ธิดาพญายม ตอนที่ 12
พวกตองกอยวิ่งเข้าใส่ราเชนและไกรยุทธ์ ถูกหมัดและเท้าของไกรยุทธ์และราเชนเด้งออกมาจนเข้าไม่ติด แม่มดการานะกับแม่มดนายาวาเห็นท่าไม่ดี รีบหนีพรวดออกไปหน้าถ้ำ ราเชนกับไกรยุทธ์พุ่งตามออกไป
นาฬิกาจ้องแม่มดสาวันนาเขม็ง
“เราจัดการเอง”
แม่มดสาวันนาบอก นาฬิกายังจ้องแม่มดสาวันนาเขม็งเตรียมพร้อม
“ไม่เป็นไรนาฬิกา”
ณัชชาบอก นาฬิกาถอยออก แม่มดสาวันนาสะบัดมือพลังแสงกระแทกประตูพังทลาย ณัชชาก้าวออกมา
“พี่ณัชชา”
“พี่ไม่เป็นไร”
แม่มดสาวันนาก้าวเข้ามา
“พวกท่านต้องรีบไปจากที่นี่ เราใช้พลังออกไปเทพอาคินอาจสัมผัสได้”
“งั้นเจ้าไม่ควรอยู่ที่นี่”
“ขอบพระทัยองค์หญิง”
แม่มดสาวันนาฮึดอึดใจร่างก็แวบหายไป ณัชชาเซ นาฬิกาเข้าประคองณัชชา
“พี่นาชะบอกว่าพี่ณัชชาถูกมนตร์เก้าภูตสังหาร” ณัชชาพยักหน้า
“โชคดีดาบพิชิตมารขจัดไปได้ส่วนหนึ่ง”
มีเสียงความเคลื่อนไหว นาฬิกาพรวดเข้าบังณัชชาเตรียมพร้อม สายตาจ้องไปข้างหน้า ร่างของราเชนเข้ามากับไกรยุทธ์ นาฬิกาถอนใจโล่งอก
“แม่มดสองคนนั่นล่ะ”
“เราตามไปพักหนึ่ง แต่เป็นห่วงพี่ณัชชาเลยต้องรีบกลับมาก่อน”
“ขอบใจมากไกรยุทธ์”
ราเชนก้าวเข้ามาใกล้
“องค์หญิง”
“ท่านราเชน”
“แม่มดสาวันนาให้เรารีบไปจากทีนี่ก่อนที่เทพอาคินจะมา”
“เรานำเอง”
ราเชนพุ่งออกไป นาฬิกากับณัชชาตามติด ปิดท้ายด้วยไกรยุทธ์
ในราวป่าที่ซับซ้อนทึบหนาด้วยต้นไม้ ราเชนนำหน้ามาถึงลานเล็กจึงหยุดพักแล้วกราดสายตารอบๆ นาฬิกากับณัชชาก้าวเข้ามา ณัชชาหน้าซีดไม่สู้ดี ไกรยุทธ์เข้ามา
“พี่ณัชชาเป็นยังไงบ้าง”
“พี่ณัชชาต้องพักก่อน”
“นาฬิกาคอยดูองค์หญิง พี่จะออกไปดูทางด้านหน้ารอบนอก”
“ผมจะดู รอบนอกทางด้านหลัง”
“ระวังด้วยทุกคน เราเชื่อว่า เทพอาคินกำลังตามพลังของแม่มดสาวันนามา”
“เชิญองค์หญิงพักผ่อนได้เต็มที่”
ราเชนพยักหน้าให้ไกรยุทธ์แล้วก้าวออกไปทางด้านหน้า ไกรยุทธ์หันมาสบตานาฬิกา นาฬิกาพยักหน้าให้ ไกรยุทธ์เคลื่อนออกตัวไปทางด้านหลัง
“พี่ณัชชาเป็นยังไงบ้าง” นาฬิกาถามณัชชาอย่างเป็นห่วง
“ตราบใดที่ยังไม่ปะทะพลังกับใคร พี่ยังพอไหว”
“พี่เอกล่ะคะ”
“ถ้ารอดมือเทพอาคินไปได้ ในไม่ช้าดาบพิชิตมารก็จะนำผู้กองออกมาหาพี่เอง”
“ดีเลย พวกเราจะได้ร่วมเดินทางกันอีก”
ณัชชาพยักหน้ารับ ทรุดตัวลงนั่งหลับตาสมาธิ นาฬิกาคอยระวังอยู่ใกล้ๆ
เอกภพปีนขึ้นมาบนเนินเขา สายตากราดไปทั่ว สุดท้ายนั่งลงพักแล้วเอนกายนอนราบลงกับพื้น
“องค์หญิงอยู่ที่ไหน ช่วยส่งสัญญาณหน่อยก็ดีครับ”
เอกภพหลับตาลงพักผ่อน ไม่ทันสังเกตว่ามีดสั้นที่พกอยู่ที่เอวกำลังส่งรังสีออกมา
ในราวป่าที่เป็นที่พักของณัชชา ณัชชายังคงนั่งสมาธิอยู่ นาฬิกาเดินไปมาเฝ้าอยู่ใกล้ๆ หันไปก็พบราเชนยืนอยู่ห่างออกไป นาฬิกาเดินเข้าไปหาราเชน
“เป็นยังไงบ้าง”
“พี่ณัชชายังต้องเรียกพลังอยู่”
“พี่อยู่เฝ้าเอง นาฬิกาไปอยู่เป็นเพื่อนกับคุณไกรยุทธ์ก็ได้”
“ค่ะ”
นาฬิกาเดินออกไป ราเชนยืนระมัดระวังสายตามองกราดรอบเตรียมพร้อม
นาฬิกาเดินมาอีกด้านแต่ไม่เห็นไกรยุทธ์
“พี่ไกรยุทธ์”
ไกรยุทธ์โผล่ออกมาจากหลังพุ่มไม้ทึบ
“ทางนี้จ้ะ”
นาฬิกาเดินเข้าไปใกล้
“มาหลบอยู่นี่เอง”
“อ๊ะ ไม่ได้ซิ พี่ยังไม่เก่งเหมือนพี่ราเชนนี่ ขืนยืนในที่แจ้งอาจถูกลอบทำร้ายได้”
“รู้ตัวก็ดีแล้ว”
ไกรยุทธ์ดึงนาฬิกาให้นั่งซุ่มหลบหลังพุ่มไม้ใกล้ๆ ตน
“พี่ณัชชาเป็นยังไงบ้าง” นาฬิกาถอนใจ
“ยังไม่ค่อยดี พี่ไกรยุทธ์คิดว่าพวกเราจะชนะเทพอาคินได้หรือเปล่า”
“เทพอาคินมีพลังสูงส่ง เอาชนะคงยาก”
“หมายความว่าการเดินทางของพวกเราสูญเปล่า”
“ไม่ใช่ยังงั้น พี่บอกว่าเอาชนะคงยากแต่ถ้าไปให้ถึงจุดหมายได้กุญแจคุกนิลกาลก่อนเราก็ยังมีหวัง”
“โธ่เอ๊ย พูดจนใจเสีย กวนน่าดู”
“ไม่ได้กวน พูดเพื่อไม่ให้ไปสู้กับเทพอาคินตะหาก เจอเมื่อไหร่ต้องรีบเผ่น เข้าใจ๋” นาฬิกายิ้ม ไกรยุทธ์ดึงมือนาฬิกาขึ้นมาจูบเบาๆ “ไม่ต้องกลัว พวกเรามีหลายคน ยังไงก็ต้องมีคนหนึ่งถึงเส้นชัยก่อนเทพอาคิน”
นาฬิกายิ้มชะโงกมาหอมแก้มไกรยุทธ์หนึ่งฟอด ไกรยุทธ์ยิ้ม
“นาฬิกาไปดูพี่ณัชชาดีกว่า”
ทั้งสองยืนขึ้น
“สู้ๆ”
นาฬิกายิ้มเดินออกไป ไกรยุทธ์เคลื่อนตัวไปหลังพุ่มไม้ตามเดิม สายตากราดไปมา
ราเชนยืนระวังอยู่ใกล้ณัชชา นาฬิกาเดินเข้ามา ราเชนหันมา
“นาฬิกาอยู่เป็นเพื่อนองค์หญิงก่อนพี่สัมผัสอะไรบางอย่าง จะออกไปตรวจดูด้านนอก”
“ค่ะ” ราเชนออกไป แต่แล้วมีเสียงณัชชาเคลื่อนไหว นาฬิกาหันไปก็เห็นณัชชาค่อยๆ ลืมตาขึ้น นาฬิกายิ้มตื่นเต้น “พี่ณัชชา”
“ทุกคนปลอดภัยดี”
“ค่ะ”
ราเชนก้าวกลับเข้ามา
“ด้านนอกยังปลอดภัยดี องค์หญิงเป็นยังไงบ้าง”
“ดีขึ้นมาก ขอบใจท่านราเชน”
“ถ้างั้น อีกครึ่งชั่วโมงเราจะออกเดินทาง เชิญองค์หญิงตามสบาย”
“ภายในครึ่งชั่วโมง เราพร้อมแน่นอน”
ราเชนโค้งเล็กๆ แล้วเดินออกไป นาฬิกากับณัชชาต่างยิ้มให้กัน
ด้านนอกของลานป่า ราเชนกับไกรยุทธ์ยืนระวังอยู่ด้านนอกคนละด้าน ทั้งคู่กราดสายตามองรอบๆ นาฬิกากับณัชชาเดินออกมา
“พี่ราเชนเราพร้อมที่จะออกเดินทาง”
“ไกรยุทธ์นำ พี่อยู่หลังเอง”
“ครับผม”
ไกรยุทธ์ก้าวนำออกไป ทันใดนั้นเสียงดังตึมพร้อมแสงจ้า ร่างของไกรยุทธ์กระเด็นลอยเด้งกลับมา ร่างของอาคินปรากฎท่ามกลางแสงจ้า ทุกคนจ้องอย่างคาดไม่ถึง ราเชนสะบัดมือปล่อยพลังไฟออกไป อาคินสะบัดมือต้านไว้ได้ระเบิดเป็นแสงตูม
เอกภพลุกนั่งจากการนอน สลัดหัวไล่ความง่วง ไม่ทันได้เห็นว่ามีแสงแวบขึ้นมาไกลๆ ทางด้านหลังของตน
แต่แล้วเสียงอีการ้องก้องมา เอกภพลุกขึ้นแหงนหน้าดูบนท้องฟ้ามีพวกอีกาบินมาฝูงหนึ่งบินใกล้เข้ามา
“สาวกเทพอาคิน”
เอกภพรีบทรุดตัวนอนราบลง แล้วค่อยๆ ถอยลงเขาไปอีกทางหนึ่งเพื่อหลบจากพวกสาวกของอาคินโดยไม่รู้ว่าทำมีดสั้นตกอยู่บนพื้น มีดสั้นส่งรังสีเป็นประกาย
แสงจางอาคินยังอยู่ที่เดิม ราเชนก้าวเข้ามาข้างหน้าประจัญกับอาคิน นาฬิกาประคองไกรยุทธ์ขึ้นมา
“องค์หญิงณัชชา ไม่น่าเชื่อจริงๆ”
ทั้งหมดจ้องอาคินเตรียมพร้อม ทันใดนั้นร่างของแม่มดสาวันนาปรากฏ
“สาวันนา เจ้ารอดตายไปรายงานเทพอาคินจนได้”
ณัชชาแกล้งพูดเพื่อไม่ให้อาคินสงสัยแม่มดสาวันนา
“แน่นอน เสียใจที่ทำให้พวกท่านผิดหวัง”
ทุกคนเข้าใจความหมายของแม่มดสาวันนา ว่าไม่มีทางเลือก
“เจ้าไปได้แล้ว สาวันนา”
“ขอบใจท่านอาคิน”
แม่มดสาวันนากราดสายตามองทุกคน แล้วแวบหายไป อาคินก้าวเข้าหาทุกคน ทุกคนจ้องอาคิน
นาชะก้าวมาข้างหน้าสีหน้าเคร่งเครียด
“นาชะรู้สึกไม่ค่อยดี นาชะเหมือนรู้สึกพลังขององค์หญิง”
บีมกับปิงปองต่างตื่นเต้น
“พอจะจับตำแหน่งของพี่ณัชชาได้หรือเปล่า” นาชะส่ายหน้า
“ไม่ชัดเจน ไม่รู้ว่าอยู่กาลเวลาใดแต่นาชะจะลองดู ทุกคนเดินทางไปก่อนนาชะจะตามไปที่หลัง”
“พี่นาชะจะตามมาถูกเหรอ”
“เธอสองคนยังมีขนปีกของพี่นาชะอยู่พี่ตามเจออยู่แล้ว”
นาชะพูดจบก็แวบหายไป ปาระนัง บีมและปิงปองต่างมองตาม
“เราไปกันเถอะ”
ปาระนังออกนำ บีมกับปิงปองเดินตาม ปิงปองอดหันไปมองทางด้านนาชะไม่ได้
อาคินก้าวเข้าใกล้ ควันดำเริ่มออกมาจากร่าง ทันใดนั้นราเชนสะบัดมือปล่อยพลังไฟออกไปยังร่างอาคิน
“พาองค์หญิงหนีไป”
ราเชนบอกขณะที่พลังไฟกระแทกร่างอาคินส่งเสียงดังตึม ไฟลุกจ้า แต่ร่างของอาคินเดินฝ่าไฟออกมาสีหน้าดุดัน ราเชนตวัดมือขึ้นมามีมีดสั้นติดตัว พุ่งตัวเข้าหาอาคิน อาคินตวัดมือมีดาบสีดำปรากฏ ฟันต้านราเชนออกมา
ปะทะเสียงดังแคร๊งสนั่นหวั่นไหว แล้วก็เกิดการต่อสู้ประชิดตัว ผ่านไปสามท่า มีดสั้นปะทะกับดาบอีกครั้ง แต่คราวนี้อาคินกระแทกฝ่ามือออกไป ถูกราเชนกระเด็นไปไกล แต่ราเชนตีลังกากลับมายืน ในมือมีคันธนูพร้อมลูกธนูติดไฟ อาคินคาดไม่ถึง ราเชนปล่อยลูกธนูพุ่งเข้าหา กลายเป็นหลายดอกพุ่งเข้าปักร่างของอาคิน อาคินตวัดดาบไปมาปัดป้อง แต่แล้วกลับมีลูกธนูหลุดเข้ามาปักที่หน้าอกของอาคิน สามสี่ดอก อาคินก้มลงมองยิ้มแล้วกราดตาขึ้นมาแต่ ราเชนขยับธนู แต่อาคินปล่อยพลังใส่ระเบิดตูมร่างของราเชนกระเด็นไป พอไฟจางลง ไม่มีราเชนซะแล้ว อาคินยิ้มเยือกเย็น
“ตามล่า”
ควันดำพุ่งออกจากร่างของอาคิน ออกไปทุกทิศทาง อาคินหัวเราะก้อง
ไกรยุทธ์วิ่งนำ นาฬิกาจูงณัชชาวิ่งตาม ไปตามแนวป่า ควันดำเป็นสายพุ่งผ่านต้นไม้ในราวป่า ติดตามณัชชา ไกรยุทธ์ นาฬิกาไปติดๆ
ไกรยุทธ์วิ่งนำมาอึดใจก็หยุดลงหันไปเห็นนาฬิกาประคองณัชชาวิ่งเข้ามา
“พี่ณัชชา เป็นยังไงบ้าง”
“พลังของนาฬิกาช่วยให้พี่ไม่เหนื่อยนาฬิกาเก่งขึ้นมาก”
“เราต้องรีบหาประตูกลให้เร็วที่สุด”
“โอเค ตามมา”
ไกรยุทธ์พรวดออกไป นาฬิกาพยักหน้ากับณัชชา นาฬิกาคว้ามือณัชชาไว้ ทั้งสองต่างพากันวิ่งตามไกรยุทธ์ไป
ไกรยุทธ์วิ่งนำมาแล้วหยุดเพราะตรงหน้ากลายเป็นหน้าผา
“แย่แล้ว ทางตัน”
ไกรยุทธ์หันกลับ นาฬิกาประคองณัชชาวิ่งเข้ามาถึงพอดี ทั้งสามกราดสายตารอบๆ
“ประตูกลต้องมีอยู่แถวนี้ที่ไหนซักแห่ง”
“ช่วยกันหาเร็วเข้า”
ทั้งสามต่างแยกย้ายกันกราดสายตารอบๆ อย่างเร่งรีบ แต่ไม่มีร่องรอย
“เราต้องรีบกลับออกไป”
“ไม่ทันแล้ว”
ควันดำพุ่งเข้ามารายล้อม แล้วปรากฏเป็นภูตสังหารเก้าตัว ล้อมทุกคนไว้ ไกรยุทธ์กับนาฬิกายืนประจันหน้า ให้ณัชชาอยู่ทางด้านหลังของตน ทันใดนั้นร่างของอาคินปรากฏ ฝ่าทะลุเก้าภูตสังหารเข้ามา ทั้งสองฝ่ายต่างประจันหน้ากัน
เอกภพเดินทางมาได้ระยะหนึ่ง
“เรามาถูกทางหรือเปล่าเนี่ย” เอกภพเอามือคว้ามีดสั้น ปรากฏว่าไม่อยู่ “มีด หายไปไหน” เอกภพยกมือขึ้นเหนือหัว “ดาบพิชิตมาร”
ทันใดนั้นมีดสั้นพุ่งวาบเข้ามาอยู่ในมือ ส่งรังสีจ้า พุ่งไปอีกด้านหนึ่ง เอกภพหันกลับไป
“องค์หญิง”
อาคินยิ้มเยือกเย็นค่อยๆ ก้าวเข้าใกล้
“องค์หญิงณัชชา คิดหลบอยู่ข้างหลังทายาทหรือยังไง”
“ถ้าท่านไม่เล่นลอบกัดใช้มนต์เก้าภูตสังหาร ท่านก็คงไม่กล้าขนาดนี้หรอก”
“ปากดี ถ้าไม่ติดอยู่ที่ว่าพวกเจ้าคือปริศนาที่จะไปสู่กุญแจคุกนิลกาลละก็ ชีวิตพวกเจ้าจบไปนานแล้ว”
“ถึงยังไงท่านก็ได้ชื่อว่าลอบกัดอยู่ดี”
“ปากดี”
อาคินก้าวเข้ามา ฝ่ามือสองข้างยกสูงขึ้น ควันดำวิ่งปั่นป่วนอยู่แถวมือทั้งสองข้าง
“มนต์เก้าภูตสังหาร”
ทันใดนั้นณัชชาคว้าคอเสื้อของนาฬิกาและไกรยุทธ์
“ไปเอากุญแจให้ได้”
“พี่ณัชชา”
ณัชชากัดฟันยกแขนทั้งสองเหวี่ยงร่างไกรยุทธ์กับนาฬิกาออกไปนอกหุบเขา ร่างของนาฬิกากับไกรยุทธ์ลอยตกหน้าผาไป
อาคินยิ้มเยือกเย็นก้าวเข้าหาณัชชา ณัชชาจ้องเขม็ง
“นับว่ายังมีศักดิ์ศรีเหลืออยู่บ้าง”
ณัชชายิ้มเครียด
“เสียดายที่ศักดิ์ศรีของท่านไม่มีแม้กระทั่งจะเหลือ”
สายตาอาคินเยือกเย็น
“คราวนี้ก็ถึงคราวขององค์หญิง”
อาคินสะบัดมือ มีดาบสีดำสนิทอยู่ในมือ ณัชชาถอยตั้งหลัก อาคินบุกเข้าฟันอย่างไม่ยั้ง ณัชชาหลบได้สองสามครั้งตบอาคินได้เปรี้ยงหนึ่ง อาคินแค่หน้าหัน
“มีพลังแค่นี้ อย่าเสียเวลาดีกว่า”
อาคินบุกฟันอีก ณัชชาหลบได้สองสามครั้งก็เริ่มเซ อาคินเข้าฟันอีก ณัชชาเริ่มเสียเปรียบ เริ่มปัดป้องช้าลง
ณัชชาแข็งใจตวัดฝ่ามือออกไป แต่อาคินหลบวูบตบณัชชากระเด็นไปทรุดที่พื้น อาคินก้าวเข้ามาใกล้ ยิ้มเยือกเย็น“ลาก่อนองค์หญิง”
อาคินเงื้อดาบสูงแล้วฟันลงมาที่ร่างณัชชา ทันใดนั้นเสียงดังแคร๊งสนั่นหวั่นไหว ร่างของอาคินเซถอยออกไป
อาคินจ้องสายตาคาดไม่ถึง
“ผู้กองเอกภพ”
เอกภพถือดาบพิชิตมารตวัดไปมารังสีสาดเสียงดังหึ่งๆ ณัชชาจ้องอย่างตื่นเต้น วิ่งเข้ามากอดเอกภพ
“องค์หญิงสบายดี”
“สบายมาก”
ณัชชากับเอกภพจ้องอาคินเขม็ง
“ในเมื่อมาอยู่พร้อมหน้าก็ดี”
อาคินจ้องพลางเดินพลัง ควันดำลอยล่องออกมารอบตัวอาคิน
“ได้เวลาไปแล้วมั๊งองค์หญิง”
“ตามมา”
ณัชชาหันหลังลากเอกภพออกไป อาคินจ้องตามสายตาดุดัน
ณัชชาพาเอกภพวิ่งมาหยุดตรงหน้าหุบเขา
“อย่าบอกนะครับว่าต้องข้ามเหวอีกแล้ว”
“ฉันเหวี่ยงไกรยุทธ์กับนาฬิกาลงไปตรงนี้เพื่อหนีเทพอาคิน เราต้องรีบตามลงไป”
ทันใดนั้นควันดำพุ่งเข้ามาวนเวียนกระจายรอบตัวทั้งสอง
“งั้นก็ต้องโดดแล้วครับ”
ณัชชาพยักหน้า เอกภพส่งมือให้ ทั้งสองพุ่งตัวโดดลงไป อย่างรวดเร็ว ควันดำรวมตัวกัน ร่างของเก้าภูตสังหารปรากฏ อาคินก้าวเข้ามาสายตากราดไปข้างหน้า หมายตามไป แต่แล้วทันใดนั้นลูกธนูไฟนับสิบบินมาปักที่พื้นเป็นกำแพงไฟกันไว้ อาคินยิ้มเยือกเย็น
“ท่านราเชน” อาคินกราดสายตารอบ “ไฟบรรลัยกัลป์ของท่านขวางข้าไม่ได้หรอกช้าหรือเร็ว เราจะครองทั้งสี่โลก”
ร่างของอาคินก็หายไป ร่างหนึ่งเดินออกมาจากกำแพงไฟซึ่งก็คือราเชนนั่นเอง
“โลกทั้งสี่ไม่ให้ท่านครองได้ง่ายๆ หรอก”
ใต้หุบเขามีน้ำตกไหลลากลงมาตามขั้น แล้วไหลลงมายังแอ่งเบื้องล่างตรงริมแอ่ง ร่างของนาฬิกาและไกรยุทธ์ นอนสลบไม่ได้สติอยู่ แต่แล้วก็เห็นร่างของไกรยุทธ์ขยับตัวค่อยได้สติขึ้นมา ไกรยุทธ์กราดสายตาเห็นนาฬิกาจึงรีบเข้าไปประคองร่างให้หนุนอกของตน
“คุณนาฬิกา คุณนาฬิกา”
ไกรยุทธ์เอาฝ่ามือวนที่ใบหน้าของนาฬิกาเห็นเหมือนอากาศเป็นวุ้นผ่านไปมา อึดใจนาฬิกาก็รู้สึกตัว
“คุณไกรยุทธ์” ไกรยุทธ์ยิ้มให้ นาฬิกาขยับตัวกราดสายตา“พี่ณัชชากับพี่ราเชนล่ะ”
ไกรยุทธ์ส่ายหน้า นาฬิกาสีหน้าเคร่งเครียด
“หวังว่าพี่ณัชชากับพี่ราเชนปลอดภัยจากเทพอาคิน”
“ผมเชื่อว่าสวรรค์ยังอยู่ข้างเรา” นาฬิกาถอนใจ “ตอนนี้มีแค่เราสองคน ยังทำอะไรไม่ได้มาก นอกจาก เอ้อ...”
“นอกจากอะไรคะ”
ไกรยุทธ์เอามือกวักน้ำสาด นาฬิกายิ้มแล้วลุกขึ้นวิ่งลงไปในแอ่งน้ำ ไกรยุทธ์ยิ้มแล้ววิ่งลงไปในแอ่งทั้งสองหัวเราะกันอย่างสนุก
“โห ดูนั่น”
นาฬิกาหันหน้าหันหลังมองไม่เห็นอะไร
“อะไรอะ”
“ปลาตายเพียบ”
นาฬิกาเหล่แล้วใช้มือสาดน้ำใส่ทั้งสองต่างหัวเราะเล่นสาดน้ำเข้าหากัน
ไกรยุทธ์กับนาฬิกาเดินมาตามแนวป่า ทันใดนั้นเสียงอีการ้องดังก้องขึ้น ทั้งสองกราดสายตามองบนท้องฟ้าเห็นฝูงอีกาฝูงใหญ่บินมา
“ไม่ว่าเราจะหลงไปไหน ก็เจอสาวกของเทพอาคินที่นั่น”
“นาฬิกาว่าเราหลบเข้าไปในถ้ำตรงโน้นดีกว่าลำพังเราสองคนไม่ควรประมือกับเทพอาคิน”
“ไม่ควรเป็นอย่างยิ่ง”
เสียงอีกาดังร้องก้องขึ้นพวกมันใกล้เข้ามา ทั้งสองรีบลัดเลาะมุ่งไปยังถ้ำที่เห็นตรงหน้า
ร่างของณัชชากับเอกภพแวบปรากฏในราวป่าใต้หน้าผา ณัชชาเซเล็กน้อย เอกภพรับไว้ได้ทันท่วงทีกอดไว้ในอ้อมแขน
“คุณหายไปใหนมา ฉันรอตั้งนาน”
“ขอโทษครับ ต้องผ่านด่านปริศนาน่ะครับ” ณัชชาหลับตาอึดใจ “องค์หญิงยังไม่หายจากมนต์เก้าอสูร”
ณัชชาพยักหน้ารับ
“เราต้องรีบตามหา นาฬิกากับไกรยุทธ์”
“คุณแน่ใจเหรอว่า เราอยู่ในกาลเวลาเดียวกันกับสองคนนั่น”
“ไม่แน่ใจเท่าไหร่”
“ผมว่าหาที่สงบทำลายมนต์เก้าอสูรให้องค์หญิงก่อนดีกว่าครับ”
“ไม่ได้หรอก ทันทีที่ดาบพิชิตมารเริ่มแสดงอำนาจอาคินจะสัมผัสได้ทันทีเราหยุดไม่ได้ ฉันยังไหว” เอกภพถอนหายใจจ้องมองณัชชาด้วยความเป็นห่วงอย่างลึกซึ้ง ณัชชายิ้มให้ “ถ้าฉันไม่ไหว คุณอุ้มฉันก็ได้นี่” เอกภพอุ้มณัชชาขึ้นมา ณัชชาโอบรอบคอเอกภพแล้วยิ้ม “ดีมาก”
เอกภพยิ้มแล้วอุ้มณัชชาเดินออกไป ณัชชายิ้มแต่แล้วก็หลับตาลงซบที่ไหล่ของเอกภพ
ไกรยุทธ์กับนาฬิกาเร่งฝีเท้ามายังถ้ำแต่ก็ต้องคาดไม่ถึงเพราะระหว่างถ้ำมีสายน้ำขวางอยู่ ไม่กว้างมากแต่ก็ไม่มีเส้นทางที่จะข้ามไปได้
“เห็นที่เราต้องลงน้ำข้ามไป”
เสียงอีการ้องก้องมาบนท้องฟ้า พวกมันบินตรงมายังทั้งสอง
“พวกมันใกล้เข้ามาแล้ว”
“ผมจะข้ามไปเคลียร์พื้นที่ก่อน ปลอดภัยแล้วคุณนาฬิกาค่อยตามไป”
“ได้ค่ะ”
ไกรยุทธ์ขยับตัวไปใกล้ขอบน้ำ พลางก้มลงหยิบหินขึ้นมากำหนึ่ง ไกรยุทธ์เหวี่ยงหินออกไปตามจุดต่างๆ ในน้ำที่ขวางอยู่ ทั้งสองมองหน้ากัน
“อืม...ดูเงียบสงบดี”
ไกรยุทธ์ขยับตัวแต่แล้วก็ต้องถอยกลับ เพราะมีฟองเดือดปุดๆ ขึ้นมาในสายน้ำที่ขวางอยู่ข้างหน้า ทีละนิดแล้วเดือดเต็มไปหมด
“อะไรกันนี่ ทำไมน้ำถึงเดือด”
ทันใดนั้นก็เห็นเงาดำยาวเลื้อยอยู่ใต้น้ำหลายตัวเต็มไปหมด ทั้งสองคนถึงกับถอยมาหนึ่งก้าว
“ไอ้พวกนี้ ต้องมีพิษอยู่ในตัวสูงมากทีเดียว น้ำถึงเดือดแบบนี้”
เสียงอีการ้องก้องดังใกล้เข้ามา
“เราไม่มีทางหลบพวกสาวกพ้นถ้าไม่ข้ามไป”
ฝูงอีการ่อนใกล้เข้ามา
“เดี๋ยวก่อน เชือกของผม”
ไกรยุทธ์รีบรื้อย่ามของตนคว้าเชือกขึ้นมาเป็นขดเล็กๆ เท่าฝ่ามือ
“ทำไมหดเหลือติ๋วเดียว”
“สงสัยอากาศเย็น” ทันใดนั้นเชือกขยายออกเป็นเส้นใหญ่ ปลายลอยขึ้นไปบนอากาศแล้วค้างอยู่อย่างนั้น ห้อยชายลงมา “เยส” เสียงอีกาดังก้องเข้ามา “เชิญครับ”
นาฬิกาวิ่งเข้ามาอยู่ในวงแขนของไกรยุทธ์ ไกรยุทธ์โอบเอวนาฬิกาไว้แน่น ทั้งสองต่างมองหน้ากัน นาฬิกาหอมแก้มไกรยุทธ์ฟอดหนึ่ง
“เก่งมาก”
ไกรยุทธ์ดีดตัวโหนเชือกข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งอย่างปลอดภัย น้ำในสายน้ำยังเดือดปุดๆๆ อยู่
กองไฟถูกฟืนโยนเข้าไปสว่างขึ้น ไกรยุทธ์โยนไม้เข้าไปในกองฟืนอีกท่อนหนึ่งแล้วเดินไปนั่งข้างๆ นาฬิกาที่กำลังดูแผนที่อยู่
“แผนที่บอกแต่เส้นทางที่จะไปยังจุดนัดพบแล้วก็ประตูกล ไม่ได้บอกว่าเราอยู่ตรงไหนใกล้กับอะไรเลย”
“แน่นอน องครักษ์ทั้งสี่ไม่ต้องการให้พวกเราออกนอกเส้นทาง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน แผนที่ก็จะขีดเส้นจากจุดใหม่ไปยังจุดนัดพบทุกครั้ง”
“แต่เราต้องตามหาพี่ณัชชา”
“แต่พี่ณัชชาบอกให้เราตามหากุญแจ”
ทั้งสองต่างมองหน้ากันแล้วถอนใจ ต่างคิดไม่ตกว่าจะทำยังไง ทันใดนั้นมีเสียงจี๊ดๆ กึ่งคำรามมาจากด้านใน ทั้งสองต่างขยับตัวเตรียมพร้อม
บีมส่งผลไม้ให้ปิงปอง ปิงปองรับ ทั้งสองนั่งอยู่บนขอนไม้ ตรงข้ามคือปาระนังนั่งอยู่
“หวังว่ากามเทพนาชะหาองค์หญิงพบ”
“เจอพี่ราเชน พี่นาฬิกากับพี่ไกรยุทธ์ด้วยก็ดี”
“ไม่แน่ ป่านนี้อาจกำลังเดินทางมากับองค์หญิงก็ได้”
“เฮ้อ...พวกเราถูกเทพอาคินเล่นงานจนพลัดจากกันไปหมด”
“บ่นทำไมเหรอบีม สู้ๆ หน่อยซิ” ทันใดนั้นร่างของนาชะปรากฏขึ้น “พี่นาชะ”
ทั้งหมดต่างยืนพรวดขึ้น
“เจอพี่ณัชชามั๊ยพี่นาชะ” นาชะส่ายหน้า
“ไม่รู้ว่าไปอยู่กาลเวลาไหน”
“ไม่เป็นไร เราเดินทางไปยังจุดนัดพบต้องเจอทุกคนที่นั่น”
ปาระนังบอก ทุกคนต่างมีสีหน้ากังวล
“เสียงอะไรกันแน่”
นาฬิกาถามไกรยุทธ์
“เสียงคล้ายๆ หนู ดุๆ มีคำรามด้วย”
“หา หนู ยี้”
เสียงดังจี๊ดๆ ใกล้เข้ามาอีก
“เดี๋ยว ไม่ใช่หนู” ไกรยุทธ์เงี่ยหูฟัง “ค้างคาว”
“ค้างคาว แบทแมนน่ะเหรอ” ไกรยุทธ์พยักหน้า
“เราหลงเข้ามาอยู่ในถ้ำค้างคาวซะแล้ว” ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา “เสียงฝีเท้า”
“ค้างคาวมันบินไม่ใช่เหรอ”
ไกรยุทธ์ตวัดมีสั้นออกมาจากทางด้านหลัง แล้วเอาปักไว้กับพื้น เงี่ยหูฟังจากด้ามมีด
“มีแต่เสียงฝีเท้าจำนวนมาก ไม่มีเสียงกระพือปีก”
“สาวกของเทพอาคิน เราไม่มีทางต้านพวกมันได้” ไกรยุทธ์ดึงมีดสั้นออกจากพื้นดินดีดตัวลุกขึ้น “เรารีบออกไปข้างนอกจะดีกว่า”
“เสียงฝีเท้ามาจากข้างนอกและข้างในเวิ้งที่เราเข้ามาหลบอยู่ตรงกลางพอดีเราถูกมันบีบเข้ามาทั้งสองด้าน”
ไกรยุทธ์กับนาฬิกาต่างเตรียมพร้อมระวัง
“เดี๋ยว ถ้าโชคดีอาจจะมีประตูกลคุณนาฬิกาลองหาดู ผมจะออกไปคอยระวังพวกมัน”
ไกรยุทธ์พรวดออกไปด้านนอก นาฬิกาปราดไปตามผนังถ้ำ เอามือไล่หาประตูกลอย่างรีบเร่ง
ไกรยุทธ์พรวดออกมาก็เจอพวกมนุษย์ค้างคาว วิ่งดาหน้าเข้าหา
“เจอเต็มๆ”
ไกรยุทธ์ปล่อยพลังแสงออกไปตูม พวกมันร้อง แต่ก็ยังวิ่งฝ่ากันเข้ามา ไกรยุทธ์หันมาอีกทางหนึ่งก็เห็นพวกมันวิ่งดาหน้ากันเข้ามา
“โห”
ไกรยุทธ์ปล่อยพลังแสงออกไป แต่ก็ต้านพวกมันไม่อยู่ ไกรยุทธ์รีบวิ่งกลับเข้าไปด้านใน พวกมันส่งเสียงจี๊ดจ๊าดคำรามผสม พากันตามไกรยุทธ์ไป
นาฬิกาหาประตูกลอย่างรีบเร่ง ไกรยุทธ์พรวดเข้ามา นาฬิกาหันกลับมา
“พวกมันเยอะมาก เราไม่มีทางฝ่าออกไปได้อาจารย์น่าจะสอนวิธีพรางตัวให้เรามั่ง แบบบีมกับปิงปอง”
“พรางตัว เยส...ใช่แล้ว ผ้าเช็ดหน้า” นาฬิการีบปลดเป้ลงแล้วเปิดเป้ออก ล้วงเข้าไปแล้วดึงผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา
“เจอแล้ว”
“เฮ่...ผืนแค่เนี๊ยะคงได้แค่เช็ดเหงื่อพวกมันมั๊งจ๊ะ”
“อย่าเพิ่งกวนตอนนี้นะจ๊ะ”
นาฬิกาสะบัดมือออกไป ผ้าเช็ดหน้ากลายเป็นผืนใหญ่ นาฬิการีบเอาคลุมตัวเอง ปรากฏว่าผ้าบังร่างของนาฬิกาทำให้มองไม่เห็น
“เฮ้...ผมด้วยครับ”
นาฬิกาโผล่หน้าออกมาจากผ้าเช็ดหน้า
“ไหนหาว่าเอาไว้แค่เช็ดเหงื่อพวกมันไม่ใช่เหรอ”
“ผิดไปแล้วครับ”
ไกรยุทธ์พรวดเข้าไปใกล้คว้าผ้าเช็ดหน้าซึ่งตอนนี้กลายเป็นผืนใหญ่มาคลุมร่างตน ร่างของคนทั้งสองหายไปใต้ผ้าเช็ดหน้า อำพรางกลมกลืนกับผนังถ้ำ พวกค้างคาวพรวดเข้ามาพอดี มันคำรามจี๊ดจ๊าดเสียงดัง พวกมันกราดสายตามอง เห็นแต่กองไฟ แต่ไม่เห็นอะไรนอกเหนือจากนั้น
ท้องฟ้ามีฝูงอีกาบินว่อน ส่งเสียงร้องดังก้อง อึดใจพวกมันก็บินผ่านไป ปาระนัง นาชะ บีม ปิงปอง กราดสายตามองพวกมันอย่างระมัดระวังทั้งหมดหยุดอยู่ที่ลานเล็กๆ มีต้นไม้ใหญ่
“ต้องยอมรับว่าเทพอาคินมีสายป่านยาวจริงๆ พวกสาวกมันมีทั่วทุกหนทุกแห่ง”
“แน่ล่ะ พวกนกพวกกาพวกค้างคาวพวกผีมันคิดเป็นที่ไหนล่ะ”
“ดูเหมือนว่ามันจะไปอย่างง่ายๆ เหมือนกับพวกมันไม่สนพวกเรา”
“พวกเรามีพี่ปาระนังคนเดียวที่มีพลังฝีมือพลังคงอ่อนเกินกว่าที่พวกมันจะสนใจ”
“อย่าประมาท ต้องระวังตัวตลอดเวลา”
“บีมหิวแล้ว กินข้าวดีกว่า” แต่แล้วทันใดนั้นได้ยินเสียงปืนเปรี้ยง ทุกคนต่างผลุดลุกขึ้น “หรือว่าเป็นพี่เอกภพ”
“พี่ไกรยุทธ์ก็มีปืนกระบอกหนึ่ง”
“เราไปดูกันดีกว่า”
ปาระนังเดินนำออกไป ทุกคนเดินตาม
ราวป่าอีกด้านหนึ่ง เอกภพอุ้มณัชชาเข้ามาในลานเล็กๆ แห่งหนึ่งเห็นต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น
“เราพักกันก่อนนะครับ”
ณัชชายิ้ม สะบัดมือไปยังใต้โคนต้นไม้ ขอนไม้ปรากฏเป็นที่นั่ง เอกภพยิ้มแล้ววางณัชชาให้นั่งลงบนขอนไม้
ตัวเองนั่งลงบนพื้นใกล้ๆ มีอาการเหนื่อยหอบเล็กน้อย
“อะไรแค่นี้เหนื่อยแล้วเหรอ”
“ผมไม่พลังแข็งแกร่งเหมือนองค์หญิงนี่ครับ” ณัชชายิ้มสะบัดมือมีลูกมะพร้าวอยู่ในมือส่งให้ เอกภพรับมาดื่มชื่นใจ พอดื่มเสร็จก็แปลกใจเมื่อเห็นณัชชากราดสายตาไปมา เหมือนสัมผัสอะไรได้บางอย่าง “อะไรเหรอครับ”
“ฉันคิดว่า เราอยู่กาลเวลาเดียวกับ ไกรยุทธ์กับนาฬิกา”
“องค์หญิงแน่ใจเหรอครับ”
ณัชชาส่งมือให้เอกภพ เอกภพยืนขึ้นดึงมือณัชชาขึ้นมา
“รีบไปเถอะ ฉันดีขึ้นมากแล้ว”
ธิดาพญายม ตอนที่ 12 (ต่อ)
ภายใต้ผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ นาฬิกากับไกรยุทธ์นอนเบียดกันอยู่ ทั้งสองต่างมองหน้ากัน
“ความจริงหลบแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะครับ”
“เงียบแบบนี้พวกมันคงไปกันหมดแล้ว”
“ก็ดีซิครับ เรานอนพักอยู่ในนี้ซักงีบยังได้”
ไกรยุทธ์เอามือกอดนาฬิกาไว้ นาฬิกาค้อนแล้วดันมือออก
“เราต้องรีบเดินทางนะคะ”
ไกรยุทธ์ยิ้มแล้วขยับตัว ทั้งสองโผล่หน้าออกมาจากผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่แต่แล้วก็คาดไม่ถึง เพราะพวกมันยังอยู่ ผิดแค่ห้อยหัว ลงมาจากเพดานเท่านั้น พวกมันกอดอก หลับตาพริ้ม
“เราเข้ามาหลบในห้องนอนของพวกมันซะแล้ว”
นาฬิกากราดจ้องมองอย่างขยะแขยงเห็นพวกมนุษย์ค้างคาว หลับตาพริ้มกอดอกนอนห้อยหัวอยู่ ไกรยุทธ์นำนาฬิกาค่อยๆ เดินผ่านพวกมันที่ห้อยหัวอยู่ออกมาอย่างช้าๆ ทั้งสองลุ้นค่อยเดินหลบหลีกพวกมันออกมาอย่างระมัดระวัง แต่แล้วนาฬิกาเหยียบเตะก้อนหินก้อนหนึ่งเสียงดังทั้งสองหยุดนิ่ง ต่างมองกันแทบจะไม่หายใจ
ทั้งสองกราดสายตามองพวกมัน เห็นพวกมันยังคงหลับตาอยู่ ต่างถอนหายใจโล่งอก แต่แล้วมันตัวหนึ่งลืมตาขึ้นมา
“โอ...โน...”
“วิ่ง เร็วที่สุด”
ทั้งสองพรวดออกไป
นาฬิกาวิ่งนำไกรยุทธ์ ด้านหลังเป็นพวกมนุษย์ค้างคาวคำรามวิ่งไล่ตามมาติดๆ ทั้งสองวิ่งผ่านมุมถ้ำไป พวกมันตามติด ส่งเสียงทั้งจี๊ด ทั้งคำราม จนเห็นแสงสว่างทางออกอยู่ด้านหน้า
“เกือบถึงทางออกแล้ว เร็วเข้า”
นาฬิกาเร่งฝีเท้า ไกรยุทธ์ตามไปติดๆ แต่แล้วนาฬิกาก็ต้องเบรกพรืด เพราะพวกมันสองตัวยืนขวางทางออกอยู่
ไกรยุทธ์วิ่งเข้ามา
“มีพวกมันสองตัวอยู่ข้างนอก”
ไกรยุทธ์หันไปมองข้างหลังเห็นพวกมันเป็นสิบๆ กำลังวิ่งเข้ามา
“ข้างหน้ามีแค่สองตัว เราลุยแล้วปล่อยพลังพร้อมกัน”
นาฬิกาพยักหน้า ทั้งสองวิ่งลุยออกนอกถ้ำ ข้าใกล้พวกมันสองตัวที่ยืนขวางอยู่ แต่แล้วก็เห็นแสงจ้าขึ้นมา ทั้งสองเบรกพรืด คาดไม่ถึงตรงหน้าคือณัชชายืนถือดาบพิชิตมารอยู่กับเอกภพ
“หลบ”
ไกรยุทธ์กับนาฬิกาทิ้งตัวลงกับพื้นโครม ณัชชาสีหน้าเยือกเย็นตวัดดาบชี้ไปข้างหน้ารังสีของดาบพุ่งไปข้างหน้า เข้าใส่พวกมนุษย์ค้างคาว รังสีถูกพวกมันแตกกระจายเป็นฝุ่นหายไปหมด
นาฬิกากับไกรยุทธ์หมอบอยู่กับพื้นเห็นเท้าสองคู่เดินเข้ามา ทั้งสองขยับตัวลุกขึ้น
“พี่ณัชชา พี่เอก”
ณัชชากับเอกภพต่างยิ้มให้ทั้งสองคน
“พี่ณัชชากับพี่เอกมากันได้ยังไงคะ”
“ผู้กองโผล่มา พาพี่หนีเทพอาคินได้ทันท่วงที”
“องค์หญิงเลยชวนพี่โดดหน้าผาลงมาหาพวกเธอสองคน”
“ใช่แล้วครับ พี่ณัชชาเหวี่ยงเราลงมา”
“ขอโทษด้วย”
นาฬิกาเดินเข้ามาตรงกลางระหว่างณัชชากับเอกภพ
“ตอนนี้เราก็เดินทางไปด้วยกันเลย พี่ปาระนังรออยู่ที่จุดนัดพบกับพี่นาชะ แล้วก็บีมกับปิงปอง”
“คงไม่ได้หรอกจ้ะ” นาฬิกากับไกรยุทธ์ต่างมองหน้ากันอย่างสงสัย “องค์หญิงถูกมนต์เก้าภูตสังหาร ไม่สามารถเดินทางได้จนกว่าจะมนต์จะถูกทำลายหมดก่อน”
“เราเหลือเวลาอีกแค่สองวัน ที่จะต้องถึงจุดนัดหมายทายาทควรอยู่พร้อมกันที่นั่น”
นาฬิกากับไกรยุทธ์ต่างมองหน้ากัน
“เธอสองคนต้องรีบเดินทางไปก่อน”
“เรารอพี่ณัชชาทำลายมนต์แล้วเดินทางไม่ได้เหรอคะ”
“มนต์เก้าภูตสังหารต้องใช้เวลาในการทำลายอย่างน้อยสองวันถ้าโชคดี เราจะเสี่ยงเสียเวลาไม่ได้ อีกอย่างทันทีที่ดาบส่งรังสี เทพอาคินสามารถปรากฏตัวได้ทุกเวลา พี่ไม่ต้องการให้เธอสองคนอยู่ที่นี่” นาฬิกากับไกรยุทธ์พูดไม่ออก จนด้วยเหตุผลได้แต่มองหน้ากัน “เธอสองคนรีบออกเดินทางได้แล้ว”
นาฬิกากับไกรยุทธ์ต่างถอนใจ ณัชชาเดินเข้ามาหานาฬิกากับไกรยุทธ์
“ไม่ต้องห่วงพี่ หลังจากมนต์เก้าภูตสังหารถูกทำลายหมดแล้ว พลังพี่จะกลับคืนมา พี่สามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็ว ตามพวกเธอทันแน่นอน”
นาฬิกาพยักหน้ารับ แล้วหันมาทางเอกภพ เอกภพเดินเข้ามาหานาฬิกา นาฬิกาเข้ามากอดเอกภพ
“พี่เอก ดูแลองค์หญิงให้ดีนะคะ” เอกภพพยักหน้า
“เราดูแลทุกคนให้ดีด้วย” เอกภพหันมาทางไกรยุทธ์ “คุณไกรยุทธ์”
“ผมโดนตืบถ้าใครเป็นอะไร” เอกภพยิ้ม
“เดินทางปลอดภัย”
ไกรยุทธ์พยักหน้าเรียกนาฬิกา นาฬิกาหันมองณัชชากับเอกภพ อึดใจก็เดินไปหาไกรยุทธ์ ทั้งสองเดินออกจากไป ณัชชากับเอกภพมองตามถอนใจ
แสงสว่างวาบ ร่างของแม่มดสาวันนาปรากฏ แม่มดสาวันนารีบก้ม โค้ง
“ท่านอาคิน มีอะไรให้ข้ารับใช้”
“รีบตามหาองค์หญิงณัชชา เร็วที่สุดก่อนที่องค์หญิงจะทำลายมนต์เก้าสังหารของข้า”
“ข้าได้รับบาดเจ็บ พลังยังไม่สามารถจับมนต์ดาวเหนือที่อยู่ในร่างขององค์หญิงได้”
อาคินสะบัดมือยกขึ้น ร่างของแม่มดสาวันนาลอยขึ้นดิ้นอยู่ในอากาศ
“ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งวัน ตามหาองค์หญิงณัชชาไม่ยังงั้นชีวิตเจ้าจบสิ้นแน่”
อาคินตวัดมือ ร่างของแม่มดสาวันนาตกลงมาที่พื้น อาคินจ้องดุดันควันดำรอบตัว อาคินหายไป แม่มดสาวันนาค่อยๆ ยืนขึ้น สายตากราดไปมาแล้วก็หลับตา แวบหายไป
ในราวป่าอีกด้านหนึ่ง ร่างของแม่มดการานะกับแม่มดนายาวาโผล่ออกมา
“อะไรกันแน่ นางสาวันนารับใช้เทพอาคินหรือนี่”
“สาวันนาป้องกันองค์หญิงณัชชาไม่ใช่เหรอ”
“ที่แท้นางสาวันนาเป็นนกสองหัวนี่เอง”
“เราตามนางสาวันนาไป พอเจอองค์หญิงณัชชาเราก็ไปรายงานอาคิน”
“เทพอาคินต้องการกำจัดองค์หญิงณัชชาอยู่แล้ว เราจัดการให้”
“เสพหัวใจองค์หญิงแล้วก็ได้รางวัลจากเทพอาคิน รับสองต่อ”
แม่มดทั้งสองหัวเราะแสบแก้วหู
เอกภพจูงมือณัชชาตรวจลึกเข้าไปในถ้ำ ณัชชาเซเล็กน้อย
“องค์หญิง” เอกภพประคองณัชชาให้นั่งลง “ผมไปตรวจดูตามลำพัง อาจจะเร็วกว่าองค์หญิงคิดว่ายังไงครับ”
“ฉันจะรอที่นี่”
เอกภพส่งมีดสั้นของณัชชาให้
“ผมจะรีบไปรีบมาครับ”
ณัชชาพยักหน้ารับ เอกภพรีบออกไปอย่างรวดเร็ว ณัชชาเอามีดสั้นปักพื้นตรงหน้าแล้วหลับตาตั้งสมาธิ เอกภพเดินตรวจลึกเข้าไปในถ้ำอย่างระมัดระวัง สุดท้ายไม่พบอะไร เอกภพตัดสินใจกลับออกไป เอกภพกลับมาที่เดิม ณัชชานั่งสมาธิอยู่ลืมตาขึ้นมา
“ไม่พบอะไรเลยครับ แต่ก็ยังไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์”
ณัชชาพยักหน้ารับ
“องค์หญิงมั่นใจนะครับ ว่าจะใช้ถ้ำนี้สำหรับทำลายมนต์เก้าภูตสังหาร”
เอกภพถามหลังจากนาฬิกากับไกรยุทธ์ไปแล้ว
“สาวกของอาคินที่เหลือหนีไปหมดแล้ว พวกมันคงไม่กลับมาอีก” ณัชชากราดสายตารอบๆ “หวังว่าความหนาของถ้ำช่วยเก็บรังสีดาบไม่ให้ส่งพลังออกไปมากนัก ถ้าเทพอาคินอยู่คนละกาลเวลา เราก็ยังพอมีหวัง”
“ครับ คราวที่แล้วเฉียดฉิว”
ทั้งสองต่างยิ้มให้กัน ทันใดนั้นร่างของแม่มดสาวันนาปรากฏ
“สาวันนาเจ้าปลอดภัยดี”
แม่มดสาวันนาก้าวเข้ามาโค้งคำนับณัชชา
“เทพอาคินให้เวลาเราหนึ่งวันเพื่อค้นหาเจ้าหญิง”
“แสดงว่าเรามีเวลาหนึ่งวันเต็มๆ โดยไม่มีใครรบกวน”
“เราจะกลับไปรายงานว่าไม่พบองค์หญิง อาจขอเวลาเพิ่มอีกหนึ่งวัน”
“ขอบใจเจ้ามาก” แม่มดสาวันนาโค้งขยับตัว “เดี๋ยว แล้วมนต์ดาวเหนือของเจ้าที่อยู่ในร่างข้า เทพอาคินย่อมสามารถตามรอยมาได้”
“เทพอาคินยามนี้ไม่เห็นองค์หญิงอยู่ในสายตาซ้ำยังหลงใหลกิเลสในเมืองมนุษย์ ให้ข้าเป็นคนติดตามองค์หญิงแล้วกลับไปรายงาน”
“เพศชายเหมือนกันหมดไม่ว่าเทพหรือมนุษย์”
“ผมไม่เกี่ยวนะครับ”
“หลังจากมนต์ภูตสังหารถูกทำลายองค์หญิงก็จะสามารถทำลายมนต์ดาวเหนือได้อย่างง่ายดาย”
“เจ้าระวังตัวด้วย เทพอาคินฉลาดเฉลียวและโหดร้าย ถ้ามีโอกาสเจ้าต้องรีบหนีให้ไกลที่สุด”
“ขอบพระทัยองค์หญิงที่ห่วงเรา”
แม่มดสาวันนาโค้งแล้วหายวับไป ณัชชากับเอกภพมองตาม
ที่องค์กรของอาคิน เสียงเพลงเบาๆ สาวสวยหลายคนยืนบิดเต้นรำไปตามจังหวะเพลงช้าออกลีลากันอย่างสนุกตรงหน้าคืออาคินนั่งอยู่บนโซฟาล้อมรอบไปด้วยสาวสวย อำนาจนั่งอยู่ใกล้ๆ มีมือปืนล้อมรอบสามสี่คน
“เสียดายที่องค์หญิงณัชชาหลุดมือท่านไปได้”
“องค์หญิงณัชชาถูกมนต์ภูตสังหารของข้าไม่ช้าหรือเร็วต้องไม่พ้นมือข้า”
อาคินหัวเราะก้องมือกอดรอบสาวๆ อย่างสนุกสนาน อำนาจถอนหายใจโล่งอกที่ความลับการหักหลังของตนยังไม่ถูกเปิดโปง อาคินสนุกสนานกับสาวๆ ไม่สนใจอำนาจ
“แปลกมาก พี่มั่นใจว่าเสียงปืนมาทางนี้” ปาระนังบอก
“นาชะคิดว่าคงไม่ใช่จากคุณไกรยุทธ์คุณไกรยุทธ์ไปกับท่านราเชน ป่านนี้น่าจะอยู่คนละกาลเวลากับเรา”
“ถ้าให้บีมเดา เสียงปืนที่เราได้ยิน จะต้องตามมาด้วยบททดสอบอะไรบางอย่างอีกแล้ว”
“โห เดี๋ยวนี้เก่งขึ้นเยอะนะบีม อ่านเหตุการณ์ได้ใกล้เคียง ใช่มั๊ยคะพี่ปาระนัง”
“พี่ก็คิดว่ายังงั้น เตรียมตัวแก้ปริศนากันให้ดี”
“งั้นก่อนจะเจอกับการแก้ปริศนา เราพักก่อนได้มั๊ยครับ ขอเวลาเตรียมพร้อมหน่อย” บีมบอก
“หิวอีกล่ะซิ ไม่ต้องเลย เราต้องรีบไป”
“โห”
“แข็งใจอีกหน่อย เดี๋ยวค่อยพัก”
“มานี่เลย”
ปิงปองเข้าไปจูงลากบีมเดินนำออกไป ปาระนังยิ้มกับนาชะ ทั้งสองเดินตามบีมกับปิงปองไป
ปาระนังเดินนำทุกคนมา มีเสียงอีกาสาวกของอาคินร้องดังอยู่เบื้องบนในระยะไกล
“บีม ปิงปอง เกิดอะไรขึ้นรีบพรางตัวทันที”
“ครับผม”
“กามเทพนาชะ ติดตามทายาทอย่าให้คลาดสายตา”
“ได้เพคะท่านธิดา”
ปาระนังเดินนำไปแต่แล้วก็หยุดเพราะตรงหน้าคือประตูกล แต่ที่คาดไม่ถึงคือมีอยู่ถึงสองบาน
“ตามแผนที่เราต้องผ่านประตูกลแล้วจะถึงจุดนัดพบ”
“ใช่ แต่ประตูไหนกันแน่คะพี่ปาระนัง”
“แล้วแต่เหตุการณ์จะพาไปก็แล้วกัน”
ทันใดนั้นเสียงปืนดังเปรี้ยงขึ้นมาอีกหนึ่งนัด
“มาจากประตูทางขวาครับ” บีมบอก
“งั้นเราเข้าประตูขวา”
ปาระนังนำทุกคนเข้าประตูกลทางด้านขวามือไป พอทั้งหมดพ้นประตูกลก็หายไป
ปาระนังพาทุกคนก้าวเข้ามาก็พบว่า ยืนอยู่ในตึกร้างแห่งหนึ่ง
“เราเข้ากรุงอีกแล้วครับ”
เสียงปืนดังเปรี้ยง ทุกคนหันไป
ที่ซอกตึกร้าง เด็กชายอายุขนาดบีมวิ่งเข้ามาหลบที่มุมตึก สายตากราดไปมา แล้วหันไปเมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของเท้าคู่หนึ่งกำลังเดินเข้ามาใกล้ เป็นเท้าของชายฉกรรจ์คู่หนึ่งอายุราว 40 ถือปืนอยู่ในมือท่าทางเมา ชายผู้นั้นโผล่มาถึงมุมตึก เด็กชายก็พรวดหนี แต่ชายยิงเปรี้ยงกระสุนเฉี่ยวเด็กไป เด็กหยุด
“หยุดเว๊ย” เด็กชายหยุด ค่อยๆ หันมา “เอ็งคิดจะหนีข้าไปไหน ไอ้เปี๊ยก”
“เปล่าจ้ะพ่อ”
ชายเดินเข้ามาใกล้เด็ก ตบเปรี้ยง เปี๊ยกเซทรุดกับพื้น
“เอาเงินที่ขายยาบ้า มาให้ข้า”
“ฉันไม่ได้ขาย ฉันทิ้งไปแล้ว”
“เอ็ง...เอ็งทิ้งไป..เอ็งอย่าอยู่เลย”
ชาย ยกปืนในมือขึ้น
“เงินอยู่นี่”
ชายหันไป ก็เห็นบีมซึ่งปลอมเป็นเปี๊ยกยืนอยู่ข้างหลัง ชายมึน หันกลับมาดูที่เดิมแล้วตาค้าง เพราะตรงหน้าคือปาระนัง ยืนอยู่ ด้านหลังมีปิงปอง นาชะและเปี๊ยก(ตัวจริง) ปาระนังตบเปรี้ยง ชายล้มสลบไป เปี๊ยกก้าวออกมาจากข้างหลัง
“พ่อ”
เปี๊ยกมองตรงหน้าเห็นเปี๊ยกอีกคนหนึ่ง ทันใดนั้นร่างของเปี๊ยกตรงหน้าสั่นแล้วกลายเป็นบีม เปี๊ยกมองอย่างตกใจ
“พ่อจะให้ผมขายยาบ้า ผมเลยเอาไปทิ้ง”
เปี๊ยกบอกกับทุกคน
“แค่เนี๊ยะ ถึงกับจะฆ่าเลยเหรอ”
ปาระนัง ปิงปอง นาชะ บีม มองเปี๊ยกอย่างเห็นใจ
“คือ พวกที่เอายามาให้พ่อ บอกว่าพ่อต้องใช้ไม่ยังงั้นมีเรื่อง พ่อเลยเมาแล้วมาตามเอายากับผม”
ปาระนังมองบีมกับปิงปองสีหน้าเหมือนไม่เข้าใจ
“ครับ พี่ปาระนัง พ่อมนุษย์บางคนเป็นแบบนี้มีลูกขึ้นมาเพื่อให้เป็นทาสของตัวเอง ถ้าลูกไม่ทำก็หาว่าเนรคุณ” บีมบอก
“แบบนี้ไม่ใช่ลูกหรอก ที่เนรคุณ พ่อแม่ตะหากที่เนรคุณ”
“มีด้วยเหรอพ่อแม่เนรคุณ”
“ก็แทนที่พ่อแม่คิดจะให้ชีวิตที่ดีกับลูก กลับทำให้ลูกต้องลำบาก ต้องทำชั่ว แบบนี้แหละที่เค้าเรียกว่าพ่อแม่เนรคุณ”
ปิงปองมีสีหน้าโมโหเสียอารมณ์
“น่าเศร้าใจแทนมนุษย์พวกนี้จริงๆ”
ทุกคนมองเปี๊ยกอย่างเห็นใจ
เจ้าหน้าที่ตำรวจสองคน จับตัวพ่อเปี๊ยกขึ้นรถไป รถเคลื่อนออกไป เจ้าหน้าที่ตำรวจอีกสองนายเข้ามารายงานกับตำรวจนอกเครื่องแบบคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่กับปาระนัง นาชะ ปิงปอง แล้วก็เปี๊ยก
“ทุกอย่างเรียบร้อยครับ ผู้กองฤทธิชัย”
“ดีมาก เชิญตามสบาย”
เจ้าหน้าที่สองคนทำความเคารพแล้วเดินไปขึ้นรถ พอเจ้าหน้าที่ทุกคนไปหมดแล้วร่างของผู้กองก็สั่นแล้วกลายเป็นบีมยิ้มให้ทุกคน
“โห...ผู้กองฤทธิชัย ไปเอาชื่อมาจากไหนเนี่ย”
“จำมาจากในละคร”
ทุกคนต่างยิ้ม
“บีมทำได้ดีมาก อย่างน้อยก็ให้ตำรวจเอาชายคนนั้นไปขังไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย”
“แต่พวกมันต้องเล่นงานผมกับแม่ผมแน่ๆ” เปี๊ยกบอก
“งั้นเราก็ต้องจัดการพวกมันให้หมด”
“เย้”
“แต่พวกมันเป็นพวกนักเลง เป็นพวกมือปืน พวกมันแต่ละคนโหดๆ ทั้งนั้นนะครับ”
“ไม่ต้องห่วง พี่ปาระนังของเราโหดกว่าพวกมันเยอะ”
“เว่อร์ไปหน่อยนะปิงปอง ความโหดร้ายเป็นสิ่งไม่ดีนะจ๊ะ ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาชื่นชม”
“เฮ่...ก็แค่ให้กำลังใจเปี๊ยกน่ะ พี่นาชะ”
“เราไปหาพวกมันกัน”
เปี๊ยกพาทุกคนมาที่บ้าน ปาระนังส่งถุงขนาดกำปั้นให้กับแม่ของเปี๊ยก
“สมบัติของเรา เจ้าเก็บไว้ แล้วพาลูกชายเจ้าไปจากที่นี่”
แม่เปี๊ยกพยักหน้ารับ
“อย่าให้ได้เจอพ่อเปี๊ยกอีกได้เป็นดี”
“แต่พ่อเปี๊ยกต้องตามหาเราเจอแน่ๆ”
ปาระนังเอามือโบกตรงหน้าของแม่และเปี๊ยก
“ต่อจากนี้จะไม่มีใครจำพวกท่านได้อีกต่อไป” แม่พยักหน้าแล้วรีบพาเปี๊ยกออกไป “ทีนี้เราก็รอพวกมัน”
ปาระนังบอก นาชะ บีม และ ปิงปองต่างมองหน้ากัน ยิ้มอย่างพอใจ
นาชะปราฏร่างขึ้น
“มีคนมาทางนี้แล้วเพคะท่านธิดา”
“ขอบใจกามเทพนาชะที่คอยดูต้นทางให้ รีบพาบีมกับปิงปองหลบไปก่อน”
“ด้วยความยินดีเพคะ ปิงปอง บีม มากับพี่”
“แต่ผมอยากจะอยู่ช่วยพี่ปาระนัง”
“องครักษ์ทั้งสี่ให้บีมกับปิงปองเรียนวิชาพรางตัวและเคลื่อนไหวเร็ว ย่อมมีเหตุผลสำคัญที่รู้แน่คือไม่ให้ต่อสู้ทำลายชีวิตคน”
“บีม มาเถอะ”
บีมพยักหน้า นาชะนำออกไป บีมจูงปิงปองแล้วเคลื่อนแวบเร็วออกไปจากบ้านตามนาชะไป ปาระนังมีสีหน้าเยือกเย็นสายตาจ้องที่หน้าประตูบ้าน
ประตูบ้านเปิดโครม พวกมันสี่ห้าคนกรูกันเข้ามาก็พบปาระนังยืนอยู่
“ไอ้เปี๊ยกกับพ่อมันอยู่ไหน”
“เรามาเจรจาแทน” พวกมันหัวเราะ
“พาเราไปหาผู้นำของแก”
พวกมันหัวเราะกันอีก
“เฮ้ย พานางนี่ไปหาลูกพี่หน่อย พี่เค้ายิ่งเหงาๆ อยู่”
ปาระนังยิ้มอย่างพอใจ
ที่ร้านกาแฟในหมู่บ้าน กาแฟเย็นถูกยกมาเสิร์ฟสามแก้ว นาชะ บีมและปิงปองนั่งอยู่ที่โต๊ะ
“ป่านนี้ไอ้พวกนั้นคงถูกเล่นงานเละไม่เหลือ”
“ดี ถ้ามีเวลานะ ปิงปองจะพาพี่ปาระนังเดินสายให้เก็บไอ้พวกนี้ให้เรียบหมดเลย”
“เป็นไปไม่ได้หรอก”
“ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้คะพี่นาชะ”
“เจ้าสวรรค์ไม่พอใจที่มนุษย์มัวแต่ลุ่มหลงความสบาย เอาแต่อยู่นิ่งเฉยไม่มีอุดมการณ์ ไม่เสียสละ ไม่ยืนหยัดไม่ต่อต้านพวกนรก เจ้าสวรรค์จึงลงโทษมนุษย์ด้วยการให้คนชั่วมีอำนาจ จนกว่าคนดี จะรู้จักรวมตัวกันต่อต้านคนชั่วเมื่อนั้นเจ้าสวรรค์ถึงจะช่วย”
“หวังว่าคงไม่สายเกินไป”
“ยิ่งเทพอาคินได้กุญแจคุกนิลกาลเมื่อไหร่ ก็จบเมื่อนั้น”
“ใจเย็นน่า พี่เชื่อว่าคนดีต้องชนะคนชั่ว”
“ถ้าคนชั่วชนะล่ะพี่นาชะ”
“เจ้าสวรรค์จะให้น้ำท่วมโลก เริ่มต้นใหม่ทั้งหมด”
ปิงปองมีสีหน้าไม่ดี แต่บีมขำหัวเราะออกมา
“ขำอะไรนักหนาเหรอบีม”
“ขำไอ้พวกคนชั่วทั้งหลายโกงกินแทบตายนึกว่าจะได้เสวยสุข เจอน้ำท่วมโลกไม่มีอะไรเหลืออยู่ดี”
บีมหัวเราะชอบใจ ปิงปองเลยหัวเราะด้วย นาชะได้แต่ยิ้ม
พวกมันพาปาระนังเดินเข้ามาในโกดังเก็บของ ตรงหน้ามีโต๊ะยาว ลูกพี่พวกมันนั่งอยู่หลังโต๊ะมองปาระนังอย่างตื่นเต้นตาโพลง
“พ่อไอ้เปี๊ยกพาลูกเมียหนีไปแล้ว นังนี่บอกว่ามันเป็นตัวแทน”
“สวยเว๊ย นึกไม่ถึงว่าพ่อไอ้เปี๊ยกจะมีเด็กเอ๊าะๆ มาเซ่นข้า”
“เจ้าเหรอที่เป็นผู้นำ”
“ใช่แล้วน้อง พี่จะนำน้องไปสู่ความสุข”
พวกมันหัวเราะ
“เราจะนำพวกเจ้าไปสู่นรก”
ปาระนังตวัดมือดาบปลายแหลมปลากระเบนพันปีปรากฏ พวกมันถึงกับตาเหลือก พวกมันตวัดปืนสาดกระสุนเข้าใส่ปาระนัง ไอ้หัวหน้าลุกขึ้นหมายจะหนี ปาระนังตวัดดาบใส่มันกระเด็นไปฟุบที่พื้น พวกมันที่เหลือบุกเข้าใส่ปาระนังดีดตัวเข้ากลางวงดาบในมือตวัดไปมารอบตัว ได้ยินเสียงร้องของพวกมัน อึดใจพวกมันก็ล้มดับจนหมด
“บอกแล้วว่าเราจะส่งพวกเจ้าไปลงนรก”
เสียงหวอของตำรวจดังใกล้เข้ามาปาระนังดีดตัวออกไป
ปิงปอง บีม นาชะนั่งอยู่ที่โต๊ะกาแฟ ทันใดนั้นลมพัดหมุนติ้วแรงจนฟุ้งไปหมด เห็นแต่เงารางๆ ของ นาชะ บีม ปิงปอง
“พี่นาชะ เกิดอะไรขึ้น”
“พี่ไม่รู้เหมือนกัน จับมือกันไว้”
ทั้งสามเอื้อมมือมาจับกันในขณะที่ลมหมุนหวีดหวิว สุดท้ายลมค่อยๆ จางลง ทั้งหมดคาดไม่ถึงเพราะร่างของปาระนังปรากฏอยู่ตรงหน้า แต่ไม่มีร้านไม่มีหมู่บ้านปรากฏเหลืออยู่เลย มีแต่ร่างของสี่คนยืนอยู่ที่ลานในราวป่า
“พี่ปาระนัง”
“เรียบร้อยมั๊ยครับ”
“พี่ส่งพวกมันลงนรกไปหมดแล้ว”
“สะใจจริงๆ ท่านธิดา”
“ไหนว่าเรื่องโหดไม่ควรชื่นชมไงล่ะพี่นาชะ”
“อุ๊บ...ขอโทษจ้ะ”
ทั้งหมดต่างยิ้มให้กัน
“แบบนี้ แสดงว่าเราเลือกเข้าถูกประตูใช่มั๊ยครับ”
“นาชะคิดว่ายังไง”
“นาชะว่าใช่ชัวร์”
ทั้งหมดต่างยิ้มให้กัน ทันใดนั้นเสียงอีการ้องก้องมาแต่ไกล
“มีสาวกของเทพอาคินให้เห็นแบบนี้ พวกเรามาถูกทางแล้ว”
ทั้งหมดกราดสายตามองฝูงอีกาที่บนวนอยู่บนท้องฟ้าไกลออกไป
เอกภพกราดสายตารอบๆ สีหน้ากังวล ณัชชาเดินเข้ามา
“ฉันพร้อมแล้ว”
เอกภพหันมายิ้มให้
“ครับ”
ณัชชาสังเกตเห็นเอกภพสีหน้ากังวล
“มีอะไรเหรอคะ”
“ผมสัมผัสบางอย่างที่บอกไม่ถูกรอบๆ ที่นี่”
“สาวกค้างคาวของเทพอาคิน” เอกภพส่ายหน้า
“ไม่ใช่”
“อย่าคิดมากซิคะ บางครั้งเราก็ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตา”
เอกภพหันมาพยักหน้าฝืนยิ้ม ณัชชาขยับตัวเข้ามาใกล้ใบหน้าเกือบจะชิดกัน
“ฉันกำลังจะหลับเป็นเวลานาน ชีวิตฉันอยู่ในกำมือคุณอีกครั้ง ฉันต้องการให้คุณโฟกัสเต็มร้อย ไม่ต้องคิดถึงอย่างอื่นที่มองไม่เห็น”
“ครับ”
ณัชชายิ้มซบที่อกของเอกภพ เอกภพโอบณัชชาไว้ในวงแขน
ไกรยุทธ์กับนาฬิกาค่อยๆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้าหลบตามต้นไม้ สายตากราดมองบนท้องฟ้า
“พวกมันอีกแล้ว”
ฝูงอีกาฝูงหนึ่งบนวนเวียนร่อนอยู่ไม่ห่างนัก
“หรือว่าพวกมันจับสัญญาณของพวกเราได้”
“ผมว่ายังหรอก พวกมันก็แค่บินมั่วไปเรื่อยๆ มากกว่า”
“ระยะหลังนี่เห็นพวกมันบ่อยมาก แทบจะทุกกาลเวลาที่เราผ่านเข้าไป”
“อาจเป็นเพราะว่าเราใกล้จุดหมายเข้าไปทุกที เทพอาคินเลยเพิ่มกำลังมากขึ้น”
“ดูเหมือนว่ามันกำลังบินวนมาทางเรา”
“เผ่นกันดีกว่า”
ไกรยุทธ์คว้ามือของนาฬิกาวิ่งห่างจากพวกมันออกไป พวกมันร้องเสียงดังก้องเคลื่อนตัวตามมา
ไกรยุทธ์กับนาฬิกาวิ่งเคลื่อนตัวออกมาจากราวป่าก็พบว่าตรงหน้ามีวัดอยู่วัดหนึ่ง
“วัดอะไรมาอยู่แถวนี้”
“เรารีบไปห่างๆ วัดน่าจะดี”
“กลัวผีเหรอจ๊ะ”
“มีใครไม่กลัวมั่งล่ะ”
เสียงฝูงอีกาบินใกล้เข้ามา
“เราไม่มีทางเลือก”
ไกรยุทธ์รีบจูงมือนาฬิกาเดินเข้าไปในวัดอย่างรวดเร็ว
ไกรยุทธ์จูงนาฬิกาเดินเข้าไปในโบสถ์อย่างรวดเร็ว แล้วโผล่มาดูพวกอีกาที่บินว่อนอยู่บนท้องฟ้าเหนือวัดร้าง
“เราหลบอยู่ในนี้ซักพักรอให้พวกมันไปก่อน”
“โห...จะดีเหรอ”
นาฬิกากราดสายตาไปมาสีหน้ากังวล ไกรยุทธ์เห็นดึงเข้ามาโอบไว้ในอ้อมอก
“รู้มั๊ยผมเคยเตรียมตัวคิดไว้ว่าเวลาเจอผี จะพูดอะไรดี”
นาฬิกาเหลียวหน้าไปมา
“เค้าห้ามพูดถึงนะ”
“ฟังก่อนดี้...ผมจะบอกว่า ถ้านายบีบคอฉัน ฉันตายแล้วจะกลับมาตามหานาย หลอกนาย บีบคอนาย”
“อ๋อเหรอ”
“ผมว่าผีต้องคิดหนักเหมือนกันนา ว่ามั๊ย”
นาฬิกาส่ายหน้า เหล่อดยิ้มไม่ได้ ไกรยุทธ์ยิ้มตอบ ทันใดนั้นได้ยินเสียงปี่พาทย์บรรเลงมา
“บอกแล้วห้ามพูด”
ทั้งสองต่างขยับตัวออกจากกัน ต่างก้าวเข้าไปตามเสียงเพลง
ทั้งสองก้าวเข้ามาในโบสถ์อย่างระมัดระวัง เสียงเพลงดังกังวานเหมือนเพลงยุทธ์ที่ใช้ในการต่อสู้ ทั้งสองมองหน้ากันอย่างแปลกใจ
“ดูนี่ มีรูปอยู่บนกำแพงวัด”
บนกำแพงวัดมีรูปวาดรางเลือนอยู่ ทั้งสองต่างสังเกตดู เป็นรูปนักสู้หลายคนกำลังฝึกอาวุธกันอยู่หน้าลานวัดมีทั้งฝึกดาบ ขวาน ทวน ฯลฯ บนท้องฟ้าในรูปกลับเป็นเมฆสีดำ เป็นรูปร่างคล้ายปีศาจจำนวนมากกำลังมองลงมาเสียงเพลงปี่พาทย์ดังอยู่อึดใจก็ค่อยเงียบหายไป ทั้งสองต่างมองหน้ากัน แล้วมองที่รูปอย่างสนใจ
“ดูเหมือนว่า ทุกคนกำลังฝึกอาวุธเตรียมสู้พวกปีศาจร้าย”
ไกรยุทธ์อธิบายพลางชี้ไปตามรูปวาด นาฬิกามองอย่างสนใจ
“ดูนี่ มีคนหนึ่งกำลังขว้างขวานใส่ปีศาจ”
ในภาพเห็นนักสู้คนหนึ่งขว้างขวาน เห็นรูปขวานลอยเข้าหาใบหน้าของปีศาจ ทั้งสองมองอย่างตื่นเต้น
“เสียดายภาพมีแค่นี้ เลยไม่รู้ว่าขวานถูกปีศาจหรือเปล่า”
“นาฬิกาว่าถูกอยู่แล้ว”
“ผมก็ว่ายังงั้น”
ทั้งสองต่างยิ้มให้กัน สายตาจ้องไปที่ภาพ
ธิดาพญายม ตอนที่ 12 (ต่อ)
นาฬิกานอนพิงอกของไกรยุทธ์นั่งพิงกำแพงโบสถ์หลับอยู่ ตรงหน้ามีกองไฟเล็กๆ เสียงดนตรีปี่พาทย์เริ่มดังขึ้น ได้ยินเสียงอาวุธกระทบกัน นาฬิกาลืมตาขึ้นมา รีบปลุกไกรยุทธ์
“คุณไกรยุทธ์ได้ยินเสียงหรือเปล่า”
ไกรยุทธ์พยักหน้า
“คุณนาฬิการออยู่ที่นี่ ผมจะออกไปดู”
นาฬิกาพยักหน้า ไกรยุทธ์ค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วเคลื่อนตัวไปยังประตูโบสถ์ที่มุ่งสู่ด้านนอก ไกรยุทธ์เคลื่อนตัวไปถึงประตู กราดสายตาออกไปข้างนอกแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นชายฉกรรจ์หลายคนกำลังฝึกซ้อมอาวุธกันอยู่ มีชายฉกรรจ์คนหนึ่งเป็นครูฝึก กำลังยืนคอยคุมอยู่
“พวกที่อยู่ในรูปภาพของผนังโบสถ์”
ทันใดนั้นครูฝึกส่งเสียงโดยไม่หันหน้ามามอง
“เจ้ายังไม่รีบออกมา”
ไกรยุทธ์ถึงกับตกใจ ชายฉกรรจ์ทั้งหมดต่างหยุดฝึกซ้อม หันมามองไกรยุทธ์เป็นตาเดียว ไกรยุทธ์ กราดสายตาไปมา ในที่สุดครูฝึกก็หันมา
“เจ้ารออะไรอยู่ เวลาไม่คอยท่า”
ไกรยุทธ์จ้องอึดใจแล้วก้าวออกไป ครูฝึกมองไกรยุทธ์แล้วพยักหน้าไปยังชายผู้หนึ่ง ชายผู้นั้นเดินออกมา สองมือประคองขวานขนาดกลางมาหนึ่งเล่ม มาหยุดยืนตรงหน้าไกรยุทธ์
“อาวุธชิ้นนี้ มีคนมอบไว้ให้กับเจ้า”
“ข้า...ข้า...ไม่เคยเห็นขวานเล่มนี้มาก่อน”
“มันเป็นหน้าที่ของเจ้า”
ไกรยุทธ์รับขวานมา มองอย่างแปลกใจ
“หน้าที่อะไร ผมไม่เข้าใจ”
ทันใดนั้นเสียงคำรามก้องบนท้องฟ้า ไกรยุทธ์มองขึ้นไปก็เห็นเมฆเป็นใบหน้าของปีศาจคำรามก้อง
เมฆใบหน้าปีศาจคำรามก้องอีกครั้ง แล้วลอยต่ำลงมาพวกนักสู้ต่างเตรียมพร้อมต่อสู้ ก้อนเมฆสีดำลอยต่ำ
แล้วลอยเข้าใส่พวกนักสู้ทั้งหลาย กลืนพวกนักสู้หายเข้าไปในกลุ่มเมฆ แล้วพุ่งเข้าหาไกรยุทธ์ ไกรยุทธ์ถอย แล้วขว้างขวานเข้าใส่ใบหน้าปีศาจ ขวานพุ่งเข้าใส่ก้อนเมฆหน้าปีศาจถูกอย่างจัง เมฆปีศาจค่อยๆ จางหายไปในที่สุดทุกคนก็หายไปจนหมด
“เกิดอะไรขึ้นกันนี่”
“คุณไกรยุทธ์ คุณไกรยุทธ์” ไกรยุทธ์หันมาตามเสียงก็พบนาฬิกายืนอยู่ตรงหน้า นาฬิกาเอามือประคองใบหน้าของไกรยุทธ์ไว้ “คุณไกรยุทธ์ เกิดอะไรขึ้น”
“ผมไม่ทราบ” ไกรยุทธ์จ้องใบหน้าของนาฬิกา เห็นใบหน้าของนาฬิกาค่อยๆ จางหายไป “คุณนาฬิกา”
“คุณไกรยุทธ์ คุณไกรยุทธ์” ไกรยุทธ์จ้องเขม็ง แต่แล้วใบหน้าของนาฬิกากลับค่อยชัดขึ้นมาอย่างเดิม ไกรยุทธ์กระพริบตาถี่ๆ เพ่งมอง “คุณไกรยุทธ์ เกิดอะไรขึ้นคะ” ไกรยุทธ์ขยับตัว พบว่านาฬิกานั่งอยู่ตรงหน้า สองมือยังประคองที่ใบหน้าของตนอยู่ “คุณฝันไป”
“หา...ฝันเหรอครับ”
“คุณไกรยุทธ์ ไปเอาขวานมาจากไหนคะ”
ไกรยุทธ์ก้มลงมองที่มือของตน ปรากฏว่ามีขวานเล่มหนึ่งอยู่ในมือ ไกรยุทธ์ยกขึ้นมามองอย่างคาดไม่ถึง
ไกรยุทธ์ยกขวานขึ้นขยับตัวลุกขึ้นแล้วปราดไปที่ผนังโบสถ์จ้องรูปภาพที่อยู่บนฝาผนัง ปรากฏว่ามีแต่ผนังเปล่า รูปภาพของชายฉกรรจ์ฝึกอาวุธและก้อนเมฆปีศาจหายไปจนหมด
“รูปภาพหายไปไหน”
นาฬิกาก้าวเข้ามาดู ถึงกับตะลึงเช่นกัน
“จริงด้วย เกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ”
“ผมไม่ทราบเหมือนกัน” ไกรยุทธ์ขยับขวานในมือ “คงต้องเก็บขวานเล่มนี้ไว้ก่อน”
“นาฬิกาคิดว่าเมื่อถึงเวลา เราก็คงรู้เองว่าขวานมาอยู่ที่คุณไกรยุทธ์เพราะอะไร”
เสียงอีการ้องก้องมาอีก ทั้งสองขยับตัว
“เราพักกันเถอะครับ พรุ่งนี้จะได้ออกเดินทางแต่เช้า”
นาฬิกาพยักหน้า ไกรยุทธ์เอนหลังพิงกำแพง นาฬิกาเข้ามาซบพิงที่อก ไกรยุทธ์ยกขวานขึ้นมองไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เอกภพกับณัชชายืนอยู่เหนือกองกิ่งไม้ใบไม้ที่สุมขึ้นมาเป็นแท่นนอก
“เพื่อความปลอดภัย ฉันจะใช้มนต์สะกดให้ตัวฉันหลับสนิทเหมือนคราวที่แล้ว”
“ดีครับ องค์หญิงยังพอมีพลังเหลืออยู่บ้างมั๊ยครับ” ณัชชายิ้มแล้วสะบัดมือมาทางด้านหลังทั้งสองข้าง มีปืนอยู่ในมือสองกระบอกส่งให้เอกภพ เอกภพยิ้ม รับปืนมา “ขอบคุณครับ แล้วกระสุน”
“เติมให้เต็มที่แล้ว ยิงเท่าไหร่ไม่หมด”
“แท็งกิ้ว”
ทั้งสองยิ้มให้กัน
ร่างของการานะกับนายาวา ขี่ไม้กวาดร่อนลงมาในราวป่า
“ข้ารู้สึกว่ามีพลังบางอย่างในบริเวณนี้” นายาวาบอก
“เจ้าแน่ใจรึ อาจเป็นพวกนางไม้ ภูตต่างๆ ที่อยู่แถวนี้ก็ได้”
“เจ้าโง่แล้วอย่าอวดฉลาด พลังที่ข้าได้รับมีความร้อนแรงกว่า พลังของป่าที่เคยสัมผัสมา เจ้าหุบปากแล้วคอยตามข้ามา”
นายาวาถือไม้กวาดกราดสายตามอง พยายามจับพิรุธ
ร่างของณัชชานอนอยู่บนแท่น ดาบพิชิตมารลอยอยู่เหนือร่างส่งรังสีออกมารอบๆ ปกคลุมร่างของณัชชา
เอกภพยืนระวังอยู่ใกล้ๆ แต่แล้วได้ยินเสียงเคลื่อนไหวมาจากภายนอก เอกภพตวัดมือมาจากด้านหลังปืนอยู่ในมือทั้งสองข้าง เอกภพเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ สายตากราดไปทั่ว
เอกภพเคลื่อนตัวออกมาก็พบแม่มดการานะยืนอยู่กับพวกตองกอยห้าตัว
“เจ้าถูกหลอกแล้ว”
“องค์หญิง”
เอกภพพรวดกลับเข้าไปอย่างรวดเร็ว
เอกภพพรวดเข้ามาก็เห็นแม่มดนายาวายืนอยู่ตรงแท่นใกล้ร่างของณัชชา ฝ่ามือของแม่มดนายาวา วางอยู่บนหน้าผากของณัชชา
“ถึงเราจะไม่มีฝีมือ แต่พลังของเราสามารถทำลายสมองขององค์หญิงให้แตกเป็นเสี่ยงได้”
“เจ้าไม่มีทางรอดจากเรา”
แม่มดการานะหัวเราะเสียงดังเดินเข้ามาพร้อมกับพวกตองกอย
“ใช่ แต่เราจะนำตัวองค์หญิงไปให้เทพอาคิน ท่านไปตกลงกันเองก็แล้วกัน”
“ยอมจำนนซะดีๆ”
เอกภพขยับปืนในมือไปมาจ้องที่แม่มดนายาวา
“แต่ท่านก็ต้องดับด้วย ท่านจะปล่อยให้คนอื่นได้เสพสุขคนเดียวหรือไง”
“นายาวา เจ้าอย่าฟังมัน มันไม่กล้าหรอก”
“แต่...”
“นายาวา ถ้าเจ้าเอามือออกจากองค์หญิง เราจะฆ่าเจ้าด้วยน้ำมือของเจ้าเอง...” แม่มดนายาวาพยักหน้าหงึกๆ ฝ่ามือที่วางบนหน้าผากของณัชชาสั่นระริก เอกภพจ้องเขม็ง “มือของน้องเราสั่นจนควบคุมไม่อยู่ ถ้าเจ้าไม่
วางอาวุธ จะสายเกินการ” เอกภพจนมุมในที่สุดโยนอาวุธปืนออกไป แม่มดการานะหัวเราะเสียงแหลม ตวัดมือมาทางเอกภพปรากฏเป็นเชือกเถาวัลย์พันร่างเอกภพไว้ทั้งตัว “ทาสเราจับมันไว้” พวกตองกอยเข้ามาเอาไม้กวาดฟาดเอกภพทรุดลงกับพื้น แม่มดการานะหัวเราะก้อง “เจ้ามนุษย์โง่ ยังไงเราก็ต้องทำลายสมองขององค์หญิงให้หมด คนที่ไม่มีความคิดย่อมง่ายดายต่อการควบคุม”
แม่มดการานะกับแม่มดนายาวาหัวเราะเสียงเสียดหู
“พวกแก ไม่ตายดีแน่ ฉันจะตามล่าพวกแกถลกหนังของพวกแกเป็นชิ้นๆ”
ตองกอยฟาดโครมเอกภพทรุด เอกภพรีบยันร่างขึ้นมา สายตาดุดัน
“น้องเราจัดการได้”
แม่มดนายาวาหัวเราะก้องยกฝ่ามือสูงเตรียมฟาดลงที่หน้าผากของณัชชา ร่างของณัชชาหลับตาพริ้มไม่รู้สึกตัว เอกภพจ้องตาไม่กระพริบ
ทันใดนั้นลูกธนูไฟลูกหนึ่งวิ่งมาปักอกแม่มดนายาวาดังตึบ แม่มดนายาวาคาดไม่ถึงก้มมองไฟที่ลุกพรึบติดร่าง
แม่มดนายาวาร้อง แล้วร่างก็ระเบิดเป็นฝุ่นไป แม่มดการานะร้องไม่เป็นภาษา แล้วเผ่นหายไปอย่างรวดเร็ว เอกภพขยับตัวเชือกขาดผึงออกจากร่าง ม้วนตัวห่างจากพวกตองกอย แล้วสะบัดมือสองข้างปืนในมือสาดใส่พวกตองกอย
กระเด็นระเบิดกลายเป็นผงไปจนหมด
“ท่านราเชนมาทันเวลาพอดี”
“ดีใจที่ได้พบผู้กอง”
ทั้งสองกราดสายตามองที่ณัชชายังหลับตาพริ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ราเชนและเอกภพต่างยืนระวังอยู่หน้าถ้ำ
“ผมกับองค์หญิงณัชชาจำเป็นต้องให้ไกรยุทธ์กับนาฬิกาเดินทางไปก่อน อย่างน้อยก็ให้พ้นจากเทพอาคิน”
“ผู้กองกับองค์หญิงตัดสินใจถูกแล้ว นางแม่มดหนีไปได้ ผมคิดว่าที่นี่ไม่ปลอดภัยสำหรับองค์หญิงซะแล้ว”
“ผมเห็นด้วย โชคดีที่องค์หญิงสะกดตัวเองให้หลับเราสามารถย้ายองค์หญิงได้ แต่ปัญหาก็คือเวลาที่จะถึงจุดนัดพบใกล้เข้ามาแล้ว ถ้าเรามัวแต่หาที่ปลอดภัยเกรงจะไม่ทันเวลา”
“นอกจากว่าเราจะอยู่ในดินแดน ไร้กาลเวลา”
เอกภพมองหน้าราเชนอย่างไม่เข้าใจ
“ดินแดนไร้กาลเวลา”
ร่างของแม่มดสาวันนาค่อยปรากฏจนเห็นชัดเต็มตัว อาคินนั่งอยู่ตรงโซฟา มีสาวสวยอยู่เคียงข้าง มือปืนยืนระวังอยู่ทางด้านหลัง อาคินลุกขึ้นเดินเข้าหาแม่มดสาวันนา
“ข้ารอเจ้ามาวันหนึ่งแล้ว ทำไมถึงยังไม่ได้ตำแหน่งขององค์หญิง”
“ข้าเองก็ไม่เข้าใจ แต่ ข้า...ข้า...จะรีบติดตาม”
อาคินกางมือออกมา ร่างของแม่มดสาวันนาถูกดูดเข้าไปหาฝ่ามือของอาคินขย้ำเข้าที่คอ สายตาจ้องดุดันแม่มดสาวันนาจ้องด้วยความหวาดกลัว อึดใจอาคินก็กระแทกร่างของแม่มดสาวันนากระเด็นออกไปทรุดที่พื้น อาคินเดินกลับไปนั่งที่โซฟาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม่มดสาวันนาหน้าซีด ร่างค่อยๆ จางหายไป
ราเชนเดินนำเอกภพที่อุ้มณัชชาผ่านราวป่าอย่างเร่งรีบ ราเชนหันมาเห็นเอกภพเหนื่อยจึงหยุดรอ เอกภพตามมาทัน
“เราพักได้ครู่หนึ่ง”
ทันใดนั้นราเชนตวัดมือไฟลุกติดมือพรึบขึ้นมา
“เราจะเผาท่านถ้าไม่รีบปรากฏตัว”
ร่างของแม่มดสาวันนา ค่อยๆ ปรากฏขึ้น
“สาวันนา”
ราเชนสะบัดมือไฟหายไป
“ท่านต้องรีบพาองค์หญิงหนีไปให้ไกลที่สุด เรามั่นใจว่าอาคินสงสัยเรา อาจจะตามมาได้ทุกเวลา”
“ขอบใจมากสาวันนา”
“เราจะล่ออาคินไปทางอื่น”
แต่แล้วควันดำพุ่งวาบล้อมเข้ามา ราเชนกับเอกภพขยับตัว
“เทพอาคิน”
ร่างของอาคินโผล่วาบขึ้นมา เผชิญหน้าทุกคน
“สาวันนา เจ้าหักหลังข้า”
“ท่านเข้าใจผิด ข้าตามมาพบองค์หญิงกำลังจะรายงานท่าน”
“โกหก” แม่มดการานะโผล่มาจากราวป่า แม่มดสาวันนาหน้าซีด แม่มดการานะก้าวออกมากราดสายตามองราเชนกับเอกภพอย่างเยาะเย้ย “นางสาวันนามันคอยช่วยองค์หญิง”
“โกหก ท่านอาคิน ข้าพิสูจน์ได้”
“ยังงั้นเหรอ ได้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าพิสูจน์”
แม่มดสาวันนาหันมาโค้งอาคิน ทันใดนั้นแม่มดสาวันนาตวัดไม้เท้าหัวกะโหลกฟาดเข้าใส่อาคินโครม อาคินคาดไม่ถึงถูกพลังไม้หัวกะโหลกฟาดจนกระเด็น อาคินสะบัดมือปล่อยควันดำออกมาร่างแวบหายไป แม่มดสาวันนาหันมาทางราเชนเอกภพ
“หนีไป”
“แก”
แม่มดการานะปล่อยพลังใส่แม่มดสาวันนา ถูกร่างของแม่มดสาวันนาอย่างจัง ร่างของแม่มดสาวันนากระเด็นไป แม่มดการานะหัวเราะก้อง ราเชนตวัดมือปล่อยไฟเข้าที่แสกหน้าของแม่มดการานะตูม ไฟลุกท่วมร่าง แม่มดการานะร้องแล้วก็ระเบิดหายไป เอกภพอุ้มณัชชาปราดไปหาแม่มดสาวันนาที่บาดเจ็บอยู่
“รีบไป”
“ผู้กองเร็ว”
เอกภพอุ้มณัชชาออกไป ราเชนหันมาคว้าร่างของแม่มดสาวันนาขึ้นมา แต่ม่ามดสาวันนาไม่ยอมขยับตัว
“ท่านรีบไปเถอะ”
ราเชนพยักหน้า แล้วพรวดออกไป แม่มดสาวันนากราดสายตาเอาไม้เท้าหัวกะโหลกพยุงร่างตัวเอง ทันใดนั้นร่างของอาคินปรากฏ
“เจ้ากล้ามากที่หักหลังข้า”
แม่มดสาวันนาจ้องอาคินเขม็ง อาคินสีหน้าเยือกเย็น
“เราจะคอยหัวเราะเยาะท่านในนรก”
อาคินตวัดมือควันดำพุ่งเข้าหาแม่มดสาวันนา พลังของอาคินพุ่งเข้าหาแม่มดสาวันนาระเบิดตูม ร่างของแม่มดสาวันนาแตกกระจาย อาคินมีสีหน้าเย็นชา สะบัดมือออกไป ควันดำพุ่งจากมือเข้าไปในราวป่า อึดใจอาคินก็หายไป
ควันดำพุ่งผ่านต้นไม้ดงหนาทึบไปอย่างรวดเร็ว ราเชนและเอกภพแอบซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้หน้าทึบ ค่อยๆ โผล่ขึ้นมา กราดสายตารอบ เอกภพยังอุ้มร่างของณัชชาอยู่
“ตราบใดที่เราไม่ใช้พลังออกไป เทพอาคินไม่มีทางหาเราพบ”
“แต่ถ้ามันวนเวียนอยู่อย่างนี้ ไม่ดีต่อองค์หญิงแน่ๆ”
ทั้งสองกราดสายตามอง
“ท่านราเชนต้องพาองค์หญิงไป ผมจะล่อมันไปอีกทางหนึ่ง”
“แต่ผู้กองจะหาพบได้ยังไง”
เอกภพตวัดมีดสั้นขึ้นมา
“ดาบพิชิตมาร จะพาผมไปพบองค์หญิงเอง”
“ตกลงตามนั้น”
เอกภพส่งณัชชาให้ราเชนอุ้ม สะบัดมือ มีดสั้นปรากฏ เอกภพสะบัดมืออีกครั้งกลายเป็นดาบพิชิตมารส่งรังสีจ้า
“โชคดีท่านราเชน”
เอกภพพรวดออกไปอีกทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว ราเชนอุ้มณัชชาหลบวูบลงหลังพุ่มไม้ อึดใจควันสีดำก็พุ่งกระจายกันเข้ามาและพุ่งตามเอกภพไปอย่างรวดเร็ว ราเชนโผล่ขึ้นมากราดตาไปมาแล้วค่อยๆ เคลื่อนตัวไปอีกด้านหนึ่ง
เอกภพพรวดออกมาจากราวป่าอีกด้านหนึ่งมือกวัดแกว่งดาบพิชิตมาร วิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ด้านหลังมีควันดำพุ่งตามมาติดๆ
เอกภพวิ่งพรวดออกมาจากราวป่า ตวัดมีดสั้นเก็บไว้ที่เอว แล้วตวัดปืนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ในมือสองข้างมีปืนสองกระบอกติดขึ้นมา เอกภพสาดกระสุนใส่ออกไปเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ถูกต้นไม้ตรงหน้ากิ่งไม้กระจุยกระจาย แล้วพุ่งตัวข้ามพุ่มไม้หลบหายไป ควันดำพุ่งเข้ามาทุกทิศทางวนอยู่อึดใจก็พุ่งหายออกไป
อีกด้านหนึ่งบีมกับปิงปองเดินไปข้างหน้า ปาระนังกับนาชะปิดท้าย ต่างเดินทางมุ่งไปยังจุดนัดพบ ปิงปองเดินคุยกันไปกับบีม
“เราผ่านประตูกลมาแล้ว สงสัยว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน”
“ไม่เป็นสมัยอยุธยา ก็สุโขทัยหรือดินแดนลึกลับที่ไหนซักแห่ง”
“รังสิตก็ดีนะ จะได้กินเตี๋ยวเรือ”
ปาระนังกับนาชะต่างยิ้มขำ
“โห หิวเลย ผมว่าเราหยุดทานข้าวก่อนดีกว่าครับพี่ปาระนัง”
ทุกคนต่างขำ ปิงปองเหล่ปาระนังกลั้นยิ้ม
“ได้เวลาพักพอดี”
“เย้”
บีมเคี้ยวขาไก่ตุ่ยๆ ปิงปองนั่งตรงข้ามกำลังกินผลแอปเปิ้ลอยู่ บีมกินขาไก่หมดก็ล้วงมือเข้าไปในเป้หยิบ
ผลแอปเปิ้ลขึ้นมากินมั่ง
“โชคดีนะที่เป้วิเศษของพี่ปาระนังใส่เสบียงไว้เพียบ”
“เหมาะสำหรับคนกินเก่งเป็นอย่างยิ่ง” ทั้งหมดต่างยิ้มให้กัน บีมเหล่ปิงปองแล้วลุกขึ้นเดินออกไป “จะไปไหนมิทราบ”
“ฉี่ ไปม๊ะ”
“ตามสบายย่ะ”
บีมเดินออกไป
“อย่าไปไกลนะบีม” นาชะบอก
“ครับผม”
บีมเดินเข้าราวป่าไป ทั้งหมดต่างยิ้มขำบีม
ราเชนอุ้มร่างณัชชาก้าวออกมาจากราวป่า กราดสายตารอบ
“ท่านผู้เฒ่าผมขาว” ราเชนกราดสายตารอบ “ท่านผู้เฒ่าผมขาว”
ทันใดนั้นมีกระแสลมพัดวนมา กิ่งไม้ใบไม้ปลิวว่อน ร่างของชายผมขาวชุดขาวก้าวออกมาจากกำแพงวุ้นจ้องมายังที่ราเชนที่อุ้มณัชชาอยู่
“รีบตามเรามา”
ชายผมขาวพรวดหายเข้าไปในกำแพงวุ้น ราเชนรีบอุ้มร่างของณัชชาตามเข้าไป
บีมขยับกางเกงขยับเป้ให้เข้าที่ หลังจากเสร็จธุระ ขยับตัวเดินกลับออกมาแล้วเดินกลับไปยังที่พัก แต่แล้วสายตาเห็นแสงแวบวาบสะท้อนออกมาจากพุ่มไม้ห่างออกไปทางด้านขวา บีมขยับตัวเดินเข้าไปใกล้จ้องมองแสงที่สะท้อนออกมาอย่างสงสัย บีมเดินเข้าไปจนใกล้ พอที่จะเอื้อมมือแหวกเข้าไปได้ แต่หยุดคิด
บีมจ้องอยู่อึดใจ แต่แล้วมีมือเข้ามาแตะที่หัวไหล่ บีมสะดุ้งโหยง
“นายมัวทำอะไรอยู่”
บีมหันมาเหล่เพราะเสียฟอร์ม
“เหย ตกใจหมดเลย”
ปิงปองหัวเราะคิกคักชอบใจ แต่แล้วพลันสายตาเห็นแสงสาดออกมาจากพุ่มไม้
“แสงอะไร”
“กำลังเล็งอยู่เหมือนกัน”
“ไปบอกพี่ปาระนังดีกว่า”
“เราดูก่อนก็ได้ ว่าเป็นอะไรแล้วค่อยไปบอก”
“จะดีเหรอ”
“โธ่กลัวไปได้ กลางวันแสกๆ ไม่มีอะไรหรอกน่า”
ปิงปองคิดอึดใจในที่สุดพยักหน้า บีมตัดสินใจแหวกพงไม้เข้าไป ทั้งสองจ้องมองอย่างแปลกใจ
“ศิลาจารึก”
ตรงหน้าคือศิลาจารึกตั้งอยู่แสงประกายค่อยๆ หายไป
“แน่ใจเหรอ”
“แน่ใจซิ เรียนมาได้ยังไงไม่รู้จักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง”
“โห...ยังกะเคยเห็น”
“เห็นรูปในหนังสือ”
“ตกลงเรามาอยู่ในสมัยสุโขทัยเหรอเนี่ย”
เอกภพพรวดออกมาจากราวป่า กราดสายตาไปทั่ว ยกมีดสั้นของณัชชาขึ้นมาแล้วหลับตาลง
“ช่วยพาเราไปหาองค์หญิงณัชชา”
ทันใดนั้นเอกภพก็เห็นภาพของราเชนอุ้มณัชชาโดยมีชายผมขาวปรากฏตัว เอกภพลืมตาขึ้น หันไปทางทิศที่ราเชนพาณัชชาไป แล้วพุ่งตัวออกไป
ร่างของเอกภพวิ่งพุ่งมาในราวป่าอย่างรวดเร็ว อึดใจหนึ่งก็หยุดกราดสายตามองรอบๆ ทันใดนั้นหันขวับ พลางตวัดมือมีดสั้นปล่อยออกไป มีดสั้นพุ่งเข้าหาเงาตรงหน้า เงาหลบวูบ มีดพุ่งไปปักอยู่ตรงต้นไม้ เงาวูบมาปรากฏตรงหน้า
“ท่านราเชน”
“เราออกมาตามหาท่านก่อนที่ท่านจะหลงเข้าไปในดินแดนไร้กาลเวลาโดยบังเอิญเมื่อนั้นดาบพิชิตมารก็ไม่สามารถนำทางท่านมาหาองค์หญิงได้”
“หมายความว่ายังไง”
“ดินแดนไร้กาลเวลา ยังหมายถึงดินแดนไร้เวทย์มนต์อีกด้วย”
“ฟิ้ว...รอดตัวไปเรา”
ทั้งสองต่างยิ้มให้กัน
“ตามเรามา”
ราเชนพุ่งตัวออกไป เอกภพตวัดมือไปที่มีดสั้น มีดสั้นหลุดเข้ามาหามือของเอกภพ เอกภพรีบพุ่งตามออกนอกไป บนท้องฟ้าฝูงอีกาบินมาฝูงหนึ่งในระยะไกล
ที่ดินแดนไร้กาลเวลา เอกภพมองร่างณัชชาที่นอนนิ่งสนิทอยู่บนแท่นดิน ราเชนยืนอยู่ข้างๆ เอกภพจ้องชายผมขาวอย่างตื่นเต้น
“เราเข้าใจว่าที่นี่คือแดนไร้กาลเวลา ไร้เวทมนต์ไร้พลังทั้งปวง”
“ถูกต้อง”
เอกภพมองหน้าราเชนสีหน้ากังวล
“ถ้ายังงั้นดาบพิชิตมารก็ไม่สามารถแสดงอานุภาพได้”
“มีแดนฝึกยุทธ์เท่านั้นที่พลังและเวทย์มนต์ทั้งปวงมีผล ดินแดนที่เราใช้ฝึกพลังให้ทายาททั้งสี่”
“เราต้องรีบพาองค์หญิงไปที่นั่น”
ที่แดนฝึกยุทธ์ร่างของณัชชานอนอยู่บนแท่น ดาบพิชิตมารลอยอยู่เหนือร่างเปล่งรังสีดาบออกมา
“ถ้าอาคินเข้ามาถึงที่นี่ เราไม่มีทางต้านพลังของเทพอาคินได้เลย”
“เราจะตั้งรับเทพอาคินด้านนอกไม่ให้ผ่านเข้ามา” ชายผมขาวบอก
“เราจะไปกับท่าน ส่วนผู้กองเฝ้าองค์หญิงไว้ที่นี่”
“ระวังตัวด้วย”
“ดินแดนไร้กาลเวลาใช่ว่าจะหาพบได้ง่ายๆ ท่านไม่ต้องกังวลจนเกินไป”
เอกภพยิ้มออกมาได้ ชายผมขาวพยักหน้าให้ราเชน ทั้งสองดีดตัวเหินขึ้นออกไป
ควันดำพุ่งผ่านเข้ามาแล้ววนเวียนเต็มไปหมด ปรากฏเป็นร่างของภูตเก้าสังหาร อึดใจอาคินก็ปรากฏ อาคินกราดสายตารอบ พยายามจับสัมผัสพลังขององค์หญิงณัชชาและทุกคน อาคินสีหน้าเคร่งเครียด ในที่สุดก็กลายเป็นควันดำพุ่งออกไปเก้าภูตสังหารสลายตัวเป็นควันดำพุ่งตามออกไป อึดใจร่างของชายผมขาวกับราเชน ก้าวออกมาจากกำแพงวุ้น กราดสายตามองรอบๆ
“เทพอาคินหาที่นี่ไม่พบ”
“เรายังโชคดี”
ที่ดินแดนไร้กาลเวลา ร่างของณัชชาหลับตาพริ้มอยู่ ดาบพิชิตมารส่งรังสีปกคลุมร่าง เอกภพเดินไปเดินมาด้วยความกังวลอยู่หน้าแท่น หันไปเห็นราเชนเดินเข้ามา
“เทพอาคินไปจากที่นี่แล้ว แต่ท่านผมขาวยังคอยเฝ้าระวังอยู่”
“ขอบคุณมาก ท่านราเชน”
“องค์หญิงจะพ้นจากมนต์เก้าอสูรในไม่ช้า เราคิดว่าจะรีบเดินทางออกตามหาไกรยุทธ์กับนาฬิกา”
“เป็นความคิดที่ดี ผมกับองค์หญิงณัชชาจะรีบเดินทางตามไปที่จุดนัดพบ”
“แล้วพบกันผู้กอง”
ราเชนหันหลังก้าวออกไป เอกภพมองตาม ถอนหายใจผ่อนคลาย สายตาจ้องที่ณัชชาซึ่งหลับตาพริ้มอยู่
ราเชนกับชายผมขาวก้าวออกมาจากกำแพงวุ้น
“ขอบคุณท่านเป็นอย่างยิ่ง”
“เราต้องขอบคุณท่านที่ดูแล ทายาทขององครักษ์ทั้งสี่”
ราเชนยิ้ม ก้มคำนับให้ หันหลังเดินออกไป
ปาระนังนั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้ นาชะเดินไปเดินมา กราดสายตามองสีหน้ามุ่ย
“ดูซิ ปิงปอง ให้ไปตามบีมก็หายไปด้วยอีกคน”
“คงเล่นซนอยู่ใกล้ๆ” ปาระนังหลับตาสัมผัส “กามเทพนาชะไม่ต้องกังวล เรายังไม่สัมผัสพลังร้ายใดๆ อยู่ในบริเวณนี้”
“นาชะว่านาชะไปดูก่อนดีกว่า”
นาชะเดินออกไป ปาระนังมองตามอดยิ้มขำไม่ได้
ปิงปองกับบีมขยับเข้าไปใกล้ศิลาจารึกตรวจอ่านดู
“มีชื่อนักการเมืองที่โกงกินบ้านเมืองอยู่ด้วย”
“จริงเหรอ”
“โห...ยังอุตส่าห์เชื่อ”
“ไปดีกว่า”
“เดี๋ยว ยืมดินสอหน่อยซิ”
“จะทำอะไรเหรอ”
“เออน่า”
ปิงปองเหล่แต่ก็รื้อเป้หาดินสอส่งให้จนได้ บีมรับดินสอมาแล้วเขียนบนศิลาจารึก
“นี่จะทำอะไรน่ะ”
บีมไม่ตอบเขียนยุกยิกจนเสร็จแล้วส่งดินสอคืนให้
“บีมเขียนชื่อ บีมกับปิงปองไว้อยากรู้ว่าถ้ากลับไปปัจจุบันแล้วยังจะมีชื่อเราติดอยู่หรือเปล่า”
ปิงปองเหล่ส่ายหน้าเอือมระอา
อาคินจ้องมองทรายในนาฬิกาทรายมนต์ที่กำลังไหลจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งในมือสายตาดุดัน
“ท่านหนีไม่พ้นนาฬิกามนต์ของเรา”
ที่แดนไร้กาลเวลา เอกภพเดินมาจนกระทั่งถึงชายผมขาวที่ยืนระวังอยู่ใกล้กำแพงวุ้น
“อาการขององค์หญิงเป็นอย่างไรบ้าง”
“บอกไม่ได้ คงต้องรอให้องค์หญิงตื่นเท่านั้น”
ชายผมขาวพยักหน้า กราดสายตารอบ
“ข้ามั่นใจว่าเวลานี้พอจะวางใจได้”
“ต้องขอบคุณท่าน” ชายผมขาวพยักหน้ารับ “ท่านราเชนเล่าว่า เคยหลงอยู่ในดินแดนไร้กาลเวลาของท่าน”
“ถูกต้อง ข้าจำเป็นต้องกักทายาทไว้เพื่อถ่ายทอดวิชา”
“ถ้างั้นเกิดเทพอาคินหลุดเข้ามา ก็อาจหลงทางได้เหมือนกัน”
“นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ดี”
“จะเป็นอันตรายต่อท่านหรือเปล่า”
“อาจจะ แต่อย่างน้อยก็กักมันไว้ได้ระยะหนึ่งพอที่จะให้ท่านกับองค์หญิงไปถึงจุดหมายได้ก่อน” ทันใดนั้นเสียงระเบิดดังตูมขึ้น “เทพอาคิน”
“องค์หญิง”
เอกภพพรวดออกไป ชายผมขาวตามติด
เอกภพพรวดเข้ามาตรงบริเวณแท่นนอนที่ณัชชาทำการสลายมนต์เก้าอสูร แต่ก็ต้องตกใจเพราะแท่นว่างเปล่า
ดาบพิชิตมารก็หายไปด้วย
“แย่แล้ว” ทันใดนั้นเสียงตูมๆๆ ดังขึ้นอีก “องค์หญิง”
เอกภพพรวดออกไป ชายผมขาวดีดตัวตาม
เอกภพร่อนลงมาบนลานฝึกยุทธ์ ชายผมขาวร่อนลงมาเป็นคนที่สอง
“ระวัง”
เงาดำวูบเข้ามาพร้อมปล่อยพลังเข้าใส่เอกภพและชายผมขาว ทั้งสองดีดตัวหลบไปคนละทาง ผิวดินถูกพลังกระแทกตูมฝุ่นฟุ้งกระจาย
ควันจางลง เอกภพกับชายผมขาวตั้งตัวได้สะบัดมือไปยังเงาตรงหน้า ปล่อยพลังออกไปพร้อมกัน เงาดำตรงหน้าปล่อยพลังกลับมา พลังของทั้งสองฝ่ายปะทะกันตรงกลางเสียงดังตูม ร่างของเอกภพกับชายผมขาวถอยไปสองสามก้าว เงาดำลอยตัวสูงเข้ามาเห็นรังสีดาบส่งประกาย
“ดาบพิชิตมาร”
ดาบฟันลงมายังชายผมขาว เอกภพพุ่งชนชายผมขาวออกไปนอกเส้นทางได้ทันเวลา พลังดาบกระแทกพื้นดินดังตูม ร่างของเอกภพกับชายผมขาวกลิ้งไปกับพื้น เอกภพดีดตัวขึ้นมา
“องค์หญิง ผมเอง”
ตรงหน้าคือณัชชา ยืนอยู่ ในมือถือดาบพิชิตมาร
“ปล่อยคน”
“องค์หญิง ท่านผู้นี้คือมิตรไม่ใช่ศัตรู” ณัชชายืนจ้องเขม็งสายตาดุดัน ดาบในมือชี้มายังชายผมขาว แต่แล้วก็ทรุดล้มลงเอกภพรีบปราดเข้าไปช้อนร่างขึ้นมา “องค์หญิง”
ณัชชานอนหลับตาพริ้มอยู่บนแท่นนอน เอกภพกับชายผมขาวยืนมองอยู่อย่างกังวล
“ตอนนี้เราอยู่ในแดนไร้เวทมนต์แล้ว”
“อย่างน้อยถ้าองค์หญิงรู้สึกตัวขึ้นมาตอนนี้เรายังปลอดภัย” เอกภพหันไปมองณัชชาด้วยความกังวล “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“อาจเป็นเพราะพลังมนต์เก้าภูตสังหารถูกสลายไป พลังดาบพิชิตมารเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว อาจทำให้องค์หญิงสับสนเห็นภาพหลอนก็เป็นได้”
“แบบว่าธาตุไฟแทรกอย่างนั้นเหรอครับ”
“ท่านอย่าได้กังวล ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก พลังเดินเป็นปกติเมื่อไหร่ องค์หญิงก็จะกลับมาเป็นคนเดิม”
เสียงณัชชาอืมขึ้นมาเหมือนรู้สึกตัว เอกภพก้าวเข้าไปใกล้อย่างตื่นเต้น ณัชชาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง กราดสายตาจ้องเอกภพนิ่ง
“ผู้กอง”
“องค์หญิง”
ธิดาพญายม ตอนที่ 12 (ต่อ)
ทั้งสองต่างโผเข้าหากัน ณัชชาอยู่ในอ้อมกอดของเอกภพ ชายผมขาวพยักหน้าโล่งใจแล้วเคลื่อนกายออกไป
ปล่อยให้ทั้งสองอยู่ในอ้อมแขนของกันและกัน ต่างมองหน้ากัน ไม่มีคำพูดใดนอกจากความรู้สึกของหัวใจที่ตรงกัน อึดใจเอกภพก็ถอยออก
“ขออภัยองค์หญิง”
“ไม่ให้อภัย”
ทั้งสองต่างยิ้มให้กัน
“คือ พลังขององค์หญิง” ณัชชายกกล้ามขึ้นมา
“กลับมาเรียบร้อย”
เอกภพถึงกับถอนใจอย่างปลอดโปร่งใจ ณัชชายิ้มสดชื่น
บนท้องฟ้าอีกาฝูงหนึ่งบินมาแต่ไกล นาชะมองแล้วกราดสายตาไปมา
“สาวกของอาคิน สองคนนั่นยังไม่มาอีก”
“พี่นาชะ”
นาชะหันไปเห็นบีมกับปิงปองเดินยิ้มกันมา
“พี่นาชะ พวกเราเจอ...”
“มานี่ รีบมาเลย ดูโน่น สาวกเทพอาคินมาโน่นแล้ว”
บีมกับปิงปองหันไปดูก็เห็นฝูงอีกาบินมาแต่ไกล ได้ยินเสียงร้องของพวกมันแว่วๆ
“เรารีบกลับไปหาท่านธิดากันได้แล้ว”
บีมกับปิงปองหันไปมองบนท้องฟ้าอีกครั้ง แล้วออกวิ่งกลับไปอย่างรวดเร็ว นาชะแวบตามไปติดๆ ฝูงอีกาบิน ใกล้เข้ามาส่งเสียงร้องก้อง
บีมกับปิงปองวิ่งมาถึงปาระนังที่ยืนมองท้องฟ้าอยู่ นาชะโผล่แวบเข้ามา
“หลบเข้ามาเร็ว พวกมันมีมากผิดปกติ”
ทั้งหมดมองดูพวกมันบินแยกกันไปหลายทิศทาง
“พวกมันบินทั่วไปหมดทิศทุกทางเลย”
“เทพอาคินกำลังทุ่มสุดตัว มันรู้ว่าพวกเราเดินทางใกล้จุดหมายเต็มที”
ทั้งหมดต่างมองพวกมันสีหน้ากังวล
ทั้งหมดเดินทางหลบหลีกพวกมันตามต้นไม้และป่าทึบ ปาระนังมาพาทุกคนหยุดอยู่ตรงลานเล็กๆ แห่งหนึ่ง เสียงอีกายังคงดังแว่วๆ มาในระยะไกล
“เราต้องตรวจดูแผนที่ว่าเราอยู่ห่างจากจุดนัดพบแค่ไหน”
บีมกับปิงปองต่างตรวจดูเป้และดึงม้วนผ้าแผนที่ออกมา ปาระนังเข้ามาตรวจดู
“เราใกล้ถึงจุดหมายแล้ว เราน่าจะถึงจุดนัดพบอย่างช้าพรุ่งนี้ตอนบ่ายๆ”
“หวังว่าคงรอดสายตาพวกสาวกของเทพอาคินไปได้”
“ตรงจุดนัดพบจะมีเครื่องหมายอะไรให้เรารู้มั๊ยครับพี่ปาระนัง”
“ยาก ต้องมีปริศนาให้คิดชัวร์”
“ถึงเวลาพี่เชื่อว่าเราก็จะรู้เอง”
ที่ดินแดนไร้กาลเวลา ณัชชาเดินไปมาสีหน้าเคร่งเครียด
“น่าสงสารสาวันนา” เอกภพพยักหน้าถอนใจ “แล้วท่านราเชน”
“ท่านราเชนรีบเดินทางไปตามหาไกรยุทธ์กับนาฬิกา”
ณัชชาพยักหน้า แล้วหันกลับมามองเอกภพ ก้าวเข้ามาใกล้เอกภพ
“ขอบใจที่อยู่เคียงข้างฉัน ปกป้องฉัน”
“ด้วยความยินดีครับ”
“และต้องขอโทษที่เล่นงานคุณ”
“ขอโทษท่านผมขาวน่าจะดีกว่า รู้สึกว่าจะโดนหนักกว่าผม”
ทั้งสองต่างยิ้มให้กัน
เอกภพยืนคู่กับณัชชา ณัชชาก้มคำนับชายผมขาว
“ต้องขออภัยที่ล่วงเกิน”
“ด้วยความยินดี”
ทั้งหมดต่างยิ้ม
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”
“ขอให้เดินทางโดยปลอดภัย”
ณัชชากับเอกภพก้มทำความเคารพอีกครั้ง ชายผมขาวก้มรับ แต่แล้วทันใดนั้นเสียงหัวเราะของอาคินดังก้องขึ้น ทุกคนต่างขยับตัว ควันดำพุ่งเร็วเข้ามา ร่างของอาคินปรากฏตรงหน้า ในมือถือนาฬิกามนต์
“ต้องขอบใจนาฬิกามนต์ ของนางแม่มดสาวันนา สหายขององค์หญิง”
ทั้งหมดจ้องมองอาคินอย่างคาดไม่ถึง
“เรารอที่จะพบท่านอยู่”
ชายผมขาวบอกเมื่อเผชิญหน้ากับอาคิน อาคินยิ้ม
“อีกหนึ่งชีวิตที่จะต้องสูญเสียเพื่อองค์หญิงณัชชา”
“ท่านแน่ใจหรือว่าจะต้านเราสามคนได้”
“ท่านคงยังไม่รู้จักเก้าภูตสังหารของเรา”
ทันใดนั้นชายผมขาวสะบัดมือปล่อยพลังใส่อาคิน อาคินสะบัดมือรับต้านไว้ พลังดันกัน
“องค์หญิงถอยก่อน”
อาคินสะบัดมือเร่งพลังกระแทกเกิดเสียงระเบิดตูมควันเต็ม พอควันจาง เอกภพกับณัชชายืนประคอง ชายผมขาวประจันหน้าอยู่ อาคินยิ้มเยาะ ชายผมขาวกระอักเลือดออกมา
อาคินเดินเข้าใส่ ทันใดนั้นเอกภพกับณัชชา พาร่างของชายผมขาวหายพรวดเข้าไปในกำแพงวุ้น
“อย่าหวังว่าจะหนีพ้น”
อาคินดีดตัวตามเข้าไปในกำแพงวุ้นอย่างรวดเร็ว
ร่างของอาคินโผล่พรวดผ่านกำแพงวุ้นเข้ามาในดินแดนไร้กาลเวลา ก็พบเอกภพกับณัชชาและชายผมขาวยืนรออยู่
“ดูท่าองค์หญิงยังไม่แข็งแรงพอที่จะหนีกระมัง”
“ท่านคิดผิดแล้ว เรารอที่จะกำจัดท่านตะหาก”
“นายหลงกลเราแล้ว เทพอาคิน”
อาคินหัวเราะก้อง อาคินยกมือสองข้างขึ้นรวบรวมพลัง
“เก้าภูตสังหาร”
แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น อาคินคาดไม่ถึง
“ท่านคงไม่รู้กระมัง ว่าท่านอยู่ในดินแดนไร้กาลเวลาไร้เวทย์มนต์”
ณัชชาดึงมีดสั้นออกมาจากเอว เอกภพดึงปืนสองกระบอกมาจากด้านหลังทั้งสามจ้องที่อาคิน
อาคินขยับมือสองข้างพยายามเรียกพลังแต่ไม่มีผลปรากฏอาคินคาดไม่ถึง
“อุ๊บ...โน พาวเวอร์”
“ขอทบทวนหน่อยว่าท่านมีฝีมือแค่ไหน”
ณัชชพูดจบก็ดีดตัวเข้าไปตวัดมีดสั้นเข้าใส่อาคิน อาคินตวัดมือต้านไว้ได้พลางถอยออกไปสองก้าวเพราะไม่สามารถเรียกดาบออกมาได้
“พวกท่านคิดเอาเปรียบ”
“ท่านใช้เก้าภูตสังหารเอาเปรียบเรา พอเจอเข้ามั่ง ร้องครวญครางดุจไม่ใช่คน”
อาคินแค้นสุดฤทธิ์สายตากราดไปมา หาทางหนี
“ออกไปจากที่นี่ไม่ใช่ง่าย” ชายผมขาวบอก
“มอบตัวหรือมอบศีรษะมา”
ทันใดนั้นอาคินหันหลังพุ่งตัวออกไป เอกภพกราดปืนตามเหนี่ยวไกเปรี้ยงๆๆ อาคินดีดตัวหลบพ้นไปได้ ทั้งสามต่างมองหน้ากัน
“เราล่ออาคินเข้ามาในดินแดนไร้กาลเวลาจนได้”
ณัชชายิ้มอย่างพอใจ
เอกภพ ณัชชา ชายผมขาวยืนอยู่
“ท่านทั้งสองรีบไป” ชายผมขาวบอก
“เทพอาคินถึงขาดพลังแต่มีฝีมือสูงได้โปรดอย่าปะทะกับเทพอาคิน”
“หลังจากท่านไปแล้ว เทพอาคินก็จะไม่ได้เห็นเราอีก กว่าเทพอาคินจะหาทางออกได้เองคงไม่ต่ำกว่าสามวัน”
ทั้งสามต่างยิ้มให้กัน
“ลาก่อน”
ชายผมขาวดีดตัวเหินขึ้นไป ณัชชากับเอกภพต่างยิ้มแล้วออกไป
อาคินพรวดออกมาจากดงไม้ กราดสายตาอยู่อึดใจก็พรวดไปอีกด้านหนึ่ง ฝ่าราวป่าไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งทะลุออกมาอีกด้านหนึ่ง กราดสายตามองท้องฟ้าและรอบตัว
“ดินแดนไร้กาลเวลา เราหลงกลจริงๆ”
ไกรยุทธ์รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาพบว่านาฬิกานอนหลับอยู่ในอ้อมอกของตัวเอง ไกรยุทธ์กราดสายตาไปรอบๆ ปรากฏว่าโบสถ์หายไปแล้วกลายมาเป็นราวป่า ไกรยุทธ์ถึงกับคาดไม่ถึง พอตั้งสติได้ก็หันมามองนาฬิกาที่หลับซบอกของตนอยู่ ไกรยุทธ์ค่อยๆ เอามือปัดเส้นผมออกจากใบหน้าสวย มองแล้วถอนใจ เห็นเป็นความทรงจำตั้งแต่ก่อนพบกัน
“คุณไกรยุทธ์”
ไกรยุทธ์จ้องมองนาฬิกา นาฬิกาจ้องมา ไกรยุทธ์กระพริบตาถี่
“คุณนาฬิกา”
“คะ”
“ผมรักคุณ”
นาฬิกาถึงกับนิ่งไปอึดใจ ค่อยๆ เลื่อนมือสัมผัสใบหน้าของไกรยุทธ์
“ฝันหวานกลางวันเหรอคะ”
“ครับ ทำให้ผมคิดว่า เวลาของเราอาจจะเหลือน้อยหรือว่า”
“อาจจะไม่รอดออกไปได้” ไกรยุทธ์พยักหน้า นาฬิกายิ้มหวานให้ “เกิดรอดไปได้ ห้ามคืนคำพูดนะจะบอกให้”
“ถ้าคืนขอให้ตกน้ำป๋อมแป๋ม”
“เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง โบสถ์หายไปไหน”
ไกรยุทธ์กับนาฬิกาต่างยืนกราดสายตารอบ
“แปลกมาก อยู่ๆ ก็โผล่มาที่นี่”
“เหมือนกับขวานที่มาอยู่กับผมไงครับ”
นาฬิกายิ้มพยักหน้ารับ ไกรยุทธ์ดึงแผนที่ออกมาตรวจดู
“ค่อยยังชั่วหน่อย มีเส้นลากจากจุดนี้ไปยังจุดนัดพบ”
“แต่ก็มีประตูกลเพียบ”
“นาฬิกาว่าดีนะ เผื่อฉุกเฉินเป็นทางออกหนีเทพอาคินได้”
“อืม ถือว่าเป็นเรื่องดีก็แล้วกัน”
ทั้งสองต่างยิ้มให้กัน ไกรยุทธ์เก็บแผนที่เข้าเป้อย่างเดิม ทันใดนั้นเสียงก้องของพวกอีกาสาวกอาคิน ดังขึ้นทั้งสองต่างแหงนหน้าหน้ามองพวกมัน
“คุณไม่น่าบ่นถึงเทพอาคินเลย”
“ว่าเหรอ ดี...วันหลังจะไม่บ่นถึงใคร แล้วก็ไม่คิดถึงใครด้วย”
“อ้าว ซวยเรา” เสียงพวกมันร้องดังขึ้น ทั้งสองกราดสายตามอง “พี่ว่าเราเผ่นกันได้แล้ว”
ไกรยุทธ์คว้ามือนาฬิกาเผ่นออกไป
ไกรยุทธ์กับนาฬิกาพรวดออกมาจากราวป่า ไกรยุทธ์หยุดสังเกต แหงนหน้ามองพวกสาวกอาคินเห็นมันตามชนิดกัดไม่ปล่อย
“พวกมันไม่ได้แค่บินตรวจการ ผมคิดว่ามันจะเล่นงานเรา”
“ขืนวิ่งหนีแบบนี้ ไม่พ้นพวกมันแน่”
“เราต้องหาทางเข้าประตูกล หลงก็ต้องยอม”
“หนีให้พ้นก่อนแล้วค่อยว่ากันที่หลัง”
“ปัญหาก็คือ ประตูกลอยู่ตรงไหน”
“ไหนว่าเพียบไง”
“ก็ในแผนที่มีเพียบจริงๆ”
“ลองหาดูซักบานดิ” ไกรยุทธ์หลับตาลง
“ข้าแต่องค์รักษ์ทั้งสี่ช่วยให้ลูกวิ่งเข้าประตูกลด้วยเทิด” ไกรยุทธ์ลืมตา
“แค่เนี๊ยะ ไม่เห็นมีเลยประตูกล”
“ขอพรแล้ว ไปทางไหนก็ได้ทั้งนั้น”
“โห เว่อร์หรือเปล่า”
เสียงอีการ้องก้องมา
“แบบนี้เว่อร์ หรือ ไม่เว่อร์ ก็ต้องลุยแล้ว”
ไกรยุทธ์คว้ามือนาฬิกาวิ่งเข้าหาต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ข้างหน้า ทั้งสองร้องเสียงดัง วิ่งเข้าหาต้นไม้ ทันใดนั้นทั้งสองวิ่งผ่านต้นไม้เข้าไปได้ฟุบหายไป
ร่างของไกรยุทธ์กับนาฬิกาพรวดออกมาจากต้นไม้ ทั้งสองต่างมองหน้ากันแล้วส่งเสียงกระโดดโลดเต้น นาฬิกากระโดดให้ไกรยุทธ์อุ้มแล้วหมุนรอบๆ ด้วยความดีใจอึดใจก็หยุด นาฬิกาแหงนหน้ามองท้องฟ้า
“ดูซิ เราพ้นพวกสาวกของเทพอาคินมาจนได้”
“เห็นมะ คาถาของผมเวิร์ค องค์รักษ์ทั้งสี่คอยช่วยเราอยู่”
“ความจริงพี่ไกรยุทธ์อุ้มแบบนี้ก็สบายดีเหมือนกัน”
“ได้แต่ต้องมีค่าอุ้ม”
ไกรยุทธ์ยื่นหน้าเข้ามาหอมแก้มนาฬิกา นาฬิการ้องนิดหนึ่ง แล้วโดดลงจากวงแขนของไกรยุทธ์
“ไม่เอาดีกว่า ขาดทุน”
ไกรยุทธ์ยิ้มชอบใจ นาฬิกาส่งมือให้ ทั้งสองจูงมือกันเดินออกไป
กองไฟสว่างขึ้น บีมโยนฟืนเติมให้ไฟลุกโชติขึ้นมาอีก ปิงปองนั่งข้างบีมกับนาชะ ปาระนังนั่งบนขอนไม้ตรงข้าม ปาระนังกราดสายตารอบพยายามสัมผัสสิ่งผิดปกติ
“พวกมันจะไม่เห็นกองไฟของเราเหรอครับ”
“กองไฟเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ใช่มีแต่เรากองเดียว พวกมันยากที่จะจับสังเกตได้”
“แบบนี้พอจะนอนหลับสบายหน่อย” ทั้งหมดยิ้ม
“หลับตามสบายเลย บีมจะคอยเฝ้าเอง”
“กลัวว่าพวกมันมาบีมจะวิ่งก่อนน่ะซิ”
“พี่ก็ว่ายังงั้น”
ทั้งหมดยิ้มกัน บรรยากาศดีขึ้น บีมรื้อเป้ออกมาหยิบของกินส่งให้ปิงปอง ปิงปองรับมา ต่างแบ่งกันกิน ปาระนังกับนาชะมองทั้งสองอย่างเอ็นดู
ปิงปองขยับผ้าห่มคลุมตัว บีมเอนตัวลงใกล้ๆ ขยับผ้าห่มของตัวให้เข้าที่ นาชะเดินเข้ามานั่งใกล้ๆ
“เธอสองคนผ่านมาถึงจุดนี้ได้ นับว่าเก่งมาก องครักษ์ทั้งสี่ต้องภูมิใจ”
บีมกับปิงปองต่างพยักหน้ารับยิ้มให้นาชะ กราดสายตาไปที่ปาระนังที่ยืนเฝ้าระวังอยู่
“หนูสงสารพี่ปาระนังแล้วก็พี่นาชะที่ต้องแบกภาระคอยดูแลเราสองคนมากกว่า”
“พี่น่ะไม่เท่าไหร่หรอกท่านธิดาน่ะซิ”
“หลังจากเราได้กุญแจแล้ว เราจะได้เจอพี่นาชะ แล้วก็ทุกคนอีกหรือเปล่าครับ”
“พี่เชื่อว่าทุกคนต้องได้พบกันอีก อย่างน้อยก็ในความฝัน”
“ปิงปองต้องคิดถึงทุกคนแน่เลย”
“อย่าคิดมาก นอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า”
“กู๊ดไนท์ครับ”
“กู๊ดไนท์พี่นาชะ”
“กู๊ดไนท์” บีมกับปิงปองพลิกตัวหลับตา นาชะสะบัดมือเห็นละอองสีชมพูครอบคลุมร่างของปิงปองกับบีม “ฝันดีทั้งสองคน”
อาคินเดินออกมาจากราวป่า ผมเผ้ายุ่งเหยิง
“แดนไร้กาลเวลา ข้าหลุดออกไปได้เมื่อไหร่ ข้าจะกลับมาทำลายให้พินาศ”
หยุดกราดสายตารอบๆ ก็เห็นปากถ้ำเล็กอยู่ตรงหน้าอาคินก้าวตรงยังปากถ้ำ ในราวป่าชายผมขาวซุ่มดูอยู่
“แย่แล้ว เทพอาคินมาถึงแดนฝึกยุทธ์จนได้”
ชายผมขาวหลบวูบหายไปในราวป่า
อาคินเดินมาถึงหน้าปากถ้ำ ค่อยกราดสายตาเห็นแท่นศิลาอยู่ตรงหน้าจึงเข้าไปสำรวจดู พลันสายตาก็เห็น
ประกายแวบเข้าสู่สายตา อาคินเดินเข้าไปใกล้เอามือหยิบประกายแวบขึ้นมาตรวจดูสีหน้ายิ้มอย่างพอใจ
“เส้นผมของเทพ องค์หญิงณัชชา” อาคินหัวเราะอย่างพอใจ ทันใดนั้นประกายเส้นผมติดไฟพรึบลุกขึ้นมาจนอาคินต้องสลัดมือปล่อยทิ้งไป “ที่นี่มีพลังปรากฏ”
อาคินก้าวออกมาจากหน้าถ้ำ ยืนหมุนตัวดูรอบๆ พลันยกมือสองข้างขึ้นมาเรียกพลัง ปรากฏเป็นควันดำขึ้นมาล้อมรอบตัว อาคินหัวเราะก้องอย่างพอใจ พลันร่างกลายเป็นกลุ่มควันดำพุ่งผ่านราวป่าเข้าไปอย่างรวดเร็ว ชายผมขาวออกมาจากราวป่า
ควันดำพุ่งทะลุกำแพงวุ้นออกมาม้วนตัวกันเป็นกลุ่ม ร่างของอาคินปรากฏ อาคินหันไปทางกำแพง ยกมือสองข้างขึ้นรวบรวมพลัง ปรากฏเป็นพลังพุ่งเข้าใส่กำแพงวุ้นระเบิดตูมไฟลุกพรึบอาคินมองอย่างสะใจ ปล่อยพลังซ้ำอีก ตูมๆๆๆ
ชายผมขาวยืนอยู่บนหุบผาสูง สายตากราดมองตรงหน้า เห็นไฟระเบิดขึ้นในระยะไกลหลายครั้ง ชายผมขาวถอนหายใจ
“อย่างน้อยภารกิจของเราก็สิ้นสุดตามความต้องการขององครักษ์ทั้งสี่”
เสียงระเบิดตูมๆ ไฟลุกขึ้นมาตรงหน้าอีกสองสามครั้ง ชายผมขาวได้แต่มองดู
ปาระนังยืนกราดสายตาเฝ้าระวังอยู่ นาชะเดินเข้ามา
“สองคนนั่นเป็นยังไงบ้าง”
“นาชะปล่อยละอองฝันคลุมไว้แล้วป่านนี้คงนอนหลับฝันดี”
“เอ้อ เรามีเรื่องอยากจะถามเรื่องหนึ่ง”
“ยินดีเพคะ”
“ความรักของเรากับท่านพี่ราเชนเป็นเพราะท่านแผลงศรหรือเปล่า”
“ความรักระหว่างเทพ ต้องเป็นกามเทพรุ่นเดอะกว่านาชะเพคะ”
“ในเมื่อรู้ว่ากฎเกณฑ์ไม่ให้ชีวิตในโลกสมุทรมีความรักกับยมโลก ใยจึงทำให้เรารักกับท่านพี่”
“กามเทพมีหน้าที่สื่อสารความรัก ไม่มีเล่นการเมืองเพคะ แต่นาชะเชื่อว่า ความรักย่อมมีอานุภาพเหนือสิ่งใดเพคะ”
ปาระนังยิ้ม แต่แล้วขยับตัวสะบัดมือดาบปลายแหลมหางกระเบนอยู่ในมือ
“มีอะไรเหรอเพคะ”
ปาระนังกราดสายตารอบ
“มีการเคลื่อนไหว”
ที่องค์กรของอาคิน เสียงดนตรีทันสมัยดัง สาวๆ เต้นรำกัน สาวคนหนึ่งหยิบแก้วไวน์ส่งให้อาคินซึ่งนั่งรายล้อมไปด้วยหญิงสาวสองสามคน อาคินสีหน้าเคร่งเครียดรับแก้วไวน์มาดื่มรวดเดียวหมด สาวอีกคนเทไวน์เพิ่มให้อีก ทันในนั้นเสียงระเบิดตูมเกิดแรงสั่นสะเทือนทุกคนร้องกันกรี๊ดกร๊าด ไฟจางลง ไม่มีอะไรเสียหาย แต่มีชายคนหนึ่งวัย 50 ปรากฏ อาคินถึงกับคาดไม่ถึง ปราดออกมาย่อเข่าลงต่อหน้าชายผู้นั้น
“ท่านพ่อ”
ณัชชาผุดยืนลุกขึ้นมา สายตากราดรอบ เอกภพเดินเข้ามาใกล้
“มีอะไรหรือองค์หญิง”
“ฉันสัมผัสถึงพลังอันยิ่งใหญ่ น่ากลัว” เอกภพจัองณัชชา ไม่เคยเห็นสีหน้าณัชชาตื่นเต้นเหมือนครั้งนี้มาก่อน “ฉันคิดว่าเทพอาคิน ออกมาจากดินแดนไร้กาลเวลาได้แล้ว”
เทพอัคราจ้องอาคิน กราดสายตาไปรอบๆ พวกสาวๆ ต่างถอยกรูดไปรวมกันเป็นกระจุก เทพอัคราหันกลับมาทางอาคินแล้วสะบัดมือปล่อยพลังใส่อาคินเป็นประกายสีเขียวเป็นเส้นเหมือนสายฟ้ารอบตัวของอาคิน อาคินดิ้นกับพื้นไปมาทรมานเจ็บปวด เทพอัคราหยุดยั้งมือ อาคินค่อยๆ ขยับตัวขึ้นมาแต่ยังย่อเข่าอยู่อย่างเดิม
“ข้าถูกสวรรค์จองจำทุกข์ทรมาน ให้เจ้านำเก้าภูตสังหารลงมาค้นหากุญแจคุกนิลกาล แต่เจ้าลุ่มหลงเสียเวลากับโลกีย์มนุษย์”
“ข้าสมควรตาย”
“ใช่ เจ้าสมควรตาย”
เทพอัคราปล่อยพลังออกมาอีก อาคินดิ้นเจ็บปวดทรมาน เทพอัครามองอย่างสะใจ อาคินดิ้นอย่างเจ็บปวดทรมาน ทันใดนั้นอำนาจพาพวกมือปืนกรูกันเข้ามา
“เฮ้ย ยิงมัน”
พวกมือปืนสาดกระสุนใส่เทพอัคราเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ชายตวัดมือส่งสายฟ้ากระแทกพวกมันกระเด็นไปอำนาจยืนขาสั่น เทพอัครามองอาคินที่ค่อยๆ ลุกขึ้นมา
“นี่หรือคือทาสของเจ้า” อาคินพยักหน้า “ไสหัวออกไป” อำนาจกับพวกมือปืนรีบลนลานออกไป “ข้าต้องการพบเทพซ้ายขวา”
“ข้าสูญสิ้นเทพซ้ายขวาไปแล้วท่านพ่อ”
เทพอัคราดวงตาเป็นประกายด้วยความโกรธ ปล่อยพลังกระแทกอาคินกระเด็นออกไป
ณัชชาร่อนออกมาจากราวป่าแล้วร่อนลงตรงลานเล็กๆ หยุดกราดสายตาไปรอบๆ แล้วหันไปมองทางด้านหลัง อดยิ้มไม่ได้อึดใจก็เห็นเอกภพร่อนลงมา ณัชชายิ้มให้เอกภพเดินเข้ามาใกล้
“พอหายแล้วพุ่งฉิวเลยนะครับ”
“โทษที จะให้ฉันอุ้มมั๊ย”
“ให้ผมอุ้มองค์หญิงดีกว่า” เอกภพเดินเข้ามาใกล้ ณัชชายันหน้าอกไว้
“เราสัญญากับไกรยุทธ์กับนาฬิกาไว้ว่าจะไปให้ถึงจุดนัดพบตรงเวลา เราต้องรีบ”
ณัชชาหันแล้วพุ่งตัวออกไป เอกภพถอนหายใจอดยิ้มไม่ได้ รีบพุ่งตัวตามไป
เอกภพร่อนลงมาในราวป่าก็เห็นณัชชานั่งรออยู่ ตรงหน้ามีโต๊ะปูผ้าขาว มีอาหารวางอยู่หนึ่งที่ พร้อมแก้วน้ำเครื่องดื่มครบ เอกภพเดินเข้ามา
“ว้าว อะไรครับเนี่ย”
“ที่ผ่านมา มัวแต่ยุ่ง อดๆ ยากๆ ฉันเลยคิดว่าจะเลี้ยงคุณให้อร่อยซักมื้อ”
“แบบนี้ มนุษย์เค้าเรียกว่าออกเดทนะครับ”
“จะเรียกว่าอะไรก็ช่าง ถ้าไม่รีบอาจจะอดก็ได้ เรายังต้องเร่งเดินทางไปที่จุดนัดพบ”
เอกภพนั่งลงที่เก้าอี้
“แล้วองค์หญิงไม่ทานเหรอครับ”
“ฉันอิ่มทิพย์ ไม่ต้องทานอะไรเหมือนมนุษย์”
“อ้าว แต่ผมเห็นองค์หญิงทาน พิซซ่า ไอศกรีม”
“อ้าว ตอนนั้นก็ต้องมีแอคติ้งเป็นธรรมดา ไม่ยังงั้นจะเหมือนมนุษย์เหรอ”
“แต่องค์หญิงแอคติ้งได้ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะผมคิดว่าองค์หญิงเป็นนางฟ้าตั้งแต่เห็นครั้งแรกแล้วครับ”
ณัชชายิ้ม จ้องมองเอกภพ ที่ยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นแล้วยิ้มให้ พลันเห็นเอกภพตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน
เสียงอีการ้องก้อง เอกภพแหงนหน้ามอง
“ไอ้พวกนี้มาขัดจังหวะอีกแล้ว”
“ไปกันดีกว่าค่ะ”
ณัชชายื่นมือให้เอกภพ เอกภพคว้ามือณัชชาแล้วยืนขึ้น ทั้งสองต่างยิ้มให้กัน แล้วเดินออกไป
เทพอัครานั่งอยู่บนบัลลังก์ของอาคิน อาคินคุกเข่าตรงหน้า
“ข้าให้สาวกของข้าคอยติดตามองค์หญิงกับพวกทายาททุกฝีก้าว ไม่ว่าจะอยู่กาลเวลาไหนย่อมไม่พ้นมือข้าแน่นอน” เทพอัคราจ้องอาคิน ไม่พอใจเรื่องที่ได้ยิน “อีกทั้งข้ามีนาฬิกามนต์ สามารถเห็นพวกทายาทหรือองค์หญิงได้ ในทุกๆ เจ็ดวัน”
“แผนของเจ้าใช้เวลามากเกินไปไม่ทันการ”
“น้อมรับคำสั่งท่านพ่อ”
“ข้ามีแผนใหม่ สั่งพวกสาวกของเจ้าทั้งหลายให้เลิกติดตามองค์หญิง”
“ท่านพ่อจะทำอะไรข้าไม่เข้าใจ”
“สั่งพวกสาวกของเจ้า ให้จู่โจมพวกมนุษย์แทนเราต้องล่อให้พวกองค์หญิงณัชชาออกมา”
อาคินพยักหน้าเห็นด้วยอย่างตื่นเต้น
ท้องฟ้าเบื้องบนเต็มไปด้วยฝูงอีกาบินส่งเสียงร้องก้องกังวานไปทั่ว ฝูงค้างคาวบินออกมาจากถ้ำ ฝูงใหญ่บินกระจายส่งเสียงน่ากลัว พวกทหารผีดิบพม่าเดินลุยป่าผ่านไป พวกทหารผีดิบญี่ปุ่นเดินถือปืนลุยผ่านราวป่า พวกชายฉกรรจ์นุ่งผ้าคาดที่อาคินปลุกเสกไว้ เดินลุยราวป่า พวกทหารผีกรุงศรี เดินลุยตามป่า เทพอัคราหัวเราะเสียงดังก้อง
ปาระนังก้าวมาข้างหน้า สายตากราดไปมา
“มีการเคลื่อนไหวของคนจำนวนมากมาทางนี้”
“นาชะจะรีบพาบีมกับปิงปองหลบไปก่อน”
“ช้าไปแล้ว”
ปาระนังตวัดดาบสองสามครั้งแล้วชี้ปลายดาบไปที่บีมกับปิงปองที่หลับอยู่ ทันใดนั้นใบไม้จากต้นไม้ร่วงลงมากลบร่างของบีมกับปิงปองไว้จนหมด
“นาชะท่านถอยไป”
นาชะแวบหายไปปาระนังเตรียมพร้อม อึดใจก็มีร่างของชายฉกรรจ์วิ่งออกมาจากราวป่าสามคนแต่งตัวในสมัยสุโขทัย แต่ละคนมีอาวุธดาบทวนครบมือพร้อม ชายฉกรรจ์พรวดเข้ามาแล้วหยุดชะงักเมื่อเห็นปาระนัง ชายคนหนึ่งก้าวออกมา กราดสายตามองปาระนัง
“แม่นางท่านรีบหลบไปโดยเร็ว”
“ท่านต้องการอะไร”
“เกิดอาเพสบางอย่าง เหล่าคนตายไม่ยอมไปผุดไปเกิด ทำร้ายผู้คน”
“สาวกอาคิน”
ทันใดนั้นสาวกอาคินนับสิบ ก้าวออกมาจากราวป่า ล้วนเป็นผีดิบ
จบตอนที่ 12