ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 11
อยู่มาวันหนึ่ง ประตูห้องพักชารีฟเปิดออกโดยทหารองครักษ์ ก่อนจะเห็นองค์อาหเม็ดเดินเข้ามา หันกลับไปห้ามไม่ให้คนตามเข้ามา จะคุยกับชารีฟ 2 คน ชารีฟฟื้นแล้ว ซาลามอยู่บนเตียง
“ชารีฟ...ดูแจ่มใสดี เจ็บหายหรือยัง”
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้า”
“ยังเจ็บปวดมากมั้ยนี่”
“พอบรรเทาแล้วพระเจ้าค่ะ”
องค์อาหเม็ดวางมือบนไหล่ชารีฟนิ่งนาน ส่งความรู้สึกผ่านมือและนัยน์ตาสู่กันและกัน
“ขอบใจมากชารีฟ”
ชารีฟค้อมหัวรับคำ
องค์อาหเม็ดถอนมือออก ปรับน้ำเสียงปกติอย่างเดิม “แผลใหญ่นะ...ก็มีดวงเดือนนี่ใครมือไม่ถึงก็ไม่ต้องคิดอะไร จัดพิธีศพได้ โดยเฉพาะดวลกับโอมาน”
“เพราะพระปรีชาขององค์อาหเม็ด ข้าพระองค์จึงมีโอกาสฝึกหัดการใช้มีดนั้นจนพอตัว”
“ความจริงหัดอีก 10 ปีก็สู้โอมานไม่ได้ โอมานชำนาญที่สุดว่าแต่เล่าให้ฟังหน่อยซิว่าทำไมถึงกลายเป็นสู้กันด้วยมีดไม่ใช่ถูกฆ่าบนเตียงผ่าตัด”
สองคนสนทนากัน ชารีฟเล่าจนเห็นเป็นภาพเล่าประกอบคำบรรยาย
“โอมานรู้แผนการเราอยู่แล้ว ข้าพระองค์สงสัยตั้งแต่วันที่ส่งวิทยุ เพราะดูผิดสังเกต รหัสลับไม่ถูกต้อง แต่ก็ตัดสินใจเข้าไปพบ เพราะเดาว่าคนอย่างโอมานมีศักดิ์ศรีพอตัว คงไม่ถือโอกาสฆ่า..คนที่เหมือนลูกไก่ในกำมือ”
องค์อาหเม็ดแทรกขึ้น “ข้อนี้ต้องมาย่องโอมาน คงท้าดวลมีด-วงเดือน”
ภาพเหตุการณ์ตอนชารีฟไปพบองค์โฮมานที่ศาลาในสวนจนโอมานท้าดวลผุดขึ้นมา
ชารีฟจ้องมองอาหเม็ด สายตาเริ่มพร่าพรายนิดๆ
องค์อาหเม็ดวางมือบนหัวชารีฟเบาๆ
“เจ้ารับคำท้าของโอมานทั้งๆ ที่รู้ว่า...นั่นคือความตายเท่านั้น”
“ข้าพระองค์คิดถึงฮิลฟารา คิดถึงประชาชน คิดถึงองค์อาหเม็ด ตั้งใจไว้ว่าจะใช้สติทุกลมหายใจ”
“ในที่สุด...”
“ตอนนั้นข้าพระองค์ใกล้หมดสติ องค์โอมานฟาดดาบลงมาเต็มแรงข้าพระองค์นั่งลง ดาบพลาดไม่ถูก ข้าพระองค์ จึงแทงสวนขึ้นไป”
องค์อาหเม็ดซาบซึ้งใจยิ่งนัก ตบหัวเบาๆ
“เจ้าเป็นยิ่งกว่าขุนทหาร เป็นยิ่งกว่าผู้รักษาบัลลังก์ เจ้าเป็นน้องชายที่ช่วยค้ำจุนพี่ชาย ขอบใจมากๆ ชารีฟ รู้มั้ยว่าถ้าสู้กันด้วยมีด-วงเดือน โอมานไม่เคยแพ้ใคร”
“ใช่พระเจ้าค่ะ ฝีพระหัตถ์ก็เหนือกว่าข้าพระองค์มากนัก”
“รักษาตัวให้หายเร็วๆ จะรอจนกว่าเจ้าจะหายถึงจะมีพิธีถวายพระพรและเลี้ยงฉลอง ปูนบำเหน็จความดี ความชอบ”
“เป็นพระกรุณา”
องค์อาหเม็ดเดินออกไป ชารีฟทำท่าเหมือนอยากพูดอยากถามอะไรบางอย่าง องค์อาหเม็ดเหลียวกลับมามอง อ่านสายตาแล้วรู้ทันที
“พระชายามาจากอานาอีซาถึงแล้วเรียบร้อย” องค์อาหเม็ดมองตาชารีฟแน่วนิ่ง แต่สายตาขำๆ ล้อๆ “คนอื่นๆ เอ..ไม่รู้สิว่ามาพร้อมกันหรือตามมาทีหลัง”
ชารีฟสายตาหมองลง
“อ้อ แต่รายงานล่าสุด บอกว่ามาด้วยกัน”
ชารีฟสายตาละห้อย บ่งบอกว่าอยากพบมิเชลล์เหลือเกิน
“เห็นใจ...เห็นใจมาก” องค์อาหเม็ดรับรู้ความรู้สึกนั้น
ชารีฟนัยน์ตาวาววับขึ้น
“แต่...ยังให้มาพบไม่ได้ รอก่อน” แล้วเดินออกไปเลย
ชารีฟหงอยลงไปถนัดตา ถอนหายใจยาว
ประตูห้องชารีฟเปิดออก องค์อาหเม็ดเดินออกมา ทหารทำความเคารพ หมอ พยาบาล คอยส่งเสด็จ
นายพลมุสกัตยืนเฝ้าอยู่ด้วย
“ท่านนายพล”
“พระเจ้าค่ะ”
องค์อาหเม็ดมองตานายพลมุสกัต เสียงเบาลงนิด “เข้าไปปลอบโยนกันหน่อย คิดถึงจะขาดใจตายอยู่แล้ว”
นายพลมุสกัตยิ้มขำๆ “พระเจ้าค่ะ” จากนั้นจึงโค้งเคารพต่ำ
องค์อาหเม็ดเดินจากไป ทักทายผู้คนไปตามรายทาง
สุไบดาเดินออกมาจากลิฟท์แล้วหยุดคอย พอองค์อาหเม็ดมาถึงที่สุไบดายืนอยู่ สุไบดาถอนสายบัว
“เจ้าน้า...”
“เพคะ”
“ชารีฟจวนหายแล้ว หลานกำลังสั่งให้เตรียมพิธีเลื่อนยศ แต่งตั้ง ครม. กับถวายพระพรเป็นงานเดียวกัน เจ้าน้าคงเดาถูกว่าชารีฟจะต้องทำงานหนักอีกมาก”
“ลูกชายมีหน้าที่ถวายงานให้กับราชบัลลังก์อยู่แล้ว”
“ชารีฟทำยิ่งกว่าถวายงานให้ราชบัลลังก์”
สุไบดามีสีหน้าเป็นคำถาม
“ชารีฟยอมตายเพื่อราชบัลลังก์” องค์อาหเม็ดตรัส
“เป็นพระกรุณา”
“ต่อไปนี้ไม่ว่าอะไรที่เป็นความสุขของชารีฟ หลานจะทำทุกอย่างไม่ว่าเรื่องนั้นจะยิ่งใหญ่สักแค่ไหน”
สุไบดาฟังด้วยสีหน้าไม่สบายใจเลย
องค์อาหเม็ดเข้ามาจับมือสุไบดาทั้งสองมือ ยกขึ้นสูงเกือบจรดหน้าผาก “ขอบพระทัยมากที่มีน้องชายคนนี้ให้หลาน”
สุไบดาถอนสายบัวต่ำ “เป็นพระกรุณาธิคุณ”
องค์อาหเม็ดเสด็จไปทันที
สุไบดายืนส่งเสด็จจนลับพระองค์ ด้วยสีหน้าครุ่นคิดไม่สบายใจ
ส่วนชารีฟหลับตา มือแตะอยู่ที่แหวนเปียรุส อีกมือที่วางบนหน้าอก สุไบดาเข้ามา หันไปบอกนางกำนัลว่าไม่ต้องตาม สุไบดาจ้องมองชารีฟเขม็ง
ภาพของมิเชลล์ แวบเข้ามาในความคิด สุไบดาสายหน้าไม่ยอมให้มิเชลล์แต่งกับลูกชายแน่ๆ บอกตัวเองในใจ
“เมียเอกของชารีฟจะเป็นหล่อนไปไม่ได้ เป็นอันขาด แม่สาวต่างชาติ คนเรร่อนพเนจรอย่างหล่อนหรือ จะมาเป็นคุณหญิงของราชองค์รักษ์ หรืออนาคตรัฐมนตรีของฮิลฟารา”
วันรุ่งขึ้น สุไบดานั่งสงบนิ่งอยู่ในห้องโถง รอคอยลูกชายกลับจากโรงพยาบาล แต่สีหน้าเป็นกังวลมาก
นิชาเข้ามา “รถออกจากโรงพยาบาลแล้วเพคะ”
สุไบดาพยักหน้า “น่าจะเป็นวันแห่งความยินดี แต่เรากังวลเหลือเกินนิชา”
“เรื่อง...”
“ผู้หญิงคนนั้นสวยเหลือเกินนิชา สวยจนเรากลัว”
“เพคะ”
“เรากลัวใจลูกชาย เห็นทีจะไม่ยอมแม้แต่จะมีเมียคนที่ 2 อย่าว่าแต่คนที่สามคนที่สี่เลย”
“บางทีอาจจะมีแม่อีกหลายคนที่อยากให้ลูกชายมีเมียคนเดียวเพคะ”
“ถ้าลูกชายเราเป็นอย่างเราจะยิ่งกังวล เพราะไม่มีวันที่เมียคนเดียวของเขาจะเป็นชาวฮิลฟารา เขาไม่มีวันยอม เขาจะต้องยืนยันว่า เป็นผู้หญิงต่างชาติคนนั้น”
“เพคะ”
“ซึ่งเราจะไม่ยอมเหมือนกัน จำไว้นะ นิชา เราจะไม่ยอมอย่างเด็ดขาด”
สุไบดาย้ำคำหนักแน่น
ภายในท้องพระโรงใหญ่วันนี้ มีพิธีประกาศเลื่อนตำแหน่งให้ความดีความชอบให้กับทหารหาญ ในงานมีแต่เฉพาะผู้ชาย ไม่มีผู้หญิงเลยสักคน
นอกจากนี้ยังมีทูตานุฑูตจากมิตรประเทศหลายประเทศมาร่วมยินดีอีกด้วย
องค์อาหเม็ดประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์สีทอง ชารีฟ การิม เจ้าชายอับดุลลาห์ นายพลมุสกัต ทหารชั้นผู้ใหญ่ และข้าราชบริพารคนอื่นๆ ยืนกันพร้อมหน้า ในที่ของตัวเอง
พิธีการเริ่มแล้ว และเสนาบดีวังยืนอ่านประกาศเลื่อนยศมาเรื่อยๆ
“เจ้าชายอับดุลลาห์ เจ้าชายแห่งอิชฟาอัค”
เจ้าชายอับดุลลาห์เดินออกมาข้างหน้า
เสนาบดีพูดต่อ “มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาท ผู้สืบทอด บัลลังก์ของฮิลฟาราต่อจากองค์อาหเม็ดที่ 3”
อับดุลลาห์เดินเข้าไปและก้มลงรับตราตั้ง
“มีพระบรมราชโองการให้เลื่อนยศนายพลมุสกัตตำแหน่งจอมพล ผู้บังคับบัญชาหารทหารสูงสุดแห่งกองทัพบก กองทัพเรือและกองทัพอากาศของฮิลฟารา”
นายพลมุสกัตเดินออกมาเดินตัวตรงไปรับสายสะพาย และตราตั้งจากองค์อาหเม็ด เสนาบดีประกาศต่อ
“ราชองครักษ์พันเอกนายแพทย์ชารีฟ อัลฟารัซ ผู้ซึ่งเกือบจะต้องพลีชีพเพื่อนำราชบัลลังก์และความสงบสุขกลับคืนมายังชาวฮิลฟารา”
ชารีฟเดินออกมา ยังมีผ้าคล้องแขน สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสมาก
เสนาบดีประกาศอีก “มีพระบรมราชโองการเลื่อนยศเป็นตำแหน่งนายพลตรี พร้อมกับให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ”
ชารีฟเดินมาอย่างองอาจ สีหน้าของผู้คน ต่างชื่นชมยินดี ยิ้มแย้ม มากบ้างน้อยบ้างตามความสนิทสนม
มือข้างหนึ่งของชารีฟ ยื่นมาแตะแหวนนิดหนึ่ง สายตา...บ่งบอกว่าคิดถึงเจ้าของแหวนมากเหลือเกิน
ชารีฟเดินไปถึงองค์อาหเม็ด รับสายสะพาย รับตราตั้ง แล้วโค้งคำนับต่ำ
องค์อาหเม็ดเข้ามาสวมกอด มองหน้า สายตารักใคร่ยินดีมาก ชารีฟยิ้มรับ
“ประกาศให้รู้ทั่วกันว่า นายพลตรี นายแพทย์ชารีฟ อัลฟารัซ คือวีระบุรุษคนแรกของฮิลฟารา...” พลางหันมาทางชารีฟ ผายมือยกย่อง “ฮีโร่คนแรกของบัลลังก์เรา”
ทุกคนตบมือโห่ร้องยินดีดังสนั่นท้องพระโรง
อ่านต่อหน้า 2
ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 11 (ต่อ)
ที่ท้องพระโรง ตอนค่ำวันเดียวกัน มีงานสโมสรสันนิบาต ซึ่งนอกจากทหารหาญ ที่ได้รับการประดับยศ เลื่อนขั้นแล้ว ยังมีผู้หญิงมาร่วมงานนี้ด้วย เป็นคุณหญิงท่านฑูต คุณหญิงภริยานายพล และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทุกคนต่างกำลังถือแก้วค็อกเทล แก้วเครื่องดื่มตามอัธยาศัย
บริกรเดินเสิร์ฟเครื่องดื่ม บรรยากาศคล้ายๆ ตามโรงแรมเวลามีงานใหญ่ ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส คุยกันไปมา
พวกแขกยืนกันระเกะระกะตามมุม ยินเสียงสนทนากันอย่างชื่นมื่น บ้างหัวเราะหัวใคร่รื่นเริง จนกระทั่งมีเสียงเคลื่อนไหวที่ประตูทางเข้า แขกทุกคนหันไป แล้วหยุดคุย แหวกทางเดินเป็นช่อง องค์อาหเม็ดเดินเข้ามา งามสง่ามาก พระชายาเดินตามสิริโฉมงดงามสมกัน
บรรยากาศของงานเลี้ยงดำเนินไปอย่างราบรื่น และชื่นมื่น
ชารีฟกับนายพลมุสกัตยืนอยู่ด้วยกัน มีคนมาแสดงความยินดีมากมาย ทั้งสองตอบขอบคุณ พูดคุยบ้างอีกนิดหน่อย
คนสุดท้ายเดินไป ชารีฟหันมามองนายพลมุสกัต
บรรดาสนมหลายคนเดินตามกันมาเป็นทิวแถว องค์อาหเม็ดหยุดทักทาย เมื่อทักใครคนนั้นก็ทำความเคารพ พระชายาทักทายพวกนางสนม ท่ามกลางบรรยากาศเลิศหรู ดูอลังการมากๆ
“คนมากมายเหลือเกิน” ชารีฟว่า
“ทุกคนยินดีกับรัฐมนตรีต่างประเทศทั้งนั้น” นายพลบอกยิ้มๆ
ชารีฟชะเง้อชะแง้มองไปดูผู้คนมากมายนั้น “อยากให้คนทั้งงานนี้หายไปให้หมดทุกคน...”
นายพลมุสกัตยิ้มรู้ใจ พูดแซว “เหลือแค่คนเดียว”
“เหลือคนเดียวได้ยังไง...เอาฉันไปทิ้งไว้ที่ไหน” จู่ๆ เสียงคุ้นหูดังขึ้นในห้วงคิด
ชารีฟคิดถึงมิเชลล์ จนคิดฝันไปว่า ผู้คนในงานเลี้ยงแหวกทางเป็นช่อง เผยให้เห็นร่างมิเชลล์ในอาภรณ์ สวยงามล้ำเลิศ เดินเข้ามาช้าๆ อย่างสง่า
ชารีฟตะลึง
มิเชลล์เดินเข้ามาจนถึงตัวแล้ว สองคนมองตากัน ร่างกายเคลื่อนเข้าหากัน
ชารีฟจับมือมิเชลล์ทั้งสองมือ “มิเชลล์ ในที่สุดฉันก็ได้พบเธอ”
“ค่ะ ในที่สุดฉันก็ได้พบท่าน ชารีฟ”
แขกทุกคนหายไปหมด เหลือเขากับเธอสองคนเท่านั้น แล้วทั้งสองคนก็เริ่มเต้นรำ โลดแล่นไปอย่างสวยงามเหมือนภาพฝัน ราวกับเทวดาและนางฟ้าล่องลอยอยู่ในวิมาน
สองคนเต้นรำมาจนถึงสุดท้าย หยุดนิ่ง ชารีฟก้มลง มิเชลล์เงยหน้า ปากต่อปากใกล้จะแตะกัน
“ชารีฟ...ชารีฟ” เสียงนายพลเรียก
ตามด้วยเสียงเจ้าหญิงพระชายา“ท่านรัฐมนตรีชารีฟ”
ชารีฟรู้สึกตัว ตื่นจากฝัน สะดุ้งนิดๆ แล้วโค้งต่ำ
“ฉันรู้นะว่าท่านคิดถึงใครอยู่” พระชายากระซิบเบาๆ
“ขอพระราชทานอภัย”
“ไม่อภัยหรอก ในฐานะผู้หญิงฉันโกรธนะ ยืนตรงหน้าฉันแต่ใจคิดถึงผู้หญิงคนอื่น”
ชารีฟออกอาการเขินมากๆ
“ว่างๆ...ก็ไปเยี่ยมฉันบ้างสิ” สายตาบ่งบอกความนัย “เราจะได้คุยกันถึงวัน - เวลาที่ทุกข์ยากอยู่ด้วยกันกลางทะเลทราย”
ชารีฟสบสายตารับรู้
“พะย่ะค่ะ ขอพระราชทานอนุญาตไปเฝ้า...ในวันพรุ่งนี้เลยพระเจ้าค่ะ”
เช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าหญิงพระชายาประทับอยู่ในวัง สีพระพักตร์เจ้าหญิง ยิ้มละไม เมื่อนึกถึงคำพูดชารีฟเมื่อคืนนี้
“ขอพระราชทานอนุญาตไปเฝ้า ในวันพรุ่งนี้เลยพระเจ้าค่ะ”
พระชายาหยิบกระดิ่งสั่นเบาๆ ข้าหลวงที่กำลังทำธุระบางอย่างตรงนั้นหันมามอง
“ทำงานของเจ้าไป เราเรียกฟาราห์” พระชายาบอก
ข้าหลวงหันกลับ จะออกไป ฟาราห์เดินเข้ามา ข้าหลวงทำหน้าเป็นเชิงบอกว่าพระชายาเรียกหา
“รู้แล้ว” ฟาราห์รีบเข้าไปเฝ้า “ทรงเรียกหาหม่อมฉันหรือเพคะ”
“มีเรื่องจะให้ทำ”
“เรื่องลึกลับเหรอเพคะ” ฟาราห์เล่นลิ้นตามประสา
“ทำไมต้องเป็นเรื่องลึกลับ”
“เอ๊า...ก็ถ้าไม่เป็นเรื่องลึกลับ เหตุใดจึงทำพระพักตร์ลึกลับอย่างนั้นเพคะ”
“ฟาราห์ เราเบื่อเจ้า” พระชายาค้อน
ฟาราห์ร้อง “อ้าว”
“เรียกมาจะสั่งว่า ทำยังไงก็ได้ให้มิเชลล์” แต่ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นมิเชลล์เดินมาแต่ไกล
“มิเชลล์ทำไมหรือเพคะ” ฟาราห์กระซิบ
พระชายาตอบเร็ว..เสียงเบาๆ “ไปที่ศาลาพักร้อนบ่ายวันนี้...ให้ไปให้ได้”
“มิน่า ทำพระพักตร์ลึกลับอย่างนี้นี่เอง”
พระชายาทำตาดุฟาราห์ ฟาราห์ยิ้มชอบใจ ร้องเรียก “มิเชลล์”
มิเชลล์ทำความเคารพ “พระชายาเพคะ บ่ายวันนี้หม่อมฉันขออนุญาตไปตลาดเพคะ”
“ไปสิ...ไปตลาด ดีแล้ว ว่าแต่จะไปทำไม”
มิเชลล์เหวอ หันไปสบตาฟาราห์ พระชายาขึงตากับฟาราห์
“นั่นซิ จะไปทำไมหรือมาดมัวแซลล์”
“มีข้าหลวงที่ออกเวรสองสามคนจะไปกัน”
พระชายาไม่รู้จะทำยังไง
ฟาราห์บอก “ร้อนจะตาย”
“นั่นซิ... ร้อนจะตาย” พระชายาผสมโรง
“ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันทนได้ อยากไปดูของสวยๆ เพคะ”
มิเชลล์ทำความเคารพแล้วไปอย่างเร็ว พระชายาหน้าเอ๋อ
“ทรงคิดซิเพคะ เร็วๆ เพคะ”
“คิดอย่างเดียวยังคิดไม่ออก ยังจะให้คิดเร็วๆ อีก” พระชายาบ่น
มิเชลล์เดินหน้าตายิ้มบางๆ มาตามทางบริเวณโถงของวัง
“รู้เรื่องมิเชลล์มั้ย ซาร่า” เสียงหัวหน้านางกำนัลเอ่ยขึ้น
มิเชลล์หยุดกึก หลบ..ฟัง
“เจ้าหญิงสุไบดาเด็จแม่ของท่านราชองค์รักษ์ เอ๊ย ไม่ใช่ ท่านรัฐมนตรีต่างประเทศ วีรบุรุษของฮิลฟารา”
“ทำไมหรือคะคุณ” นางกำนัลซาร่าถาม
นางกำนัลอีก 2-3 คน เดินผ่าน เข้ามาสมทบฟัง
หัวหน้านางกำนัลกระซิบกระซาบ “จะเป็นตัวขัดขวางอย่างแน่นอนกับความรักที่เกิดขึ้นกลางทะเลทราย”
นางกำนัล 2 ว่า “โธ่ คุณก็ จะเล่าก็เล่าซะเลยค่ะ”
นางกำนัล 3 บอก “นั่นสิ...ฉันจะรีบไปเปลี่ยนเวร
“เจ้าหญิงพระมารดา พวกเธอก็รู้อยู่แล้วว่าท่านทรงเคร่งครัดยึดมั่นประเพณีแค่ไหน มีรึจะยอมมีลูกสะไภ้เป็นคนต่างชาติ”
มิเชลล์ เครียดขึ้นมา
“หรือถ้าทรงยอม ก็ไม่ใช่เมียเอก เมีย 2.. 3.. 4.. ล่ะพอได้”
เสียงนางกำนัลทั้งผอง ล้วนบ่นด้วยความสงสารมิเชลล์ บ้างว่าจะรับได้หรือ อีกคนปรารภ นางเป็นฝรั่งเขามีผัวเมียคนเดียวใช่มั้ย
ทั้งหมดเดินไป มิเชลล์ยืนนิ่งงัน
มิเชลล์เดินมาอีกมุมหนึ่ง หน้าตาหมองจัด ทั้งครุ่นคิด ทั้งวิตก
ฟาราห์เดินปรี่เข้ามาหา ท่าทางรีบร้อน
“มิเชลล์”
มิเชลล์ใจลอยอยู่ สะดุ้งสุดตัว หันไปหา “คะ”
“เป็นอะไร ทำไมตกใจอย่างนี้”
“กำลังคิดอะไรเพลินค่ะ มีอะไรค่ะ”
“พระชายารับสั่งให้ไปคอยในสวน”
“ฉันกลับไปเฝ้าก็ได้ค่ะ เดี๋ยวจะช้า พวกนั้นคอยอยู่”
“เสด็จขึ้นห้องไปแล้ว สั่งฉันมาบอกคุณว่าอย่าเพิ่งไปตลาดเลย”
“เหรอค่ะ งั้นฉันไปบอกพวกนั้นก่อน”
“เดี๋ยวฉันไปบอกให้ ไปเฝ้าพระชายาเถอะ ที่ศาลาพักร้อนนะ” ฟาราห์กำชับ
ในเวลาต่อมา มิเชลล์ยืนพิงเสาศาลาพักร้อนในอุทยานสวย ทอดสายตามองไปไกล ทั้งอุทยานแตกแต่งเป็นสวนสวยแบบอาหรับ
“มิเชลล์ไปคอยฉันในสวน ฉันมีธุระสำคัญจะพูดด้วย”
สีหน้ามิเชลล์ครุ่นคิดเมื่อนึกถึงรับสั่งของพระชายาขึ้นมา ท่าทีเหมือนวิตกนิดๆ
ด้านชารีฟอยู่ที่วังพระมารดา ก้าวเดินออกมาด้วยท่าทีรีบร้อน จะออกไปข้างนอก
“ชารีฟ จะไปไหนลูก” สุไบดาถามขึ้น
“ลูกจะไปเฝ้าพระชายาพระเจ้าค่ะ เสด็จแม่”
“มีธุระสำคัญรึ ท่าทางรีบร้อน”
ชารีฟจับมือแม่ ขึ้นมาจูบเบาๆ “พระเจ้าค่ะ สำคัญต่อชีวิตของลูกมาก ทูลลา”
สุไบดาเรียกไว้อีก “เดี๋ยว ชารีฟ”
ชารีฟหันมา ยืนตรง ทำท่าตะเบ๊ะ แบบล้อๆ แล้วไป
เจ้าหญิงสุไบดาหันมาทางนางข้าหวง “นิชา”
“เพคะ”
“ฉันเห็นจะต้องมีเรื่องกับลูกชายแล้วมั้ง”
มิเชลล์ยืนรออยู่ในศาลาแล้ว เสียงคุยกันของนางกำนัลดังขึ้นมาจากอีกมุม
นางกำนัล 1 เอ่ยขึ้น “จริงหรือคะนี่ โถ สงสารมิเชลล์นะคะ”
หัวหน้านางกำนัลตอบ “ทำไมจะไม่จริง เจ้าหญิงสุไบดาท่านแม่ของท่านชารีฟ ใครๆ ก็รู้ ว่ายึดมั่นประเพณีแค่ไหน จะยอมมีลูกสะใภ้เป็นคนต่างชาติหรือ”
มิเชลล์ เพิ่งได้ยินตกใจเล็กๆ
“ถ้ายอม ก็ไม่ใช่เมียเอก เมียคนที่2...3...4 น่ะพอได้”
หัวหน้านางกำนัลบอกอีก
นางกำนัลไปหมดแล้ว แต่เสียงนั้นยังก้องอยู่ในหูมิเชลล์ โดยไม่รู้ว่าเท้าชารีฟเหยียบพื้นศาลาแล้ว
มิเชลล์ปาดน้ำตาหยดเล็กๆ ที่แก้ม หันกลับมาแล้วตะลึง เมื่อพบว่าชารีฟยืนมองจ้องมา ด้วยสายตาเปี่ยมรักเต็มหัวใจ
สองคนตะลึงแลจ้องกันอยู่สักครู่ ก็โผเข้าหากันเหมือนมีแม่เหล็กดึงดูด ชารีฟกอดมิเชลล์แนบแน่น พรมจูบไปทั่วดวงหน้า มิเชลล์โอบแขนรัดรอบคอชารีฟ
“คิดถึงเธอจนแทบจะขาดใจ ฉันเห็นเธอแต่ในฝัน...ฝันแล้ว ฝันเล่า กว่าจะถึงวันนี้ คิดถึงฉันบ้างไหมมิเชลล์”
“ฉันคิดถึงท่าน...แต่คงไม่มีใครยอมให้เกิดขึ้นอีกหรอกค่ะ”
“งั้นหรือ...เป็นยังไง”
“คิดถึงว่า ท่านน่าจะถูกตามล่า เราหนีกันไปกลางทะเลทราย ไปอยู่ด้วยกันที่นั่น”
ชารีฟหัวเราะชอบใจ “ฮันนีมูนกลางทะเลทรายเอามั้ย ดีสิ...” พลางส่งสายตายั่วเย้า “ลูกกำเนิดกลางทะเลทราย”
มิเชลล์ค้อนนิดๆ “ท่าน...”
“อ้าว ฉันทำได้จริงๆ นะ ก็...เว้นซัก 3 วัน แล้วก็...” ชารีฟสายตาพราวขณะพูดคำต่อมา “เป็นลูกชายแน่นอน”
มิเชลล์หยิกเบาๆ ทั้งๆ ที่มองหน้า
“เพราะว่าพ่อเก็บความรักอัดอยู่ในอก...ตั้ง 3 วัน... โห...มันนานมาก” ว่าพลางชารีฟทำเป็นนิ้วนับ “หนึ่ง..กว่าจะสอง..โอ้ย เมื่อไหร่จะครบ 3 วันเสียทีไม่ไหวแล้ว”
มิเชลล์หยิกแรงขึ้น...แรงขึ้นตลอดเวลา
ชารีฟร้อง “โอ๊ย...”
“ท่าน...พูดจาไม่อายใคร”
ชารีฟแก้ตัว แต่ถูกหยิกอีก “ไม่ใช่...โอ๊ย...เจ็บ”
มิเชลล์ยิ้มเขินๆ
ชารีฟทำท่าล้อ “เธออยากให้เป็นอย่างนั้นเหมือนกันใช่มั้ย หยุด 3 วัน แล้วเราจะมีลูกชายคนแรก และคนต่อไปซัก 2 คน เป็นผู้หญิง 2 คน คนสุดท้องอีก 1 คน สมคำทำนายว่าเธอจะให้ลูกกับฉัน 6 คน”
“แต่ท่านจะมีลูกทั้งหมดกี่คนคะ”
“กี่คน...ก็...หกคนน่ะสิ”
“ท่านมีภรรยา 4 คน คงต้องมีลูกมากว่า 6”
“ใครบอกเธอ”
“คนพูดกันค่ะ”
“พูดว่าอะไร”
“พูดกันว่า...ท่านจำเป็นต้องมีผู้หญิงเผ่าพันธุ์เดียวกันเป็นภรรยา พอท่านมีตำแหน่งใหญ่ขึ้น ท่านก็ต้องมีภรรยาให้ครบ 4 คน ปลูกตึกทาสีเหมือนกันอีก 3 หลัง”
ชารีฟฟังแล้วหัวเราะชอบอกชอบใจ “ไม่อยากเป็นเมียหลวงนั่งว่าราชการบนตึกใหญ่หรือ”
“ภรรยาหลวงไม่ควรเป็นผู้หญิงต่างชาติ” น้ำเสียงมิเชลล์ที่พูดเรียบเฉย
“ใครบอกเธอ” ชารีฟถามย้ำ
“เขาพูดกันค่ะ ว่าท่านแม่ของท่าน จะหาภรรยาเอกให้ท่าน”
อ่านต่อหน้า 3
ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 11 (ต่อ)
ชารีฟฟังยิ้มๆ แล้วอำต่อ
“เธอจะทำยังไง...ไม่ยอมแล้วจะทำอย่างไง จะสู้กับแม่ฉันยังไง”
“ใครว่าฉันจะสู้ ฉันจะกลับปารีส ไปตั้งโรงเรียนเล็กๆ ในชนบท”
ชารีฟชักใจไม่ค่อยดีแล้ว เพราะมิเชลล์พูดเสียงจริงจังเหลือเกิน
“มิเชลล์...พูดอะไรกันนี่”
“ฉันตัดสินใจผิดที่ไม่กลับไปปารีส เพราะฉันรักท่านตั้งแต่เราอยู่ด้วยกันกลางทะเลทราย ฉันมีความสุขที่สุด แต่ฉันยังไม่คุ้นกับประเพณีหลายบ้าน แชร์สามีคนเดียวกัน ถ้าท่านจำเป็นต้องทำอย่างนั้น ส่งฉันกลับปารีสเถิดฉันยินดี เพราะ...”
ชารีฟจ้องตา “เพราะอะไร”
“เพราะ...ถึงยังไงฉันก็รู้แล้วว่ารักท่านเป็นยังไง มีความสุขแค่ไหน ถึงจะเป็นความสุขระยะสั้นๆ ของชีวิตฉันก็ขอบคุณท่านมากที่ท่านนำความสุขนั้นมาให้”
“มิเชลล์...เธอพูดอะไรไปเยอะแยะอย่างนั้นทำไม”
“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่วางกฎเกณฑ์กับสามี ฉันเพียงจะบอกท่านไว้”
“เธอเปลี่ยนศาสนาแล้วนะ นับถือพระเจ้าของฉันแล้วนะ”
“ค่ะ ฉันเปลี่ยนแล้วและไม่เสียใจเลยที่ตัดสินใจเปลี่ยน เพราะฉันอยู่ที่นี่ได้อย่างสงบสุข รู้สึกตัวกลมกลืนกับคนที่นี่ ฉันนับถือพระอัลเลาะห์เต็มหัวใจ แต่...”
“แต่ทำไม...”
“เรื่องภรรยา 4 คน ฉันยังยอมรับไม่ได้ ประเพณีของฉันฝังหัวฉันมานานมากกว่า”
ชารีฟมีท่าทีหงุดหงิด “เรื่องเมีย 4 คนเนี่ย พูดแล้วพูดอีกใครบอกเธอล่ะว่าฉันจะมีเมีย 4 คน”
“ท่านจะมี...ฉันรู้”
“ไม่มี...ฉันสัญญา”
“ฉันไม่เชื่อค่ะ”
ครู่ต่อมาแลเห็นชารีฟเดินพรวดๆ ออกมาจากศาลา สีหน้าบึ้งตึง ท่าทีฉุนเฉียวสุดขีด ก้าวเดินไปอย่างรวดเร็วมิเชลล์วิ่งตามมาด้านหลัง เรียก
“ท่าน...ท่านคะ”
ชารีฟเดินจ้ำอ้าวต่อโดยไม่ยอมฟังเสียง
มิเชลล์วิ่งตามมาติดๆ กัน แล้ววิ่งผ่านไป หันหน้ามาขวางชารีฟไว้ ทั้งสองคนสู้ตากันแน่วนิ่ง
“ท่านไม่ควรโกรธฉัน ฉันพูดความจริงตามที่ได้ยินมา”
“ฉันไม่ได้โกรธที่เธอเข้าใจอย่างนั้น ฉันรู้ว่าเธอได้ยินมาจริงๆ”
“ท่านโกรธเรื่องอะไรถ้าอย่างนั้น”
“ฉันโกรธที่เธอไม่เชื่อฉัน”
คราวนี้มิเชลล์นิ่งอึ้ง
“ฉันโกรธที่คำพูดของคนอื่นมีความหมายมากว่าคำพูดฉัน…ฉันโกรธ” อารมณ์ชารีฟขึ้นเป็นริ้วๆ เสียงดังขึ้น “ที่คำพูดของนางกำนัลทำให้เธอเชื่อมากว่าคำพูดฉัน”
“นางกำนัลไม่ได้พูดเอง พวกเขาพูดถึงคำพูดของเจ้าหญิงพระมารดาของท่าน และฉันก็เข้าใจ”
“เข้าใจว่ายังไง”
“เข้าใจว่า…พระองค์เป็นแม่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นคนในราชวงศ์ เป็นชนชั้นปกครอง จะให้คนๆนั้นละเมิดประเพณีย่อมมิบังควร”
คราวนี้ชารีฟนิ่งฟัง แต่หน้าเครียดมาก
“ฉันเข้าใจหัวอกของคนเป็นแม่ค่ะ”
“รึ?...เธอไม่เคยเป็นแม่”
“แม่ของลูก มองทุกสิ่งที่ล้อมรอบตัวลูก แต่ลูกมองจากตัวเอง เห็นไม่เหมือนกันหรอกค่ะ”
ชารีฟสีหน้าเข้มจัด มิเชลล์มองด้วยสายตาวิงวอน
“ฉันเชื่อพระมารดาของท่าน ผิดตรงไหนหรือคะ”
“คอยดูก็แล้วกัน”
ชารีฟเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว มิเชลล์ยืนนิ่งสนิท สายตาเต็มไปด้วยความกังวล
ชารีฟเดินพรวดๆ ออกจากศาลาทันที กิริยาอาการฉุนเฉียวสุดขีด มิเชลล์เดินตาม ชารีฟเดินไปได้สักครู่ หยุด หันกลับไปมองมิเชลล์ สองคนสู้ตากัน ต่างฝ่ายต่างขุ่นมัว
“คอยดูแล้วกัน” ชารีฟย้ำคำเดิม
มิเชลล์ส่ายหน้าเป็นเชิงไม่เชื่ออยู่ดี ชารีฟก้าวเดินไปอย่างรวดเร็ว ในท่าทีอันขุ่นมัว
ไม่นานต่อมา ชารีฟมาอยู่ในบ้านพักประจำตำแหน่ง
เจ้าหญิงสุไบดามารออยู่แล้ว ถามลูกชายขึ้นทันที
“ลูกรักผู้หญิงคนนั้นแค่ไหน”
ชารีฟไม่ตอบ พูดสิ่งที่คาใจอยู่
“ท่านแม่ ลูกถามท่านแม่ว่าท่านแม่บอกใครต่อใครหรือว่าท่านแม่กำลังหาเมียเอกให้ลูก ท่านแม่ไม่ยอมให้มิเชลล์เป็นเมียคนที่ 1 ท่านแม่จะให้ลูกมีเมีย 4 คน ทั้งๆ ที่...”
สุไบดาถามขัดขึ้นทันที
“รักผู้หญิงต่างชาตินั่นแค่ไหน”
“ไม่มีอะไรแยกเราได้ นอกจากความตาย”
“นางรักลูกแค่ไหน”
“เช่นเดียวกัน”
“ก็แล้วจะมีอะไรขัดข้อง ทั้งสองคน...ไม่มีใครแยกลูกทั้งสองคน องค์อาหเม็ดจะจัดงานแต่งงานให้อยู่แล้ว”
“ท่านแม่...ท่านแม่ปล่อยข่าวอย่างนั้นไปใช่หรือไม่” ชารีฟย้อนถามอีก
สุไบดาหน้าตาบึ้งไม่ค่อยพอใจ
“ชารีฟ...ตำแหน่งหน้าที่ของลูกต้องการเมียที่เป็นหญิงเผ่าพันธุ์เดียวกับเรานะ”
“ท่านแม่รับสั่งเช่นนี้หมายถึงอะไร”
“ลูกจะต้องให้ผู้หญิงต่างชาติอยู่ในฐานะที่รองกว่าเมียที่เป็นคนชาติเดียวกัน”
“เป็นไปไม่ได้ท่านแม่”
“คิดถึงหลักความเป็นจริงบ้างซิลูก อย่าว่าแม่นำปัญหามาให้เลย คนจะต้องพูดกันว่าภรรยาของนายพลฯ ท่านรัฐมนตรีต่างประเทศ และรัชทายาทอันดับที่สามของฮิลฟาราเป็นผู้หญิงต่างชาติ นี่ชารีฟ มีลูกสาวผู้ดีอีกหลายคนที่เหมาะสมกับ...” พอสุไบดาเห็นว่าลูกชายไม่สนใจฟัง จึงหยุดพูดทันที
ชารีฟหน้าเสีย หลบสายตาลง อัดอั้นตันใจเป็นที่สุด
สุไบดาตบหลังมือชารีฟที่วางทอดอยู่เบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ผู้หญิงต่างชาติจะต้องเป็นเมียรอง ลูกมีเมียได้ถึง 4 คน เมียคนที่ 1 ควรจะเป็นคนของเราเพื่อจะได้ดูแลสมบัติและรับผิดชอบงานด้านสตรี เมียรัฐมนตรีก็ยอมต้องพบปะกับทูตานุฑูตเป็นธรรมดา แม่จะบอกให้พ่อของลูกจัดการสู่ขอสาวผู้ดี คนไหนก็ได้ที่พ่อเห็นสมควร”
สุไบดาพูดแล้วหันหลังกลับ จะเดินออกไป
ชารีฟเรียกไว้ “ท่านแม่”
สุไบดาหยุดเดิน แล้วค่อยๆ หันมา
“ท่านแม่คอยดูแล้วกัน ถ้าตำแหน่งของลูกมันใหญ่โตนัก จำเป็นต้องหาเมียที่เชิดหน้าชูตาสมเกียรติยศใหญ่โตขนาดนี้ ท่านแม่คอยดู” น้ำเสียงของชารีฟขุ่นเขียวมากแม้จะพยายามระงับแล้ว
สุไบดาฉงน
“ลูกจะทำอะไร ชารีฟ”
“ลูกบอกให้ท่านแม่คอยดูไง” แล้วเป็นฝ่ายเดินหนีไปในทันที
สุไบดาเดินตาม พลางถามเสียงดัง
“ชารีฟ อย่าทำอะไรวู่วาม...แม่เตือนไว้ก่อนนะ”
ภายในที่ประทับส่วนพระองค์ ของกษัตริย์อาหเม็ด ในวันต่อมา
กษัตริย์อาหเม็ดตบโต๊ะดังปัง สีหน้าขึ้งโกรธ เมื่อชารีฟมาบอกความประสงค์
“ไม่ให้ลาออก ไม่ว่าจะตำแหน่งใดๆ ไม่รับฟังอะไรทั้งสิ้น”
“ข้าพระองค์มีปัญหาส่วนตัว ความจริงไม่อยากจะทำเช่นนั้น”
“ชารีฟ หยุดพูด ไม่ว่าเหตุผลอะไรทั้งสิ้นเราไม่ฟัง เราถือว่าเจ้าทรยศ”
ชารีฟตกใจเบิกตากว้าง
“ฮิลฟารากำลังมีภาพพจน์ที่ดีมากในสายตาของต่างประเทศ เรากำลังจะดำเนินนโยบายหลายอย่างกับต่างประเทศทั้งด้านการค้า ทั้งด้านการเมือง เจ้าเพิ่งเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศของเรามาลาออกเพื่ออะไรไม่รู้ เราไม่ยอมรับเป็นอันขาด”
“ได้โปรดเถิดพะย่ะค่ะ ข้าพระองค์คิดว่าข้าพระองค์ถวายความสื่อสัตย์ ความจงรักภักดีและชีวิตจิตใจของข้าพระองค์มาตลอดเวลาขณะนี้ข้าพระองค์จะไม่มีความสุขเลยตลอดชีวิต”
องค์อาหเม็ดเสียงดังสุดขีด โกรธเอามากๆ
“บอกแล้วไงว่าไม่ฟัง ความสุขของเจ้าแลกกับเสถียรภาพของฮิลฟาราได้ไหม”
ชารีฟหน้าหมองจัด ทุกข์เหลือแสน
“เจ้าเลือกความสุขส่วนตัว มากกว่าประโยชน์ของบ้านเมืองงั้นรึ”
ชารีฟยิ่งนิ่ง
อ่านต่อหน้า 4
ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 11 (ต่อ)
ภายในวัง ยังมีทหารยืนยามเป็นหุ่นรักษาวังโดยรอบ
มิเชลล์เดินมาตามทางเร็วรี่ หลังทหารหน้าเซ่อตรงประตูวังปล่อยตัวมาแล้ว มิเชลล์เดินวางท่าสง่างามไม่มีพิรุธ พอจะผ่านเข้าประตูตำหนัก
ทหารยามอีกคนปราดเข้ามากั้น
“เข้าไปไม่ได้”
“ทำไมล่ะ” มิเชลล์ใช้สองมือผลักทหารเต็มแรง จนทหารเซห่างออกไป
จากนั้นมิเชลล์ก็เดินผ่านประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว ทหารโวยวายเสียงดังลั่นอยู่ข้างหลัง พร้อมกับวิ่งไล่จี้ตามมา
มิเชลล์เดินแกมวิ่งอย่างเร็วไปตามทาง แล้วเปลี่ยนเป็นซอยเท้าวิ่งไปอย่างรวดเร็ว เมื่อหันไปเห็นทหารตามมา
มิเชลล์ถูกทหารยามวิ่งไล่ หนีหลบหลีกกันไปมา
ส่วนภายในห้องประทับส่วนพระองค์ กษัตริย์อาหเม็ดชี้ไปที่ประตู
“ออกไปได้แล้ว”
ชารีฟหน้าเสียใจมากกับปัญหาของตัวเอง น้อยใจองค์อาหเม็ดด้วยที่ไม่ฟังอะไรเลย แถมไม่ถามเหตุผลอีกด้วย
“ได้ยินมั้ย ชารีฟ เจ้าออกไปได้แล้ว เราจะลืมให้หมด เหมือนกับเจ้าไม่ได้มาเอ่ยวาจาน่าละอายนั้นกับเรา...จะลาออกทุกตำแหน่ง...เชอะ”
มิเชลล์ยืนแอบฟังอยู่หน้าประตูห้อง สีหน้าแววตาตื่นตกใจมาก
“เสียสติไปแล้วถึงพูดเช่นนั้นออกมาได้” องค์อาหเม็ดพูดต่ออย่างฉุนเฉียว
ชารีฟเศร้าใจ เสียใจ ยืนอัดอั้นอยู่
“เราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีก กลับไปได้แล้ว”
ชารีฟเดินก้มหน้าหลังจากทำความเคารพแล้วออกไป ประตูเปิดออกทั้งสองบานด้วยมือชารีฟ
เห็นมิเชลล์ยืนเด่นอยู่หน้าประตู ชารีฟตะลึง
สองคนจ้องมองกัน เหมือนร่างกายจะดึงดูดเข้าหากัน มิเชลล์เป็นฝ่ายโผเข้าไปหาชารีฟก่อน...เต็มแรงเต็มรัก แต่ชารีฟทำมือห้าม
มิเชลล์หยุดชะงักกึกกลางอากาศ แล้วรู้สึกตัวว่าตัวเองจะมาพูดเรื่องอะไร
“มาดมัวเซลล์ เดอลาโรนีล์ คุณไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกเลย”
“ขอหม่อมฉันพูดสักคำเถิดเพคะ”
“ไม่ต้อง เราพูดคำไหนคำนั้น เราไม่มีวันจะเปลี่ยนใจ”
“ได้โปรดเถอะพะย่ะค่ะ” ชารีฟอ้อนวอนขอร้อง
องค์อาหเม็ดตวาดเสียงดังมาก
“ชารีฟ”
ชารีฟก้มหน้าลง
องค์อาหเม็ดหันมาทางมิเชลล์
“มาดมัวเซลล์ เดอลาโรนีล์ เธอเข้ามาในที่นี้ ผิดธรรมเนียมประเพณีอย่างแรงอยู่แล้ว แต่เราไม่เอาโทษกับเธอ เราถือว่าเธอเป็นชาวต่างชาติ ขอบอกไว้ว่า เธอจะไม่มีวันได้ในสิ่งที่เธอต้องการ เธอไม่มีวันจะเอาความสวยงาม ความฉลาดหลักแหลมของเธอมาแลกกับฮิลฟาราทั้งประเทศเป็นอันขาด เลิกล้มความคิดเสียเถิด เราจะไม่มีวันยอมให้ชารีฟทำอย่างที่เธอปั่นหัวให้เขาทำ”
“หม่อมฉัน...” มิเชลล์ถวายคำนับอย่างต่ำ แล้วตัดสินใจพูดบอกออกไปในสิ่งที่ตั้งใจมาครั้งนี้
“มาทูลลากลับประเทศฝรั่งเศส เพคะ”
สองคนตกใจมาก โดยเฉพาะชารีฟ
“ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็จะไม่อยู่ที่นี่ และหม่อมฉันก็จะไม่แต่งงานกับชาวฮิลฟาราคนใดทั้งสิ้น”
ชารีฟช็อก ยืนค้างไปแล้ว องค์อาหเม็ดถึงกับพูดไม่ออก
“หม่อมฉันจะกลับประเทศฝรั่งเศส เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
องค์อาหเม็ดหรี่ตามอง “ทำไม เธอมีเหตุผลอะไร”
มิเชลล์ปรับน้ำเสียงเป็นปกติเรียบร้อย “หม่อมฉันทนไม่ได้เพคะที่จะอยู่ในฮิลฟารา หม่อมฉันไม่คุ้นเคยขนบธรรมเนียมประเพณีทุกอย่างที่นี่ แต่ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่หม่อมฉันอยู่มาตั้งแต่เด็ก แค่คิดว่าจะต้องอยู่ที่อื่นที่ไม่ใช่ประเทศฝรั่งเศสหม่อมฉันก็ทนไม่ได้แล้วเพคะ หม่อมฉันจึงมาทูลขออนุญาตที่จะกลับไปประเทศฝรั่งเศสเพคะ”
ชารีฟสวนคำทันที “ไม่ได้นะมิเชลล์”
มิเชลล์สีหน้าวูบไหวไปนิดหนึ่ง ความเจ็บปวดฉายแววออกมาชั่วพริบตา แล้วปรับสีหน้าให้เห็นปกติ หันไปทางชารีฟ “ท่านราชองครักษ์ ท่านเป็นเจ้าชีวิตของฉันหรือคะ”
นัยน์ตาชารีฟปวดร้าวมาก พึมพำเสียงแผ่ว
“มิเชลล์”
มิเชลล์มองหน้าชารีฟ แล้วฉับพลันน้ำตาก็คลอขึ้นมาเต็มหน่วยตา
ชารีฟใจหายวับ รู้ดีว่าสาวลูกผสมใจแข็งและเด็ดเดี่ยวมากเพียงใด พยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น
“เธอทำได้ลงคอหรือมิเชลล์”
มิเชลล์ยกแขนปาดน้ำตาอย่างแรง หัวเราะเสียงดังลั่น
“ท่านคะ ฉันไม่ใช่พืชพันธุ์ที่จะโตขึ้นได้ในฮิลฟารา ฉันต้องกลับไปสู่แผ่นดินของฉันนะคะ เหมือนกับที่ท่านต้องอยู่ในแผ่นดินของท่าน เราสองคนเป็นพืชพันธุ์ที่ไม่มีวันจะเติบโตขึ้นมาด้วยกัน ท่านอยู่ในฐานะสูงส่ง ฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอกค่ะ ยังไงฉันก็ต้องไป”
ชารีฟถดตัวถอยหลังออกมา 2-3 ก้าว สีหน้าเจ็บปวดเป็นที่สุด
“หม่อมฉันขออนุญาตด้วยเพคะ และหวังว่าคงจะไม่ขัดข้อง” มิเชลล์ยืดตัวขึ้นนิดหนึ่ง เสียงเข้มแข็งขึ้น “ถึงจะทรงขัดข้อง แต่หม่อมฉันก็มีสิทธิในตัวเองที่จะไปที่ไหนก็ได้ในโลกนี้” พลางหันมาทางชารีฟ “ท่านคะ ไม่มีอะไรที่ฉันจะพูดด้วยความจริงใจได้เท่ากับที่พูดไปแล้ว”
มิเชลล์ซาลามองค์อาหเม็ด แล้วถอยหลังกลับเดินออกไปทันที
ชารีฟยืนเหมือนคนตายแล้วอยู่ตรงนั้น
“ว่าไงชารีฟ ยังจะคิดลาออกจากตำแหน่งทุกตำแหน่งรึเปล่า รวมทั้งตำแหน่งพระญาติ...ตำแหน่งน้องชายร่วมทุกข์ร่วมสุข”
ชารีฟมององค์อาหเม็ดด้วยสายตาเจ็บปวดร้าวรานสุดๆ
“ว่าไงล่ะ ตัดสินใจซะ จะลาออกก็บอกมา”
“ขอพระราชทานอภัยพะย่ะค่ะ”
ชารีฟหันหลังกลับเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
“ชารีฟ...กลับมาก่อน...”
ชารีฟยังเดินจ้ำอ้าวไม่เหลียวหลัง
“เดี๋ยว...นี้” องค์อาหเม็ดตวาดเสียงดังสนั่น
ชารีฟหันมาซาลามอย่างต่ำมาก แล้วออกไปทันทีโดยไม่ฟังเสียง
ด้านมิเชลล์เดินพรวดๆ ไป น้ำตาเต็มตา
ชารีฟเดินตามมา เรียกเสียงดัง “มิเชลล์”
มิเชลล์ยังไม่ยอมหยุด ชารีฟโลดแล่นมาจนถึงตัว อ้าแขนกอดมิเชลล์ไว้เต็มอ้อมแขน มิเชลล์ไม่ยอม ดิ้นรนขัดขืนจะไปให้ได้ แต่ชารีฟไม่ยอมกอดไว้แน่น
“ปล่อยฉันเถิดนะคะ ไม่สมควรนะคะท่าน”
“บอกฉันก่อนว่าเธอจะไม่ไปไหน มิเชลล์”
“ฉันต้องไปค่ะ”
“งั้นฉันก็ไม่ปล่อยเธอ ฉันไม่ปล่อยให้เธอไปไหนได้หรอก”
“ท่านกำลังทำผิดมากนะคะ ท่านรัฐมนตรี”
“ก็ผิดนะสิ ทำไมฉันจะไม่รู้ล่ะว่าผิด”
มิเชลล์หยุดดิ้นรน ยืนนิ่ง
ชารีฟกำลังกอด กอดไปกอดมาอยู่ครู่หนึ่ง กว่าจะรู้สึกว่ากำลังกอดก้อนหินอยู่ จึงหยุดแล้วดูหน้าเขม็ง
มิเชลล์จ้องเข้าไปในดวงตาของชารีฟ สายตามิเชลล์แน่วแน่มั่นคง ชารีฟตระหนักชัด รู้ว่าไม่มีทางเปลี่ยนใจหล่อนได้
ชารีฟครางเบาๆ สายตาปวดร้าว “มิเชลล์”
“ท่านคือนายพลตรีนายแพทย์ชารีฟ อัลฟารัซ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของฮิลฟารา อย่าลืมสิคะ”
ชารีฟนิ่งอึ้ง
“ท่านมีหน้าที่ต่อฮิลฟารา ต่อประชาชนทั้งประเทศ ต่อองค์อาหเม็ด และต่อตัวท่านเอง”
ชารีฟกัดกรามแทบจะแหลกลงไป มิเชลล์หันหลังกลับ
“หน้าที่ของฉันต่อเธอ หน้าที่ของเธอต่อฉันล่ะ มิเชลล์เราเป็นสามีภรรยากันนะ เราไม่มีหน้าที่ต่อกันหรือ”
มิเชลล์นิ่งอยู่อึด สีหน้าชอกช้ำลึกๆ
“ว่าไงมิเชลล์ หน้าที่ของเราทั้งสองที่มีต่อกัน เธอเอามันไปทิ้งเสียที่ไหน”
มิเชลล์เปลี่ยนสีหน้าแววตาเป็นมิเชลล์คนเดิม อ่อนโยน นุ่มนวลภายนอกแม้ภายในจะน้ำตาตก
“ชารีฟคะ ฉันจะไม่มีวันลืมเวลาที่เราร่อนเร่อยู่ในทะเลทราย อ้างว้างมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากทราย นอกจากฟ้า ทุกวันมองเห็นแต่ฟ้าจรดทราย” นัยน์ตามิเชลล์จดจำลึกถึงวันเวลาที่แสนหวาน มีความสุข ระบายยิ้มบางๆ กระจายทั่วใบหน้า “เราสองคนเป็นอิสระ ฉันไม่ใช่เด็กกำพร้าที่สกุลเดอลาโรนีล์ที่เก่าแก่ มีเกียรติ ไม่พึงปรารถนา เติบโตมาอย่างไร้ญาติขาดมิตรกับแม่ชีในคอนแวนต์ และคุณก็ไม่ใช่บุรุษที่ทรงเกียรติของประเทศนี้ เป็นนายทหาร เป็นนายแพทย์ เป็นรัฐมนตรี และยังสืบสายโลหิตจากราชวงศ์”
ถึงตรงนี้มิเชลล์ยิ้มออกมากขึ้นทั้งๆ ที่น้ำตาเต็มตา
“เวลานั้นๆ ทุกอย่างรอบตัวเป็นไปตามกฎธรรมชาติไม่เหมือนเวลานี้ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎสังคม เวลานี้ วันนี้ และต่อๆ ไป”
ชารีฟฟังอย่างใจหาย รู้ดีว่าต้องจบอย่างไร
“เวลานั้นคุณปกป้องคุ้มครองรักษาชีวิตของฉัน ฉันเชื่อฟังคุณ เพื่อให้เรารอดชีวิต...ทั้งสองคน ไม่ใช่คนเดียว”
“มิเชลล์...หยุดพูดเถอะ”
“คุณกับฉันมีหน้าที่ต่อกัน แต่เวลานี้อย่างที่ฉันบอกนะคะชารีฟ คุณมีหน้าที่ต่อ...สิ่งอื่นๆ”
“มิเชลล์”
“ส่วนฉัน...ฉันมีหน้าที่ต่อคุณ” มิเชลล์แน่วแน่ มั่นคง จ้องหน้าชารีฟตลอด “เพื่อให้คุณทำหน้าที่ต่อประเทศของคุณให้สมบูรณ์ที่สุด”
สองคนมองหน้ากัน ความรัก ความอาลัยอาวรณ์ เต็มหัวใจสองดวง
มารู้ตัวอีกที ก็ตกอยู่ในอ้อมกอดซึ่งกันและกันไปแล้ว
โปรดอ่านต่อ ตอนที่ 12 อวสาน พรุ่งนี้