ธิดาพญายม ตอนที่ 9
ทางด้านปาระนังและทายาททุกคน
“เราจะพบพี่ณัชชากับพี่เอกภพได้ยังไงคะ” นาฬิกาถามปาระนัง
“มีทางเดียวคือพบกันที่จุดสุดท้ายที่บ่งอยู่ในแผนที่”
“ได้หรือครับ ในเมื่อเราอยู่คนละกาลเวลา”
“ได้แน่นอน ถ้าเราต่างเดินทางไปที่จุดเดียวกัน”
“แล้วพี่ณัชชาจะไปถูกหรือคะ ในเมื่อไม่มีแผนที่”
“หรือว่าต้องให้พี่นาชะคอยประสานงาน”
“คงต้องเป็นเช่นนั้น จนกว่าเราจะคิดอะไรออก”
“หมายความว่ายังไงคะ ในเมื่อพี่นาชะสามารถส่งข่าวให้ทางพี่ณัชชาและพี่เอกภพรู้ก็ไม่น่าจะมีปัญหา”
“นาชะเดินทางได้ทั่วแดนก็จริง แต่ก็มีโอกาสที่จะคลาดเคลื่อนได้เช่นกัน”
“ยังงี้ก็ไม่ดีนะซิครับ”
“ให้พี่นาชะเอาแผนที่ไปให้พี่ณัชชากับพี่เอกภพไม่ได้เหรอคะ”
ปาระนังหันมามองปิงปองอย่างครุ่นคิด
“ไม่ได้หรอกค่ะ นาฬิกาแกล้งเอาแผนที่ไปล่ออาคิน พออยู่ในมือของอาคิน เส้นทางก็หายไปแผนที่ต้องอยู่กับทายาทเท่านั้นถึงจะเห็น”
“อ้าวเห็นได้ยังไง ต้องซ้อนกันสี่ผืนถึงจะเห็นไม่ใช่เหรอ”
“นาฬิกาก็คิดเช่นนั้น ถึงได้กล้าให้อาคิน แต่กลับมีเส้นทางอยู่บนแผนที่”
“หรือว่าหลังจากเส้นทางปรากฏแล้ว ก็ปรากฏอยู่บนแผนที่ของทุกคน”
“คงเป็นอย่างที่คุณไกรยุทธ์คาดการณ์”
“อีกอย่างก็คือแผนที่จะหาทางกลับมาหาทายาทไม่อยู่กลับใคร”
“เสียดาย น่าจะมีเครื่องถ่ายเอกสารติดมาด้วย”
“ปิงปองมีกระดาษกับดินสอนี่ น่าจะวาดแผนที่ได้”
ทุกคนหันมามองนาฬิกาอย่างตื่นเต้น
ทายาททั้งสี่เอาแผนที่มาดูก็เห็นว่าแผนที่ของแต่ละคนมีเส้นทางปรากฏจริงๆ
“คงเพื่อให้ทุกคนรู้เส้นทางเผื่อว่าต้องแยกกัน”
“น่าจะเป็นเช่นนั้น”
แต่แล้วเส้นทางในแผนที่เริ่มแปรเปลี่ยน
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมแผนที่ถึงเริ่มเปลี่ยน”
“ปิงปองเร็วเข้ารีบวาดแผนที่”
ปิงปองดึงสมุดออกมา พร้อมดินสออยู่ในมือ แต่ยังไม่ทันจะวาด ดินสอหลุดจากมือ วาดลงบนกระดาษอย่างรวดเร็ว
“แผนที่เปลี่ยนเส้นทางไปแล้ว”
“ไม่เป็นไร จุดสุดท้ายยังอยู่ที่เดิม”
“ดินสอวาดเสร็จแล้ว”
ปิงปองส่งแผนที่ให้นาฬิกา นาฬิการีบดูแผนที่ แต่แล้วกลับคาดไม่ถึง
“ทำไมแผนที่ไม่เหมือนกัน”
ปาระนังดูแผนที่ในกระดาษอย่างครุ่นคิดแล้วมองที่แผนที่ ของทายาททั้งสี่ สลับไปมาสีหน้าเคร่งเครียด
“ไม่เหมือนกันจริงๆ กลายเป็นคนละเส้นทางไปแล้ว”
“จบ แบบนี้ก็ไม่ต้องเจอกัน”
ทายาททุกคนต่างถอนใจ ราเชนเข้ามาใกล้ปาระนัง ตรวจแผนที่ในมือของปาระนังอย่างละเอียด
“เดี๋ยวก่อน แผนที่เปลี่ยนไปก็จริง แต่จุดหมายยังคงเดิม”
“ใช่แล้ว ท่านพี่หลักแหลมจริงๆ”
“อะไรคะ มีอะไรเหรอคะ”
ทายาททุกคนต่างตื่นเต้น
“แผนที่ของทายาทเปลี่ยนไปเพราะเราอยู่ต่างจากเวลาและสถานที่เดิม เส้นทางจึงกลายเป็นเส้นทางใหม่ของที่นี่ เวลานี้ แต่มุ่งไปยังจุดหมายเดียวกันกับแผนที่ที่เราทำให้เพื่อองค์หญิงณัชชา”
“พี่ณัชชาก็เดินไปตามแผนที่เดิม เพราะพี่ณัชชายังอยู่ที่เดิมเวลาเดิม เราก็เดินทางไปตามแผนที่ใหม่ เวลาใหม่”
“สุดท้ายก็ถึงจุดหมายเดียวกัน”
“เย้”
ทุกคนตื่นเต้นดีใจ ต่างตีมือกันยกใหญ่
“ดีใจอะไรกันจ๊ะ”
ทุกคนหันไปมองเห็นนาชะยืนอยู่ แต่ผมดูยุ่งเพราะบินผ่านหลายกาลเวลา
“อ้าวพี่นาชะ ทำไมหัวหูยุ่งไปหมด”
“ก็ต้องบินแวบผ่านหลายกาลเวลานี่จ๊ะ” ทุกคนต่างมองนาชะเงียบสีหน้าอึดอัดใจ “อย่าบอกนะว่ามีข่าวจะส่งถึงองค์หญิงอีก”
ทายาททุกคนต่างพยักหน้าพร้อมกัน นาชะถอนใจเฮือก
ราวป่าด้านณัชชากับเอกภพ บนท้องฟ้ามีฝูงอีกาบินว่อน ณัชชากับเอกภพ ต่างเคลื่อนตัวหลบตามพุ่มไม้หนา
แล้วมาหยุดที่ดงไม้หนาแห่งหนึ่ง ฝูงอีการ่อนบินอยู่ในบริเวณไม่ยอมไปไหน
“หรือว่าพวกมันสัมผัสเราได้ ไม่ยอมไปไหนเลย”
ณัชชากราดสายตามองบนท้องฟ้าเพ่งมองอยู่อึดใจ เอกภพกราดสายตารอบด้าน
“ท่าทางไม่ดี”
เอกภพหันมาทางณัชชา
“คุณคิดว่า”
“เร็วเข้า”
ณัชชาพูดจบก็วิ่งพรวดออกไป เอกภพยืนงง
“นึกจะไปก็ไป” ทันใดนั้นเสียงอีกาดังก้อง เอกภพหันไปก็เห็นฝูงอีกาบินพุ่งลงมา “เฮ้ย”
เอกภพรีบออกวิ่งตามณัชชาไปทันที ฝูงอีกาบินตามเป็นพรวน
ณัชชาวิ่งนำมาในราวป่าตามด้วยเอกภพ ผ่านต้นไม้พุ่มไม้หนาแต่ในที่สุดก็หลุดออกมาพ้นแนวป่าเป็นลานกว้างตรงหน้า ทันใดนั้นฝูงอีกาบินมาทันเข้าบินวนล้อมทั้งสองไว้ตรงกลาง ณัชชาสะบัดมือขึ้นมาเป็นปืนกลสั้นอยู่ในมือทั้งสองกราดยิงออกไปเสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว อีกากระเด็นกระจายสลายตัวเป็นควันหายไป เอกภพกราดปืนสั้นในมือยิงสาดออกไปเช่นกัน เสียงอีการ้องดังประสานเสียงปืน ในที่สุดก็ค่อยๆ สลายตัวเป็นควันหายไปหมด พอทั้งสองตั้งตัวได้ก็คาดไม่ถึง เพราะอาคินและเทพขวา ยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมด้วยภูตสังหารทั้งเก้า
“องค์หญิงณัชชา”
ณัชชากับเอกภพต่างขยับตัวระวังสายตาจ้องมายังอาคินกับภูตสังหารสถานการณ์คับขัน
“ท่านอาคิน ท่านคิดจะมอบหัวให้กับเรา”
“ง่ายไป คิดจะไม่ออกแรงเลยเหรอ”
“ได้ ด้วยความยินดี” ณัชชาตวัดมีดสั้นขึ้นมา ทันใดนั้นมีดสั้นกลายเป็นดาบยาวมีรังสีปรากฏ “รับดาบ”
ณัชชาสะบัดมือดาบพุ่งเข้าใส่อาคินอย่างรวดเร็ว อาคินคาดไม่ถึงแต่รีบสะบัดมือปล่อยพลังต้านดาบออกมา
แต่เอกภพสาดกระสุนปืนใส่จนอาคินเสียสมาธิ ดาบของณัชชากลับผ่านพลังของอาคินเข้าไปพุ่งหาอาคินอย่างแม่นยำ อาคินคาดไม่ถึง แต่แล้วร่างของเทพขวาพรวดเข้ามาตรงหน้ารับดาบของณัชชาเข้าเต็มๆ แล้วร่างเทพขวาก็ค่อยๆ จางกลายเป็นละอองสีเขียวลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ณัชชาตวัดมือดาบลอยเข้ามาอยู่ในมือ
“เทพขวาคงเบื่อหน้าท่านเต็มทีถึงได้ขอตัวไปก่อน”
“ภูตสังหาร”
ภูตสังหารทั้งเก้าเข้ามาล้อมณัชชากับเอกภพไว้
“จับตัวพวกมันมาให้ข้า จับเป็น”
ภูตสังหารทั้งเก้าบุกเข้าจู่โจมณัชชากับเอกภพอย่างรวดเร็ว ภูตสังหารแบ่งออกเป็นหกคนรุมณัชชา และ
สามคนเข้าจู่โจมเอกภพ เอกภพกราดยิงแต่ภูตสังหารไม่สะเทือนเกิดการต่อสู้ประชิดตัว เอกภพตบด้วยปืนตัวหนึ่งเซออกไป แต่อีกสองตัวเข้ามาใกล้ตบซ้ายขวาจนเอกภพต้องถอยกรูด
ทางด้านณัชชาตวัดดาบรังสีเข้าฟันใส่ภูตสังหารจนเข้าไม่ติด สายตากราดไปที่เอกภพ เห็นเอกภพกำลังเสียท่าจึงดีดตัวข้ามภูตสังหารหกตัวไปยังเอกภพ พอดีเอกภพถูกตบที่ไหล่ซ้ายกระเด็นมาทางณัชชาพอดี แต่ภูตสังหารเข้ามาขวางไว้อีก ณัชชาเห็นเอกภพบาดเจ็บหนักที่หัวไหล่ซ้ายร่างทรุดลง ณัชชาตวัดดาบฟันออกไป รังสีกระจัดกระจายใส่จน ภูตสังหารถอยออกไป ณัชชาหมุนตัวแล้วพุ่งเข้าชนเอกภพโครม แวบหายไปจากวงล้อมของภูตสังหาร
“ตามไป”
ภูตสังหารกลายเป็นควันดำพุ่งกระจายหายแวบไป อาคินมองตามด้วยความแค้น
ร่างของณัชชาประคองเอกภพแวบมาถึงหน้าผาแห่งหนึ่ง ควันดำภูตสังหารลอยพุ่งตามมาล้อมไว้
“ทางนี้เพคะองค์หญิง” ณัชชาหันไปตามเสียงก็เห็นนาชะกางปีกลอยอยู่กลางอากาศนอกหน้าผา “ประตูกลเพคะองค์หญิง”
“เราต้องโดด”
“โนเว”
เอกภพบอก ร่างของอาคินปรากฏขึ้น
“เยส เว”
ณัชชาคว้าร่างของเอกภพแล้วพุ่งออกไปนอกหน้าผาที่นาชะกางปีกลอยอยู่ ทันใดนั้นร่างเอกภพกับณัชชาแวบหายไป
“ลาก่อนท่านอาคิน”
ร่างของนาชะแวบหายไปเช่นกัน ทันใดนั้นหุบเขากลับกลายเป็นแนวป่า อาคินพึมพำด้วยความแค้น
“อีกเจ็ดวันเราต้องได้พบกันอีก”
ร่างของภูตสังหารกลายเป็นกลุ่มควันดำแล้วล้อมรอบอาคินจนในที่สุดวูบหายไปจนหมด
ณัชชากับเอกภพกลิ้งลงมาจากเนินหญ้าจนหยุดลงตรงที่ราบเรียบในที่สุด เอกภพขยับตัวนั่งถอนหายใจเฮือก ณัชชาก้าวเข้ามาทรุดลงดูที่บาดแผลตรงไหล่ซ้าย
“ผมไม่เป็นไร”
“กรงเล็บของภูตสังหารมีพลังกว่าที่คุณคาด”
“ผมไม่เป็นไรหรอกน่า”
ณัชชาเหล่แล้วเอานิ้วจิ้มเข้าที่หัวไหล่ เอกภพถึงกับตัวเอียงด้วยความเจ็บเผลอร้องออกมา
“ว่าไง เชื่อหรือยัง”
ร่างของนาชะปรากฏ
“เกิดอะไรขึ้น” นาชะเห็นไหล่เอกภพ “โอ กรงเล็บภูตสังหาร”
เอกภพขบกรามทนพิษบาดแผล ณัชชากับนาชะสีหน้าเคร่งเครียด
“บาดแผลที่ผมได้รับส่วนมากจะสมานหายได้เอง”
“ใช่ ยกเว้นบาดแผลจากกรงเล็บของภูตสังหาร เพราะภูตสังหารถูกสร้างขึ้นเพื่อให้มีอาวุธที่เหนือเทพทั้งปวง เพื่อการปราบปรามเทพชั่ว”
“หมายความว่า องค์หญิงก็...”
“ถูกต้อง ถ้าองค์หญิงถูกกรงเล็บของเทพสังหารก็บาดเจ็บได้เช่นกัน”
“ปรกติร่างกายของเทพมีพลังคุ้มกันไม่ได้รับบาดเจ็บง่ายๆ แสดงว่าคุณถูกพลังกรงเล็บภูตสังหารเข้าอย่างจัง”
“ไม่มีทางรักษาเหรอครับ”
“ฉันบอกว่าต้องได้รับบาดเจ็บ ไม่ได้บอกว่ารักษาไม่ได้”
“ฟิ้ว...โล่งอกไปที” นาชะอดขำไม่ได้
“แต่แน่นอน การรักษาทุกอย่างก็ต้องมีความเจ็บปวดบ้างเป็นธรรมดา”
“ผมรับได้ครับ ผมพร้อม”
“โอเค”
ณัชชาสะบัดมือ มีดสั้นปรากฏขึ้นมา เอกภพจ้องเกิดอาการเหล่เล็กน้อยสงสัย ณัชชาตวัดมีดสั้นกลายเป็นดาบพิชิตมารมีรังสีปรากฏ
“เอ้อ...คือ” ณัชชาพยักหน้า
“รังสีของดาบพิชิตมารสามารถรักษาบาดแผลจากกรงเล็บภูตสังหารได้”
เอกภพหน้าเหวอ สีหน้าไม่สู้ดี จ้องดาบพิชิตมารเขม็ง ออกลูกแหยงเหมือนเด็กกลัวเข็มฉีดยา ณัชชากับนาชะอดยิ้มไม่ได้
ปาระนังนั่งตรวจบาดแผลของราเชน ปิงปองเดินไปมาด้วยความกังวล บีมยืนอยู่ใกล้ๆ นาฬิกายืนอยู่กับไกรยุทธ์กราดสายตาระวังรอบด้าน
“ไม่รู้ว่าป่านนี้พี่นาชะเจอองค์หญิงกับพี่เอกภพแล้วหรือยัง”
“ถ้าเจอก็ต้องกลับมาหาเราแล้วซิถามได้”
ปิงปองเหล่บีมกอดอกแล้วเดินไปหานาฬิกา
“หวังว่าพี่นาชะคงไม่จ๊ะเอ๋กับอาคินซะก่อน”
“ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ พี่นาชะเก่งจะตาย”
ปาระนังกับราเชนเดินเข้ามาหาทายาททุกคน
“พี่ว่าเราออกเดินทางกันดีกว่า ยังไงพี่นาชะต้องตามเราทันอย่างแน่นอน”
อีกด้านหนึ่ง เอกภพมีสีหน้าสงสัย ไม่ค่อยเชื่อใจ
“เดี๋ยวก่อน รักษายังไงครับ”
“ก็แค่เอาดาบสัมผัสตรงบาดแผล ให้รังสีของดาบผ่านเข้าไป แต่ขอบอกว่าเจ็บทรมานพอสมควร” เอกภพ
พยักหน้าเข้าใจ
“เอ้อ...ไม่มียาสลบอะไรเลยหรือครับ” ณัชชาส่ายหน้า เอกภพถอนใจเฮือก “ถ้างั้นก็เชิญเลยครับ”
ณัชชาควงดาบฟึบๆ รังสีส่งประกาย
“นาชะพอช่วยได้ค่ะ คือให้คุณเอกภพตกอยู่ในห้วงรักโรแมนติกซักสองนาทีอาจพอทำให้ลืมความเจ็บปวดได้”
“นี่นาชะเจ้าไม่ต้อง...” ณัชชาพูดไม่ทันจบเพราะเอกภพรีบสวน
“เอาครับ ผมเอา ผมเป็นคนเจ็บ ต้องตามใจคนเจ็บ”
ณัชชาเหล่หงุดหงิด นาชะยิ้มสะบัดมือปล่อยผงสีชมพูออกมาคลุมร่างของเอกภพ แสงสีชมพูสว่างวาบ แล้วจางลงเป็นเหมือนหมอกสีชมพู เอกภพก้าวออกมาจากหมอกสีชมพู กราดสายตาไปทั่ว สายตาตื่นเต้นเพราะเห็นณัชชายืนอยู่ในสวนดอกไม้ที่สวยงาม
ในสวนสีชมพู เอกภพก้าวเข้าไปหาณัชชา
“องค์หญิง”
ณัชชาหันมาสีหน้าแปลกใจสงสัย
“คุณมาได้ยังไง”
“ผมมาหาองค์หญิงครับ องค์หญิงหายไปโดยไม่ล่ำลา”
“คุณเอกภพ คุณก็รู้ว่า...”
“ผมทราบ สวรรค์ไม่ยอมให้นางฟ้ารักกับมนุษย์ แต่ผมรับไม่ได้ ผมรักองค์หญิง”
เอกภพกอดณัชชาไว้ในอ้อมแขน ณัชชาจ้องสบตานิ่ง ใบหน้าทั้งสองเคลื่อนเข้าหากันจนในที่สุดริมฝีปากก็บรรจบกันก่อนจะถอยห่างจากหัน เอกภพจ้องณัชชาด้วยสายตาลึกซึ้ง อย่างมีความสุข
“เสียใจด้วย ฉันฝ่าฝืนกฎสวรรค์ไม่ได้”
ณัชชาบอกแล้วหันตัวก้าวออกไป เอกภพขยับตัวตามแต่ขาก้าวไม่ออก
“องค์หญิง...องค์หญิง”
ทันใดนั้นแสงวูบสว่างจ้าจนมองไม่เห็นแล้วกลับมาที่เนินหญ้า
“องค์หญิง”
“ฉันอยู่นี่ เรียกอยู่ได้” เอกภพรู้สึกตัวมองณัชชาอึดใจ หันไปมามองรอบตัวอย่างแปลกใจ “เรียบร้อยแล้ว”
“คือ อะไรครับ เรียบร้อย”
“อาการบาดเจ็บของคุณ หายเรียบร้อยแล้ว”
เอกภพยังเหมือนมึนเอามือจับที่ไหล่ซ้ายของตนก็พบว่าไม่มีบาดแผลอีกต่อไป
“แต่ผมเห็น...”
“คงเป็นฤทธิ์ยาสลบละอองชมพูของนาชะค่ะ” เอกภพพยักหน้าเข้าใจ “ภาพที่เห็นคือความรู้สึกที่อยู่ในห้วงลึกของหัวใจทำให้คุณเอกภพลืมความเจ็บน่ะค่ะ”
“ขอบคุณครับ ผมชอบยาสลบของนาชะมากเลย”
เอกภพกราดสายตามองณัชชา ณัชชาเหล่แล้วเดินออกไป เอกภพมองตามมึนตึบ
“อ้าว ทำไมองค์หญิงถึงเหล่ผมล่ะ”
“เผลอๆ องค์หญิงอาจเห็นภาพเดียวกับที่คุณเอกภพเห็นก็เป็นได้” นาชะบอกทำให้เอกภพดีใจ
“แน่ใจเหรอ”
“อืม...ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง องค์หญิงออกพลังสูง คิดว่าเห็นชัวร์”
นาชะยิ้มขยิบตาให้ เอกภพมองไปทางทิศของณัชชา ยิ้มอย่างสุขใจ
ที่ป่ามฤตยู แม่มดสาวันนานั่งสมาธิอยู่ในถ้ำของตน ทันใดนั้นลืมตาขึ้นเมื่อสัมผัสความเคลื่อนไหว ตรงหน้าคืออาคิน แม่มดสาวันนาถึงกับตกใจ
“ท่านอาคิน ท่าน...ท่าน...มีอะไรให้ข้ารับใช้”
“ข้าเพียงแต่อยากให้ท่านทำงานให้ข้าอีกหวังว่าท่านคงไม่ปฏิเสธ” แม่มดสาวันนาถึงกับพูดไม่ออก “ข้าถือว่าท่านรับปาก”
แม่มดสาวันนารีบพยักหน้าอย่างตื่นกลัว อาคินพยักหน้าอย่างพอใจ
นาชะยื่นแผนที่ให้ณัชชา
“นี่คือแผนที่ของทายาทเพคะ ดินสอของปิงปองวาดขึ้นมาให้เป็นเส้นทางไปถึงจุดที่กำหนด ท่านธิดาให้เดินทางไปพบกันที่นั่น องค์หญิงเก็บไว้หนึ่ง คุณเอกภพเก็บไว้หนึ่ง กันเหนียว”
เอกภพและณัชชารับแผนที่ไปเก็บไว้คนละแผ่น
“ขอบใจมากนาชะ เจ้ากลับไปดูแลทายาทให้ดี”
“เพคะ”
นาชะแวบหายไป ณัชชากับเอกภพต่างมองหน้ากัน
“ขอบคุณองค์หญิงที่...”
“ไม่ต้องเลย”
ณัชชาลุกพรวดออกไป เอกภพมองตามอดยิ้มไม่ได้
“โธ่ แค่ในความฝัน ไม่ได้จูบจริงๆ ซะหน่อย”
ปาระนัง ราเชนและทายาททั้งสี่ดินผ่านราวป่าออกมา
“เราพักกันที่นี่ก่อน”
ปาระนังบอก ทั้งหมดต่างพัก ทายาทเปิดเป้ของตนแต่แล้วก็ต้องตกใจเพราะในเป้ไม่มีอาหารอยู่เลย
“พี่ปาระนัง ทำไมในเป้ไม่มีอาหารแล้วครับ”
ปาระนังสีหน้าเคร่งเครียดสบตากับราเชนด้วยความสงสัย ค่อยๆ ม้วนฝ่ามือแล้วปล่อยมนต์ออกมา ทายาทต่างตรวจดูเป้ของตน ต่างมองหน้ากันแล้วส่ายหน้า ปาระนังคาดไม่ถึง
“ท่านพี่คิดว่ายังไง”
ราเชนสะบัดมือขึ้นมา ปรากฏมีคันธนูปรากฏ สะบัดมืออีกครั้งมีลูกธนูติดไฟปรากฏขึ้นมา ราเชนมีสีหน้าสงสัย
“แปลกมากพลังเทพประจำกายยังอยู่”
ปาระนังกระชากดาบตวัดไปมาเป็นพลังพุ่งเข้าใส่ต้นไม้ระเบิดล้มไป
“พลังประจำกายยังอยู่ แต่พลังมนต์กลับใช้ไม่ได้”
“เราเข้าสู่ดินแดนลี้ลับ ที่มนต์ใช้ไม่ได้”
“เห็นทีเราต้องหาเสบียงด้วยตัวเองซะแล้วจนกว่าจะพ้นดินแดนแห่งนี้ไป”
“เย้...ความจริงก็ดีนะครับ เปลี่ยนบรรยากาศ”
“เปลี่ยนบรรยากาศอะไรกันจ๊ะ”
ทุกคนหันไปมอง ร่างของนาชะปรากฏ
“เย้ พี่นาชะมาพอดี มนต์ของพี่นาชะล่ะ”
“มนต์อะไร ทำไม”
นาชะมองอย่างสงสัย
“ที่แท้เรื่องเป็นแบบนี้เอง ได้ลองดู”
นาชะสะบัดมือปล่อยพลังออกมาปรากฏเป็นละอองสีชมพูกระจายออกมาตรงหน้า ทุกคนต่างมองหน้ากัน
“มนต์ของพี่นาชะยังใช้ได้”
“แน่นอน พลังแห่งความรักปรากฏได้ทุกแห่งในจักรวาล”
ท่านพ่อองครักษ์ของพวกเราคงเห็นว่าพวกเราสบายเกินไปมั๊ง ถึงได้ให้เรามาอยู่ดินแดนที่ใช้มนต์ไม่ได้”
ทุกคนต่างยิ้มออกมาได้
“ถ้างั้น ทุกคนอยู่ที่นี่ เราจะไปล่าสัตว์มาเป็นเสบียง”
“ผมขอไปด้วยครับ” ไกรยุทธ์บอก
ราเชนหันมามองปาระนัง ปาระนังพยักหน้า
“ผมด้วย” บีมบอก
“โน โน พวกเธอที่เหลืออยู่รอที่นี่”
บีมหน้าจ๋อย ปิงปองกับนาฬิกาขำ นาฬิกาเดินไปที่ไกรยุทธ์
“คุณไกรยุทธ์ระวังตัวด้วย”
“ครับ อยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับผมจะจัดให้”
“โม้มากไปแล้ว”
ทั้งสองต่างยิ้มให้กัน ราเชนกระแอม
“พร้อมหรือยัง คัสซาโนวา”
ไกรยุทธ์กับนาฬิกาต่างเขินถอยห่างออกจากกัน ราเชนยิ้มแล้วออกเดินนำไป ไกรยุทธ์รีบเดินตามไป นาฬิกามองตาม
“แบบนี้ไม่ต้องใช้มนต์ของพี่นาชะแล้วมั้ง”
ทุกคนต่างยิ้มนาฬิกาเขิน
ไกรยุทธ์ตัดเนื้อไก่ป่าที่เสียบอยู่บนกิ่งไม้เหนือกองไฟ ส่งให้นาฬิกา
“นี่เหรอ เมนูพิเศษ”
ไกรยุทธ์ยิ้มให้
“เฮ่ ตลาดป่าวายพอดี ของหมดครับ”
“อร่อยเหมือนกันนะพี่นาฬิกา”
“แน่ละขอให้ได้กินก็อร่อยอยู่แล้ว”
บีมเหล่ ทุกคนต่างขำ บรรยากาศผ่อนคลาย ราเชนเดินเข้ามาหาปาระนังแล้วนั่งลงข้างๆ ทายาทต่างมองพยักเพยิดกันให้ดู ต่างยิ้ม
“อะแฮ้ม มองอะไรกันจ๊ะ เรื่องของผู้ใหญ่เด็กอย่ายุ่ง”
ปาระนังอดยิ้มไม่ได้ ทายาทต่างกินต่อทำไม่รู้ไม่ชี้
“ผมสำรวจเส้นทางมา ดูท่าไม่ค่อยดี” ราเชนบอกปาระนัง
“มีอะไรเหรอคะ”
“เรามีเส้นทางเดียว ต้องผ่านหุบเขาแคบ”
“ไม่เห็นเป็นไรนี่คะ”
“ปัญหาก็คือ มีหินร่วงลงมาตลอดเวลามีบางอย่างอยู่ในหุบเขาที่พี่ไม่สามารถจับสัญญาณได้ ยากที่จะผ่านไปโดยไม่มีพลังมนต์ช่วยหยุดเอาไว้”
ปาระนังมีสีหน้าเคร่งเครียด สายตามองทายาทที่กำลังนั่งกินเสบียงหยอกล้อกันกับนาชะโดยไม่รู้ถึงอันตรายที่จะต้องเผชิญ
“ไม่มีทางอื่นเลยเหรอคะ”
ราเชนส่ายหน้า
หน้าหุบเหวแคบมีก้อนหินร่วงลงมาจากยอดหุบเขาลงสู่เบื้องล่างเป็นระยะๆ
“โห หินหล่นแบบนี้ เราจะผ่านไปได้ยังไง”
ทุกคนจ้องไปยังหุบเขาข้างหน้าอย่างตื่นเต้น ปาระนังกราดสายตา
“ฝีมือเทพอาคินแน่นอน”
“ไม่น่าใช่ หินหล่นเพราะลมแรงจากด้านบน เรารอดูซักพักเผื่อว่าลมจะหยุด”
“เอ๊ะ เสียงอะไร”
“ไม่เห็นได้ยินนี่”
ราเชนกราดสายตาเงี่ยหูฟัง
“นาฬิกาได้ยินถูกต้อง ฝูงหมาป่า”
ทันใดนั้นเสียงเห่าหอนของหมาป่าดังขึ้นจนทุกคนได้ยิน ทุกคนต่างตกใจ เสียงหมาป่าทั้งเห่าทั้งหอนดังทั่วป่า
“ฝูงใหญ่มาก เกือบห้าสิบตัว”
“ผมไม่เคยได้ยินว่าฝูงหมาป่าอยู่รวมกันมากกว่าสิบตัวขึ้นไปแบบนี้ผิดธรรมดา”
“ก็เราอยู่ในที่ที่มันไม่ธรรมดาน่ะซิ มันถึงผิดธรรมดา”
ราเชนตวัดมือคันธนูปรากฏ พร้อมลูกธนูติดไฟอยู่ในมืออีกข้างหนึ่ง
“นาชะจะไปดูก่อน” นาชะแวบหายไป
“ทุกคนเตรียมพร้อม”
“เราจะสู้กับพวกหมาป่าเหรอ”
“เราต้องผ่านเข้าไปในหุบเขา”
ทันใดนั้นนาชะแวบกลับมา
“จริงอย่างที่ท่านราเชนคาด หมาป่าห้าสิบตัวกำลังใกล้เข้ามา”
“ไกรยุทธ์นำทุกคนเข้าไปในหุบเขา พี่จะคอยสกัดก้อนหินให้” ราเชนบอก
“เดี๋ยวก่อนมนต์ใช้ไม่ได้ แต่พลังใช้ได้ ทายาททุกคนลองใช้พลังสกัดก้อนหินดู” นาฬิกาบอก
“ตามมา”
ไกรยุทธ์เดินนำออกไป
“บีม ปิงปองไป พี่จะปิดหลัง”
บีมกับปิงปองวิ่งตามไกรยุทธ์เข้าไปในหุบเขา นาฬิกาวิ่งตามเข้าไป
“นาชะจะไปรอดูตรงทางออก”
นาชะแวบหายไป เสียงหมาป่าดังใกล้เข้ามา ราเชนตวัดธนูเล็งเข้าไปในหุบเขา แล้วปล่อยลูกธนูไฟออกไป ลูกธนูไฟแตก เป็นหลายดอกพุ่งเข้าปะทะก้อนหินที่ร่วงลงมาจากหน้าผาสลายตัวไป เปิดทางให้พวกทายาทวิ่งกันเข้าไป
“น้องปาระนังไปได้”
ปาระนังดีดตัวเข้าไปในหุบเขา เสียงหมาหอนดังใกล้เข้ามา ราเชนหันไปมองแล้วรีบพุ่งตามทุกคนออกไป
อ่านต่อเวลา 17.00น.
ธิดาพญายม ตอนที่ 9
ไกรยุทธ์วิ่งนำหน้าทุกคนเข้ามาในหุบเขา แล้วก็เห็นก้อนหินร่วงลงมาจากเบื้องบน ไกรยุทธ์หยุดแล้วตวัดมือปล่อยพลังออกไปกระแทกก้อนหินแตกกระจาย
“ทุกคนปล่อยพลัง”
ทายาททุกคนต่างปล่อยพลังสกัดก้อนหินที่ร่วงมาจากด้านบนแตกกระจาย แล้ววิ่งฝ่าออกไปราเชนยิงธนูไฟออกไปแตกแยกออกเป็นหลายดอก พุ่งเข้าสกัดก้อนหินหลายก้อนแตกกระจาย ปาระนังตวัดดาบปล่อยพลังน้ำกระจายออกไปสกัดก้อนหินที่ร่วงลงมาแตกกระจาย ต่างวิ่งไปข้างหน้า นาชะกระพือปีกบินรออยู่ตรงหน้า
“เร็วเข้าเกือบพ้นแล้ว”
นาชะร้องเร่งแล้วสะบัดมือเป็นละอองสีชมพูออกไป ก้อนหินที่ร่วงกลายเป็นลูกโป่งสีชมพูลอยขึ้นฟ้าไป จนในที่สุดทุกคนก็วิ่งผ่านช่วงที่ก้อนหินหล่นออกไปจนได้ ต่างยืนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่อย่างตื่นเต้น
“เราพ้นพวกก้อนหินบินแล้วเหรอ”
“น่าจะ ใช่มั้ยพี่นาฬิกา”
“เราพ้นแล้ว”
“แต่เรายังไม่ออกจากหุบเขาเลย”
ปาระนังกับราเชนและนาชะต่างช่วยกันกราดสายตาพยายามนิ่งจับความเคลื่อนไหวที่ผิดปรกติ
“แปลกมาก ทำไมก้อนหินถึงหยุดตก”
“ผมว่าคงเลยซอยหินตกมาแล้วมั้ง”
“ท่าทางไม่คอยดี เรารีบออกไปให้พ้นหุบเขาดีกว่า”
ทันใดนั้นเสียงครืนๆ ดังขึ้น
“โอ๊ะโอ”
ทันใดนั้นก้อนหินยักษ์ท่วมด้วยเปลวไฟขนาดเต็มความกว้างของหุบเขาท่วมกลิ้งออกมาจากหุบเขาตรงมายัง
ทุกคน
“โห หินยักษ์ ดูคุ้นๆ นะเนี่ย”
“ทุกคนวิ่งให้เร็วที่สุด”
“ตามมาเร็วเข้า”
นาชะฟึบกลายเป็นร่างเล็กบินนำไป ทุกคนวิ่งตามอย่างรวดเร็ว ปาระนังก้าวพรวดขึ้นมาสะบัดมือออกไปเป็นพลังน้ำพุ่งออกไปสกัดก้อนหินไฟยักษ์เอาไว้ เสียงดังตึมสนั่นหวั่นไหว น้ำกระจายออก แต่หินยักษ์วิ่งฝ่ากำแพงน้ำออกมา
“เราต้องไปแล้ว”
ราเชนคว้าปาระนังออกวิ่ง ก้อนหินไฟยักษ์กลิ้งตามไปติดๆ บนยอดเขามีร่างหนึ่งอยู่ในชุดขาวผมขาวอายุราวหกสิบยืนมองลงมาทางเบื้องล่าง ก้อนหินไฟยักษ์กลิ้งตามปาระนังกับราเชนไปติดๆ ตรงหน้าห่างออกไปคือพวกทายาท และห่างออกไปคือนาชะบินนำทางอยู่
“เร็วเข้า” นาชะบอกเมื่อเห็นทางออกอยู่ข้างหน้า ทั้งหมดวิ่งพรวดออกมาได้ทันท่วงที
ก้อนหินไฟยักษ์วิ่งเข้าชนปากหุบเขาจนถล่มระเบิดปิดทางจนหมดควันฟุ้งจนมองอะไรไม่เห็น
ทุกคนกลิ้งระเนระนาดอยู่บนพื้น แต่ปกคลุมด้วยสีชมพูของนาชะ ร่างของนาชะแวบปรากฏ ทั้งหมดค่อยๆ ขยับร่างลุกขึ้นมา ปัดเสื้อผ้าของตน
“ทุกคนเป็นยังไงบ้าง”
“ทุกคนปลอดภัยครับ”
“โอย นึกว่าไม่รอดซะแล้ว”
“ดีที่ได้ละอองของนาชะรับไว้ได้ทันท่วงที”
“ขอบใจนะพี่นาชะ”
“ด้วยความยินดี”
“เจอผงสีชมพูแบบนี้ ก็ต้องมีอินเลิฟน่ะซิ”
“ก็ให้เลิฟตัวเองไงล่ะ”
บีมเซ็งทุกคนต่างยิ้มขึ้นมาได้ สถานการณ์ดีขึ้น
“อะแฮ้ม มีคน”
ทุกคนหันไปมองก็พบร่างของชายชราผมยาวขาวในชุดขาว คนเดียวกับที่ยืนอยู่บนยอดผา ทุกคนต่างคาดไม่ถึง ปาระนังขยับตัวมาด้านหน้าพร้อมๆ กับราเชน ปกป้องพวกทายาททุกคนและนาชะไว้ทางด้านหลัง
“ท่านคือใคร”
“เรามารอพบทายาททั้งสี่”
ปาระนังกับราเชนต่างขยับตัวในมือปาระนังปรากฏดาบปลายแหลม ในมือราเชนมีมีดสั้น
“ท่านต้องผ่านเราก่อน”
“องครักษ์ทั้งสี่มอบหมายทายาทให้อยู่กับเราที่นี่จนกว่าเราจะเห็นสมควร”
“ทายาททั้งสี่มีภาระต้องเดินทาง เห็นทีต้องปฏิเสธความหวังดีของท่าน”
ชายผมขาวผงกศีรษะเป็นเชิงเข้าใจ แล้วเบี่ยงตัวผายมือเปิดทางผ่านให้
“เชิญ”
ทุกคนมองหน้ากัน ต่างระมัดระวัง ราเชนออกนำเดินผ่านชายผมขาวไป ตามด้วยทายาททุกคน นาชะและ
ปาระนัง ชายผมขาวมองตามสีหน้านิ่งเฉยเหมือนเดิม
ทั้งหมดเดินทางพ้นมาได้พักหนึ่ง
“เราน่าจะพ้นจากผู้เฒ่าไกลพอสมควร เราจะพักที่นี่ก่อน”
“ดีครับผ่านเหตุการณ์มาเยอะ ท้องเริ่มร้องแล้วครับ”
“พี่จะไปหาเสบียง”
“ผมไปเป็นเพื่อน”
“อืม...สถานที่นี้ไม่น่าไว้ใจ”
“ไกรยุทธ์อยู่ที่นี่ ช่วยดูพวกทายาทดีกว่า”
ไกรยุทธ์พยักหน้ารับ ทั้งหมดต่างแยกย้ายกันหาที่นั่ง
“สถานที่นี้มีบางอย่างผิดปกติ ทุกคนระวังรอบด้านด้วย”
“หวังว่าลุงผมขาวคงไม่โผล่มาอีก”
“เย้”
ทุกคนหันไปมองบีมเป็นตาเดียวก็เห็นในมือบีมมีช็อคโกแลตอยู่แท่งหนึ่ง
“เสบียงกลับมาในเป้แล้วครับ”
ทุกคนต่างตื่นเต้นเปิดย่ามของตน
“จริงด้วยค่ะ”
“เฮ้อ ค่อยยังชั่วหน่อย ไม่ต้องฟังเสียงท้องของบีมร้อง”
ทั้งหมดต่างตื่นเต้น ผ่อนคลาย ต่างหยิบของที่ตัวเองชอบออกจากเป้ของตน
“เราคงพ้นดินแดนประหลาดมาแล้ว”
ทั้งหมดต่างยิ้มออกมาได้ ต่างกินเสบียงอย่างเอร็ดอร่อย ปาระนังค่อยถอนใจโล่งอก พลอยยิ้มออกไปด้วย
“ท่านราเชนออกไปหาเสบียง เสียเวลาเปล่า นาชะออกไปตามดีกว่า”
“ไม่หรอกค่ะ มาโน่นแล้ว”
ร่างของราเชนดีดตัวกลับเข้ามา สีหน้าเคร่งเครียด ปาระนังผุดลุกขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นคะ”
“มีเรื่องแปลก ไม่มีร่องรอยของสัตว์ป่าเลย”
“ไม่เป็นไรครับ เสบียงกลับมาอยู่ในเป้มนต์เหมือนเดิมแล้วครับ”
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง พี่ไม่สามารถออกไปไกลเกินรัศมีห้าร้อยเมตร เหมือนมีกำแพงป่าล้อมอยู่ เราถูกกักอยู่ที่นี่ซะแล้ว”
ทุกคนต่างคาดไม่ถึง
“เป็นไปได้ยังไงคะ”
ราเชนส่ายหน้าสายตากราดรอบๆ
“พี่จะออกไปตรวจอีกครั้ง ทั้งสี่ทิศ”
“ให้นาชะออกไปตรวจดูจะเร็วกว่า”
“ไม่ได้หรอก นาชะไปได้ทุกแห่งอยู่แล้ว ถ้ามีกำแพงนาชะก็คงไม่รู้สึก ให้พี่ราเชนไปเหมาะที่สุด”
“จริงของท่านธิดา”
“ทุกคนระวังตัว”
ราเชนพูดจบก็ดีดตัวออกไป ปาระนังกับทุกคนต่างกระจายกันเป็นวงกลมระวังตัวรอบด้าน
ราเชนเคลื่อนตัวมาในราวป่า แต่แล้วก็ต้องหยุด เมื่อตรงหน้าพบกับร่างของชายผมขาวชุดขาวยืนอยู่
“ที่แท้ท่านนี่เอง ที่กักพวกเราไว้ที่นี่”
“เป็นหน้าที่ของเรา”
“ก็ได้”
ราเชนสะบัดมือ ในมือมีมีดสั้นปรากฏ แล้วพุ่งเข้าใส่ร่างของชายชุดขาว ชายชุดขาวสะบัดมือเข้าต้านเสียงดังโครมร่างของราเชนลอยกลับไป เช่นเดียวกับร่างของชายชุดขาวลอยไปข้างหลังแล้วร่อนลงหยุดกับพื้น
“คนของท่านพญายมฝีมือสูงยิ่งนัก เราไม่ต้องการแตกหักกับท่าน”
“ท่านควรถอยไปได้แล้ว”
ชายชุดขาวพยักหน้าแล้วแวบหายไป ราเชนกราดสายตามองรอบๆ สีหน้าเคร่งเครียด
ปาระนังมีสีหน้าเคร่งเครียด
“ปะทะกับชายผมขาว”
ราเชนพยักหน้า
“มีฝีมือเกินคาด”
“แล้วเรื่องกำแพงป่า”
“พี่สำรวจรอบด้านแล้ว ไม่สามารถผ่านออกไปได้”
ปาระนังกราดสายตาไปที่ทายาทและนาชะที่นั่งพักคุยกันอยู่ห่างออกไป
“ท่านพี่คิดว่าเราถูกกักอยู่ที่นี่แน่นอน”
“เราต้องเผชิญหน้ากับชายผมขาวแล้วเอาคำตอบให้ได้”
“หรือไม่ก็ฝ่าออกไป”
ปาระนังนำทางทายาทและนาชะออกมาจากแนวป่ามีราเชนปิดท้าย
“ผมคิดว่าเรากลับมาที่เดิม”
“ใช่ ผมจำตรงที่ผมนั่งได้”
บีมเดินไปยังจุดที่ตนเคยนั่งคราวที่แล้วปิงปองเดินไปด้วย
“ใช่แน่นอน”
“เกิดอะไรขึ้นคะ พี่นาชะ”
“มีบางอย่างที่คุมเราอยู่ที่นี่”
“ชายชุดขาวคนนั้นอีกหรือเปล่าคะ”
ทุกคนหันไปก็เห็นชายผมขาวยืนอยู่ตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว ปาระนังตั้งท่าระวัง
“ท่านผู้เฒ่าถ้าท่านไม่เลิกรา เราจะหักท่านออกไป”
“เรารับปากองครักษ์ทั้งสี่ว่าจะฝึกฝีมือให้ทายาท เราคงให้ท่านผ่านไปไม่ได้”
ราเชนปาระนังและทุกคนถึงกับคาดไม่ถึง
“ถ้ายังงั้นอย่าหาว่าล่วงเกิน
ปาระนังสะบัดดาบออกมาแต่ราเชนเอามือขวางไว้ปาระนังสงบลงได้
“เราเชื่อท่าน แต่ติดขัดอยู่อย่างเดียวทายาทต้องเร่งเดินทางไปยังจุดหมาย ตามเจตนารมณ์ขององครักษ์ทั้งสี่
เกรงว่าจะไม่มีเวลาพอ หวังว่าท่านคงเข้าใจ”
“หรือท่านจะขัดความประสงค์ขององครักษ์ทั้งสี่ที่ท่านอ้างว่ารู้จักดี”
“ท่านไม่ต้องกังวล ท่านจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหนจะไม่เสียเวลาของท่านแม้แต่อึดใจเดียว”
“ที่แท้ที่นี่คือดินแดนไร้กาลเวลา” ราเชนบอกอย่างตื่นเต้น
ชายชรานิ่งเชิดหน้าเป็นเชิงย้ำว่าใช่ ทุกคนต่างคาดไม่ถึงอีกครั้ง
“เราจะให้เวลาท่านตัดสินใจ”
ทันใดนั้นร่างของชายผมขาวค่อยจางหายไปในที่สุด ปาระนังกับราเชนได้แต่มองหน้ากันสีหน้าเคร่งเครียด
ทุกคนต่างยืนล้อมวงกัน ปาระนังเดินไปเดินมาสีหน้าครุ่นคิดแล้วหันมาทางราเชน
“ท่านพี่คิดว่าอย่างไร”
“พี่คิดว่าน่าจะเป็นไปได้”
ทายาททุกคนต่างตั้งใจฟัง
“แต่ทำไมเพิ่งคิดจะมาฝึกเอาตอนนี้ ทำไมไม่ฝึกตั้งแต่แรก”
“เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากจนไม่มีโอกาสที่ใครจะฝึกฝีมือให้กับทายาทได้ และถึงมีเวลาฝึกตอนนั้นก็คงจะไม่ประสบความสำเร็จ”
“เพราะทายาทยังไม่เชื่อสนิทใจ และไม่ได้พบกับอันตราย ความมุ่งมั่นคงมีน้อยมาก”
“ผมเห็นด้วยกับเหตุผลของพี่นาชะ”
“ตอนนี้ถ้าเราไม่มุ่งมั่นตั้งใจฝึกต้องเดี้ยงแน่ๆ”
“นายนั่นแหละจะเดี้ยงเป็นคนแรก”
บีมจ๋อยทุกคนยิ้มออกมาได้
“นาฬิกาคิดว่าพวกองครักษ์ท่านพ่อของพวกเราต้องวางแผนเอาไว้อย่างแน่นอน”
ปาระนังกราดมองหน้าทุกคน ทุกคนต่างพยักหน้าอย่างมั่นใจ
“ก็ได้ ตามนั้น”
ทุกคนต่างยิ้มให้กันอย่างตื่นเต้น
ปาระนังและทุกคนก้าวออกมาจากราวป่า กราดสายตารอบๆ แต่ไม่มีวี่แววของชายผมขาว
“ท่านผู้เฒ่า”
ไม่มีเสียงตอบไม่มีแม้แต่เงา
“ไม่รู้งีบอยู่หรือเปล่า”
ทั้งหมดกราดสายตารอบๆ
“ท่านตัดสินใจได้แล้ว”
ทุกคนหันไปก็พบชายผมขาวยืนอยู่ตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว
“เราเชื่อท่าน แต่ถ้าท่านมีเล่ห์กลเราพร้อมที่จะหักหาญแลกชีวิตกับท่าน”
ชายผมขาวพยักหน้า
“ที่แท้ท่านลุงเป็นคนนำพวกหมาป่าพวกนั้นมา”
“เราช่วยให้พวกท่านตัดสินใจผ่านเข้าหุบเขา”
“ก้อนหินไฟยักษ์ พวกเราเกือบไม่รอด ฝีมือท่านลุง” ชายผมขาวพยักหน้า
“ถ้าพวกท่านไม่รอดก็ป่วยการที่เราจะฝึกวิชาให้” ทุกคนถึงกับนิ่งแต่ต่างก็พยักหน้ารับว่าชายผมขาวพูดถูก “พวกท่านต้องออกไปด้านนอก มีเรากับทายาทเท่านั้นถึงจะบรรลุผลสำเร็จ”
“ไม่ได้”
ทั้งสองฝ่ายต่างจ้องประสานตากัน
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ปาระนัง พวกเราดูแลตัวเองได้”
ปาระนังค่อยสงบลงได้ หันมามองราเชนกับนาชะ ทั้งสองต่างพยักหน้าเป็นเชิงว่าโอเค
“ได้ เพียงแต่ท่านบอกทางออกแก่เร...”
ทันใดนั้นชายผมขาวสะบัดมือใส่ ปาระนัง ราเชน และ นาชะพลังสีหมอกพุ่งออกมาเสียงดังตึมควันหมอกกระจายขาวจนมองอะไรไม่เห็น
ควันหมอกสีขาวเริ่มจางลงเห็นร่างของปาระนัง ราเชนและนาชะยืนอยู่ที่ราวป่าด้านนอก
“แย่แล้ว ทายาท”
“ไม่เป็นไรหรอก เราต้องอยู่คอยระวังศัตรูด้านนอกอีกอย่าง นาชะไปได้ทุกแห่ง สามารถตรวจดูทายาทได้ตลอดเวลา” ปาระนังยิ้มออกมาได้
“จริงด้วย”
“ตาเฒ่าผมขาวไม่รู้ว่านาชะเจ๋งแค่ไหน ท่านธิดาวางใจได้”
นาชะวางมาดเข้ม ทั้งหมดต่างยิ้มหายกังวลในที่สุด
ที่ราวป่าอีกด้านหนึ่ง เอกภพนั่งตรวจความเรียบร้อยของปืนแล้วยกขึ้นเล็งตรวจดูศูนย์ สายตาเห็นณัชชายืนอยู่อีกทางกำลังดูแผนที่อยู่ ในมือพลางกราดสายตารอบๆ เอกภพลุกเดินเข้าไปหา ณัชชาเหลือบตามองเอกภพเหล่แวบนึงแล้วแกล้งหันไปสำรวจอีกด้านหนึ่ง
“ยังโกรธเรื่องภาพที่ผมเห็นอยู่อีกเหรอครับ” ณัชชาทำไม่รู้ไม่ชี้มองแผนที่แล้วหันไปมองอีกด้านหนึ่ง “ถ้าจะโกรธต้องโกรธคุณนาชะนะครับไม่ใช่ผม”
“ตามแผนที่ เราเพิ่งมาได้หนึ่งในสิบเท่านั้น”
“ผมไม่ได้คิดอะไรเลยนะครับ ความฝันออกมาเอง”
ณัชชาม้วนแผนที่สะบัดมือแผนที่หายไป แล้วหันมาเหล่เอกภพสีหน้าเคร่งเครียด
“ว่าอะไรนะ”
“เอ้อ เปล่าครับ”
ณัชชาชี้ไปทางด้านหน้า
“เราต้องไปทางนี้ ผ่านราวป่าข้างหน้าออกไป”
ณัชชาเดินออกไป เอกภพมองตามถอนใจ
“เฮ้อ ผู้หญิงโกรธง่ายหายยาก นางฟ้าหรือมนุษย์เหมือนกันหมด”
เอกภพเดินตามไป
ทั้งสองพรวดออกมาจากราวป่า ตรงหน้าคือแอ่งน้ำตกสวยงามปรากฏ
“ผมว่าเราน่าจะปิกนิกกันที่นี่นะครับ เผื่อว่าแช่น้ำเล่นล้างตัวให้สบายใจซะหน่อย” ณัชชากราดสายตาไปรอบๆ แล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้า สีหน้าสงสัย “พูดถึงอาบน้ำ ผมซักสงสัยเหมือนกันว่าเทพกับนางฟ้าอาบน้ำกันบ้างหรือเปล่า”
ณัชชาไม่สนใจกราดสายตารอบด้าน “คิดดูอีกทีถ้าไม่อาบคงแย่ เป็นถึงเทพถึงนางฟ้าแต่กลิ่นตัวหึ่ง” ณัชชาอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ฮั่นแน่ ผมเห็นองค์หญิงยิ้มแล้ว”
“นี่นายจะเอายังไง” ณัชชาหันมา
“ก็แค่หายโกรธผมก็พอ”
“โอเค ก็ได้ หายโกรธ”
“ตกลงนางฟ้ากับเทพอาบน้ำหรือเปล่าครับ”
“จะบ้าเหรอ ก็ต้องอาบนะซิ อาบแช่น้ำทิพย์ ไม่เคยเห็นในหนังหรือไง แต่ก็สามารถอาบด้วยมนต์ได้”
“โอเค เนื่องจากผมไม่มีมนต์องค์หญิงคงไม่ว่าถ้าผมจะขออนุญาตแช่น้ำล้างคราบสกปรกซะหน่อย”
“ตามสบาย”
เอกภพยิ้มแล้วเดินไปทางด้านหลังก้อนหินพุ่มไม้ ณัชชากราดสายตามองท้องฟ้าอีกครั้ง
“แปลกท้องฟ้าเงียบผิดปกติ”
เอกภพกำลังยืนแช่น้ำอยู่ใกล้น้ำตกอย่างสบายอารมณ์ ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่าแข็งแรง ทันใดนั้นกางเกงของเอกภพปลิวมาคลุมที่หัวโครมเอกภพคว้าออกจากหัวก็เห็นณัชชายืนอยู่ตรงหน้าบนฝั่งของน้ำตก
“เฮ้ แอบดูผมอาบน้ำเหรอ”
“ขึ้นมาได้แล้ว”
ณัชชาเดินออกไป เอกภพสีหน้าเซ็ง
เอกภพก้าวเข้ามาในบริเวณลานกว้าง เห็นณัชชายืนแหงนหน้ามองท้องฟ้าอยู่ ถัดมามีกองไฟ มีไก่ป่าย่างสุกเสียบไม้อยู่เหนือกองไฟ
“องค์หญิงแอบไปช็อปปิ้งตั้งแต่เมื่อไหร่”
“อยากปิกนิกไม่ใช่เหรอ”
เอกภพเดินไปที่กองไฟกระชากมีดมาเฉือนไก่มาใส่ปากเคี้ยว
“อืม...อร่อย แต่ว่าเค็มไปนิด”
“นี่”
“ใจเย็นครับ ผมแค่ล้อเล่น อยู่ในป่าแบบนี้องค์หญิงจะไปเอาเกลือมาจากไหน” เอกภพเฉือนไก่ส่งให้ณัชชา “อย่าบอกนะครับ ว่าไม่เคยทานอาหารมนุษย์”
“น้อยไป”
“จริงเหรอครับ สวรรค์มีอาหารมนุษย์ให้ชิมด้วยเหรอ”
“ชิมตอนมาถึงที่นี่ นาชะเป็นคนจัดการบนสวรรค์มีแต่ผลไม้ทิพย์ ไม่มีเนื้อสัตว์” ณัชชากินเนื้อไก่ แต่แล้วก็ทำหน้าเบ้เล็กน้อย “ เค็มจริงๆ ด้วย”
“ผมบอกแล้ว”
ณัชชาตวัดมือไปที่ไก่มีแสงฟึบเล็กน้อย
“น่าจะหายเค็มแล้ว”
“ผมนี่เสียมารยาทจริงๆ องค์หญิงอุตส่าห์ทำให้ทานแท้ๆ ยังจะบ่นอีก” เอกภพตัดไก่แล้วกิน “เป๊ะเลยครับ คราวนี้อร่อยสุดๆ”
เอกภพกุลีกุจอตัดอีกพลางส่งให้ณัชชาหนึ่งชิ้น ณัชชาส่ายหน้าเป็นเชิงว่าอิ่ม เอกภพใส่ปากเคี้ยวตุ่ย ท่าทางอร่อย ณัชชามองเผลอยิ้มอย่างพอใจ เอกภพตาเป็นประกาย
“ผมเพิ่งจะมีสาวทำกับข้าวให้กินเป็นครั้งแรกนะครับเนี่ย”
“คุณมีเวลาให้สาวทำกับข้าวให้กินด้วยเหรอ”
“เวลาผมมีอยู่แล้ว องค์หญิงคงไม่ทราบว่าสาวส่วนมากจะทำกับข้าวให้แต่แฟนทานเท่านั้น องค์หญิงทำกับข้าวให้ผมทานแสดงว่า...”
“เงียบก่อน” ทันใดนั้นท้องฟ้าก็ค่อยแปรเปลี่ยนเห็นเมฆเคลื่อนไหวเร็วแสงอาทิตย์ถูกบดบังอย่างรวดเร็ว ณัชชาลุกขึ้น
“สาวกของอาคิน”
ณัชชายืนกราดสายตามองรอบด้านสีหน้าเคร่งเครียด
“เฮ้อ ต้องมีเรื่องขัดจังหวะทุกที”
เอกภพลุกขึ้นตวัดปืนในมือขึ้นมาตรวจความเรียบร้อย
ณัชชากับเอกภพนั่งอยู่คนละด้านของกองไฟ เอกภพกราดสายตามองท้องฟ้าเบื้องบนที่มืดสนิท
“ยังไงมันก็มาแน่ๆ กองไฟจะทำให้เห็นพวกมันดีกว่า”
“ถ้าผมเดาไม่ผิดต้องเป็นฝีมือของอาคิน”
“ไม่น่าจะใช่ อาคินตามเรามาไม่ทัน ตอนนี้อยู่คนละเสี้ยวเวลากับเรา คงเป็นแค่พวกสาวกของมันมากกว่า”
“สาวกของมันสามารถทำให้กลางวันเป็นกลางคืนได้ด้วยเหรอครับ”
“สาวกของอาคินไม่ใช่แต่เป็นพวกผีดิบ ค้างคาว หรือ อีกาพวกนั้น อาจเป็นธรรมชาติ ต้นไม้ ใบหญ้า พระอาทิตย์ พระจันทร์อะไรต่อมิอะไรที่เราคาดไม่ถึง” เอกภพถึงกับเงียบไปได้แต่พยักหน้า “แต่จะอะไรก็ช่าง ให้พวกมันมาทางเรา ดีกว่าไปทางพวกทายาท”
ทันใดนั้นเสียงพรึบๆๆ ดังสนั่นมาแต่ไกล เอกภพขยับตัวยืนขึ้นกราดสายตามองบนท้องฟ้าเห็นเงาทมึนคล้ายเมฆก้อนหนึ่งเคลื่อนตัวเข้ามายังจุดที่ทั้งสองยืนอยู่ ณัชชาขยับตัวสะบัดมือพลันในมือมีคบไฟขึ้นมาหนึ่งคบโยนมาให้เอกภพ เอกภพรับไว้ได้ สายตากราดจ้อง
“พวกฝูงอีกา”
“เดาผิดเดาใหม่ได้”
เอกภพกราดสายตามองกลุ่มเมฆดำที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ ทันใดนั้นเสียงจี๊ดๆๆ แหลมดังขึ้นแสบแก้วหู
“ไอ้พวกค้างคาวผี”
ณัชชาสะบัดคบเพลิงในมือไปมา เอกภพทำตามบ้าง พวกมันบินพุ่งตรงเข้ามา ณัชชาสะบัดมือขวาอีกครั้ง ดาบพิชิตมารปรากฏ สาดรังสีสว่างจ้า สีหน้าเคร่งเครียดเตรียมพร้อม แต่แล้วพวกมันกลับตีวงวนรอบๆ เหนือหัวทั้งสอง
“พวกมันจะเอายังไงกันแน่”
“หรือว่าพวกมันไม่ชอบหน้าคุณแล้วบินที่อื่น”
“หล่อแบบนี้ผมว่าพวกมันต้องกลับมาชัวร์” ทั้งสองจ้องมองพวกมันเขม็ง ทันใดนั้นพวกมันบินวนลงมาอีก
“บอกแล้วไง”
พวกมันบินดิ่งลงมายังคนทั้งสองแต่แล้วพวกมันกลับกระจายออกหายไปหมด อึดใจก็ได้ยินเสียงตึบๆๆ ราวกับเสียงลูกมะพร้าวตกใส่พื้นดังสนั่นขึ้นถี่ยิบนับไม่ถ้วนทั้งสองกราดสายตาระวังเงี่ยหูฟัง
“เสียงเหมือนลูกมะพร้าวตก”
“ไม่ใช่หรอก เสียงพวกมันร่อนลงมา”
“โห...ตัวนิดเดียวทำไมลงดังขนาดนั้น”
“ก็เพราะว่าตัวมันไม่เล็กมั๊ง”
ทันใดนั้นคำตอบก็ปรากฏตรงหน้า ร่างสีดำนับสิบปรากฏ ลักษณะเท่าคนหน้าตาดำลำตัวดำเหมือนตกถังถ่าน แขนยาวมือเป็นกรงเล็บแหลมจมูกดำมีหนวดปากยุบยิบส่งเสียงร้องจี๊ดๆ
“ครึ่งมนุษย์ครึ่งค้างคาว”
“โว่ว...แบทแมนมาเอง”
ทั้งสองต่างยื่นคบเพลิงกวัดแกว่งไปมา เตรียมพร้อม
พวกมันเคลื่อนไหววูบวาบเร็วส่งเสียงจี๊ดๆ เหมือนเสียงค้างคาวแต่แล้วพอมันแยกเขี้ยวปากกว้างคำราม กลับส่งเสียงดังก้องแสบแก้วพวกมันต่างบุกเข้าจู่โจม ณัชชาตวัดดาบฟัน พวกมันกระเด็นไป เอกภพตวัดคบเพลิงในมือไปมาพร้อมสาดปืนยิงเสียงดังสนั่นหวั่นไหว พวกมันเด้งออกไป ชั่ววูบก็หายกลมกลืนกับความมืดไปหมดทั้งสองกราดสายตามองทุกอย่างเงียบสงบ
“พวกมันเร็วยิ่งกว่าเงา ผมมองไม่เห็นอะไรเลย”
เอกภพตวัดคบไฟไปมา
“ขืนสู้มันแบบนี้ เราเสร็จแน่”
ณัชชากราดสายตามองรอบๆ และหยุดตรงด้านหนึ่ง
“เราต้องเคลื่อนไปที่โน่น มีกอไผ่อยู่ตรงหน้า”
เอกภพกราดสายตาไปมา คบไฟในมือกวัดแกว่งระวัง
“องค์หญิงมองเห็นในความมืดด้วยเหรอครับ”
“นี่...ให้มันรู้ว่าใครเป็นใครมั่ง ตามมาเร็วเข้า”
ณัชชาพรวดออกไป เอกภพตามไปติดๆ
ณัชชาตวัดดาบเป็นแสงจ้า วิ่งนำเอกภพไปยังกอไผ่ เอกภพวิ่งตามตวัดคบไฟในมือไปมา ทันใดนั้นเห็นเงา
วูบวาบตามด้วยเสียงร้องจี๊ดดังขึ้นสนั่นหู เงาร่างของพวกมันนับสิบออกมาจู่โจม ณัชชาวิ่งตวัดดาบฝ่าพวกมันไป เอกภพยิงสาดทุกเงาที่แวบเข้ามากระเด็นไป เสียงพวกมันร้องโหยหวนน่ากลัว ในที่สุดทั้งสองคนวิ่งพรวดเข้าไปในดงไผ่
ทั้งสองถือคบไฟสาดจ้าในดงไผ่ ณัชชาสะบัดดาบในมือกลายเป็นมีดสั้นกระชับมือเหมาะสำหรับใช้ในที่แคบ เอกภพขยับปืนในมือไปมาตรงหน้าเตรียมพร้อม ทันใดนั้นพวกมันโผล่พรวดเข้ามาใส่เอกภพใบหน้ามันห่างจาก
เอกภพแค่ศอกเพราะมีต้นไผ่ขวางอยู่ เอกภพส่องเปรี้ยงๆๆ เข้าให้พวกมันกระเด็นหายไป จากนั้นพวกมันก็บุกเข้ามารอบๆ ตัวหนึ่งพรวดเข้ามาได้ครึ่งตัว ยื่นแขนยาวเข้ามา ณัชชาใช้คบไฟปัดแล้วตวัดมีดเข้าใส่จนพวกมันเข้าไม่ติด เอกภพสาดกระสุนใส่เปรี้ยงๆๆ ในที่สุดพวกมันหายไปจนหมด ทั้งสองกราดตามองอึดใจใหญ่ ไม่มีวี่แววว่าพวกมันจะโผล่มาอีก
แสงจากคบไฟแกว่งไปมาตรงหน้ากอไผ่ เอกภพเพ่งสายตามองด้านนอก
“ผมว่าพวกมันกลับบ้านนอนกันหมดแล้ว”
“คุณลองออกไปตรวจดูซิ ฉันจะรออยู่ที่นี่”
“เฮ่...ผมว่าผมอยู่ตรงนี้ก็ดีเหมือนกัน”
“นึกว่าจะแน่”
“ผมแค่ลองเช็คดูว่าองค์หญิงจะส่งผมออกไปหรือเปล่า นึกไม่ถึงว่าองค์หญิงก็ห่วงผมเหมือนกัน”
“โน เปล่าเลย”
“โห นึกว่...”
เสียงจี๊ดดังขึ้นมาอีกทั้งสองกราดคบไฟสูง พวกมันบินวนอยู่รอบๆ ส่งเสียงดังแสบแก้วหูกลายเป็นพวกตัวเล็กๆไป
“ไอ้ตัวใหญ่ไป ไอ้ตัวเล็กมา ผมคงต้องติดอยู่ที่นี่กับองค์หญิงตลอดไปนานเท่านาน”
เอกภพยิ้ม ณัชชาเหล่ กราดตาสำรวจสีหน้าสงสัย
“ใกล้เช้าแล้วมีแสงเมื่อไหร่ เราจะฝ่าออกไป”
“โห...รังเกียจผมขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“นี่ พวกมันไม่ได้บินวนส่งเสียงชมความหล่อของคุณหรอกมันส่งสัญญาณให้เทพอาคินมาที่นี่ เข้าใจไว้ซะด้วย”
เอกภพยิ้มสีหน้ามีความสุข “ดีใจที่จะเจออาคินเหรอไง”
“ดีใจที่องค์หญิงว่าผมหล่อครับ”
ณัชชาเหล่อย่างแรง แล้วเมินกราดสายตามองไปรอบๆ เอกภพยิ้มชอบใจ
ธิดาพญายม ตอนที่ 9
เช้าวันรุ่งขึ้น ณัชชารู้สึกตัวขึ้นมา กระพริบตาเรียกความทรงจำ พอหันไปถึงกับเขินเพราะตัวเองนอนพิงไหล่ของเอกภพซึ่งหลับอยู่เช่นกัน ณัชชากราดสายตามองรอบๆ เห็นพวกค้างคาวยังบินวนอยู่รอบกอไผ่ ณัชชาขยับตัวลุกขึ้นทำให้เอกภพรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วย
“ขอโทษ ผมไม่น่าเผลอหลับ”
“คุณหลับยังเป็นเรื่องปกติ นึกไม่ถึงว่าฉันจะหลับไปได้”
“องค์หญิงก็มีสิทธิ์เหนื่อยได้เหมือนกันนี่ครับ”
“ฉันเป็นเทพมีพลังสามารถอยู่ได้หลายวันโดยไม่ต้องหลับ” ณัชชากราดสายตามองรอบๆ “มีบางอย่างผิดปกติ”
“ผมพอเดาออก”
“ว่ามา...”
“เป็นเพราะไหล่อันอบอุ่นของผม ที่ทำให้องค์หญิงหลับสบาย”
ณัชชาอดยิ้มไม่ได้ แล้วกราดสายตามองหาพวกมัน สูดหายใจเบาๆ เหมือนสัมผัสสิ่งรอบตัว
“เป็นแบบนี้เอง เราถึงหลับกันเป็นตาย”
ณัชชามีสีหน้าเคร่งเครียด
เอกภพมีสีหน้าสงสัย
“เป็นแบบนี้ คือเป็นแบบไหนครับ”
“มันปล่อยมนต์บางอย่างสะกดให้เราหลับ ตอนนี้หายไปเกือบหมดแล้ว” เอกภพทำท่าสูดกลิ่นบ้างแต่ส่ายหน้าไม่ได้กลิ่นอะไร ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมมองทีท่าของณัชชา “เราต้องรีบเคลื่อนย้ายตำแหน่งก่อนที่อาคินจะจับพลังของพวก
มันโผล่มาที่นี่”
“ขอเวลาแป๊บนึงได้มั้ยครับ”
“นี่...อย่าบอกนะว่าจะนอนต่อ”
“เปล่าครับคือไหล่ผมชาขยับไม่ไหว เพราะศีรษะขององค์หญิงหนักน่าดู” ณัชชาค้อน
“คุณนี่บ้าจริงๆ” ณัชชาพูดพลางยื่นมือส่งให้ เอกภพยิ้มยื่นมือมาคว้ามือของณัชชาเหนี่ยวตัวขึ้นมายืนท่าทางทะมัดทะแมง
“ขอบคุณที่ถ่ายทอดพลังให้ผม”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรซะหน่อย”
“แค่นี้พลังผมก็กลับมาแล้วครับ”
“พอไม่มีใครอยู่ ละก็ออกลายเลยนะ” เอกภพสีหน้าจริงจัง
“ก็ผมมีพลังกลับมาจริงๆ นี่ครับ คงเป็นเพราะว่าหัวใจ”
“พอ พอ พอ อย่าให้มากนัก ฉันกลัวจะมีสาวๆ มาช่วยกันรุมตบฉัน”
“ความจริงมาก็ดีนะครับ”
“มีความสุขที่ผู้หญิงตบกันแย่งคุณ”
“เปล่าหรอกครับ ผมอยากเห็นสาวๆ พวกนั้นถูกองค์หญิงตบกระจายมากกว่า จะได้เข็ด” ณัชชาเหล่ เอกภพยิ้มตวัดปืนขึ้นมาตรวจ “ผมพร้อมแล้วครับ”
ณัชชาเหล่ ทันใดนั้นเสียงพวกมันดังขึ้นอีกพร้อมบินวนมาฝูงใหญ่
“ดูท่าพวกมันก็พร้อมเหมือนกัน”
ณัชชาสะบัดมือขึ้นมามีปืนกลสั้นอยู่ในมือ เอกภพมองแล้วพยักหน้าว่าเจ๋ง
ที่ดินแดนไร้กาลนาฬิกากับไกรยุทธ์กำลังต่อสู้กันอยู่ ทั้งสองอยู่ในชุดรัดกุม ทั้งเตะต่อยรุกและรับ ตีลังกาข้ามหัว จนกระทั่งมีตอนหนึ่งฝ่ามือปะทะกันเสียงดังตึม ร่างของทั้งสองต่างถูกแรงกระแทกถึงกับไถลถอยหลังห่างออกไปคนละสามสี่เมตร นาฬิกายืนหยัดได้ แต่ไกรยุทธ์เซทรุดลงไปกับพื้นนิ่งสนิทนาฬิกาเห็นตกใจคาดไม่ถึงรีบเคลื่อนไหวเร็วพรวดไปดูไกรยุทธ์ นาฬิกาเอาศีรษะไกรยุทธ์พาดไว้ที่ตักไกรยุทธ์ยังนิ่งไม่ได้สติ
“คุณไกรยุทธ์ คุณไกรยุทธ์”
ไกรยุทธ์นิ่งสนิท นาฬิกาเอามือทาบที่อกด้านซ้ายก้มตรวจดู ทันใดนั้นมือของไกรยุทธ์มาทับมือของนาฬิกา
นาฬิกาเงยหน้าขึ้นมองเห็นไกรยุทธ์ยังคงหลับตาอยู่ นาฬิกาจ้องเขม็งแต่แล้วก็เห็นรอยยิ้มของไกรยุทธ์ปรากฏ
นาฬิกาเหล่แล้วทุบเข้าให้ ไกรยุทธ์หัวเราะคิกคัก นาฬิกาอดยิ้มไม่ได้รัวฝ่ามือเข้าใส่ ไกรยุทธ์ปัดป้องพัลวัล
“นิสัยไม่ดี นี่ๆๆ”
ไกรยุทธ์คว้ามือนาฬิกาไว้ได้
“ก็ผมถูกพลังของคุณนาฬิกากระแทกจริงๆ นี่ครับ”
นาฬิการัวฝ่ามือต่อแต่ไกรยุทธ์คว้าจับไว้ได้อีก
“เป็นไปได้ยังไง อาจารย์บอกว่าพลังของเราสองคนสูสีเท่ากัน”
“ก็วันนี้คุณนาฬิกาสวยจนผมเสียสมาธิ”
“แล้ววันอื่นไม่สวยเหรอ”
“อ้าว...ซวยแล้วผม” นาฬิกาอดขำไม่ได้ไกรยุทธ์ดึงมือเข้ามาใกล้ “สวยทุกวันเลยครับ”
ทั้งสองต่างสบตากัน ต่างยิ้มให้กันโรแมนติค แต่ทันใดนั้นไกรยุทธ์ยกนิ้วส่งซิก นาฬิกาเข้าใจ ไกรยุทธ์ขยับตัวกราดสายตารอบเห็นพุ่มไม้เคลื่อนไหว ทั้งสองดีดตัวลุกขึ้นระวัง ทันใดนั้นคาดไม่ถึงร่างของนาฬิกาอีกคนหนึ่งก้าวออกมาจากพุ่มไม้
“พี่ไกรยุทธ์ระวัง” นาฬิกาคนใหม่ร้องเตือน นาฬิกากับไกรยุทธ์ต่างมองหน้ากัน แล้วต่างมองนาฬิกาคนใหม่เขม็ง “แกเป็นใคร บังอาจสวมรอย”
ไกรยุทธ์จ้องอย่างพิจารณา
“แกนั่นแหละ สวมรอย”
ไกรยุทธ์สะบัดมือปล่อยพลังออกไป ร่างของนาฬิกาคนใหม่กลับแวบหายไปโผล่อีกด้านหนึ่ง
“ฝีมือยังอ่อน”
ไกรยุทธ์กับนาฬิกาต่างขยับตัวประจันหน้า
“คุณนาฬิกา เรามารวมพลังกันจัดการกับมัน”
ไกรยุทธ์กับนาฬิกาตั้งท่าสะบัดมือขึ้นพร้อมกัน
“เดี๋ยวก่อน”
ทันใดนั้นร่างของนาฬิกาคนใหม่ก็เริ่มสั่นเป็นร่างสองสามร่างซ้อนกันแล้วรวมตัวกันปรากฏเป็นร่างของบีม
“โห...ใจคอจะฆ่ากันเลยเหรอพี่”
ไกรยุทธ์กับนาฬิกาต่างเหล่ใส่บีม บีมยิ้มชอบใจ
ทางด้านเอกภพกับณัชชา เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว เอกภพกับณัชชาวิ่งพลาง ถอยพลาง ยิงพลางกับฝูงค้างคาวที่บินโฉบเฉี่ยวลงจู่โจม ทั้งสองพุ่งตัวข้ามพุ่มไม้หลบฝูงค้างคาวที่โฉบลงมาผ่านหัวไป พลางยิงสาดตามถูกพวกมันกระจายส่งเสียงร้องจี๊ดดังแสบแก้วหู ทั้งสองซุ่มตัวรอพวกมันบินกลับมาอีก
“ผมนึกว่าค้างคาวเช็คอินนอนกลางวันซะอีก”
“ค้างคาวของอาคินไม่มีวันหลับไม่มีวันนอน”
เอกภพกราดสายตามองฝูงค้างคาวที่บินวนจำนวนมากที่เริ่มตีวงกลับเข้ามาอีกรอบหนึ่ง พลางขยับปืนทั้งสองข้างพร้อม
“ผมไม่เห็นไอ้ตัวใหญ่เลย”
“ถ้าเดาไม่ผิดตัวใหญ่คงเป็นพวกเวรกลางคืนพวกมันหายไปก่อนรุ่งเช้า คงต้านแสงแดดไม่ไหว”
“น่าเสียดาย น่าจะมาด้วยกันจะได้สนุกขึ้นอีกหน่อย”
“เลิกโม้ได้แล้ว” ณัชชาพูดจบก็สาดกระสุนเข้าใส่พวกมันเปรี้ยงๆๆ เอกภพช่วยยิงสาดเข้าใส่เสียงพวกมันร้องจี๊ดจ๊าดดังแล้วกระจายบินขึ้นไปบนท้องฟ้าทั้งสองจ้องกราดพวกมันที่มันบินวนอยู่ด้านบน “ตามมา”
ณัชชาพรวดออกไป เอกภพกราดสายตามองพวกฝูงค้างค้าวที่เริ่มดิ่งลงมาแล้ววิ่งตามณัชชาไป ฝูงค้างคาวดำมืดดิ่งเข้าหาคนทั้งสองจนนัวเนียไปหมดส่งเสียงจี๊ดจ๊าดดังก้องป่า ทั้งสองต่างวิ่งหนีไปยิงไปพวกมันยิ่งเพิ่มมากันมืดฟ้ามัวดิน ทั้งสองหยุดหันหลังชนกันแล้วสาดกระสุนใส่พวกมันที่บินวนรอบตัวพวกมันแตกกระจายไปอีกครั้งแต่บินขึ้นไปรวมตัวกันใหม่ ทั้งสองจ้องพวกมันเขม็ง
“ขืนติดพันกันแบบนี้ เราต้องจ๊ะเอ๋กับอาคินแน่ๆ”
“เราต้องสลัดพวกมันให้พ้น”
“ทางนี้เร็วเข้า”
ทั้งสองหันไปก็เห็นสาวสวยคนหนึ่งอายุประมาณยี่สิบกว่าๆ แต่งชุดรัดกุมสีขาวยืนอยู่ตรงราวป่าด้านหน้าณัชชากับเอกภพต่างมองหน้ากันคาดไม่ถึง
“ยังไม่รีบตามมาอีก”
สาวชุดขาวตะโกนแล้ววิ่งออกนำหน้าไป ณัชชากับเอกภพมองหน้ากัน
“นี่คุณแอบไปนัดสาวมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
ทันใดนั้นเสียงพวกมันร้องดังพร้อมดิ่งลงมาอีก
“ผมว่าเราตามไปก่อนดีกว่านะครับ”
“กู๊ดไอเดีย”
ณัชชาพรวดออกไป เอกภพกราดปืนใส่ฝูงค้างคาวที่ดิ่งลงมาเปรี้ยงๆๆ แล้วดีดตัวตามณัชชาไปติดๆ ทั้งสองวิ่งมาอึดใจ ก็เห็นราวป่าสีเขียวตรงหน้าเต้นได้เหมือนวุ้น สาวชุดขาวพรวดหายเข้าไป ณัชชาหมุนตัวกลับตวัดปืนในมือสาดกระสุนเข้าใส่พวกค้างคาวต้านมันไว้ พลางตะโกนบอกเอกภพซึ่งกำลังวิ่งตามมา
“มีกำแพงอยู่ข้างหน้า รีบเข้าไป”
ณัชชากราดกระสุนเข้าใส่ฝูงค้างคาวซึ่งบินพุ่งเกือบถึงหลังเอกภพอยู่รอมร่อกระเด็นออกไป เอกภพมาถึงแทนที่จะผ่านไปกลับพุ่งพาร่างของณัชชาหายเข้าไปในกำแพงป่าสีเขียวที่เต้นได้ ฝูงค้างคาวบินมาถึงปรากฏว่าบินชนกำแพงหล่นกันระนาว ที่เหลือบินวนอยู่ตรงหน้ากำแพง
ร่างของเอกภพกับณัชชาปลิวกลิ้งบนพื้น เอกภพม้วนตัวขึ้นมากลายเป็นณัชชาอยู่บนร่างของตนทั้งสองคาดไม่
ถึง เพราะมีสาวสาวอายุไล่เลี่ยกับณัชชาร่วมสิบคนยืนรายล้อมอยู่ ทั้งหมดแต่งตัวในชุดผ้าสีน้ำตาลรัดกุมกำลัง
มองคนทั้งสอง ณัชชากับเอกภพต่างมองหน้ากันอย่างแปลกใจ
“แฟนคลับผมเอง”
ณัชชาขยับตัวลุกขึ้นมาจากร่างของเอกภพ เอกภพรีบลุกตาม สาวๆ ต่างยิ้มกันคิกคัก
“เราอยู่ที่ไหน”
สาวสวยไม่ทันได้เพราะมีเสียงหนึ่งดังขึ้นซะก่อน
“ยินดีต้อนรับองค์หญิงสู่เมืองลับแล”
สาวสวยต่างแยกเปิดทางออก ท่านหญิงสวยรูปร่างสง่าอายุราวสามสิบหน้าตาสวยงามในชุดรัดกุมสีขาวบน
ศีรษะเหมือนมีมงกุฎเป็นเส้นเล็กๆ สวมอยู่มี ขบวนสาวแต่งกายรัดกุมสีขาวเดินตามมาสี่คน เอกภพกับณัชชาได้แต่มองหน้ากันอย่างตื่นเต้น
ที่ดินแดนไร้กาลเวลา บีมเหล่ใส่นาฬิกากับไกรยุทธ์
“ล้อเล่นแค่เนี๊ยะ ทำซีเรียส โชว์พาวไปได้”
“ก็อยากมาขัดจังหวะนี่”
นาฬิกาขำ ไกรยุทธ์กับนาฬิกาเดินเข้ามาหาบีม
“เอาปิงปองไปไว้ที่ไหนล่ะ”
“อยู่นี่”
ทั้งหมดหันไปก็เห็นบีมอีกคนยืนอยู่ แล้วก็เห็นบีมซ้อนกันอีกรวมตัวกันเป็นร่างของปิงปอง ปิงปองยิ้มแล้วเดินเข้ามา
“ไหนว่ามาฝึกวิชาไง จะฟ้องอาจารย์ว่ามากุ๊กกิ๊กกัน”
“อ๋อเหรอ งั้นเราต้องปิดปาก ปล่อยไว้ไม่ได้”
“ใช่แล้ว”
นาฬิกาพูดจบก็แวบเข้ามาคว้ากอดปิงปองไว้ได้ ทั้งหมดต่างหัวเราะกัน สนุกสนาน
“มีคนมา”
ทั้งหมดต่างเตรียมพร้อมทันใดนั้นร่างของนาชะปรากฏ
“ที่ไหนมีความรัก ที่นั่นมีนาชะ”
“พี่ราเชนกับพี่ปาระนังให้พี่มาตรวจดู พวกเราว่าฝึกวิชากันไปถึงไหนแล้ว”
“พวกเราก้าวหน้ามากเลยครับผมกับนาฬิกาฝึกการต่อสู้และการเคลื่อนไหว”
“และกุ๊กกิ๊ก”
ทุกคนต่างขำกัน นาฬิกายิ้มเขิน
“อันนั้นพี่รู้อยู่แล้ว แล้วบีมกับปิงปองล่ะ”
“บีมกับปิงปอง อาจารย์สอน วิชาแปลงตัว พรางตัวและวิ่งเร็ว”
“อาจารย์บอกว่าเราเป็นเด็กยังควบคุมจิตใจไม่ได้เต็มร้อย เลยไม่อยากให้ต่อสู้ ทำร้ายใคร เดี๋ยวจิตใจจะโหดร้ายกู่ไม่กลับ”
“ดีแล้วล่ะ เด็กสมัยนี้จิตใจโหดร้ายอย่างคาดไม่ถึง มีเรื่องนิดเดียวถึงกับฆ่ากันตายพวกนี้ไม่รู้ตัวว่าทำให้พ่อแม่ต้องตกนรกทั้งเป็น”
“พี่นาชะได้ข่าวพี่ณัชชากับพี่เอกภพบ้างมั๊ยคะ”
“พี่พอสัมผัสอารมณ์กุ๊กกิ๊กได้บ้าง เป็นบางครั้งแต่ตอนนี้เงียบไปคงอยู่ห่างกับเราหลายกาลเวลา”
“ปิงปองคิดว่าไม่เป็นไรหรอก พี่ณัชชากับพี่เอกภพเก่งสุดๆ”
“พี่ก็คิดเหมือนกัน”
เสียงท้องบีมร้องดังออกมา
“เฮ่...ท้องร้องหิวแล้วครับ”
ทุกคนต่างหัวเราะกัน
ในลานกว้างของสวนพฤกษาชาติอันสวยงาม เอกภพกับณัชชานั่งอยู่ที่โต๊ะกลมตัวหนึ่งมีผ้าปูสีขาวสะอาดเหมือนโต๊ะในร้านอาหารชั้นหนึ่ง บนโต๊ะมีถาดผลไม้ ตรงหน้าของทั้งสามมีแก้วน้ำผลไม้ มีหญิงชุดขาวสามสี่คนยืนระวัง ท่านหญิงอยู่ทางด้านหลัง มีสาวชุดสีน้ำตาลยืนอยู่รอบๆ นับสิบ คอยระวัง
“ความจริงเราไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับใครแต่เห็นว่าท่านทั้งสองอยู่ในอันตรายจำเป็นที่เราต้องช่วยเหลือ”
“ขอบพระทัยท่านหญิงแต่เราสองคนควรจะรีบไปเทพอาคินร้ายกาจมาก เราไม่อยากให้เมืองลับแล ของท่านหญิงต้องได้รับอันตราย”
“องค์หญิงณัชชาพูดถูก เราต้องรีบไปจากที่นี่”
“เรารู้ดี เราให้คนของเราหลบหนีไปหมดแล้วเหลือแต่พวกนักสู้จำนวนหนึ่ง เราจะนำองค์หญิงไปยังที่ปลอดภัย”
ทันใดนั้นได้ยินเสียงระเบิดตูม สาวชุดขาวคนหนึ่งพรวดเข้ามารายงาน
“มีผู้บุกรุกเข้ามาแล้วท่านหญิง”
“เทพอาคิน”
ทั้งหมดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกสาวๆ ต่างตีวงรวมตัวกันเข้ามาแต่แล้วเกิดเสียงดังตูม ร่างของหญิงสาวชุดขาวสองคนปลิวเข้ามา แล้วแน่นิ่งกับพื้น ร่างของอาคินปรากฎพร้อมแม่มดสาวันนาและเทพซ้าย ทั้งสองฝ่ายต่างจ้องกันเขม็ง
อาคินยิ้ม แม่มดสาวันนาจ้องณัชชากับเอกภพเขม็ง เอกภพขยับปืนในมือไปมาจ้องระหว่างอาคินและทุกคน
“พากิ๊กคนใหม่มาเปิดตัวหรือท่านอาคิน”
อาคินเหล่เอกภพไม่สนใจ
“องค์หญิงณัชชา ขอแนะนำแม่มดสาวันนา”
แม่มดสาวันนาตวัดมือมีไม้เท้าหัวกะโหลกปรากฏสีหน้าเอาเรื่อง
“หาคนมาเป็นหุ่นเชิด ตายแทนท่านอีกจนได้” แม่มดสาวันนาสายตาวาว ไม่พอใจขยับตัวแต่อาคินยกมือกางห้ามไว้ “เทพซ้าย ท่านไม่ลองถามเทพอาคินว่าเทพขวาตายอย่างไร”
“แบบว่า ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ ถูกเจ้านายใช้เป็นโล่รับดาบเต็มๆ”
อาคินสีหน้าเคร่ง เทพซ้ายมองอาคินแวบหนึ่ง
“สงครามย่อมมีการเสียสละ”
“แน่นอน เพื่อให้เทพโลภอำนาจอย่างท่านเหยียบขึ้นไป”
อาคินตาวาวด้วยความโกรธ
“เราเทพซ้ายขวายินดีสละชีวิตเพื่อเทพอาคินด้วยความจงรักภักดี”
“เทพซ้าย ท่านทรยศต่อสวรรค์ไม่ควรเอ่ยถึงความจงรักภักดีให้เสียน้ำลาย”
เทพซ้ายมองเอกภพด้วยสายตาไม่พอใจ แม่มดสาวันนาแค่นยิ้มใส่เอกภพสีหน้าเอาเรื่อง ณัชชายิ้มสายตาจ้องทุกคน
“เรารับรองว่า พวกท่านได้สละชีวิตสมใจแน่เมื่อไหร่ที่งานจบ เทพอาคินไม่เก็บพวกท่านไว้หรอก”
“ภาษามนุษย์เค้าเรียกว่ากินคนเดียวไม่แบ่งให้ใคร”
“องค์หญิงณัชชา ถ้าไม่ยอมวางอาวุธมอบตัวท่านหญิงและทุกคนในที่นี้ จะถูกทำลายย่อยยับ”
ณัชชากับเอกภพจ้องอาคินเขม็ง อาคินจ้องอย่างเป็นต่อ ณัชชาจ้องเขม็งพยายามตัดสินใจหาทางออก
“ที่แท้องค์หญิงก็หาคนอื่นมาตายแทนเช่นกัน”
ณัชชาสีหน้าเคร่งเครียด เอกภพขยับปืนไปมาหาทางแก้สถานการณ์
“เราไม่เกรงกลัวคำขู่ของท่าน”
หญิงชุดขาวและชุดน้ำตาลเข้มต่างตวัดมีดสั้นออกมาตั้งท่าเตรียมพร้อม ณัชชากราดสายตามองตัดสินใจ
ทันใดนั้นอาคินหัวเราะก้อง พลางตวัดมือควันสีดำลอยฟุ้งออกมาจากร่างของอาคินกลายเป็นเก้าภูตสังหาร ออกมาล้อมควบคุมทุกคนไว้ตรงกลาง
“เก้าภูตสังหารรวมเป็นหนึ่งเดียว”
“ท่านคงกลัวองค์หญิงมากจะกินจะนอนต้องมีภูตสังหารอยู่ด้วย”
“องค์หญิงคงต้องยอมรับ ว่าไม่มีทางที่จะต้านเราได้”
ณัชชาสีหน้าเคร่งเครียดต่างฝ่ายต่างจ้องคุมเชิง ต่างคุมเชิงจ้องกันอยู่อึดใจ
“ก็ได้ เรายอม”
“องค์หญิง”
“ท่านหญิง ณ เวลานี้เราไม่อาจต้านเทพอาคินกับเก้าภูตสังหารได้ โปรดรีบพาคนของท่านออกไปจากที่นี่ น้ำใจของท่านหญิงเราต้องขอตอบแทนในภายหลัง”
ณัชชาบอกพร้อมกับจ้องสายตาท่านหญิงพยักหน้าให้เล็กน้อย ท่านหญิงนิ่งอึดใจ ในที่สุดพยักหน้าตอบ ค่อยๆถอยตัวออกไป ณัชชาตวัดมือปรากฏมีมีดสั้นอยู่ในมือแล้วยื่นส่งออกมาตรงหน้า
“องค์หญิง”
“เราไม่มีทางเลือก”
เอกภพจ้องอาคินแล้วสะบัดปืนในมือโยนออกไปไกลตัว อาคินยื่นมือออกมาตรงหน้ามีดสั้นในมือณัชชาลอยเข้าไปอยู่ในมือของอาคินอย่างง่ายดาย อาคินยิ้มสะใจ ขยับมีดสั้นไปมา ทันใดนั้นมีดสั้นดีดตัวขึ้นมากลายเป็นดาบพิชิตมารส่องรังสีกล้า อาคินมองอย่างพอใจตวัดฟันไปมาส่งเสียงดังฟึบๆ รังสีสาดจ้า
“ดาบพิชิตมาร มีพลานุภาพสมคำร่ำรือ”
“ท่านจะลองใช้บั่นคอของท่านเองก็ย่อมได้”
อาคินยิ้มเยาะ แต่แล้วดาบส่งรังสีจ้า อาคินร้อนมือต้องปล่อยตกให้ปักที่พื้นดิน
“องค์หญิงณัชชา คิดเล่นตลกอะไร”
“อย่าบอกนะว่าท่านไม่มีปัญญาแม้กระทั่งจับดาบของเรา”
แม่มดสาวันนาสะบัดมือมีผ้าผืนหนึ่งปรากฏทำปากขมุบขมิบแล้ว สะบัดผ้าไปที่ดาบพิชิตมารที่ปักอยู่ ผ้าคลุมดาบอย่างแม่นยำแม่มดสาวันนาเข้าไปรวบผ้าห่อดาบไว้อย่างเรียบร้อยแล้วส่งให้อาคิน อาคินยิ้มอย่างพอใจ
“เทพซ้าย” เทพซ้ายรีบก้าวออกมารับดาบไว้อย่างรวดเร็ว อาคินหัวเราะอย่างสะใจ “องค์หญิงแยกเดินทางกับทายาท น่าจะมีแผนที่”
ณัชชาจ้องอึดใจก็ตวัดมือม้วนกระดาษแผนที่พุ่งออกมา อาคินรับไว้อย่างง่ายดาย อาคินพยักหน้าอย่างพอใจ
ณัชชาลอบสบตากับเอกภพ อาคินหัวเราะก้องแล้วสะบัดมือปล่อยควันสีดำออกมายังณัชชากับเอกภพกลายเป็นเชือกสีดำปลายข้างหนึ่งมัดข้อมือขวาของณัชชาและปลายอีกข้างหนึ่งรัดที่มือซ้ายของเอกภพไว้ความยาวประมาณหนึ่งเมตรเชื่อมคนทั้งสองไว้ด้วยกัน อาคินหัวเราะก้องด้วยความสะใจ
อาคินโบกมือภูตสังหารกลายเป็นควันดำลอยกลับเข้าสู่ร่างของอาคิน
ปาระนังเดินออกมาจากราวป่า กราดสายตารอบระมัดระวัง ทันใดนั้นหันไปเห็นร่างของราเชนก้าวออกมาจากราวป่าอีกด้านหนึ่ง ทั้งสองต่างยิ้มให้กัน เดินเข้ามาหากัน
“ทางพี่ไม่มีอะไรผิดปกติ”
“ด้านนี้ก็เรียบร้อยดีค่ะ”
ทั้งสองต่างยิ้มให้กัน ราเชนเอื้อมมือมาจูงมือของปาระนัง ทั้งสองต่างจูงมือเดินกันไป
“ปาระนังรู้สึกเหมือนว่าเรามาถึงที่นี่เมื่อวานนี้เอง”
“คงเป็นเพราะที่นี่เป็นดินแดนไร้กาลเวลาอย่างที่ชายชราผมขาวบอกจริงๆ”
ราเชนหยุดเดิน ปาระนังขยับตัว ทันใดนั้นละอองสีชมพูก็ปรากฏล่องลอยอยู่ตรงหน้า ทั้งสองต่างยิ้มให้กัน อึดใจร่างของนาชะก็ปรากฏตรงหน้า
“เฮ้อ ไปที่ไหนก็มีแต่ความรัก โลกนี้สดใสชื่นใจจริงๆ”
ปาระนังกับราเชนต่างยิ้มให้กัน
“ทายาทเป็นอย่างไรกันบ้าง”
“ทุกคนเรียนรู้มีวิชาเก่งขึ้น กำลังใจดีขึ้น”
“องครักษ์ทั้งสี่ วางแผนไว้อย่างล้ำลึกเตรียมทายาทให้มีฝีมือ ถูกต้องเป็นที่สุดเพราะเส้นทางข้างหน้ามีอันตรายที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้”
“ป่านนี้องค์หญิงกับผู้กองเอกภพคงใกล้ถึงจุดหมายแล้ว”
“สถานการณ์ทางนี้เรียบร้อยดี นาชะ อยากจะไปดูองค์หญิงซักหน่อย”
“นาชะคิดว่าเกิดอะไรขึ้น”
“บอกไม่ถูก นาชะไม่สามารถสัมผัสพลังขององค์หญิงได้เลย”
ทั้งสามต่างมีสีหน้ากังวล
อาคินมองแผนที่ในมืออย่างพอใจ
“เราจะเดินทางไปด้วยกันยังจุดนัดพบ เราไม่อยากให้พวกทายาทต้องรอเก้อ”
ณัชชากับเอกภพได้แต่จ้องอาคินนิ่งไม่ตอบ อาคินรำคาญเดินออกไป ณัชชาลอบสบตากับเอกภพ
เอกภพกับณัชชานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง อาคินนั่งอยู่อีกด้านหนึ่งห่างออกไปมีแม่มดสาวันนากับเทพซ้ายยืนระวังทั้งสองด้าน
“แผนขององค์หญิงยอดเยี่ยมจริงๆ ยอมแพ้ไม่ให้เทพอาคินทำร้ายท่านหญิงกับชาวเมืองลับแล แล้วเดินทางไปกับเราแทนที่จะไปตามล่าพวกทายาท” เอกภพบอก
“ดีใจที่คุณฉลาดเหมือนกัน”
“แน่นอน ผมถึงได้แอคติ้งผสมโรงไปด้วยไงครับ”
ทั้งสองต่างยิ้มให้กัน
“มีอยู่อย่างเดียวที่พลาดไปหน่อย”
“อ้าว ซวยแล้วดี้” ณัชชายกมือที่ถูกมัดขึ้น
“นึกไม่ถึงว่าอาคินจะมีบ่วงมนต์ภูตสังหาร”
“องค์หญิงทำลายบ่วงไม่ได้” ณัชชาส่ายหน้า “โธ่เอ๊ย หลงชม”
“ยิ่งเทพอาคินพลังบรรลุถึงขั้นรวมภูตสังหารทั้งเก้าเป็นหนึ่งแบบนี้ เราไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยว่าหัวใจของเทพอาคินอยู่ที่ภูตสังหารตัวไหน ยากที่จะกำจัดเราต้องดึงให้เทพอาคินอยู่กับเราให้นานที่สุด เพื่อให้ทายาทเดินทางไปถึงจุดหมายพบกุญแจนิลกาลก่อนเทพอาคิน”
“ได้เลยครับ” เอกภพยกมือซ้ายที่ถูกผูกติดอยู่กับณัชชาขึ้น “ผมยินดีผูกติดกับองค์หญิงจนชีวิตจะหาไม่”
ณัชชาหันมาเหล่ เอกภพพยักหน้าสีหน้ามุ่งมั่น ในที่สุดณัชชาค้อน เอกภพยิ้มเก๊กหน้าหล่อ
เอกภพกับณัชชาเดินนำหน้า อาคิน แม่มดสาวันนาและเทพซ้ายเดินคุมหลัง ทั้งหมดเดินผ่านราวป่าต้นไม้น้อย
ใหญ่มาถึงลานเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทันใดนั้นอาคินหยุดเดินกราดสายตาไปรอบๆ
“องค์หญิงบอกพวกของท่านให้ถอยไปจะดีกว่า”
“ท่านคงกลัวเราจนระแวงคิดไปเองกระมัง”
ทันใดนั้นลูกธนูหลายลูกวิ่งเข้ามายังอาคิน อาคินยิ้มตวัดมือลูกธนูพุ่งกลับเข้าไปในราวป่า ได้ยินเสียงร้อง และ
ปรากฏร่างของชายฉกรรจ์นับสิบแต่งตัวเหมือนนายขนมต้ม แต่ในมือถือดาบ ปรากฏตัวล้อมทุกคนไว้
“พวกไหนกันแน่”
“แย่แล้ว” ณัชชาก้าวออกไป “ทุกท่านรีบถอยไป เราไม่ต้องการความช่วยเหลือจากท่าน”
“พวกเราคือสหายขององครักษ์ทั้งสี่ เทพอาคินปล่อยตัวองค์หญิง”
“พวกท่านมาหาที่ตาย”
“บุกชิงตัว”
ณัชชากับเอกภพต่างคาดไม่ถึง ชายฉกรรจ์ไม่มีทางต้านเทพอาคินได้เลย
ชายฉกรรจ์นับสิบวิ่งเข้าใส่อาคินกับแม่มดสาวันนาและเทพซ้าย อาคินมีสีหน้าเยือกเย็น ตวัดมือปล่อยเก้าภูต
สังหารออกมา เก้าภูตสังหารบุกเข้าใส่ชายฉกรรจ์นับสิบๆ ที่บุกเข้ามาเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือด อาคินยืนดูสงบนิ่งสีหน้าไร้ความรู้สึก มีบางส่วนหลุดเข้ามาเทพซ้ายกับแม่มดสาวันนาก็เข้าขวางสกัดไว้ มีตอนหนึ่งชายฉกรรจ์หลุดเข้ามาถึงอาคิน อาคินสะบัดมือกระแทกชายฉกรรจ์จนร่างระเบิดสลายไป
ณัชชากับเอกภพมองด้วยความแค้นใจ ณัชชาขยับตัวจะพุ่งออกไปแต่เอกภพเอามือโอบร่างของณัชชาดึงไว้
“องค์หญิง” ณัชชาพยายามดิ้น เอกภพกอดดึงณัชชาไว้ “เราทำอะไรไม่ได้แล้วองค์หญิง”
ณัชชาหยุดดิ้นมองภาพตรงหน้าด้วยความแค้น ชายฉกรรจ์ต้านไม่ไหวค่อยๆ ล้มใต้ฝีมือของภูตสังหาร เทพซ้าย แม่มดสาวันนา และอาคิน ณัชชาและเอกภพได้แต่มองด้วยความเศร้าใจ ในที่สุดชายฉกรรจ์ก็ล้มลงหมด อาคินหัวเราะก้องภูตสังหารทั้งเก้ากลายเป็นควันดำลอยกลับเข้าร่างของอาคิน
“เทพอาคิน ท่านต้องชดใช้”
“ท่านกับองครักษ์ทั้งสี่นั่นแหละต้องชดใช้ที่ทำให้คนพวกนี้ต้องตาย และที่สำคัญกลับกลายเป็นสาวกของเรา”
อาคินหันไปทางด้านที่มีร่างแน่นิ่งของเหล่าชายฉกรรจ์ สวดมนต์พึมพำอยู่อึดใจก็โบกมือหมุนวนไปยังร่างของของเหล่าชายฉกรรจ์ ทันใดนั้นร่างของชายฉกรรจ์ก็ลุกขึ้นมาทั้งหมด แต่สีหน้าซีดเห็นบาดแผลตามร่างยืนสงบรับฟังอาคิน
“พวกเจ้าต้องรับใช้ข้า” อาคินโบกมือเบาๆ เหล่าชายฉกรรจ์ค่อยๆ จางหายไป อาคินยิ้มอย่างพอใจ แม่มดสาวันนามอง อย่างตื่นเต้นกลัวเกรง “เห็นทีเราควรออกเดินทางต่อได้แล้วมั้งองค์หญิง”
ณัชชาจ้องด้วยความแค้นใจ เอกภพจ้องเช่นกันในที่สุดก็แตะแขนของณัชชาให้เดินทางต่อไป อาคินหัวเราะก้อง
ณัชชานั่งสีหน้าเคร่งเครียด เอกภพนั่งตรงหน้า สีหน้าเคร่งเครียดไม่แพ้กัน
“ไม่ใช่เป็นความผิดขององค์หญิง”
ณัชชาไม่พูดสีหน้านิ่งเฉย เงาร่างเดินเข้ามา ทั้งสองหันไปมอง เป็นแม่มดสาวันนายืนจ้องอยู่ แต่แล้วร่างของเทพซ้ายเดินเข้ามายืนข้างๆ มองแม่มดสาวันนาอย่างระแวง
“ท่านมาทำอะไรตรงนี้”
“เราแค่อยากดูองค์หญิงณัชชา ผู้มีฉายาว่าเทพธิดาพยายมใกล้ๆ ซะหน่อย ไม่เห็นจะมีพิษสงเลย”
“ตามสบาย แต่ขอเตือน ท่านอย่าได้ประมาท”
เทพซ้ายเดินออกไป แม่มดสาวันนาประสานสายตากับณัชชานิ่ง เอกภพขยับตัวเตรียมพร้อม
“พลังของพวกท่านถูกควบคุมด้วยเชือกมนต์ภูตสังหารทำอะไรเราไม่ได้หรอก”
“ท่านอยากจะลองดูก็เชิญ”
ทั้งสองฝ่ายต่างจ้องกันเขม็ง
“ข้าไม่ต้องการเป็นศัตรูกับสวรรค์ ข้าถูกเทพอาคินบังคับ” แม่มดสาวันนาบอก
ณัชชากับเอกภพต่างคาดไม่ถึงแต่ก็วางท่าปกติ กราดสายตามองไปทางด้านหลังแม่มดสาวันนา เห็นอาคินนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้ามีโต๊ะปูผ้าขาว มีแก้วไวน์ตั้งอยู่ เทพซ้ายกำลังรินไวน์ให้
“เราจะค้นหาวิธีทำลายเชือกมนต์ภูตสังหารช่วยพวกท่าน ก่อนที่พลังของพวกท่านจะถูกดูดซึมจนหมด”
แม่มดสาวันนาบอกแล้วเดินกลับไปที่อาคิน ณัชชากับเอกภพต่างมองตามต่างลอบสบตายังไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“องค์หญิงคิดว่าแม่มดสาวันนาจะคิดช่วยเรา”
“ก็ต้องคอยดู”
“แล้วเรื่องพลังขององค์หญิงจริงหรือเปล่าครับ” ณัชชาพยักหน้า
“อาคินร้ายกาจมาก ฉันพยายามเดินพลังสกัดไว้แล้ว แต่ดูเหมือนว่าพลังของเชือกมนต์รุนแรงน่ากลัวกว่าที่คิด ตอนนี้พลังฉันแทบไม่เหลือ”
“องค์หญิง”
อ่านต่อพรุ่งนี้ เวลา 09.30น.
ธิดาพญายม ตอนที่ 9
ณัชชาสีหน้าเคร่งเครียด เอกภพคาดไม่ถึง เอกภพสีหน้าไม่ดีมองณัชชาด้วยความเห็นใจ แต่แล้วลองขยับร่างกายดู สีหน้าแปลกใจ
“แต่ผมไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย ผมยังแข็งแรงเหมือนเดิม”
“อาจเป็นเพราะพลังของเก้าภูตสังหารถูกสร้างมาเพื่อต่อสู้กับพวกเทพเท่านั้น คุณเป็นครึ่งเทพครึ่งมนุษย์ บางทีเชือกมนต์ไม่สามารถดูดพลังจากคุณได้ เทพอาคินคงไม่เฉลียวใจเรื่องนี้”
“แบบนี้ผมก็ต้องได้คะแนนเพิ่มใช่มั๊ยครับ”
“คะแนนอะไรมิทราบ”
“คะแนนหัวใจไงครับ”
ณัชชาเหล่แต่ในที่สุดก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
ณัชชากับเอกภพเดินนำหน้า อาคิน เทพซ้าย และแม่มดสาวันนาเดินคุมหลัง แต่แล้วณัชชาก็รู้สึกอ่อนแรงเซ เอกภพเข้ามาประคองไว้ได้ทัน อาคินหัวเราะก้อง
“พลังท่านหายไปไหนหมด องค์หญิงณัชชา”
“ท่านไม่ต้องห่วงเรา หากเราเป็นอะไรไปท่านสามารถเดินทางตามแผนที่ได้อย่างแน่นอน”
อาคินจ้องณัชชานิ่งแล้วจ้องเอกภพ
“ผมไม่รู้เรื่องแผนที่หรือเส้นทางอะไรทั้งสิ้น”
“องค์หญิงไม่ต้องกังวล ผู้กองเอกภพยังมีพลังเหลือพอที่จะพาองค์หญิงเดินทางไปจึงจุดหมายได้” อาคินหัวเราะสะใจ เอกภพสีหน้าเคร่งในที่สุดตัดสินใจอุ้มณัชชาขึ้นมา “ผู้กองเอกภพ ท่านสมกับเป็น ทายาทขององครักษ์ทั้งสี่จริงๆ”
“แค่นี้ยังจิ๊บๆ”
เอกภพอุ้มณัชชาก้าวเดินไปข้างหน้า ณัชชารู้สึกอ่อนแรงอย่างคาดไม่ถึง ปล่อยให้เอกภพอุ้มไปแต่โดยดี
อาคินกับทุกคนเดินตาม
“เพิ่งเป็นครั้งแรกที่องค์หญิงไม่ขัดขืนผม”
“สบายแบบนี้ทำไมต้องขัดขืนด้วย” ณัชชาฝืนยิ้ม
“เอาเปรียบน่าดู”
“แค่นี้ยังน้อยไป”
เอกภพยิ้ม ณัชชาฝืนยิ้มเป็นปรกติ เอกภพสบตาณัชชาด้วยความห่วงใย
เอกภพอุ้มณัชชาเดินมาตามเส้นทาง ป่าเริ่มเปลี่ยนไปแปลกตระการตา แต่แล้วเสียงอาคินดังขึ้น
“เราหยุดตรงนี้ก่อน เราไม่ต้องการให้องค์หญิงต้องเหนื่อยเกินไป”
เอกภพเดินไปที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ค่อยๆ วางณัชชาลงอย่างระวัง
“ฉันยังโอเค ไม่ต้องระวังถึงขนาดนั้นหรอกน่า”
“ผมรู้ครับว่าองค์หญิงร่างกายหนาบึกแข็งแกร่งทนทาน”
ณัชชาฝืนยิ้มรู้ว่าเอกภพพยายามให้ตนรู้สึกดี อาคินเดินเข้ามาในมือมีแผนที่กางอยู่แล้วหันมาให้ณัชชาดู
“เราคงมาถูกทางใช่มั๊ยองค์หญิงณัชชา”
“ท่านก็รู้ว่าถูกทาง”
อาคินยิ้มม้วนแผนที่เก็บ เดินไปอีกด้านหนึ่งเทพซ้ายเดินไปติดๆ แม่มดสาวันนาเดินเข้ามาจ้องสีหน้าเยาะเย้ย
“น่าสมเพชจริงๆ” แม่มดสาวันนาจ้องณัชชาอย่างเย้ยหยัน อาคินหันมายิ้มเยาะด้วย แล้วไม่สนใจเดินไปพักอีกด้านหนึ่ง แม่มดสาวันนาจึงลดเสียงเบาลง “เราตรวจดูแล้วมีแต่พลังของเทพอาคินเท่านั้นที่จะทำลายเชือกมนต์ได้”
เอกภพกับณัชชาลอบพยักหน้าให้แม่มดสาวันนา
“เราขอบใจท่าน”
“เราเสียใจ” แม่มดสาวันนาเดินไปทางด้านอาคินกับเทพซ้าย “นี่เหรอองค์หญิงณัชชา ไม่สมคำเล่าลือ”
“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการจะทำให้ข้าพอใจ แต่อยู่ห่างองค์หญิงไว้จะปลอดภัยกว่า”
“เชอะ ข้าไม่กลัวองค์หญิงหรอก”
แม่มดสาวันนาเดินออกไป อาคินมองตามด้วยสายตาพอใจ
เอกภพนั่งมองณัชชาที่หลับตาพิงต้นไม้อยู่ อึดใจณัชชาลืมตาขึ้น
“องค์หญิงเป็นยังไงบ้างครับ”
“ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คุณล่ะ”
“พลังผมยังเหมือนเดิม คงจริงอย่างที่องค์หญิงคาดพลังเชือกมนต์ทำอะไรผมไม่ได้”
“คุณต้องหนีไป”
เอกภพยกมือให้ดูว่าเชือกมนต์ยังติดอยู่ประมาณว่าต้องไปด้วยกัน
“มีพลังของอาคินเท่านั้นที่จะทำลายได้ มันคงไม่ใจดีทำลายเชือกมนต์ปล่อยให้ ผมหนีไปได้หรอก”
“ฉันมีแผน แต่คงไม่มีพลังพอที่จะหนีไปกับคุณ คุณต้องหนีไปตามลำพัง”
“ไม่มีทางที่ผมจะทิ้งองค์หญิง”
“คุณต้องทำ ความปลอดภัยของทายาทและกุญแจคุกนิลกาล สำคัญที่สุด คุณต้องทำได้”
“แต่ว่าผม...”
ณัชชาเอามือสัมผัสใบหน้าของเอกภพแผ่วเบา
“ฉันเป็นเทพ ฉันไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก” เอกภพเอามือจับมือณัชชาแนบไว้กับใบหน้าตนสบตานิ่งนาน “สัญญาว่าคุณจะทำตามที่ฉันขอร้อง”
เอกภพพยักหน้ารับ ณัชชายิ้มให้อย่างอ่อนหวาน
“ได้เวลาเดินทาง”
ทั้งสองหันไปเห็นแม่มดสาวันนามองมาพลางพยักหน้าให้ว่าอาคินกำลังมา เอกภพพยักหน้ารับ อุ้มณัชชาขึ้นมาแล้วก้าวเดินนำออกไป แม่มดสาวันนาเดินตาม อาคินกับเทพซ้ายเดินมาถึงพอดีแต่ไม่สังเกตเห็นพิรุธ พลางเดินตามไป
เอกภพอุ้มณัชชาเดินทางมาตามเส้นทาง ป่าเริ่มสวยงามมีดอกไม้หลากหลายแต่แล้วก็แปลกใจเมื่อมีผีเสื้อหลายตัวบินมาวนรอบๆ ทั้งสอง ไม่ยอมไปไหน เอกภพอุ้มณัชชามาได้อึดใจก็ทรุดตัวนั่งลงใต้ต้นไม้ซึ่งณัชชายังอยู่ในอ้อมแขน ผีเสื้อบินวนเวียนรอบๆ ณัชชายิ้ม
“แปลก เดินทางมาตั้งนาน เพิ่งจะเห็นผีเสื้อ”
“คงเห็นนางฟ้าสวยเลยพากันมาดูมากกว่าครับ” ณัชชาฝืนยิ้ม
“อาจเป็นผีเสื้อขององครักษ์ทั้งสี่มาช่วย องค์หญิงก็ได้”
อาคินก้าวเข้ามาจ้องทั้งสองคน ณัชชาจ้องตอบ
“อย่าบอกนะว่าท่านกลัวแม้กระทั่งผีเสื้อ”
อาคินหัวเราะเยาะ
“เชิญองค์หญิงชื่นชมได้ตามสบาย”
อาคินหัวเราะแล้วเดินออกไป แต่แล้วณัชชากับเอกภพก็ต้องประหลาดใจเมื่อผีเสื้อตัวหนึ่งบินมาเกาะที่หัวไหล่ของณัชชา
“ท่าทางเจ้าตัวนี้คิดจะจีบองค์หญิง เฮ้ ชิ่ว”
เอกภพแกล้งทำเสียงไล่ ณัชชาอดขำไม่ได้
“นี่คุณ”
“ก็ผมหึงนี่นา ชิ่ว”
เอกภพแกล้งส่งเสียง ณัชชายิ้มขำเข้าใจว่าเอกภพพยายามทำให้ตนอารมณ์ดี เผลอมองด้วยสายตาลึกซึ้ง แต่แล้วก็คาดไม่ถึงเมื่อได้ยินเสียงผีเสื้อพูด
“นี่อย่าทำซ่ามาก ฉันเป็นผู้หญิงย่ะ”
ทั้งสองถึงกับตื่นเต้น เอกภพกับณัชชาต่างมองหน้ากัน
“องค์หญิงได้ยินเหมือนผมหรือเปล่าครับ หรือว่าผมหูฝาดไป”
“ซู่สส์ เอะอะไปได้ เดี๋ยวอาคินก็รู้ตัวหรอก”
ทั้งสองต่างกราดสายตาไปยังพวกอาคิน ซึ่งอยู่อีกฝากหนึ่งไม่สนใจอะไร
“พวกเราจะมาช่วย” ผีเสื้อบอก เอกภพมองหน้าณัชชาสีหน้าสงสัย อดขำไม่ได้
“เอ้อ ให้เราเกาะปีกบินหนีไปเหรอครับ”
“นี่ อย่ากวน”
“เราขอขอบใจพวกท่าน ท่านผู้นี้สติไม่ค่อยดีนักอย่าได้ถือสา”
“จริงครับ โปรดอภัย”
“พวกเรามีพลังลึกลับสามารถทำให้ศัตรูเห็นภาพหลอนเลอะเลือนได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง”
“เราเข้าใจแล้ว”
“เราจะอยู่ใกล้ๆ เมื่อถึงเวลาเราจะบอกท่าน”
ผีเสื้อบินจากตัวของณัชชาไปรวมกับตัวอื่นๆ บินวนเวียนห่างออกไป
“นี่เลิกซ่าได้แล้ว คอยเตรียมพร้อมด้วย” ณัชชาบอก เอกภพพยักหน้า สายตากราดมองอาคินอย่างระมัดระวัง
เอกภพอุ้มณัชชาผ่านราวป่าทึบ อาคิน แม่มดสาวันนา และเทพซ้ายตามหลังมาติดๆ มีผีเสื้อสามสี่ตัวบินเข้ามาใกล้ ผีเสื้อตัวเดิมบินเข้ามาเกาะที่หัวไหล่ของณัชชาอีก
“ท่านทั้งสอง ถึงเวลาแล้ว”
ผีเสื้อบินจากไป อาคินสังเกตมอง สีหน้าสงสัย เห็นผีเสื้อบินเข้ามาเข้ามาหลายตัว อาคินไหวทันเริ่มขยับตัว
แต่แล้วทันใดนั้นอาคินก็คาดไม่ถึงเมื่อฝูงผีเสื้อเพิ่มเป็นจำนวนมากบินมาล้อมร่างของเอกภพที่อุ้มณัชชาจนมองไม่เห็น“ไม่น่าเชื่อ พวกผีเสื้อเป็นพวกขององค์รักษ์ทั้งสี่จริงๆ”
“อยากรู้เหมือนกันว่าจะแน่ซักแค่ไหน”
อาคินสะบัดมือกลายเป็นดาบสีดำอยู่ในมือก้าวเข้าหาฝูงผีเสื้อที่บินเป็นม่านหนาอยู่ตรงหน้า ทันใดนั้นกลับเห็นร่างของณัชชาพุ่งออกมาจากฝูงผีเสื้อพุ่งเข้าใส่อาคินพร้อมมีดสั้นในมือขาววับ อาคินฟันดาบสีดำในมือเข้าใส่ ณัชชาเอามีดสั้นรับเสียงดังสนั่นหวั่นไหวแต่แล้วอาคินก็ต้องตกใจเพราะกลายเป็นดาบสีดำในมือฟันเข้าใส่เชือกมนต์ระหว่างข้อมือของณัชชากับเอกภพพอดี เกิดเป็นแสงจ้าสะท้อนเข้าตา แสงขาวค่อยๆ จางหายไป ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม
“มนต์ภาพหลอน”
ขณะนี้ณัชชากับเอกภพเป็นอิสระจากเชือกมนต์แล้ว
“ขอบใจ เทพอาคิน”
ทันใดนั้นณัชชาสะบัดมือ ดาบพิชิตมารที่เทพซ้ายถืออยู่ภายใต้ผ้าของแม่มดสาวันนาเปล่งรังสีจ้าทะลุผ้าออกมาจนผ้าลุกเป็นไฟ เทพซ้ายร้องพลางปล่อยมือจากผ้าที่ติดไฟ ดาบพิชิตมารพุ่งเข้าหามือของณัชชาอย่าง
แม่นยำ ณัชชาควงดาบในมือแต่แล้วก็ต้องเซ เอกภพเข้ามาประคอง เห็นเลือดที่มุมปากของณัชชา
“องค์หญิง”
“พลังของท่านถูกเชือกมนต์เก้าภูตสังหารขจัดหมดสิ้น เทพซ้าย ท่านสาวันนา ท่านรออะไรอยู่”
แม่มดสาวันนากับเทพซ้ายพุ่งเข้ามาตรงหน้า หมายบุกแต่แล้วผีเสื้อก็บินรวมตัวกันเป็นม่านหนาล้อมณัชชา
กับเอกภพจนมองไม่เห็น แม่มดสาวันนาสะบัดมือเป็นควันสีขาวพุ่งออกไป จนฝูงผีเสื้อแตกกระจายหายไปจนหมด
แต่ร่างของณัชชากับเอกภพก็หายไปเช่นกัน อาคินสีหน้าแค้นร้องเสียงดังพร้อมปล่อยพลังสีดำออกไประเบิดตูมเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ที่ดินแดนไร้กาลเวลา ไกรยุทธ์สะบัดมือเห็นลูกไฟลูกใหญ่วิ่งออกไปยังร่างของชายผมขาวที่ยืนอยู่ ชายผมขาวตีลังกาหลบไปได้ ลูกไฟเลยไปถูกต้นไม้ระเบิดตูม ชายผมขาวร่อนลงมาที่พื้น ทันใดนั้นร่างของนาฬิกาก็พรวดเข้ามา ตวัดมือเท้าเตะต่อยนัวเนีย ชายผมขาวหลบหลีกคล่องแคล่วสะบัดมือกระแทกนาฬิกาปลิวออกไป ชายผมขาวขยับตัวตามเงื้อมือหมายซ้ำ แต่แล้วบีมกับปิงปองก็พรวดเข้ามา ทั้งสองยกมือออกไปพร้อมกัน ลูกไฟลูกเล็กๆ กระจายออกมาเต็มหน้าชายผมขาว ชายผมขาวตีลังกาถอยหลังออกไป นาฬิกาดีดตัวขึ้นมา ไกรยุทธ์พรวดเข้ามายืนข้าง ทายาททั้งหมด ต่างตั้งท่าเตรียมรับ ชายผมขาวยืนมองทุกคน สีหน้านิ่งสงบ อึดใจก็หันหลังเดินเข้าราวป่าไป ทายาทต่างมองกันผ่อนลมหายใจโล่งอก ต่างยิ้มให้กัน
อีกด้านหนึ่ง ราวป่าเต็มไปด้วยหมอกสีขาว ผีเสื้อบินอยู่เต็มไปหมด ร่างของณัชชานอนอยู่บนแท่นหญ้าสีเขียว ล้อมรอบด้วยฝูงผีเสื้อ ทันใดนั้นผีเสื้อกลุ่มหนึ่งก็รวมตัวกันค่อยๆ กลายเป็นสาวสวยสองสามคน ใบหน้าและแขนเป็นสีสันของปีกผีเสื้อ ในมือมีถาดผลไม้และคนโทน้ำ ต่างเข้ามาปฐมพยาบาลณัชชาที่นอนนิ่งอยู่ เอกภพนั่งอยู่ข้างๆ แท่น ผีเสื้อที่เหลือ ยังคนบินวนเวียนรอบๆ เหมือนรักษาการ
“ท่านอย่าได้กังวล องค์หญิงจะต้องหายเป็นปกติอย่างแน่นอน”
“แล้วเทพอาคิน”
“เราพาท่านและองค์หญิงผ่านประตูกลมาแล้ว ภายในเจ็ดวันอาคินไม่มีทางหาท่านพบ เว้นแต่สาวกของมันจะพบเราและรายงานไป”
“หมายความว่าหลังเจ็ดวันอาคินจะหาพวกเราพบ อย่างนั้นหรือ”
“ถูกต้อง อาคินได้นาฬิกามนต์ของแม่มดสาวันนาซึ่งสามารถใช้ค้นหาพวกท่านได้ โชคดีที่หลังจากใช้แล้วอีกเจ็ดวันถึงจะใช้ได้อีก”
เอกภพพยักหน้ารับ
“ต้องยอมรับว่าเทพอาคินมีฝีมือจริงๆ”
“เชิญท่านกับองค์หญิงพักอยู่ที่นี่ได้ตามสบายเราจะดูแลองค์หญิงและท่านโดยไม่คลาดสายตา”
“ขอบใจพวกท่านมาก”
“อย่าได้เกรงใจ”
เอกภพพยักหน้าถอนหายใจมองณัชชาที่ยังไม่ได้สติอย่างห่วงใย
ในราวป่าสวยงามตระการตา ดอกไม้สีสันสวยงาม ผีเสื้อบินวนไปมาอยู่เต็ม แล้วบินไปวนยังแท่นหญ้าที่ณัชชานอนอยู่พลางโปรยละอองเกสรสีทองลงไปรอบๆ ข้างๆ แท่นมีร่างของเอกภพพิงแท่นหลับอยู่ ณัชชากระพริบตาถี่รู้สึกตัวลืมตาขึ้นมา กราดสายตาไปรอบๆ เห็นผีเสื้อบินวนเวียนอยู่ และข้างๆ ก็เห็นเอกภพนั่งหลับอยู่ ณัชชายิ้มเล็กน้อยขยับตัวจะลุกขึ้น เอกภพรู้สึกตัวทันทีขยับตัวนั่งบนแท่นหญ้า
“องค์หญิง เป็นยังไงบ้างครับ”
ณัชชายิ้มพยักหน้าขยับมือไม้เหมือนสำรวจพลังของตน
“ดีขึ้นมาก ที่นี่ที่ไหนคะ”
“ดินแดนผีเสื้อครับ เราพ้นเทพอาคินมาแล้ว”
ณัชชาพยักหน้า มองดูผีเสื้อหลายตัวที่บินรอบๆ ตัว
“เราขอบใจพวกท่านมาก”
ฝูงผีเสื้อบินวนเวียนแล้วบินห่างออกไป ณัชชาหันมาทางเอกภพ
“ขอบคุณ”
“ด้วยความยินดีครับ”
“คุณน่าจะไปพักผ่อนมั่งนะคะ”
“อ้าวหายแล้วไล่เลยเหรอครับ”
“เปล่าเห็นนั่งสัปหงกอยู่ตะหาก”
“เห็นองค์หญิงอาการดีขึ้น ผมก็ดีขึ้นทันทีเลยครับ”
“ถ้างั้น ฉันอยากจะเดินเล่นซักหน่อย”
เอกภพลุกขึ้นส่งมือให้
“เชิญครับ”
ณัชชามองอึดใจก็รับมือของเอกภพไว้ เอกภพดึงณัชชาลุกขึ้นมา ณัชชายืนขึ้นแต่กลับเซเล็กน้อย เอกภพดึงตัวไว้กลายเป็นอยู่ในอ้อมอกของเอกภพ
“องค์หญิงคิดจะแต๊ะอั๋งผมเหรอครับ”
“นิดหน่อย”
“มากก็ได้ครับ”
ณัชชาเหล่ เอกภพปล่อย ณัชชายิ้ม เอกภพยกแขนกางศอกให้ควง ณัชชายิ้มแล้วเอาแขนคล้องแขนของเอกภพ ทั้งสองเดินออกไปเห็นฝูงผีเสื้อบินวนเวียนรอบตัว
เอกภพและณัชชายืนมองทิวทัศน์ที่สวยงามตรงหน้า มีฝูงผีเสื้อบินวนเวียนคอยระวังรอบๆ
“เห็นธรรมชาติสวยงามแบบนี้แล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าโลกกำลังจะมีสงครามเพราะมีเทพเลวๆ อย่างเทพอาคินคิดอยากเป็นใหญ่”
“เทพอาคินหลงอำนาจจนไม่มีสวรรค์จะอยู่แต่ก็ยังไม่รู้สำนึก”
“เรายังมีเรื่องต้องเผชิญอีกเยอะ เพื่อหยุดยั้งเทพอาคิน” ทันใดนั้นเสียงอีการ้องก้อง บนฟ้ามีฝูงอีกากำลังบินมุ่งตรงมา “สาวกของพวกอาคิน”
“ไม่ค้างคาวก็อีกา สงสัยเทพอาคินต้องตบรางวัลให้อย่างงามถึงได้ออกมาป่วนไม่หยุด” ณัชชายิ้มขำ
“อีกาค้างคาวเป็นแค่สัตว์ไร้ความนึกคิดจะรู้เรื่องอะไร แค่ถูกมนต์ของอาคินเท่านั้น”
“ไม่จริงหรอกครับ ตอนสู้กับไอ้ค้างคาวตัวใหญ่ ผมเห็นบางตัวใส่สร้อยทองหนักตั้งสิบบาท” ณัชชาขำคิก
“คุณนี่ฟุ้งไม่หยุด เรารีบไปกันดีกว่า พวกมันร่อนต่ำลงมาแล้ว”
ทันใดนั้นฝูงผีเสื้อปรากฏบินเข้ามารอบๆ ตัวของทั้งสอง
“เรามีตัวช่วยแล้วครับ”
ทั้งสองต่างจ้องมองฝูงอีกาที่บินต่ำลงมาทุกที
ฝูงอีกาสาวกของอาคินบินใกล้เข้ามา ทันใดนั้นฝูงผีเสื้อยิ่งปรากฏขึ้นเป็นจำนวนมาก บินล้อมร่างของเอกภพ
และณัชชาจนเต็มไปหมด จนกระทั่งทั่งฝูงอีกาบินผ่านไป ฝูงผีเสื้อจึงค่อยๆ เหลือน้อยลง ในที่สุดก็เห็นเอกภพและณัชชาตามเดิม
“สาวกมันมาถึงนี่ อีกไม่นานเทพอาคินต้องโผล่มา”
“อาการขององค์หญิงเป็นยังไงบ้างครับ”
“คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าเชือกมนต์ภูตสังหารจะมีพลังที่ยิ่งใหญ่ มิน่าถึงสยบเหล่าเทพชั่วได้บอกตามตรงพลังของฉันกลับคืนมาแค่เล็กน้อยเท่านั้น”
“เรามีเวลาเจ็ดวันก่อนที่เทพอาคินจะมีโอกาสใช้นาฬิกามนต์ค้นหาพวกเรา หวังว่าพลังขององค์หญิงฟื้นตัวเต็มร้อยทันเวลา”
ณัชชาได้แต่ถอนใจสีหน้ากังวล เสียงฟ้าร้องครืน สายฟ้าแลบ ทั้งสองกราดมองท้องฟ้า ท้องฟ้าเริ่มมืดและกลายเป็นกลางคืนในที่สุด
วันรุ่งขึ้น ผีเสื้อจำนวนมากบินวนเวียน กลุ่มหนึ่งบินไปยังลานที่มีแท่นหญ้าซึ่งณัชชาและเอกภพ เตรียมตัวออกเดินทางและล่ำลาสาวผีเสื้อ
“เราขอขอบใจทุกท่านอีกครั้งแต่เราต้องรีบเร่งเดินทาง”
“เราจะเดินทางไปกับองค์หญิงด้วย จะได้คอยรักษาให้พลังขององค์หญิงกลับมาเร็วที่สุด”
“อันตรายเกินไปเรายอมไม่ได้”
“องค์หญิงพูดถูกต้อง”
“ท่านอย่าได้กังวล เราแม้จะไม่มีพลังในการต่อสู้แต่ก็ไม่มีพลังใดๆ ทำร้ายเราได้ง่ายๆ”
“ท่านมั่นใจ”
“แน่นอนที่สุด ขอองค์หญิงอย่าได้กังวล”
ณัชชากับเอกภพต่างมองหน้ากันคาดไม่ถึง ต่างยิ้มอย่างตื่นเต้น สาวผีเสื้อยิ้มตอบอย่างมั่นใจ
เอกภพเดินคู่กับณัชชาผ่านราวป่า โดยมีฝูงผีเสื้อบินวนเวียนอยู่รอบๆ สีสรรค์สวยงาม ณัชชากับเอกภพต่างยิ้ม อึดใจณัชชาก็หยุดเดิน
“ขอพักหน่อยจะดีกว่า”
เอกภพพยักหน้าประคองณัชชาเดินไปยังใต้ต้นไม้ ทันใดนั้นฝูงผีเสื้อกลายเป็นจำนวนมากสีสันสวยงามบิน
มารวมกันใต้ต้นไม้ปรากฏว่ามีแท่นดอกไม้ปรากฏรออยู่ เอกภพประคองณัชชาไปนั่งที่แท่นดอกไม้ ผีเสื้อบินวนรวมตัวกันกลายเป็นสาวสวยผีเสื้อสองสามคนปรากฏ คนหนึ่งถือเหยือกน้ำเข้ามา คนหนึ่งถืออ่างน้ำเล็กๆ เข้ามา
“ดื่มน้ำเกสรดอกไม้ก่อนเพคะองค์หญิง”
“เป็นส่วนผสมจากเกสรดอกไม้ที่มีสรรพคุณเป็นยาทิพย์สามารถช่วยฟื้นฟูพลังขององหญิงเพคะ”
ณัชชารับเหยือกน้ำมาดื่มแล้วส่งคืนให้สาวผีเสื้อ1 สาวผีเสื้อ 2 เอาผ้าที่ชุดอยู่ในอ่างบิดแล้วส่งให้ณัชชาซับหน้าแล้วรับคืน ทั้งสามถอยออกไปมีผีเสื้อบินมาวนรอบๆ สาวผีเสื้อทั้งสามก็กลายเป็นผีเสื้อบินวนรอบๆกระจายกัน
ออกไปเหมือนตรวจตราดูแลรอบๆ เอกภพกราดตามองฝูงผีเสื้ออย่างทึ่ง
“ตกลงพวกนี้เป็นเทพเหมือนกันเหรอครับ”
“น่าจะใช่ ยังมีดินแดนลึกลับอีกมากมายที่เราไม่รู้ต่างมีเทพดูแลอยู่”
“ผมว่าผมชอบดินแดนนี้ที่สุด”
“นี่ถ้าฉันไม่อยู่ คุณก็สบายไปแล้ว”
“ผมดีใจครับที่องค์หญิงหึงผม”
“นี่ใครหึงคุณ ฉันแค่บอกว่า...”
“นั่นแหละครับ สำหรับผมฟังแล้วเหมือนหึง”
เอกภพยกมือขึ้น ณัชชากราดสายตารอบตัว ฝูงผีเสื้อเริ่มมีมากขึ้นพากันบินมาวนรอบตัวณัชชาและเอกภพ
“มีการเคลื่อนไหวนับสิบ กำลังมาทางนี้”
ณัชชาดีดตัวขึ้นจากแท่นดอกไม้ ตวัดมือขึ้นมีดสั้นปรากฏอยู่ในมือพร้อม เอกภพก็พร้อมมีปืนอยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว
“เคลื่อนไหวนิ่งมาก เหมือนไม่ใช่คน”
“สาวกของอาคิน...”
“พวกมันตามมาได้ยังไง”
“สาวกของอาคินมีอยู่ทุกหนแห่ง”
เอกภพกับณัชชาต่างเดินทางอย่างเร่งรีบ มีผีเสื้อร่วมสิบบินรอบๆ ทั้งสอง ผ่านไปอึดใจ ณัชชาเริ่มเซ
“ผมว่าเราพักก่อนดีกว่าครับ”
“เราพักไม่ได้ เราต้องไป”
“แต่ว่าองค์หญิง...”
“ใช่ แต่คุณยังแข็งแรงดีไม่ใช่เหรอ”
“คือผม...”
“หรือว่าคุณไม่มีแรงจะอุ้มฉัน” เอกภพยิ้มอุ้มณัชชาขึ้นมา “ยิ้มทำไม ยังไม่รีบไปอีก”
เอกภพตีหน้าเข้มอุ้มณัชชาเดินทางต่อไป โดยมีผีเสื้อสิบกว่าตัวบินตามวนเวียนอยู่ใกล้ๆ
เอกภพอุ้มณัชชาเดินทางผ่านราวป่าโดยมีผีเสื้อบินวนเวียนคอยระวัง
“คุณเหนื่อยก็พักได้นะ เรามาไกลจากพวกมันแล้ว”
“องค์หญิงแน่ใจเหรอครับ”
“ชัวร์”
“เฮ้อ แท็งกิ้ว”
ณัชชายิ้ม ทันใดนั้นปรากฏมีฝูงผีเสื้อบินรวมกันเป็นฝูงรายล้อมจนเต็มไปหมด อึดใจก็กระจายออกเห็นเป็นแท่นดอกไม้ปรากฏพร้อมทั้งมีสาวผีเสื้อสามคนเดิมยืนอยู่ใกล้ๆ ต่างถือคนโทและถาดผลไม้เข้ามา เอกภพวางณัชชาให้นั่งพักบนแท่นดอกไม้ เอกภพนั่งข้างๆ สาวผีเสื้อทั้งสามต่างเข้ามาใกล้พลางส่งจอกน้ำให้ เอกภพรับจอกมาส่งให้ณัชชาจอกหนึ่ง ณัชชารับไว้ต่างยิ้มให้กัน
ที่ดินแดนไร้กาลเวลา ไกรยุทธ์เดินจูงมือนาฬิกาคุยกันมาตามแนวป่า
“คุณนาฬิกาครับ”
“คะ”
“ผมดีใจที่ผมกับคุณนาฬิกา เดินทางด้วยกันในป่าแบบนี้ครับ”
“จะได้ไม่ต้องพาไปช็อปปิ้ง แล้วก็กินข้าว ให้เปลืองใช่มั๊ยคะ”
“โธ่ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ”
“แต่นาฬิกาไม่ชอบเท่าไหร่”
“ทำไมล่ะครับ”
นาฬิกาหยุดเดิน ไกรยุทธ์หยุดด้วย
“ในป่าคุณไกรยุทธ์ไม่เจอใคร นาฬิกาไม่แน่ใจว่าคุณไกรยุทธ์ชอบนาฬิกา เพราะว่าวันๆ ก็เจอแต่นาฬิกาคนเดียวไม่มีตัวเลือกหรือเปล่า”
“อ้าว คือ...”
“ตอนนี้คุณไกรยุทธ์ชอบอยู่ในป่าอาจเป็นเพราะว่าจะได้ไม่มีใครมาตาม รถไฟไม่ต้องชนกัน แต่พอกลับเข้าเมืองสาวเพียบ”
ไกรยุทธ์จับมือนาฬิกาทั้งสองข้างขึ้นมา
“ที่ผมชอบอยู่ในป่าเพราะว่าจะได้ไม่มีสาวๆ ประเภทตัวอิจฉามาก่อเรื่องให้ปวดหัวตะหากล่ะครับ สมัยนี้นิยมกันด้วยถือว่า อินเทรน ไฮโซ กระแสแรง”
“นั่นไง มีสาวอื่นจริงๆ ด้วย”
“โห คิดได้ยังไง”
ทันใดนั้นนาฬิกาผลักไกรยุทธ์กระเด็นไป แล้วหันมารับฝ่ามือที่ฟาดโครมเข้ามา นาฬิกาปล่อยหมัดออกไป เงาดำถอยห่าง เป็นร่างของชายชุดดำปกปิดมิดชิดปรากฏอยู่ตรงหน้า นาฬิกาจ้องเขม็ง
จบตอนที่ 9
อ่านต่อตอนที่ 10 เวลา 17.00น.