ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 9
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ค่ำคืนนั้นชารีฟจึงรีบมาแจ้งข่าวการิม และกำลังเคาะประตูห้องการิมเบาๆ สักครู่การิมเปิดประตูออกมา ชารีฟบอกทันที
“ท่าน ศาสตราจารย์จะออกเดินทางวันพรุ่งนี้”
การิมตกใจมาก
“ทำไมล่ะ...ทำไม เปลี่ยนกะทันหันอย่างนี้”
“ข้าคงจะรู้ล่ะนะ” เสียงชารีฟประชดอยู่ในที
“ท่านทัดทานรึเปล่า” การิมถามอย่างลืมตัว
ชารีฟเหล่การิมเอามากๆ ว่า ถามไม่สร้างสรรค์อีกแล้ว
“ขอโทษเถอะท่าน”
“แต่ข้าก็ทำทั้งๆ ที่ไม่ควรทำ” ชารีฟบอก
“พรุ่งนี้...พรุ่งนี้” การิมกระวนกระวายไปหมด “ทำยังไงดี”
“ไม่เห็นต้องคิด ไป” น้ำเสียงชารีฟบอกเป็นคำสั่ง “เตรียมตัวไป เดี๋ยวนี้”
กลางดึก สองคนลัดเลาะไปตามทางมืดและเปลี่ยว อย่างระมัดระวัง เป้าหมายคือโรงม้าเบื้องหน้า
การิมชี้ “โรงม้าอยู่ทางโน้น”
ไม่นานนักสองคนพาม้าออกมา ระวังการใช้เสียงให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด
“สายของเราอยู่ที่ร้านขนมปังในเมือง” การิมบอก
สองคนขี่ม้าไปอย่างรวดเร็วบนเส้นทางที่ทอดยาวอยู่ในความมืดเบื้องหน้า
ร้านขายขนมปังแห่งนั้นตกอยู่ในความมืด สภาพเป็นตึกดินเก่าๆ เพราะตั้งอยู่ในย่านคนจน ชารีฟและการิมค่อยๆ ยื่นหน้าออกมาจากมุมตึกนั้น มองไปรอบๆ
“ทำอย่างไรดีล่ะท่าน เขาคงหลับกันหมดแล้ว”
“ก็ต้องปลุก จะเรียกยังไงไม่ให้คนแถวนี้ตื่นกันหมด” ชารีฟหารือ
ครู่หนึ่งสองคนเมียงมองอยู่ที่บริเวณหน้าร้าน
การิมเงื้อมือจะเคาะประตู
“ลองแล้วกันนะ ข้าพเจ้าจะเคาะเบาๆก่อน”
“ไม่การิม ลองหากริ่งดีกว่า เรารู้รหัสอยู่แล้วนี่ กดยาวสองครั้งสั้นสามครั้ง”
ว่าพลางชารีฟไล่มือสำรวจไปตามซอกประตู
ในที่สุดชารีฟก็หาเจอ แล้วรีบกดทันที เสียงกริ่งแหวกความเงียบสงัดดังหวานใส ยาวสองครั้ง สั้นสามครั้ง แต่เงียบไม่มีเสียงตอบรับใดๆ สองคนหน้าไม่ดีแล้ว
ชารีฟหาหนทางอื่นดู สอดตามองไปรอบๆ ว่าจะมีทางเข้าหรือไม่
“การิมลองอีกที”
การิมเงื้อมือจะกดกริ่ง แต่แล้วต้องสะดุ้ง เพราะประตูเปิดออกมาทันที
พร้อมกับที่เจ้าของร้านรูปร่างอ้วนท้วม อายุราว 40 ปี โผล่หน้าออกมา มองกราดหน้าบึ้งตึง แม้ที่จริงรู้แล้วจากรหัสกระดิ่ง
“มาหาใครดึกดื่นป่านนี้”
“มาหาเจ้าของร้านขายขนมปัง”
เจ้าของโวยลั่น “โอ๊ย..จะมาซื้ออะไรป่านนี้..ไม่มีขายหรอก” แล้วจะปิดประตูทันที
ชารีฟจ้องอยู่ยันประตูไว้ นัยน์ตาเข้มมองเจ้าของร้าน
“มีสิ นี่ร้านขายขนมปังไม่ใช่หรือ”
“หมด ไม่มีแล้ว ขายหมดแล้ว มีแต่ขนมปังขึ้นราจะเอาหรือเปล่าล่ะ” เจ้าของร้านทำเสียงสะบัดๆ ใส่ แบบไม่สนใจ
“ถึงจะเป็นขนมปังขึ้นราเขียวเป็นจ้ำๆ ปิ้งก็ไม่สุก กินแทบไม่ลง แต่เราก็จะซื้อ”
เจ้าของร้านบอกเสียงดัง “เข้ามาเร็ว”
เจ้าของร้านเดินนำมาอย่างรวดเร็ว ผ่านหน้าร้านที่ขายขนมปัง เข้าไปยังห้องเล็กๆ หลังร้าน
“มีอะไรหรือท่าน”
“ท่าน ศาสตราจารย์จะออกเดินทางมะรืนนี้” ชารีฟบอก
เจ้าของร้านร้องลั่น “ห๊ะ..มะรืนนี้ ไม่ใช่อีกสิบห้าวันหรือ ตายแล้วตายแน่ๆ จะทำอะไรทันล่ะ”
เจ้าของร้านเครียดมาก “กองคาราวานกว่าจะเดินทางถึงกิโลเมตร 48 ก็ใช้เวลาอย่างน้อย 3 วันไม่มีทางทันวันมะรืนนี้หรอก”
ชารีฟและการิม มีสีหน้าวิตกกังวลมากขึ้น
เจ้าของร้านบ่นต่อ “เปลี่ยนแปลงเวลากระทันหันอย่างนี้ได้อย่างไร ไม่ใช่ทำงานอยู่คนเดียวนี่”
“ท่านต้องทำอะไร” ชารีฟถาม
“ข้าพเจ้าต้องจัดกองคาราวานไปที่กิโลเมตร 48 พอเปลี่ยนตัวแล้ว ข้าพเจ้ารับศาสตราจารย์และนำไปมอบให้อับดุลลาที่โอเอซีสบาฮารี”
ทั้งชารีฟและการิมมองหน้ากัน
“ท่านมีเครื่องส่งวิทยุใช่มั้ย” ชารีฟถามอีก
“มี” เจ้าของร้านบอก
สองคนดีใจขยับตัวพร้อมจะโลดแล่น ชารีฟถามทันที "อยู่ไหน"
เจ้าของร้านบอกขึ้นอีกว่า “มี แต่มันเสีย ใช้ไม่ได้”
สองคนตัวอ่อนยวบลง มองหน้ากัน
“ใช้ไม่ได้เลยหรือ” ชารีฟถาม
ภายในห้องทรงสำราญของกษัตริย์โอมาน เวลาเดียวกัน องค์โอมานกำลังสำราญสุดๆ กอด...จูบ ดื่มเหล้าที่นางกำนัลสาวสวย ป้อนให้ สักครู่ซาอิ๊บเข้ามา
“มาแล้วหรือ ซาอิ๊บ เรียกตั้งนานทำไมเพิ่งมา”
ซาอิ๊บก้มหัวคำนับไม่ตอบอะไร
“เฮ้ย พอก่อน” องค์โอมานผลักสาวออกไป เพราะยังพันพัวไม่เลิก “บ๊ะ ไม่รู้จักเวล่ำเวลา” แล้วลุกเดินมา
สาวๆ ผวา รีบออกไปอย่างรวดเร็ว
“ข้าอยากรู้ว่าไอ้พวกกบฏมันรู้หรือยังว่าเราเปลี่ยนแผน”
“พระเจ้าค่ะ”
“จะมีทางรู้ได้ยังไงว่ามันรู้หรือยัง”
“มันติดต่อกันได้ทางเดียว...ถ้าต้องเร็ว” ซาอิ๊บว่า
องค์โอมานนึกออก “วิทยุ สั่งตรวจสอบวิทยุทุกคลื่นตลอด 24 ชั่วโมง”
จากในห้องเห็นตู้ใบหนึ่งเคลื่อนออกจากที่ของมัน เจ้าของร้านขนมปังก้าวนำเข้ามา ชารีฟ และการิมตาม
ติด ในห้องลับนั้น เห็นเป็นห้องเก็บเครื่องมือวิทยุสื่อสาร
เจ้าของร้านเดินเร็วๆ ไปโต๊ะมุมห้อง จุดตะเกียง ชารีฟพุ่งไปที่เครื่องส่งวิทยุ สำรวจดูไปรอบๆ
เครื่องมืออยู่ในถาด ที่เจ้าของร้านเลื่อนมาให้ตรงหน้า ชารีฟลงนั่ง พับแขนเสื้อ แล้วแก้เครื่อง ก้มลงจดจ่อ เหงื่อเม็ดโตๆ เต็มหน้า การิม ยืนลุ้น เจ้าของร้านก็ลุ้นเหมือนกัน
เวลาผ่านไป ชารีฟนั่งมอง สีหน้าเคร่งเครียดเหมือนแก้ที่ยังไม่ได้
การิมและเจ้าของร้ายอยู่ในกิริยาที่เหมือนหมดหวัง
ชารีฟดูนาฬิกา “ใกล้ตีห้า ใกล้เวลาท่านศาสตราจารย์ตื่น” พลางหันไปมองการิมอย่างกังวล
การิมมองตอบสีหน้าให้กำลังใจมากๆ พลางบอก
“ลองอีกที”
ชารีฟฮึด ก้มหน้าก้มตาแก้ เหงื่อหยดย้อยแต่นัยน์ตามุ่งมั่นมองที่งาน เจ้าของร้านหันไปคุกเข่าภาวนาอยู่ตรงมุมห้อง เห็นหน้าที่เงยสวดอ้อนวอนอย่างหมดหัวใจ ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจต่อคนที่พบเห็น
การิมซับเหงื่อให้ชารีฟเบาๆ ชารีฟมองแล้วพยักหน้าขอบใจ
สายตาชารีฟเพ่งเข้าไปที่เครื่อง ลุ้นสุดขีด สักครู่เห็นสัญญาณไฟแดงวาบขึ้น
ชารีฟร้องบอก “ได้แล้ว
เจ้าของร้านได้ยินหันมาดู แล้วหันไปทำท่าขอบคุณพระเจ้าอย่างศรัทธา
เสียงจากเครื่องวิทยุ
“ดาวเหนือ..สุกสกาว ดาวเหนือ เปลี่ยน”
“ได้แล้ว ฟังเรานะ ดาวเหนือจะเกิดพายุทรายก่อนกำหนด คำนวณแล้วว่าจันทร์เต็มดวงเป็นวันที่สามนับจากคืนวันนี้พายุทรายจะผ่านก่อนกำหนด เปลี่ยน ดาวเหนือ รอรับสถานการณ์พายุ…บอกกองคาราวานใหญ่ด้วยว่าให้นำสินค้าเข้ามาได้ตามสัญญา”
ครู่ต่อมา ที่หน้าร้าน เจ้าของร้านซาลามต่ำ สองคนก้มหัวรับการคาราวะ แล้วขึ้นม้าทันที ม้าสองตัววิ่งเยาะๆ ไปตามทาง
จนสองคนมาถึงหน้าบ้านศาสตาจารย์โมฮัมมัด เวลาตอนใกล้รุ่ง ชารีฟลงจากหลังม้า การิมรับเชือกไป พึมพำเบาๆ ว่า “ข้าไปเก็บให้ท่าน”
“ขอบใจ”
การิมไปแล้ว เอาม้าไปทั้ง 2 ตัว
ชารีฟลงนั่งหลับตาพึมพำเบาๆ ท่าทางเหมือนกำลังนมัสการอะไรบางอย่าง
“ขอนมัสการองค์อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ ขอได้โปรดเมตตาให้ข้าพระองค์ได้ทำสิ่งที่ควรทำได้อย่างราบรื่น เพราะพระองค์ประทานพรให้อย่างแท้จริง”
ชารีฟลืมตา หน้าเป็นทุกข์มาก เพราะตอนนี้มั่นใจแล้วว่ากษัตริย์โอมานรู้แผน จากรหัสผิดปกตินั้น สักครู่ชารีฟทำหน้าเหมือนตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะทำอะไรสักอย่าง แต่พอมองไปในบ้านเห็นไฟในห้องนอนศาสตราจารย์เปิดแล้ว
“ตายล่ะ..ตื่นแล้ว” สีหน้าที่อมทุกข์ของชารีฟ เปลี่ยนเป็นตื่นตกใจสุดขีด
อ่านต่อหน้า 2
ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 9 (ต่อ)
ชารีฟพุ่งพรวดเข้ามาในห้องนอนศาสตราจารย์อย่างรวดเร็ว หน้าตาตกใจเล็กๆ แต่พยายามซ่อนเร้น โมฮัมหมัดหันหลังให้ ก้มลงทำอะไรบางอย่าง
“ท่านศาสตราจารย์”
โมฮัมหมัดหันมาแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ไปไหนมา”
“ข้าพเจ้า...ตื่นสาย..ไปหน่อย”
“ไม่หน่อยละ สายไปมาก” ศาสตราจารย์หน้าบึ้งจัด
“ข้าพเจ้าขอโทษท่านอย่างมาก” ชารีฟคำนับต่ำมาก “ความผิดนี้ยิ่งใหญ่นัก ท่านลงโทษข้าพเจ้าได้ทุกอย่าง”
โมฮัมหมัดเอานิ้วชี้ทาบสันจมูก สายตาเข้มมองชารีฟ “คิดว่าควรจะถูกลงโทษยังไง”
ชารีฟนิ่งอึ้ง ตอบไม่ถูก นัยน์ตาเสียใจมอง โมฮัมหมัดนิ่ง
โมฮัมหมัดเดินออกจากห้องทันที ชารีฟรีบไปหิวกระเป๋าเดินตามไปอย่างรวดเร็ว
ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดเดินขาซ้ายตะแคงนิดๆ ลงมาอย่างเร็ว ชารีฟเดินตาม พอถึงประตู ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดหันมาแบมือขอกระเป๋า
“ท่าน”
โมฮัมหมัดทำท่าขอกระเป๋า
ชารีฟส่งกระเป๋าให้
“เจ้าไม่ต้องไป เราจะไปคนเดียว”
พูดจบโมฮัมหมัดเดินออกไปจากห้องทันที ส่งกระเป๋าให้คนใช้อีกคนที่ยืนคอยอยู่
ชารีฟหายใจวับ ยืนหน้าไม่มีสีเลือดอยู่ตรงนั้น
ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดเดินนำออกมาหน้าตึก คนใช้ถือกระเป๋าไปใส่หลังรถ
การิมในคาบคนขับรถยืนคอยอยู่ที่ประตูรถ เปิดให้ โค้ง โมฮัมหมัดจะขึ้นรถอยู่แล้ว แล้วชะงักหันขวับมา
“เจ้าไม่ใช่คนขับรถของเรานี่”
“เขาป่วยกะทันหัน นายท่าน”
“เป็นอะไร”
“เขาอ่อนเพลียอย่างแปลกประหลาด ทรงตัวยืนไม่ได้ ข้าพเจ้าเป็นญาติของเขา เขาขอร้องให้มาขับแทน”
“เราไม่แน่ใจหรอก ทางไกลตั้งแปดสิบกิโลเมตร ไปถึงริมฝั่งทะเลเชียวนะ”
“ข้าพเจ้ารู้จักเส้นทางนั้นดี รู้ละเอียดว่าตอนไหนเป็นทรายร่วน ทรายโคลน…วางใจข้าพเจ้าเถิดนายท่าน” การิมอธิบายวาจาที่พูดออกมานอบน้อมมาก
โมฮัมหมัดจ้องหน้าการิมเขม็ง การิมก้มหัวโค้งอย่างสุภาพ
โมฮัมหมัดทำสีหน้าไม่รู้จะทำอย่างไรขณะขึ้นรถไป
การิมปิดประตูรถอย่างสุภาพ แล้ววิ่งไปขึ้นรถประจำที่คนขับคอยชารีฟ
โมฮัมหมัดนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นสักครู่ใหญ่ การิมเองชักเริ่มงงๆ แล้วมองไปเห็นชารีฟยืนนิ่งอยู่ที่ประตูด้านหน้า ไม่ขยับ การิมสบตาชารีฟถามด้วยสายตา
โมฮัมหมัดฉุน “เอ้า...ไปเสียที รออะไรอยู่”
“รอ...รอ” การิมมองไปทางชารีฟยืนอยู่
“เขาไม่ไป เจ้าออกรถได้แล้ว”
การิมใจหายวับ ทำอะไรไม่ถูก หันไปหันมา
โมฮัมหมัดบอกอีก “ไปได้”
การิมจำต้องออกรถช้าๆ
ชารีฟยืนนิ่งงัน รถผ่านไปจนลับสายตา
สีหน้าผิดหวังจนแทบระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ เดินลงมาจากที่ยืนอยู่ มายืนเคว้งคว้างตรงที่รถจอดเมื่อกี้
มืดแปดด้านไปหมด ไม่รู้จะทำยังไง
การิมขับรถไปตรามทางช้าๆ หน้าตาอึดอัดมาก โมฮัมหมัดลอบสังเกตอยู่ แต่ทำเป็นเฉยอยู่สักครู่ สุดท้ายสั่งเสียงเรียบ
“เอาล่ะ กลับไปได้แล้ว”
ชารีฟยังคงยืนอยู่ที่เดิม สักครู่จึงเริ่มออกเดิน คนใช้อีกคนวิ่งลงมาหน้าตึก เห็นชารีฟก็แปลกใจ
“ไม่ได้ไปหรือ”
ชารีฟตอบไม่ถูก เดินหลีกไป
“จะไปไหน”
“จะไป...ขี่ม้าเล่น” ชารีฟตั้งใจจะออกไปส่งข่าวนั่นเอง
คนใช้งง “ขี่ม้าเล่น”
ชารีฟเดินอาดๆ ก้าวเร็วๆ ไปยังคอกม้า
คนใช้หันไป “อ้าว รถกลับมาแล้วนั่น”
ชารีฟหยุดกึกทันทีแล้วหันขวับไปอย่างรวดเร็ว
เสียงโมฮัมหมัดดังขึ้น “ทีหลังอย่าทำผิดอย่างนี้อีก”
“ขอรับ...นายท่าน” ชารีฟซาลามต่ำ
“ฉันต้องการให้จำ...จำไว้ว่าถ้าตื่นไม่ทันเจ้าจะโดนลงโทษอย่างนี้”
ชารีฟซาลามต่ำอีกครั้ง
“ขึ้นรถได้”
ชารีฟมองไปยังที่นั่งคนขับรถด้านหน้า สบตาการิมแว่บหนึ่ง รู้สึกเหมือนกันทั้งสองคนว่ามีคนมาช่วยขึ้นมาจากปากเหว
โมฮัมหมัดพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะนิดๆ
“เจ้าควรรู้ว่าฉันขาดเจ้าไม่ได้ ไม่มีเจ้าไปด้วย ใครจะช่วยฉันล่ะ...รู้มั้ยว่าเจ้ามาทำให้ฉันเสียนิสัย...ที่จะอยู่ไม่ได้โดยไม่มีเจ้า”
การิมและชารีฟผ่อนลมหายใจโล่งอก
ขณะเดียวกัน องค์อาหเม็ดเดินกลับเข้ามาในกระโจมอย่างเร่งด่วน ทหารทั้งหลายเดินเข้าไปยืนเรียงเป็นแถว
องค์อาหเม็ดหันกลับมา สายตาเข้มจัด สีหน้าเครียดเคร่ง “มีใครรู้อะไรบ้างไหม”
ทหารทุกคนนิ่ง
“ไม่มีใครรู้เลยรึ”
ทหารเงียบกริบตามเดิม
“โอมานรู้แผนการของเราแล้ว”
ทหารตกใจกันทุกคน
เจ้าชายอับดุลลาห์ ถามขึ้นแทนทุกคน
“ทรงทราบได้อย่างไรพระเจ้าค่ะ”
“ไม่มีใครสังเกตหรือว่าคลื่นวิทยุมันติดขัดตลอดเวลาเหมือนมีคลื่นรบกวน…มันไม่เคยเป็น”
ทุกคนจ้ององค์อาหเม็ด
“ถึงเราจะรู้หรือไม่รู้แน่ว่ามีคนดักฟังหรือเปล่า แต่ต้องคิดอะไรในทางร้ายที่สุดไว้ก่อน ไม่มีใครเสียอะไรมีแต่ได้ ถ้ามันเกิดเราก็ป้องกันไว้แล้ว แต่ถ้าไม่เกิดเสียหายตรงไหน ถ้าเราป้องกันไว้ก่อน”
ทุกคนซาลามต่ำ ยอมรับความคิด
“เอาล่ะ” องค์อาหะเม็ดกวาดตามอง “ใครมีความเห็นอย่างไรบ้าง”
นายพลมุสกัตทูล “ข้าพระองค์จะเริ่มส่งทหารเข้าฮิลฟารา”
“ทันที...ต้องทันที”
นายพลมุสกัตน้อมรับ “ทันทีพระเจ้าค่ะ”
“ในจำนวนเท่าที่กะไว้รึ”
ทุกคนเงียบ
“สองเท่า” องค์อาหเม็ดตรัส “มากกว่าที่กะไว้สองเท่า เราฝึกพวกเบดูอินไว้เท่าไหร่อับดุลลา”
“มากพระเจ้าค่ะ มีอาสาสมัครจำนวนมาก อย่างที่เราคิดไม่ถึงเลยพระเจ้าค่ะ”
“กองคาราวานเบดูอินเริ่มออกเดินทางได้” องค์อาหเม็ดมีพระบัญชา
การิมขับรถแล่นไปตามทางในทะเลทรายอย่างมุ่งมั่น ชารีฟนิ่งคิด
ขณะเดียวกันที่บริเวณหน้าพระราชวังกษัตริย์โอมาน มีรถยนต์แล่นเข้ามา มีรถนำบวน รถอารักขา และตามด้วยรถเก๋งประทับขององค์โอมาน รถให้ทหารคนสนิท
รถทุกคันจอดกึก ทหารองครักษ์มายืนคอยเปิดประตู
กษัตริย์โอมานเดินสง่าผ่าเผยออกมาจากรถ ซาอิ๊บทหารคนสนิทเดินตาม
สักครู่องค์โอมานหยุดยืน สีหน้าสะใจ เย้ยหยันเล็กๆ แล้วหันขวับมา
“ป่านนี้คงใกล้เวลาที่มันจะดำเนินการแล้ว ฮ่ะๆๆ เชิญเข้ามาได้เลย ฮิลฟาราและกษัตริย์โอมานรอต้อนรับเจ้าอยู่”
รถแล่นมาตามทาง ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดหลับสานิท กรนน้อยๆ ชารีฟมีสีหน้าเคร่งขรึมครุ่นคิดหนัก
“ท่านคิดอะไรอยู่หรือ” การิมถามแผ่วเบา
ชารีฟแตะหน้าตัวเองอยู่ไปมา
“ที่กองคาราวาน คนแต่งหน้ารออยู่ เขาเป็นฝรั่งชื่อแม็กซ์ เขาเป็นคนแต่งหน้าละคร เก่งมาก เปลี่ยนหน้าคนได้หลายแบบ”
ชารีฟเหลียวไปดู ศาสตราจารย์โมฮัมหมัด สายตาอ่อนลง
“น่าเวทนา กำลังหลับสบาย”
รถที่การริมขับแล่นมาจอดกึกทันทีใกล้ๆ กับกระโจมหลังหนึ่ง มีชาย 3 คนแต่งกายเป็นชาวเบดูอิน กระโดดเข้ามา ถือมีดรูปโค้งวงเดือนทั้ง 3 คน เปิดประตูรถโดยแรง
โมฮัมหมัดตกใจตื่น “อะไรกันนี่”
ทั้ง 3 คนลากโมฮัมหมัดออกมาจากรถ
เบดูอิน 1 ใน 3 บอก “ลอกคราบเร็ว”
“พวกแกเป็นใคร”
มีผ้าผืนหนึ่งปิดปากทันที
เบดูอิน 2 คนตรงเข้ามาปลดเสื้อผ้าของศาสตราจารย์โมฮัมหมัด โดยวิธิยืนชิดกันต่อหน้า บังร่างโมฮัมหมัดและหยิบส่งเสื้อผ้าทีละชิ้นให้ชารีฟนั่นเอง โดยมีมือของการิมมารับไปทีละชิ้นๆ แล้วมือของการิมก็ส่งเสื้อผ้าของชารีฟให้เบดูอินทั้งสาม เบดูอินทั้งสามมะรุมมะตุ้มกันแต่งตัวให้โมฮัมหมัด แล้วเบดูอินก็หลีกทางออกไปโมฮัมหมัด ยืนตกใจจนพูดไม่ออก
มองไปเห็นชารีฟแต่งตัวด้วยชุดตนที่ถูกปลดออกไป ชารีฟเอื้อมมือมาหยิบแว่นตาดำจากหน้าของ โมฮัมหมัด ไปใส่หน้าของเขา แล้วล้วงเอากล้องยาเส้นไปด้วย
การิมส่งกระเป๋าหมอให้ถือ อีกมือขยับกล้องสูบแล้วพ่นควันได้เหมือนกิริยาของ ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดทุกอิริยาบถ ทั้งหมดหันมาพึมพำ
“ขอโทษด้วยนะท่านศาสตราจารย์” ชารีฟเดินด้วยท่ากระเผลกนิดๆ เหมือนกับศาสตราจารย์เข้ามาใกล้ๆ
“พวกแกจะทำอย่างนั้นไม่ได้ องค์โอมานจะรู้ว่าแกไม่ใช่หมอ” โมฮัมหมัดว่า
“เจ้าชายโอมานจะไม่ตายด้วยมีดผ่าตัดหรอก ถึงจำเป็นจะต้องผ่า เรานี่แหละจะผ่าให้”
โมฮัมหมัดโกรธจัด “ไอ้คนไม่มีความคิด ชีวิตคนนะไม่ใช่หนูตะเภา”
“กรุณาใจเย็นท่านศาสตราจารย์”
โมฮัมหมัดจ้องหน้าชารีฟ อย่างเสียใจ “เสียแรงเรารัก เราเมตตา”
ชารีฟ อึ้ง รู้สึกผิด
“เจ้าตอบแทนคนที่มีเมตตาเจ้าอย่างนี้ทุกครั้งรึ” ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดหยัน
“ข้าพเจ้าขอให้ท่านรับทราบว่า ชั่วชีวิตของข้าพเจ้าครั้งนี้จะเป็นครั้งเดียวเท่านั้นที่ข้าพเจ้าทำเช่นนี้ ท่านศาสตราจารย์โชคร้ายที่เป็นคนๆ นั้น ต่อไปนี้ตลอดชีวิตของข้าพเจ้าจะไม่มีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นอีก”
“อย่าทำเลย วงการแพทย์ทั้งโลกจะมัวหมองจากการกระทำของเจ้า เราไม่ห่วงชื่อเสียงเราแม้ว่าเจ้าจะทำ...อะไรก็ตามซึ่งเราไม่รู้แน่ในนามของเรา เราเสียชื่อได้ทุกเรื่อง แต่ขออย่าเป็นเรื่องแพทย์ประหารคนไข้บนเตียงผ่าตัดอย่าฆ่าคนที่เขากำลังมอบชีวิตให้เจ้าและรอคอยความหวังจากเจ้า”
ชารีฟนิ่งงันไป
“ขณะที่มือเจ้าถือมีดผ่าตัด เจ้ามีจรรยาแพทย์ แม้ว่าตัวตนจริงๆ ของเจ้าจะไม่มีแม้แต่จรรยาบรรณใดๆ”
ชารีฟหันมาทาง โมฮัมหมัด จ้องเข้าไปในแววตา “ข้าพเจ้าขอรับรองว่า...”
ทุกคนฟัง โมฮัมหมัด เอานิ้วชี้ทาบสันจมูกรอฟังเช่นกัน
“จะไม่มีการผ่าตัดเป็นอันขาด”
ชารีฟบอกเสียงเข้ม
อ่านต่อหน้า 3
ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 9 (ต่อ)
ชาวเบดูอิน 2 คน กำลังจัดการให้ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดขึ้นหลังอูฐ ศาสตราจารย์กลัวตกแทบตาย ท่าทางเงอะงะมาก
เบดูอิน 1 บอก “จับดีๆ ท่านหมอ...จับดีๆ ถ้าไม่อยากตกหลังอูฐ” พอเห็นศาสตราจารย์ดูมีอายุ ท่าทางเป็นนายคน จึงพูดดีๆ ด้วย “ถึงเมืองอานาอีซาแล้ว มีกระโจมอยู่อย่างหรูเลย...ท่านหมอ”
“กี่วันจะถึงอานาอีซา” โมฮัมหมัดถาม
“7 วัน ขี่อูฐแค่ 7 วันเท่านั้น” เบดูอิน 2 บอก
ขณะที่ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดตัวจริง อยู่บนหลังอูฐนั่งแบบเอนๆ ตกใจแทบจะตกจากหลังอูฐแล้ว
เวลาเดียวกันนั้นชารีฟก้าวออกจากกระโจม แต่งหน้าเหมือน ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดทุกอย่าง สักครู่หนึ่งแมกซ์ตามออกมา ถือกระเป๋าแต่งหน้ามาด้วย การิมส่งเงินให้แมกซ์ แมกซ์แทงกิ้ว
“อยู่กับเราอีก 7 วัน จะได้ใช้เงินนี้อย่างเต็มที่”
ที่บริเวณใกล้ๆ รถ สองคนยืนประจันหน้ากัน เบดูอิน 1 คน ซึ่งเป็นคนขับรถคอยอยู่ห่างๆ
“ท่านหมายความว่าอย่างไร ที่ว่าไม่มีการผ่าตัด” การิมถามอย่างคาใจ
ชารีฟนิ่งไปอึดใจ “อย่างที่พูด”
“ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ”
“โอมานรู้แผนการของเราทั้งหมดแล้ว” ชารีฟบอก
การิมตกใจแทบช็อก “อะไรนะ...ท่านว่าอะไรนะ”
ภายในห้องสื่อสารในกระโจมที่ประทับอาหเม็ด เวลาต่อจากนั้น
เจ้าชายอับดุลลาห์เอ่ยขึ้น “วิทยุถูกตัดตอนด้วยคลื่นรบกวนหลายช่วง น่าสงสัย”
“โอมานคงดักวิทยุทุกคลื่น มันไม่โง่หรอก” องค์อาหเม็ดบอกอย่างมั่นใจ
“ทรงทราบอยู่แล้วหรือพระเจ้าค่ะ” นายพลมุสกัตแปลกใจ
องค์อาหเม็ดนิ่ง สายตาเครียดจัด
“เจ้าพี่ทรงทราบ แล้วทำไมเจ้าพี่ไม่ระงับชารีฟ” อับดุลลาห์ถาม
นายพลมุสกัตลุกพรวด “ข้าพระองค์ไปดำเนินการเดี๋ยวนี้”
องค์อาหเม็ดเสียงดัง “หยุด! ทุกคนฟังเรา แผนการต้องดำเนินต่อไป”
อับดุลลาห์ มุสกัต และคนอื่นๆ ต่างมีสีหน้าผิดหวัง และเสียใจ
องค์สุลต่านรับรู้ความคิดนั้น “คิดอย่างที่เจ้าคิดเถอะ เราไม่ห้าม แม้แต่ตัวเรา เราก็ประณามตัวเราอยู่ แต่นี่คือฮิลฟารา…ไม่ใช่อาหเม็ด ไม่ใช่ชารีฟ ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น นี่คือชะตากรรมของประชาชนทุกคน”
ทุกคนนิ่ง องค์อาหเม็ดเอ่ยต่อ
“กษัตริย์โอมานต้องไป มิฉะนั้นชาวฮิลฟาราจะเหมือนตกนรก และฮิลฟาราจะถูกชาวโลกประณาม”
อับดุลลาห์ทักท้วง “แต่...เจ้าพี่ ชารีฟตาย ฮิลฟาราก็ต้องตายด้วย”
องค์อาหเม็ดเสียงเข้ม “ชารีฟไม่ตาย
ทุกคนมีสีหน้าไม่เห็นด้วย
“กษัตริย์โอมานไม่มีวันปล่อยให้ท่านชารีฟ...” นายพลมุสกัตพูดไม่ทันจบ
องค์อาหเม็ดสวนเสียงก้องกังวานออกมา “โอมานจะแข็งแค่ไหน แต่ดวงชะตาของชารีฟแข็งกว่า”
ทุกคนนิ่ง แต่สีหน้ามีความหวังขึ้น
“เตรียมตัวเดินทางเข้าฮิลฟารา”
องค์อาหเม็ดประกาศก้อง
ขณะเดียวกันที่ร้านขายขนมปัง มองจากภายนอกเหมือนร้านปิดอยู่ โดยที่ประตูร้านที่ปิดสนิท
ส่วนในร้าน ทหารขององค์โอมานวางเงินให้เจ้าของร้าน เจ้าของร้านรับมาอย่างลิงโลด
“อย่าปากโป้ง จะไม่ได้ใช้...เงินเนี่ย”
เจ้าของร้านซาลามแล้วซาลามอีก
ส่วนในกระโจมองค์อาหเม็ดเวลาเดียวกัน เจ้าชายอับดุลลาห์ตกใจมากเมื่อได้ฟังรับสั่ง
“องค์อาหเม็ด แล้วชารีฟ ชารีฟล่ะพระเจ้าค่ะ”
ทหารทุกคนซุบซิบกัน สีหน้าวิตกถ้วนทั่ว
องค์อาหเม็ดนิ่งสนิทไป สีหน้าเข้ม แต่เย็นเหมือนรูปสลัก รู้สึกไม่สบายใจที่ต้องพูดประโยคต่อไป
ใบหน้าทหารแต่ละคน วิตก ตกใจ กลัว และไม่สบายใจสุดขีด
“พันเอกชารีฟ ราชองครักษ์เป็นคนฉลาด เป็นคนเก่ง รอบคอบ ไม่ขลาดเขลา ซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อแผ่นดิน...”
ทุกคนมองหน้าองค์ประมุข
“เรามั่นใจว่าญาติของเราต้องหาทางแก้เกมนี้ได้สำเร็จ ของพระอัลเลาะห์คุ้มครองชารีฟ”
ทุกคนพร้อมใจกันทำท่าอธิษฐาน...ขออัลเลาะห์คุ้มครอง
ฟากชารีฟตั้งข้อสังเกตกับการิมต่อ สีหน้ามั่นใจมาก
“ทุกอย่างดูสะดวก ง่ายดาย คล่องตัวเกินไป”
การิมมีสีหน้าตกใจมากกว่าเก่า
“มาแน่ใจตอนรหัสมันฟังดูแปลกๆ ตอนส่งวิทยุ มันเป็นกับดัก” ชารีฟว่า
“แล้วท่านยังจะไป..ไปให้เขาจับ..ฆ่างั้นเหรอเนี่ย”
“ไม่มีทางไหนอีกแล้วที่จะเข้าถึงตัวโอมาน”
“ไม่ได้..กลับ กลับอานาอีซา เรียกประชุมด่วน” การิมแย้งสุดลิ่ม
“องค์อาหเม็ดเดินทางเกือบถึงเมืองโฮไดดะแล้ว พร้อมที่จะโจมตี”
“โอมานจะจับท่านทันทีที่เราถึงฮิลฟารา”
“แต่โอมานจะไม่ฆ่าเราทันที” ชารีฟบอก
การิมฉงน “ทำไม”
ชารีฟอธิบายเนิบช้า แววตามั่นคง “เราหนีโอมานได้กลางทะเลทราย นั่นจุดความแค้นยิ่งใหญ่เพราะฉะนั้นจะไม่ดีรึที่พันเอกชารีฟ คนที่ลอบปลงพระชนม์องค์อาหเม็ดย้อนรอยกลับมาอีกครั้ง องค์โอมานต้องป้องกันบัลลังก์ด้วยการต่อสู้อย่างลูกผู้ชาย และพระองค์ก็ประหารมันอย่างลูกผู้ชาย”
การิมฉุน “ท่านพูดเป็นตุตะอย่างนี้ได้ยังไง”
“เรารู้จักเจ้าชายโอมานเหมือนรู้จักตัวเอง”
“ท่านราชองครักษ์ ท่านกำลังมุดหัวเข้าไปในปากสิงโตรออยู่ว่าเมื่อไหร่ มันจะงับฟันทั้งปากขย้ำท่าน”
ชารีฟคิดถึงภาพตัวเอง ตอนหัดซ้อมฝึกใช้มีด-วงเดือน หัดแล้วก็หัด..แล้วก็หัด อย่างแข็งขัน
“โอมานต้องการฆ่าเราอย่างสมศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย”
การิมถามเหมือนเสียงกระซิบ “อย่างไร”
“พระองค์ต้องการปักมีดบนหัวใจของเราด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ เออ... มีดวง-เดือน อาวุธที่พระองค์เชี่ยวชาญมากที่สุด ไม่มีใครเทียบได้เลยในประเทศนี้”
ชารีฟบอก
ไม่นานต่อมา รถยนต์ทะยานไปกลางทะเลทราย ขับแล่นไปเรื่อยๆ
“มนุษย์มีแรงผลักดันล้ำลึกให้ต่อสู้ มนุษย์ชอบเสี่ยง แม้จะรู้ว่าความตายอยู่ข้างหน้า การเข้าฮิลฟาราครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากแรงผลักดันที่ว่านั้น แต่เกิดจากแรงจงรักภักดีต่อประเทศชาติ และต่อองค์อาหเม็ด การเสี่ยงครั้งนี้เป็นหรือตายเท่ากัน” ชารีฟบอกกับตัวเองในใจ
พร้อมกับนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ที่การิมกับชารีฟ ยังยืนประจันหน้ากันอยู่ที่เดิม
“เราอาจจะเดาผิดก็ได้ที่ว่าโอมานรู้”
การิมยืนอึ้งสีหน้าอึดอัดมาก
“เจ้า...การิม ถ้าเจ้ากลัวก็ไม่ต้องไปกับเรา” ชารีฟพูดเป็นเชิงถาม
เวลาต่อมารถแล่นมาตามทาง ใบหน้าการิมเคร่งเข้ม สีหน้าให้คำตอบกับชารีฟไปแล้ว
ชารีฟนิ่งคิด ถวิลหาแต่มิเชลล์
ภาพมิเชลล์ ในทุกอิริยาบถอันตราตรึง ซ้อนเข้ามาในห้วงคิดราชองครักษ์อย่างรวดเร็ว และวันสุดท้ายที่พบกัน กอดกันอยู่ในอ้อมแขนกันและกันในวันที่จากมา
สีหน้าชารีฟหมองหม่นมาก ขณะรถแล่นไปกลางทะเลทรายที่ร้อนระอุ
เวลาต่อมารถยนต์หลวงสีดำสนิทแล่นขึ้นพระราชวังบนเนินสูง จอดข้างหน้าพระราชวังฮิลฟารา มีเจ้าหน้าที่ระดับสูง วิ่งลงบันไดมาเปิดประตูให้ ชารีฟก้าวลงในมาดศาสตราจารย์เต็มที่ การิมลงตาม เจ้าหน้าที่โค้งอย่างนอบน้อม
“กษัตริย์โอมานรับสั่งให้ท่านศาสตราจารย์พำนักที่ตำหนักหลังนี้ อีก 3 วันจะโปรดเกล้าให้เข้าเฝ้า”
ชารีฟฉงน “ทำไมถึงต้องรออีก 3 วัน”
“เพราะเจ้าชายโอมานไม่ว่าง ยังไม่พร้อมที่จะทรงผ่าตัด” เจ้าหน้าที่บอก
เจ้าหน้าที่พาสองคนเดินเข้าตำหนัก มีเจ้าหน้าที่ติดตามอีก 2 คน ทหารเวรยืนเรียงสองข้าง สีหน้าทหารเวร ดูป่าเถื่อนเหมือนพวกกองโจรมากกว่าจะเป็นทหารวัง นอกจากนี้สายตาทหารแต่ละคนเหนื่อยหน่าย ไม่มีชีวิตชีวา
“ท่านดูหน้าแต่ละคนสิ เหมือนมันอยากตาย” การิมกระซิบ
“พวกกองโจรทะเลทรายจ้างมาเป็นทหาร จากเมืองเสด็จแม่ของเจ้าชายโอมาน”
“อ๋อ..คนป่าคนดงมาแต่งทหาร”
การิมพยักหน้ารับรู้
เวลาต่อมาภายในห้องพัก เป็นห้องรับรองภายในวัง ซึ่งตกแต่งสวยงามพอสมควร การิมเดินไปเดินมาเป็นหนูติดจั่น ชารีฟนั่งสงบนิ่ง สีหน้าเยือกเย็นเหมือนไร้อารมณ์ การิมเดินเดินมาด้วยความหงุดหงิดหัวเสีย
“ท่านราชองครักษ์ นี่มันถูกทรมานเหมือนหนูติดจั่นนะ โรคประสาทจะกินตาย”
“เป็นการบั่นทอนกำลังทางอ้อม อย่าไปเดือดร้อนกับมันมากนัก เพราะเท่ากับทุกอย่างเป็นอย่างที่เขาต้องการ” ชารีฟเตือนสติ
การิมพยายามหยุดความกระวนกระวายทั้งปวง ไปนั่งลงแรงๆ
ส่วนชารีฟนั่งสงบนิ่ง อ่านหนังสือ
ไม่นานนักการิมยืนขึ้น ท่าทางหงุดหงิดอยู่ไปมา
“การิม”
การิมหันมา ชารีฟโยนหนังสือเล่มย่อมๆ ให้เล่มหนึ่ง การิมรับแทบไม่ทัน มองจ้องชารีฟตาเป๋ง
ชารีฟบอกด้วยนัยน์ตาว่า...สงบสติอารมณ์เสียบ้าง
ด้านองค์อาหเม็ดยืนหันหลังอยู่ในกระโจม ท่าทางครุ่นคิดหนัก มือแตะที่หน้าผาก
นายพลมุสกัต และเจ้าชายอับดุลลาห์เดินเข้ามา
นายพลมุสกัตกราบทูล “ได้เวลาแล้วพระเจ้าค่ะ”
อับดุลลาห์เสริม “ทุกอย่างพร้อมแล้วที่จะออกเดินทางพระเจ้าค่ะ”
องค์อาหเม็ดหันมาช้าๆ สีหน้าเคร่งเครียด แววตามุ่งมั่นมาก
ส่วนการิมนอนเอนหลับอยู่ มีหนังสือวางบนอก
ชารีฟมองอย่างปลงอนิจจัง หันมาอ่านหนังสือแล้วคิดถึงมิเชลล์ หยิบแหวนที่ร้อยกับสร้อยออกมาจากอกเสื้อ จูบแหวนแนบริมฝีปากอยู่กับแหวน
ใบหน้าหมองเศร้าของมิเชลล์ที่อยู่ในน้ำ เห็นเป็นเงาพร่างพราย มีน้ำตาเต็มหน้าสวย
จู่ๆ มีใบหน้าของชารีฟ เคลื่อนเข้ามาซ้อนกับใบหน้ามิเชลล์ในน้ำตรงหน้า
มิเชลล์จ้องเขม็งอย่างไม่เชื่อสายตา ใจเต้นแรงเหมือนมีกลองมากระหน่ำ
มิเชลล์หันกลับลุกขึ้น ชารีฟยืนยิ้ม มิเชลล์โผเข้าสู่อ้อมกอด สองคนกอดรัดพันพัว นัวเนียด้วยความรักเต็มหัวใจ
ขณะเดียวกันชารีฟเองก็หวนไห้คิดถึงมิเชลล์มาก
เห็นภาพของตัวเองกับมิเชลล์เช่นเดียวกัน
ในดวงตาของชารีฟยามนี้ไหวระริก เห็นทุกอย่าง เช่นเดียวกับที่มิเชลล์เห็นอยู่ในสายน้ำ
มิเชลล์ลุกยืนหันมาอย่างเร็ว ใบหน้ายิ้มแย้ม กลับพบว่าไม่มีใครอยู่ตรงหน้าเลย
มิเชลล์หน้าสลดลง
“ฉันรู้แล้วว่า ฉันคิดถึงท่านมากจน....จนเห็นไปเอง”
มิเชลล์กัดปากแน่น กลั้นน้ำตาสุดขีดแล้วก้มหน้า เดินท่าทางเศร้าสร้อยกลับไปกระโจมพระชายา
อ่านต่อหน้า 4
ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 9 (ต่อ)
ในขณะที่นางกำนัลต่างเก็บของกันเงียบๆ ท่าทีสุภาพเรียบร้อย มีระเบียบ พระชายาเก็บเครื่องประดับ มิเชลล์เปิดกระโจมเข้ามา
“มิเชลล์ เจ้าหายไปไหนมา”
“ไปที่ลำธารเพคะ”
“เรารอคอยที่จะบอกข่าวดีกับเจ้า”
“เพคะ” มิเชลล์รอฟัง
“เห็นมั้ยเขากำลังทำอะไรกัน”
“เก็บ...ของ”
พระชายายิ้มๆ ใช่แล้ว...เก็บของ”
มิเชลล์ฉงน “เก็บไปไหนเพคะ”
“ตายจริงมิเชลล์ คงไม่ได้เก็บเพื่อจะไปสวิตเซอร์แลนด์หรืออินเดียหรอกนะ เก็บไปฮิลฟาราจ้ะ” พระยาชาสัพยอก
“ฮิล...ฮิลฟา...รา เหรอเพคะ เราชนะศึกแล้วหรือเพคะ”
“ถ้าไม่ชนะ...ก็จวนจะชนะเต็มทีแล้ว”
เวลาต่อมามิเชลล์กับนางกำนัลเก็บของพลางหัวเราะต่อกระซิก มิเชลล์เคลื่อนไหวไปมาท่าทีร่าเริง ถือผ้าแล้วเต้น เอาผ้ามาแนบตัว ทำท่าเหมือนเต้นระบำแขก อีกครั้งทำท่าย้ายหน้าอยู่ไปมา แบบหญิงแขก ทุกคนอึ้งทึ่งไปเลย กำลังเต้นๆ อยู่พระชายามาข้างหลัง พวกนางกำนัลบอก ชี้ๆ ท่าทางกลัวๆ
“เป็นอะไรไป...พี่จ๊ะ ทำไมชี้อะไร”
นางกำนัลชี้อีก
“อะไร” มิเชลล์หัวเราะชอบใจ หันขวับไป แล้วจ๋อยลงไปนั่งแปะกับพื้น
พระชายายื่นมือให้มิเชลล์ มิเชลล์รับมา พระชายากับมิเชลล์เต้นระบำกันอย่างร่าเริงสดใส สุดท้ายสองคนถูกแรงเหวี่ยงไปนั่งหอบเหนื่อยทั้งคู่
พระชายาหัวเราะชอบใจ “เก็บของเร็วๆ ให้เกลี้ยงเลย เราจะได้มีที่กว้างให้เต้นระบำได้”
บรรดานางข้าหลวงทุกคนกรี๊ดกันสนั่น
เวลาเคลื่อนคล้อย พระอาทิตย์ขึ้นแล้วลาฟ้าไป มีพระจันทร์ลอยเด่นมาแทนที่ วันแล้ววันเล่า
มิเชลล์นั่งหน้าเศร้าอยู่ในกระโจม พระชายากลั้วหัวเราะอยู่ในคอ
“เราเพิ่งผ่านเวลาสนุกร่าเริงมาหยกๆ วันที่เต้นรำกัน ไม่น่าเชื่อเลยว่าวันนี้ต้องมานั่งเศร้า”
“จะเสวยอะไรมั้ยเพคะ”
“ไม่หิว บอกเจ้าว่าเจ้าสิมิเชลล์ ไม่กินไม่นอนจนตัวจะปลิวอยู่แล้ว”
“องค์อาหเม็ดเสด็จไปแล้ว ตั้งหลายวันแล้วนะเพคะ”
“เราควรจะดีใจ เพราะรับสั่งว่าจะให้พวกเราตามเสด็จไปอยู่ฮิลฟาราหมดทุกคน ถ้าองค์อาหเม็ดยังไม่เสด็จไปสิ เราก็ไม่มีวันได้ตามเสด็จไปที่ไหน เลยนอกจากอยู่ตรงนี้ฎ
มิเชลล์ยิ้มหวาน จับมือพระชายามาจูบเบาๆ “ทรงให้กำลังใจหม่อมฉันที่สุดหม่อมฉันขอบพระทัยเพคะ”
“ไม่ช้าหรอก มิเชลล์ ไม่ช้า เราต้องเชื่อมั่นในองค์อัลเลาะห์ว่าจะไม่เข้าข้างคนผิด”
ตรงฐานที่มั่นกองกำลังขององค์อาหเม็ดในฮิลฟารา ตอนกลางคืน ดูจากภายนอก คล้ายเป็นกองคาราวานที่ตั้งมั่นอยู่ใกล้ๆ เมืองฮิลฟาราเท่านั้น
เวลานี้นายทหารชั้นผู้ใหญ่ยืนตรง ท่าทางแน่วแน่ สายตาซื่อตรง มาจนถึงนายพลมุสกัต แล้วถึงองค์อาหเม็ดที่ยืนมองทุกคนอยู่
“เอาล่ะ พวกเรา...ในที่สุดเราก็มาถึงฮิลฟารา เท่ากับเราเข้ามาใกล้ปากเสือแล้ว โน่น โอมานอยู่ที่นั่น” องค์อาหเม็ดชี้มือไป “รอเวลาที่ชารีฟจะไปประหารชีวิต” พร้อมกันนี้กวาดสายตามองไปจนทั่ว “ส่วนพวกเรา รอคอยที่จะเข้าไปดูศพของไอ้คนทรยศ...” แล้วหันมาถามมุสกัต “ทหารของเราในร่างของคาราวานเบดูอิน อยู่ในเมืองฮิลฟาราประมาณกี่คน”
ทหารคนหนึ่ง ยศพันตรี อายุประมาณ 35-40 ปี เป็นผู้ตอบ
“คาดว่าประมาณ 5 หมื่นคน พระเจ้าค่ะ”
“เราเชื่อใจในพวกเขามาก เรารู้ว่าต่อให้เราตายต่อให้ท่านมุสกัตตายทหารของเราจะต่อสู้จนกว่าจะตายหมด ไม่มีคำว่าหนีในหมู่ของทหารอาหเม็ดที่สามแห่งฮิลฟารา”
ทุกคนฟัง
“ทหารของโอมาน เราอยากเห็นนัก มันมาเป็นทหารเพราะข้าจ้างแพงๆ ที่โอมานล่อ ไม่มีจุดประสงค์ที่จะป้องกันใครหรือทำเพื่อใคร มันทำเพื่อเงินเท่านั้น”
นายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายคน คำนับรับคำ
นายพลมุสกัต “ท่านราชองรักษ์เข้าไปในฮิลฟารานานผิดปกติแล้วพระเจ้าค่ะ”
“เรากำลังวิตกอยู่...ใครจะรับอาสาไปติดตามเรื่องนี้”
ทหารยศประมาณพันตรีคนหนึ่ง เข้ามาคุกเข่า
“อาสาทั้งที่ยังไม่รู้ว่างานนี้อันตรายขนาดไหน”
“เพื่อท่านราชองครักษ์ชารีฟ ข้าพุทธเจ้าทำได้ทุกอย่าง” ทหารอาสาคนนั้นเอ่ยขึ้น
องค์อาหเม็ดมีสีหน้าเฉยขึ้นนิด เหมือนอิจฉาแต่แล้วกลบเกลื่อนรวดเร็ว “เจ้าจงหาทางไปบอกราชองครักษ์ว่าทหารของเราทั้งหมดเข้ามาอยู่ในฮิลฟาราแล้ว รอคอยพลุสัญญาณ”
นายพลมุสกัตขัดขึ้น “ไม่จำเป็นพระเจ้าค่ะ”
องค์อาหเม็ดฉงน “ทำไม”
“เพราะแผนการให้เคลื่อนทหารแฝงตัวเป็นเบดูอินเข้ามาอยู่ในเมือง เป็นความคิดของท่านราชองครักษ์ พระเจ้าค่ะ”
“เอ๊ะ...ไม่ใช่ความคิดของท่านรึ นายพลมุสกัต”
“ท่านชารีฟ สั่งไว้พระเจ้าค่ะ แต่ไม่ให้บอกใคร”
องค์อาหเม็ดนิ่งไปนิด แล้วมีสีหน้ายิ้มแย้ม “ชารีฟน้องเราเขาช่างฉลาดหลักแหลมเกินจะคิด เอ้า..เจ้าไม่ต้องเสี่ยงอันตรายแล้ว”
“แต่ข้าพุทธเจ้าเต็มใจ ท่านราชองครักษ์ควรได้รู้ว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วรอคอยแต่ท่านเท่านั้น”
หน้าตาของทหารอาสาคนนี้ ดูออกว่าเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์สูงสุด
สองคนอยู่ในห้องพัก สีหน้าการิมยามนี้กดดันเต็มทีแล้ว เคาะประตูแรงๆ ขณะชารีฟยังเฉยนิ่ง ใจเย็นเหมือนน้ำแข็ง
มีทหารเด็กหนุ่มหน้าตาเซ่อซ่าคนหนึ่ง เคาะประตูแล้วเปิดเข้ามา
การิมดึงแขนทหารจนหน้าคะมำเข้ามาแล้วเสยอย่างแรง เจ้าหนูทหารเด็กหนุ่มๆ หน้าเซ่อจัด กระเด็นโครมไปฟุบกับพื้น การิมตามไปขยุ้มคอกระชากขึ้นมา แต่มีมือชารีฟมาจับที่มือการิมบีบแน่นจนการิมรู้สึกตัวปล่อยมือลง
ชารีฟจ้องหน้าการิมนัยน์ตาคมกริบ การิมค่อยๆ จ๋อยลง
ชารีฟหันไปคุยกับทหารหนุ่มคนนั้นอย่างเป็นมิตร
“บ้านอยู่ที่ไหน”
“บ้านอยู่ยาฟาอัต” ทหารตอบ
ชารีฟนึกออก “เมืองทางเหนือสุด มาเป็นทหารได้อย่างใด”
“มาหาเงิน” ทหารบอกตามตรง
ชารีฟฟังแล้วนึกสงสาร “ได้เงินเยอะพอหรือยัง”
“มานานแล้วเพิ่งได้งวดเดียว”
ชารีฟฉงน “อ้าว แล้วทำยังไง”
“ออก...” ทหารหนุ่มหน้าสั่นระริกขึ้นมา นัยน์ตาแดงก่ำมากๆ “อยากกลับบ้านไปหาแม่” พลางก้มหน้าต่ำ เสียงสะอื้นแผ่วๆ
ต่อมาชารีฟเดินมาหาการิมคุยกันอยู่อีกทาง
“ได้ยินหรือเปล่า”
การิมพยักหน้ารับรู้ สีหน้าสลดลง
“เห็นมั้ยว่ามันน่าสงสารหลายอย่าง”
ชารีฟกลับมาหาทหารหนุ่มคนนั้น ยื่นแหวนให้วงหนึ่ง ทหารมองตะลึง
“แหวนวงนี้มีราคา เอาไปแลกเป็นเงินแล้วกลับบ้านไปหาแม่ ซื้อของไปฝากแม่ เลือกที่แม่ชอบนะ”
ทหารเด็กหนุ่มลงกราบที่พื้น ดีใจจนน้ำตาซึมแล้วเงยหน้าขึ้นมอง
การิมยิ้มแหยๆ ให้กับทหารหนุ่ม ทำหน้าไม่ถูก โมโหก็โมโห อยากง้อเขาก็อยากง้อ
“ขอโทษเจ้าแล้วกัน” การิมบอกในที่สุด
ทหารเด็กหนุ่มยิ้มกว้างขวางสบายใจมากขึ้น แล้วลุกขึ้นจะออกไปนอกห้อง
“จะบอกคนอื่นว่ายังไง” การิมถาม
ทหารหนุ่มคลำโหนกแก้มที่เป็นรอยขึ้นมา “บอกว่า...หกกะล้ม”
“ดีมาก...ไปได้”
ทหารเด็กหนุ่มเดินไปเปิดประตูก้าวออกไป ปิดประตูลง
ชารีฟมองการิมเป็นเชิงตำหนิ การิมหลบตา
ที่บริเวณถนนใกล้ๆ วังหลวง แลเห็นพวกชาวบ้านใช้ชีวิตตามปกติ เดินอยู่ตามถนนบ้าง และรถยนต์แล่นไปมา
พวกทหารกองโจรบรรดาเด็กหนุ่มบ้านนอก ที่องค์โอมานจ้างมา ถือปืนที่ใหญ่เกินตัว เดินไปมา ชาวบ้านเดินถนนอยู่บ้าง ขี่จักรยานบ้าง พ่อค้าขายของ มีชาวบ้านซื้อของกันประปราย
ทหารบางคนเดินมาเจอของถูกใจก็หยุดซื้อของ พุดคุยกันอยู่ไปมา บางคนเหล่ผู้หญิงสาวๆ แล้วเดินตามบ้าง บรรยากาศดูสบายๆ ปกติทุกอย่าง
สักพักหนึ่งมีทหารหน้าเหมือนโจร 2 คน เข้าไปซื้อของแม่ค้า พอแม่ค้าบอกราคา พวกมันเข้าไปทำท่าลวนลาม ดึงเอาตัวเข้าไปใกล้ พูดจาเย้าหยอก แต่แม่ค้าโมโหเอาอะไรบางอย่างฟาดเข้าให้
ทหารโจรโกรธ เข้าไปจับแขน แม่ค้าสะบัด เกิดการโต้เถียง หรือถึงขั้นเอาของตีกันไปมา เสียงดังเอะอะ คนแตกตื่นวิ่งไปมุงดูกันใหญ่
ระหว่างนี้ทหารอาสา ที่รับอาสาองค์อาหเม็ดเดินมาพอดี พอเห็นอย่างนั้นก็เดินจ้ำ ผ่านไปไม่สนใจ ทหารโจรอีกคนหนึ่งอยู่แถวนั้นพอดี ผิดสังเกต ทำไมไม่สนคนตีกัน
ทหารโจร 1 ตั้งข้อสังเกต “น่าสงสัยหรือไม่”
ทหารโจร 2 เห็นด้วย “คนตีกันแทบตาย มันไม่มองเลย”
2 คน ออกตามไปทันที
ตรงบริเวณริมผาที่ข้างบนเป็นพระราชวัง ทหารอาสาจ้ำพรวดๆ ผ่านมาจนถึงบริเวณนี้ หยุดยืนมองขึ้นไป ทหารโจร 2 คน ที่ตามมาสังเกตการณ์เห็นทั้งหมด
ส่วนที่ห้องคุมขัง สองคนหารือกันอยู่
“ข้าพเจ้าสงสัย เจ้าชายโอมานจะผ่าตัดมั้ย” การิมถามขึ้น
“โธ่เอ๋ย การิม เราบอกทุกอย่างยังจะถามโง่ๆ แบบนี้อีก”
“ถึงยังไงท่านก็เป็นหมอ”
ชารีฟถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในความไร้เดียงสาของการิม
ฟากกษัตริย์โอมานลุกยืนเด่นเป็นสง่า ตรัสขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“เอาล่ะ”
ทุกคนฟัง
“บัดนี้โรคเฮอร์เนียของเรากำเริบถึงขีดสุดแล้ว”
ทุกๆ คนมองหน้าองค์โอมาน
“ถึงเวลาผ่าตัดมันทิ้งเสียที”
สีหน้ากษัตริย์โอมาน ดุดันเหี้ยมเกรียม
ขณะเดียวกันสองคนยังอยู่ในห้อง ชารีฟกำลังทำท่าซ้อมมีด-วงเดือน ฝีมือคล่องแคล่วอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าพเจ้าสงสัยว่าจะโดนขังที่นี่จนตาย” การิมว่า
“เราจะหัดซ้อมใช้มีด-วงเดือนไปทำไมหรือนี่”
การิมจ๋อย เสียงเคาะประตูดัง แล้วเปิดเข้ามาทันที โดยตำรวจวังเข้ามาคนหนึ่ง
“มีพระกระแสให้เบิกตัวท่านเข้าเฝ้าเดี่ยวนี้”
ชารีฟ การิม ตำรวจวัง 2-3 คน เดินมาด้วย และมีหัวหน้าตำรวจวังอายุกลางคน หน้าตามีความคิด ทั้งหมดเดินออกมาจากตำหนัก มาที่ทางออกแล้ว
“ประทับที่ไหน” ชารีฟมีสีหน้าพิศวง
“ไม่ไกลหรอกท่าน เดินลัดอุทยานไปทางโน้นนิดหน่อยก็ถึง ทรงย้ายตำหนักลงในสวนเพราะเข้าสู่ฤดูร้อน” ตำรวจที่ไปตามบอก
ชารีฟขมวดคิ้ว รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล จึงหยุดเดินทันที
ตำรวจแปลกใจ “อ้าว ทำไม”
“จะผ่าตัดที่นั่นหรือ”
“เดี๋ยวก็รู้”
ชารีฟหน้าคมเข้มมาก จ้องหน้าตำรวจเขม็ง
“นายตำรวจวังพระตำหนักหลังนั้นโปร่ง ไม่เหมาะเป็นห้องบรรทม หรือแม้แต่ห้องตรวจดูพระอาการ ไฉนจึงมีพระบัญชาได้ไปที่นั่น”
“แล้วท่านจะรู้เอง ท่านศาสตราจารย์”
“ไม่...” การิมขึ้นมาขวางหน้าตำรวจวังทันควัน “ไม่อย่างนั้นเราจะไม่ไปกันทั้งสองคน”
“การิม” ชารีฟจับแขน มองจ้องนัยน์ตา
การิมหยุดลง
“ผู้ช่วยของเราใจร้อน เพราะทุกครั้งที่ไปรักษาถึงบ้านคนไข้ อาการมักจะหนักจนอาจเกินเยียวยา เพิ่งมีครั้งนี้ที่คนไข้ใจเย็นไม่เร่งร้อนอยากหาย”
“คนไม่สบายก็อยากหายทุกคนแหละ อย่าห่วงเลย”
คนทั้งหมดเดินตามกันไปในอุทยานที่สวยงาม ปานสวรรค์
ชารีฟ สบตาการิม การิมมีสีหน้าหวั่นใจ พยายามบอกด้วยสายตาว่า...อย่าไปเลย
“เวลานั้นมาถึงแล้ว” ชารีฟบอก
การิมตัวสั่นใจสั่นแทบจะทิ้งของทั้งปวง รวมทั้งกระเป๋าหมอในมือด้วย
เวลานั้น เห็นตำรวจวังยืนประจำอยู่หน้ากระโจมที่ประตูปิดสนิท ชารีฟและการิมมองตากัน บรรยากาศเงียบกริบ วังเวง และน่ากลัว ตำรวจวังที่พาการิมกับชารีฟมา เหลือเพียง 2 คน
สักครู่ มีเสียงตบมือดังมาจากข้างใน ก่อนที่ม่านจะค่อยๆ เปิดออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นสภาพในห้องที่จัดเหมือนเป็นวอร์รูม มีโต๊ะกลาง วางแผนที่ และปืนยาวสั้น 2-3 กระบอก พร้อมมีดวงเดือน 2 เล่ม วางอยู่ด้วย
ซาอิ๊บ ทหารโจร และทหารผู้ใหญ่ยืนเรียงรายเต็มไปหมด ทหารรักษาการณ์ อาวุธพร้อมมือ
กษัตริย์โอมานยืนอยู่หลังโต๊ะตัวนั้น มองมาสายตาเข้มสุดๆ
“ชารีฟ น้องของเรา เข้ามาสิ ยินดีต้อนรับสู่ฮิลฟาราอีกครั้ง”
อ่านต่อตอนที่ 10