข เพชรดาเดินเข้าลงมา อภิมุขที่อยู่ในห้อง พอเห็นเธอก็มองด้วยสายตาเย็นชา
"ทำไมแกยังไม่ไปจากบ้านนี้อีก พรุ่งนี้ฉันจะแต่งงาน ฉันสั่งไว้แล้วว่าแกกับไอ้หนึ่ง ต้องออกไปจากที่นี่ก่อนเจ้าสาวฉันจะมาอยู่"
"พี่ดำจะให้เพชรกับตาหนึ่งไปอยู่ไหนละคะ"
"ที่ไหนก็ช่างหัวพวกแกสิวะ ที่นี่จะเป็นเรือนหอของฉัน ฉันไม่ต้องการให้แกกับไอ้หนึ่งมาอยู่รกหูรกตาเมียฉัน ครอบครัวฉันไม่ต้องการเลี้ยงน้องสาวนอกไส้ ลูกคนใช้ กับไอ้เด็กปัญญาอ่อนอีกแล้ว"
"ตาหนึ่งเป็นลูกพี่ดำนะคะ"
"ฉันไม่นับไอ้เด็กเวรนั่นเป็นลูก แกรักมัน ก็เอามันไปเลี้ยงด้วยสิ ฉันจะให้เงินไปก้อนนึง จะไปอยู่ที่ไหนก็ไป แล้วไม่ต้องกลับมาขอเงินฉันอีก อย่าให้ครอบครัวฉันต้องขายขี้หน้าเพราะมีมันกับแก"
เพชรดามองอภิมุขด้วยสายตาผิดหวัง เจ็บช้ำ แต่อภิมุขไม่สนใจเลย
"ฉันจะให้แกสองแสน เอาไป แล้วอย่ากลับมาอีก"
"ตาหนึ่งกับเพชรควรได้มากกว่านี้"
อภิมุขรอยยิ้มเหยียดหยาม
"แกจะเอาเท่าไหร่ 50 ล้านเหรอ สำหรับเศษชีวิตเน่าๆของแกที่ฉันเวทนาไปขุดออกมาจากบ้านเด็กกำพร้า จำใส่กะโหลกแกไว้นะ เพชร เพราะฉันให้ที่กินที่นอน แกถึงยังมีชีวิตอยู่ได้จนทุกวันนี้ สำนึกไว้ว่าอย่ามาเรียกร้องอะไรจากฉันอีก"
"แต่เพชรก็ควรมีสิทธิ์ในเงินมรดกบ้าง ยังไงเพชรก็ถือเป็นลูก"
อภิมุขหันขวับมองเพชรดาด้วยแววตาโกรธจัด
"แล้วพี่ดำก็อย่าลืมสิว่า เพชรไม่ได้เป็นแค่น้องสาว พี่ดำข่มขืนเพชร เพชรเป็นเมียพี่ดำ"
เพชรดาเน้นทุกคำด้วยแววตาขมขื่น
ในตึกร้าง สถบดีกับรัดเกล้ามอง เพชรดาสายตาขมขื่น พัทธยายืนมองอย่างเห็นใจพร้อมอยู่เคียงข้าง
"มันเอาตัวฉันออกจากบ้านเด็กกำพร้า แล้วก็บังคับให้รับใช้ ให้สนองอารมณ์สนองตัณหามัน"
อภิมุขเสียงเข้ม ชี้หน้าเพชรดาด้วยความโกรธ
"ของเล่นเว้ย ของเล่น... แกไม่ใช่เจ้าของหัวใจชั้น กะอีแค่ชั้นระบายความใคร่ชั่วคราว ครั้งสองครั้งกับแกนั่นน่ะ เค้าเรียกว่าของเล่น ไม่ได้เรียกว่าพิศวาสหรอกนะ"
อภิมุขเดินเข้าใกล้มาหาเพชรดาจ้องด้วยสายตาดูถูก เขาเอามือจับไปที่โคนขา เธอขืนตัว เขาเลื่อนมือขึ้นสูงใต้ชุดนอนของเธอ
"แล้วหมาตัวเมียอย่างแก มันก็มีค่าแค่ไว้คอยบำเรอ"
อภิมุขยิ้มเหยียดหยาม ดึงมือออกจากใต้ชุดนอนเพชรดา หันหลังจะเดินออกไป เธอมองจ้องอภิมุข ล้วงมือลงไปในกระเป๋าชุดนอนด้านขวา เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเคียดแค้นอัดแน่น
"ฉันไม่ใช่หมาตัวเมียที่แกจะสมสู่แล้วสะบัดทิ้งได้ง่ายๆ หมาบ้าตัณหาอย่างแก สมควรตาย"
อภิมุขหันมา เห็นเพชรดาจ่อปืนไปที่ขมับซ้ายอภิมุข เขากำลังจะร้อง แต่เธอเหนี่ยวไก เสียงปืนดังขึ้น ปัง !!!
ในตึกร้าง พัทธยากุมมือเพชรดา แววตามีแต่ความเห็นใจ สถบดีกับรัดเกล้ามองเธอด้วยสายตาผิดหวัง
"ถึงคุณจะถูกพี่ชายข่มเหง แต่คุณไม่สิทธิ์ตัดสินให้เค้าตาย"
"ก็ในเมื่อกฎหมายมันลงโทษคนสันดานชั่วไม่ได้ ฉันก็ต้องทำหน้าที่ผู้พิพากษาและเพชฌฆาต ถีบหัวมันลงนรก"
เพชรดายิ้มไม่สะทกสะท้าน
กระสุนทะลุขมับซ้ายอภิมุขมองตาค้าง ร่างเขากำลังจะทรุดฮวบลง เพชรดายกเท้าถีบกลางอก ร่างอภิมุขหงายไปนั่งลงที่เก้าอี้ หัวหงายไปด้านหลัง
เพชรดามองปืนในมือ แววตากระด้าง ทั้งเจ็บแค้น ขมขื่น
"แกมันเดรัจฉาน ข่มขืนน้องสาวตัวเอง จุดจบของสัตว์ชั้นต่ำอย่างแก มันก็ต้องมาจากมือฉัน"
เพชรดาคลี่ยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน
"พวกแกเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจากฉันไม่ได้ มันถึงเวลาแล้วที่ฉันต้องครอบครองทรัพย์สมบัติทุกอย่างของตระกูลนี้ เจ้าของที่นี่ต้องเป็นฉันคนเดียวเท่านั้น"
เพชรดายิ้มสะใจ พัทธยาก้าวเข้ามามองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยแววตาเลือดเย็น
สถบดีมองทั้งคู่ด้วยความเจ็บใจ
"คนที่ร่วมมือวางแผนฆ่าอภิมุขมาตั้งแต่ต้น ก็คือแก"
"ก็แค่ช่วยจัดฉาก สร้างหลักฐานเท็จในที่เกิดเหตุ ตำรวจฉลาดๆที่ไหนก็ทำได้"
พัทธยาโอบไหล่เพชรดาไว้ด้วยความรัก
"ฉันต้องทำเพื่อคนรักของฉัน เราสัญญากันว่าจะทำทุกอย่างเพื่อกลับมาอยู่ด้วยกันอีก"
รัดเกล้า สถบดีมองพัทธยาและเพชรดาด้วยสายตาสมเพช
ในบ้านอภิมุข เพชรดาแววตาสะใจส่งปืนให้พัทธยาซึ่งใส่ถุงมือยาง พัทธยาเช็ดปืนด้วยผ้า ลบรอยนิ้วมือเพชรดาก่อน แล้ววางปืนลงบนตักอภิมุข
เพชรดามอง เห็นเขาจับนิ้วชี้มือซ้ายอภิมุขมาแตะที่โกร่งไกปืน บนตัก ให้เหมือนอภิมุขยิง ตัวเองตายด้วยมือซ้าย เขาถอยออกมามองศพ แล้วหันไปยิ้มกับเพชรดา
สองคนสีหน้าพอใจกับแผนการปลิดชีวิตอภิมุข เพื่อเป็นเจ้าของทุกอย่าง
สถบดีกับรัดเกล้ามองจ้องพัทธยากับเพชรดา
"เป็นความซวยของอภิวัฒน์ที่แกทำทุกอย่างเพื่อส่งเค้าเข้าคุก แล้วให้คนรักฮุบมรดกทุกอย่างไว้คนเดียว"
"พวกมันต้องชดใช้ราคาชีวิตของฉัน"
เพชรดามองรัดเกล้า
"เธอไม่รู้จักความรักที่แท้จริงหรอก ถ้าเธอรัก เธอจะทำได้ทุกอย่าง"
"ทุกอย่างที่คุณทำลงไป คือความเห็นแก่ตัว ความรักที่แท้จริง คือคุณต้องยอมเสียสละความสุขให้คนที่คุณรัก"
รัดเกล้าสบตากับสถบดี พัทธยามองเหยียด
"อุดมการณ์สูงส่ง น่าสรรเสริญ งั้นฉันจะช่วยให้แกสมหวังเอง เพราะความรักของแกมันจะซาบซึ้งมาก โชคดีที่แกสองคนเชื่อนิทานพันปีของนรสิงห์ ว่าเคยเป็นผัวเมียกันมา แกถึงได้สำนึกบาปที่ไม่สามารถรักษาชีวิตลูกของแกไว้ได้ ชื่ออะไรนะ.... ดาราอะไรสักอย่าง"
พัทธยาหยิบเข็มฉีดยาออกมา สถบดีกับรัดเกล้ามอง
"ก็เลยกินยากล่อมประสาทเข้าไป จนตัดสินใจกระโดดลงจากตึกนี้ เพราะคิดว่า ชาติหน้าจะได้เกิดมาคู่กันอีก" เพชรดาบอก
พัทธยากับเพชรดาที่กำลังจะหยิบยื่นความตายให้สถบดีและรัดเกล้า
ในบ้านนรสิงห์ เวลาเย็นต่อเนื่อง คทารัตน์กับวิวรรธน์สีหน้าร้อนใจ เดินเข้าหานรสิงห์ที่ยืนสีหน้าสงบ
"คุณนรสิงห์อย่านิ่งเป็นหินแบบนี้สิคะ นี่มันก็ใกล้จะค่ำแล้ว รู้หรือเปล่าว่ารัดเกล้าหายไปไหน แล้วไม่ได้หายไปกับไอ้ผู้กองไผ่ใช่มั้ยคะ"
"มันเป็นกรรม"
"กรรมอะไรอีกล่ะครับ กรรมที่ผู้กองไผ่เกิดไปสงสัยเรื่องคุณเพชรขึ้นมาหรือเปล่า" วิวรรธน์ถาม
"อะไรนะ สงสัยเรื่องคุณเพชรดาน่ะเหรอ ไม่เห็นแกเล่าให้ฉันฟังเลย"
"ผู้กองกับผมกำลังรื้อสำนวนคดีนี้มาดูใหม่อีกที หลังจากไปบ้านเด็กกำพร้า"
"กรรมมันคือลูกโซ่ ร้อยห่วงกันมาตั้งแต่อดีต มาถึงปัจจุบันส่งต่อไปอนาคต ถ้าจะตัดห่วงกรรมตั้งแต่อดีต แต่ไม่รู้อดีตเลย มันจะตัดได้ยังไง"
"อดีตของใครคะ คุณเพชรดา หรือ ว่าผู้กองพัทธ์"
คทารัตน์มองจ้องคาดคั้น วิวรรธน์เอะใจ รวบรวมทุกอย่างในสมองแล้วถามขึ้นทันที
"คุณนรสิงห์กำลังจะบอกว่า สองคนนี้เกี่ยวกับเรื่องที่ผู้กองไผ่ น้องเกล้าหายตัวไป"
สถบดีกับรัดเกล้ายืนอยู่ริมดาดฟ้าบนตึกร้าง พัทธยากับเพชรดายืนจ่อปืนหลังไผ่กับรัดเกล้าคนละกระบอก พัทธยาจะปักเข็มยากล่อมประสาทลงไปที่คอ สถบดีสะบัด ดิ้นรน เข็มหลุดจากมือตกพื้น พัทธยาล็อกคอไผ่ทันที
"ถ้าแกคิดจะสู้ รัดเกล้าจะตายก่อนแก"
เพชรดาแววตาจริงจัง จ่อปืนที่หลังรัดเกล้า 2 ผู้กองมองหน้ากัน
"แกจะฆ่าฉันก็ได้ แต่ปล่อยรัดเกล้าไป" สถบดีต่อรอง
"แล้วมันก็กลับมาทำลายความสุขของฉันกับพัทธ์น่ะเหรอ" เพชรดาว่า
"ไม่มีใครเชื่อหรอกว่า เราสองคนจะยอมตายพร้อมกัน"
รัดเกล้าพยายามพูดถ่วงเวลา พัทธยาหัวเราะ
"กว่าจะพิสูจน์ได้ ฉันกับเพชรก็จะไปตั้งต้นชีวิตใหม่ที่เมืองนอกแล้ว"
"จับมือกันเดี๋ยวนี้" เพชรดาสั่ง
สองคนยิ้มให้กันอย่างไม่กลัวตาย แล้วยื่นมือมาจับกันไว้
"ไม่ต้องกลัวนะ เกล้า"
"เกล้ามีคุณ เกล้าไม่เคยกลัวเลยค่ะ"
พัทธยากับเพชรดามองอย่างสมเพช
"ถ้าแกรักกันมาตั้งแต่พันปีก่อน ก่อนจะหมดลมหายใจก็ขอบใจฉันสองคนด้วยนะ ที่ช่วยทำให้ความรักของแกเป็นรักนิรันดร์" เพชรดาบอก
"ความรักของฉันกับเกล้า เป็นรักที่บริสุทธ์ ไม่เคยทำร้ายใคร"
"งั้นแกก็ลงนรกไปกับความรัก ความเสียสละ ความดีที่แกเชื่อถือเถอะว่ะ เพราะมันจะได้ช่วยให้ฉันกับเพชรได้ใช้ชีวิตอยู่บนสวรรค์ เจอกันในอีกพันปีข้างหน้านะเพื่อน"
สถบดีกับรัดเกล้ากุมมือกันแน่น พัทธยากับเพชรดาขยับเข้าใกล้ยื่นมือไป ผลักร่างไผ่กับรัดเกล้าอย่างแรง
สิงห์หลับตาลงรวบรวมพลังทั้งหมด วิวรรธน์กับคทารัตน์มองรอบตัวนรสิงห์ที่มีพลังสีแดงแผ่กระจายออกมา สว่างวาบเจิดจ้าไปทั้งห้อง
ที่ขอบตึกดาดฟ้า สถบดีกับรัดเกล้าร่างโงนเงนกำลังจะตกลงไป แสงสีแดงพุ่งจากกลางอากาศ วาบเข้ามาในเวลาโพล้เพล้ เมื่อใกล้แสงแดดจะหมด แสงนั้นสาดเข้าปะทะ ดันร่างทั้งสองให้ค้างไว้ก่อนจะร่วงลงมา
พัทธยา กับ เพชรดามองตะลึง ยังไม่ทันตั้งตัว แสงสีแดงก็ม้วนพุ่งเข้า ผลักสองคนอย่างแรง
จนกระเด็นกลิ้งไปกับพื้น ปืนหล่นจากมือทันที
คทารัตน์กับวิวรรธน์มองแสงสีแดงรอบตัวนรสิงห์เปล่งพลังสว่างจ้ายิ่งกว่าเดิม
แสงสีแดงผลักร่างทั้งสองอย่างแรงจนกระเด็นพ้นจากขอบตึก จนสลบอยู่อีกด้าน พัทธยากับเพชรดากลิ้งไปอีกทาง ร่างอัดกระแทกผนังอย่างแรง ปืน 2 กระบอก ตกอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้ง 2 คู่ที่สลบแน่นิ่งอยู่ แสงสีแดงล้อมรอบร่างคนทั้ง 4 ไว้
คทารัตน์กับวิวรรธน์ยืนตะลึง ทั้งห้องถูกห้อมล้อมด้วยพลังสีแดง นรสิงห์กำลังสะกดทุกคนไว้ด้วยกันอีกครั้ง
"จงกลับไปสู่อดีตที่เจ็บปวดสูญเสีย จงมองให้เห็นความล่มสลาย หายนะครั้งสุดท้ายที่กำลังรอทุกคนอยู่"
แสงสีแดงวาบสว่างดึงทุกคนกลับไปเห็นอดีตช่วงที่สำคัญที่สุด
บริเวณสระบัวทางเข้าตำหนัก มรันมาเดินเข้าหาติสสาด้วยความสงสัย
"ทำไมพี่ชายไม่เอายาแก้พิษจากนรสิงห์มาให้ลูก"
ติสสาแววตากดดัน
"นรสิงห์มันต้องการอะไร"
"อย่างเดียวที่มันต้องการแลกกับยา คือ ศรีพิสยา"
มรันมานิ่งเครียด
"มันจะให้พี่ชายเป็นคนทรยศบ้านเมือง"
มรันมาสะอื้นออกมา เมื่อรู้ว่าสิ่งที่นรสิงห์ขอแลกนั้นเป็นสิ่งที่ติสสาไม่มีทางยอม ติสสาสวมกอดเมียรักไว้แน่น
"น้องน้อย ไม่ใช่พี่ชายจะไม่รักลูก แต่พี่ชายมีหน้าที่ปกป้องศรีพิสยาทั้งหมด"
"แล้วลูกล่ะ ดาราน้อยเป็นคนที่พี่ชายต้องปกป้องมากที่สุดในฐานะพ่อ"
"พี่ชายรู้... หัวใจของเราคือดาราน้อย"
"น้องน้อยจะไปหานรสิงห์"
มรันมาดิ้นรน ติสสาดึงกอดรั้งเมียไว้แน่น
"ให้น้องน้อยต้องตายต่อหน้ามันเพื่อแลกกับยาแก้พิษ... น้องน้อยก็ยอม"
"อย่าไปน้องน้อย นรสิงห์มันต้องการให้เป็นแบบนี้"
"มันต้องการศรีพิสยา ก็ต้องยกกองทัพเข้ามาสู้อย่างทหาร ทำไมถึงมาเอาชีวิตเด็กตัวเล็กๆเป็นเครื่องต่อรอง"
"เพราะมันต้องการฝ่าพลังผีนาถผีฟ้าผ่านกำแพงเมืองเข้ามาให้ได้"
ติสสาเอ่ยอธิบาย
"เพื่อความปลอดภัยของทุกคน เจ้าปรันมาสั่งให้ย้ายขวัญเมือง ที่รวมพลังแห่งศรีพิสยา มาอยู่ที่จิตพี่ชายกับเจ้านางจันทเทวี ถ้าขวัญเมืองในตัวพี่และเจ้านางแตกเมื่อไหร่ กองทัพนรสิงห์จะทำลายศรีพิสยาจนย่อยยับ"
มรันมาแววตาปวดร้าวกับความทุกข์เรื่องลูกเหนืออื่นใด
ในท้องพระโรง เวลาเย็น จันทเทวีคุกเข่าลงตรงหน้าเจ้าปรันมา นันทวดียืนมองอยู่ด้านหลัง
"น้องจะรักษาขวัญเมืองในตัวไว้ให้ดีที่สุด"
ปรันมาดึงน้องสาวขึ้นมาด้วยใบหน้าอิ่มเอิบ
"รักษาหัวใจศรีพิสยาในตัวน้องไว้ จันทเทวี หน้าที่ของขัตติยราชคือต้องคิดถึงประชาชนพลเมืองทุกคนก่อนความสุขส่วนตัว"
จันทเทวีกอดพี่ชายด้วยรอยยิ้ม ปรันมามองสั่งเมฆา มารุตและนันทวดี
"เมฆา มารุต ปกป้องเจ้านางยิ่งชีวิต นันทวดี ข้าฝากน้องสาวด้วย"
"ข้าจะดูแลเจ้านางยิ่งกว่าชีวิตข้า"
เจ้าปรันมาส่งจันทเทวีให้นันทวดี เมฆา มารุตเดินนำทั้งสองคนออกไป ปรันมานั่งลงบนบัลลังก์ สีหน้าเปลี่ยนเป็นกังวลถึงเหตุการณ์ร้ายที่กำลังเกิดขึ้น
"ติสสา จิตเจ้าผูกพันชะตากรรมของศรีพิสยาไว้ทั้งหมด ขอให้ข้าเชื่อใจเจ้าได้ เหมือนที่ข้าเชื่อมั่นในหัวใจตัวเอง"
ติสสากอดมรันมาที่พยายามดิ้นรนจะออกไปขอร้องนรสิงห์
"เราต้องมีทางรักษาดาราน้อย" ติสสาบอก
"ทางไหน พี่ชายก็เห็น ดาราน้อยทรุดลงทุกวัน หรือพี่ชายจะปล่อยให้ดาราน้อยทรมานไปจนตาย พี่ชายเป็นทหาร พี่ชายทนได้ แต่น้องน้อยเป็นแม่ น้องน้อยทนไม่ได้"
"น้องน้อย... พี่ชายก็มีหัวใจของพ่อ"
"แต่พี่ชายกำลังเห็นแก่คนอื่นมากกว่าลูก"
"น้องน้อยกำลังกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว คนอื่นที่น้องน้อยพูดถึงคือพลเมืองศรีพิสยาทุกคน รวมทั้งเจ้าปรันมา แล้วก็น้องน้อย เราจะเสียศรีพิสยาไปไม่ได้ ที่นี่จะต้องเป็นแผ่นดินที่ดาราน้อยได้เติบโต ภูมิใจในอิสระเสรีไม่ตกเป็นทาสของนรสิงห์"
"น้องน้อยไม่อยากฟัง น้องน้อยต้องการแค่ยาแก้พิษให้ลูก น้องน้อยทนกอดลูกที่ไร้ลมหายใจไม่ได้ ถ้าพี่ชายไม่เอายาแก้พิษมาให้ดาราน้อย ก็อย่ามาให้น้องน้อยเห็นหน้าอีก"
มรันมาผลักติสสาออกไปอย่างแรง
"ออกไป"
ติสสามองมรันมาที่น้ำตานองหน้า กรีดร้องขับไล่ไสส่ง แล้วจำต้องถอยออกไป ความทุกข์ในใจของแม่ไม่อาจบรรเทาลงได้เลย
เวลากลางคืน ติสสาเดินมาทรุดลงหน้าบันไดเขตพระราชฐาน แววตาเจ็บปวด ทุกข์ทรมานกับการตัดสินใจ ติสสาเงยมองจันทร์นวลบนฟ้า
"พระเพ็งช่วยดาราน้อยด้วย ข้ารักดาราน้อยเหมือนดวงใจ แต่ศรีพิสยาก็เป็นชีวิตข้า อย่าบังคับให้ข้าต้องเป็นคนทรยศแผ่นดิน"
ติสสาทรุดลงอ้อนวอนด้วยจิตใจปวดร้าว
เช้าวันใหม่ ที่กระโจม นรสิงห์มองไกล สุเลวินยืนใกล้ สีหสาถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากรอคอยอีกแล้ว
"ติสสา มันจะแข็งแกร่งไปได้สักแค่ไหน"
"ไม่ใช่แค่ความเจ็บปวดดาราน้อยที่จะทำให้ติสสาเป็นคนทรยศ เสียงอ้อนวอนร้องไห้ของคนเป็นแม่อย่างมรันมา จะบีบบังคับใจแข็งแกร่งติสสาลงจนได้"
"แต่พวกศรีพิสยายึดมั่นในความรัก ความเสียสละให้แก่กัน"สุเลวินบอก
"มันไม่มีหรอก คนที่จะหวงแหนแผ่นดิน จนยอมสละชีวิตลูก" สีหสาบอก
"ในสงคราม ทุกอย่างคืออาวุธ ข้าจะสั่งสอนพวกศรีพิสยา โดยเฉพาะไอ้ปรันมาว่า การเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ มันต้องศรัทธาในพลังอำนาจเท่านั้น"
สีหสา สุลเวินยิ้มกับนรสิงห์ด้วยความลำพองใจกับชัยชนะที่อยู่แค่เอื้อม
ในท้องพระโรงเวลากลางวัน ติสสาทนั่งนิ่ง สีหน้าครุ่นคิดกดดัน ปรันมาเดินเข้ามาเห็นสีหน้า ก็มองด้วยสายตาพิจารณา
"มีอะไรที่ข้าจะทำให้เจ้าหายทุกข์ได้บ้าง"
"เจ้าปรันมา"
ปรันมายิ้ม แตะลงที่ไหล่ติสสาอย่างปลอบใจ
"ข้าฝากหัวใจศรีพิสยาไว้ที่เจ้า ไม่ใช่เพราะข้าต้องการความเสียสละจากทหาร แต่ข้าเห็นเจ้าเป็นเหมือนน้องชาย ข้ารักและไว้ใจเจ้าเท่ากับที่ไว้ใจตัวเอง ความทุกข์ของเจ้า ถ้าข้าช่วยแบ่งเบาได้บ้าง ข้าก็เต็มใจ"
ติสสามองปรันมาด้วยสายตาซาบซึ้ง ในใจยิ่งกดดัน
"ดาราน้อยอาการทรุดลง"
"ข้าจะเข้าไปวิหารหลวง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องได้ยินคำอธิษฐานของข้า พระเพ็งต้องช่วยคนดีอย่างเจ้า"
ปรันมายิ้มให้กำลังใจ หันหลังเดินออกไป ติสสามองตามด้วยความสับสน
ในห้องนอน มรันมามองดาราน้อยที่นอนแน่นิ่ง กาหลงเช็ดตัวลดไข้ พินทุคอยเฝ้ามองอยู่ ติสสาเดินเข้ามา แล้วสั่งพินทุ กาหลง
"เจ้าสองคนออกไปก่อน"
พินทุ กาหลงเดินออกไป มรันมารีบเข้ามาหาติสสา
"พี่ชายได้ยาแก้พิษมาแล้วใช่มั้ย"
"น้องน้อย"
ติสสาพูดไม่ออก จับไหล่มรันมาไว้ มรันมามองแววตาติสสาแล้วสะบัดตัวออกห่าง
"น้องน้อยบอกแล้วว่า อย่ากลับมาอีก ถ้าไม่มียาแก้พิษมาให้ดาราน้อย"
"พี่ชายทรยศความไว้ใจของเจ้าปรันมาไม่ได้"
"แล้วลูกล่ะ พี่ชายทนดูลูกหมดลมหายใจไปต่อหน้าต่อตาได้ใช่มั้ย"
"เราจะหาทางรักษาดาราน้อย"
"ทางไหน ที่ผ่านมาหมอที่เก่งที่สุดยังหาวิธีแก้พิษไม่ได้"
มรันมาสีหน้าร้อนรน
"น้องน้อยจะไปหาเจ้าปรันมา จะไปบอกเรื่องยาแก้พิษ เจ้าปรันมาต้องเอามันมาจากนรสิงห์ให้ได้"
มรันมาพุ่งออกไปทันที ติสสาคว้าตัวไว้ไม่ทัน
"น้องน้อย อย่าไป"
ติสสาหันหลังวิ่งเร็ว ตามออกไปทันที
มรันมาวิ่งเร็วมายังสระบัวในเขตพระราชฐาน ติสสาตามมาด้านหลัง
"น้องน้อย อย่าไป"
ติสสาพุ่งเข้ารวบตัวมรันมาไว้
"ปล่อย พี่ชาย น้องน้อยต้องไปบอกเจ้าปรันมา"
"น้องน้อย ฟังพี่ชาย"
มรันมาน้ำตานองหน้า มองติสสา
"ไม่มีอะไรที่นรสิงห์มันต้องการนอกจากศรีพิสยาทั้งหมด ถ้าน้องน้อยบอกเจ้าปรันมา ก็เท่ากับบีบให้เจ้าปรันมายกศรีพิสยาให้นรสิงห์ เพราะเจ้าปรันมาจะต้องเห็นแก่ชีวิตดาราน้อย"
ติสสากอดมรันมาไว้
"พี่ชายรู้ว่ามันทรมานแค่ไหน แต่ศรีพิสยาเป็นชีวิตของเรา ของทุกคน เมื่อไหร่ที่นรสิงห์เข้ามาที่นี่ได้ มันจะทำลายความดีงามที่ศรีพิสยาสั่งสมมา เลือดศรีพิสยาทุกคนจะไหลนองแผ่นดิน น้องน้อย... เราจะยอมให้คนเลวกระหายอำนาจปกครองทุกชีวิตอย่างนั้นหรือ"
"แต่น้องน้อยก็ปล่อยให้ลูกตายไม่ได้เหมือนกัน"
"พี่ชายรู้ เจ้าปรันมากำลังพาตัวหมอจากทั่วทุกแคว้นมารักษาดาราน้อย"
ติสสาเอื้อมมือปลอบระโลมซับน้ำตาให้มรันมาแผ่วเบา
"อดทนอีกหน่อยเถอะ น้องน้อย อดทนให้สมกับการเป็นสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ ชาวศรีพิสยาทุกคนจะจดจำความอดทน เสียสละครั้งนี้ของเจ้านางมรันมา"
มรันมาสะอื้น ติสสากอดเมียไว้แน่นด้วยความทรมานใจไม่น้อยกว่ากัน
ในตำหนักเจ้านาง อินยาเดินไปเดินมาด้วยความอยากรู้ เอ่ยขึ้นกับปันแสง
"เราจะต้องทนอยู่ในสภาพนักโทษจองจำไปอีกนานเท่าไหร่ ปันแสง ทำไมมันถึงไม่มีข่าวอะไรเลย ดาราน้อยมันตายไปหรือยังก็ไม่รู้"
"เงียบแบบนี้ หรือพวกนรสิงห์มันเปลี่ยนใจใช้แผนอื่นไปแล้ว เขตติดต่อทุกด้านก็ปิดหมด พวกมันจะลอบเข้ามาเหมือนแต่ก่อน ไม่ได้อีกแล้ว"
"ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่ควรจะเก็บตัวรอฟังข่าวอยู่ที่นี่ เวลาที่มีแต่ความทุกข์อย่างนี้ ติสสา มรันมามันควรจะได้กำลังใจจากเรา"
อินยาเดินเชิดออกไปก่อน ปันแสงตามไปทันที
ติสสาประคองมรันมาไว้ เอ่ยปลอบประโลมจิตใจบอบช้ำ
"ดาราน้อยคือของขวัญที่พระเพ็งประทานให้กับชีวิตเรา ดาราน้อยจะต้องกลับมาวิ่งเล่น กลับมาหัวเราะ เรียกพ่อจ๋าแม่จ๋าได้เหมือนเดิม"
มรันมาสะอื้นมอง
"พี่ชายอย่าหลอกน้องน้อย"
"ชั่วชีวิตนี้ พี่ชายไม่เคยหลอกน้องน้อย"
ติสสากอดไว้แน่น พยายามเกลี้ยกล่อมให้มรันมาอดทน
"เชื่อพี่ชายเถอะ ถ้าชีวิตพี่ชายไม่มีน้องน้อยกับลูก พี่ชายก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน"
"น่ายกย่องความรักบริสุทธิ์"
ติสสา มรันมาหันไปมอง เห็นอินยากับปันแสงเดินเข้ามา
"ข้ากับปันแสงกำลังจะไปเยี่ยมหลานรัก"
"ไม่ต้อง กลับไปตำหนักของเจ้าซะ"
"ข้าไม่ไป ข้ามีสิทธิ์อยู่ในเขตพระราชฐานนี้ พอๆกับพวกเจ้าเหมือนกัน" ปันแสงบอก
"เป็นยังไงบ้าง มรันมา คิดหรือยังว่าจะตายตามลูกไปเมื่อไหร่ดี"
มรันมาพุ่งเข้าไปตบเจ้านางอินยาทันทีด้วยความโมโห อินยาถึงกับเซ
"มรันมา"
ปันแสงกำลังจะเข้าถึงตัวมรันมา ติสสาพุ่งเข้ามาถีบจนกระเด็นออกไป
"ไสหัวไปให้พ้นทั้งสองคน ก่อนที่ข้าจะขัดคำสั่งเจ้าปรันมา ตัดหัวเจ้า เอาเลือดล้างตีนข้ากับมรันมาอยู่ตรงนี้"
"เอาสิ ข้ามีชีวิตจนได้เห็นความทุกข์ของเจ้ามาขนาดนี้ ถึงตาย ข้าก็ไม่เสียดายชีวิต" อินยาบอก"คนอย่างเจ้าไม่ตายดีแน่ อินยา" มรันมาว่า
อินยายิ้ม
"ไม่เป็นไร เพราะข้ามีความสุขแล้วที่จะได้เห็นลูกเจ้าตายไปก่อน"
มรันมาจะพุ่งเข้าไปซ้ำ แต่ติสสารั้งตัวไว้
"หุบปากของเจ้าซะ อินยา ดาราน้อยกำลังจะหาย"
"หาย !! น่าเวทนาที่เจ้ามันไม่ยอมรับความจริง คนทั้งศรีพิสยาเค้ารู้กันหมดแล้ว ว่านังเด็กดาราน้อยกำลังจะตาย" ปันแสงบอก
"หยุดพูดชื่อลูกข้าออกจากปากโสมมของพวกเจ้า" มรันมาเสียงเข้ม
"ข้าขออวยพรให้ดาราน้อยมันรีบๆตาย เจ้าสองคนจะได้หัวใจแตกสลาย ตายตามไปรวมกันเป็นครอบครัวอยู่ในนรก" ปันแสงว่า
ติสสาพุ่งเข้าหา ปันแสงชก ติสสาหลบไวแล้วหันมาชกเข้าหน้าปันแสงจนกระเด็น ติสสาตามเข้าไปกระทืบลงกลางอก อินยาจะเข้าไปหาปันแสง มรันมากระชากตบแล้วเหวี่ยงไปกระแทกเสาหินอย่างแรง
พินทุนำทหารวังวิ่งเข้ามา ติสสาสั่งเร็ว
"พินทุ คุมตัวพวกมันกลับไปที่ตำหนัก"
พินทุกับทหารเอาอาวุธจ่อรอบอินยา ปันแสงทันที สองคนลุกขึ้นมองจ้องมรันมา
"เอามันออกไป"
พินทุรีบคุมตัวอินยา ปันแสงให้ออกไปทันที ติสสา มรันมามองด้วยความเกลียดชังอย่างที่สุด
ห้องนอนในตำหนัก มรันมานั่งลงข้างร่างดาราน้อย แล้วกุมมือลูกขึ้นแนบแก้ม
"ดาราน้อยได้ยินเสียงแม่ใช่มั้ย"
ติสสายืนมองจากด้านนอกเห็นภาพความทุกข์ของมรันมายิ่งกดดัน
"แม่มีม้า กระต่าย มีนก เตรียมไว้ให้ดาราน้อยตั้งหลายตัว ตื่นขึ้นมาเล่นกับพวกมันเถอะนะ"
มรันมาน้ำตาหยดลงบนมือเล็กๆของลูก ติสสามองเศร้า
"ดาราน้อยอยากได้อะไร ลุกขึ้นมาบอกแม่เถอะ อย่านอนนิ่งอยู่อย่างนี้"
มรันมาสะอื้น น้ำตานองหน้า
"พระเพ็งบอกข้าด้วย ข้าต้องทำยังไง ลูกถึงจะตื่นมากอดข้าได้อีกครั้ง"
ติสสาตัดสินใจหันหลังเดินออกไป มรันมามองตามอย่างสงสัยที่เห็นติสสาที่เดินออกไป
ปันแสง อินยามองไกล แววตามีความสุข
"แค่นี้เราก็รู้แล้วว่านังเด็กนั่นมันไม่รอดแน่ๆ ป่านนี้ยังไม่มียารักษา"
"ติสสามันยังดูมีความหวัง หรือว่ามันมีวิธีจะช่วยดาราน้อยจากเงื้อมมือนรสิงห์ได้"
อินยามองปันแสงที่มีสีหน้าไม่แน่ใจ
ติสสาเดินเร็วมา พินทุเดินสวนมาจากตำหนักอินยา
"ท่านแม่ทัพจะไปไหน ให้ข้าตามไปด้วย"
"ไม่ต้อง ไปอยู่เฝ้าเมียกับลูกของเรา"
พินทุยังไม่ขยับ ติสสาไล่ซ้ำ
"ไปสิ"
พินทุรีบเดินแยกไปทางตำหนักมรันมา ติสสามองจนแน่ใจว่า พินทุเดินลับไปแล้วก็เดินเร็วออกไป
หลังต้นไม้ใหญ่ มรันมาขยับตัวออกจากที่หลบ แล้วเดินตามออกไปห่างๆ
จบตอนที่ 11