ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 10
การิมขยับตัว ถูกตำรวจวังรวบแขนสองข้างไว้ทันที
“เป็นยังไง การต้อนรับของกษัตริย์โอมาน” พร้อมกับเดินมาอีก 2-3 ก้าว “พาตัวเข้ามาตรงนี้ซิ”
ตำรวจวังส่งการิมให้อีกคน ตัวเองมาขนาบชารีฟ
ชารีฟเดินเข้าไป
องค์โอมานเข้ามาพิศดู แตะคางให้เงยขึ้นด้วยนิ้วชี้นิ้วเดียว ท่าทางหยามหยาบมาก “ฮือม์ เหมือน เหมือนศาสตราจารย์หมอประจำตัวเราจริงๆ เก่งนี่ ชารีฟ” พร้อมกับตบแขนดังป๊าบ
การิมฮึดฮัด ถูกจับแน่นขึ้นจนหน้าหงาย
“เอามันออกไปพ้นๆ ข้า” กษัตริย์โอมานตวาดก้อง
ตำรวจลากการิมห่างออกมา
“ได้ตัวเธอง่ายอย่างนี้..ชารีฟ เธอไม่เฉลียวใจเลยรึ”
“เฉลียวใจเรื่องอะไร” น้ำเสียงชารีฟเย็นชา
“ยโส” องค์โอมานหยัน “เชอะ เรารู้แล้วว่าองค์อาหเม็ดจะต้องใช้แผนนี้เข้ามารลอบทำร้ายถึงนี่ คิดรึว่าเราไม่รู้การเคลื่อนไหวที่อานาอีซา นี่คงจะเตรียมยกทัพมาล้อมฮิลฟาราละซี...ยาก...มองออกไปข้างนอกโน่นทหารของเราตั้งปืนรออยู่ทุกจุด ไม่มีใครผ่านเข้าออกได้โดยไม่รอดพ้นสายตาทหารตามเนินทรายโดยรอบพระราชวังหรอก”
“มีพระประสงค์อะไรรึ” ชารีฟถามเสียงห้วนๆ “ทำไมไม่จัดการทำลายเสียให้หมดล่ะ”
“เราอยากจะทำลายนายทหารคู่พระทัยองค์อาหเม็ด...ก็เจ้านั่นแหละ ชารีฟ นายพลมุสกัตน่ะแก่แล้ว อีกไม่กี่ปีก็ตาย แต่เจ้า...ยังหนุ่มแน่น และมีอิทธิพลในหมู่ทหารมากนัก เจ้าคิดผิดที่ไม่ร่วมมือกับเรา คนหนุ่มย่อมบริหารประเทศได้ดีกว่าคนแก่...องค์อาหเม็ดทรงหวงตำแหน่งจนลืมนึกถึงสังขาร”
“เข้าพระทัยผิดแล้ว องค์อาหเม็ดไม่เคยหวงตำแหน่ง แต่ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่ต้องอาศัยความสุขุมรอบคอบ มีเหตุมีผล มีความคิด ใช้สมอง ไม่ใช่ใช้กำลัง”
องค์โอมานจับคอเสื้อ “ว่าใคร เจ้าว่าใคร ฮะ”
ชารีฟบอกด้วยแววตาว่า...ตัวเองนั่นแหละยังไม่รู้ตัวอีก
กษัตริย์โอมานบันดาลโทสะ สะบัดคอเสื้อเต็มแรงจนชารีฟเซ
“เก่งนัก รู้แล้วยังกล้าเข้ามาในกับดักของเรา ไม่กลัวตายรึ”
“ความตาย...ทุกคนต้องเจอ แต่ความตายก็จะมาถึงทุกคนโดยคำบัญชาพระเจ้า พระเจ้าท่านมีญาณ ท่านรู้ว่าใครสมควรตาย คนที่นึกว่าตัวเองจะไม่ตายอาจตายวันนี้ก็ได้”
สีหน้าองค์โอมานพยายามข่มความรู้สึก แต่นัยน์ตากล้าแข็งสุดๆ
“ปากกล้านัก” แล้วซัดชารีฟเข้าไปหนึ่งที ปากชารีฟแตกเลือดซึมทันที เพราะแหวนของโอมาน
“ข้าพระพุทธเจ้าพูดความจริงพระเจ้าค่ะ”
“แต่วันนี้ จะไม่มีชารีฟต่อไปอยู่ในโลก” กษัตริย์โอมานคำราม
“ข้าพระพุทธเจ้ายอมแล้ว ถ้าไม่กล้า จะดั้นด้นมาทำไมในเมื่อรู้ตัวตลอดเวลาว่า สิงโตกำลังกางเล็บจะตะครุบอยู่ทุกฝีก้าว”
สีหน้าองค์โอมานเปลี่ยนไป นัยน์ตาดุดันแลกวาดไปทั่วร่างที่ยืนเป็นสง่าอย่างไม่สะทกสะท้าน
“องค์อาหเม็ดช่างมีบุญจริงนะ ทหารทุกคนล้วนจงรักภักดีทั้งสิ้น”
“ความจงรักภักดีนั้น ย่อมขึ้นอยู่บนรากฐานแห่งความดีและการกระทำที่ผ่านมา” ชารีฟว่า
“ก็น่าแปลกอยู่ ที่เจ้าไม่กลัวความตายที่จะมาถึง” น้ำเสียงกษัตริย์โอมานเย้ยหยันสุดขีด
“ข้าพระพุทธเจ้าเป็นทหาร หน้าที่ทำให้ต้องกล้าพร้อมที่จะผจญกับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้น”
“เจ้าแน่ใจหรือว่าชัยชนะจะเป็นขององค์อาหเม็ด ทหารหนีภัยเพียงหยิบมือเดียว จะสู้ทั้งกองทัพคนเหล่านี้” องค์โอมานชี้กราดไปยังทหาร “ที่คุ้นอยู่กับความเหี้ยมโหด ไม่ปรานีใคร ทหารของเจ้าน่ะอาจจะมีฝีมือ แต่จะไม่มีวันชนะไปได้”
“นั่นแล้วแต่ฟ้าเบื้องบนพระเจ้าค่ะ” ชารีฟบอก
กษัตริย์โอมานหัวเราะเสียงดังก้อง
ทหารหัวเราะด้วย ยิ้มๆ บ้าง สีหน้าเยาะหยันทุกคน องค์โอมานหยุดหัวเราะฉับพลัน คนฟังเปลี่ยนอารมณ์ตามแทบไม่ทัน
“ชารีฟ” องค์โอมานจับคางชารีฟ บีบแน่นอย่างคาดคั้น “บอกข้ามาใครจะเป็นคนฆ่าข้าบนเตียงผ่าตัด...ใคร”
พร้อมกับจับหน้าชารีฟ สั่นไปมา
“การสังหาร ไม่จำเป็นต้องอยู่บนเตียงผ่าตัด”
“ชะ เล่นลิ้นรึ แผนเจ้าน่ะมันใช้ไม่ได้ มันล้มเหลว มันถูกเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้าข้านี่ สั่งความบอกไปถึงอาหเม็ดด้วย เฮ้ย...เอาไอ้คนถ่อยนั่นเข้ามา”
ทหารองค์โอมานลากทหารอาสาออกมา ชารีฟตะลึง ร่างทหารอาสาถูกโยนลงไปบนพื้น สภาพทหารอาสายับเยินสุดๆ น่าสยดสยองมาก ถูกซ้อมอย่างหนักหน้าบวมปูด เลือดแห้งเกรอะกรังบางแห่ง บางแห่งยังสดอยู่ นัยน์ตาข้างหนึ่งแตกยับเยินนัยน์ตาข้างดีแดงช้ำเป็นสายเลือดเต็ม ร่างกายมีแต่เลือด มีแต่รอยช้ำ แขนถูกหักจนกระดูกขาวโพลนโผล่ออกมา
“ทหารของข้า” นัยน์ตาชารีฟวาววับ “นี่มนุษย์หรือสัตว์ที่ทำกับเจ้าถึงเพียงนี้”
องค์โอมานแผดเสียงหัวเราะดังกึกก้อง
“มนุษย์...มนุษย์ทำกับสัตว์ไง้”
ชารีฟเจ็บปวดรวดร้าวใจที่สุด แตะลูบไปตามตัวด้วยความอาดูร
ทหารอาสาจงใจพูดด้วยน้ำเสียงดังก้อง คนได้ยินทั่วทั้งห้อง
“กองทัพเราแพ้...ไม่มีกองทัพอีกแล้ว” แต่ทว่านัยน์ตาบอกชารีฟว่ามีอย่างอื่นจะบอก
กษัตริย์โอมานหัวเราะ...หัวเราะ...แล้วก็หัวเราะ ทหารโจรทั้งหลายหัวเราะตาม
ชารีฟขยับเข้าไปใกล้ ทหารกอดกระซิบข้างหู “องค์อาหเม็ดเข้าเมืองแล้ว...รอสัญญาณ ข้าลาท่าน...ผู้เปรียบเหมือนพ่อ โชคดีที่มาตายใมนอ้อมแขนของท่าน”
“ทหารของข้า...” ชารีฟสะเทือนใจสุดขีด โอบร่างไร้วิญญาณแนบอก
“จุดจบของผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อเรา ดูไว้...ทุกคนดูไว้” กษัตริย์โอมานตะโกนก้อง
“ข้าพระพุทธเจ้าพร้อมที่จะรับจุดจบนั้น” ชารีฟบอกเสียงเข้ม
“กล้าหาญถึงวินาทีสุดท้ายเชียวรึ ชารีฟ”
“สายเลือดแห่งพระราชวงศ์ฮิลฟารายังเข้มข้นในตัวข้าพระพุทธเจ้า”
“จริง” องค์โอมานรับสั่งเยาะหยัน “ทหารสมควรตายเยี่ยงทหารและในฐานะพระญาติขององค์อาหเม็ด เจ้าจะได้ตายอย่างสมเกียรติ ฮ่ะ...ฮ่ะ”
กษัตริย์โอมานพยักหน้าให้ซาอิ๊บ ซาอิ๊บส่งมีดวงเดือน พระองค์รับมาอย่างว่องไว ชักตัวมีดแล้วเหวี่ยงปลอกมีดไปทางหนึ่ง
“เจ้าเกลียดการต่อสู้ด้วยมีดไม่ใช่รึ”
ชารีฟนิ่ง
“ในฐานะที่เจ้าเป็นพระญาติก็ไม่สมควรที่เจ้าจะตายด้วยฝีมือทหารชั้นเลว”
“ข้าพระองค์เป็นฝ่ายแพ้ตลอดกาลพระเจ้าค่ะ” สีหน้าชารีฟ ไม่กลัวแต่วิตกลึกๆ
“ข้าให้โอกาสเจ้าตายอย่างชาติทหาร”
ครู่ต่อมา ทั้งสองคนยืนประจันหน้ากันในลานประลองหน้ากระโจม ถือมีดกันคนละเล่ม
“ก่อนตาย ข้าขอสิ่งหนึ่งเป็นครั้งสุดท้าย” ชารีฟบอก
“ขออะไรเหรอชารีฟ...อย่าขอชีวิตนะ ข้าไม่ให้” องค์โอมานหัวเราะเย้ยหยัน
“ขอทำละหมาดครั้งสุดท้ายก่อนตาย”
กษัตริย์โอมานนิ่งและอึ้งมาก รู้สึกกระทบกระเทือนจิตใจว่าชารีฟ ช่างเป็นคนที่ทำตัวถูกต้องจนวาระสุดท้าย องค์โอมานถอยออกไป เปิดโอกาสให้ชารีฟทำละหมาด
มือชารีฟประสานกัน สีหน้าเคร่งขรึม ยินเสียงเหมือนเสียงสวด...ลาฮีลาฮา อัลลอห์…อัลลอห์ ดังขึ้น
“ข้าพเจ้าพันเอก ชารีฟ ขอน้อมคารวะพระองค์ผู้เป็นใหญ่ และขอสรรเสริญเหตุการณ์ที่ทำให้ข้าพระองค์ไม่ต้องฆ่าคนในขณะที่ควรจะช่วยชีวิตเขา” ชารีฟคิดครวญอยู่ในใจ
การิมหันมามอง
“ถ้าข้าต้องผ่าตัดกษัตริย์โอมาน” ชารีฟกระซิบบอกตัวเองเบาๆ “กษัตริย์รอดแน่”
ณ สถานที่ที่ประลองกำลังกัน
“จงภูมิใจที่จะตายอย่างมีเกียรติชารีฟน้องเรา” องค์โอมานเอ่ยขึ้น
“ข้าพระพุทธเจ้าไม่อาจนับญาติกับพระองค์หรอกพระเจ้าค่ะ”
ขาดคำ มีดของกษัตริย์โอมานก็พุ่งเข้าใส่ชารีฟเสียงดังขวับ สีหน้าบึ้งตึงที่ถูกย้อนอย่างนั้น เสื้อชารีฟขาดเป็นทางยาว ผ้าห้อยร่องแร่ง
ชารีฟถอยกรูด สีหน้าหวั่นไหวเล็กน้อย กิริยาชารีฟชั้นเชิงอ่อนและตื่นตระหนกพอสังเกตได้ เพราะฝีมือไม่เท่ากัน
องค์โอมานดูจะลำพองมากขึ้น หน้ายิ้มเย้ยหยันอยู่ตลอดเวลา สะบัดมีดดาบไปมา บางครั้งมีเสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังแว่วๆ ด้วย
แผลที่สองโอมานเฉี่ยวชารีฟที่แขน จนแขนเสื้อหลุด เห็นผิวเนื้อ การต่อสู้ดำเนินต่อไป โอมานลุกไล่
ชารีฟ
ชารีฟ หนีอย่างไม่เป็นขบวน ขณะเสื้อผ้าในตัวของชารีฟห้อยร่องแร่งหลายแห่ง เห็นเนื้อหนังตรงหน้าอก แขนเสื้อขาดร่องแร่งเห็นเลือดไหลออกมาอาบแขน ผ้าโพกศีรษะหลุดกระเด็นไปแล้ว
ทหารของกษัตริย์โอมานกระแทกอาวุธในมือลงบนพื้นเป็นจังหวะอย่าฮึกเหิม เสียงดังก้องกังวาน
การิมกำหมัดหน้าตาอึดอัดคับแค้นอยากเข้าไปรบแทน
องค์โอมานรุนแรงดุจพญาช้างสารที่กำลังเมามัน เห็นเลือด ก็ระเบิดเสียงหัวเราะพร้อมทั้งเยาะเย้ย สะบัดตัวไปยืนจังก้า ในขณะที่ชารีฟ ซวนเซจวนจะหมดแรงอยู่แล้ว
“เราจะเฉือนเจ้าให้เหมือนเฉือนสัตว์ จะแหวะเนื้อออกทีละชิ้น ได้ยินมั้ย เนื้อเจ้าจะหลุดออกมาทีละชิ้น...ทีละชิ้น”
ไม่มีคำตอบจาก ชารีฟ
“เหมือนสัตว์อะไรดีที่เราย่างสุก เราก็เฉือนมาเคี้ยวกีนที่ละชิ้น...ทีละชิ้นหวานดีจริงๆ”
สีหน้าชารีฟนิ่ง ค่อนข้างจะกุมสติได้มากขึ้น หลบหลีกได้คล่องมากขึ้น เมื่อคมดาบวาววับจ้วงฟันลงมา เขาก็ใช้วิธีนอนกลิ้งตัวไปตามพื้น ด้วยสีหน้ามุ่งมั่น เต็มไปด้วยพลังที่พยายามรวบรวมอย่างสุดความสามารถ
“เก่งนักนะชารีฟ”
กษัตริย์โอมานขยับหลอกล่ออย่างมีชั้นเชิงโดยยังไม่มีแผลเลย
นัยน์ตาชารีฟ พยายามหรี่ตาเขม็งมองดูจังหวะก้าวย่างว่าจะสวนโอมานตรงไหน ตอนที่การจ้วงแทงเข้าประชิดติดพันกันมือต่อมือ และแขนต่อแขน พวกคนดูโดยรอบ ตอนนี้หยุดสนิทกลั้นหายใจ นัยน์ตาเพ่งมองไม่กระพริบ
กษัตริย์โอมานผลักชารีฟจนกระเด็นออกไป แล้วหมุนตัวแทงสวนหมายจะปาดที่ก้านคอ ช่วงเวลานั้นเอง
ชารีฟก็ล้มตัวลงต่ำ แล้วสอดตัวเข้าไปใกล้ พุ่งปลายมีดเข้าที่อกของโอมาน เสียบพรวดเดียวมิดด้าม
องค์โอมานตาแข็งค้าง เหลือกลาน ปากบิดเบี้ยว แล้วก็ทรุดฮวบลงบนพื้นสนามหญ้า
ทหารทั้งหลายทั้งปวง อ้าปากค้าง นิ่งเงียบเหมือนหินไปทุกคน
ชารีฟเลือดเต็มตัว โซเซแทบจะทรงกายไม่อยู่ แต่พยายามฝืนตัวไว้ ประกาศเสียงดังออกมา
“องค์อาหเม็ดจงทรงพระเจริญ...การิมให้สัญญาณด่วน”
“ขอรับ พลุสัญญาณพระอาทิตย์เที่ยงคืน”
การิมรับคำ พลางควักปืนออกมา วิ่งไปที่จุดหนึ่ง ยิงเปรี้ยงออกไป
พลุสีแดงสว่างวาบขึ้นสู่ท้องฟ้าที่ดำมืดไร้แสงจันทร์ แสงสีแดงดูกระจ่างฟ้า
การิมยิงพลุสัญญาณอีกเป็นครั้งที่ 2 แล้วยิงอีกเป็นครั้งที่ 3
ตรงบริเวณทุ่งหญ้าใกล้เมือง ฐานที่มั่นที่ตั้งกองทัพขององค์อาหเม็ดเวลานั้น องค์อาหเม็ดและทหารทั้งปวงที่รอคอยสัญญาณพลุ ต่างก็แหงนมองสัญญาณพลุทั้งหลาย
เสียงองค์อาหเม็ดดังก้องกังวาน
“คนทรยศถูกฆ่าตายแล้ว”
แล้วทันทีก็มีเสียงบอกต่อๆ กันไป ดังแว่วมาเป็นจังหวะ
“เจ้าชายโอมานตายแล้ว เจ้าชายโอมานตายแล้ว ท่านราชองครักษ์ฆ่าเจ้าชายโอมานแล้ว”
การิมวิ่งเข้ามาข้างในที่ชารีฟนอนอยู่ ทหารรอบห้องที่เชียร์โอมานนั้นระส่ำระสาย บ้างก็หนี บ้างก็วางอาวุธและยอมแพ้
การิมถลาเข้ามาที่ชารีฟ ซึ่งลุกขึ้นยืนพิงเสาหินอ่อนต้นใหญ่ ใบหน้าซีดเผือด เหงื่อเม็ดโตผุดเต็มหน้า ขบกรามแน่น บอกถึงความเจ็บปวดที่พยายามอดกลั้น
“ข้าพเจ้าจะพาท่านกลับไปโรงพยาบาล” การิมบอก
“ไปกันเดี๋ยวนี้เลย” ชารีฟพยักหน้ารับ ทำท่าจะเดิน การิมเข้าประคอง
ชารีฟหันไปมองศพของกษัตริย์โอมาน นัยน์ตาเศร้า ก้มหน้านิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง
“เจ้าพี่โอมาน ข้าจำเป็นต้องฆ่าท่าน อภัยด้วยเถิด”
กองทัพขององค์อาหเม็ดเคลื่อนกำลังเข้ามายังบริเวณหน้าพระราชวังฮิลฟารา ขบวนม้าควบฝุ่นตลบ โดยส่วนใหญ่กองกำลังขององค์อาหเม็ดนั้นแต่งกายเผ่าเบดูอินถืออาวุธประจำตัว มีทั้งวิ่งมา ขี่ม้ามา และนั่งรถจิ๊ปมา
การิมประคองชารีฟที่ใกล้จะหมดแรงลงมาที่หน้าตึก รถจิ๊ปคันหนึ่ง แล่นสาดไฟมาที่สองคน แล้วรีบจอด
นายพลมุสกัตลงมาอย่างรวดเร็ว
“อัลเลาะห์ทรงโปรด นายพลมุสกัตช่วยด้วยครับ”
“ท่านราชองครักษ์ ตายจริง นำส่งโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้”
นายพลมุสกัตเข้าไปประคอง ชารีฟจับมือมุสกัตแล้วมองหน้าเป็นเชิงถาม
“เรายึดได้หมดทุกจุดแล้ว กำลังออกแถลงการณ์”
ชารีฟยิ้มแจ่มใสถึงแม้เลือดจะเต็มหน้า เป็นรอยยิ้มถึงชัยชนะ แล้วสักครู่ชารีฟก็นัยน์ตาคว้างและคอตกสลบไปทันที ดูไม่ออกว่าเป็นหรือตาย
“ท่านราชองครักษ์...ท่าน” การิมตกใจสุดขีด
“ชารีฟ... ชารีฟ ทหาร” นายพลชราร้องเสียงดังก้อง “เร็ว”
พนักงานเข็นรถเข้าในห้องผ่าตัด ชารีฟ ยังรู้สึกตัวครึ่งๆ กลางๆ ทุกคน ทั้งการิม นายพลมุสกัต พยาบาล
ต่างรีบเร่ง เข็นรถไปอย่างรวดเร็ว
จนสุดท้ายเห็นหน้าหมอที่รออยู่แล้วชะโงกมาดูคนป่วย สีหน้าวิตกทันที
มุสกัตถามอย่างร้อนใจ “หมอ...เป็นอะไรแค่ไหน บอกได้เลย บอกความจริง”
“แผลที่อกนี้ฉกรรจ์มากครับท่านนายพล ตรงซอกคอนี้ก็ลึกมาก อีกนิดเดียวจะเห็นเส้นโลหิตใหญ่ที่เข้าหัวใจ” หมอหันไปสั่งพยาบาล “เช็คกรุ๊ปเลือด สั่งมาเตรียมให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้”
“ค่ะ” พยาบาลรีบไป
“เข้าห้องผ่าตัดเร็ว” หมอสั่งพยาบาลอีกคนเบาๆ “ตามคณะผ่าตัดใหญ่”
ทุกคนขยับตัวรีบจะไป พนักงานเข็นเตียงชารีฟไป ทุกคนตามไป
นายพลมุสกัตจับแขนหมอ มองตานิ่ง
“ครับ ผมทำหน้าที่ผมเต็มที่ไม่ต้องห่วง” หมอบอกเสียงเฉย
“ท่านราชองครักษ์ต้องไม่ตาย จำไว้ ต้องไม่ตาย” นายพลเสียงเข้ม
“ผมไม่รับรอง อาการหนักมาก” หมอบอกท่าทางดังเดิม
นายพลมุสกัตกำชับ “ถ้าเขาตาย...ประเทศเรายุ่งแน่”
หมอมองสบตานิ่ง สายตาบอกความกังวลอันใหญ่หลวง แล้วหมอก็เดินเข้าห้องไป
นาพลมุสกัตยืนคว้างอยู่กลางทางเดินหน้าห้องผ่าตัด ทหารติดตามยืนอยู่ห่างๆ มุสกัตหันไปดู การิมยืนจ้องมาหน้าเครียดสุดขีด สองคนจ้องกันนิ่งๆ
สายตาเต็มไปด้วยความกังวลเหมือนกัน
ครู่ต่อมาที่หน้าห้องผ่าตัด ทหารติดตามยืนอยู่ห่างๆ มุสกัต การิม นั่งห่างกัน แต่สีหน้าเป็นทุกข์ กังวลพอกัน
ขณะเดียวกันข่าวการสิ้นพระชนม์ขององค์โฮมาน มาถึงวังเจ้าหญิงสุไบดาในเวลาไม่นาน
“ใครฆ่าโอมาน” สุไบดาถามทันที
“หมอเพคะ” นางข้าหลวงนิชาบอก
“หมอ...หมออะไร หมอที่ไหนจะบุกเข้ามาฆ่าโอมาน” สุไบดางง
“หมอ” ไบคานรำพึง ใบหน้าครุ่นคิด
สุไบดารับไม่ได้ “ข่าวไม่จริง ไม่มีหมอคนไหนในโลกนี้จะฆ่าคน”
ไบคานนึกออก “โอมานจะผ่าตัดโรคเฮอร์เนีย”
สุไบดาเองก็คิดออก หันมาทางไบคาน “ใช่... หมอที่จะมาผ่าตัด” เจ้าหญิงคิดไปคิดมา
“นายแพทย์โมฮัมหมัด” ไบคานบอก
“โอ...หมอโมฮัมหมัด คนที่เคยมาถวายการผ่าตัดองค์อาหเม็ด คนที่ใครๆ ก็รู้ว่า หน้าเหมือน...ท่านพี่ไบคาน”
ไบคานคราง “ชารีฟ...ลูกพ่อ”
“ไม่จริง...ไม่จริง”
นิชามองไปทางนายทหารที่ยืนตรงอยู่นอกประตู “จริงเพคะ หมอที่มาผ่าตัดปลงพระชนม์กษัตริย์โอมานเพคะ”
“ไม่จริง ชารีฟฆ่าโอมานได้ แต่ต้องไม่ใช่ด้วยมือของแพทย์ ชารีฟไม่มีวันทำ...เขาทำไมได้ ฉันรู้ใจลูกชายฉันดี”
“มีการประลองกำลังด้วยมีด-วงเดือนเพคะ” นิชาบอก
“มีด-วงเดือน ถึงชารีฟจะฆ่าโอมาน แต่ชารีฟก็คงปางตายใช่มั้ย” สุไบดาเสียงดังขึ้น “นายทหาร เข้ามานี่”
ทหารเข้ามา
“ลูกชายเราฆ่ากษัตริย์โอมานด้วยมีด-วงเดือนรึ”
“พระเจ้าค่ะ”
“แล้วตัวเขาล่ะ”
“ท่านราชองค์รักษ์บาดเจ็บสาหัสมากพระเจ้าค่ะ”
สุไบดาล้มตึง เป็นลมทันที
ในเวลาเดียวกัน พระชายาเดินมาอย่างรวดเร็ว สีหน้าแม้จะยินดีแต่ลึกๆ ไม่สบายใจเท่าไหร่ เพราะรู้ว่าชารีฟเจ็บหนัก
“มิเชลล์”
มิเชลล์หันไป ทำความเคารพ
“จะฟังข่าวดีไหม”
มิเชลล์นัยน์ตาเบิกกว้างสีหน้ายินดีเป็นที่ยิ่ง “เราชนะแล้วใช่มั้ยเพคะ”
“เตรียมตัวเป็นเจ้าสาวได้แล้วมิเชลล์”
คำพูดกระแทกเข้าใบหน้างามงดของมิเชลล์เต็มแรง สายตาแปลกใจแล้วเปลี่ยนเป็นดีใจสุดๆ
ทว่าสีหน้าพระชายาไม่สบายใจ
มิเชลล์เห็น “พระชายาเพคะ มีอะไรที่ทรงเป็นกังวลหรือเปล่าเพคะ”
“กังวลหรือ...ทำไม” พระชายาลูบหน้านิดๆ
“หม่อมฉันเห็นพระพักตร์...”
“งั้นเหรอ หน้าตาเราเป็นกังวลหรือ...คงใช่ เราคงจะกังวลว่าเมื่อไหร่จะได้กลับฮิลฟาราเสียที”
จากนั้นก็รีบหันหลังให้ มิเชลล์ลอบมองไม่ค่อยเชื่อ
ภายในห้องผ่าตัดบรรยากาศแสนตึงเครียด คณะแพทย์ทำงานอย่างเร่งรีบ ชารีฟหลับตาสลบด้วยฤทธิ์ยา
แต่ในความรู้สึกส่วนลึกที่สุดไม่หลับ เฝ้าคิดถึงแต่มิเชลล์
เช้าตรู่วันต่อมามิเชลล์เดินมาถึงกระโจม มือแตะม่านหน้ากระโจมตั้งท่าจะเปิด แล้วชะงักมองเข้าไปปิดม่านลงไปก่อน แล้วตัดสินใจแอบดู มือมิเชลล์ค่อยๆ แง้มม่าน พอให้เห็นเหตุการณ์ข้างในนิดๆ
ภายในในกระโจมพระชายายืนพูดกับนางกำนัลฟาราห์ ท่าทางเคร่งเครียดวิตกกังวล มีเสียงแว่วๆ มา ได้ยินแต่ชื่อ...ชารีฟๆ
มิเชลล์ใจหายวับ จ้องเขม็ง ใจคิดถึงชารีฟอย่างรุนแรง มือที่แตะม่านตกลงทันที
ส่วนในห้องผ่าตัดสีหน้าหมอไม่สบายใจเอาเลย ทำไปมองตากันไปอย่างกังวล
ด้านมิเชลล์ยืนตะลึงงันอยู่หน้ากระโจม สายตาลังเลสงสัย เพราะยังไม่รู้แน่ชัด
ขณะที่ในอนุสติของชารีฟคิดถึงมิเชลล์ตลอดเวลา
มิเชลล์เริ่มสังหรณ์ใจ และแน่ใจว่าต้องมีอะไรร้ายแรงเกิดแก่ชารีฟแน่ๆ น้ำตานองเต็มตา ร่างซวนเซลงกับพื้นทราย รู้สึกเหมือนใจจะขาดรอนๆ
อ่านต่อหน้า 2 เวลา 17.00 น.
ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 10 (ต่อ)
ที่วังเจ้าหญิงสุไบดาในเวลาต่อมา เจ้าหญิงนั่งทุกข์ใบหน้าหมองจัดอยู่ในห้องโถง นิชาหัวหน้านางข้าหลวงเชิญถ้วยน้ำชามาถวาย
“เราไม่ดื่ม เอากลับไปเถอะ”
“สักนิดเถอะนะ เพคะ ไม่เสวยน้ำไม่เสวยข้าวอย่างนี้จะไม่สบาย”
สุไบดาระบดระบายอย่างคับแค้น “ไม่สบายรึ...ดีสิ เรายินดีเจ็บแทนลูก นิชา รู้มั้ยว่าอาการเจ็บของชารีฟหนัก มากนะ ต้องเรียกว่าปางตายทีเดียว”
“เพคะ ได้ยินมาอย่างนั้น”
“กำลังอยู่ในห้องผ่าตัด โอ...พระเจ้าคุ้มครองลูกชายด้วยเขาเสียสละเพื่อประเทศมากแล้ว อย่ามากไปกว่านี้เลย”
ส่วนที่ห้องพักชารีฟในโรงพยาบาล การิมนั่งเฝ้าอยู่ในห้อง ท่ามกลางดอกไม้เยี่ยมไข้เต็มห้อง
บาดแผลของชารีฟ ได้รับการตกแต่งเรียบร้อยแล้ว เขายังคงนอนหลับตานิ่ง
ฝ่ายสุไบดาบ่นอย่างกังวลใจและร้อนรน “ทำไมยังไม่มีใครมาแจ้งข่าวชารีฟ”
“ยังไม่ออกจากห้องผ่าตัดกระมังเพคะ” นิชาว่า
“ที่ฉันร้อนรนอย่างนี้ เป็นอันว่าถูกต้อง อาหเม็ดยังมีพระชนม์ชีพอยู่ และชารีฟยังไม่ตายจากการผ่าตัด ชารีฟลูกแม่” สุไบดาหันมาพูดขำๆ กับนิชา “พ่อลูกเหมือนกันมาก กล้าหาญ...รู้อะไรมั้ยนิชา”
“แหม...ถ้าหม่อมฉันเดาพระทัยถูกต้อง คงรวยตาย” นิชาพึมพำ
“ฉันน่ะขี้ขลาดที่สุดที่เจ้าจะเคยเห็น กลัวทุกอย่างไม่ว่าจะทำให้เจ็บหรือไม่ทำให้เจ็บ” เจ้าหญิงหัวเราะเบาๆ “อย่างผ่าตัดแบบเนี้ย..วินาทีนี้ เขาจรดมีดลงบนเนื้อฉัน ฉันก็ตาย ไปแล้วเรียบร้อย” ถ้อยคำของสุไบดาหายไปในคอ สีหน้าเหมือนวาจา
“โถ...พระทัยเย็นเพคะ” นิชาปลอบ
ข้าหลวงอีกคนเข้ามา “ทหารมาจากโรงพยาบาลเพคะ” ทหารตามเข้ามา
สุไบดาดีใจ แล้วหน้าหมองลง “บอกตรงๆนะ ผู้กอง ฉันน่ะไม่อยากรับฟังอะไรที่ทำร้ายจิตใจ ไหนบอกมาซิ ลูกชายฉัน...เป็นยังไง”
“ท่านราชองครักษ์...” ทหารค้างคำยังไม่พูดต่อ
สุไบดายังหลับตาอยู่ขณะบอก “เอ้า..ว่าไป”
“ปลอดภัยครับคุณข้าหลวง” ทหารเห็นสุไบดาหลับตา จึงหันมากระซิบบอกนิชา
“ไม่ใช่บอกฉัน...ทูลเจ้าหญิงพระมารดานั่น..เร็ว...”
“ทูลเจ้าหญิงพระมารดา พระเจ้าค่ะ ท่านราชองครักษ์อาการ...”
ใบหน้าสุไบดายามนี้ลุ้นสุดขีด
“ปลอดภัยแล้วพระเจ้าค่ะ”
สุไบดาระบายลมหายใจยาว
“ขอบใจมาก”
ทหารไปแล้ว สุไบดายังนั่งนิ่งๆ อยู่
“เจ้าหญิงเพคะ” นิชาเรียก
“เรารู้ตัวเสมอ..ไม่ต้องกังวล”
“แต่...” นิชางงงวย
“วันนี้จะแต่งตัวเร็วที่สุด อย่างที่เจ้าไม่นึกเลย”
สุไบดาลุกเดินลิ่วนำไป นางข้าหลวงสนองพระโอษฐ์ 2 คน เดินตามไป ยิ้มแย้มทั้งคู่
ที่บริเวณหน้าห้องพักฟื้นของชารีฟ เต็มไปด้วยบรรดาคนที่มาเยี่ยม มีบรรดานายทหารระดับสูง 2 คน ระดับกลางราว 3 คน และระดับชั้นประทวนอีกหลายคน รวมทั้งพลเรือนเจ้านายชั้นสูง
โดยบรรดานายทหารและข้าราชการพลเรือนระดับสูง เอาดอกไม้มาเยี่ยมไข้ การิม และทหารอีกคนคอยรับของอยู่ และนำไปวางที่โต๊ะยาวหน้าห้อง เห็นบางคนกำลังเซ็นสมุดเยี่ยม
เจ้าหญิงสุไบดาเดินมาแต่ไกล ท่วงท่าสง่างามในอาภรณ์สวยสมวัย ไบคานพ่อของชารีฟ เดินจ๋องๆอยู่เยื้องไปข้างหลัง มีนิชา และข้าหลวงเดินตาม 2-3 คน
ทุกคนตรงนี้เห็นเจ้าหญิง พากันซาลามต่ำกันทุกคน เจ้าหญิงทักทายเบาๆ นุ่มนวล สุดท้ายมองหน้าการิมเป็นเชิงถาม
“ยังไม่ฟื้นพระเจ้าค่ะ” การิมตอบเบาๆ
“ออกมาจากห้องผ่าตัดเมื่อไหร่” สุไบดาซัก
“บ่ายๆ พระเจ้าค่ะ”
สุไบดาหงุดหงิด ว้าวุ่นใจ “บ่าย นี่จะห้าโมงเย็นอยู่แล้วนะเจ้า ยังไม่ฟื้นอีก มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรผิดปกติ พระเจ้าค่ะ”
“ไม่จริง ต้องมีอะไรไม่ปกติแน่ ผ่าตัดก็ใช้เวลานานเกินไปแล้ว ควรฟื้นได้แล้ว”
การิมบอกอีก “แต่...ก็ยังไม่ฟื้น”
สุไบดาเสียงเข้ม “ฉันถึงบอกว่ามีอะไรผิดปกติไง”
ชารีฟหลับสนิทไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น และตกอยู่ในความฝัน ฝันถึงวันและเวลาที่ทะเลทราย อันเป็นเหตุการณ์ตอนที่มีมิเชลล์เจ็บปางตาย ชารีฟประคับประคองเดินมา มือต่อมือเกาะเกี่ยวกัน
ส่วนในห้องมือของสุไบดาเข้าเกาะกุมมือชารีฟเอาไว้ อย่างอ่อนโยนและนุ่มนวล สุไบดานั่งลงข้างเตียง ไบคานยืนอยู่อีกทาง ชารีฟนอนนิ่งสนิท
สุไบดาเริ่มตัวสั่นสะท้าน สีหน้ากังวลมาก มองจ้องพึมพำเรียก “ชารีฟๆๆ” ไม่ขาดปาก
นิชาจ้องมองอย่างสงสาร
สุไบดาหันมาทางนิชา หน้าตาเหยเก
นิชาเข้าไปหา “พระทัยเย็นๆเพคะ คณะแพทย์เขาดูแลเต็มที่เพคะ”
“ทำไมยังไม่ฟื้น…นานเกินไปแล้ว อย่างน้อยต้องบอกเราว่า ทำไม” ถึงตรงนี้สุไบดาเสียงดังขึ้น “ทำไมยังไม่ฟื้น”
สุไบดาจะทนไม่ได้ ลูบไล้มือลูกชายอยู่ไปมา
“ชารีฟ...ลืมตาหน่อยสิลูก แม่อยู่นี่นะลูก”
ชารีฟหลับสนิทฝันเห็นแต่มิเชลล์ ภาพความหลังครั้งเก่าตอนที่มิเชลล์นั่งพยาบาลชารีฟที่กำลังหมดสติ ในยามยากที่รอนแรมมาด้วยกัน วันหนึ่งกลางทะเลทราย
จังหวะนั้นใบหน้าชารีฟส่ายไปมาเล็กน้อย พึมพำเสียงแผ่วเบา
“มิเชลล์...”
สุไบดากำลังสวดอ้อนวอนพระอัลเลาะห์ จึงไม่เห็น
“มิ.....” พูดเท่านั้นก็ต้องขมวดคิ้วด้วยรู้สึกเจ็บแผลขึ้นมา “....เชลล์”
สุไบดาได้ยินหันมาเพ่งมอง
เสียงชารีฟเรียกดังขึ้น “มิเชลล์”
สุไบดาลุกพรวด ตรงมายืนชิดเตียงฟังใกล้ๆ แต่ชารีฟพึมพำชื่อ มิเชลล์ ไม่มีเสียง
“นิชา มาฟังหน่อย” สุไบดาเรียก
นิชามาฟังใกล้ แต่ใกล้เกินไป สุไบดาดึงให้ห่างออกมาหน่อยอย่างหน้าตาเฉย
ชารีฟเอ่ยเสียงดัง “มิ....เชลล์”
สุไบดาได้ยินชัด สีหน้าขุ่นมัว ไม่พอใจอย่างชัดเจน
“นึกแล้วอาถรรพ์ทะเลทรายหรือนี่ แค่เดินไปด้วยกันไม่กี่วัน จะรักกันแค่ไหนเชียว”
ขณะเดียวกัน มิเชลล์อยู่หน้ากระโจมเจ้าหญิงพระชายาในท่าทีอันเศร้าสร้อย สังหรณ์ใจอยู่อย่างนั้น สักครู่พระชายาแหวกม่านมองมาเห็นด้วยความตกใจ หันกลับไปหาฟาราห์ทันที
“ฟาราห์...เจ้าบอกกับนางไปหรือว่าราชองครักษ์เจ็บหนัก”
“โธ่ พระชายาเพคะ หม่อมฉันทราบเมื่อกี้เอง ยังไม่ได้ออกไปนอกกระโจมด้วยซ้ำ” ฟาราห์บอก
“จริง แสดงว่านางยังไม่รู้ ทำไมนางทำท่าเหมือนรู้”
“นางทำท่าเหมือนรู้ แต่นางยังไม่รู้ก็ได้นี่เพคะ”
พระชายาเหล่นิดๆ กับการเล่นลิ้นของหัวหน้านางข้าหลวง
“นางต้องไม่รู้ ไม่มีทางที่นางจะรู้” แล้วเดินเข้าไปหา
มิเชลล์เหลียวมาเห็น ทำความเคารพ
“คิดอะไรอยู่รึมิเชลล์ หน้าตาไม่สบายใจ ทำไมอีก ไม่กี่วันก็จะพบกับสามีของเจ้าแล้ว พิธีแต่งงานยิ่งใหญ่ที่สุดกำลังจะเกิดขึ้น”
มิเชลล์จ้องพระชายาแน่วนิ่ง สายตาบ่งบอกว่ารู้ทัน พระชายาสบตามิเชลล์ บอกต่อ
“เจ้า...เอ่อ ควรมีความสุขสิ”
“เขาเจ็บมากใช่มั้ยเพคะ”
พระชายาตอบเร็วตามจิตใต้สำนึกที่กังวลหนัก อย่างลืมตัว “ไม่ตายหรอก”
มิเชลล์มีสีหน้าโล่งใจหน่อยๆ
“ดูทีรึ...หลอกข้าจนได้”
“เขาจะไม่ตายหรือเพคะ แต่หม่อมฉันสังหรณ์ใจมากเพคะ ในใจนี่” มิเชลล์ยกมือแตะที่หัวใจตัวเองพลางบอกเสียงเศร้า “มันว่างเปล่าชอบกลเพคะ”
“เรารับรอง ชารีฟปลอดภัยแล้วแน่นอน”
มิเชลล์จ้องพระชายาแน่นิ่ง ขณะพระชายาพยายามทำหน้าปกติ
มิเชลล์พูดด้วยเสียงอันมั่นคง “หม่อมฉันไม่ลืมที่รับสั่งกับหม่อมฉันวันแรกที่ฟื้นจากไม่สบาย”
พระชายาหน้าเสีย
“คำรับสั่งนั้นหม่อมฉันได้ยินตลอดเวลา หม่อมฉันทูลแล้วว่าพร้อมเสมอ ถึงเวลานั้นก็พร้อมเพคะ”
“ดีมาก..มิเชลล์ ถ้าจะมีอะไรให้เจ้าเสียใจ แต่สิ่งหนึ่งที่เจ้าจะได้อย่างแน่นอนคือเจ้าจะภูมิใจที่ได้ช่วยให้สามีของเจ้าตอบแทนพระคุณแผ่นดินได้เต็มที่ ไม่ต้องมีห่วงมีใย มีภรรยาของเขาจะทุกข์ทรมานจนเกินไป”
มิเชลล์ปรับสีหน้าให้เป็นปกติในที่สุด “เพคะ เหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
“ข่าวมาว่าเหตุการณ์ยังสงบเรียบร้อยดี องค์อาหเม็ดกำลังทรงรอคอยที่จะพบประชาชนของพระองค์”
“พบวิธีไหนหรือเพคะพระชายา”
“เราไม่รู้ แต่พระองค์จะพบกับประชาชนทุกคนในฮิลฟารา”
มิเชลล์ฉงนมาก “ทุกคน”
“ใช่ ทุกคน” เจ้าหญิงพระชายาบอก
ทั่วบริเวณเมืองฮิลฟาราในเวลาต่อมา บรรดาชาวเมืองเดินไปเดินมาตามปกติ ไม่มีวีแววของความผิดปกติหรือความยุ่งยากวุ่นวายใดๆ
ในตลาดคนซื้อ ซื้อ คนขาย ขาย
ส่วนที่บริเวณหน้าพระราชวังฮิลฟารา ทหารยืนเฝ้าพระราชวัง เหตุการณ์ดูสงบ และเรียบร้อยดี
ขณะเดียวโทรศัพท์หลายๆ เครื่อง และในแต่ละสถานที่ มีโลโก้ขึ้นหน้าจอว่าจะมีรายการพิเศษ เสียงเพลงชาติ ดังกระหึ่ม ชวนฮึกเหิม
โลโก้รายการพิเศษในร้านอาหารมีผู้คนหันมาดู
เช่นเดียวกับในบ้านชาวฮิลฟารามีคนจ้องจอภาพโลโก้รายการพิเศษ
สักครู่ต่อมา เสียงเพลงชาติเบาลง จอทีวีทุกเครื่องในฮิลฟารา ปรากฏภาพองค์อาหเม็ดออกทีวี ตรัสด้วยสุรเสียงดังกังวาน
“พี่น้องชาวฮิลฟาราของข้า เจ้าตาไม่ฝาด เจ้าเห็นเราจริงๆ เราอาหเม็ดที่สาม กษัตริย์ของพวกเจ้า”
พวกชาวฮิลฟาราที่ดูทีวีต่างตกใจที่เห็นกษัตริย์ เรียกกันโหวกเหวกให้มาดู แล้วต่างดีใจโห่ร้องกันเสียงดัง
องค์อาหเม็ดพูดออกประกาศต่อ
“ข้าถูกชะตากรรมส่งให้จากบ้านจากพวกเจ้าไปเร่ร่อนอยู่กลางทะเลทราย ข้าได้พบสิ่งที่ข้าไม่เคยพบ ได้เห็นในบางสิ่งที่ไม่เคยเห็น นั่นคือ ความทุกข์ยากลำบากของประชาชนของข้า”
ทุกคนเพ่งดูทีวีจดสายตาจ้องมอง
“บัดนี้ ชะตากรรมของข้าสิ้นสุดลงด้วยชีวิตของคนทรยศ ข้ากลับมาแล้วพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ในใจของข้า” สีพระพักตร์แน่วแน่ขณะเอ่ยคำต่อมา “ต่อไปนี้อีก 5 ปี ฮิลฟาราของเราจะไม่มีคนโง่ จะไม่มีคนเจ็บ จะไม่มีคนไร้ที่อยู่ จะไม่มีคนอดอยาก”
ประชาชนฮิลฟาราที่ดูทีวีทั้งหลายโห่ร้องด้วยความยินดี
“ใครที่รวยมากจงเตรียมตัวให้ดี...”
สายตาทุกคู่ต่างเพ่งมองจอทีวี คอยฟังอย่างตื่นเต้นตื้นตัน
“...เตรียมตัวแบ่งความรวย ความสุขสบายเกินกว่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะพึงมี ให้แก่คนที่อดอยากยากจน เราจะใช้มาตรการทางภาษี กระจายความสุขสบายให้เท่าเทียมกัน อย่างน้อยปัจจัย 4 ทุกคนต้องเท่าเทียมกัน ไม่อด ไม่เจ็บ ไม่ไร้ที่อยู่ ไม่ไร้เสื้อผ้าสวมกาย”
คนดูทีวีโห่ร้องยินดีเซ็งแซ่
“เราไม่กลัวคนรวยต่อต้าน ไม่กลัวเดินขบวน ไม่กลัวคนรวยไม่ร่วมมือ เพราะเรามีคนจนมากกว่าครึ่งเป็นพวกของเรา”
ประชาชนโห่ร้องกันอีก
“ข้อต่อไปที่เราให้สัญญา ต่อไปฮิลฟาราจะไม่มีคอรัปชั่น เราจะไม่ยินยอมให้คนเห็นแก่ตัวใช้อำนาจเบียดบังเงินทองเข้ากระเป๋าตัวเองจนร่ำรวยล้นฟ้ามากกว่าคนอื่นอีกเป็นอันขาด”
ชาวฮิลฟาราที่ดูทีวี หันมาตบมือกัน กอดกัน ดีใจกันเป็นที่สุด
ทางด้านชารีฟนอนสงบนิ่งอยู่ในห้องพักฟื้น ขณะเจ้าหญิงสุไบดายังสวดอ้อนวอน และในจอทีวีองค์อาหเม็ดยังออกทีวีอยู่ต่อเนื่อง โดยมีนิชาจ้องดูอยู่
สุไบดาสวดต่อ และชารีฟยังคงหลับนิ่ง
องค์อาหเม็ดพูดในทีวี เสียงก้องกังวานไปทั้งห้อง ชารีฟค่อย ๆ รู้สึกตัว กระดิกนิ้วเปิดตามอง เห็นทุกอย่างพร่ามัว เลื่อนลาง
“นั่นใคร...”
สุไบดาเหลียวขวับมาดู “ชารีฟ โอชารีฟ” พุ่งเข้าไปหน้าเตียง “เห็นแม่มั้ย...นี่แม่นะลูก”
“เด็จแม่…” มือชารีฟไขว่คว้า ด้วยยังเห็นไม่ถนัด “ลูกเป็นอะไรพระเจ้าค่ะ”
“เดี๋ยวแม่เรียกหมอมาบอก”
“เสียง...เสียงนั่น เสียงองค์อาหเม็ดใช่มั้ยท่านแม่”
ชารีฟเพ่งดูทีวี เห็นองค์อาหเม็ดอยู่บนจอโทรทัศน์
องค์อาหเม็ดประกาศต่อ “อีก 5 ปี ฮิลฟาราจะมีรัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้ง เราขอคืนอำนาจให้ประชาชน ขอเวลา 5 ปีเพื่อเตรียมประชาชนให้พร้อมเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย...ขอสัญญา”
ชารีฟซาลามต่ำ
ภาพในจอโทรทัศน์ ขึ้นโลโก้ประจำชาติฮิลฟารา และเสียงเพลงชาติปลุกใจดังกระหึ่ม
ชารีฟกดรีโมทปิด
“ขอจงทรงพระเจริญ”
เวลานั้นที่กระโจมพระชายาในทะเลทราย
“ได้เวลาแล้ว มิเชลล์” พระชายาเดินยิ้มสดใสเปิดกระโจมเข้ามาอย่างรวดเร็วข้าหลวงเดินตามมาทั้งหมด
“เพคะ” มิเชลล์ยิ้มรับ
“ขบวนมารับแล้ว เราจะกลับฮิลฟารากัน”
“เพคะ เป็นพระมหากรุณาธิคุณ” มิเชลล์ยิ้มกว้างขวาง
“ยิ้มจนปากจะถึงหูแต่ก็ ..ทำให้กระโจมนี้สว่างขึ้นทันที จริงมั้ย ฟาราห์” พระชายาเย้า
“จริงเพคะ แต่หม่อมฉันกับพวกนี้ก็ยิ้มนะเพคะ” ฟาราห์เล่นลิ้นตามเคย
แต่ละคน ยิ้มกว้างขวางเหมือนกัน
“เจ้าลองหุบยิ้มซิทุกคน” พระชายาสั่ง
มิเชลล์ร้องบอก “ไม่ต้อง”
แต่ทุกคนหุบ
“อือ...ก็ยังสว่างเท่าเดิม” พระชายาว่า
ทุกคนหัวเราะกันเสียงดัง
พระชายาแตะผมมิเชลล์ที่เริ่มยาวขึ้นมาก พูดยิ้มๆ
“สีผมเจ้างามแปลกตาดีเหลือเกิน ผมก็ยาวขึ้นอีกนิดหน่อย พอจะแต่งให้สวย...สมเป็นเจ้าสาวนะจ๊ะ”
อ่านต่อหน้า 3
ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 10 (ต่อ)
อยู่มาวันหนึ่ง ที่วังของเจ้าหญิงสุไบดา ไบคานบิดาของชารีฟนั่งอยู่ในห้องโถง อ่านหนังสืออย่างสงบเงียบสีหน้าสุขุม สุไบดาเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ท่าทีร้อนรนกระวนกระวายใจมาก
“นิชา” สุไบดาเรียกเสียงดัง
ไบคานเงยหน้ามาดูพอเป็นพิธี
“นิชา...ไม่ได้ยินหรือว่าเราเรียกเจ้า”
“ได้ยินเพคะ แต่หม่อมฉันกำลังมองหาข้าหลวงซักคน”
“มองหาทำไม ไม่ต้องมอง เราไม่ต้องการอะไร”
“จะให้จัดพระสุธารสมาให้ท่าน” นิชาหมายถึงไบคาน
“ยังไม่ต้อง”
นิชาชำเลืองสบตากับไบคาน ที่ชำเลืองมาเหมือนกัน สายตานิชาจ๋อยๆ ปนสงสารเห็นใจ สายตาไบคานดูเบื่อๆ เนือยๆ ไม่อยากยุ่ง แล้วลุกขึ้นถือหนังสือเดินออกไป
“นิชา ฟังให้ดี เราต้องการรู้เรื่องของผู้หญิงต่างชาติคนนั้น ที่ชื่อมิเชลล์ ผู้หญิงที่เกือบจะเป็นผู้หญิงขององค์อาหเม็ด ไปยังไงมายังไง ถึงกลายมาเป็น...ของลูกชายเรา” สุไบดาตบที่นั่งแรงๆ “เราต้องการเร็วนะนิชา หาคนไปหาคำตอบมา”
ภายห้องในพักฟื้นของชารีฟที่โรงพยาบาล ชารีฟละเมอออกมาอีก ขณะพยาบาลเวรอยู่ในห้องด้วย
“มิเชลล์”
พยาบาลที่กำลังจะฉีดยา หยุดชะงัก เงี่ยหูฟัง
มือของชารีฟตวัดมาจับมือพยาบาลทันที ปากถาม “มิเชลล์ เธอหรือ”
พยาบาลนิ่งเฉย ใจระทึกเล็กน้อย แต่ชารีฟยังหลับตาอยู่
ชารีฟควานคว้าต่ออีกนิดหน่อยแล้วปล่อย “ไม่ใช่เธอ...ไม่ใช่มิเชลล์” แล้วผลักมือแทบกระเด็นไป
“ท่านราชองค์รักษ์ ดิฉันพยาบาลค่ะ ฉีดยานะคะ” พยาบาลว่า
แต่ชารีฟปัดมือพยาบาลอย่างแรง “ไม่ฉีด...” เสียงชารีฟเรียกหามิเชลล์ดังขึ้นอีกหน่อย “มิเชลล์...”
พยาบาลได้ยินเต็มที่
“ภรรยาท่านหรือคะ ท่านราชองค์รักษ์” สายตาของพยาบาลเพ่งมอง ลุ้นรอฟัง
“ใช่...” เสียงชารีฟแผ่วลงมากขณะบอกคำต่อมา “ภรรยาของฉัน”
พยาบาลจัดการฉีดยาจนได้ ยืนมองน้ำยาผ่านหลอดยาไป แล้วห่มผ้าคลุมตัวให้
จากนั้นพยาบาลออกมาที่ประตูจะเปิด แต่มีเสียงเคาะเบาๆ พยาบาลเปิดออกไปทันที
“มาแล้วรึ” น้ำเสียงพยาบาลเหมือนคนมีแผนการ
“ได้เรื่องมั้ย” แขกผู้มาเยือน หมายถึงเรื่องที่มาสืบให้สุไบดา
“ท่านราชองค์รักษ์ทรงบอกว่ามิเชลล์..คือภรรยาของท่าน”
พยาบาลบอกสายสืบที่นางข้าหลวงนิชาส่งมา
ต่อจากตอนที่แล้ว
เรื่องรู้ถึงหูเจ้าหญิงสุไบดาในเวลาต่อมา ด้วยฝีมือนางข้าหลวงนิชา เจ้าหญิงพระมารดาของชารีฟหน้าบึ้ง โกรธจัด
“ผู้หญิงต่างชาติ..เราจะมีลูกสะใภ้เอกเป็นหญิงต่างชาติหรือนี่”
“ข่าวว่าตบแต่งกันแล้วเพคะ” นิชาเสริม
“ไม่แปลกถึงจะตบแต่งกันเป็นเมียแรก ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นเมียเอก”
“องค์อาหเม็ดทรงเป็นองค์จัดพิธีนะเพคะ คงจะทรงเห็นว่าท่านราชองครักษ์อุทิศให้ทั้งชีวิตนะเพคะ คงจะทรงตอบแทน”
“เราเป็นแม่...ประเพณีเก่าแก่ดั้งเดิมของฮิลฟาราไม่ควรถูกละเมิด แม้ว่าองค์อาหเม็ดจะต้องตอบแทนชารีฟซักแค่ไหน ก็ให้เป็นอย่างอื่น เราไม่ยอมให้ชารีฟมีเมียเอกเป็นผู้หญิงต่างชาติเป็นอันขาด”
“เขาชอบอย่างไร ควรจะให้เขาเลือกเอง เพราะเขาเป็นคนแต่ง” ไบคานบิดาชารีฟขัดขึ้น
สุไบดาสวนคำออกมา “แต่เราเป็นพ่อเป็นแม่ ประเพณีของฮิลฟารา เป็นหน้าที่ของเราต้องรักษา ต้องทำมากกว่าประชาชนทั่วไป”
ไบคานมองภรรยาเจ้าหญิง ด้วยสีหน้าเนือยๆ
สุไบดามองตอบ “พ่อยอมในส่วนของพ่อ เรายังไม่เห็นเหตุผลที่จะละเมิดประเพณี” สุไบดาย้ำคำ “ไม่มีเหตุผล”
ที่บริเวณหน้าตำหนัก พระราชวังใหญ่ ตอนกลางคืน แลเห็นขบวนรถยนต์นำเสด็จพระชายา แล่นตามกันมาหลายคัน รถยนต์หรูหรา ประดับทิวธงแห่งฮิลฟารา
รถนำขบวนมาจอดที่หน้าพระราชวังอันใหญ่โตโออ่า
เจ้าหญิงพระชายาลงจากรถพระที่นั่ง ตามด้วยพระสนมหลายคน นายทหารทุกคนยืนรอรับ
หัวหน้าสนมที่อยู่ในวัง ถวายดอกไม้ต้นรับ พระชายารับมา แล้วส่งต่อให้ฟาราห์
นายทหารมาทำความเคารพพรึ่บพรับเข้มแข็งสมพระเกียรติ พระชายาทักทายทุกคน ยิ้มแย้มแจ่มใส จากนั้นพระชายาเดินนำขบวนเข้าสู่พระราชวังฮิลฟารา นางข้าหลวงเดินตาม มิเชลล์อยู่ในขบวนนี้ด้วย
เห็นได้ชัดว่ามิเชลล์คอยสอดตามองหาไป จดจ้องมองตามใบหน้าของทหารหลายๆ คนที่เฝ้าอยู่ ไม่เห็นใครเลยที่รู้จักพอถามไถ่
มิเชลล์มีสีหน้าผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
ขบวนนำเสด็จพระชายา มีมิเชลล์ นางสนม และนางกำนัลทั้งปวง รวมทั้งสนมที่มาคอยรับเสด็จเดินเข้าวังกันมา ในห้องโถงใหญ่
ซึ่งในห้องนั้นมีผู้คนคอยเฝ้ารับเสด็จอยู่ นายพลมุสกัตเดินมา ทำความเคารพอย่างต่ำ
พระชายาค้อมหัวรับความเคารพ “ท่านนายพล”
“ขอให้ทรงเจริญพระเจ้าค่ะ”
พระชายาทักตอบเสียงแผ่วเบา มองตา “เราขอบใจ เป็นเพราะท่านแท้ๆ
“คนสำคัญที่สุดมิใช่ข้าพระองค์ คือท่านราชองครักษ์นายแพทย์ชารีฟพระเจ้าค่ะ”
คำพูดของนายพลสูงวัยกระแทกเข้าหน้ามิเชลล์ทันที
“คนนั้นต้องยกไว้ แต่ถ้าพูดในวงกว้าง คือท่าน”
“ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ”
“เราจะไปเฝ้าองค์อาหเม็ด”
“องค์อาหเม็ดเสด็จโรงพยาบาลพระเจ้าค่ะ”
มิเชลล์ชะงักที่กำลังยิ้มให้คนแถวๆ นั้น หันขวับมาทันที หน้าเสียไปเหมือนกัน
พระชายาเดินนำนายพลมุสกัตไป ไกลกว่าที่มิเชลล์จะได้ยิน มิเชลล์จ้องมองจับจากกิริยา
พระชายากับมุสกัต พูดกันท่าทางเคร่งเครียด มิเชลล์จ้องแล้วจ้องอีก แล้วรู้ในบัดนั้นว่าสองคนว่าพูดเรื่องชารีฟ
โดยลืมตัว มิเชลล์เดินเข้าไปจวนจะถึงแล้ว สองคนหันมาเห็น
นายพลมุสกัตรีบโค้งถวายเคารพแล้วผละไปทันที มิเชลล์มองตาม สีหน้ากังวล
พระชายาเห็นฟารีดาและเจ้าหญิงสุไบดายืนรอรับอยู่ด้วยกัน จึงตรงเข้าไปไหว้ทักทาย
“ขอบพระทัยเพคะที่อุตส่าห์มารับหม่อมฉัน”
สองคนยิ้มทักทาย ฟารีดานั้นยิ้มแก้มเศร้า
“หม่อมฉันเสียใจด้วยอย่างยิ่งเพคะ” พระชายาค้อมหัวต่ำ
“ทุกอย่างถูกลิขิตไว้แล้ว เราจะได้รู้ว่าทุกคนต้องรับผลการกระทำของตัวเอง...เจ้าพี่โอมานนั้นคงจะรู้ยิ่งกว่ารู้” ฟารีดาว่า
พระชายาหน้าเศร้า จับมือปลอบใจ
สุไบดาเหลือบมองไปทางมิเชลล์อย่างพิจารณา นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้หญิงสองคน ที่ชารีฟรักสุดหัวใจเจอหน้ากัน
“เจ้าพี่สุขภาพดีไหมเพคะ เจ็บป่วยสิ่งใดหรือเปล่า” พระชายาถามฟารีดา
“นี่...ฟาราห์ ใจคอจะไม่มักทายฉันเลยรึ” สุไบดาหันมาทางฟาราห์
“ก็...หม่อมฉันเห็นเจ้าพี่ฟารีดา พระพักตร์เศร้านัก...สบายดีหรือเพคะ เจ้าน้าสุไบดา”
“ลูกชายเจ็บแทบตาย จะหาความสบายมาจากไหน” พลางมองมายังทางมิเชลล์ยืนอยู่อีก
มิเชลล์สีหน้าไม่ดี รู้ตัวว่าถูกมองจ้องอย่างพินิจพิจารณาจากสายตาคมกริบคู่นั้น
มิเชลล์ยืนซุ่มรอคอยอยู่ที่มุมหนึ่ง สีหน้ากระวนกระวายมากๆ แต่พยายามสงบนิ่ง กดข่มทุกความตื่นเต้นลงไป มีคนเดินมา มิเชลล์หันขวับไป พบว่าไม่ใช่...จึงถอยกลับมาอย่างเดิม
มีคนเดินมาอีก ไม่ใช่อีก มิเชลล์อ้อนวอนพระเจ้า พนมมือ มองไปเบื้องบน
สักครู่หนึ่ง แลเห็นนายพลมุสกัตเดินมาแต่ไกล มีนายทหารติดตามมาด้วยอีกสองคน มิเชลล์มัวแต่สวดอยู่นั่น นายพลมุสกัตจะผ่านไปอยู่แล้ว
“เอาล่ะ ฉันจะไปโรงพยาบาลก่อน...”
มิเชลล์ได้ยินหันขวับไปทันที พุ่งตัวออกไป “ท่านนายพล”
นายพลมุสกัตตกใจแว่บหนึ่ง
“มาดมัวแซลล์” รีบทำสัญญาณให้ทหารออกไป “มีอะไรหรือ”
“ฉันไม่เชื่อ...ไม่เชื่อว่าท่านจะไม่รู้ว่าฉันเป็นทุกข์เหลือเกิน”
นายพลมุสกัตพยักหน้าช้าๆ “ข้าพเจ้าทราบ และเห็นใจอย่างยิ่ง”
“บอกฉันเถิดท่านมุสกัต ฉันฟังได้ทุกอย่าง ไม่ว่าเขาจะเจ็บหนักหรือสิ้นชีวิตไปแล้ว ชีวิตของเราสองคนผ่านความตายมาหลายครั้ง ถ้าให้ฉันพูดตรงๆ ฉันไม่น่าจะมายืนพูดกับท่านอย่างนี้ด้วยซ้ำ”
“มาดมัวแซลล์ ขอให้ท่านสงบใจและรอคอยก่อน”
“เขาอยู่ที่ไหน” มิเชลล์ถามทันที “ทำไมฉันจึงไม่ได้พบเขาเสียที”
“เขาเพียงแต่...”
มิเชลล์ไม่ฟังออกอาการกระวนกระวายใจหนัก “ฉันรับรู้ได้ทุกอย่าง องค์อาหเม็ดเสด็จโรงพยาบาลทำไม เขาตายแล้วใช่มั้ย ท่านนายพล เจ้าชายโอมานฆ่าเขาใช่มั้ย”
นายพลมุสกัตกำลังจะพูด มิเชลล์แย่งพูดอีก
“ถ้าเค้าแค่เจ็บ..ทำไมท่านจึงทำท่า...ทำท่าไม่ปกติ ทุกคนทำท่าแปลกๆ”
“ท่านราชองค์รักษ์บาดเจ็บจากการต้อสู้กับเจ้าชายโอมาน...”
ท่านนายพลพูดไม่ทันจบดี มิเชลล์สวนคำ “สาหัส...อาการสาหัส” แล้วสูดลมหายใจยาว “หรือว่า...” นึกขึ้นมาแล้วเสียงสงบลงมาก หน้าตายอมรับ “ตายแล้ว” ถ้อยคำในตอนท้ายมิเชลล์พูดแผ่วเบาเหมือนเสียงกระซิบ
“โรงพยาบาลและแพทย์ทั้งหมด กำลังรักษาท่านจนสุดความสามารถ อาการพ้นขีดอันตรายแล้ว”
นายพลมุสกัตบอก
อ่านต่อหน้า 4
ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 10 (ต่อ)
ใบหน้าอันงดงามสวยซึ้งของมิเชลล์ที่ยามนี้นั่งอยู่ในห้องนอน สงบนิ่ง แต่เต็มไปด้วยความหวัง สาวลูกผสมเงยหน้าสวดอ้อนวอนพระเจ้า มีรูปบูชา พระแม่มารี ใบเล็กๆ วางอยู่
มิเชลล์ มีสีหน้าอิ่มเอิบที่รู้ว่าชารีฟพ้นอันตราย แต่นัยน์ตากระวนกระวายลึกๆ
“ฉันเหมือนตายแล้วฟื้นขึ้นมาอีก เมื่อรู้ว่าท่านพ้นอันตราย แต่ฉันสังหรณ์ใจเหลือเกินว่าอุปสรรคของเราสองคนยังมีอีก”
มิเชลล์คิดครวญในใจ ก้มหน้าลง สะท้อนใจกับตัวเองอยู่อึดใจหนึ่ง เงยหน้าอย่างเดิม
“ฉันรู้ว่าเป็นอุปสรรคเพราะฉัน...เพราะตัวฉันใช่มั้ยคะ ชารีฟ”
ครู่ต่อมามิเชลล์ยืนกอดอกพิงหน้าต่างห้องนอน ใบหน้าหมองเศร้ามาก ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ในวันนี้ผุดขึ้นในความคิด
ตอนนายพลมุสกัตพูดกับพระชายาด้วยท่าทางไม่สบายใจ ว่าองค์อาหเม็ดเสด็จโรงพยาบาล
อีกเหตุการณ์นายพลมุสกัตพูดกับพระชายากันสองคน ท่าทางเคร่งเครียด
และสุดท้ายภาพตอนถูกเจ้าหญิงสุไบดาจ้องมองอย่างไม่ชอบใจ และหันไปสบตากับสุไบดาด้วย
“ชารีฟ ฉันคิดถึงคุณ อยากไปหา คุณเจ็บมากแค่ไหน”
ที่บริเวณทางเดินหน้าห้องผู้ป่วยในโรงพยาบาล เห็นมีทหารเฝ้าเป็นระยะๆ และตลอดทางเดินหน้าห้อง
องค์อาหเม็ดเสด็จมาตามทาง มีทหารองครักษ์เดินนำมาหลายๆ คน และมาถึงหน้าห้องชารีฟแล้ว
“เอ้า...เป็นยังไงหมอ อาการของน้องชายฉัน”
นายแพทย์ผู้อำนวยการโรงพยาบาล มายืนค้อมตัวอยู่ข้างๆ สองมือกุมอยู่ข้างหน้า
“บาดแผลที่หน้าอก ที่ซอกคอค่อนข้างฉกรรจ์ อีกนิดหนึ่งจะถึงเส้นโลหิตใหญ่ที่เข้าหัวใจพะย่ะค่ะ ต้องการใช้เลือดช่วยจำนวนมากพะย่ะค่ะ”
“หมอต้องรักษาเข้าให้หาย ถ้าพันเอกชารีฟไม่หาย หมอก็ต้องเจ็บด้วย” องค์อาหเม็ดบอก
หมอยิ้มเล็กน้อย เข้าใจดีว่าเป็นการขู่ด้วยอารมณ์ขันแทรกอยู่ด้วย
“พะย่ะค่ะ ข้าพระองค์และหมอทั้งโรงพยาบาล รับสนองพระบรมราชโองการพะย่ะค่ะ”
“ขอบอกให้รู้ทั่วกันว่า พันเอกชารีฟน้องชายของเราคนนี้ จะได้รับการยกย่องว่าเป็นวีระบุรุษ เราไม่สามารถจะคืนบัลลังก์ได้ถ้าไม่มีสองแขนและเลือดเนื้อของเขาค้ำจุนอยู่”
ภายในห้องพักฟื้นชารีฟ ชารีฟนอนนิ่ง อาการยังหนักมาก หมอยืนอยู่ข้างเตียง องค์อาหเม็ดยืนมองชารีฟ ด้วยสีหน้าเป็นกังวลมาก ขมวดคิ้วจนมุ่นเข้าหากัน หมอเองสีหน้าเคร่งเครียดทุกคน องครักษ์ยืนห่างออกไป
กษัตริย์อาหเม็ดเข้าไปมองใกล้ๆ ขมุบขมิบปากเรียก “ชา...รีฟ”
ชารีฟนิ่งสนิท ขยับเปลือกตาเล็กน้อย เหมือนได้ยินแล้ว
องค์อาหเม็ดมีสีหน้ายินดีขึ้นมานิดหน่อย “หมอ” ถามเสียงเบามาก “รู้ตัวไหม”
“ลางเลือนมากพระเจ้าค่ะ อาจจะได้ยินแว่วๆ”
“ก็ยังดี” องค์อาหเม็ดหันหลังเดินจะออก
หมอตามมา ยืนตรงแหนว
“คราวนี้ฉันไม่พูดเล่น ถ้าเขาไม่หาย หมอต้องเจ็บด้วย”
หมอคนที่ 1 รับคำ “พระเจ้าค่ะ”
หมอคนที่ 2 รับตาม “ขณะนี้เรียกว่า พ้นขีดอันตรายแล้วพระเจ้าค่ะ”
“ฉันจะมาอีก” องค์อาหเม็ดถามเสียงเข้ม จ้องหน้านิ่ง “จะให้มาเมื่อไหร่”
หมอทั้งสอง หนาวๆ ร้อนๆ ไปตามๆกัน
องค์อาหเม็ดเดินเข้ามาในวังพระชายาอย่างสง่างาม ถึงบริเวณภายนอก ตรงห้องโถงรับรองด้านหน้า ทหารเดินตามกันอย่างพร้อมเพรียง ฟาราห์ เดินเร็วๆ ออกมารับเสด็จ นางข้าหลวงตามมา 2-3 คน
องค์อาหเม็ดหยุดยืน ทหารทั้งปวงถอย แยกย้ายไปยืนห่างๆเรียงราย
ฟาราห์ทำความเคารพ “เชิญเสด็จเพคะ พระชายาให้ทูลถามว่าจะไปรอเสด็จในสวนมั้ยเพคะ”
“ทำไมต้องในสวน”
“พระชายาให้ทูลว่า วันนี้อากาศดีเพคะ คงจะทรงพระสำราญในสวน”
“เราไม่ได้มาพูดเรื่องสำราญ ที่ไหนก็พูดได้”
ครู่ต่อมาองค์อาหเม็ดประทับนั่งกันอยู่แล้วกับพระชายา ฟาราห์ ให้ข้าหลวงวางเครื่องดื่ม แล้วถอยออกไปทั้งสองคน
“อาการของชารีฟหนักมาก”
“เพคะ”
“แต่พ้นขีดอันตรายแล้ว ต่อไปคือขั้นทุ่มเทการรักษา”
“เพคะ หม่อมฉันได้ยินว่าพ้นขีดอันตราย ก็โล่งใจแล้วเพคะ”
“มีเรื่องที่อาจทำให้เป็นกังวลมากว่านั้น”
อีกมุมหนึ่ง ในวังพระชายา เวลาต่อมา มิเชลล์คุยอยู่กับฟาราห์ ถามเรื่ององค์อาหเม็ดเสด็จมา
“เรื่องอะไรคะ”
“ไม่รู้เลย”
“องค์อาหเม็ดเสด็จโรงพยาบาล แล้วตรงมาที่นี่เลย ฉันรู้...ว่าเป็นเรื่องของ...ของท่านราชองค์รักษ์แน่ๆ”
“ฉันดูพระพักตร์ไม่เท่าไหร่ พอประมาณๆ” ฟาราห์เล่นลิ้นตามเคย
มิเชลล์เหล่ฟาราห์
“เห็นยังไงก็พูดยังงั้น” ฟาราห์ย้ำคำ
ฟากสองพระองค์ยังสนทนากันอยู่ที่เดิม
“หม่อมฉันเป็นกังวลเหมือนที่รับสั่งเพคะ” พระชายาพูดแล้วถอนใจ
องค์อาหเม็ดนิ่งไปนาน “เรื่องนี้ยุ่งยาก ยุ่งยากจริงๆ”
พระชายาเพ่งมอง สายตาเครียดขึ้น “ยุ่งยากตรงไหนหรือเพคะ”
“รู้จักเจ้าน้าสุไบดาแล้วไม่ใช่รึ พระชายาของข้า”
“เพคะ รู้จัก แต่พระราชโองการขององค์อาหเม็ดย่อมมีอำนาจเหนือสิ่งอื่นใด”
“อ้าว...พูดยังงั้นได้ยังไง เขาแม่ลูกกัน”
“แต่ว่าทรงรู้ได้ยังไงว่าเจ้าน้าสุไบดาจะขัดขวางเรื่องนี้”
“หนึ่ง เพราะรู้จักเจ้าน้าดีว่าทรงเคร่งครัดเรื่องประเพณีเหลือเกิน เจ้าน้ายอมหักไม่ยอมงอทุกครั้ง ได้ยินคนเล่าว่ามีเรื่องกับโอมาน โอมานยังต้องแพ้”
พระชายาพูดเป็นเชิงถาม “ข้อสอง?”
“จากข้อ 1 ทั่วไปเมื่อกี้นำไปสู่ข้อสรุปได้ง่าย จากที่เราพบเจ้าน้าแค่ 3-4 นาที”
พระชายาท้วง “หม่อมฉันถามถึงข้อสอง”
“เอ๊า..ก็ที่พบเจ้าน้านั่นแหละข้อสอง หนึ่งกับสองรวมกันก็คือสรุปที่ว่า” องค์อาหเม็ดลุกขึ้นยืน ท่าทางเหมือนจะกลับ
“พระชายาคงต้องเหนื่อยหน่อยนะ”
พระชายาหน้าคิดหนัก มองไปทางอื่น
“พระชายา....คิดอะไร”
“อ๋อ คิดว่าเจ้าน้าของพระองค์น่ะ ช่างคร่ำครึ โบราณ น่าจะเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์” มองไปด้วยสาตาไม่หวาดหวั่น
องค์อาหเม็ดมองสบตานิ่งๆ อยู่สักครู่ รับรู้ว่าพระชายาไม่กลัวสุไบดาที่ใครก็หวั่นเกรง
องค์พระประมุขแห่งฮิลฟาราแตะคางพระชายาให้เงยหน้า
“มีเวลาให้คิด ให้วางแผนตั้งรับอีกนาน...”
พระชายามีสีหน้าเป็นคำถาม แต่ดื้อ รั้นแง่งอน น่ารักๆ
องค์อาหเม็ดเขย่าคาง หยอกล้อ “กว่าชารีฟจะหาย” พร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเดินออกไป
มิเชลล์รอจังหวะอยู่ ก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว องค์อาหเม็ดชะงัก มิเชลล์รีบทำความเคารพ
“ขอพระราชทานอภัยที่หม่อมฉันเข้ามาไม่ขอพระราชทานอนุญาต แต่ว่า...”
“ยินดีที่ได้พบมาดมัวแซลล์เดอลาโรนีล์” แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว มิเชลล์ยืนอึ้ง เหมือนจะร้องไห้
“มาทางนี้เถอะมิเชลล์” พระชายาเดินเข้ามาจูงมือ พามานั่ง แล้วมองหน้ามิเชลล์
“ผู้หญิงที่จะเป็นเมียชารีฟ คุณสมบัติสำคัญอย่างหนึ่งคือ ต้องเข้มแข็งมากว่าผู้หญิงธรรมดา”
น้ำเสียงที่พระชายาพูดแผ่วเบาเนิบช้า แต่หนักแน่นเหลือแสน
อ่านต่อตอนที่ 11