ธิดาพญายม ตอนที่ 13
สาวกอาคินเป็นผีดิบแต่มีอาวุธครบมือ ก้าวพรวดเข้าหา ชายฉกรรจ์ทั้งสามต่างหันหน้าตั้งรับพวกมัน
“แม่นางรีบหนีไป”
ปาระนังยิ้มเยือกเย็น
“ท่านอย่าได้กังวล เราช่วยท่านกำจัดพวกมัน”
ปาระนังพึมพำแล้วเอานิ้วรูดที่ตัวดาบเห็นเป็นรอยโลหิตติดอยู่กับตัวดาบ แล้วพุ่งตัวตีลังกาข้ามชายฉกรรจ์สามคน เข้าใส่ผีดิบสาวกอาคิน ดาบปลายแหลมตวัดเข้าใส่พวกมันกระจายออกไป สาวกหลายตัวรุมปาระนัง ที่เหลือเข้ารุมล้อมชายฉกรรจ์ทั้งสาม ต่างช่วยกันต่อต้านสาวกอาคิน แต่ปาระนังหมุนตัวพลิ้วไปมาเข้าหาพวกมัน ดาบปลายแหลมตวัดใส่พวกมันชั่วอึดใจพวกมันล้มลงหมดพิษสง พวกชายฉกรรจ์ถึงกับไม่เชื่อสายตา ปาระนังสีหน้าเยือกเย็น
“ขอบใจแม่นางที่รักษาชีวิตพวกเรา”
หัวหน้าชายฉกรรจ์โค้งปาระนัง
“ท่านอย่าได้เกรงใจ พวกท่านรีบไปจากที่นี่เตือนทุกคนคอยรับมือพวกมัน”
หัวหน้าชายฉกรรจ์พยักหน้ารับแล้วพรวดออกไป ที่เหลืออีกสองคนพรวดตาม นาชะปรากฏตัว
“ทำไมสาวกอาคินถึงไล่ล่ามนุษย์ ไม่เคยเป็นเช่นนี้”
“เทพอาคินเบื่อที่จะคอยตามพวกเรา ใช้แผนล่อให้พวกเราออกมา”
“เฮ้อ...เส้นการเดินทางต้องฝ่าอันตรายยิ่งกว่าเดิม”
“ทายาททั้งสองคน”
“ยังคงหลับอยู่มั๊งเพคะ”
“ดีแล้ว สองคนนั่นเหนื่อยมามาก ให้หลับไปก่อน”
ปาระนังยิ้มตวัดมือดาบปลายแหลมหายไป ปาระนังก้าวเดินไปยังร่างของพวกมันที่นอนระเนระนาดอยู่ พลันถอยก้าวหนึ่งแล้วสะบัดมือปล่อยพลังเป็นสาย พุ่งเข้าใส่พวกมันจนพวกมันสลายตัวกลายเป็นฝุ่นไปหมด ปาระนังสีหน้ากังวล
เอกภพกับณัชชาเดินทางมาในราวป่า ณัชชามองบนท้องฟ้าเห็นพวกอีกาฝูงหนึ่งในระยะไกลเอกภพมองตาม
“พวกสาวกของเทพอาคินตามพวกเราไม่หยุด”
“อย่างที่คุณเคยบอก เทพอาคิน มีสายป่านยาวไงล่ะ”
เสียงพวกมันร้องก้องบินผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“แปลกมาก พวกมันทำไมมันบินผ่านพวกเราไป”
“เดี๋ยวก่อน มาโน่นอีกฝูงหนึ่ง”
พวกอีการ้องก้องบินผ่านมาอีกฝูงหนึ่ง แต่บินไปคนละทิศ แล้วบินผ่านไป ณัชชาจ้องพวกฝูงอีกา
“บางอย่างไม่ถูกต้อง”
เอกภพแหงนหน้ามองฝูงอีกา
“อืม ผมก็คิดเหมือนกัน”
ทั้งสองจ้องฝูงอีกาที่บินเต็มท้องฟ้าไปคนละทิศละทาง
“เทพอาคินกำลังระดมพลสาวกของพวกมัน เราต้องรีบพบทายาททุกคนให้เร็วที่สุด”
ร่างของเทพอัคราอยู่บนบัลลังก์ อาคินยืนอยู่ตรงหน้า
“ท่านพ่อหนีมาที่เมืองมนุษย์ เชื่อว่าเทพปราบมารจะต้อง...”
เทพอัคราหัวเราะก้อง
“เทพปราบมารลั่นวาจารับผิดจองจำตนเองตอนที่เจ้าหนีมา ขาดเทพปราบมารคอยบัญชาการล้วนเหลือแต่พวกไร้ฝีมือ” เทพอัคราหยุดพูดก้าวลงมาจากบัลลังก์ “ระหว่างข้าถูกจองจำ ข้าฝึกสมาธิจนสำเร็จ” อาคินมองอย่างสงสัย “ข้าถอดร่างมา พวกโง่เง่าบนสวรรค์หารู้ไม่”
“แล้วเจ้าสวรรค์”
“เจ้าสวรรค์อยู่ในระหว่างสมาธิภาวนา หามีใครกล้ารบกวน เจ้าต้องรีบทำงานให้สำเร็จเอากุญแจนิลกาลมาให้ได้ก่อนที่จะสายเกินไป”
“ข้าจะรีบไปจัดการตามที่ท่านพ่อสั่ง”
เทพอัคราหัวเราะก้อง
เอกภพกับณัชชา พรวดออกมาจากราวป่า ณัชชากราดสายตาบนท้องฟ้ายังเห็นฝูงอีกาบินในระยะไกล ณัชชาเดินไปนั่งที่ขอนไม้ตวัดมือมีแผนที่ปรากฏ กางแผนที่ออกกราดสายตาดูแผนที่
“เส้นทางในแผนที่ไม่เหมือนเดิม”
เอกภพเดินเข้ามา
“มีอะไรหรือครับ”
“ขอดูแผนที่คุณหน่อย”
“เอ้อ...คือเป้ผมอยู่ที่องค์หญิง”
ณัชชาสะบัดมือเป้ลอยมาหาเอกภพ เอกภพรับไว้ได้พอดี พลางเปิดเป้ดึงแผนที่ออกมา
“ฉันว่าเส้นทางในแผนที่หายไป”
เอกภพหันมามองณัชชา แปลกใจ
“แผนที่ของเราไม่ใช่ผ้ามนต์แบบเดียวกับของพวกทาทายาทจะเปลี่ยนเส้นทางได้ยังไงครับ”
“แต่อย่าลืมว่าดินสอที่วาดแผนที่และกระดาษเป็นของปิงปองซึ่งไม่ธรรมดาย่อมมีความเป็นไปได้แน่นอน”
เอกภพรีบดึงแผนที่ออกมาจากเป้ กางแผนที่แล้วเอาออกมาเทียบ ทั้งสองต่างจ้องแผนที่ของกันและกัน
“จริงขององค์หญิง เส้นทางในแผนที่ส่วนตรงกลางหายไปเหลือแต่จุดนัดพบ”
“องครักษ์ทั้งสี่จะให้เราไปไหนทำยังไงกันแน่”
ทั้งสองต่างมองหน้ากัน
“ตกลงเอายังไงดีครับ”
“เราลุยต่อจนถึงเส้นทางที่หายไป แล้วดูซิว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
ขวานเล่มหนึ่งพุ่งมาปักที่ต้นไม้อย่างแม่นยำ ไกรยุทธ์เดินเข้ามาจับด้ามขวานแล้วดึงออกหันมาทางนาฬิกาซึ่งยืนอยู่
“เหมือนกับว่า ขวานเล่มนี้เป็นอาวุธของผม เหมาะมือขว้างได้แม่นยำจริงๆ”
“แปลกมากอยู่ๆ ขวานก็ออกมาจากรูปภาพในวัดมาหาคุณไกรยุทธ์ ไม่น่าเชื่อ”
ไกรยุทธ์ยักไหล่แบบว่า คิดไม่ออกบอกไม่ถูก แต่แล้วเสียงอีการ้องแว่วมา ทั้งสองต่างมองบนท้องฟ้า
“ผมรู้สึกว่าพวกมันเยอะกว่าเดิมแต่ก่อนนานๆ เจอที เดี๋ยวนี้เจอเพียบ”
“เรารีบเดินทางกันดีกว่าค่ะ เหลืออีกแค่ครึ่งวันก็จะถึงประตูกลทางเข้าจุดนัดพบ”
“โอเคครับ”
ไกรยุทธ์ควงขวานโชว์ นาฬิกาอดขำไม่ได้ ไกรยุทธ์ยิ้มเดินเข้ามาส่งมือให้ สองคนเดินจูงมือกันไป แต่แล้วทันใดนั้นได้ยินเสียงร้องกรี๊ดของผู้หญิงดังขึ้น ทั้งสองกราดสายตาจับทิศของเสียง
“ทางนี้”
ไกรยุทธ์พรวดออกไป นาฬิกาตามติด
ไกรยุทธ์กับนาฬิกาพรวดออกมาตามเสียง ทั้งสองกราดสายตาไปมา
“เสียงเงียบไปแล้ว”
“เราต้องหาให้เจอ เสียงนั่นอาจจะเป็นปริศนาที่เราจะต้องแก้ไข หรือให้ความช่วยเหลือ ถ้าพลาดไป อาจจะทำให้เส้นทางของเราแปรเปลี่ยน”
ไกรยุทธ์กราดสายตาไปมา พยายามเงี่ยหูฟังเสียง เช่นเดียวกับนาฬิกา ต่างเดินไปเดินมาคอยระวังฟังเสียง
“ท่าทางจะเหลวซะแล้ว เงียบสนิท”
“ใจเย็นๆ นาฬิกาเชื่อว่าเราต้องหาพบ”
ทั้งสองต่างวิ่งออกไป
ไกรยุทธ์กับนาฬิกาวิ่งพรวดออกมา พยายามเงี่ยหูฟัง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกรี๊ดร้องมาอีก
“ทางโน้น ชัวร์ ตามมา”
ไกรยุทธ์ส่งมือให้นาฬิกา ทั้งสองวิ่งไปตามเสียงอย่างรวดเร็ว
ชายฉกรรจ์ผีดิบห้าตัวกำลังล้อมเกวียนเล่มหนึ่ง ชายคนหนึ่งแกว่งดาบไปมาไม่ให้พวกมันเข้าใกล้ ป้องกันหญิงสาวที่อยู่ทางด้านหลัง พวกมันล้อมใกล้เข้าไป ทันใดนั้นไกรยุทธ์กับนาฬิกาพรวดเข้ามา
“เฮ้ย...ข้าอยู่นี่”
ผีดิบต่างหันมาเผชิญหน้ากับ นาฬิกาและไกรยุทธ์ ในมือไกรยุทธ์ถือขวาน จ้องพวกมันอย่างเคร่งเครียด นาฬิกาตั้งท่าเตรียมปล่อยพลัง
ชายฉกรรจ์ผีดิบ ยืนเผชิญหน้ากับไกรยุทธ์และนาฬิกา ทันใดนั้นเสียงอีการ้องก้องดังขึ้น พวกผีดิบพุ่งเข้าใส่
ไกรยุทธ์กับนาฬิกาทันที เกิดการต่อสู้ประชิดตัว ไกรยุทธ์หมุนตัวฟันพวกมันด้วยขวาน นาฬิกาปล่อยพลังใส่พวกมันจนกระเด็นออกไป ทั้งสองฝ่ายต่อสู้ประชิดตัวกันอยู่อึดใจใหญ่พวกสาวกผีดิบของอาคินก็ทรุดลงจนหมด
“ปล่อยไว้แบบนี้เดี๋ยวมันก็ฟื้นขึ้นมาอีก”
“ได้เลย จัดให้”
นาฬิกาสะบัดมือปล่อยพลังออกไปที่พวกมันทีละตัว พวกมันถูกพลังกลายเป็นฝุ่นไปจนหมด
“เก่งมาก”
“แน่อยู่แล้ว”
ทั้งสองหันมาทางชายหญิงที่ยืนหลบหลบอยู่ข้างเกวียน ไกรยุทธ์หันมาทางนาฬิกา
“ลองนั่งเกวียนมั๊ยครับ”
นาฬิากายิ้มพยักหน้า
ปาระนังกราดสายตามองเบื้องบนท้องฟ้า พวกอีกาบินกันว่อนในระยะไกล
“ท่านธิดาเพคะ”
ปาระนังหันมา
“สวัสดีกามเทพนาชะ”
“บีมกับปิงปองหายไปแล้วเพคะ”
ปาระนังคาดไม่ถึง
ปาระนังกับนาชะพรวดมาตรงที่บีมกับปิงปองนอนอยู่ เห็นแต่พื้นที่ว่างเปล่าไม่มีแม้แต่ร่องรอยผ้าห่มสัมภาระ
“แปลกมาก ไม่มีร่องรอยของการถูกชิงตัวเหมือนว่าอยู่ๆ ก็หายไปเฉยๆ”
“นาชะจะลองหาทางสัมผัสขนปีกของนาชะที่ให้สองคนนั่นไว้ดู”
ทันใดนั้นนาชะสะบัดปีกพรึบออกมา ค่อยๆ กระพือ ร่างลอยสูงขึ้นแล้วบินออกไป ปาระนังสีหน้าเคร่งเครียด
ครุ่นคิดถึงสถานการณ์ ปาระนังกราดสายตารอบๆ พยายามส่งพลังสัมผัสออกไป
เอกภพกับณัชชาเดินพ้นราวป่าก็เห็นหมู่บ้านเล็กๆ
“ทุกครั้งที่เจอหมู่บ้านต้องมีเรื่องทุกที”
“องครักษ์ทั้งสี่ วางแผนการเดินทางไว้ลึกซึ้งต้องทำดีเท่านั้นถึงจะเห็นเส้นทางให้ผ่านได้”
ทั้งสองเดินเข้าไปในร้านมุงจากแห่งหนึ่ง ชายเจ้าของร้านเข้ามา
“จะเอาอะไรก็รีบๆ หน่อย ข้าจะรีบปิดร้าน”
“ทำไมล่ะ เพิ่งจะบ่ายเอง”
“กลางคืนจะมีเหตุการณ์ร้าย”
เอกภพกับณัชชาต่างมองหน้ากัน
“ขอเดาว่าเป็นพวกผีดิบ”
“ไม่ใช่แต่พวกผีดิบหรอก ตัวอะไรต่อตัวอะไรก็ไม่รู้”
“ไม่ต้องกลัว ฉันจะปราบพวกมันเอง”
ชายหยุดมองหน้าเอกภพ ไม่พูดอะไรกลับกลายเป็นรีบปิดร้านไม่สนใจทั้งสองคน เอกภพมองหน้าณัชชา
“สถานการณ์ไม่ค่อยดี”
ร่างของนาชะปรากฏ
“ไม่มีร่องรอยเลยเพคะ ท่านธิดา”
“เราก็สัมผัสอะไรไม่ได้เช่นกัน”
ปาระนังสีหน้ากังวล
“นาชะจะลองออกไปตามดูอีกครั้ง” ปาระนังส่ายหน้า
“สองคนนั่นมีวิชาพอที่จะหลบหลีกศัตรู ใช่ว่าจะถูกจับไปได้โดยง่ายมีบางอย่างไม่ถูกต้อง ขืนตามไปอาจจะหลงกันจนเสียงาน สองคนนั่นมีแผนที่อยู่ในมือทางที่ดีที่สุดเราต้องไปรอที่จุดนัดพบ ปรึกษาองค์หญิงณัชชาและคนอื่นๆ ดู”
นาชะได้แต่ถอนใจพูดไม่ออก ปาระนังสีหน้าเคร่งเครียด
ฟืนถูกโยนเข้ากองไฟทำให้ไฟลุกโพลงขึ้นมา เอกภพโยนฟืนเพิ่มไฟสว่างขึ้นมาอีก ณัชชายืนกราดสายตารอบๆ อยู่ข้างๆ
“ลองดูซิว่าจะมีตัวอะไรโผล่มา”
ทันใดนั้นมีชาวบ้านถือคบไฟสี่ห้าดวงกำลังมุ่งหน้ามา
“ดูเหมือนว่ามันจะไปโผล่ที่อื่นมากกว่า”
ชาวบ้านวิ่งเข้ามาถึง ในมือถือดาบถือคบไฟห้าคน
“ช่วยข้าด้วย ลูกสาวข้าหายไป”
“งานนี้เราต้องแยกกันทำซะแล้ว”
“ถ้าแยกกันแล้วเราหลุดไปคนละกาลเวลาล่ะครับ”
ณัชชาสะบัดมือขึ้นมามีดสั้นปรากฏส่งให้
“ดาบพิชิตมารจะตามหาฉันพบ”
“แล้วอาวุธขององค์หญิง” ณัชชาสะบัดมือ มีปืนปรากฏอยู่ในมือ “ลืมไปว่าองค์หญิงมีอาวุธเพียบ”
ณัชชายิ้มหันไปทางชาวบ้าน
“รีบพาข้าไป”
ชาวบ้านพรวดนำออกไป ณัชชาพรวดตาม
ชาวบ้านถือดาบถือคบไฟนำหน้าณัชชาสองคน ณัชชาเดินตาม และมีอีกสามคนเดินถือคบไฟตามหลัง ทันใดนั้นเสียงคำรามดังก้องอยู่ตรงหน้า เสียงร้องกรี๊ดของหญิงสาวดังขึ้น ชาวบ้านต่างยืนนิ่งหน้าซีด
“ลูก...สาว...ผม”
ณัชชาออกเดิน แต่ชาวบ้านไม่เดินตามนอกจากชายผู้เป็นพ่อ ณัชชาหยุดเดิน หันมามองทุกคน
“เอาคบไฟมาให้ข้า” ชายคนหนึ่งส่งคบไฟให้ณัชชา “พวกเจ้ากลับไปรอข้าที่หมู่บ้าน”
“แต่ข้าเป็นพ่อ”
“เจ้ามาด้วย รังแต่จะทำให้เกะกะข้าเปล่าๆ”
ณัชชาพูดจบก็หันตัวเดินมุ่งหน้าไปยังเสียงคำราม ชาวบ้านต่างมองหน้ากัน เสียงคำรามดังก้องขึ้นอีก พวกชาวบ้านต่างวิ่งพรวดกลับหมู่บ้านไป
ณัชชายกคบไฟแกว่งไปมา กราดไปรอบๆ ทิศทาง ปืนในมือส่องตาม พุ่มไม้ไหวอยู่ตรงหน้า ณัชชาค่อยๆ ก้าว
เข้าไปจนใกล้ แล้วพรวดเข้าไปปืนในมือกราดตรงหน้า ตรงหน้าคือร่างของเด็กสาวห้อยพาดอยู่กับกิ่งไม้ ไม่ได้สติณัชชาจ้องเขม็ง ทันใดนั้นเสียงคำรามมาจากด้านหลัง ณัชชาหันขวับ ชายร่างสูงใหญ่ของผีดิบตัวหนึ่งยืนจังก้า ณัชชาตวัดปืนขึ้นมา
ณัชชาตวัดปืนเข้าใส่มัน มันตวัดมือหนาเข้าใส่ฟาดเอาปืนหลุดกระเด็นไป ณัชชาเสียหลัก มันตามเข้ามา ณัชชาตวัดคบไฟใส่มันโครมมันคำรามลั่นเซออกไป ณัชชาฟาดซ้ำ มันเอาแขนกันไว้แล้วฟาดโครมถูกณัชชากระเด็นไป
ทรุดอยู่ที่พื้น มันหันกลับเดินเข้าหาร่างของเด็กสาวที่ห้อยอยู่บนต้นไม้
ณัชชดีดตัวขึ้นมา ตวัดมือแส้ปรากฏ ณัชชาตวัดแส้รัดคอมันขวับดึงมันไว้ได้ทันท่วงที มันเอามือสองข้างจับแส้
พยายามยื้อ ณัชชาปล่อยพลังวิ่งไปตามแส้เป็นสายสีแดง มันสั่นผับๆ แล้วล้มตึง ณัชชาตวัดแส้หลุดออกมาจากคอมัน
“สาวกอาคิน” ณัชชาถอนหายใจ ทันใดนั้นณัชชาหันกลับไปร่างของเด็กสาวหายไปแล้ว เสียงคำรามของพวกมันห่างออกไป “แย่แล้ว”
ณัชชาถือคบไฟเร่งฝีเท้าตามรอยพวกมัน เสียงพวกมันคำรามอยู่ข้างหน้า ณัชชาเร่งฝีเท้าตามไป โผล่พรวดเข้าไปแต่กลับมีแสงจ้าวาบเข้ามา ณัชชารู้สึกโลกหมุนแสงวิ่งรอบๆ ณัชชาตั้งสติได้ถึงกับคาดไม่ถึง เพราะแสงที่เห็นคือแสงจากพระอาทิตย์ตอนนี้กลายเป็นกลางวันไปแล้ว ณัชชากราดสายตามองด้วยความตื่นเต้น
ณัชชากราดสายตามอง ตรงหน้าคือร่างของเด็กสาวนอนอยู่กับพื้น ถัดไปคืออาคินยืนอยู่
“เทพอาคิน ไม่น่าเชื่อจริงๆ ท่านสามารถหาเราพบ” อาคินยิ้มเยาะ ทันใดนั้นณัชชาหันขวับมาอีกด้านหนึ่ง “เทพอัครา”
เทพอัคราก้าวเข้ามายืนเคียงข้างอาคิน ณัชชาตะลึง
ณัชชาโยนคบไฟทิ้งกับพื้น
“ที่แท้ท่านอัคราสามารถถอดร่างได้”
“เราพบกันจนได้องค์หญิงณัชชา”
“ลูกชายมัวแต่หลงระเริง ท่านพ่อเลยต้องลงมาเอากุญแจคุกนิลกาลด้วยตัวเอง”
“องค์หญิงพูดมากเกินไปแล้ว” ณัชชายิ้มเยาะ แต่สายตากราดวางแผนต่อต้าน เห็นริมฝีปากณัชชาท่องมนต์ “อาคิน องค์หญิงแค่ถ่วงเวลาเท่านั้น เจ้ายังไม่รีบจัดการ”
“ท่านอัครา มนุษย์ผู้นี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง”
เทพอัคราจ้องณัชชาอึดใจก็สะบัดมือ ร่างของหญิงสาวที่นอนอยู่ตรงหน้าหายไป
“หวังว่าองค์หญิงคงพอใจ”
“แน่นอนที่สุด”
ณัชชาขยับตัวเตรียมพร้อม จ้องเขม็ง เทพอัครายิ้มเยาะ อาคินขยับมือยกขึ้นช้าๆ ควันดำเริ่มปรากฏล้อมร่างของอาคิน
ณัชชาจ้องเขม็ง ขยับตัวถอยก้าวหนึ่ง ควันดำเริ่มล้อมตัวของเทพอาคิน แต่แล้วทันใดนั้นดาบพิชิตมารพุ่งเข้ามาปักเทพอัคราจนมิดร่าง เทพอัคราคาดไม่ถึง หมุนตัววูบหายไปดาบพิชิตมารตกปักอยู่กับพื้นดิน ร่างของเอกภพปรากฏ ยืนข้างๆ ณัชชา
“ท่านพ่อ”
ณัชชาตวัดมือออกไป
“ดาบพิชิตมาร” ดาบพิชิตมารวิ่งเข้าหามือของณัชชา ณัชชาคว้าไว้ได้อย่างรวดเร็ว “ผู้กอง”
เอกภพยื่นมือออกมา ณัชชาคว้าหมับ แล้วทั้งสองก็แวบหายไป อาคินมองตามด้วยความแค้น
ร่างของณัชชากับเอกภพพุ่งพรวดกลิ้งหมุนตัวมาที่พื้น เอกภพลุกขึ้นแล้วส่งมือให้ ณัชชาคว้ามือเอกภพให้ช่วยดึงขึ้นมา
“เกือบไปแล้ว คุณมาได้ยังไง”
“ผมอยู่ที่ลาน ไม่มีตัวอะไรโผล่มาอยู่ๆ มีดสั้นขององค์หญิงก็ส่งแสงผมยกขึ้นก็แวบมาถึงนี่ ยังไม่ทันทำอะไร
มีดก็พุ่งจากมือไปแล้ว”
“ฉันเรียกดาบพิชิตมารมาเอง”
“เทพอาคินรู้ว่าเราอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“ลำพังเทพอาคิน ไม่มีปัญญาหรอก เป็นเพราะเทพอัครา”
“ใครคือเทพอัคราครับ”
ร่างของอาคินปรากฏแล้วก้าวพรวดๆ เข้าไปที่ห้องสมาธิ ผ่านพวกมือปืนเข้าไป สะบัดมือไปที่ประตูประตูห้อง สมาธิเปิดออก ร่างของเทพอัครานั่งสมาธิอยู่บนแท่นที่อาคินเคยใช้นั่งสมาธิ
“ท่านพ่อ”
เทพอัคราลืมตาขึ้น
“ข้าไม่เป็นไร”
“ข้านึกว่าดาบพิชิตมาร”
“ดาบพิชิตมารทำลายได้แต่ร่างจริงเท่านั้น ร่างของข้าเป็นเพียงร่างที่ถอดมา ดุจเหมือนภาพหลอน ไม่มีเลือดเนื้อจึงไม่เป็นอันตรายนอกจากทำให้พลังหมดไปเท่านั้น”
“องค์หญิงณัชชาหนีไปได้”
“เพียงแต่องค์หญิงหรือทายาท ใช้พลังเพียงน้อยนิดข้าก็จะรู้ตำแหน่งทันที”
“ถ้าเช่นนั้นเชิญท่านพ่อพักก่อน”
อาคินโค้งแล้วเดินออกไป เทพอัคราหลับตาลง
“เทพอัครามีพลังยิ่งใหญ่ เพียงแค่เราเคลื่อนไหวใช้พลังนิดเดียว เทพอัคราจะรู้ทันทีว่าเราอยู่ที่ใดมีคำร่ำลือว่า เทพอัครารู้แม้กระทั่งว่าเราคิดอะไร”
ณัชชาบอก เอกภพอึ้งไปอึดใจ
“งั้นพวกเราก็จบ”
“ร่างที่เห็นเป็นเพียงร่างถอดวิญญาณ พลังย่อมน้อยลงกว่าเดิม เรายังพอมีหวัง” เสียงอีการ้องก้องบนท้องฟ้า ณัชชาแหงนหน้ามองพวกมัน “เป็นฝีมือของเทพอัครานี่เอง”
“ทำไมเหรอครับ”
“เทพอาคินให้สาวกตามหาพวกเราแต่เทพอัคราให้สาวกจู่โจมมนุษย์เพื่อล่อให้พวกเราออกมา เป็นแผนการที่โหดเหี้ยมจริงๆ”
เอกภพจ้อง เห็นสีหน้าของณัชชาเคร่งเครียด
ณัชชาตรวจดูแผนที่
“อย่างน้อยการช่วยลูกสาวชาวบ้านทำให้เส้นทางบนแผนที่ปรากฏ”
“อีกไกลมั๊ยครับ...จุดนัดพบ”
“เราต้องเดินทางจนกว่าจะพบประตูกลสองประตู”
“โอ..โน...ต้องเจอปริศนาอีกแล้ว ว่าจะเข้าประตูไหน หนึ่งหรือสอง”
“ใจเย็นน่า ถึงเวลาก็รู้เอง”
“ไปไหนก็ต้องเจอแต่ปริศนา ผมว่าองครักษ์ทั้งสี่ดูเกมโชว์มากไปหน่อย”
ณัชชาอดยิ้มไม่ได้ แล้วเดินออกไป เอกภพมองตามถอนใจก่อนจะเดินตามไป
เกวียนค่อยๆ หมุนมาจอด อึดใจผ่านไปก็เห็นร่างของไกรยุทธ์กับนาฬิกายืนอยู่ ตรงหน้าทั้งสองเป็นตลาดแห่งหนึ่ง มีร้านค้าผู้คนเดินจับจ่ายซื้อของ
“ที่ไหนกันอีกล่ะนี่”
“ดูเหมือนแถวสยามเซ็นเตอร์” นาฬิกาทุบบึกเข้าให้ ไกรยุทธ์ยิ้มแต่แล้วสีหน้าคาดไม่ถึง “ปิงปองกับบีม นี่”
“ไหนคะ” นาฬิกากราดตาดู เห็นแต่เด็กชายหญิงชาวบ้าน วิ่งผ่านไปกลุ่มหนึ่ง “ตาฝาดหรือเปล่า”
“ไปดูกันดีกว่า”
ทั้งสองจูงมือกันข้ามถนนไปยังตลาดตรงหน้า แต่พอข้ามถนนไปกลับเผชิญหน้ากับชายกลุ่มหนึ่งรวมห้าคน
แต่งตัวโบราณในมือมีดาบหอกอาวุธครบ ขวางหน้าอยู่
ไกรยุทธ์กับนาฬิกาจ้องชายฉกรรจ์ตรงหน้าเขม็ง
“พวกเจ้าจะไปไหน”
“เราหลงทางมา อยากจะเข้าตลาดหาอะไรกิน”
ชายฉกรรจ์ต่างมองหน้ากันเหมือนไม่เข้าใจ
“ตลาดหายไปแล้ว”
นาฬิกาบอกอย่างตกใจ ไกรยุทธ์กราดตามอง ด้านหลังของชายฉกรรจ์กลายเป็นราวป่า ไม่มีตลาดอีกต่อไป
“เจ้าเป็นคนแปลกถิ่น คุมตัวไป”
ชายที่เหลือขยับดาบล้อมเข้ามา
“เสียใจครับ”
ไกรยุทธ์พูดจบก็ถีบโครมเข้าให้ ชายกระเด็นไป ไกรยุทธ์จับร่างนาฬิกายกหมุนรอบ เท้านาฬิกากวาดโครม
เข้าใส่สองคนที่พรวดเข้ามาหงายไป ที่เหลือตั้งตัวได้ควงดาบลุยเข้ามา ไกรยุทธ์กันนาฬิกาไว้ทางด้านหลังแล้วสะบัดมือขึ้นมาจากด้านหลัง มีขวานติดมือขึ้นมา ไกรยุทธ์ควงขวาน
“ใครจะลองก่อน”
ชายทั้งหมดขยับดาบล้อมเข้ามา
“หยุด”
ทั้งหมดหันไปเห็นชายมีอายุผู้หนึ่งยืนอยู่ ไกรยุทธ์ถึงกับคาดไม่ถึง เพราะชายมีอายุคนนั้นคือครูฝึกที่ไกรยุทธ์เห็นจากภาพฝาผนังในวัดนั่นเอง
“ท่าน”
“เจ้าเอาขวานเล่มนี้มาจากไหน”
“คือ...ท่านเป็นคนให้ข้า”
“พวกเจ้าคือทายาทขององค์รักษ์ทั้งสี่”
ไกรยุทธ์กับนาฬิกาต่างพยักหน้าพร้อมกัน ครูฝึกพยักหน้าอย่างพอใจ
ครูฝึกเดินนำไกรยุทธ์กับนาฬิกาเข้ามาตรงลานหน้าบ้าน มีชายฉกรรจ์รวมตัวกันอยู่ประมาณร่วมสิบคน ต่างกำลังฝึกซ้อมดาบ ทวน ฯลฯ กันอยู่ ครูฝึกพาไปยังแคร่ที่อยู่ตรงหน้าลานบ้าน ครูฝึกผายมือให้ไกรยุทธ์กับนาฬิกานั่งลงที่แคร่ ทั้งสองทำตาม ครูฝึกเดินไปยังกลุ่มที่ฝึกซ้อมกันอยู่
“เหมือนในรูปภาพที่วัดเลย” นาฬิกาบอกเสียงเบากับไกรยุทธ์
“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง”
“แบบนี้หมายความว่า ต้องเจอเมฆปีศาจด้วยหรือเปล่า”
“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง”
“หยุด”
ทุกคนหยุดซ้อม ครูฝึกโบกมือ มีชายคนหนึ่งเดินถืออาวุธห่อด้วยผ้าเดินเข้ามาหาครูฝึก ครูฝึกเดินเข้ามายัง
ไกรยุทธ์และนาฬิกา ครูฝึกพยักหน้า ชายผู้นั้นยื่นอาวุธที่ห่อผ้าไว้มาตรงหน้าทั้งสอง ครูฝึกเปิดผ้าคลุมออกเป็นขวานที่มีเหมือนกับของไกรยุทธ์ไม่ผิดเพี้ยน นาฬิกาและไกรยุทธ์ต่างจ้องขวานอย่างแปลกใจ
“แต่ท่านให้ผมมาแล้ว”
“ไม่ใช่ของเจ้า” ครูฝึกยิ้ม ไกรยุทธ์กับนาฬิกายิ่งแปลกใจ “เป็นของแม่นางผู้นี้”
ไกรยุทธ์กับนาฬิกาคาดไม่ถึง นาฬิกาจ้องที่ขวานคิดอะไรไม่ออก
“แต่หนูใช้ขวานไม่เป็น”
“ขอให้เพียงแต่เจ้ามีขวานอยู่ในมือก็พอเพียงแล้ว”
ไกรยุทธ์สะบัดมือขวานของตนติดมาอยู่ในมือเช่นกัน
“มิน่าถึงเหมาะมือแม่นยำเป็นอย่างยิ่ง”
“ยามใดที่ขวานทั้งคู่ใช้ร่วมกันจะมีอานุภาพร้ายแรง”
“พอที่จะจัดการกับเทพอาคินได้มั้ยคะ” ครูฝึกส่ายหน้า
“ไม่มีอาวุธใดที่จะจัดการกับเทพอาคินได้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับโชคชะตา”
ทันใดนั้นเสียงเอะอะดังมาจากด้านนอก ชายฉกรรจ์เข้ามารายงาน
“สาวกผีดิบของเทพอาคินบุกเข้ามาแล้ว”
“พวกเจ้ารีบไปยังจุดนัดพบ”
“ผมเกรงว่าถ้าไม่ได้ร่วมมือปราบสาวกผีดิบของเทพอาคิน ก็จะไม่พบเส้นทางไปสู่จุดนัดพบ”
“ถ้าเช่นนั้น แล้วแต่พวกเจ้าสองคนจะตัดสินใจ”
ครูฝึกบอก ไกรยุทธ์ยิ้มแล้วหันมาทางนาฬิกา นาฬิกาพยักหน้าว่าลุยแน่นอน มือคว้าขวานขึ้นมาถือไว้แล้วยกชูขึ้นชี้ฟ้า
สาวกผีดิบของอาคินนับสิบวิ่งดาหน้าเข้าหาครูฝึกและชายฉกรรจ์สิบคน โดยมีไกรยุทธ์และนาฬิกายืนร่วมอยู่ด้วย ทั้งหมดเข้าต่อสู้ประชิดตัว ทันใดนั้นขวานในมือของนาฬิกาก็ตะลุยเข้าฟาดฟันต่อสู้กับพวกสาวกอาคินอย่างว่องไวรวดเร็วเฉาะ พวกมันล้มไปหลายตัว นาฬิกามองขวานอย่างตื่นเต้นพอใจ
“เยส...สุดยอด”
พวกมันบุกเข้ามาอีกสองสามตัว นาฬิกาฟาดฟันจนพวกมันกระจายไป หมุนตัวหันไปอีกด้านหนึ่งก็เจอกับไกรยุทธ์เข้าพอดี
“เฮ้...ผมเอง”
สาวกอาคินพรวดเข้ามาตรงหน้าทั้งสอง ทั้งสองตวัดขวานออกไปพร้อมกัน เสียงดังเปรี้ยงเกิดเป็นแสงพุ่งเข้าหามันมันถูกแสงกระจายกลายเป็นฝุ่นไป นาฬิกากับไกรยุทธ์ต่างหันมามองหน้ากันด้วยความตกใจ
“โว่ว”
ทันใดนั้นเสียงฟ้าร้องครืนๆ มา พลันท้องฟ้ากลายเป็นมืดครึ้ม สาวกผีดิบต่างถอยหายไปจนหมด ครูฝึกกับชายฉกรรจ์ที่เหลือ ต่างตั้งท่าระวัง เช่นเดียวกับไกรยุทธ์และนาฬิกา
“เมฆปีศาจ”
เมฆดำก่อตัวกลายเป็นสีครึ้มแล้วกลายเป็นใบหน้าของปีศาจร้าย
“เหมือนกับภาพในวัดเลย”
ไกรยุทธ์ขยับขวานในมือ แต่แล้วทันใดนั้น กลายเป็นฝูงค้างคาวบินออกมาจากปากของปีศาจร้ายพุ่งเข้าหาทุกคน
“โห แบบนี้เราก็แย่”
“ทุกคนถอย หาที่หลบพวกมัน”
ชายฉกรรจ์และครูฝึกต่างล่าถอย
“คุณนาฬิกาขวานคู่”
นาฬิกาตวัดมือขึ้นมา ไกรยุทธ์ตวัดมือขึ้นมา
พวกฝูงค้างคาวบินดิ่งลงมาใกล้ทุกคนเข้ามาทุกที ไกรยุทธ์กับนาฬิกาจ้องพวกมันนิ่ง ทันใดนั้นตวัดขวานเขาหากัน ใบขวานสองเล่มกระทบกันเกิดเป็นม่านแสงพุ่งไปยังพวกฝูงค้างคาวที่บินลงมา พวกฝูงค้างคาวพอบินเข้าในม่านแสงก็กลายเป็นฝุ่นหายไปส่งเสียงร้องโหยหวน
“เยส”
พวกค้างค้าวบินเข้าม่านแสงเหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟกลายเป็นฝุ่นไปหมด เมฆปีศาจคำรามก้องแล้วสลายตัวหายไปวูบ กลับกลายเป็นกลางวันขึ้นมาเหมือนเดิม ไกรยุทธ์กับนาฬิกาต่างยิ้มให้กัน จ้องขวานของตนอย่างตื่นเต้นพอใจ
“ลาก่อนทุกคน”
“ขอบคุณทุกท่าน”
นาฬิกากับไกรยุทธ์บอก ครูฝึกและชายฉกรรจ์ต่างพยักหน้ารับและค่อยๆ จางหายไป ไกรยุทธ์กับนาฬิกา ต่างยิ้มให้กันแล้วหันหลังเดินออกจากหมู่บ้านแต่แล้วก็ไม่เชื่อสายตัวเอง เมื่อเห็นราเชนอยู่ตรงหน้า
“พี่ราเชน”
“พี่ราเชน”
“เก่งมากทั้งสองคน”
“พี่เดินทางตามพวกเรามาโดยตลอด”
“ถูกต้อง”
“แล้ว สาวกอาคิน เมฆปีศาจ”
ราเชนพยักหน้า
“จริงๆ แล้วพี่พบครูฝึกก่อนพวกเธอสองคนซะอีก”
ไกรยุทธ์กับนาฬิกาต่างมองหน้ากันอย่างคาดไม่ถึง
ราเชนจึงเล่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้...ราเชนออกมาจากราวป่าเพ่งมองลานในหมู่บ้าน เห็นครูฝึกกำลังควบคุมฝึกฝนชายฉกรรจ์นับสิบอยู่ ราเชนเดินตรงเข้าไป ชายฉกรรจ์คนหนึ่งเดินมาหาครูฝึก พลางพยักพเยิดให้ดูราเชนที่เดินเข้ามาหา ราเชนเดินเข้ามาจนใกล้
“เราตามหาชายหญิงคู่หนึ่ง พวกท่านพอพบเห็นหรือไม่”
“ท่านตามหาทายาทขององครักษ์สองคน”
“ถูกต้อง”
“คำถามคือท่านเป็นใคร” ราเชนสะบัดมือขึ้นมา มีเปลวไฟติดอยู่ที่มือ “ที่แท้ท่านราเชนทหารเอกขององค์มัจจุราชนั่นเอง”
“ขอความร่วมมือจากพวกท่านแจ้งทิศทางของทายาททั้งสองด้วย”
“เราก็ต้องขอความร่วมมือจากท่านด้วยเช่นกัน”
ธิดาพญายม ตอนที่ 13 (ต่อ)
กลับมาปัจจุบัน
“พี่จำเป็นต้องปล่อยให้พวกเธอเผชิญกับสาวกของเทพอาคินและเมฆปีศาจด้วยตัวเอง ตามที่องครักษ์ทั้งสี่วางไว้”
“ฟิ้ว โชคดีที่เราสองคนรอดมาได้”
“พวกเธอสองคนทำได้ดีมาก”
ไกรยุทธ์กับนาฬิกาต่างยิ้มอย่างภูมิใจ
ฝูงอีกาบินว่อนบนท้องฟ้า ส่งเสียงร้องไม่หยุดก่อนที่จะบินผ่านไป ร่างของณัชชากับเอกภพค่อยๆ เคลื่อนตัวออกมาจากหลังพุ่มไม้ กราดสายตามองพวกมัน
“อย่างน้อยพวกมันก็ไม่ส่งฝูงค้างคาวมาเล่นงานเราเหมือนแต่ก่อน”
“ก็เพราะว่ามันส่งฝูงผีดิบมาแทนน่ะซิ” ณัชชาพูดจบก็เดินออกไป เอกภพเดินตาม ทั้งสองเดินควบคู่กันไป “ประตูกลไม่น่าจะอยู่ไกลจากที่นี่”
“แถวนี้น่าจะมีเทพผีเสื้อ หรือแมลงอะไรซักอย่าง เผื่อจะได้ช่วยบอกทางพวกเรา”
“คุณนี่บ่นเก่งจัง”
“ผมห่วงว่าองค์หญิงจะเหนื่อยตะหาก”
“ห่วงฉันหรือว่าอยากดูสาวเทพผีเสื้อสวยๆ กันแน่”
“โห...รู้ได้ยังไง” ณัชชาหยุดกึก เอกภพหันมา “เฮ่ ผมล้อเล่นนะครับ ห้ามโกรธ”
“ใครบอกว่าฉันโกรธ ดูโน่น”
ณัชชาหรี่ตามองเลยไปข้างหน้า เอกภพรีบหันไปมอง ถึงกับตื่นเต้น
“ฝูงผีเสื้อ”
ทั้งสองจ้องตรงหน้าเห็นฝูงผีเสื้อบินอยู่กลุ่มหนึ่ง
“เฮ้ เทพผีเสื้อ”
เอกภพพรวดออกไป
“เดี๋ยวก่อน”
ณัชชาห้ามไม่ทันเพราะเอกภพวิ่งเข้าหาฝูงผีเสื้อแล้ว
“เทพผีเสื้อ”
ฝูงผีเสื้อเหมือนได้ยินเอกภพ บินเข้าหาเอกภพที่วิ่งสวนเข้าไปหา ฝูงผีเสื้อบินล้อมเอกภพ
“ดีใจที่ได้พบกันอีก” ฝูงผีเสื้อล้อมเอกภพหนาแน่นขึ้น “ไม่ต้องดีใจถึงขนาดนั้น”
ฝูงผีเสื้อล้อมเอกภพจนมองเอกภพไม่เห็น ณัชชาหยุดจ้องฝูงผีเสื้อที่ล้อมเอกภพตรงหน้า
“แย่แล้ว” ณัชชาสะบัดมือขึ้นมามีดสั้นอยู่ในมือ ชี้ไปที่ฝูงผีเสื้อ แสงเหมือนสายฟ้าพุ่งเข้าใส่ฝูงผีเสื้อ ฝูงผีเสื้อกระจายออก ร่างของเอกภพหายไปแล้ว “ผู้กอง” ณัชชาพรวดเข้าไปตรงจุดที่เอกภพหายไป “ผู้กอง ผู้กอง”
ณัชชากราดสายตาเดินไปมาสีหน้าเคร่งเครียด ผีเสื้อบินกระจัดกระจายไปทั่ว แต่เริ่มเยอะขึ้น
“ผู้กอง นี่ ไม่ตลก ไม่ขำด้วย” แต่แล้วฝูงผีเสื้อรวมกันกลับเข้ามาอีกเป็นฝูงใหญ่เต็มไปหมด บินอยู่ตรงหน้าณัชชา “โอเค ที่แท้แบบนี้เอง” ทันใดนั้นฝูงฝีเสื้อกลายเป็นฝูงค้างคาวแยกเขี้ยวแหลม ส่งเสียงร้องจี๊ดจ๊าด “โห...จะอะไรกันนักกันหนา”
ฝูงค้างคาวบินเข้าหาณัชชาจนมืดมิด แต่แล้วปรากฏมีแสงสว่างจ้าเป็นเส้นตวัดไปมาออกมา ฝูงค้างคาวต่างกระจัดกระจายออกจนเห็นณัชชาถือดาบพิชิตมารควงอยู่ไปมา สุดท้ายฝูงค้างคาวหายไปจนหมด
“ตาผู้กองบ้า เทพผีเสื้อ เทพผีเสื้อ เรียกก็ไม่หยุด สมน้ำหน้า”
ณัชชาหงุดหงิดเสียอารมณ์
ฝูงผีเสื้อบินหนาแน่น แล้วกระจายออก เอกภพกราดสายตามองรอบๆ
“องค์หญิง องค์หญิง”
เอกภพเดินกราดสายตามองหาณัชชา แต่แล้วพอหันกลับมากลายเป็นอาคินกับภูตสังหารทั้งเก้า
“ผู้กอง”
เอกภพหรี่ตามองเริ่มเข้าใจว่าตนเองหลงกลซะแล้ว
“เฮ้อ...ป่านนี้องค์หญิงบ่นเละไปแล้ว”
“คุมตัวมา”
ภูตสังหารดีดตัวเข้ามาล้อมเอกภพไว้ เอกภพตวัดปืน สาดกระสุนเข้าใส่ ภูตสังหารสะท้านด้วยแรง กระสุนเข้าไม่ติด เอกภพยิงกราดที่ด้านเดียวซ้ำจนเปิดช่องว่าง เอกภพถือโอกาสพุ่งตัวหนีออกไป
“ตามไป”
ภูตสังหารกลายเป็นควันดำพุ่งตามเอกภพไปอย่างรวดเร็ว อาคินกลายเป็นควันดำหายไป
เอกภพพุ่งออกมาจากแนวป่าสุดฝีเท้า ควันดำพุ่งตามมาติดๆ เอกภพเร่งฝีเท้า แต่ว่าควันดำพุ่งแซงมาล้อมไว้อีก เอกภพหยุดกราดปืนไปมา ควันดำกลายเป็นร่างของภูตสังหารล้อมไว้ เอกภพกราดปืนไปมา ร่างของอาคินปรากฏตามมา
เอกภพกราดปืนยิงใส่อาคินเปรี้ยงๆๆ อาคินไม่สะเทือน ภูตสังหารล้อมเข้ามาฟาดด้วยฝ่ามือ เอกภพหลบวูบแล้วตบด้วยปืนโครมภูตสังหารเซไป แต่ที่เหลือล้อมเข้ามา เอกภพหลบไปยิงไปท่ามกลางภูตสังหารเสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว
อาคินจ้องเขม็ง ทันใดนั้นเห็นช่องว่างฉวยโอกาสปล่อยพลังออกไป ถูกเอกภพอย่างจัง ร่างของเอกภพกระเด็นกลิ้งไปกับพื้นนิ่งไป อาคินจ้องอย่างพอใจ
ณัชชาเดินไปเดินมา กางแผนที่ออกมากราดสายตาดู
“เอ๊ะ...ทำไมจุดนัดพบค่อยๆ จางลง” ณัชชาขยับแผนที่ตรวจดูเพื่อความแน่ใจ สีหน้าครุ่นคิด “ที่แท้เวลาเหนือน้อย จุดนัดพบยิ่งจาง ถ้าไปไม่ทัน จุดนัดพบต้องหายไปแน่ๆ” ณัชชาเดินไปเดินมาใช้ความคิด “ถ้าเราไปช่วยผู้กองเกิดผิดพลาดอาจไปไม่ทันเราจะเสี่ยงไม่ได้” ณัชชาพับแผนที่ตวัดมือ แผนที่หายไป “นายผู้กอง อยู่กับผีเสื้อไปก่อนก็แล้วกันฉันต้องรีบไปที่จุดนัดพบแล้วจะมาช่วยนายที่หลัง”
ณัชชาพรวดไปตามเส้นทางอย่างรวดเร็ว
เอกภพถูกมัดมือทั้งสองข้างขึงห้อยอยู่ ยังไม่ได้สติ เทพอัคราเดินเข้ามาพร้อมอาคิน
“นี่หรือทายาทขององครักษ์ทั้งสี่”
“แต่ไม่ใช่หนึ่งในทายาทที่ถือแผนที่ไปสู่กุญแจนิลกาล”
“แต่เป็นกำลังสำคัญขององค์หญิงณัชชา”
“สำคัญมากทีเดียว ถ้ากำจัดออกไปได้ จะเป็นผลดีต่อแผนการของเรา”
เทพอัคราเดินไปตรงหน้าของเอกภพ จ้องมองอึดใจ แล้วหันมาทางอาคิน
“อืม...ข้ามีความคิดที่ต้องการให้เจ้าทำตาม”
“น้อมรับคำสั่งท่านพ่อ”
ในห้องสมาธิ ร่างของเทพอัครานั่งอยู่กับอาคินบนแท่น ตรงหน้าแท่นบนพื้นมีร่างของเอกภพนอนอยู่ ถัดไปมีภูตสังหารตัวหนึ่งนั่งอยู่ ทั้งสองหลับตาสมาธิ อึดใจก็เห็นควันดำออกมาจากร่างของอาคิน วนเวียนร่างอาคิน แล้วลงไปปกคลุมร่างของเอกภพจนมองไม่เห็นร่างของเอกภพและกลายเป็นควันดำ
ณัชชาเดินอยู่ตามเส้นทาง ทันใดนั้นหยุดกึก
“ผู้กอง แย่แล้ว”
ณัชชาหันหลังกลับเพื่อจะกลับไปช่วยเอกภพ แต่แล้วก็ต้องชะงัก เพราะมีนักพรตแต่งชุดขาวเหมือนพราหมณ์ยืนขวางทางอยู่ ณัชชาเพ่งตามอง
“ท่านพราหมณ์มีสิ่งใดจะแนะนำ”
“ข้างหน้ามีเรื่องสำคัญรอท่านอยู่ ข้างหลังมีแต่เรื่องราวที่ยุ่งยากซับซ้อน”
“แต่ว่า...”
“ภารกิจจะสำเร็จได้ด้วยปัญญา หาใช่ความรู้สึกแต่อย่างเดียวไม่”
ร่างของพราหมณ์หายไป ณัชชากราดสายตามองไปมา สีหน้าครุ่นคิด ทันใดนั้นเสียงอีการ้องดังก้องมาในระยะไกล ณัชชาถอนใจ พึมพำ
“แล้วค่อยเจอกันผู้กอง”
ณัชชาหมุนตัวกลับ มุ่งหน้าไปยังจุดนัดพบต่อไป
เอกภพลืมตาขึ้นพบว่าร่างของตนถูกแขวนอยู่เหมือนเดิม กราดสายตามองตรงหน้าไม่เห็นใคร
“เฮ้...ไปไหนกันหมด แน่จริงก็ออกมา” เงียบไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เทพอาคิน เทพอัครา” ไม่มีเสียงตอบ ไม่มีร่างใดปรากฏ“เฮ้อ...รอดไปคราวนี้ถูกองค์หญิงอัดเละแน่”
ปาระนังและนาชะต่างเร่งรีบเดินทาง จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง นาชะก็หยุดลง
“เราไม่มีแผนที่แบบนี้ นาชะว่าเราควรตามหาบีมกับปิงปองก่อนจะดีกว่า นะเพคะ”
“เราพอจำเส้นทางในแผนที่ได้ อีกอย่างหนึ่งเราเกรงว่าถ้าไปถึงจุดนัดพบล่าช้า จะมีบางอย่างแปรเปลี่ยน ปริศนาอาจเปลี่ยนไป”
“เฮ้อ...จะแวบไปก็ไม่ได้ เดี๋ยวหลงไปกาลเวลาอื่นเดินแบบนี้ไม่ดีเลยเพคะท่านธิดา”
“อดทนหน่อย จุดหมายอยู่ไม่ไกล”
นาชะได้แต่ถอนหายใจ
ราเชนกับนาฬิกาและไกรยุทธ์ก้าวออกมาจากป่าทึบ สายตากราดมองบนท้องฟ้า
“สาวกอาคินเหรอพี่ราเชน”
“อืม..แต่อยู่ในระยะไกล”
“เทพอาคินระดมกำลังเต็มที่ ผมเป็นห่วงคนอื่นๆ น่ะครับ”
“พี่ปาระนังมีฝีมือ บีมกับปิงปองก็มีวิชาแล้ว คงไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“ลองตรวจแผนที่ดูหน่อยดีกว่า”
“ได้ครับ” ไกรยุทธ์รีบรื้อเป้หยิบแผนที่ออกมาเปิดกางดู “เอ๊ะ”
“มีอะไรเหรอคะ”
“จุดนัดพบจางลงไปเกือบหมดแล้วครับเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“พี่คิดว่า ถ้าเราไปช้าหรือไม่ตรงตามกำหนดจุดนัดพบก็จะหายไป”
ทั้งหมดต่างมองหน้ากันคาดไม่ถึง
ปาระนังเดินไปเดินมาครุ่นคิดสีหน้ากังวล ร่างของนาชะปรากฏขึ้นมา ปาระนังหันมา
“ไม่มีวี่แวว บีมกับปิงปองเลยเพคะ” นาชะบอก
“ป่านนี้คงหลุดไปยังกาลเวลาอื่นแล้ว”
“เป็นไปได้ยังไงเพคะ นอนอยู่กับที่แท้ๆ”
“ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น สองคนนั่นอาจจะไปล่วงเกินอะไรเข้าโดยไม่รู้ตัว”
“อืม...เป็นไปได้เพคะ สองคนนั่นซนยังกะลิงเทพ ในป่าล้วนมีมากมาย อาจมีบางท่านโกรธเอาก็ได้”
ปาระนังยกมือ
“มีการเคลื่อนไหว”
ปาระนังตวัดดาบปลายแหลมขึ้นมา แล้วก้าวขึ้นมาพร้อม สายตากราดไปข้างหน้า เห็นพุ่มไม้เคลื่อนไหว นาชะจ้องเขม็ง ปาระนังสีหน้าเคร่งเครียด
ทันใดนั้นลูกธนูวิ่งมาปักที่ต้นไม้ห่างออกไป มีเปลวไฟติดอยู่ที่ลูกธนู
“พี่ราเชน”
ร่างของราเชนก้าวออกมาจากพุ่มไม้ ตามติดด้วยไกรยุทธ์และนาฬิกา ปาระนังวิ่งเข้าหาราเชน ทั้งสองอยู่ในอ้อมแขนของกันและกัน ต่างสบตากันนิ่งนาน
“พี่ราเชน”
“น้องปาระนัง”
ปาระนังซบอกของราเชน ราเชนกอดปาระนังไว้ในวงแขน ไกรยุทธ์ นาฬิกา นาชะ ต่างจ้องมองอย่างมีความสุข
“ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต้องเป็นอย่างที่น้องปาระนังคาดการณ์ มีบางอย่างพาตัวบีมกับปิงปองไป”
ราเชนบอกหลังจากรู้เรื่องการหายตัวของบีมกับปิงปอง
“โธ่เอ๊ย มาถึงแล้วแท้ๆ ยังไปซนจนเกิดเรื่องจนได้”
“ความจริง ปาระนังคิดว่าจะตามหาบีมกับปิงปอง แต่คิดว่าน่าจะปรึกษาองค์หญิง ก่อนจะดีกว่า องค์หญิงณัชชาต้องรู้ว่าควรจะทำยังไง”
“ปาระนังคิดถูกแล้ว จุดนัดพบจะหายไปถ้าพ้นกำหนดเวลา ไม่มีทางมาถึงได้”
“โห...เกือบไปแล้ว ถ้าเชื่อนาชะตามบีมกับปิงปองไปก็แย่เลย”
“ของแบบนี้ไม่มีใครทราบหรอกครับ ถ้าผมไม่ตรวจดูแผนที่ก็ไม่มีทางรู้”
“เรารีบเดินทางต่อกันดีกว่าค่ะ”
ร่างของราเชน ปาระนัง นาฬิกา นาชะ ไกรยุทธ์ ก้าวออกมาจากราวป่า ไกรยุทธ์มีแผนที่อยู่ในมือ
“ตามแผนที่น่าจะอยู่แถวนี้นะครับ”
“แยกย้ายกันหา ดูซิว่าจะมีประตูอยู่ตรงไหน”
“ไม่ต้องแล้วค่ะ”
ทั้งหมดหันไปที่ปาระนัง ตรงหน้าของปาระนังในดงไม้มีแสงสาดจ้าอยู่ด้านใน ทั้งหมดรีบปราดเข้าไป ก็พบกับกำแพงหินตั้งขวางอยู่ มีแสงสะท้อนจากผิวกำแพงสะท้อนออกไป
“ไม่เห็นมีประตูเลยเพคะ”
“อาจจะต้องรอให้ทายาททุกคนมาพร้อมกันก่อนก็ได้”
“เดี๋ยวก่อน”
ทุกคนหันมาทางนาชะ
“องค์หญิงมาแล้วเพคะ นาชะสัมผัสพลังขององค์หญิงได้ชัดแจ๋วเลย”
ทุกคนต่างขยับตัว ร่างของณัชชาก้าวออกมาจากราวป่ายืนตรงหน้าของทุกคน
“เอ๊ะ ผู้กองเอกภพล่ะ” ราเชนถามเมื่อไม่เห็นเอกภพ
“โธ่เอ๊ย พี่เอกภพ มาหลงกลเทพอาคินเพราะผีเสื้อเนี่ยนะ”
“ความผิดของพี่เอง มัวแต่ห่วงเรื่องจุดนัดพบเลยประมาทไม่ทันระวัง” ทุกคนต่างมองหน้ากันสีหน้ากังวล “ข่าวร้ายอีกเรื่องหนึ่ง เทพอัคราถอดร่างมายังเมืองมนุษย์แล้ว”
“เทพอัคราท่านพ่อของเทพอาคิน”
นาฬิกากับไกรยุทธ์ถึงกับตื่นเต้น
“พลังของเทพอัครานี่เอง พวกสาวกถึงได้ออกตามล่าพวกเราทุกหนแห่ง เหมือนกับมันรู้ว่าพวกเราอยู่ที่ไหน”
“พลังของเทพอัคราเหนือกว่าพลังของเทพอาคินหลายเท่านัก แค่ความเคลื่อนไหวของพวกเราเพียงน้อยนิด ก็อาจเปิดเผยตำแหน่งได้ เราต้องระวังตัวมากขึ้น”
“แค่เทพอาคินก็จะแย่อยู่แล้ว ตัวพ่อดันโผล่มาอีก”
ทุกคนต่างมองไกรยุทธ์สีหน้ากังวล
“โชคยังดีที่เป็นร่างที่ถอดมา ถึงจะมีพลังมากมายก็ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง เราพอมีความหวัง” ณัชชาเดินไปเดินมาหน้ากำแพง “อย่างแรกก่อนดีกว่า เราต้องหาประตูให้พบ” ณัชชาเดินไปเดินมาใช้ความคิด อึดใจหันมาทางนาฬิกา
“นาฬิกา ตรวจดูแผนที่หาปริศนาดูซิ”
นาฬิการีบเปิดเป้เอาม้วนแผนที่ออกมากางตรวจดู ทันใดนั้นแผนที่ออกจากมือนาฬิกากางลอยตรงหน้าของทุกคน
“เอ๊ะ แผนที่มีภาพใหม่เพิ่มขึ้นมาค่ะ”
“มีรูปตัวแทนเหมือนทายาททั้งสี่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู แล้วมีแสงจากทายาททั้งสี่ไปที่ประตูเพคะองค์หญิง”
“ไม่มีพระจันทร์หรือพระอาทิตย์อยู่เหนือประตูอย่างที่ผ่านมา แสดงว่าไม่มีเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง”
“เราคงไม่เห็นประตู จนกว่าทายาทจะมาพร้อมกัน”
“เดี๋ยวก่อนครับ เลยจากประตูเข้ามาทางด้านใน ทำไมเหลือแต่ภาพพระจันทร์สองดวงครับ”
ณัชชากราดสายตามองไปมา
“มีแต่พระจันทร์สองดวง แต่อย่างอื่นหายไปหมด แสดงว่า...”
“เรามีเวลาสองวันก่อนที่ประตูจะหายไปเพคะ”
“งั้นแปลว่า เรามีเวลาสองวันที่จะตามหาทุกคนกลับมา”
ทั้งหมดต่างมองหน้ากันสีหน้ากังวล
“ท่านราเชน ปาระนัง ไกรยุทธ์ นาฬิการีบติดตามหา บีมกับ ปิงปองโดยเร็ว”
ณัชชาสั่งการ
“รับคำสั่งองค์หญิง”
“เราจะไปพาตัวผู้กองกลับมา” ณัชชาบอก
“พี่ณัชชารู้ว่าพี่เอกอยู่ที่ไหนหรือคะ”
“พี่รู้ว่าอยู่ที่รังของเทพอาคินอย่างแน่นอนแต่ต้องรีบมาที่จุดนัดพบก่อน”
“เดี๋ยวเพคะ” ทุกคนหันมาทางนาชะ “ตกลงให้นาชะทำอะไรเพคะองค์หญิง”
“เจ้าคอยระวังอยู่ที่นี่ เผื่อว่าบีมกับปิงปองจะกลับมา แล้วรีบไปตามพวกเรา”
“โห...ทั้งปี ไม่มีลุ้นเลย”
“หรือเจ้าจะไปจัดการกับเทพอาคินช่วยผู้กอง”
“เปล่าเพคะ ตามแผนเดิมขององค์หญิงดีกว่าเพคะ” ณัชชาไม่ยอมยิ้มด้วย “เฮ่...โชคดีทุกคน บ๊าย บาย”
นาชะแวบหายไป
“อีกสองวันเรามาพบกันที่นี่ ขอให้ทุกคนโชคดี”
ทุกคนต่างมองหน้ากันสีหน้ามุ่งมั่น
บีมลืมตาขึ้นมาเห็นชาวบ้านหญิงแต่งตัวสมัยสุโขทัยกำลังจ้องมองตนอยู่ บีมขยับตัวลุกขึ้นพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเสื่อ ถัดห่างออกไปเป็นปิงปองนอนอยู่บนเสื่อเช่นกัน บีมกราดสายตาพบว่าเป็นห้องนอนแบบบ้านทรงไทยเก่าแก่ห้องหนึ่ง ทั้งสองใส่เสื้อผ้าชุดเดิม
“ตื่นซะที”
ปิงปองเริ่มรู้ตัวขยับลุกขึ้นนั่ง
“ผมอยู่ที่ไหนครับนี่”
“บ้านท่านหลวงสิงห์”
“เอ้อ คือ สมัยไหนครับ”
“จะมีสมัยไหนล่ะ ก็สมัยสุโขทัยน่ะซิ”
ปิงปองกับบีมต่างมองหน้ากัน คาดไม่ถึง
สาวใช้สองคนยกสำรับกับข้าวมายังลานบ้านซึ่งบีมกับปิงปองนั่งอยู่ หญิงสาวนั่งใกล้ๆ
“เจ้าสองคนกินข้าวกินปลาซะ ท่านหลวงสิงห์กลับมาเมื่อไหร่ เจ้าสองคนต้องไปพบกับท่าน”
“แล้วผมมาที่บ้านนี้ได้ยังไงครับ”
“มีบ่าวที่นี่ไปพบพวกเจ้าตรงประสาทเก่า เจ้าสองคนนอนหลับอยู่ที่นั่น” บีมกับปิงปองต่างมองหน้ากันอย่างสงสัย “เสื้อผ้าของเจ้าสองคนผิดประหลาด ข้าจะลองหาเสื้อผ้ามาให้เจ้า”
“เออ...ไม่ต้องหรอกครับพี่สาว”
หญิงสาวมองหน้าบีมแล้วยิ้ม
“ตามใจก็แล้วกัน เจ้าสองคนพักที่นี่ก่อน ข้าไปธุระประเดี๋ยวจะมา”
หญิงสาวลุกขึ้นออกไป บีมกับปิงปองต่างมองหน้ากัน
“เรามาที่นี่ได้ยังไง” บีมถามปิงปอง
“ใครจะไปรู้ล่ะ”
ปิงปองบ่นพลางตักข้าวกินไป บีมถอนใจ
เจนศักดิ์นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมาตรงหน้า เจนศักดิ์เงยหน้าขึ้นมองถึงกับตื่นเต้น
“องค์หญิงณัชชา”
“ดีใจที่ได้พบกันอีก”
“เทพอาคินให้ นายอำนาจส่งจดหมายข่มขู่เจ้าหน้าที่ของทางการทั้งหลายให้สวามิภักดิ์ต่อมัน มันฆ่านักการเมืองสำคัญไปสองคนแล้วครับ แต่บังเอิญว่าสองคนนี้กำลังถูกตรวจสอบเรื่องโกงกินอยู่ คดีเลยเงียบไป มีแต่คนสมน้ำหน้า” เจนศักดิ์บอกณัชชา
“ที่แท้เทพอาคิน คิดใช้เมืองมนุษย์เป็นกองบัญชาการทำสงครามสี่โลกของมันนี่เอง”
อีกด้านหนึ่งขณะนั้นปาระนังเดินนำราเชน ไกรยุทธ์และนาฬิากาออกมาจากราวป่า ตรงมาที่จุดที่ บีมกับปิงปองนอนหลับก่อนที่จะหายไป
“ครั้งสุดท้ายสองคนนอนอยู่ที่นี่พอรุ่งเช้าก็หายไป ปาระนังตรวจทุกตารางนิ้วไม่พบร่องรอยอะไรเลย”
“อืม ถ้าเช่นนั้น ตรงนี้ต้องไม่ใช่สาเหตุ เราต้องย้อนเส้นทางกลับไปดู”
ปาระนังนำทุกคนเดินย้อนเส้นทางมา จนถึงที่พักกินข้าว
“เราหยุดที่นี่ให้บีมกับปิงปองได้พักทานอาหารก่อนที่จะเดินทางต่อ”
“เราลองแยกกันตรวจหาร่องรอยที่นี่ดู เพื่อว่าจะพบสาเหตุนอกเหนือร่องรอยของบีมกับปิงปอง แล้วสังเกตหาสิ่งที่สองคนนั่นอาจจะไปล่วงเกินโดยบังเอิญ”
“แบบว่าเป็นอะไรมั่งคะ”
“ก็จอมปลวก ตอไม้ หรือต้นไม้อายุมากๆ ที่อาจจะมีเทพหรือวิญญาณอาศัยอยู่”
“วิญญาณ แบบว่า...”
“พอจะเข้าใจแล้วครับ” ไกรยุทธ์รีบขัด ปาระนังกับราเชนพยักหน้าแล้วพากันเดินแยกออกไป ไกรยุทธ์หันมาทางนาฬิกานาฬิกาฝืนยิ้ม ไกรยุทธ์ส่งยิ้มให้ “ใครบอกนะว่าของแบบนี้ ห้ามพูด”
นาฬิกาพยักหน้ารีบเดินเข้ามาเกาะไกรยุทธ์ แล้วพากันแยกเดินไปอีกด้านหนึ่ง
ปาระนังเดินกลับเข้ามาที่จุดเดิมเช่นเดียวกับไกรยุทธ์และนาฬิกา
“เราไม่พบร่องรอยอะไรเลยครับ”
“ทางเราก็ไม่มีเลย”
“ไม่น่าเชื่อจริงๆ”
ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างจนมุม
“นึกออกแล้วว่าจะทำยังไง”
ทุกคนต่างหันมามองปาระนัง เห็นปาระนังยกมือพนมแล้วเอามือวนตรงหน้าสองรอบแล้วปล่อยพลังไปที่ราวป่าข้างหน้า ทันใดนั้นปรากฏเป็นภาพของบีมกับปิงปองในวันที่นั่งพัก
บีมเคี้ยวขาไก่ตุ่ยๆ ปิงปองนั่งตรงข้ามกำลังกินผลแอปเปิ้ลอยู่ บีมกินขาไก่หมดก็ล้วงมือเข้าไปในเป้ หยิบ
ผลแอปเปิ้ลขึ้นมากินมั่ง
“โชคดีนะที่เป้วิเศษของพี่ปาระนังใส่เสบียงไว้เพียบ”
“เหมาะสำหรับคนกินเก่งเป็นอย่างยิ่ง” ทั้งหมดต่างยิ้มให้กัน บีมเหล่ปิงปองแล้วลุกขึ้นเดินออกไป “จะไปไหนมิทราบ”
“ฉี่ ไปม๊ะ”
“ตามสบายย่ะ”
บีมเดินออกไป
“อย่าไปไกลนะบีม” นาชะบอก
“ครับผม”
บีมเดินเข้าราวป่าไป ทั้งหมดต่างยิ้มขำบีม
ภาพหายวับไป กลับสู่ปัจจุบัน
“นายบีมออกนอกเส้นทางตรงนี้เอง”
“เก่งมากน้องปาระนัง”
“บีมหายไปพักนึงปิงปองเลยออกไปตามหายไปครู่ใหญ่จนนาชะต้องออกไปตามจนกลับมา ปาระนังไม่ได้
สนใจตรงนี้เพราะบีมบอกว่าจะไปทำธุระส่วนตัว”
“นาฬิกาว่าที่นี่แหละค่ะที่น่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้น”
ทั้งหมดต่างยิ้มกันอย่างมีความหวัง
อีกด้านหนึ่งเจนศักดิ์คุยกับณัชชาในห้องประชุม
“มันจับผู้กองมาแบบนี้ เป็นกับดักล่อองค์หญิงให้เข้าไปหามันแน่นอน”
“ฉันรู้ว่าเทพอัครากับเทพอาคิน กำลังรอฉันอยู่ดังนั้นเราต้องวางแผนอย่างดี ถึงจะช่วยผู้กองออกมาได้”
“กำลังส่วนหนึ่งพร้อมที่จะเสียสละเพื่อผู้กองอยู่แล้วครับ”
“ขอบใจมาก”
ส่วนในป่าราเชน ปาระนัง ไกรยุทธ์และนาฬิกาเดินมาตามเส้นทางที่คาดว่าเป็นต้นเหตุให้บีมกับปิงปองหายไป ทันใดนั้นทุกคนเห็นแสงสะท้องมาจากพุ่มไม้
“ได้เรื่องแล้ว ทุกคนระวังตัว”
ทุกคนต่างเคลื่อนตัวเข้าไปจนถึงพุ่มไม้ ราเชนแหวกพุ่มไม้เข้าไปทุกคนก็พบแท่งศิลาจารึกอยู่
“แท่งศิลาจารึก”
“ไม่น่าจะเป็นสาเหตุได้เลยนี่ครับ”
“แท่งศิลาจารึกสมัยสุโขทัย พ่อขุนรามคำแหงพบที่ปราสาทโบราณ เห็นเป็นตัวหนังสือขอมจึงทำให้พระองค์ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้น ไม่มีประวัติบันทึกเรื่องความศักดิ์สิทธิ์หรืออาถรรพ์อื่นๆ”
“อืม ลองตรวจดูรอบๆ อีกครั้งดีกว่า”
ทั้งหมดต่างค่อยๆ เคลื่อนตัวออก
“เอ๊ะ...รอยเท้านายบีม”
นาฬิกาบอก ทุกคนเห็นรอยเท้าบีมอยู่ตรงฐานของแท่นศิลาจารึก
แท่นศิลาจารึกส่งแสงเป็นประกายไกรยุทธ์ขยับตัวเข้าไปใกล้
“จากตำแหน่ง นายบีมคงแค่ยืนอ่านข้อความมากกว่า”
ไกรยุทธ์บอก ราเชนก้มดู
“รอยเท้าปิงปองกับบีมเดินกลับออกไปตรงนี้”
ทั้งหมดเดินออกไปที่ราเชนก็เห็นรอยเท้าของบีมกับปิงปองเดินออกไปยังเส้นทางป่า ทิศทางไปทางที่พัก
“แสดงว่าตอนนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น น่าจะหลุดเข้าไปในแท่งศิลาให้หมดเรื่องหมดราว” นาฬิกาบอกเบาๆ ไกรยุทธ์ยิ้ม ปาระนังเดินไปตรวจบนเส้นทางป่า
“รอยเท้าทั้งสองคนกลับไปยังที่พัก จากนั้นเราก็ออกเดินทางกันต่อ จนวันรุ่งขึ้นพบว่าสองคนหายไป”
ทั้งหมดต่างมองหน้ากันคิดไม่ออก
“เอาล่ะ เราค้นหาให้ทั่วอีกรอบ จากนั้นเราจะไล่เส้นการเดินทางย้อนหลังไปอีกจนกว่าจะเจออะไรซักอย่าง”
ราเชนบอก นาฬิกาขยับตัวกลับไปทางศิลาจารึก ไกรยุทธ์เดินตาม ปาระนังกับราเชนเดินออกไปอีกด้านหนึ่ง
“คุณนาฬิกา จะทำอะไรครับ” ไกรยุทธ์ถาม นาฬิกาหยุดรอ
“แค่สงสัยว่านายบีมยืนดูอะไรตรงแท่นศิลา”
“หรือว่าไปฉี่รดเข้าโดยบังเอิญ”
“บ้าน่ะซิ นายบีมไม่ซื่อบื้อขนาดนั้นหรอก”
“หรือว่าจะดูตัวอักขระโบราณของไทย”
“ถ้าเป็นปิงปองอาจจะใช่ แต่เด็กผู้ชายไม่ค่อยสน เรื่องนี้หรอกนอกจากว่า...”
“อะไรครับ”
นาฬิกาไม่ตอบแต่หันกลับเดินไปทางแท่งศิลาจารึก ก้มลงไปตรวจดู
“นึกแล้ว...”
นาฬิกาหันมามองไกรยุทธ์อย่างตื่นเต้น ไกรยุทธ์มองอย่างสงสัย
ปาระนังกับราเชน ตรวจดูร่องรอยรอบๆ ทันใดนั้นเสียงไกรยุทธ์เรียกดังขึ้น
“พี่ปาระนัง พี่ราเชน ทางนี้ครับ”
ทั้งสองหันกลับไปก็เห็นไกรยุทธ์ยืนอยู่ตรงแท่นศิลา ส่วนนาฬิกาก้มลงตรวจอ่านดู ทั้งสองมองหน้ากันแล้วรีบเดินกลับไปหาทั้งสองคน
ราเชนกับปาระนังเข้ามาถึง นาฬิกาชี้ที่แท่นศิลาจารึก
“นิสัยเด็กผู้ชายมีซนเหมือนกันอย่างหนึ่งคือชอบเขียนทิ้งลายมือไปทั่ว นายบีมยืนใกล้แท่นศิลาไม่ใช่เพราะอ่าน แต่เขียนค่ะ”
“มีชื่อของนายบีมกับปิงปองอยู่บนศิลาจารึกครับ”
ราเชนกับปาระนังต่างมองหน้ากัน
“ถ้างั้นบีมกับปิงปอง หลงไปอยู่ในสมัยสุโขทัยซะแล้ว”
ธิดาพญายม ตอนที่ 13 (ต่อ)
อำนาจเดินเข้ามาหาอาคินในห้องโถง เทพอัครานั่งอยู่บนบัลลังก์
“จัดคนของเจ้าระวังผู้กองเอกภพอย่าให้หนีไปได้ฟังคำสั่งของท่านพ่ออย่างเคร่งครัด”
อำนาจโค้งรับคำสั่งแล้วเดินออกไป
อำนาจเดินเข้ามาในห้องของตน มือปืนตามเข้ามาสองคน
“บ้าที่สุด องค์กรขาดรายได้เพราะไอ้เทพบ้านี่ ตอนนี้ยังมีพ่อของมันมาอีก มัวแต่ตามหาไอ้กุญแจบ้าบออยู่ได้”
อำนาจเดินไปเดินมาอย่างเสียอารมณ์ “ตอนนี้กำแหงถึงกับจะไปเล่นงานพวกนักการเมืองอีก ยิ่งหนักกันเข้าไปใหญ่”
“ฉันไม่เห็นวี่แววว่ามันจะได้เป็นใหญ่ครอบครองโลกอย่างที่มันคุยเลย”
“จัดการพวกมันเลยมั๊ยพี่ เทพซ้ายขวาตายไปหมดแล้วเหลือมันแค่สองคนเอง”
“เย็นไว้ พวกมันมีพลังเกินกว่าพวกเรา เรารอให้องค์หญิงณัชชาบุกเข้ามาก่อน พอได้โอกาสก็สวมรอยตามน้ำจัดการกับพวกมัน”
ในป่า ราเชน ปาระนัง ไกรยุทธ์และนาฬิกา ยังอยู่ตรงแท่นศิลา
“ทำไมพี่ราเชนถึงคิดว่าบีมกับปิงปองหลงไปอยู่ในสมัยสุโขทัยล่ะครับ”
“แท่นศิลาจารึกบันทึกเรื่องราวที่อยู่ในสมัยนั้น นายบีมเขียนชื่อตัวเองลงไปบนศิลาจารึก เท่ากับว่านายบีมกับปิงปองคือบุคคลในสมัยนั้น”
“คาดการณ์ได้ดีมากนาฬิกา”
“แต่เป็นไปได้ยังไงครับ แค่เขียนชื่อแล้วจะทำให้หลงไปได้”
“ทายซิว่านายบีมเอาอะไรเขียน”
“ดินสอของปิงปอง”
“ไม่ใช่ดินสอธรรมดาแต่เป็นดินสอมนต์”
ไกรยุทธ์กับนาฬิกาต่างมองหน้ากัน คาดไม่ถึง
ที่เมืองสุโขทัย ปิงปองกับบีมค่อยๆ คลานเข้ามาในห้อง แล้วทรุดตัวนั่งยกมือไหว้ท่านหลวงสิงห์ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“เจ้าสองคนมาจากไหนรึ”
“คือผม...”
“เออ คือพี่ชายหนูกับหนู มาจากบ้านนอกเจ้าค่ะ”
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่รึ”
“แค่มาเที่ยวเจ้าค่ะ เดินทางเหนื่อยเลยพักที่ประสาทเก่าเผลอหลับไปเจ้าค่ะ”
“อืม...เจ้าพักที่นี่ได้ตามสบาย”
“ไหนๆ เด็กเสื้อผ้าประหลาดอยู่ไหน”
ปิงปองกับบีมหันไปก็เห็นแม่นางศรีจันทร์ คู่หมั้นของหลวงสิงห์เดินเข้ามา ใบหน้าสวยงามจนบีมเผลอมองจนตาค้างปิงปองหมั่นไส้เอาศอกกระแทกเบาๆ บีมถึงรู้ตัว
แม่นางศรีจันทร์เดินเข้ามานั่งบนแท่นใกล้ๆ หลวงสิงห์ มองบีมกับปิงปองอย่างสนใจ บีมยังคงมองตาไม่กระพริบ
“เสื้อผ้าของเจ้าสองคนมาจากไหน ช่างประหลาดแท้” แม่นางศรีจันทร์ยิ้มให้อย่างใจดี บีมมองตาลอย “ท่านพี่คะ พรุ่งนี้ขออนุญาตพาเด็กสองคนนี้ไปเที่ยวตลาดได้มั๊ยคะ จะได้เลือกซื้อเสื้อผ้าให้ถูกใจ”
“แม่นางศรีจันทร์กรุณาพวกเจ้า แล้วยังนั่งเฉยอยู่ใย”
ปิงปองกับบีมได้แต่มองหน้ากัน อึดใจปิงปองก็รีบยกมือไหว้
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
ที่องค์กรของอาคิน เทพอัครานั่งสมาธิอยู่ ทันใดนั้นลืมตาขึ้นมา ที่หน้าประตูห้องสมาธิ อำนาจกับพวกมือปืนห้าคนเดินพรวดๆ มา
“ลองเปิดประตูเข้าไปดู ถ้ามันพ่อลูกยังสมาธิอยู่เราก็ถล่มมันด้วยระเบิดซะเลย”
พวกมันมาถึงหน้าประตู แต่แล้วบานประตูก็เปิดออก พวกมันหยุดกึก
ประตูห้องสมาธิเปิด เทพอัคราก้าวออกมา เห็นอำนาจกับพวกมือปืนห้าคนยืนอยู่ เทพอัคราจ้องเขม็ง อำนาจรีบรายงาน
“เราได้ข่าวว่าจะมีพวกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองบุกเข้ามา เราจะมารายงานท่านอาคิน”
“เทพอาคินกำลังนั่งสมาธิอยู่” เทพอัคราพูดจบก็จ้องสายตาเยือกเย็น อำนาจรีบพาพวกมือปืนออกไป “องค์หญิงณัชชา”
เทพอัครายิ้มอย่างพอใจ
รถตู้หนึ่งคันเคลื่อนเข้ามาจอดยังฝั่งตรงข้ามองค์กรของอาคิน ภายในรถมีเจนศักดิ์ ณัชชา และเจ้าหน้าที่พิเศษในเครื่องแบบจรยุทธ์ 5 คน
“ทุกอย่างพร้อมตามแผนครับ”
“ระวังตัวด้วยทุกคน”
ณัชชาก้าวลงจากรถ เจนศักดิ์เคลื่อนรถนำออกไป
เจนศักดิ์และเจ้าหน้าที่ลงจากรถ ทั้งหมดบุกเข้าไปที่องค์กรของอาคิน พวกมือปืนปราดออกมาสาดกระสุนเข้าใส่ เจนศักดิ์พากำลังบุกเข้าไปทางด้านหน้า เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว พวกมือปืนล้มหลายคน มือปืนตรึงกำลังไม่ให้พวกเจนศักดิ์บุกเข้าไป
ด้านใน อำนาจเดินไปเดินมา มือปืนเข้ามารายงาน
“จะเอายังไงครับ”
“ให้พวกเราหาโอกาสถอยปล่อยให้พวกทางการบุกเข้ามา”
มือปืนคนสนิทพยักหน้าแล้วออกไป อำนาจกราดสายตาไปมาแล้วถอยออกไป
เอกภพขยับตัวเมื่อได้ยินเสียงปืน สายตากราดไปทั่วก็พบกับเทพอัครายืนตรงหน้า
“เราพบกันอีกแล้ว”
“นายรู้ใช่มั๊ยว่าองค์หญิงณัชชากำลังมาเล่นงานนาย”
“เรารอองค์หญิงณัชชาด้วยกัน”
“ไม่ต้องรอหรอก”
เทพอัคราหันขวับกลับไป ณัชชายืนอยู่แล้ว สีหน้าเคร่งเครียด ในมือของณัชชาถือปืนสองกระบอก จ้องที่เทพอัครา
“อาวุธของมนุษย์อยากที่จะทำร้ายเราได้”
ทันใดนั้นณัชชาตวัดปืนไปที่เอกภพ สาดกระสุนเข้าใส่เปรี้ยงๆๆ โซ่ขาดกระจาย ร่างของเอกภพร่อนลงมายืนบนพื้น ณัชชาสะบัดมือปืนสองกระบอกลอยลิ่วเข้าหาเอกภพ เอกภพรับไว้ได้อย่างแม่นยำ
“มอบคน”
ณัชชาตวัดมือมีดสั้นปรากฏ วิ่งเข้าหาเทพอัครามีดสั้นกลายเป็นดาบพิชิตมารฟันเข้าใส่เทพอัครา แต่ดาบผ่านตัวเทพอัคราวูบ ณัชชาคาดไม่ถึง เทพอัคราตวัดมือปล่อยพลังใส่ณัชชาจนกระเด็นไป
เทพอัคราก้าวเข้าหาณัชชา ยกฝ่ามือหมายปล่อยพลัง เสียงปืนดังสนั่นๆ หวั่นไหวเปรี้ยงๆๆ ร่างของเทพอัคราเซไปอย่างคาดไม่ถึง ณัชชาดีดตัวขึ้นมา ตั้งท่าเตรียมพร้อม เอกภพก้าวเข้ามายืนเคียงข้าง
“ลืมบอกไปว่ากระสุนปืนที่ใช้เป็นกระสุนปืนที่เรา เสกมนต์สวรรค์ไว้”
เทพอัครายิ้มเยือกเย็น
“วันนี้องค์หญิงไม่พ้นจากที่นี่แน่นอน”
ทันใดนั้นร่างของอาคินปรากฏ พร้อมเก้าภูตสังหาร
“ไม่ต้องคิดก็รู้อยู่แล้วว่าองค์หญิงต้องมา เราเตรียมพร้อมรออยู่แล้ว”
ณัชชากับเอกภพจ้องนิ่งขยับอาวุธในมือเตรียมพร้อม
ณัชชาจ้องนิ่งกราดสายตามองอาคินและเทพอัครา พลางมองที่เอกภพ ต่างสบตากัน ทันใดนั้นเจนศักดิ์พรวดเข้ามาพร้อมด้วยปืนยิงจรวดอาร์พีจี พาดอยู่บนไหล่
“แต่คงไม่ได้คิดเรื่องนี้”
ขาดคำเจนศักดิ์ก็ยิงจรวดอาร์พีจีพุ่งเข้าใส่กลุ่มของเทพอัครา อาคินอย่างจังเกิดระเบิดตูมไฟท่วม
ไฟลุกท่วมอยู่อึดใจ แต่แล้วก็ถูกดูดเข้าไปในฝ่ามือของเทพอัคราจนหมด เทพอัครากับอาคิน พร้อมเก้า
ภูตสังหารไม่มีแม้แต่รอยข่วน แต่ร่างของณัชชา เอกภพ และเจนศักดิ์หายไปแล้ว เทพอัคราเต็มไปด้วยความแค้นใจ ควันดำล้อมร่างอาคิน เก้าภูตสังหางหายไปในร่างของอาคิน
อำนาจกับมือปืนห้าคนเดินเข้ามาในห้องโถง เทพอัครายืนคู่อยู่กับอาคิน
“พวกท่านไร้ฝีมือปล่อยให้พวกมันบุกเข้ามา”
“เรายอมรับว่าพลาด แต่เราคาดไม่ถึงว่าพวกท่านจะพลาดพลั้งเสียทีเช่นกัน”
“บังอาจ” ทันใดนั้นเทพอัคราปล่อยพลังเป็นสายพุ่งเข้าใส่อำนาจกับพวก ทรุดลงตายหมด “พวกนี้สมควรตาย”
เทพอัคราสีหน้าเยือกเย็น อาคินถึงกับอึ้งไปอึดใจ
“ท่านพ่อ ลำพังเราต้านกับพวกทางการมนุษย์ย่อมยุ่งยากล้นมือ”
เทพอัครากราดมองพวกอำนาจ ทันใดนั้นตวัดมือปล่อยพลังมนต์ไปที่ร่างของพวกอำนาจ พวกมันค่อยๆ ลุกขึ้นมา แต่กลายเป็นผีดิบไปหมดแล้ว
“ข้าว่าให้พวกมันรับใช้เราตอนตายจะมีประโยชน์มากกว่าตอนอยู่”
ร่างของณัชชากับเอกภพพุ่งพรวดทะลุกาลเวลาออกมา กลิ้งที่พื้น ทั้งสองต่างขยับตัวลุกขึ้นปัดฝุ่นตามเสื้อผ้า
“ไง ดีใจมากซินะที่ได้เจอเทพผีเสื้อ” ณัชชาถามเอกภพ
“เฮ่...ดีใจมากไปหน่อย”
“สมน้ำหน้า”
ณัชชาก้าวเดินออกไป เอกภพเอามือตรวจจับตรงข้อมือที่ถูกมัดห้อยไว้ อดยิ้มไม่ได้แล้วรีบเดินตามณัชชาไป
เอกภพเร่งฝีเท้าตามณัชชาจนทัน
“โกรธผมเหรอครับ”
ณัชชาหยุดเดินหันมา
“บีมกับปิงปองหายไป”
“หายไป..หายไปได้ยังครับ”
“ไม่มีใครรู้ เราทุกคนกำลังช่วยกันตามหา ยกเว้นฉันที่ต้องกลับมาตามหาคุณ เพราะว่าคุณ...”
“ผม...พลาดเรื่องเทพผีเสื้อไปถนัดใจ” ณัชชาถอนใจ
“ช่างเถอะ ฉันก็แค่ห่วงบีมกับปิงปองเลยเสียอารมณ์นิดหน่อย เรารีบไปกันดีกว่า”
“องค์หญิงใช้พลังแวบพาเรากลับไปไม่ได้เหรอครับ”
“ตอนกลับมาหาคุณฉันแวบได้ เพราะเทพอัคราตั้งใจรอฉันอยู่แล้ว แต่ถ้าตอนนี้เราใช้พลังในการเดินทางเท่ากับเชิญเทพอัคราไปพบพวกทายาทเต็มๆ”
เอกภพได้แต่พยักหน้ารับ ณัชชาฝืนยิ้มให้แล้วก้าวออกไป เอกภพถอนใจ ค่อยๆ ก้าวตามไป
ราเชน ปาระนัง ไกรยุทธ์และนาฬิกายังอยู่ตรงหน้าแท่นศิลา
“เราต้องตามบีมกับปิงปองไปในดินแดนสุโขทัย”
“ตามไปได้ยังไงคะ”
“วิธีเดียวกันกับที่บีมทำ คือเขียนชื่อบนแผ่นศิลา”
“แต่เราไม่มีดินสอมนต์”
ราเชนตวัดมือขึ้นมามีธนูติดไฟอยู่ในมือ
“ธนูมนต์น่าจะใช้ได้”
“แต่ท่านพี่ เราจะกลับมาที่นี่ได้ยังไง” ทั้งหมดต่างมองหน้ากัน สีหน้าเคร่งเครียด “เรามีเวลาแค่สองวัน เราจะเสี่ยงหลงกาลเวลาไปที่อื่นไม่ได้”
ราเชนเดินไปเดินมา ไกรยุทธ์กับนาฬิกาต่างมองหน้ากันต่างจนด้วยเหตุผล
ทั้งหมดต่างนั่งล้อมวงกันอยู่ นาฬิกากับไกรยุทธ์มีเสบียงอยู่ในมือ ราเชนกับปาระนังสีหน้าเคร่งเครียด
“เรารอไม่ได้ พี่ว่าเราเสี่ยงไปก่อน แล้วค่อยหาทางกลับที่หลัง ถ้าเรายิ่งช้า บีมกับปิงปองยิ่งเสี่ยงต่ออันตราย”ทั้งหมดต่างฟังราเชนนิ่งไม่มีใครออกความเห็น ทันใดนั้นเสียงอีการ้องก้องมา ทั้งหมดลุกขึ้นกราดสายตาบนท้องฟ้าเห็นพวกอีกาบินว่อนอยู่
“สาวกของอาคินอาจจะพบบีมกับปิงปองได้ทุกเวลา”
“ท่านพี่พูดถูก เราต้องตามเข้าไป”
ทั้งหมดต่างมองหน้ากันสีหน้าเคร่งเครียด
ราเชนตวัดมือขึ้นมามีลูกธนูติดไฟปรากฏ ทุกคนต่างมองหน้ากันเป็นการตกลงใจขั้นสุดท้าย เสียงอีการ้องก้อง ฝูงอีกาบินวนมาอยู่บนท้องฟ้า
“ท่านพี่เร่งมือหน่อยก็ดี”
ราเชนย่อตัวลงสลักชื่อตัวเองลงไปจนเสร็จ เสียงอีกาดังก้อง ทั้งหมดจ้องดูฝูงอีกาที่บินใกล้เข้ามาทุกที
ราเชนรีบสลักชื่อปาระนังลงไปจนเสร็จ
“ท่านพี่”
ราเชนขยับตัวหันมาตามเสียงเรียกก็เห็นฝูงโจรผีดิบสาวกของอาคิน ยืนอยู่ตรงราวป่านับสิบในมือมีหอกดาบอาวุธครบ ราเชนขยับตัวลุกขึ้นพวกมันคำรามก้องแล้ววิ่งตรงเข้าหาทุกคน
พวกมันวิ่งดาหน้ากันเข้ามา ปาระนังสะบัดมือดาบปรากฏ ราเชนถือดอกธนูมนต์อยู่ในมือ ไกรยุทธ์และนาฬิกาสะบัดขวานขึ้นมาอยู่ในมือพร้อม
“นาฬิกาอยู่ใกล้พี่ไว้”
“ไกรยุทธ์อย่าห่างพี่”
พวกมันพรวดเข้ามาถึง ราเชนยกมือขึ้นเห็นธนูติดไฟพรึบขึ้นมา ราเชนสะบัดออกไป ลูกธนูติดไฟวิ่งเข้าใส่ตัวนำที่หน้าอกดังตึบ มันกระเด็นหงายหลังร้องลั่น ตัวอื่นๆ พุ่งเข้ามา ทั้งสี่ลุยเข้าต่อสู้ประชิดตัว
ทั้งสี่ต่างต่อสู้กับพวกมัน มีตอนหนึ่งไกรยุทธ์ถอนไปพิงแท่นศิลา โจรผีฟันดาบเข้าใส่ ไกรยุทธ์หลบ ดาบของมันฟันถูกแท่นศิลาดังแคร๊ง ราเชนสะบัดมือปรากฏดอกธนูมนต์วิ่งเข้าใส่มันตึบ มันกลายเป็นฝุ่นหายไป ทั้งสี่ต่อสู้อยู่อึดใจก็ทำลายพวกมันไปจนหมด ไกรยุทธ์ปราดไปที่แท่นศิลา
“พวกมันฟันแผ่นศิลาแตกไปส่วนหนึ่งครับ”
ราเชนเอามือลูบคลำแผ่นศิลาที่แตก
“พวกมันคิดจะทำลายแผ่นศิลา”
“หรือเทพอัครารู้แผนการของเราต้องการที่จะทำลายการติดตามบีมกับปิงปองกลับมา”
“เราต้องรีบแล้ว” ราเชนส่งธนูมนต์ให้นาฬิกา “เธอสองคนรีบเขียนชื่อลงไปบนแผ่นศิลา”
นาฬิการับธนูมนต์มาแล้วปราดไปที่แท่นศิลา
“เดี๋ยวก่อน” ทุกคนหยุดหันมามองปาระนัง “ถ้าพวกเราไปกันหมด พวกมันอาจกลับมาทำลายแผ่นศิลาก็ได้”
“แปลว่าอะไรครับ”
“ระหว่างการเดินทางของพวกเรา ถ้าแผ่นศิลาถูกทำลายเสียก่อน เราอาจไปไม่ถึงจุดหมาย”
“หลงไปอยู่ที่อื่นเหรอคะ”
“ถูกต้อง หรือไม่ก็ติดอยู่ในแท่นศิลาตลอดไป”
นาฬิกากับไกรยุทธ์ต่างมองหน้ากันอย่างคาดไม่ถึง
“เราสองคนจะอยู่เฝ้าแท่นศิลาเอง พี่ปาระนังกับพี่ราเชนไปตามบีมกับปิงปอง” นาฬิกาบอก
“ใช่แล้วครับ คุณนาฬิกา กู๊ดไอเดีย” ไกรยุทธ์สะบัดมือควงขวานขึ้นมา “เราป้องกันแท่นศิลาได้แน่นอน”
ปาระนังกับราเชนต่างมองหน้ากันตื่นเต้นพอใจ
“องครักษ์ทั้งสี่ต้องภูมิใจในตัวเธอ”
ทันใดนั้นแสงจากแผ่นศิลาจารึกส่งประกายแสงสว่างรอบด้าน
“ได้เวลาแล้วท่านพี่”
ราเชนส่งมือให้ปาระนัง ทั้งสองจับมือกันเดินเข้าหาแท่นศิลา
“เดี๋ยวก่อน ผมนึกออกแล้ว”
ปาระนังกับราเชนหยุด นาฬิกามองอย่างสงสัย ไกรยุทธ์รีบสะบัดเป้ลงมาจากหลังแล้วรื้อ อึดใจดึงเชือกมนต์
ขึ้นมาอยู่ในมือ
“ใช่แล้ว เชือกมนต์”
“ถ้าพี่สองคนจับปลายเชือกมนต์ไว้ข้างหนึ่งผมจับไว้ข้างหนึ่ง อาจจะพาพี่กลับมาที่นี่ได้โดยไม่เสียเวลา”
“ได้ เราจะลองดู”
“เก่งมากไกรยุทธ์”
ราเชนยื่นมือมารับเชือกจากไกรยุทธ์ ต่างยิ้มให้กัน
“พร้อมกลับเมื่อไหร่ กระตุกเชือก ผมจะได้ดึงทุกคนกลับมา”
“ฝากเบิร์ดโหลกบีมด้วยนะ พี่ราเชน”
ราเชนยิ้มจูงมือปาระนังเข้าไปในแสงของท่านศิลา เสียงดังวูฟ แสงหายวับไป พร้อมกับร่างของราเชนและปาระนัง แต่ที่คาดไม่ถึงคือเชือกมนต์เหลือปลายอยู่ในมือของไกรยุทธ์
“เยส...จับไว้ให้ดีนะคุณไกรยุทธ์” นาฬิกาบอก
“ผมรู้แล้วว่าจะทำยังไง”
ไกรยุทธ์เอาปลายเชือกพันกับแท่นแผ่นศิลาจารึกไว้ นาฬิกาเข้ามาใกล้
“เก่งจัง”
“มีรางวัลมั๊ยครับ”
“แน่นอน”
นาฬิกาประคองใบหน้าของไกรยุทธ์มาใกล้แล้วหอมแก้มข้างละฟอดใหญ่ นาฬิกาเดินออกไป ไกรยุทธ์ยิ้มตาลอย
ณัชชาเดินนำเอกภพออกมาจากราวป่า แล้วก็หยุดพร้อมสะบัดมือ มีแผนที่ปรากฏ
“คาดไม่ถึงว่า บีมกับปิงปอง จะหายไปได้”
“เรากำลังเดินทางไปหากุญแจนิลกาล ไม่ได้เดินช็อปปิ้งตามศูนย์การค้านะคุณ อะไรย่อมเกิดขึ้นได้” ณัชชากางแผนที่ออกตรวจดู “อย่าบอกนะครับว่าจำทางกลับไม่ได้”
“ถ้าฉันกลับทางเก่า เกิดเทพอัครากับเทพอาคินติดออกมาด้วยก็จ๊ะเอ๋กับทุกคนน่ะซิ”
ณัชชาสะบัดมือเก็บแผนที่
“เฮ่...จริงด้วยครับ ผมไม่ทันคิดเป็นเพราะองค์หญิงแท้ๆ”
“อ้าว...มาโทษฉันอีก”
เอกภพเดินเข้ามาตรงหน้าณัชชา
“คือพอผมเจอองค์หญิง จิตใจก็แปรปรวนความคิดล่องลอยไม่เป็นเรื่องเป็นราวออกลูกเบลอๆ ไงครับ”
“งั้นน่าจะต้องแยกกันเดินทางซะแล้ว”
“โห...แบบนั้นอาจจะยิ่งคลั่งเป็นบ้าไปเลยก็ได้นะครับ”
“มนุษย์ผู้ชายนี่ เพ้อเจ้อจริงๆ”
“เพ้อเจ้อก็เพราะว่า...”
ณัชชายกมือขึ้นสีหน้าเคร่งเครียด เอกภพหยุดพูดกึก
“มีความเคลื่อนไหวด้านโน้น”
เอกภพหันขวับไป ปืนสองกระบอกปรากฏในมือ กราดจ้องไปอย่างรวดเร็ว เห็นเงาวูบวาบอยู่ตรงหน้า
ทันใดนั้นร่างของทหารผีดิบญี่ปุ่นนับสิบปรากฏ
“ต้องมีขัดจังหวะทุกที”
ทหารผีดิบญี่ปุ่นพรวดเข้ามา ในมือมีซามูไรเงื้อง่า เอกภพสาดกระสุนใส่พวกมันกระเด็นออกไป ที่เหลือบุกเข้าประชิดตัว สองคนต่างใช้ฝีมือ ทั้งยิงทั้งปล่อยพลังอึดใจพวกมันก็กลายเป็นฝุ่นหายไปจนหมด เอกภพสะบัดมือเก็บปืน
“จิตใจมั่นคง สมองตอบสนองได้ฉับพลันหายเพ้อเจ้อแล้วนี่” ณัชชาบอกยิ้มๆ
“ยังเบลออยู่นิดๆ ครับ”
ณัชชาขำ ยื่นมือมาให้
“มา ให้ฉันจูงไปก่อนก็แล้วกัน”
เอกภพคว้ามือณัชชาหมับ
“ดีครับ”
ทั้งสองต่างยิ้มให้กันแล้วเดินออกไป
ไกรยุทธ์เดินเข้ามาตรงแท่นศิลาซึ่งนาฬิกายืนคอยระวังอยู่
“เหตุการณ์ปรกติ ยังไม่มีร่องรอยของพวกมัน”
“คุณไกรยุทธ์คิดว่า เทพอัคราพยายามที่จะเอาตัวบีมกับปิงปองไปหรือเปล่า”
“งานนี้เป็นเพราะความซนของบีมมากกว่า”
“พี่ณัชชาบอกว่าเทพอาคินต้องการกุญแจนิลกาลแล้วทำไมถึงคิดกำจัดพวกเรา”
“ถ้าพวกเราได้กุญแจเท่ากับเทพอาคินจบถ้าพวกเราดับ อาคินก็รอด ช้าหรือเร็วเทพอาคินก็ต้องหากุญแจได้”
นาฬิกาถึงกับเงียบไป “ตอนนี้เราก็แค่หวังให้พี่ราเชนกับท่านธิดาได้ตัวบีมกับปิงปองกลับมาทันเวลา”
ที่ปราสาทโบราณของแดนสุโขทัย ด้านหนึ่งที่ซับซ้อนเข้าไปเป็นแท่งแผ่นศิราจารึกยืนตั้งเอียงอยู่ ทันใดนั้นมีแสงปรากฏสว่างวาบขึ้นมา ร่างของปาระนังกับราเชนปรากฏ ในมือของราเชนมีปลายเชือกมนต์อยู่
“เชือกมนต์ของไกรยุทธ์ได้ผลจริงๆ ด้วย”
“แบบนี้พอเจอบีมกับปิงปองเราก็กลับไปที่เดิมได้ทันท่วงทีไม่ต้องหลงไปที่อื่น”
“หวังว่าเราจะหาสองคนนั่นเจอได้ทันเวลา”
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่ตลาดหน้าวังหลวงแม่นางศรีจันทร์กับหญิงรับใช้สองคนเดินผ่านตลาด แต่แล้วจู่ๆ มีชายฉกรรจ์สี่คนขวางทางอยู่ แม่นางศรีจันทร์หยุดมองด้วยสีหน้าเฉยตึง
“พี่คำรณ”
“น้องศรีจันทร์ ไปเยี่ยมท่านหลวงสิงห์บ่อยเกินไปจะเป็นที่ครหานินทา”
“เราหมั้นหมายกันแล้ว ใครรึจะกล้า ท่านพี่ตะหากที่ต้องระวังข้อครหานินทา” คำรณยิ้มให้แม่นางศรีจันทร์ “น้องขอตัวก่อน”
คำรณยิ้มหลีกทางให้ แม่นางศรีจันทร์ไม่ยิ้มด้วยแล้วเดินไปกับหญิงรับใช้สองคน คำรณมองตาม ทันใดนั้นแม่ค้าถือกระจาดขนมคนหนึ่งเซมาถูกคำรณขนมหกใส่เสื้อคำรณจนเลอะ
“เจ้า”
ชายฉกรรจ์หนึ่งในสามคว้ามือแม่ค้าไว้
“ซุ่มซ่าม”
มือของชายฉกรรจ์ยกขึ้นสูง หมายจะตบ แต่แล้วมีมือหนึ่งมาจับเอาไว้
“โปรดให้อภัยแม่นางผู้นี้”
ราเชนจับมือของชายฉกรรจ์ ข้างๆ คือปาระนัง ราเชนบิดมือจนชายฉกรรจ์ต้องปล่อยแม่ค้า แม่ค้ารีบลนลานจากไป ราเชนดันมือจนชายฉกรรจ์เซไปรวมกระจุกกับคำรณ ทั้งสองฝ่ายสบตากัน
“ชายหญิงคู่นี้ เป็นคนแปลกถิ่น น่าสงสัยอาจเป็นไส้ศึก จับตัวพวกมันไป”
คำรณสั่งลูกน้อง ราเชนกับปาระนังมองหน้ากันแล้วยิ้ม
“เป็นคนของทางการ แต่เที่ยวสร้างเรื่องใส่ร้ายประชาชน ระวังจะกรรมจะตามสนองนรกจะเรียกหา”
“พวกเจ้ารออะไรอยู่”
ชายฉกรรจ์สามคนกระชากดาบพรวดเข้ามาฟันใส่ราเชน ราเชนหลบวูบออกไปอีกด้านหนึ่ง ปาระนังถอยหลบไปยืนดูทางด้านข้าง ทั้งสามรุมล้อมราเชนประชิดตัว ราเชนออกลวดลาย ไม่นานพวกคำรณก็ทรุดหมดทางสู้ คำรณจ้องมองด้วยความโกรธ ราเชนยิ้มเคร่งแล้วเดินไปใกล้ปาระนัง
“เราไปกันดีกว่า”
ราเชนกลับปาระนังเดินออกไปไม่สนคำรณ คำรณมองตามด้วยความแค้น
บ้านท่านหลวงสิงห์ บีมกับปิงปองเดินเข้ามาในห้อง ปิงปองรีบปิดประตู ทั้งสองเดินไปนั่งตรงที่นอนของตน ซึ่งปูไว้ใกล้ๆ กัน
“เราต้องหาทางไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด”
“จะไปได้ยังไง เรายังไม่รู้เลยว่าเราอยู่ที่ไหน”
“พรุ่งนี้ปิงปองจะหาทางถามดูให้รู้แน่ ว่าเราอยู่ในสมัยไหนยุคไหน”
“อืม...คุณศรีจันทร์ สวยน่าดู”
“คิดจีบคู่หมั้นท่านหลวงความผิดถึงขั้นตัดหัวนะจะบอกให้”
“โอยโย่ หาอะไรกินดีกว่า”
ปิงปองอดยิ้มไม่ได้ บีมเอื้อมหยิบเป้ของตนที่วางไว้ข้างๆ ค้นหาของกินจนได้ช็อกโกแลตมาแท่งหนึ่ง บีมกินอย่างอร่อย ปิงปองเอื้อมหยิบเป้ของตนมาบ้าง
พอตกกลางคืน กองไฟเล็กๆ ถูกพลังจากฝ่ามือของราเชนลุกขึ้นมาพรึบอีกครั้งหนึ่ง ราเชนเดินมานั่งพิงกำแพงที่หักพังใกล้ๆ ปาระนัง ปาระนังขยับตัวเข้ามานั่งในวงแขนของราเชน
“เด็กสองคน ป่านนี้ จะไปทำอะไรอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้”
“พรุ่งนี้เราจะออกไปคอยดูที่ตลาด สอบถามผู้คนต้องได้เบาะแสแน่นอน”
ปาระนังพยักหน้ารับ พิงอกราเชน ราเชนกอดปาระนังไว้ในอ้อมแขน
ที่บ้านท่านหลวงสิงห์ ปิงปองรื้อเป้หยิบสมุดกับดินสอมนต์มาวาง แล้วดึงแผนที่ออกมาตรวจดู
“แผนที่บอกหรือเปล่าว่าเราอยู่ที่ไหน”
“เปล่า มีแต่จุดบอกตำแหน่ง จากที่นี่ไปยังจุดนัดพบ” ปิงปองจ้องแผนที่แล้วตกใจ “แย่แล้ว”
“มีอะไรเหรอ”
“จุดนัดพบจางลง แต่เส้นทางอย่างอื่นยังอยู่เหมือนกับว่าเรายังอยู่ที่เดิม”
“หา...คนละที่เห็นชัดๆ จะอยู่ที่เดิมได้ยังไงกัน”
“ได้ซิ ที่เดิมคนละสมัยยังไงล่ะ”
เสียงประตูห้องถูกเคาะ บีมกับปิงปองต่างมองหน้ากัน แล้วรีบเก็บข้าวของแผนที่ใส่เป้ ปิงปองเดินไปเปิดประตู
“ท่านหลวงให้มาเตือนพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า แม่นางศรีจันทร์จะมารับพวกเจ้าไปเที่ยวตลาด” หญิงรับใช้บอกปิงปองพูดไม่ออก
อีกด้านที่น้ำตกเล็กๆ แห่งหนึ่ง ณัชชากับเอกภพก้าวออกมาก็เห็นทิวทัศน์น้ำตกที่สวยงาม เอกภพมองอย่างตื่นเต้น
“ขอบคุณพระเจ้ายอร์ช ที่ประทานสิ่งสวยงามมาให้”
เอกภพขยับตัวออกไป ณัชชาคว้าแขนไว้
“เดี๋ยวก่อน”
ณัชชากราดสายตามองบนท้องฟ้า เอกภพกราดสายตามองตาม
“ในที่สุดเราก็พ้นพวกมัน”
“อืม...หรือว่าพวกมันยังมาไม่ถึง”
“ผมว่าพักที่นี่กันแป๊บนึงได้มั๊ยครับให้ผมล้างหน้าล้างตาเล็กน้อย ถ้าสาวกอาคินโผล่มา เราค่อยเผ่น”
“ก็ได้”
เอกภพยิ้มอย่างดีใจ เดินไปที่น้ำตก ณัชชา ยืนกราดสายตามองระวัง
เอกภพก้มลงใช้มือวักน้ำล้างแขนหน้าตา ทันใดนั้นเห็นเงาใบหน้าของตนเองเป็นภูตสังหารอยู่ในน้ำ เอกภพสะดุ้งผละห่างออกมา จ้องอีกครั้งก็เห็นแต่ใบหน้าของตน เอกภพสลัดหัวไล่ความสับสน
“ไปกันได้หรือยัง”
ณัชชาถาม เอกภพหันมาพยักหน้า
“โอเคครับ”
ณัชชายิ้ม เดินนำออกไป เอกภพเดินตามสีหน้าสงสัยตัวเอง
พระอาทิตย์ยามเช้าสาดส่อง ปิงปองกับบีมเตรียมตัวสะพายเป้เรียบร้อย แล้วเดินไปที่หน้าต่างค่อยๆ เปิดหน้าต่างออกไป ทั้งคู่พยักหน้าให้กันแล้วก็แวบหายลงไปโผล่ที่พื้นใต้หน้าต่าง ทั้งสองต่างเคลื่อนตัวออกไปช้าๆ แต่แล้วก็เจอกับชายฉกรรจ์สามคนที่สีหน้าดุดันจ้องมองมา บีมกับปิงปองได้แต่มองหน้ากัน
ชายฉกรรจ์สามคนเดินคุมบีมกับปิงปองมาบนลานซึ่งมีแม่นางศรีจันทร์กับท่านหลวงสิงห์นั่งอยู่ ตรงหน้ามีสำรับข้าวต้ม บีมกับปิงปองเดินมานั่งตรงพื้นด้านหน้า บีมกับปิงปองยกมือไหว้
“ข้าไปรับแม่นางศรีจันทร์ไปตักบาตรเพิ่งกลับมาพวกเจ้ากินข้าวซะก่อน แม่นางศรีจันทร์จะพาไปเที่ยวตลาดตามที่สัญญาไว้”
บีมกับปิงปองรีบเดินเข้ามายิ้มพูดไม่ออก
อ่านต่อเวลา 17.00น.
ธิดาพญายม ตอนที่ 13 (ต่อ)
ช่วงสายชายฉกรรจ์สามคนเดินนำหน้าท่านหลวงสิงห์ซึ่งเดินเคียงคู่กับแม่นางศรีจันทร์เดินเที่ยวตลาด บีมกับปิงปองเดินคู่กัน
“บีมว่ายิ่งดูท่านหลวงสิงห์ยิ่งหน้าคุ้นๆ” ปิงปองกระซิบกับบีม
“โห รู้จักคนเยอะเหรอเนี่ย จะคุ้นได้ยังไง อยู่คนละสมัยเป็นร้อยปีนะยะ”
“คุ้นจริงๆ น่าจะเห็นทางทางทีวีมากกว่า”
“ท่านหลวงสิงห์เนี่ยนะออกทีวี เว่อร์มาก”
แต่แล้วปิงปองได้ยินเหมือนเสียงระฆังดังแว่วมาไกล
“เสียงระฆัง”
“เสียงระฆังร้องทุกข์หน้าวังหลวง มีคนร้องเรียนอีกแล้ว” แม่นางศรีจันทร์พูดกับท่านหลวงสิงห์ ปิงปองตาวาวตื่นเต้นหันมาพูดกับบีม
“เราอยู่ในสุโขทัยสมัยพ่อขุนรามคำแหง”
“สมัยพ่อขุนรามคำแหง รู้ได้ยังไง” บีมถามอย่างแปลกใจ
“ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงพระองค์ให้เอาระฆังมาแขวนไว้ที่ประตูวังหลวงเพื่อให้ประชาชนร้องทุกข์”
“อืม...น่าจะใช่จริงด้วย”
“เพราะความซนของนายแท้ๆ ที่เขียนชื่อบนศิลาจารึก เราถึงมาอยู่ที่นี่”
“เจ้าสองคนมัวชักช้าร่ำไร” แม่นางศรีจันทร์บอก บีมกับปิงปองหันไปมอง
“มาแล้วเจ้าค่ะ”
บีมกับปิงปองรีบเดินไปจนทันท่านหลวงสิงห์กับแม่นางศรีจันทร์ที่รออยู่ แต่แล้วมีร่างสองร่างมายืนขวางอยู่
“พี่ราเชน”
“พี่ปาระนัง”
ราเชนกับปาระนังมองบีมกับปิงปองอย่างตื่นเต้น
ปาระนัง ราเชน ปิงปอง บีม นั่งอยู่ที่ลานบ้านท่านหลวงสิงห์ ตรงหน้าคือหลวงสิงห์กับทุกคน
“เด็กสองคนนี้เป็นญาติของท่านก็ถือว่าเชิญท่านสองคนพักที่นี่ตามสบาย”
“ขอบคุณท่านหลวงแต่เราต้องรีบไป”
“นึกออกแล้ว” ทุกคนหันมามองบีม “คือ บีมนึกออกว่าลืมของไว้ที่ห้องครับ”
“ปิงปองรีบพาบีมไปเอาของที่ห้อง เผื่อจะได้ตรวจดูของๆ ปิงปองด้วย”
ปิงปองลุกขึ้นลากมือบีมออกไป
“ท่านสองคนเดินทางมาไกล โชคดีที่ไม่พบเรื่องร้ายแรง ตอนนี้แถวชายแดนทางเหนือยังไม่น่าไว้ใจ”
“เราผ่านมาด้วยดี จนกระทั่งมาถึงนี่” ราเชนบอก
“ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“เราพบคนของบ้านเมืองข่มเหงราษฎร”
“ท่านแน่ใจรึว่าเป็นคนของบ้านเมือง”
“เรามั่นใจ”
“ท่านย่อมชี้ตัวได้กระมัง”
“ท่านพี่ราเชน” ปาระนังเรียกเสียงเบา
“ขออภัยที่พวกเราต้องรีบไป เราเชื่อว่าท่านหลวงต้องสามารถหาพวกนั้นพบได้อย่างแน่นอน”
หลวงสิงห์พยักหน้าจ้องราเชนนิ่ง ปิงปองก้าวเข้ามาที่ลานแล้วย่อตัวมาหาปาระนัง กระซิบเบาๆ
“ขออภัยท่านหลวงท่านคงไม่ว่ากระไร ถ้าเราจะอยู่ต่ออีกระยะเวลาหนึ่ง” ปาระนังหันมาบอกท่านหลวงสิงห์ราเชนมองปาระนังอย่างสงสัย
ปาระนังกับปิงปองก้าวเข้ามาในห้องเห็นบีมยืนรออยู่ สีหน้าร้อนรน บีมรีบเข้ามารายงาน
“บีมจำได้จริงๆ ว่าหลวงสิงห์หน้าเหมือนนายไกรสรหนึ่งในนักธุรกิจที่มีส่วนพัวพันกับการคอรัปชั่นทุกธุรกิจมูลค่าหลายหมื่นล้าน รวมทั้งแอบขายที่ดินให้ต่างชาติ”
“แค่จำได้ยังไม่พอหรอก ต้องมีหลักฐานมากกว่านี้” บีมส่ายหน้าแบมือ ปาระนังนิ่งคิด “ปิงปอง สมุดกับดินสอมนต์” ปิงปองรีบรื้อเป้แล้วหยิบสมุดออกมา “เขียนชื่อนามสกุลนายไกรสรลงไปซิ เผื่อว่าสมุดมนต์จะบอกอะไรได้บ้าง”
ปิงปองรีบเขียนชื่อลงไป อึดใจก็มีแสงออกมาจากสมุดมนต์ ปิงปองรีบดูแล้วอ่าน
“นายไกรสรเป็นเหลนของหลวงสิงห์ ได้บารมีหลวงสิงห์จึงได้เกิดแต่กลับกลายเป็นคนชั่ว”
“บีมคิดจะทำยังไง พี่กับพี่ราเชนไม่ควรเปิดเผยตัวตน”
“ก็แค่บอกท่านหลวงสิงห์ ที่เหลือสุดแล้วแต่ท่าน”
ปาระนังกับปิงปองมองหน้ากัน
“บีมคิดว่าท่านหลวงจะเชื่อเหรอ” ปาระนังย้อนถาม
“ถ้าเราพิสูจน์ได้ว่าเรามาจากอนาคต” บีมหันไปทางปิงปอง “ปิงปองรู้เรื่องพ่อขุนรามคำแหงมากว่าบีม น่าจะมีไอเดีย”
ปิงปองเดินไปมาคิดอึดใจ
“อืม...มีเรื่องสำคัญที่เกิดขึ้นคือ อำมาตย์มะกะโฑพาธิดาของพ่อขุนรามหนีไป เราบอกเรื่องนี้กับท่านหลวงน่าจะทำให้ท่านเชื่อได้”
“งั้นยกให้เป็นหน้าที่ของปิงปอง”
ปิงปองพยักหน้ารับ บีมยิ้มอย่างโล่งใจ
ปาระนัง ปิงปอง บีม เดินออกมาที่ลานบ้านแต่ท่านหลวงสิงห์ไม่อยู่แล้ว
“ท่านหลวงสิงห์ล่ะ”
“ท่านพาท่านราเชนไปไหนมิทราบเจ้าค่ะ สำรับอาหารจัดเตรียมไว้พร้อมแล้วเจ้าค่ะ”
“ขอบใจ”
สาวใช้เดินออกไป
“ว่าไงบีม กินก่อนดีมั๊ย”
บีมยิ้มพยักหน้า ปิงปองยิ้มกับปาระนังด้วยความดีใจที่ได้พบกันอีก
ท่านหลวงสิงห์กับราเชนเดินมาตามเส้นทางในตลาดแล้วก็พบกับคำรณและนักสู้นับสิบเดินสวนทางมา
“ท่านหลวงสิงห์ เรากำลังจะไปบ้านท่านพอดี”
“เรากำลังจะไปบ้านท่านเหมือนกัน”
“เราได้ยินว่ามีไส้ศึกแฝงตัวเข้าไปในบ้านของท่าน”
“จริงๆ แล้วเรากำลังจะมาถามท่านเรื่องที่ ท่านข่มขู่ชาวบ้านราษฎร”
“ท่านหลวงท่านกำลังดูหมิ่นเรา”
“ถ้าเราดูหมิ่นท่านก็คงนำกำลังคนมาแล้ว”
“สั่งสอน”
ชายฉกรรจ์นับสิบส่งเสียงดังแล้ววิ่งเข้าหา ท่านหลวงสิงห์กับราเชนแยกย้ายกันเข้าต่อสู้ประชิดตัว คำรณแค้นราเชนที่หักหน้าตนที่ตลาดจึงพุ่งเข้าหาราเชนพร้อมลูกน้องรุมราเชนแต่ท้ายที่สุดก็พลาดท่าถูกราเชนตบสั่งสอนกระเด็นไป ขณะที่ท่านหลวงสิงห์ก็จัดการกับพวกลูกน้องของคำรณจนราบคาบ คำรณเห็นท่าไม่ดี
“ถอยก่อนพวกเรา” พวกลูกน้องคำรณถอยออกมา “หลวงสิงห์เรากับท่านขาดกัน”
คำรณแค้นใจหันหลังรีบถอยจากไป ท่านหลวงสิงห์ถอนใจ
“เห็นแก่แม่นางศรีจันทร์ เราจะจัดการเรื่องนี้ภายหลังไม่ให้กระทบกระเทือนความสัมพันธ์ของสองตระกูล”
“เราเข้าใจ จริงๆ แล้ว ไม่ใช่กงการของเราท่านหลวงย่อมทำได้ตามเห็นสมควร”
“คนอย่างเรายอมหักไม่ยอมงอ”
ราเชนมองท่านหลวงสิงห์อย่างชื่นชม
หญิงรับใช้ยกถาดขนมและผลไม้มาวางตรงที่ตั้งสำรับ บีมกับปิงปองและปาระนัง นั่งกินขนมและผลไม้อยู่
หญิงรับใช้อีกคนเข้ามารายงาน
“ท่านหลวงสิงห์กลับมาแล้วเจ้าค่ะ เชิญทุกคนในห้องโถง”
ทั้งสามต่างมองหน้ากันอย่างตื่นเต้นต่อเรื่องที่จะเล่าให้ท่านหลวงสิงห์ฟัง
ปิงปองบอกเรื่องในอนาคตกับท่านหลวงสิงห์ ท่านหลวงสิงห์ถึงกับอึ้ง
“พวกท่านรู้อนาคตว่าเหลนของเราจะโกงกินขายบ้านขายเมืองให้ต่างชาติ”
“ครับผม”
“เฮอะ พวกท่านคงมาจากอนาคตกระมัง”
“ถูกต้อง” ท่านหลวงสิงห์หัวเราะ
“เราไม่มีทางเชื่อท่านอย่างแน่นอน”
ราเชน ปาระนัง ปิงปอง และ บีมต่างมองหน้ากัน
“ท่านหลวงคงต้องรู้จัก ท่านอำมาตย์ มะกะโฑใช่มั๊ยเจ้าคะ”
“เรารู้จักท่านอำมาตย์ มะกะโฑ เป็นอย่างดี”
“ในกาลข้างหน้า ท่านอำมาตย์มะกะโฑ จะพาท่านธิดาหลบหนีกลับไปยังเมืองมอญเจ้าค่ะ”
“เจ้าบังอาจ”
ท่านหลวงสิงห์จ้องปิงปองนิ่งนาน ระงับข่มอารมณ์
“นี่คือเรื่องจริงที่จะพิสูจน์ว่าพวกเรามาจากอนาคตเจ้าค่ะ”
ท่านหลวงสิงห์จ้องปิงปอง อย่างคาดไม่ถึง สีหน้าเคร่งเครียด อึดใจก็เอ่ยขึ้น
“ก็ได้ ถ้าเรื่องของท่านอำมาตย์ มะกะโฑ เกิดขึ้นจริงเราจะไม่แต่งงานสืบสกุลให้เหลนของเราทำลายชาติบ้านเมืองเด็ดขาด”
ปิงปองกับบีม ทรุดตัวลงนั่ง แล้วยกมือไหว้ท่านหลวงสิงห์ ปาระนังกับราเชน ยิ้มชื่นชมบีมกับปิงปอง
“ผมจะไม่ลืมว่าท่านคือบรรพบุรุษผู้เสียสละเพื่อปกป้องแผ่นดิน”
“หนูจะสั่งสอนเด็กๆ ให้รำลึกถึงบุญคุณที่ท่านหลวงรักษาแผ่นดินไว้ให้ลูกหลานเจ้าค่ะ”
“เราตะหากที่ต้องบันทึกว่าลูกหลานอย่างพวกเจ้ารู้จักรักษาและปกป้องแผ่นดิน”
ทุกคนต่างมองท่านหลวงสิงห์ด้วยความชื่นชม ทั้งหมดต่างโค้งท่านหลวงสิงห์พร้อมกัน
“พวกเราขอลาท่าน”
ท่านหลวงสิงห์พยักหน้ารับ ต่างสบตากัน และเข้าใจกัน
ณัชชากับเอกภพเดินออกมาจากราวป่า ทันใดนั้นได้ยินเสียงร้องกรี๊ดของหญิงสาวดังขึ้น ทั้งสองหยุดจับทิศทางที่มาของเสียง
“ทางโน้น”
แต่แล้วมีเสียงกรี๊ดออกมาอีกด้านหนึ่ง
“ทางไหนครับ”
“คุณไปทางด้านโน้น ฉันไปทางด้านนี้แล้วกลับมาพบกันที่นี่”
“โอเคครับ”
เอกภพพรวดออกไปด้านหนึ่ง ณัชชาพรวดออกไปอีกด้านหนึ่ง
ณัชชาร่อนลงมาตรงลานเล็กๆ กราดสายตาไปมา
“อะไรกันแน่”
ทันใดนั้นเงาดำพรวดเข้ามา ณัชชาสะบัดมือมีดสั้นตวัดไปรับได้ทันท่วงที เสียงดังแคร๊งสนั่น เป็นกรงเล็บฝ่ามือ
ของภูตสังหารปะทะกับมีดสั้นของณัชชา ทั้งสองผละห่างกัน
“ดาบพิชิตมาร”
ภูตสังหารพุ่งเข้ามาอีก ณัชชาตวัดดาบฟันออกไปเป็นพลังแสงกระแทกภูตสังหารกระเด็นออกไป ณัชชาสะบัดดาบตาม ภูตสังหารกลายเป็นควันดำหายไป
“เทพอาคินกล้าปล่อยภูตสังหารมาตัวเดียวมีบางอย่างน่าสงสัย” ทันใดนั้นเสียงปืนดังเปรี้ยงๆๆๆ “ผู้กอง”
ณัชชาพรวดออกไปตามเสียงปืน
เอกภพกราดปืนไปมารอบๆ สายตาจ้องเขม็ง ทันใดนั้นเงาวูบเข้ามา เอกภพสะบัดปืนเข้าหา
“ฉันเอง” ณัชชาบอก เอกภพกราดปืนไปที่อื่น อึดใจก็เก็บปืน “เกิดอะไรขึ้น”
“อยู่ๆ ภูตสังหารก็พรวดเข้ามา ผมสาดปืนเข้าใส่แต่มันไวมาก หายไปซะก่อน”
“อืม ฉันก็เจอมันเหมือนกัน”
“แปลกมาก ทุกทีมากันเก้าตัว ทำไมถึงโผล่มาแค่ตัวเดียว”
“ต่อไปนี้ เราต้องระวังทุกฝีก้าว”
ทั้งสองต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด
ปาระนัง ราเชน บีม ปิงปอง เร่งฝีเท้าไปยังปราสาทเก่า
“ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าเชือกของพี่ไกรยุทธ์จะเจ๋งขนาดนี้ สามารถพาเรากลับไปที่เดิมได้”
“สมุดกับดินสอมนต์ของปิงปองก็เจ๋งเหมือนกัน”
“รู้แล้วน่า”
เสียงลมกับอื้ออึงมา พร้อมเสียงอีการ้องก้อง บนท้องฟ้ามีพวกมันบินว่อนอยู่ฝูงหนึ่ง
“สาวกเทพอาคิน”
ปาระนังวิ่งนำออกไป
“เร็วเข้า ทุกคนเร่งฝีเท้า เราต้องรีบไปที่แท่งศิลาจารึก”
ทุกคนเร่งฝีเท้าตามปาระนังไป ราเชนคุมหลัง หยุดหันมามองบนท้องฟ้า พวกฝูงอีการ้องก้อง
ปาระนังวิ่งนำทุกคนมาแต่แล้วก็หยุดลงเพราะตรงหน้าคือคำรณและชายฉกรรจ์นับสิบ ราเชนก้าวออกมาข้างหน้า
“ปิงปองกับบีม พรางตัวออกไปรอที่แท่นศิลา” ปาระนังบอกเสียงเบา
“ครับผม”
“เจ้าคิดผิดที่บังอาจต่อกรกับข้า” คำรณบอก
“ยังไม่สายเกินไปที่ท่านจะนำคนของท่านกลับไป”
“จับตัวมันมา”
ชายฉกรรจ์นับสิบบุกทันที
“บีม ปิงปอง ไปได้”
ทันใดนั้นร่างของบีมและปิงปองก็กลายเป็นวุ้นวิ่งออกไป ชายฉกรรจ์เข้าถึงตัวราเชนกับปาระนัง ดาบฟาดฟันดุดัน ราเชนกับปาระนังพลิ้วกายหลบ แยกกันเข้าต่อสู้กับพวกมันแบบประชิดตัว ปาระนังสกัดพวกมันแล้ววนมาใกล้ราเชนซึ่งสกัดคนหนึ่งออกไป
“ท่านพี่จัดการเจ้าคนถ่อยนั่น ที่เหลือน้องจัดการเอง”
“ด้วยความยินดี”
ราเชนดีดตัวเข้าหาคำรณ ชายฉกรรจ์ต่างเข้ามาขวาง แต่ปาระนังดีดตัวเข้ามาสกัดพวกมันออกไปด้วยดาบปลายแหลม ทำให้ราเชนเผชิญหน้ากับคำรณ
“ท่านไม่สมควรมีชีวิตอยู่”
ราเชนตวัดมีดสั้นต่อสู้กับคำรณ บุกจนคำรณถอยกรูด ผ่านไปอึดใจ ดาบของคำรณกระเด็นหลุดจากมือ มีดของราเชนจ่อเข้าคอของคำรณ คำรณหน้าซีด ราเชนหันมาทางปาระนังที่จัดการทุกคนเรียบร้อยหมด
“เห็นแก่ท่านหลวงสิงห์ เราจะไว้ชีวิตท่าน หลวงสิงห์จะจัดการกับท่านเอง”
ราเชนตวัดมือตบเปรี้ยง คำรณทรุด ราเชนกับปาระนังเดินออกไป
ร่างของบีมกับปิงปองปรากฏขึ้นที่ท่านศิลา ปิงปองวิ่งเข้าไปจับที่ปลายเชือก
“เชือกของพี่ไกรยุทธ์”
“เย้...แบบนี้ทางลัดถึงเลย”
ทั้งสองต่างยิ้มให้กัน แต่แล้วเสียงอีการ้องดังมา ทั้งสองกราดสายตาไปเบื้องบน
“โห อยากเอาปืนกลสาดร่วงให้หมดจริงๆ”
บีมกราดสายตามองพวกอีกาที่บินวนอยู่บนท้องฟ้า
“ท่าทางไม่ค่อยดีแฮะ”
“พี่ปาระนังกับพี่ราเชนมาแล้ว”
ทั้งสองหันไปก็เห็นราเชนกับปาระนังเข้ามา
“พร้อมจะไปกันหรือยัง”
“พร้อมครับ”
ทั้งหมดต่างยิ้มให้กัน
ราเชนจับปลายเชือกขยับไปมา ทันใดนั้นแสงสว่างปรากฏออกมาจากแท่นศิลา เสียงอีการ้องดังขึ้น บีมแหงนหน้ามอง
“พวกมันชักเยอะขึ้นแล้วครับ”
“บีม รีบเข้าไปก่อน”
บีมปราดเข้ามาจับเชือกไว้ แล้วเดินเข้าไปในแสงสว่างของศิลาแล้วค่อยๆ หายเข้าไปในแท่งศิลา เสียงพวกอีกาดังขึ้นทุกที
ร่างของบีมหลุดเข้าไปในแท่งศิลา ยังมีแสงสาดจ้าอยู่เห็นเป็นเหมือนกล่องสี่เหลี่ยงทรงสูง เพดานสูง
บีมจับเชือกอยู่ มองเห็นเชือกวิ่งผ่านไปยังอีกผนังด้านหนึ่งของกล่องแล้วทะลุออกไป บีมขยับตัวไปตามเชือกจนติดผนัง
ราเชนแหงนหน้ามองเห็นพวกอีกามากขึ้นส่งเสียงร้องดัง
“ปิงปอง”
ปิงปองรีบเข้ามาจับเชือกแล้วค่อยๆ เดินเข้าไปในแสงสว่างของแท่นศิลา แล้วค่อยๆ หายไปในแท่งศิลา ปิงปองสาวเชือกเข้ามาในแท่งศิลา
“ทางนี้ปิงปอง”
ปิงปองรีบสาวเชือกเข้ามายืนใกล้ๆ บีม
หน้าแท่นศิลา พวกอีกาบนวนบนท้องฟ้าส่งเสียงร้อง
“เร็วเข้าน้องปาระนัง”
ปาระนังจับเชือกขยับตัวเข้าไปใกล้แสง ทันใดนั้นควันดำม้วนตัวเข้ามาอย่างรวดเร็วภายในบริเวณ
“เทพอาคิน”
“เร็วเข้า”
ปาระนังดึงเชือกพาร่างเข้าไปในแท่นศิลา ราเชนขยับตัว ทันใดนั้นอาคินปรากฏตรงหน้าของราเชน
“ท่านราเชนจะรีบไปที่ใด”
“ลาก่อนเทพอาคิน”
ราเชนพรวดเข้าไปในแท่งศิลา แต่อาคินสะบัดมือออกมาคว้าปลายเชือกไว้ได้ อาคินหัวเราะอย่างพอใจ
ราเชนพรวดเข้ามาด้านใน ซึ่งปาระนัง ปิงปอง บีม พร้อมอยู่แล้ว
“บีมดึงเชือก ส่งสัญญาณให้ไกรยุทธ์ดึงเราเข้าไป”
บีมจับเชือกดึงกระตุกหลายครั้ง
“เร็วเข้าพี่ไกรยุทธ์”
แท่นศิลาด้านไกรยุทธ์ ไกรยุทธ์กับนาฬิกาแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่พวกอีกาวนเวียนร้องก้องอยู่เบื้องบน ทันใดนั้นแท่นศิลาส่งแสงจ้าสว่างขึ้น
“คุณไกรยุทธ์ มาแล้ว พี่ปาระนังกับพี่ราเชน เร็วเข้า”
ไกรยุทธ์พรวดเข้าไปที่แท่นปลดเชือกออกแล้วดึงสาวเชือกออกมา แต่แล้ว...
“คุณไกรยุทธ์”
ไกรยุทธ์หันไปตามเสียงก็เห็นพวกทหารผีดิบสาวกของอาคินปรากฏ เป็นชายฉกรรจ์ร่วมสิบ แต่งชุดประมาณ
นายขนมต้ม พวกมันเดินรายล้อมเข้ามายังนาฬิกาและไกรยุทธ์
“โอ๊ะ โอ”
แท่นศิลาด้านอาคิน อาคินดึงเชือกเอาไว้ควันดำออกมาเต็มตัวอาคิน ทันใดนั้นพวกผีดิบห้าตัวปรากฏมาดึงเชือกแทนร่างของอาคิน
“พวกเจ้าดึงพวกมันออกมา”
พวกผีดิบห้าตัวดึงเชือกพรวดออกมาจากด้านใน
ภายในแท่นศิลาทั้งหมดถูกดึงจนเสียหลักระเนระนาดมาติดผนังอีกด้านหนึ่ง
แท่นศิลาด้านไกรยุทธ์ ไกรยุทธ์จับเชือกอยู่ถูกแรงดึงจนกระแทกกับแท่นศิลาโครม กระเด็นไปนอนกับพื้น แต่มือยังจับเชือกไว้อยู่ ไกรยุทธ์รีบดีดตัวลุกขึ้นมาดึงเชือกไว้อย่างสุดฤทธิ์
“คุณนาฬิกา ช่วย...หน่อย”
นาฬิกายืนเผชิญหน้ากับพวกชายฉกรรจ์ผีดิบที่เดินเข้ามาใกล้ หันรีหันขวางมองไกรยุทธ์สลับพวกผีดิบในที่สุดพรวดเข้ามาช่วยไกรยุทธ์ ดึงเชือกออกมาจากแท่งศิลาได้ส่วนหนึ่ง
ภายในแท่งศิลา เชือกดึงทุกคนให้กลับมายังผนังอีกด้านหนึ่งจนได้
“ทุกคนช่วยกันดึงเร็วเข้า เทพอาคินอยู่อีกฝั่งหนึ่ง กำลังจะดึงพวกเรากลับไป”
ทั้งหมดออกแรงดึงต้านเอาไว้อย่างสุดฤทธิ์
แท่นศิลาด้านไกรยุทธ์ มือหนึ่งของไกรยุทธ์จับปลายเชือก อีกมือหนึ่งจับขวาน ฟันพวกผีดิบที่เข้ามาใกล้ นาฬิกาควงขวานสกัดพวกผีดิบกระจายออกไปแต่พวกมันมากนับสิบ แห่กันล้อมเข้ามาจนประชิดตัวนาฬิกากวัดแกว่งขวานต้านพวกมันในขณะที่ไกรยุทธ์กวัดแกว่งขวานของตนสกัดพวกมันออกไป
“คุณไกรยุทธ์ ขวานคู่”
นาฬิกาตะโกนบอกพลางตวัดดาบฟาดฟันพวกมันแล้วเคลื่อนตัวเข้าหาไกรยุทธ์ ไกรยุทธ์ตวัดขวานฟันพวกมันออกไป นาฬิกาพรวดเข้ามาถึงพอดี แต่แล้วผีดิบตัวหนึ่งฟันโครมลงมาที่ไกรยุทธ์ ไกรยุทธ์เอาขวานรับเสียงดังสนั่น ขวานของไกรยุทธ์หลุดมือกระเด็นไปไกล พวกผีดิบบุกเข้ามาประชิดตัวมากขึ้น นาฬิกาฟันต้านพวกมันกระจายออกไป
ไกรยุทธ์ใช้มือหนึ่งปล่อยพลังกระแทก ตัวที่เข้ามาใกล้กระเด็นออกไป พลางสะบัดมือไปยังขวานที่ตกอยู่ที่พื้น
“พี่ขวานมาหน่อยดี้” ด้ามขวานเริ่มสั่นทีละนิด
นาฬิกาตวัดขวานใส่พวกผีดิบที่บุกเข้ามารอบด้าน
“เร็วเข้าคุณไกรยุทธ์”
ไกรยุทธ์ยื่นมือออกไป ตั้งสมาธิ ทันใดนั้นด้ามขวานวิ่งใส่มือของไกรยุทธ์ ไกรยุทธ์คว้าหมับ
“คุณนาฬิกา”
นาฬิกาฟันตัวหนึ่งกระเด็นไปแล้วหันมา ทั้งสองเอาคมขวานประกบกัน เสียงดังสนั่น เกิดเป็นแสงสว่างจ้าสาดออกมา พวกผีดิบต่างส่งเสียงร้องโหยหวนร่างของพวกมันแตกกระจายเป็นฝุ่นไปจนหมด
ไกรยุทธ์สะบัดมือขวานไปติดปึกที่ต้นไม้ ไกรยุทธ์ใช้มือสองข้างดึงเชือกออกมาจากแท่นศิลา
“เร็วเข้า ช่วยผมดึงเชือก”
นาฬิกาสะบัดมือขวานไปติดปึกใกล้กับขวานของไกรยุทธ์ แล้วปราดเข้ามาช่วยไกรยุทธ์ดึงเชือก ทั้งสองต่างสาวเชือกออกมาจากแท่นศิลา แต่กลับถูกอีกด้านหนึ่งดึงกลับเข้าไป
“เฮ้ย”
ทั้งสองต่างออกแรงชักกะเย่อกับอีกด้านหนึ่ง แต่ก็ค่อยเสียเปรียบถูกเชือกดึงทั้งสองใกล้แท่นศิลาเข้าไปทุกที ทันใดนั้นร่างของนาชะปรากฏ
“สองคนนี้เล่นอะไรกันน่ะ”
“เร็วเข้าพี่นาชะ ช่วยดึงเชือกหน่อย”
“ดึงทำไม เกิดอะไรขึ้น”
“บีม ปิงปอง พี่ราเชน กับ พี่ปาระนัง อยู่ในแท่งศิลา”
“โห มิน่าหาไม่เจอ”
เชือกถูกดึงใกล้เข้าแท่งศิลาไปหนึ่งก้าว นาชะปราดเข้ามาช่วยดึงด้วย
“ดึง”
ทั้งหมดช่วยกันดึงสุดแรง
ณัชชากับเอกภพออกมาจากราวป่า
“ถ้าจำไม่ผิด จุดนัดพบไม่ไกลจากที่นี่”
เอกภพแหงนมองท้องฟ้า
“แปลก พวกมันหายไปไหนหมด” ณัชชาหยุดมองบ้าง “ตั้งแต่เราถูกภูตสังหารเล่นงานก็ไม่เห็นพวกมัน”
“อืม...เงียบแบบนี้ ไม่ดีเลย”
ภายในแท่งศิลา ราเชน ปาระนัง บีม ปิงปอง พยายามจับเชือกดึงเอาไว้
“ออกแรงให้เต็มที่ เทพอาคินจะดึงเรากลับไป”
ทั้งหมดช่วยกันออกแรงดึงเชือกวิ่งไปวิ่งมาระหว่างสองด้านของผนังแท่งศิลา
แท่งศิลาด้านเทพอาคินเทพอาคินยืนคุมพวกผีดิบค่อยๆ ดึงเชือกออกมาจากแท่งศิลาทีละนิดทีละนิดอย่างพอใจ
ร่างของราเชน ปาระนัง บีม ปิงปอง ถูกดึงกลับไปทางด้านเทพอาคินอีกครั้งจนกระแทกผนังแท่นศิลา
“พี่ไกรยุทธ์ เร็วเข้า”
เสียงของบีมเหมือนดังก้องลอดออกมาจากแท่นศิลาด้านไกรยุทธ์
“เสียงบีมนี่”
“ออกแรงหน่อยคุณนาฬิกา พี่นาชะ”
ทั้งหมดต่างช่วยกันออกแรง แต่แล้ว...
“องค์หญิงณัชชา พี่สัมผัสองค์หญิงได้ พี่จะรีบไปตามองค์หญิงมาช่วย” นาชะบอก
“ไปเลย เร็วที่สุด”
นาชะปล่อยเชือกแล้วหายแวบไป เชือกถูกดึงพรวด ร่างของไกรยุทธ์กับนาฬิกาล้มไถลไปข้างหน้า เข้าหาแท่งศิลาอย่างรวดเร็ว
ภายในแท่งศิลาร่างของราเชน ปาระนัง บีม ปิงปอง เสียหลักเคลื่อนตัวไปข้างหน้าเช่นกัน เพราะขาดแรงดึงจากไกรยุทธ์และนาฬิกาอีกด้านหนึ่ง ทั้งหมดถูกดึงไปกระแทกกำแพงด้านในของแท่งศิลาโครม
แท่งศิลาด้านอาคิน อาคินมีสีหน้าเยือกเย็น
“ดึงพวกมันออกมา”
พวกผีดิบดึงเชือกกลับออกมาจนเห็นราเชนโผล่ปรากฏออกมาจากแท่งศิลาครึ่งตัว อาคินมองราเชนอย่างผู้ชนะ ราเชนจ้องอาคินเขม็ง พยายามออกกำลังดึงเชือกจากพวกผีดิบ
ขณะนั้นณัชชานำเอกภพออกมาจากราวป่า
“ฉันว่าเราใกล้ถึงแล้ว”
แต่แล้วเสียงอีการ้องก้องมา ณัชชากราดสายตามองบนท้องฟ้า
“ในที่สุดก็โผล่มาจนได้ พวกมันเวียนอยู่ที่โน่นเต็มไปหมด”
“พวกมันกำลังเล่นงานใครอยู่ เร็วเข้า”
ณัชชาวิ่งพรวดออกไป เอกภพพรวดตาม
ณัชชาวิ่งพรวดออกมาแล้วหยุดกราดสายตาดูเบื้องบนท้องฟ้าเห็นฝูงอีกาวนอยู่ลิบๆ เอกภพพรวดออกมา
“องค์หญิงแวบไปเลยไม่ได้เหรอครับ”
“แวบน่ะแวบได้ แต่แวบแบบไม่มีเป้าหมายอาจหลุดเลยไปกาลเวลาอื่น เราไม่ควรเสี่ยง”
ทันใดนั้นร่างของนาชะโผล่มา
“องค์หญิง”
“นาชะ”
“ทางนี้เพคะ” นาชะแวบหายไป
“มีเป้านำแบบนี้แวบได้แน่นอน”
ณัชชายื่นมือออกมาที่เอกภพ เอกภพคว้าหมับ ณัชชากับเอกภพแวบหายตามนาชะไป
ขณะนั้นที่แท่งศิลาด้านไกรยุทธ์ ไกรยุทธ์ตั้งตัวได้ ลุกขึ้น ออกแรงดึงเชือกหยุดไว้ จังหวะเดียวกันนาฬิกาลุกขึ้นมาได้รีบเข้ามาช่วยดึงเชือกอีกแรงหนึ่งได้ทันท่วงที
แท่งศิลาทางด้านอาคิน อาคินจ้องราเชนอย่างสะใจ แต่แล้วร่างของราเชนค่อยๆ ถูกดึงกลับเข้าไปในแท่นศิลา
“ดึงพวกมันออกมา”
อาคินสั่ง พวกผีดิบดึงเชือกกลับมาทีละนิด
ภายในแท่งศิลา ปาระนังเอาเท้ายันผนังแท่นศิลาไว้ พยายามดึง ทั้งหมดต่างออกแรงดึงเชือกอย่างเต็มที่
“พี่นาฬิกา พี่ไกรยุทธ์ ออกแรงหน่อย” ปิงปองตะโกนบอก
“เร็วๆ”
เสียงของปิงปองกับบีมดังก้องออกมาจากแท่งศิลา
“แข็งใจหน่อย กำลังดึงอยู่”
“พี่นาชะกำลังไปตามองค์หญิงมาช่วย”
ทันใดนั้นร่างของนาชะปรากฏ
“มาแล้ว”
ร่างของณัชชากับเอกภพปรากฏ
“พี่ณัชชา เชือก”
ณัชชาพรวดเข้ามาคว้าเชือกไว้
“ทุกคนปล่อย”
ไกรยุทธ์กับนาฬิกาปล่อย ทันใดนั้นณัชชาปล่อยพลังเข้าใส่เชือกเป็นแสงสีฟ้าพุ่งไปตามเชือก เข้าไปในแท่งศิลาแสงสีน้ำเงินพุ่งเข้าไปในแท่งศิลา
แสงสีน้ำเงินวิ่งผ่านเชือก ผ่านปิงปอง บีม ราเชน ปาระนัง
“องค์หญิงมาแล้ว”
ทุกคนรีบปล่อยเชือก
“เย้”
แสงสีน้ำเงินวิ่งผ่านกำแพงด้านในออกไปพุ่งไปสู่ด้านนอก
พวกผีดิบดึงเชือกอยู่ทางด้านนอก อาคินมองอย่างเสียอารมณ์ ทันใดนั้นแสงสีน้ำเงินพุ่งออกมาจากแท่งศิลา กระแทกพวกผีดิบระเบิดตูมกระจายเป็นฝุ่นไป อาคินเห็นเชือกถูกดึงปลายเข้าไปในแท่งแท่นศิลาจนหมด อาคินมองอย่างเคียดแค้นคาดไม่ถึง
“องค์หญิงณัชชา”
จบตอนที่ 13
อ่านต่อตอนที่ 14 เวลา 17.00น.