สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 5
บ่าย เวลาเดียวกัน ณัฐเดชลงจากรถอย่างร้อนรน ตรงไปที่ประตูรั้วบ้านสุพิชชา เขากำลังจะกดกริ่ง แต่เหลือบไปเห็นประตูแง้มเปิดอยู่ เขาเดินเข้ามาถึงตัวบ้านที่เงียบสนิท เขากวาดตามองหาและเรียกเจ้าของบ้าน
"พีช...พีช"
ภายในบ้าน ข้าวของวางเกลื่อน ไม่เป็นระเบียบ เขาเดินไปจนถึงหลังบ้าน เห็นประตูหลังบ้านเปิดกว้างค้างไว้
"พีช คุณโทร.หาผม"
สุพิชชานั่งนิ่งมองเหม่อไปทางพุ่มต้นบานไม่รู้โรยที่กำลังออกดอกชูช่อสวยงาม
"พ่อคะ...บานไม่รู้โรยของพ่อทำไมมันดูเฉาๆไปละคะ"
บนโต๊ะในสวนหลังบ้าน สุพิชชาถือกรอบรูปพ่ออยู่ในมือ เขาใจหายวาบ แววตากังวลระคนสงสารขึ้นมาทันที
"ไหนพ่อบอกว่า ถึงจะไม่มีพ่อแล้ว ทุกอย่างก็จะเหมือนเดิม โลกก็จะหมุนไป แล้วพีชก็จะอยู่ได้อย่างดีไงคะ มันไม่จริงเลย ไม่จริงเลย"
"โธ่...พีช"
พลันเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
"ใครโทร.มาตอนนี้วะ"
ณัฐเดชรีบกดทิ้งโดยไม่ดูว่าใคร
หน้าจอโทรศัพท์เนตรสิตางศุ์บอก สายไม่ว่าง วรวรรธมองลุ้นด้วยสีหน้ามีความหวัง เธอหน้าเสียวางโทรศัพท์ วรวรรธอวยช่วยแล้วมองลุ้นว่าจะเอาไง
"เห็นมะ พี่ณัฐคงยุ่งกะทันหัน หรือไม่ก็ติดประชุมด่วนนั่นละ"
เนตรถอนใจ ไม่ได้ดังใจ
"เฮ้อ...งั้น หมอทานเถอะ"
วรวรรธเฮ หยิบจับช้อนส้อม แล้วชะงัก
"อ้าว...แล้วเนตรล่ะ"
"เนตรอยากรอต่ออีกแป๊บ"
เนตรสิตางศุ์หน้านิ่ว งอนพี่ชาย วรวรรธตักอาหารมาใส่จานให้ แล้วเอานาฬิกาข้อมือมาจ่อแทบจิ้มหน้าเธอ
"ไม่ต้องรอแล้ว เนตรเองก็หิวมากเหมือนกัน นี่จะบ่ายสองแล้ว พี่ณัฐมาเห็นเรากินก่อน
พี่เค้าก็คงเข้าใจน่า นะๆๆ เนตรกินเลยนะW
วรวรรธจิ้มขาไก่อันหนึ่ง แล้วเอาส้อมยัดใส่มือเธอ
"กินพร้อมกันอ่ะ...นึง ส่อง ซ่ำ"
วรวรรธกัดไก่งั่ม เนตรสิตางศุ์มองไก่ กัดเบาๆ อย่างไม่เต็มใจนัก
ณัฐเดชประคองสุพิชชาที่มีอาการลอยๆ เข้ามานั่งที่โซฟาในบ้าน เธอยังถือรูปพ่อและมอง
ไม่ยอมวาง เธอมองจ้องที่หน้าเขา
"พีช...นี่คุณทานอะไรหรือยัง ทำไมคุณผอมมากขนาดนี้ ผอมลง ซีดลง มาก"
ณัฐเดชน้ำตารื้น สุพิชชายังมองหน้าเขานิ่ง พูดเสียงเบาลอย สีหน้านิ่ง
"พี่ณัฐ...พี่ณัฐมาทำอะไรที่นี่คะ"
"อ้าว..ก็..พีชโทร.ไปหาพี่"
"พีชไม่ได้โทร."
"พีชโทร."
"งั้น..ถ้าพีชทร.ก็คงเป็นเพราะพีชหลงลืม พีชเพ้อเจ้อ พีชฝันไป ถึงกาลเวลาเก่าๆ สมัยที่ เรายังมีกันและกัน"
"โธ่ พีช"
"พีชลืมไปว่าวันนี้ ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว เพราะความผิดของพีชเอง พี่ณัฐอย่ามาใส่ใจเลยค่ะ ปล่อยพีชไว้คนเดียวเถอะ"
ณัฐเดชอึ้ง สุพิชชาจ้องนิ่ง
"พีชอยู่ได้ พีชต้องไม่ตาย พีชต้องไม่ตาย"
ณัฐเดชสะท้อนใจหนัก ทนไม่ไหวดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด
เดชตอกไข่ใส่ชามเล็ก 2 ชามพล็อก! พล็อก! เอาไส้กรอกที่หั่นขวางๆวางๆๆ แล้วคนมาม่าต้ม
ที่กำลังเดือดในหม้อ เทใส่ชามละครึ่ง แล้วเอาจานมาวางทับ
สุพิชชานั่งที่โต๊ะอาหาร ณัฐเดชเอาชามมาม่าทั้งสองมาตั้งตรงหน้าสุพิชชา ควันฉุน เธอได้กลิ่น เริ่มหันมาสนใจ
"พี่ทำกับข้าวไม่ค่อยเป็น แต่เจอของพวกนี้ในครัวของพีช พี่หิวมากเลย พีชช่วยกินเป็นเพื่อนพี่ด้วยคน ได้ไหมคะ"
สุพิชชามองๆฃ
"มีไข่ด้วยหรือคะ"
"ค่ะ..เป็นการเพิ่มสารอาหารไงคะ ไม่งั้น ก็เท่ากับว่าเรากินแป้งทอดลวกน้ำ ใส่ผงชูรส แค่นั้นเอง"
"มีไส้กรอกด้วย พีชชอบกิน"
"งั้นก็ดีเลยล่ะ พีชลองชิมดูซิ ว่าฝีมือปรุงของพี่ใช้ได้หรือเปล่า"
สุพิชชาทำท่าเนียนๆ ตักชิม
"อร่อยค่ะ"
"อร่อยจริงนะ ลองชิมไส้กรอกสิคะ ว่าสุกดีหรือเปล่า"
สุพิชชาจิ้มกิน
"สุกค่ะ อร่อยดี"
ณัฐเดชเอาส้อมจิ้มในเส้น พันๆๆ แล้วกินให้ดูเป็นตัวอย่าง
"อืม...เส้นก็ดึ๋งกำลังดี ไม่เละจนเกินไป" ณัฐเดชพูดเต็มปาก
"จริงเหรอคะ"
สุพิชชากินตามบ้าง เขามองยิ้มชื่นใจ แล้วเขาก็นึกได้ รีบหยิบโทรศัทพ์มากดๆๆข้อความบางอย่าง
ทางด้านวรวรรษ และเนตรสิตางศุ์กินของคาวเสร็จแล้ว นั่งกินไอติมสีเขียวอื๋อกัน
"เสียดายเลย พี่ณัฐไม่ได้กินไอติมเชอร์เบทสูตรใหม่ของเนตร"
"นั่นสิ โคตรเสียดายเลย เชอร์เบทบร๊อคโคลีผสมดอกโสน อร๊อย อร่อย ชื่นใจ"
ทันใด โทรศัพท์ของเนตรสิตางศุ์ดังเป็นเสียงไลน์เข้ามา เธอรีบหยิบมากดดู แล้วอ่านเบาๆ
"น้องจ๋า พี่ขอโทษที ไปตามนัดไม่ได้ พอดีมีภารกิจด่วนจ้ะ รักนะ พี่ณัฐ"
เนตรสิตางศุ์หน้ามุ่ยวางโทรศัพท์ วรวรรษลูบหัว
"โอ๋ๆๆ ไม่เป็นไรนะ มีพี่เป็นตำรวจก็แบบนี้แหละ ต้องเข้าใจนะคะ"
"พี่ก็เป็นตำรวจ แฟนก็เป็นตำรวจ..เซ็ง"
วรวรรษขำๆ
บ่ายวันเดียวกัน ก้องฟ้าและกรรณาโผล่หน้าออกมาจากมุมหนึ่งของบ้าน ณ เวียงทับ ทั้งคู่ต่างกวาดตามองไปทั่วบริเวณ ทั้งสองแยกย้ายกันเดินไปคนละมุม
ก้องฟ้าทำเสียงล้อ
"ฮาโหล...มีใครอยู่ม้าย..คุณนายจารุณี"
"วู้วี้ๆๆๆมูมู่...มูมู่"
"โห่ละเหล ยุ้กกรูๆ"
"กุดอ๊าฟเตอร์นูน"
ทั้งสองกลับมาหากันหลังสำรวจพื้นที่
ก้องฟ้าบอก "เงียบ"
"คงไม่มีใครอยู่จริงๆ"
"ลุยเลยเพ่"
"ตามมา ห้องนอนนายแผนยุทธอยู่ทางนั้น"
กรรรณาเดินนำก้องฟ้าเลี้ยวไป
ก้องฟ้านอนแนบกับบันไดขั้นเกือบบนสุดของชั้นสาม พยายามเหลียวหน้ามองมุมส่องไปมา บริเวณใกล้ๆ มีกระจก แล้วเห็นว่าแม่บ้านจารุณีกำลังเช็ดทำความสะอาดเครื่องเรือนอยู่ตรงบริเวณทางเดินชั้นนั้น มือถือเปิดเอ็มวีเพลงเกาหลีตั้งวางอยู่ไม่ไกล
ก้องฟ้าตาโต แล้วเผลอจะจาม แต่รีบเอามือปิดปากหมับไว้ทัน จนมั่นใจว่าไม่จามแน่ จึงแหนกับไปดูที่กระจกต่อ เห็นจารุณีเต็มจอก้มมองด้วยสายตาวิ้งวับ เขาสะดุ้งผาง
จารุณีถามเสียงดุๆ
"ทำอะไรน่ะเธอ"
ก้องฟ้าถึงกับหน้าซีด อึกอัก
"เออ อา...คือก๊อง ส่องกระจกครับ"
ก้องฟ้ารีบดึงกระจกมาส่องหน้าตนเองใกล้ๆ จัดทรงผมเป๋ไปมาเป็นเกาหลี แล้วร้องฮัมเพลงเกาหลีตามเอ็มวีในมือถือได้แม่นเป๊ะ
จารุณีน้ำเสียงเปลี่ยน นุ่มลง สีหน้าแดงเรื่อ
"อุ๊ย นี่เธอร้องได้"
"ใช่ครับ...ลิขิตรักลมหนาว ของเจจองคุก ที่ปาร์คจุนจีเป็นพระเอก"
ก้องฟ้าร้องร้องต่อ จารุณีเขินๆ
"คุณน้าก็ชอบหรือครับ"
จารุณีขวับมาตาเขียวปั้ด เสียงแข็งทันที
"อะไรนะ"
ก้องฟ้าผวา
"คะ..ครับ"
จารุณีก้มเข้ามา หน้าดุเหลือประมาณ
"เมื่อกี้...เธอเรียกฉันว่าอะไร"
"เออ...คือ "
ก้องฟ้าทำทีหายใจกระหืดกระหอบแล้วเป็นลมสลบ
"ว้าย...โอ๊ปป้าเป็นอะไรไปคะ"
มุมผนังชั้นสองที่มองขึ้นไปเห็นชั้นสามได้ กรรณาโผล่หน้ามาฮึ่มฮั่ม แอบมองดูอยู่ เธอกำหมัดที่มือไปมา
"ไอ้ก๊อง อะไรของแกเนี่ย"
บริเวณกองถ่าย มีพิธีบวงสรวงฯ ปลายธูปมอดหมดไปนานเหลือแต่เถ้าที่ม้วนงอ ปักอยู่บนหัวหมูและเครื่องเซ่นไหว้ชุดใหญ่ พงษ์ศักดิ์เดินเหนื่อยๆมาที่โต๊ะทีมบันทึกเสียง
"พี่มด เมื่อเช้าเสียงภาพทุกอย่างโอเค ใช่ไหม"
ทีมบันทึกเสียงยกมือโอเค
"แหล่มแจ่ม"
พงษ์ศักดิ์ยกมือไหว้เจ้าที่เจ้าทางท่วมหัว หันไปทางที่วางเครื่องเซ่นไหว้
"เจ้าประคู้น รอบบ่ายนี้ขอให้ซุปตาร์จุนจีของเราเล่นผ่านฉลุยไปเล้ย...อย่ามีอาการป่วยใดๆ ด้วย สาธุ"
ทนายสมชายและอรวีเดินเข้ามากองถ่าย ทั้งคู่กวาดตามองหา แล้วเดินเข้าไปพงษ์ศักดิ์
"ผมมาพบคุณปาร์คจุนจีครับ"
ลีจองกุ๊กกำลังคุยโทรศัพท์วุ่นวายอยู่มุมหนึ่ง หน้าเซ็ตหลังร้านกำลังจัดไฟ วางกล้องเตรียมถ่ายอยู่อย่างวุ่นวาย
จุนจียืนคุยกับทนายสมชายและอรวีอยู่ที่มุมหนึ่ง
"มากันถึงนี่เลยเหรอ ถ้าที่นี่เป็นเกาหลี... กองถ่ายเขาไม่ให้คนนอกเข้ามาวุ่นวายหรอกนะ"
เขามองที่หน้าเซ็ตแล้วยักไหล่
"แต่นี่มันกองถ่ายแบบไทย...ก็ได้.. ผมคงมีเวลาครู่หนึ่ง"
"เซ็นเอกสารที่เหลืออีกไม่กี่แผ่น แล้วจะเราจะไม่รบกวนคุณจุนจีอีกเลยครับ"
จุนจีมองไปที่กระเป๋าเอกสารในมือของอรวี
"นี่แปลเป็นภาษาเกาหลีแล้วใช่ไหม ผมอ่านภาษาไทยไม่ออกนะ คงทราบ"
อรวีลนลาน
"ทราบค่ะ เราแปลมาเรียบร้อยแล้วค่ะ ทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาเกาหลี"
"มืออาชีพกันดีจริงนะ...แต่ก่อนจะเซ็นอะไร ผมน่าจะต้องใช้เวลาพอสมควร ที่จะอ่านมันให้เข้าใจ...จริงไหม งั้นคุณรอผมเข้าฉากนี้ก่อน"
จุนจีเหลียวมองไปมา
"คุณจุนจีครับ...ผมขอเวลา...." ทนายสมชายพูดพลางถอนหายใจ
จุนจีเดินเข้าฉากไป ไม่ฟังทนายสมชายพูดต่อ อรวีสีหน้ากลุ้มๆ
วิญญาณพิมพ์พิลาศ มองสองพ่อลูกก่อนมองกระเป๋าเอกสารที่ใส่เอกสารพินัยกรรมไว้
ชั้นสาม บ้าน ณ เวียงทับ ก้องฟ้าลืมตาเห็นหน้าจารุณีในระยะใกล้
"นี่เธอ เธอ เป็นอะไร"
จารุณีจับหน้าก้องฟ้าที่อยู่ในอ้อมกอดมาเขย่าๆไปมา ตบๆ เบาๆให้ตื่น เขาจะลุก แต่ทำมึนๆ จับหัว
"โอ๊ะ โอ้ย...นี่ผมเป็นอะไรไปนี่"
"อุ๊ย อย่ารีบร้อนจ้ะ นิ่งๆก่อน"
จารุณีเหนี่ยวกดรั้งเขาเอาไว้ ขณะที่เขาก็พยายามจะลุก เลยเก้กังๆกันไปมา
"อะ อ๋อ ผมคงหน้ามืดเป็นลม..เออ"
ก้องฟ้าคิดๆ เอาไงต่อดี จารุณีทำเขิน
"อุ้ย สงสัยจะขาดน้ำตาล... ความหวาน เลยเป็นลม เดี๋ยวจาไปเอามาให้นะ อยู่นิ่งๆ ตรงนี้ก่อนนะ"
"ขะ ขอบคุณครับ"
จารุณียิ้มหวานให้แล้วรีบผละลงบันไดไป ก้องฟ้าโล่งอก นอนทรงตัวอยู่กับที่คิดว่าจะเอาไงต่อดี แล้วจะพลิกตัวลุกหนี
"ไปดีก่า"
พลัน... กรรณารีบพรวดเข้ามาเร็วไว ใช้มือมากดตัวก้องฟ้าให้นอนลงไปอีก
"ดีมากก๊อง...นอนต่อไป ถ่วงเวลาดูต้นทางอยู่นี่ จนกว่าฉันจะเสร็จ แล้วฉันจะส่งสัญญาณมาบอก"
"อ้าว...แต่"
"สองร้อย"
"สามร้อย"
กรรณาบอก
"ขาดตัว"
"โอเค"
ก้องฟ้าเป็นลมต่อ กรรณารีบไปทางห้องแผนยุทธทันที
กรรณาเข้ามาในห้องนอนแผนยุทธแล้วรีบปิดประตูทันที เธอกวาดตามองห้องนอนแผนยุทธอย่างสำรวจ มุ่งตรงมาที่โต๊ะหัวนอน หยิบกรอบรูปตั้งโต๊ะที่วางอยู่ขึ้นมาดู เป็นรูปถ่ายคู่ของพิมอรกับแผนยุทธ จากนั้นก็วางไว้แล้วหันเดินสำรวจต่อ
ที่ตู้ติดผนังขนาดใหญ่สูง ฝาตู้ปิดเป็นกระจกมองเห็นภายในที่เรียงรายด้วยอัลบั้มรูปนับร้อย
กรรณาตกใจปนหนักใจ
"ทำไมอัลบั้มรูปมันเยอะอย่างนี้เนี่ย"
กรรณายกกองอัลบั้มจากตู้ออกมานั่งพลิกเปิดดูไปมาอย่างมีสมาธิบนพื้นหน้าตู้ เป็นภาพถ่ายพิมอรในร้านกับลูกค้าไฮโซ รูปถ่ายไปเที่ยวฟูจิ ปารีส นิวยอร์ก แต่รูปส่วนใหญ่เป็นรูปพิมอรถ่ายกับลูกค้าหรือเพื่อนสาวๆ
"แปลก ไม่ค่อยมีรูปถ่ายกับนายแผนยุทธเลย"
กรรณาเปิดดูอย่างพินิจพิเคราะห์ไปมา
บริเวณโถงทางเดินชั้นสาม ก้องฟ้าชะเง้อไปมาอยู่ที่เดิม มองไปทางห้องนอนแผนยุทธแล้วก้มมองลงไปช่องบันได แล้วยกนาฬิกาขึ้นมาดู
"เจ๊เข้าไปนานจัง...ทำไง ทำไง...ไปดีกว่า"
เขาเดินไปวนมาคิดๆ แล้วสะดุดกึก เมื่อจารุณีถือน้ำหวานแดงแป้ด ยิ้มหวานยืนอยู่
"น้ำหวาน มาแล้วจ้ะ"
ก้องฟ้าตกใจสะดุ้งโหยง
"ย๊าย"
ก้องฟ้าเป็นลมล้มสลบไปกองที่พื้นทันที
"ว้าย เอาอีกแล้ว โอ๊ปป้า..เธอ"
ผ่านเวลา กรรณาหยิบอัลบั้มรูปต่างๆ พลิกเปิดดูอย่างสนใจ จนมาถึงรูปเก่าสมัยวัยเด็กของครอบครัว ณ เวียงทับ รูปพิมอรวัยเด็ก พ่อ แม่ และจบที่น้องชาย
"นายพงอินทร์"
กรรณาพลิกดูต่ออย่างสนใจ มีรูปเก่าพิมอรสมัยวัยรุ่นสาวในชุดมัธยม ถ่ายกับพงอินทร์ชุดประถม มีเด็กสาววัยไล่เลี่ยอีกคนหนึ่งที่มองมาแบบเหล่ๆ รูปถ่ายไปเที่ยว บรรยากาศเป็นพวกสวนดอกไม้สวย ทะเล และน้ำตกบ้าง ส่วนรูปที่มีเด็กสาวอีกคน ... เธอจะแอบยืนมองห่างๆทุกรูป แต่ละรูปนั้น เธอไม่เคยมีรอยยิ้ม กรรณาสนใจเด็กสาวหน้าคุ้นๆคนนี้ มองจากหน้าตาแล้ว เธอคิดว่าน่าจะเป็น
"แม่บ้านจารุณี"
กรรณาวางอัลบั้มที่ดูเสร็จ แล้วคว้าอัลบั้มต่อไปมาพลิกดูต่ออย่างไม่ลดละ เป็นรูปพิมอรในชุดรับปริญญาถ่ายกับเด็กหญิงจารุณีเป็นรูปแรกที่สองคนยืนร่วมในรูปอย่างจงใจ
"ใช่...แม่บ้านจารุณีแน่ๆ"
กรรณาคิดประติดประต่อเรื่องราวขณะดูรูปไป เธอค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ รู้สึกเหมือนภาพถ่ายเหล่านั้นค่อยๆลอยออกมาจากอัลบั้ม
ภาพในอดีตตามความคิดของกรรณา... เหตุการณ์ทั้งหลายเกิดขึ้นในบ้านหลังนี้ จารุณีผู้เงียบครึมเก็บกดเอารูปของพิมอรมาฉีกทิ้งเผาไฟในครัว
"พิมอร...เธอ...เธอมันได้ทุกอย่าง แต่ชั้น เป็นเพียงตัวประกอบในชีวิตของเธอ"
กรรณายังคิดฟุ้งซ่านต่อไป
ภายในบ้าน พิมอรกำลังเผลอ ขณะที่จัดของที่ชั้น จารุณีกำลังทำความสะอาดบ้าน แผนยุทธแอบส่งสายตามีนัยมาให้จารุณี แล้วเดินมาจับแก้ม แต่พิมอรไม่เห็น จารุณีทำสายตายั่วยวน
ความคิดนั้น ... แผนยุทธเปิดรับจารุณีในชุดหวาบหวิวเดินเข้ามาในห้องนอน , พิมอรกลับมาจากต่างประเทศโผซบแผนยุทธอย่างมีความสุข จารุณีแอบทำตาเขียว, ที่โรงรถ จารุณีในชุดดำย่องๆมา ลอบตัดสายเบรกรถพิมอรกลางดึก, ในถนน ที่ลาดชัน พิมอรขับรถ แล้วพยายามเบรกๆๆ แต่เบรกไม่อยู่ พิมอรตาเหลือกลานด้วยความกลัว, แต่ทุกอย่างไม่เป็นดังจารุณีคิด หลังพิมอรตาย แผนยุทธกลับไม่ได้ยกย่องเธอมาเป็นภรรยา, แผนยุทธยังคงดำเนินชีวิตประจำปกติ นั่งทานข้าวโดยมีจารุณีมาเสริฟอาหารในชุดแม่บ้านเหมือนเดิม แผนยุทธมองจารุณีเหมือนไม่เคยเป็นอะไรกัน, กรรณามาบ้านแผนยุทธครั้งแรก จารุณีมีทีท่าไม่พอใจ เพราะคิดว่ากรรณาเป็นผู้หญิงคนใหม่ของแผนยุทธ, แม่บ้านจารุณีวิ่งเข้ามาบีบคอกรรณา หน้าตาอำมหิต เธอลืมตาสะดุ้งสุดตัว จับที่คอตัวเอง
"เฮ้ย... ทำไมน่ากลัวอย่างนี้"
บริเวณกองถ่าย ด้านนอกของห้องพักนักแสดง ประตูถูกแง้มปิดไว้ คนเดินผ่านไปมากันวุ่นวายภายในห้อง ซองซูกำลังสอนปาริฉัตรเต้น ทุกคนรุมดูกันอยู่
"นึง ซอง ซาม ซี่ ฮา โหะ เจะ แปะ และนึง ซอง ซาม ซี่ ฮา โหะ เจะ แปะ"
ปาริฉัตรทำตามสเต็ปช้าๆ อย่างตั้งอกตั้งใจ
"โอ๊ย...ยากจังเลยค่ะ ซองซู"
" โอวๆๆ..คุณเป้ยเก่งจิงๆ เกือบแล้วฮะๆ มา เรามาเต้นพร้อมๆกัน... อ่า..สาม..สี่"
ทั้งสองคนเต้นไปพร้อมๆกันอย่างสวยงาม ทุกคนเฮ ตบมือ
ช่างแต่งหน้าบอก
"น้องซองซู สอนพวกเรามั่งสิคะ"
"ได้เลยครับ พวกเรามาเต้นคัฟเวอร์กันทุกคน ยืนขึ้น เอ้า"
ซองซูนับ ทำตามเสต็ป ทุกคนเต้นตาม
"ซองซูน่ารักจัง" ปาริฉัตรบอก
"จริงด้วย ซองซูน่ารักมาก" ทีมงานว่า
"นิสัยก็ดี"
"ขอบคุณครับ โผมรักทุกคน"
ปาริฉัตรทำท่า
"เราก็รักคุณ ซารังเฮ.."
ทันใด ปาร์คจุนจีเดินเข้ามา ทุกคนชะงัก หันไปมอง เขาเก๊กหน้าดุ
"ผมต้องทำผมด่วน แล้วหน้าก็มันมากแล้วด้วย"
ทุกคนบอก
"ซารางเฮโย..จุนจี!"
ทุกคนเข้าไปรุมปาร์คจุนจี
"จุนจีคะ...มาต่อบทกันเถอะค่า มาๆๆ เป้ยช่วยต่อบทให้"
ทุกคนทิ้งซองซูไปรุมล้อมรอบตัวปาร์คจุนจีทันที ซองซูเหวอ ยืนเอ๋อลำพังกลางห้อง หันไปมอง
"หน้า3นะคะ จุนจี...ของจุนจีเขียนเป็นภาษาคาราโอเกะไว้แล้วไงค้า"
ซองซูสีหน้าแค้นมาก
หน้าเซ็ตกองถ่ายละคร แฟ้มเอกสารถูกหยิบออกมาจากกระเป๋า พลิกเปิดไปมา ผ่านของเซ่นไหว้ที่มีใบไม้ตกใส่เลอะอยู่ อรวีนั่งอยู่ที่เก้าอี้ เอกสารที่เธอพลิกไปมานั้นมีแถบโพสอิทสีสวยเด่น แปะไว้นับสิบหน้า ทนายสมชายถาม
"ครบไหม"
"ครบค่ะ"
"ให้จุนจีเซ็นเอกสารให้ครบทุกแผ่นนะอรวี"
"ค่ะ"
อรวีเปิดตรวจดูเอกสารไปมาจนหน้าสุดท้ายกำลังจะปิดแฟ้ม พลันมีลมพัดเอกสารในหน้าสุดท้ายปลิว เธอพับแฟ้มวาง แล้ววิ่งไปหยิบเอกสารที่ปลิว เธอเก็บเอกสารขึ้นมา มองไปที่เซ็ตอย่างสนใจ เห็นจุนจีกำลังซ้อมเข้าฉากกับปาริฉัตร ซองซูเดินมาร่วมซ้อมบทที่จุนจีทะเลาะกับปาริฉัตรแบบที่ต่างคิดว่า ตนคือคุณหนูกะคุณชาย แล้วซองซูมาห้ามทัพ
"ผมทำไม่เป็นหรอก เก็บขยะ ทิ้งขยะอะไรเนี่ย ผมมาเป็นผู้ช่วยกุ๊ก ไม่ใช่คนทำความสะอาด"
"แต่ร้านของชั้น ผู้ช่วยกุ๊กต้องทำทุกอย่าง เข้าใจไหม"
"ไม่เข้าใจ"
"มันจะยากตรงไหน แค่คุณเอาถังขยะพวกนี้ไปวางที่ประตูหลังร้าน รอรถมาเก็บ เท่านั้นเอง"
"มันไม่ใช่หน้าที่ของผู้ช่วยกุ๊ก"
"ทำไมจะไม่ใช่"
"ไม่!"
ซองซูเดินเข้ามาบอกว่า
"อ่า..ไอ้บ้า เงียบไปเลย คุณหนูครับ คุณหนู...ผมทำเองครับ ผมทำได้ทุกอย่างครับ"
"อะไรนะ ทำไมแกไปยอม ชั้นไม่ให้แกทำ"
"ชั้นจะทำ คุณหนูครับ...ดูนะครับ ผมทำแล้ว ปัญหาจบแล้วนะครับ"
"ไม่ ชั้นไม่ให้แกทำ"
อรวีเผลอ ดูการซ้อมพวกนั้นอย่างสนใจ ใกล้เอกสาร วิญญาณพิมพ์พิลาศยื่นมือที่ซีดเผือด เส้นเลือดปูดดำ ผอม เกร็งมาดึงโพสอิทหลุดออกมาจากแฟ้มหนึ่งชิ้น แล้วตกปลิวไป
เอกสารถูกเปิด จุนจีจะเซ็นต์ชื่อ แต่ชะงัก
"ตรงนี้ด้วยครับ"
จุนจีกำลังนั่งอ่านเอกสารตรงหน้า ก่อนเซ็นต์ชื่อรับทราบแล้วปิดแฟ้มยื่นส่งให้อรวีที่นั่งอยู่ข้างๆ
"อ่ะ...หมดแล้วนี่ มีอะไรที่ผมต้องทำอีกไหม"
อรวีรับเอกสารไว้
"เรียบร้อยค่ะ พินัยกรรมของคุณพิมพ์พิลาศเป็นอันรับทราบโดยสมบูรณ์"
อรวียื่นซองเอกสารให้
"นี่คะ เป็นกุญแจตู้เซฟคุณพิมพ์พิลาศและเอกสารที่เหลือของคุณทั้งหมด"
ทนายสมชายบอก
"ผมผนึกซองมาเรียบร้อย ทุกอย่างเป็นความลับครับ"
จุนจีมองด้วยสายตานิ่งเฉย
"โอย ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ได้คิดอะไรมาก ของที่คุณย่าให้มา ผมคงส่งต่อให้พ่อผมไป"
"ครับ รับไว้เถอะครับผมอยากให้ทุกอย่างตรงไปตรงมาที่สุด นี่ครับ"
วิญญาณพิมพ์พิลาศมองทั้งสามคนอยู่มุมหนึ่ง จุนจีมีท่าทีลังเลที่จะรับ พิมพ์พิลาศยกแขนขึ้น พลัน...ลมหอบใหญ่พัดฝุ่น ใบไม้ใบหญ้าปลิวคลุ้ง เสียงฟ้าครืนดัง จุนจี ทนายสมชายและอรวียืนหลบฝุ่นที่ปลิวว่อน อรวียื่นให้อีกที
"สงสัยฝนจะมาแล้ว รับไว้ค่ะ ทุกอย่างจะได้เรียบร้อย"
จุนจีรับซองเอกสารไว้
"ขอบคุณที่สละเวลานะครับคุณจุนจี"
อรวีแหงนมองฟ้า
"ขอบคุณมากนะคะ ดิฉันขอตัวกลับเลย...แปลกจัง ไม่ยักกะมีเค้า อยู่ๆก็..." .
"เชิญครับ รีบไปเถอะครับ"
ทนายสมชายและอรวีหันเดินไป จุนจีมองตาม ก้มมองซองเอกสารในมือ หน้าเซ็ตเก็บของกันวุ่น
เสียงพงษ์ศักดิ์ดังบอก
"เอ้าเร็ว ฝนจะมา ขอซีนนี้ให้จบก่อน เร็วเข้า"
"ถ้าถ่ายไม่ทันก็เซ็งเลยนะ ที่มันเสียเวลาไป ก็เพราะคนบางคนเอาธุระส่วนตัวมาทำในกองถ่ายนี่ล่ะ" ซองซูว่า
"แหม...อย่าว่าจุนจีสิคะ มาๆๆ เดี๋ยวเป้ยปักตะไคร้ให้ รับรอง ชะงัดที่สุด" ปาริฉัตรบอก
พูดจบปาริฉัตรก็เดินไป ซองซูเรียกไม่ทัน
"คุณปาริฉัตร... ตะไคร้ ถ้าคุณปาริฉัตรปักตะไคร้แล้วทำไม"
พงษ์ศักดิ์เดินผ่านมาพอดี
"ปักแล้วพายุก็มานะสิครับ"
พงษ์ศักดิ์เดินผ่านไป ซองซูเกาหัวอย่างงงๆ
บริเวณโถงทางเดินชั้นสาม จารุณีโบกพัดไปมา ก้องฟ้าทำหน้าเบลอง่วง จารุณียื่นยาดมเสียบไปมาให้ดมเป็นระยะ
"ตายๆๆ ไม่น่าเชื่อเลย ซีนนี้ เหมือนในเรื่อง ยัยแสนดี กับนายจอมจุ๊ เลย... ที่พระเอกขี้โรคแล้วนางเอกต้องคอยพยาบาลตลอดๆ"
ก้องฟ้านั่งพิงผนังตรงทางลงบันได จารุณีนั่งดูแลพัดวี ให้ดมยาดมมากจัดเลยคันจมูก เขาจามเบาๆ
"อุ๊ย ไหวมั้ยเนี่ย ทำไมเป็นลมนานจัง เธอๆๆยังเด็กอยู่เลย ทำไมอ่อนแอจัง"
ก้องฟ้าจะจามอีก
"ฮา ฮา ฮา"
พลันเสียงข้อความเข้าโทรศัพท์ดังขึ้นมาซ้อนๆ 2 ที ก้องฟ้าสะดุ้ง หยุดจาม อ้าปากค้าง
จารุณีมองลุ้นๆ
"ฮัดเช้ย"
ก้องฟ้าทิ้งตัวตามแรงจาม แกล้งงอพับตัว แล้วรีบแอบควักโทรศัพท์ออกมาดู เห็นข้อความ “เสร็จแล้ว” กับ “เคลียร์พื้นที่ได้ละ”
ก้องฟ้าหน้าแหย ทำปากมุบมิบบ่นเบาๆ
"ตายแย้ว จะเคลียร์ยังไงเนี่ย"
ก้องฟ้าคิดหาทาง จะเอาไงดี
แขนก้องฟ้าโอบพาดจารุณี เธอพาเขาก้าวสะโหลสะเหลลงบันไดมา
"อะไรนะ น้องก๊องเป็นโรคภูมิแพ้เหรอ"
"ใช่ครับ ผมแพ้อากาศ แพ้แอร์เลยหน้ามืด ถ้าเป็นหนักแบบนี้ก็ต้องรีบออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์นอกบ้านทันที"
"อะไรเนี่ย..เหมือนพระเอกเรื่อง the secret rose เลย พระเอกเป็นโรคภูมิแพ้ แพ้เกสรดอกไม้ แล้วมาทำงานในร้านขายดอกไม้ของนางเอก"
"คุณป้าอย่าลำบากเลยครับ ผมไปเองได้"
"คุณป้าเหรอ"
"ครับ"
"ไม่เอา เรียกผิดเรียกใหม่"
"คุณน้า"
"ไม่เอา ไม่ชอบ"
"พี่สาว"
"พี่สาวภาษาไทยฟังดูแล้วมันเขินๆอ่านะ เรียกเป็นภาษาเกาหลีได้ไหม"
"พี่สาว...ภาษาเกาหลี"
"เรียกว่า นูนา"
"หนูนา"
"ไม่ใช่หนูนา..นูนา"
"ผมเกรงใจนูนาจริงๆ ผมเดินเองได้ฮะ"
"อุ๊ย ไม่เป็นไรค่ะ นูนาเต็มใจ ยินดีช่วยมักเน่"
"ว้าย...อะไรมักๆนะฮะ"
"มักเน่..แปลว่าเจ้าน้องชายตัวเล็กไง"
"มักเน่กะนูนา"
"ช่าย...นูนาจะพามักเน่ไปสูดอากาศนะจ๊ะ"
จารุณีพาก้องฟ้าไปทางนึง อีกทางหนึ่ง พงอินทร์เดินมา เลยไม่เห็นกัน เขามองไปรอบๆ เห็นบ้านเงียบๆ เลยเดินขึ้นไป
อ่านต่อหน้า 2
สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 5 (ต่อ)
กรรณาเอามือถือถ่ายภาพที่สนใจจนพอใจ แล้วพยายามเก็บทุกอย่างให้เหมือนเดิม แล้วเปิดแง้มประตูห้องนอนแผนยุทธ โผล่หน้าออกมามองไปมา เธอรีบออกมาจากห้องแล้วหันหลังปิดประตูลงเบาๆ แต่พอหันกลับมาถึงกับผงะ พงอินทร์ยืนยิ้ม เจ้าเล่ห์อยู่ใกล้ๆ
"สวัสดีครับแม่โจรสาว...เอ หรือ เรียกว่า เด็กใหม่นายแผนยุทธดี"
"นาย..."
"ลืมไป ว่าคุณเป็นแขกพิเศษของไอ้หน้าอุปกรณ์หุงต้ม ทีแรกก็เข้าใจว่า ห้องคุณอยู่ปีกด้านโน้น...ไม่นึกว่าจะกล้าถึงกับนอนห้องเดียวกันอย่างโจ๋งครึ่ม เพิ่งตื่นหรือครับ เมื่อคืนคงนอนหลับสบายดี"
"นายพงอินทร์หยุดพูดจาดูถูกชั้นเดี๋ยวนี้นะ"
"ผมพูดข้อเท็จจริง ผมก็รู้อยู่แล้วว่า คุณมาที่นี่ในฐานะอะไร คือ ผมหมายถึง ฐานะที่มันพิเศษกว่าเป็นบัญชีส่วนตัวอะไรที่นายแผนยุทธบอก"
"นายพงอินทร์"
"อะไรครับ คุณจะเรียกชื่อผมทำไมหลายรอบ"
"ถ้าไม่หยุดพูดปากนายแตกไม่ต้องรอหน้าหนาวแน่ หัวกับจมูกยังไม่หายดีไม่ใช่เหรอ"
พงอินทร์ท้าทาย
"อยากปากแตกม๊ากมาก"
"นี่ชั้นมาทำงาน เข้าใจมั้ย"
"อ๋อ..ครับคงรายได้ดี ไม่ทราบว่าเป็นงานพาร์ทไทม์ หรือฟูลไทม์ กันครับหรือว่าจะเป็นไซด์ไลน์"
กรรณาหน้าแดงก่ำรีบเดินหนีลงบันไดมา พงอินทร์เดินตามมาประชดประชัน
"นี่นาย...ห้องฉันอยู่ทางโน้น นี่ฉันแค่เข้ามา...เอ่อ...หยิบของ"
"เหรอครับของอะไรครับ"
เธออึกอัก เพราะในมือก็ไม่มีอะไร
"ใช่ของส่วนตัวที่ลืมไว้เมื่อคืนหรือเปล่าครับ"
เธอโกรธจัด
"อี๋..จะของอะไรก็เรื่องของฉัน ไอ้คนบ้า"
เธอโกรธผลักอกพงอินทร์ แล้วเดินจ้ำออกไป พงอินทร์ขำ หัวเราะกวนประสาทชอบใจไล่หลัง แล้วมองตามอย่างสงสัย เธอรีบเดินหนีมาถึงหน้ารูปพิมอรพอดี พงอินทร์ตามมาทัน
"หน้าตาก็ดี สติปัญญาก็ไม่น่าเลว ความสามารถดูน่าจะเยอะ ทำไมพวกผู้หญิงถึงอยากรวยทางลัด ยกฐานะตัวเองให้เร็วที่สุดกันจังนะ อยากรู้จริงๆเลย"
กรรณาพยายามอดกลั้น แต่กลั้นไม่ไหวแล้ว หันขวับ
"ชั้นไม่ได้อยากรวยโว้ย"
"ไม่ได้อยากรวย หมายความว่า จะบอกว่า เธอยอมฟีเชอริ่งกับอดีตพี่เขยชั้นด้วยความรัก ว่างั้น"
"ไม่ใช่อย่างนั้นโว้ย"
"แหมๆๆ ทีพูดกับชั้น พูดโว้ย ทีพูดกะไอ้คุณแผนยุทธ พูดคะขา"
"นายพงอินทร์ อยากทำศัลยกรรมมั้ย"
"ทำอะไร ผมหล่อธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่ต้องผ่าตัดเสริมอะไรนี่"
"ผ่าตัดซ่อมครึ่งปากครึ่งจมูกนาย ที่มันจะต้องแตกเป็นเสี่ยงๆเพราะเจอกำปั้นชั้นนี่ไง"
กรรณาชกเปรี้ยง พงอินทร์รับกำปั้นไว้ได้ในกำมือที่ใหญ่กว่า แล้วจับพลิก กลายเป็นกรรณาถูกล็อกไว้ในอ้อมแขนพงอินทร์
"แอร๊ย ...ปล่อยนะ ปล่อยๆๆ ช่วยด้วยๆๆ ไอ้ก๊อง..ช่วยช้านที"
"แหม ทีอย่างนี้ ร้องให้ช่วยลั่นเชียวนะ"
"นายอย่ามาแต๊ะอั๋งชั้นนะ ไอ้จิตป่วย ไอ้คิดไปเอง ไอ้สมองหลอน นายกำลังกอดชั้นอยู่ รู้ตัวไหม"
"โอ๊ะ..งั้นเหรอ งั้นชั้นก็กอดเธอทับรอยนายแผนยุทธละสิ ดี งั้นต้องกอดแน่นๆ ให้เธอลืมมันไปเลย"
"อี๋ ไอ้บ้า ขยะแขยง ชั้นเกลียดผู้ชายๆๆ เข้าใจไหม ย้าก..."
กรรณารวบรวมกำลัง เงื้อเท้าขึ้น แล้วกระทืบอย่างแรงลงบนเท้า พงอินทร์เจ็บมาก ปล่อยกรรณาทันที
"อ๊ากก...โอ๊ย นี่มันเท้าหรือรถบดถนนเนี่ย"
กรรณารีบปัดเสนียด
"หึย เหม็นมากเลย กลิ่นเต่าแก มือก็หยาบๆ สากๆ อี๋...ขนลุกขนพอง"
พงอินทร์ยกแขนดมรักแร้ตัวเองไปมา
"บ้า ชั้นไม่มีกลิ่นเต่านะยะ"
"อย่าแตะต้องตัวชั้นอีก จำไว้ แหวะ! สงสัยต้องไปรดน้ำมนต์ล้างซวยด่วนเลยเรา"
กรรรณารีบเผ่น พงอินทร์ยังคงเช็กกลิ่นเต่าตัวเอง พลางบ่นพึมพำ ว่าไม่จริงซะหน่อย
ในกองถ่าย หน้าเซ็ตวุ่นวายกันไปมา ลมพัดหอบเศษอุปกรณ์ กระดาษ ใบไม้ ปลิววุ่น ทีมงานจ้าละหวั่น เอกชัยนั่งอยู่หน้ามอนิเตอร์ สั่งผ่านวิทยุ
"เอ้าถ่ายๆ เร็ว อย่าช้า พร้อมนะ ห้า สี่ สาม สอง..แอ็กชัน"
เป็นฉากของจุนจีกับซองซูในชุดพนักงานร้านอาหาร ที่ทะเลาะกับคุณหนูปาริฉัตร ปรากฏว่า จุนจีในมอนิเตอร์ หน้าเบลอดำวูบหายไปเสี้ยวหน้าครึ่งหนึ่ง เอกชัยถึงกับหัวเสีย ลีจองกุ๊กขยี้ตาตัวเอง ร้อง
"เฮ้ย"
เอกชัยสั่ง
"คัท คัท ภาพเป็นไรน่ะ แก้ว"
ตากล้องหันมา
ตากล้องก้มดูในวิวไฟนเดอร์
"เป็นไร ก็ไม่เป็นไรนะพี่ นี่ก็ปกตินะ ขอใหม่ละกัน"
"เอา ไปคัทที่พระเอกจับแขนเพื่อนไว้ แล้วบอกว่าไม่...ชั้นไม่ให้แกทำเลยนะ เอานะ" เอกชัยบอก
"โอเคพี่ ภาพโอเคนะ" พงษ์ศักดิ์ว่า
"โอเค" ตากล้องบอก
จุนจีในมอนิเตอร์ ถูกทดสอบซูมเข้าออกเช็กโฟกัสไปมาเป็นปกติ
"จุนจีพร้อม" เอกชัยบอก
จุนจีในมอนิเตอร์ ส่งซิกมือว่าโอเค
ลีจองกุ๊กกัดเล็บตัวเอง พงษ์ศักดิ์มองดูมอนิเตอร์อย่างลุ้นๆ
"เอ้า ห้า สี่ สาม สอง..แอกชั่น"
จุนจีจับแขนซองซู กระชากมา แล้วมองหน้าซองซูที่เป็นหน้าผีของพิมพ์พิลาศดูน่ากลัวมาก จุนจีอึ้ง มองตาค้าง ก่อนผลักซองซูอย่างแรง จนซองซูกระเด็นล้มก้นกระแทก
"อ๊าก..."
"เฮ้ย"
ปาริฉัตรร้อง
"ว้าย"
เอกชัย ลีจองกุ๊ก ตากล้อง พงษ์ศักดิ์ต่างงง
"อะไรกันวะ" เอกชัยตะโกนถาม
จุนจีมองหน้าซองซู แล้วถอยๆไปข้างหลัง
"ไอ้จุนจี มึงจะเอาไงกะกู"
ใบหน้าของซองซู กลายเป็นหน้าพิมพ์พิลาศที่ยื่นมาจ้องอยู่ตรงหน้า
"ทำไมแกไม่ช่วยย่า..ทำไม!"
"ไป๊ ไอ้ปีศาจ"
จุนจีพุ่งเข้าต่อยซองซูจนกระเด็นล้มไป ทุกคนตกใจ ลีจองกุ๊กแว่นแทบร่วง
"อะไรกันเนี่ย...นี่จุนจีชกซองซู เพราะหึงหวงเป้ยแน่ๆเลยอ่าค่ะ ไม่เอานะคะ อย่าคะจุนจี อย่ารุนแรง" ปาริฉัตรหลงเข้าข้างตัวเอง จุนจีถอยไปปัดมือปาริฉัตร เพราะเห็นปาริฉัตรเป็นพิมพ์พิลาศ
พิมพ์พิลาศเข้ามาตรงหน้า ยื่นมือมาถาม
"จักร..แกต้องช่วยย่า ช่วยย่า"
เสียงพิมพ์พิลาศดังก้องผ่านไวเลทออกมาที่มอนิเตอร์ ดังสนั่น ได้ยินกันทั้งกองถ่าย
พงษ์ศักดิ์ถาม
"เสียง...! ได้ยินไหม"
"สองหูเลย" ลีจองกุ๊กบอก
ฝ่ายเสียงถอดหูฟังออก วิ่งเผ่นแน่บอย่างไว คนขวัญอ่อนทยอยออกทีละคน สองคน จุนจีตะลึง หน้าซีด อ้าปากค้าง
"ไม่ ไม่...ไปให้พ้น"
จองกุ๊กรีบวิ่งมาดู ปาริฉัตร ซองซูงงกับอาการของจุนจี ทุกคนที่เซ็ตต่างตกตะลึง มึนงง ที่เห็นจุนจีปัดป่ายอะไรไปมาอยู่คนเดียว
"จุนจีไป...ออกไปพักก่อน"
ลีจองกุ๊กพยายามดึงจุนจีไป แต่จุนจีช็อก ร่างกายสภาพจิตใจค้างอยู่กับที่
"ไม่...อย่า"
พลันฟ้าผ่าเปรี้ยง ! ลงที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่วางของเซ่นไหว้บวงสรวง ทุกคนผงะ ขนลุก ตะลึงกลัว ลีจองกุ๊กคอยประคองจุนจีที่หน้าซีดเผือด...
บ่ายต่อเนื่องมา ที่สำนักงานทนายสมชาย อรวีลนลาน พลิกหน้ากระดาษไปมา อย่างร้อนรน ไม่เข้าใจ
"ทำไมล่ะ ทำไม ก็หนูเอาให้เค้าเซ็นต์แล้วจริงๆ หนูดูดีแล้วจริงๆ ทำไมมันถึงยังขาดไปได้"
อติเทพบอก
"ทำไมชุ่ยแบบนี้ หา...โธ่เว้ย เซ็งๆๆ แทนที่ทุกอย่างจะเรียบร้อย"
"เป็นไปไม่ได้ๆ หนูสาบานว่า หนูเห็นคุณจักรเซ็นต์ครบแล้วจริงๆค่ะ"
"ทนายสมชาย คุณดูแลคนของคุณยังไง ทำงานง่ายๆ แค่นี้ก็ไม่สำเร็จ"
ทนายสมชายนั่งหน้าเครียดไม่แพ้กัน
"อรขอโทษค่ะ อรไม่ได้ตั้งใจ"
อติเทพบอก
"ชั้นรู้เธอไม่ได้ตั้งใจ เพราะเธอมันโง่"
อรวีมองอติเทพอย่างเสียใจ เขาถลึงตาตอบ สีหน้า แววตาจริงจัง อรวีน้ำตาไหล วิญญาณโกลเดนท์เบบี๋มองอติเทพ อย่างแค้น เก็บกด แล้วเข้ามากอด ปาดน้ำตาให้อรวีด้วยความรัก
"เจ็บแล้วจำคือคน เจ็บแล้วทนคือควายนะอร"
อรวีสะดุ้งรู้สึกถึงสัมผัสนั้นแต่มองไม่เห็นอะไร
"ใจเย็นๆ เถอะครับคุณเทพ ถ้าจุนจียอมเซ็นครั้งหนึ่งแล้ว แสดงว่าเขาเห็นด้วยกับพินัยกรรมของคุณพิมพ์พิลาศ เราเอาไปให้เขาเซ็นอีกครั้ง คงไม่ยาก"
"ไม่ยาก แต่มันช้า"
"แล้วทำไมต้องรีบร้อนด้วยล่ะครับ"
"ไม่ใช่ธุระของคุณ ธุระของคุณคือไปจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ผมไม่ชอบรออะไรนานๆ"
"ครับ ผมจะรีบจัดการให้ อรวี...คุณช่วยติดต่อแม่บ้านพิสมรให้ผมทีเถอะ ผมมีเอกสารรับมรดกให้เธอเซ็นต์"
"ค่ะ"
อรวีจะกดมือถือโทรหาพิสมร
"พิสมรไม่อยู่" อติเทพบอก
"ไม่อยู่"
"ไม่รู้ แกหายหัวไปไหนหลายวันแล้ว บอกว่าจะไปแป๊บเดียว แต่กี่วันแล้ว ผมก็ไม่ได้นับ ไม่ได้ลา ไม่ได้โทร. มาขออนุญาตอะไรทั้งนั้น"
"เอ ผมว่าแบบนี้มันผิดปกตินะครับ"
"นี่แหละปกติของแก แกเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว คงคิดว่าตัวเองเป็นคนสนิทของคุณพี่ คิดจะทำอะไรก็ทำ คิดจะไปไหนก็ไป บางทีเคยหายไปเป็นอาทิตย์ คุณพี่ตามหาให้ทั่ว ที่ไหนได้ งอน..กลับบ้านนอก ไปคราวนี้ไม่กลับมาเลยยิ่งดี จะได้ไม่อยู่ให้รกหูรกตา"
ทนายสมชายแกล้งทำเป็นไม่สบายใจ เพราะคนขับรถแท็กซี่คันนั้นเป็นคนของสมชาย โกลเดนเบบี๋ง่วนอยู่กับการลูบผม ปลอบโยนอรวี
บริเวณเรือนรับรอง ที่กาญจนบุรี ญาณินชงชาซองสำเร็จรูปมีถุงกรองของหลวงลุงสุคนธรส ติณห์พลิกซองอย่างใช้ความคิด อรวรรณบอก
"หลวงลุงของคุณรสทำชาสมุนไพรล้างคุณไสยแบบสำเร็จรูปมาตั้งหลายรส ดูสิ หน้าตาดีด้วย รสพาสชั่นฟรุตนี่ท่าทางจะอร่อย รสชาเขียวก็เก๋"
"มีแบบละลายไขมัน ช่วยระบายเพื่อลดความอ้วน และผสมคอลลาเจนด้วยครับ"
"คุณแม่คงยอมรับได้นะคะ เพราะดื่มแล้ว จะได้พ้นจากพวกมนตร์ดำ แถมยังหุ่นดี และเต่งตึงอีกด้วย" ญาณินบอก
"แบบนี้ป้าออกับคุณณินก็ควรดื่มเหมือนกันสินะครับ"
"ว้าย...หมายความว่ายังไง ติณห์ คุณหาว่าชั้นไม่ตึงงั้นเหรอ"
"นั่นสิคะ ไม่ยอมๆๆ"
"ไม่ช่าย แหม...ก็ผมเห็นสาวๆเค้ามีครีมคอลลาเจนทาหน้า กับพวกเครื่องดื่มอะไรๆ ก็คอลลาเจนไงครับ"
ญาณินชงชาเสร็จ
"เสร็จละ"
"แต่..ใครจะเอาไปให้มอมดื่มได้ล่ะ"
"นั่นสิ ถ้าชั้นเอาไป สงสัยจะโดนสาดแทบไม่ทัน"
"มีทู ผมด้วย มอมคงระแวงว่า เราคงเอาอะไรที่ไม่ดีมาให้แน่ๆ"
"หนูตัวไหนจะกล้าเอากระพรวนไปผูกคอแมวล่ะคะ เออ..ถ้าเป็นหนูผีก็ว่าไปอย่าง"
ทุกคนมองหน้ากันไปมา
ในเวลาต่อมา เบญจายื่นแก้วน้ำชาว่านสมุนไพรให้มิรันตี
"ชาสมุนไพรค่ะคุณแม่"
มิรันตีกำลังดูแปลนสร้างรีสอร์ตที่ญาณินออกแบบไว้
"สมุนไพรอะไรหรือเบนซ์"
เบญจายิ้มมุมปาก
"สมุนไพรแก้เรื่องคุณไสยมนตร์ดำ เรื่องอุบาทว์ สิ่งไม่ดีทั้งหลาย ที่มาจากใครก็ไม่ทราบ เสกให้ลอยมาเข้าตัวคุณแม่ไงคะ"
มิรันตีชะงัก
"นังญาณินมันใช้เธอมาใช่ไหม"
"ใช่ค่ะ พี่ญาณิน ว่าที่ลูกสะใภ้คุณแม่"
“ใครบอกว่า มันเป็นว่าที่ลูกสะใภ้ชั้น!”
“แต่เขาหวังดีนะคะ เขาบอกว่า..เขาทำชานี้ขึ้นมาเพื่อช่วยกวาดล้างของไม่ดีออกจากร่างกายและจิตใจคุณแม่ค่ะ”
มิรันตีตาลุกวาว
“นี่..มันหมายความว่า ชั้นเป็นคนที่สกปรก ทั้งกายและใจ งั้นเหรอ”
“พี่ญาณินเค้าคงไม่ได้คิดแบบนั้นหรอกค่ะ คุณแม่อย่ารังเกียจพี่ญาณินเลยนะคะ มีแม่มดแม่หมออยู่ในครอบครัวซักคน ก็ดีเหมือนกันนะคะ เวลาผีมาหลอก ก็มีคนมาคุ้มครอง เวลาผีเข้า เค้าก็จะมาไล่ผีให้เรา คุณแม่เกลียดใคร ลูกสะใภ้ก็จะเสกหนังควายเข้าท้องให้ หรือถ้าคุณแม่อยากให้ใครมารักมาชอบ เค้าก็จะทำพิธีเมตตามหานิยม หรือทำเสน่ห์ยาแฝดให้ก็ได้”
เบญจาตีไข่ ใส่ผงฟู จนมิรันตีปรี๊ดแตก
“กรี๊ด อี๋...นี่มันเรื่องหลอกพวกคนโง่ ไร้การศึกษา งมงาย คร่ำครึ น่ารังเกียจ น่าขยะแขยงที่สุด จะบอกให้นะ ว่าชั้นไม่มีวันเชื่อ และนอกจากจะไม่เชื่อแล้ว ชั้นยังลบหลู่อีกด้วย”
“จริงเหรอคะ”
“จริงสิ แล้วเธอเชื่อเหรอ..ว่าไสยศาสตร์มีจริง ยัยเบนซ์”
“หนูไม่แน่ใจค่ะ”
“ชั้นจะบอกให้นะ ว่าไสยศาสตร์น่ะไม่มีจริงหรอก แต่แม่ผัวอย่างชั้นนี่สิ มีจริง!”
จุนจี กับลีจองกุ๊กเดินตามลูกศิษย์มาในสำนักทรงแม่หมอฉมสะคราญ ท่ามกลางบรรยากาศภายในสำนักทรง บนหิ้งบูชามีรูปปั้นเสือหลายๆ ตัวตั้งอยู่ เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งเป็นลายเสือ ลีจองกุ๊กหันไปทำความเคารพอย่างตั้งใจ จุนจีมองรอบๆ ด้วยสีหน้าขยะแขยง
ศิษย์1บอก
“เชิญรอตรงนี้ค่ะ ตามสบายนะคะ”
จุนจียังยืนทื่อ ลีจองกุ๊กฉุดให้นั่งลง
ทันใด เสียงเครื่องดนตรีซิต้าร์ของเพลงแขกดังขึ้น ศิษย์หญิง2คนเดินออกมา พลางโปรยดอกไม้หลายสีรวมๆกันมาก่อนตามทาง เสียงกระพรวนข้อเท้าของโฉมสะคราญเดินเข้ามามาในห้องพิธีกรรม
ศิษย์2คนร้องเพลงพร้อมกัน ในทำนองแขก สีหน้าจริงจัง เหมือนการสวด
"เฮ จับเอาเธอนั้นไปลอยทะเล ก็กลัวเธอนั้นจะจมทะเล ขาดเธอตัวฉันก็คงสิ้นหวัง และก็คง จมเห่" ...
โฉมสะคราญใช้ผ้าลายเสือพันตัวเหมือนชุดแขก เปิดพุง ทำผม แต่งหน้าอย่างแขก เครื่องประดับพราวเต็มตัว เต้นระบำแขกเข้ามา โดย 2 ศิษย์เต้นไปด้วยพร้อมๆกัน ลีจองกุ๊กมองอย่างตื่นๆ จุนจีทำหน้าอี๋ แหวะ
โฉมสะคราญเต้นเข้ามา วนรอบๆตัว 2 หนุ่ม จ้องหน้าจุนจีเหมือนอยากจะกลืนกินจุนจีเข้าไป แล้วพอเพลงจบ ก็โพสท์ทำมือแขกๆ ตรงหน้า ลีจองกุ๊กไหว้อย่างเคารพศรัทธา ฝ่ายโฉมสะคราญยื่นมือแตะคางของจุนจีและเชยขึ้น และเกาคอเบาๆ
"เมี้ยว...เมี้ยวๆๆ หง่าว...โฮก!"
จุนจีสะดุ้งเบือนหน้าหนี
ลูกศิษย์ทำเสียงแหบเครือแบบเซ็กซี่ซู่ซ่า
"อยู่นิ่งๆ อย่าดิ้นสิจะ ถ้าอยู่นิ่งๆ เดี๋ยวเดียวก็เสร็จ แต่ถ้าดิ้น เราจะเจ็บตัวกันทั้งคู่ หรือชอบเจ็บๆ...ก็ตามใจ"
จุนจีหน้าบึ้ง ส่งสายตาให้ลีจองกุ๊กว่า...กูอยากกลับ แต่ลีจองกุ๊กไม่สนใจ
"ขอโต๊ดด้วย เพื่อนป๋มเก๊าขี้จั๊กกะจี๋ เชิญดูต่อเลยครับ"
ลีจองกุ๊กจับหน้าจุนจีหันไปหาโฉมสะคราญ พยักหน้านิดๆ บอกให้อดทน
ลีจองกุ๊กพูดเป็นภาษาเกาหลี
"อดทน อดทน"
จุนจีจำใจปล่อยให้โฉมสะคราญจ้องหน้า
"ลักษณะดีนะเราน่ะ ใบหน้ารูปไข่ไก่ ผิวขาวราวนมสด หน้าผากกลมกลึงโหนกนูนดุจเทพบุตรกรีก จมูกโด่งดุจเทือกเขาสันกาลาคีรี ปากแดงดุจปากทารกน้อยที่น่าจุมพิต"
ทุกคนอึ้ง โฉมสะคราญรู้สึกตัวรีบกระแอมกลบเกลื่อน
"เอ่อ...หมายถึงว่าปากแบบนี้ใครเห็นก็อยากจูบ บ่งบอกว่าเป็นคนมีเสน่ห์ สามารถครองใจคนได้เป็นล้านๆ มีดวงที่จะเป็นซุปเปอร์สตาร์ระดับโลก"
จุนจีอยากตะโกนให้ลั่น แต่ลีจองกุ๊กยังมองในแง่ดี
"แล้วเพื่อนป๋มเป็นอะไรกัน ทำไมถึงมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นกับเขาบ่อยๆ"
จู่ๆ โฉมสะคราญก็ผงะ ตกใจสุดขีด ชี้หน้าผากจุนจี
"แอร๊ย"
ลีจองกุ๊กถาม
"อะไร"
"ข้าไม่รู้ แต่ข้าเห็น ข้าเห็นเงาดำทะมึนอยู่ที่หน้าผากเจ้า ตอนนี้เจ้ากำลังมีเคราะห์ เคราะห์จากผู้หญิง"
"ปู้หญิง ใคร ที่ไหน เมื่อไหร่ สาว แก่ แม่หม้าย ขาว ดำ อ้วน ผอม" ลีจองกุ๊กมาเป็นชุด
"ข้าไม่รู้แต่ข้าเห็น ข้าเห็นมันจะตามฆ่าเอ็ง เอ็งต้องตาย เอ็งต้องตาย"
"จุนจีตายไม่ได้ แม่หมอรู้วิธีช่วยจุนจีไหม"
"ข้าไม่รู้แต่ข้าเห็น"
"เห็นอะไรอีก"
โฉมสะคราญแหงนหน้า
"ข้าเห็นผู้ที่รู้วิธีช่วยไอ้หนุ่มคนนี้กำลังลงมาจากสวรรค์แล้ว ! ทุกคน...ร่วมสรรเสริญ"
โฉมสะคราญกับลูกศิษย์ลุก และร้องเต้นในเพลงเดิม ท่าเดิม
"เต้นด้วยกันสิ"
ลีจองกุ๊กลุกมาเต้นด้วย วนไปรอบๆ ตัวปาร์คจุนจี
จุนจีส่ายหน้า...ไร้สาระสิ้นดี เดินดุ่มออกไปด้านนอก ไม่อยากทนอยู่ในที่บ้าๆ นี้อีกแล้ว ลีจองกุ๊กตามมาขวาง
"จุนจีๆ นายจะไปไหน"
"จองกุ๊ก ชั้นถามจริง นายโง่จริงหรือแกล้งโง่"
"ไม่ลองไม่รู้"
"เชิญนายลองไปคนเดียวแล้วกัน"
"กลับก็ได้ แต่นายต้องไปให้สาวๆ ที่บริษัทซิกส์เซนส์ช่วย"
"ไม่ !" จุนจียืนยันเสียงเข้ม
"นั่นก็ไม่ไป นี่ก็ไม่เอา แล้วไอ้อาการบ้าๆ ของนายจะหายได้ยังไง แล้วถ้านายไม่หาย ละครก็ถ่ายได้ช้า อีกกี่เดือนเราถึงจะได้กลับบ้าน หรือว่านายอยากจมปลักอยู่ที่นี่นานๆ"
จุนจีนิ่งไปอย่างตัดสินใจ
ทางด้านรีสอร์ต เบญจาเดินนำ ติณห์ ญาณิน อรวรรณ เข้ามาในบ้านติณห์ มิรันตียืนหันหลังรอทั้งหมดอยู่ ติณห์ ยิ้มกับญาณินคาดว่า แม่คงเรียกมาขอบคุณในความหวังดีที่เอาชาไล่คุณไสยมาให้ดื่ม
ญาณินถาม
"คุณแม่เรียกพวกเรามา มีอะไรให้เรา..."
ญาณินพูดไม่ทันจบ มิรันตีหันมาสาดชาใส่ แต่เธอหลบทัน ติณห์รีบวิ่งมากั้นกลาง
"มอม...ทำไมทำอย่างนี้"
"ทำไมจะทำไม่ได้ เมียแก...จงใจที่จะขู่กรรโชกแม่"
ญาณินมองเบญจาที่ยืนอยู่ข้างหลังมิรันตี
"เบญจา..เธอบอกอะไรคุณมิรันตี"
เบญจาจอมเสี้ยม ทำเนียน ไร้เดียงสา
"หนูพูดความจริงทุกอย่าง พยายามอธิบายความดี และความหวังดีของพี่ญาณินแล้ว แต่คุณแม่ไม่เชื่อ"
"ไม่ใช่ความผิดของเบ๊นซ์ เขาบอกชั้นทุกอย่าง ว่าแกดียังงั้นยังงี้ หวังดีจะช่วยชั้นให้พ้นจากไสยศาสตร์"
"แล้วมันเป็นการขู่กรรโชกยังไงหรือครับ"
"ยูมันก็ซิลลี่ ไม่รู้เท่าทันพวกมัน ถึงได้ตกเป็นเหยื่ออยู่นี่ไง มันทำงานกันเป็นทีม เอาพวกมาทำกิจกรรมสะกดจิตหมู่ ให้ยูเชื่อ ว่าไสยศาสตร์ คุณไสยมีจริง มีวิญญาณภูตผีปีศาจเต็มไปหมด มีแต่เรื่องราวน่ากลัว ถ้ายูขาดมัน หรือไม่รับมันเข้ามาใกล้ชิด ชีวิตยูจะตกอยู่ในอันตราย ยูต้องเชื่อมัน พึ่งพามัน ยูถึงจะรอด ยิ่งเอาสมบัติมายกให้มัน ก็ยิ่งดี แต่ถ้าไม่ แกจะต้องเจอนั่นเจอนี่ เจออะไรร้ายๆน่ากลัวๆ"
"มอม...แต่เรื่องของเรามันไม่ใช่แบบนั้นนะครับ ผมโดนคนเลวใช้ไสยศาสตร์มาเล่นงานจริงๆ แล้วสุดท้าย มันก็พ่ายแพ้ ติดคุกติดตารางไปจริงๆ ไม่ใช่เรื่องพูดแต่ปาก เลื่อนลอย"
"ฮะๆๆ นั่นมันมุมมองของยู เพราะยูมันหน้ามืดตามัวไปแล้ว แบบนี้ไง แม่ถึงกลับมา เพื่อช่วยยูให้พ้นจากเงื้อมมือมัน"
อรวรรณว่า
"คนใจแคบ หูแคบ ตาแคบ สิ่งที่ไม่เห็น ไม่ใช่จะแปลว่าไม่มี แหม..โกลเดนเบบี๋ไปไหนนะ มาแสดงฤทธิ์ให้ยัยเจ๊นี้ดูหน่อยซิ เอาให้วิ่งหนีผมชี้ไปเลย"
"โกลเด้นเบบี๋ ฮะๆๆ เก๋นะยะ รู้ว่าเราเป็นคนพูดภาษาอังกฤษ ก็ตั้งชื่อกุมารทองเป็นภาษาอังกฤษมาหลอก ต๊าย..มือโปรจริงๆ"
"แกรนด์ปา แกรนด์ปาอยู่แถวนี้หรือเปล่าครับ แกรนด์ปาช่วยทำอะไรก็ได้ ส่งเสียง ส่งกลิ่น หรือทำให้เกิดลมพายุ อะไรก็ได้ให้มอมเห็นที"
"อ๊าย... ติณห์ ลูกเป็นหนักแล้วนะ ลูกต้องไปพบจิตแพทย์แล้ว"
"เฮ้! พวกภูตผีปีศาจ ผีเร่ร่อน ผีกระสือ กระหัง ผีกองกอย ผีมด ผีค้างคาวอะไรก็ได้ ช่วยออกมาแสดงตัวให้แม่ผมดูหน่อยสิคร้าบ ไห้วล่ะ"
"พอแล้วค่ะ ติณห์"
ญาณินผลักติณห์ให้หลบ เธอก้าวเข้าไปเผชิญ ตอนแรกมิรันตีถอย เพราะเธอท่าทางลุยมาก แต่แล้วเธอกลับยกมือไหว้
"หนูต้องขอโทษคุณแม่ด้วยนะคะ ถ้าหนูทำให้คุณแม่ไม่สบายใจ แต่หนูหวังดีกับคุณแม่จริงๆ"
"ต่อไปนี้ห้ามใครหวังดีกับชั้นอีก ไม่งั้นชั้นจะตอบแทนความหวังดีด้วยการส่งเข้าไปนอนในคุก ! ไปก่อน ออกไปก่อนที่ชั้นจะทนไม่ไหว"
"มอม!"
ญาณินไหว้มิรันตรี
"สวัสดีค่ะ"
อรวรรณถาม
"คุณหนู ทำไมถึงยอม"
ญาณินส่งภาษามือให้หยุด แล้วดึงอรวรรณออกไปจากบ้าน ติณห์เครียด ทำตัวไม่ถูก ตัดสินใจจะตามญาณิน แต่มิรันตีดึงเอาไว้
"ติณห์!! จะตามมันไปให้โดนหลอกกินยากล่อมประสาทหรือไง"
ติณห์ขืน ญาณินหันกลับมาส่งภาษาใบ้ ว่าอยู่กับแม่ก่อนเถอะ เบญจาดูทุกเหตุการณ์ ทำท่าสยองแทน
ห้องญาณิน ในเรือนรับรอง อวรรณเดินมาเปิดกระเป๋า คว้าเสื้อผ้าในตู้มาใส่กระเป๋า ญาณินตามเข้ามาถาม
"ป้าออ ! ป้าออทำอะไรคะ"
"พาคุณหนูกลับกรุงเทพฯค่ะ แม่คุณติณห์เขาเกลียดขี้หน้าเราขนาดนี้ เรื่องอะไรเราจะต้องทนอยู่ให้เขาดูถูก ด่าเอาๆ อย่างนี้หรอคะคุณหนู"
"เขาไม่ได้เกลียดเราหรอกค่ะ เขาแค่ไม่เข้าใจเรา ป้าออลองนึกดูสิคะ กว่าป้าออจะยอมรับสัมผัสพิเศษของณินกับเพื่อนๆ ได้ ต้องใช้เวลานานแค่ไหน แล้วนี่คุณแม่เพิ่งรู้จักณิน ไม่แปลกหรอกค่ะที่เขาจะมองณินเป็นตัวประหลาด"
อรวรรณอึ้ง เพราะที่ญาณินว่ามาก็เป็นจริง อรวรรณเข้ามากอดมองญาณินอย่างสงสาร
"โธ่ คุณหนูจะจิตใจดีมีเมตตา ช่วยเหลือใครโดยไม่เคยหวังสิ่งตอบแทนอะไรเลย คนดีๆอย่างคุณหนูทำไมถึงเจอแต่แบบนี้นะ"
ภายในห้องทำพิธี สำนักหมอโฉมสะคราญ ปาร์คจุนจีนั่งอยู่บนตั่งที่ปูด้วยผ้าลายเสือ ลูกศิษย์เอากลีบดอกไม้โรยรอบๆตัวจุนจี แล้วเอาดอกไม้ทัดหูจุนจีทั้ง 2 ข้าง ตามด้วยเอาแป้งมาทาหน้าให้จุนจี จุนจีงง กลอกตามอง
โฉมสะคราญเต้นระบำหน้าท้อง ลูกศิษย์นั่งตบมือให้จังหวะ แล้วจู่ๆโฉมสะคราญก็เต้นแรงขึ้นๆๆแล้วร่างก็ร่วงมากอง ลีจองกุ๊กนั่งอยู่ชิดกำแพงด้านหนึ่งมองอย่างตื่นเต้น ชั่วครู่ ... นางเด้งมานั่ง ลืมตาปึง เกร็งหน้าจนตาเหลือก พูด เสียงเข้ม ห้าว
"บอกมาซิ เจ้าเคยทำแท้งหรือไม่"
จุนจีส่ายหัว
"ไม่!"
"ถ้าเจ้าไม่เคยทำเอง เจ้าก็ต้องเกี่ยวข้องกะการทำแท้ง"
"เอ๊ะ...ไม่เคย บอกว่าไม่ๆ"
"อาจมีคนมายืมเงินเจ้า แล้วเค้าเอาไปทำแท้ง"
"ผมไม่เคยให้ใครยืมเงิน"
"งั้น...คนข้างบ้านเจ้า ก็อาจจะเคยทำแท้งก็เป็นได้... แล้วผีเด็ก มันเลยไปชวนผีผู้หญิงคนนี้ มาเอาชีวิตเจ้า ผีผู้หญิงก็เลยโอเค เพราะมันต้องการจะเอาเจ้าไปเป็นผัว ถอดเสื้อออก ข้าจะทำพิธีให้"
จุนจีเฉย จะไม่ถอด
ลีจองกุ๊กส่งเสียงเตือน
"จุนจี"
จุนจีจำใจถอดเสื้อ
"บ้าก็บ้าวะ"
โฉมสะคราญตะลึง เผลอตัวเพ้อ ก่อนรู้ตัวรีบปั้นเสียงห้าว
"ขาวมาก แหม มีซิกแพกด้วย กรุบกริบๆ แขนก็แข็งดี..หุๆ"
โฉมสะคราญหยิบขวดน้ำมันมาเทใส่หลังจุนจี แล้วนวดคลึงที่หัวไหล่ไล่ไปถึงต้นแขนล่ำ ร่างทรงโฉมสะคราญกลืนน้ำลายเฮือก
นอกหน้าต่าง ลูกน้องโฉมสะคราญแอบถ่ายวีดีโอไว้ ลูกน้องพึมพำ “ซูเปอร์สตาร์เกาหลีชื่อดังย่องเข้ากุฎิแม่หมอดัง” ข่าวนี้ต้องขายได้หลายหมื่นแน่ๆ !
หน้าจอวีดีโอ โฉมสะคราญนวดลูบไล้จุนจี มือไล่ไปจนเกือบถึงก้นจุนจี จู่ๆ ก็มีคนมายืนบังกล้อง ในระยะใกล้มาก
"ใครบัง...หลบไปดิว่ะ"
วิญญาณพิมพ์พิลาศสะบัดหน้ามาทางกล้อง จ้องกล้องในระยะใกล้มาก ลูกน้องผงะ เอาสายตาออกจากเลนส์ แต่ไม่พบใครที่หน้ากล้อง ลูกน้องขยี้ตาไปมา คิดว่าตาฝาด ก้มลงส่องเลนส์ต่อ หน้าจอยังปรากฏหน้าพิมพ์พิลาศ จ้องน่ากลัวอยู่อย่างเดิม
ลูกน้องกระเด้งออกจากเลนส์ ก็ยังปรากฎไม่มีใครยืนหน้ากล้อง
"หะ ! ผะ...ผะ...ผีหลอก"
ลูกน้องโยนกล้องทิ้ง วิ่งป่าราบออกไป
จุนจี ลีจองกุ๊ก โฉมสะคราญหันไปต้นเสียง
"นั่น...ใครวิ่งหนีอะไรน่ะ" ลีจองกุ๊กพูดขึ้น
จุนจีทำท่าจะลุก
"ชั้นไม่เอาแล้วนะ"
โฉมสะคราญหันกลับไปหาจุนจี
"อุ๊ย..อย่าเพิ่งไปสิ"
โฉมสะคราญดึงแขนจุนจีให้นั่ง แล้วทันใด ก็สะดุ้ง ผงะ เมื่อจ้องผ่านจุนจีไปข้างหลัง
"หา...นั่น...อะ อะไรน่ะ"
จุนจีงง โฉมสะคราญเห็นวิญญาณพิมพ์พิลาสเอามือทั้งสองท้าวค้ำบนไหล่จุนจี แล้วชะโงกมา ปัดมือ
"หลานชั้น ใครอย่าแตะ !"
วิญญาณพิมพ์พิลาศพุ่งผ่านร่างจุนจี เข้าไปบีบคอโฉมสะคราญ
"ยะ...อย่า !"
พิมพ์พิลาศดันร่างโฉมสะคราญลอยไปติดกำแพง จ้องด้วยแววตาโกรธจัด อีกฝ่ายดิ้นทุรนทุราย แต่จุนจีกับลีจองกุ๊กกลับเห็นโฉมสะคราญติดกำแพง และบีบคอตัวเองจนตาเหลือก
"ชะ ช่วย"
สองหนุ่มถอยๆๆมายืนดู อย่างงงงัน
"จะฆ่าตัวตายหรือไง" จุนจีบอก
"แอร๊ย...ช่วยด้วย ยะ ย่าคุณ บะ บีบ คอชั้น"
จุนจีกับลีจองกุ๊กมองหน้ากันแล้วโพล่งขึ้นพร้อมกัน "ย่า"
พิมพ์พิลาสมองจุนจี แล้วพาร่างไหลสิงเข้าไปในร่างของโฉมสะคราญ
โฉมสะคราญพูดเป็นเสียงพิมพ์พิลาศ
"จักร! ย่าต้องการความช่วยเหลือจากหลาน ย่าต้องการความยุติธรรม !"
โฉมสะคราญยื่นมือมาหา จุนจีกับลีจองกุ๊กอึ้ง พูดจบ ร่างที่ซ้อนทับกลับเป็นโฉมสะคราญตามเดิม แล้วล้มหงายไป จนชนพวกแท่นบูชา ทุกอย่างพังครืน!ของแตกกระจาย ลงตรงหน้าทั้งสอง
แล้วแม่หมอโฉมสะคราญก็แน่นิ่งไป ทั้ง 2 หนุ่มช็อก !กับเหตุการณ์
บ้าน ณ เวียงทับ เวลากลางคืน กรรณากับก้องฟ้าจ้องรูปถ่ายที่วางเต็มเตียงกรรณา
"แกเห็นอะไรไหม"
"เห็น"
"ถ้าตอบว่าเห็นรูปถ่าย โดนต่อย"
"งั้นไม่เห็น"
กรรณาชี้ไปที่รูป
"แกดูดีๆ ทุกรูปคุณแม่บ้านจารุณีจะทำอยู่แค่สองอย่าง ถ้าไม่แอบอยู่ข้างหลังก็ทำหน้าบึ้ง มีแววอิจฉาริษยา"
ก้องฟ้าจ้องรูปถ่ายพิมอรกับพงอินทร์ตอนสมัยมัธยมถ่ายรูปกับคุณย่า แม่บ้านจารุณีในชุดมัธยมปลายแอบมองอยู่หลังต้นไม้ , รูปพิมอรใส่ชุดนักศึกษามีสายสะพายพาดตัวเพิ่งได้ตำแหน่งดาวมหาลัยถ่ายกับพงอินทร์ ติดจารุณียืนอยู่ข้างหลัง , รูปจารุณีถ่ายคู่แผนยุทธกับพิมอรในวันแต่งงาน จารุณีไม่ยิ้ม
ก้องฟ้าพยักหน้าเห็นด้วย
"ก็จริง แต่แกอาจจะไม่ชอบถ่ายรูปก็ได้นะพี่"
"หรือไม่ก็ไม่ชอบคุณพิมอร"
"คิดมากไปไหม"
"แกสังเกตแววตาของคุณแม่บ้านจารุณีเวลามองคุณพิมอรสิ เหมือนเวลายัยแก้มมองรูป
ปาร์คจุนจีถ่ายกับนางแบบสวยๆ เปี๊ยบ"
กรรณาลุกเดินไปเดินมาประมวลความคิด
"แล้วทำไมคุณจารุณีต้องอิจฉาคุณพิมอร เขาโตมาด้วยกันไม่ใช่เหรอ"
กรรณาชูรูปพิมอรวัยสาวขึ้นมา
"ผู้หญิงคนนี้เกิดมาสวย รวย เป๊ะ"
จากนั้นชูรูปจารุณีวัยสาวคู่กับพิมอร
"ส่วนคนนี้ เด็กสาวคนก้นครัวที่ไม่มีอะไรเทียบคุณหนูพิมอรได้เลย ความอิจฉา-ริษยาก่อเกิดขึ้นในใจ แถมคุณพิมอรยังได้แต่งงานกับผู้ชายที่ดีมีชาติตระกูล คุณแม่บ้านอาศัยเวลาที่คุณพิมอรไม่อยู่บ้าน แทงข้างหลังคุณพิมอร"
จินตนาการของกรรณาผุดเข้ามาอธิบายเรื่องราว
"แต่แล้วคุณพิมอรก็รู้ความจริง คุณแม่บ้านจึงวางแผนฆ่าคุณพิมอร ตัวเองจะได้ครอบครองทุกอย่างเอง"
ในจิตนาการของเธอ ... จารุณีจ้องรูปแต่งงานของแผนยุทธกับพิมอรอย่างโกรธจัด แล้วหันไปเขียนไวท์บอร์ดคำว่า
ชื่อ พิมอร แล้วลากไปหาคำว่ารถ คำว่ารถลากไปหาคำว่าบ่อน้ำ... เธอเชื่อว่า จารุณีวางแผนฆ่าพิมอรอย่างตั้งใจ
"แถมยังพาชั้นเข้ามาในบ้าน คุณแม่บ้านคิดว่าชั้นเป็นกิ๊กใหม่ของคุณแผนยุทธ ถึงไม่ชอบขี้หน้าชั้น"
กรรณายืดอก ภูมิใจกับสมมติฐาน
"ทุกอย่างชัด เคลียร์ ทีนี้ก็เหลือแค่หลักฐานมัดตัวคุณแม่บ้าน คดีก็จะปิดได้อย่างง่ายดาย ฮ่าๆๆ ชมพี่มาได้เลยไอ้น้อง พี่พร้อมฟังแล้ว"
เสียงก้องฟ้ากรนดังสนั่น... คร่อก...
"ไอ้ก๊องๆ ปัดโธ่เว้ย เล่าจนคอแห้งมาหลับใส่ซะงั้น"
ทันใด กรรณาได้ยินเสียงเปิดประตู “แกร๊ก” เธอชะงักหันไปทางเสียงนั้น ก่อนค่อยๆเปิดแง้มประตูห้องออกมาดู ไฟในบ้านปิดมืด จู่ๆ มีเสียงปิดประตูกึ๊ก เธอเห็นเงาตะคุ่มๆ เดินออกมาจากห้องนอนพิมอร ซึ่งเป็นคนละห้องกับห้องแผนยุทธ
"อีตาแผนยุทธยังไม่กลับนี่ ใคร !"
กรรณาออกมาจากห้อง แล้วปิดประตูอย่างแผ่วเบาที่สุด ย่องตามบุคคลปริศนาไป
อ่านต่อหน้า 3
สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 5 (ต่อ)
กรรณาตามบุคคลปริศนาไปห่างๆ จนถึงบริเวณบันไดบ้าน เธอหลบหลังเสามองเห็นแม่บ้านจารุณีเดินลงบันได
“คุณแม่บ้านจารุณี “
จารุณีกอดกล่องอะไรบางอย่างไว้แนบอก ดินเร็วๆไปทางหลังบ้านราวกับกลัวใครจะมาเห็น
“คุณแม่บ้านถืออะไร “
เธอเดินตามไปอย่างอยากรู้ จารุณีเดินไปที่เรือนแม่บ้าน เธอตามมาห่างๆ ไม่ให้คลาดสายตา จนจารุณีเดินมาหยุดที่หน้าเรือนที่มีรูปนักแสดงหนุ่มเกาหลีแปะอยู่ เธอมองซ้ายขวาอย่างมีพิรุธ กรรณาหลบหลังต้นไม้แอบดู
“แม่บ้านจารุณีพักอยู่ที่นี่หรือ”
จารุณีดึงกุญแจพวงใหญ่ที่เหน็บอยู่กับเอวมาไขแม่กุญแจอันใหญ่บึ้ม
“ห้องตัวเอง ทำไมต้องล็อกซะเว่อร์ ซ่อนอะไรไว้แน่ๆ โดยเฉพาะกล่องนั่น”
จารุณีถือกล่องนั้นเข้าไปในห้อง ไฟในห้องสว่าง เธอดึงผ้าม่านลงปิดหน้าต่าง กรรณาย่องไปที่หน้าต่าง ย่อตัวมองลอดขอบล่างหน้าต่าง ลอดปลายผ้าม่านเข้าไปในห้อง ในห้องเห็นแสงไฟสีส้มสลัว บวกเปลวไฟจะตะเกียงน้ำมันหอม
จารุณีดึงกล่องออกมาจากใต้เตียง ดึงพวงกุญแจจากเอวมาไขฝากล่อง เธอพยายามหามุมมองให้รู้ว่า ในกล่องมีอะไร แต่เห็นไม่ชัดเพราะเตียงบังอยู่ จารุณีนำสิ่งที่กอดมาใส่ลงไปในกล่องใหญ่ ปิดฝา ล็อคกุญแจ เลื่อนกล่องกลับเข้าใต้เตียง กรรณามั่นใจว่า เบาะแสต้องอยู่ในกล่องนั้นแน่นอน
“อะไรอยู่ในกล่อง”
จารุณีลุกเดินมาทางหน้าต่าง กรรณารีบก้มหลบ สักพักก็ค่อยๆ โผล่หัวขึ้นมอง เห็นจารุณีถือผ้าเช็ดตัว วางพวงกุญแจไว้บนโต๊ะกระจก แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ เธอมองไปมาแล้วตัดสินใจ
“เอาว่ะ เป็นไงเป็นกัน”
กรรณาย่องไปที่ประตู จับและหมุนลูกบิดอย่างเบามือที่สุด
“อย่าล็อกนะ อย่าล็อก อย่าล็อก อย่าล็อก”
แกร็ก !ประตูไม่ได้ล็อก
“เยส”
กรรณาค่อยๆ เปิดประตูเข้าไป
ทันใดนั้น ก็มีมือหนึ่งคว้าแขนเธอหมับ กรรณาสะดุ้งตกใจ
“เฮ้ย !”
กรรณาคว้ากระป๋องสเปรย์ที่เอวขึ้นฉีดใส่หน้าเจ้าของมือเต็มๆ เขาร้องลั่น
“โอ๊ย!”
ภายในห้องน้ำ จารุณีถอดเสื้อแล้ว ได้ยินเสียงร้องของพงอินทร์ดังแว่วๆ จึงรีบคว้าเสื้อมาใส่
พงอินทร์ยกมือปัดป่ายและล้มลงกับพื้น กรรณาถึงเห็นว่าเป็นพงอินทร์
“ไอ้โจ้!”
พงอินทร์ปิดตา ร้องลั่น
“คุณเอายากันยุงมาฉีดใส่หน้าผมทำไม ! โอ๊ย ผมแสบ ตาผมบอดแน่ๆ”
เสียงกลอนประตูห้องน้ำดัง แกร็ก!
กรรณาหันขวับมองประตู ตัดสินใจล็อกคอและปิดปากพงอินทร์ กระชากตัวเขาออกจากบริเวณนั้น ในจังหวะพอดีกับที่แม่บ้านจารุณีเปิดประตูห้องออกมาพอดี
“เสียงอะไร”
เมื่อไม่พบอะไร จารุณีก็ปิดประตูเข้าห้องน้ำดังเดิม
กรรรณาลากพงษ์อินทร์มาที่บริเวณสวน เขาดิ้นๆ แล้วจับมือเธอไว้ แต่เธอดึงออกมาจนได้ เขาร้องโวยวาย
“คุณทำอะไร”
“หุบปาก ! รู้ไหมว่าที่นายโดนเข้าไปมันคือสเปรย์ยาพิษร้ายแรง ถ้านายร้อง ชั้นจะปล่อยให้นายตาบอด แต่ถ้านายเงียบดีๆ ชั้นจะให้ยาถอนพิษ”
พงอินทร์เงียบกริบ ยอมอยู่เฉยๆ เธอดึงเขาเดินต่อ
“คุณ ผมร้องได้ยัง”
“ยัง !ร้องได้เมื่อไหร่จะบอก”
“โอย...แสบตา “
“เงียบ...เดี๋ยวปล่อยให้ตาบอดเลย”
กรรณาใช้ผ้าผืนยาวคล้องคอพงอินทร์เดินจูงมา เขาตาปรือ รอบตาสองข้างแดงบวมจนเกือบปิด เขาเดินยื่นมือไปข้างหน้าเหมือนคนตาบอด แต่ดันเดินเอียงไปอีกทาง จนเกือบชนต้นไม้ กรรณาหันไปเห็นพอดี
“กริ๊กๆ ทางนี้”
“คนไม่ใช่นกหงหยก”
“หมาย่ะ ! ชั้นน่าจะฉีดปากนายแทน จะได้หยุดปากปีจอซะที”
“ตกลงผมแหกปากได้หรือยัง”
“เออ”
พงษ์อินทร์ตะโกนร้องลั่น โอดครวญอย่างโอเว่อร์
“โอ๊ย !แสบๆๆ แสบตาจะตายอยู่แล้ว”
“เยอะไปแหละ”
“ไม่ต้องพูดมาก ไหนล่ะยาแก้พิษ รีบๆ ไปเอาให้ผมเลย ตาผมจะบอดอยู่แล้ว”
กรรณาหันไปเห็นอะไรบางอย่างที่พื้น คิดอะไรออก
“ได้...เดี๋ยวนี้เลย”
กรรณาเดินไป พงษ์อินทร์ยืนคลำตาตัวเอง
“ยามายังล่ะ เร็วดิคุณ”
“ยาถอนพิษมาแว้ว”
กรรณาเอาสายยางมาแล้วฉีดน้ำใส่หน้าพงษ์อินทร์เต็มแรง เขายกมือป้องหน้า
“คุณ ! คุณ !เปียกหมดแล้ว”
กรรณาหัวเราะสะใจ
ที่กาญจนบุรี เวลากลางคืน ติณห์กำลังเดินเข้าบ้าน แล้วหยุดชะงัก เพราะเห็นอะไรบางอย่างที่สวน ในแสงโพล้เพล้ เบญจากำลังวางเทียนแบบกลมๆเล็กๆ หลายอันเรียงเป็นตัวอักษร ว่าอะไรซักอย่าง
ติณห์เข้ามามองงงๆ
“พี่ติณห์มาได้เวลาพอดีเลยค่ะ รบกวนพี่ติณห์ช่วยขึ้นไปดูข้างบนให้หน่อยสิคะ ว่าหนูเรียงเทียนเป็นคำว่าขอโทษเหมือนหรือยัง แต่ระวังอย่าให้คุณมิรันตีเห็นนะคะ เดี๋ยวไม่เซอร์ไพรส์”
ทียนเรียงว่า I AM SORRY
“คุณจะขอโทษมัมเรื่องอะไร”
“หนูเคยอ่านนิยายฟิคชั่น พระเอกไปง้อนางเอกด้วยวิธีนี้ ได้ผลด้วยนะคะ หนูเลยเอามาง้อแม่พี่ติณห์ แทนพี่ญาณินไงคะ แล้วเดี๋ยวหนูจะไปบอกท่าน ว่าพี่ญาณินเป็นคนทำทั้งหมดนี้”
“ทำไมมัมชอบคุณ ทำไมมัมอนุญาติให้คุณมาพักในบ้านนี้”
“อ้าว...พี่ติณห์”
“มัมไม่ยอมรับคนแปลกหน้าง่ายๆ แล้วทีแรก มัมก็ไม่ไว้ใจคุณ แต่อยู่ดีๆ...”
“ไม่ใช่อยู่ดีๆหรอกค่ะ เพราะหนูมาประจบท่านเอง ผู้หลักผู้ใหญ่ก็อย่างนี้ ชอบให้เด็กๆเอาอกเอาใจ พี่ติณห์ต้องเอาใจคุณแม่ให้มากๆนะคะ แล้วท่านจะอ่อนลงเองค่ะ”
“คุณคงเคยทำแบบนี้กับคุณพ่อคุณแม่คุณสินะ”
เบญจายิ้มใสนึกๆ
“คงเคยมั้งค่ะ “
“แล้วคุณนึกออกหรือยัง ว่าคุณคือใคร อะไรยังไง”
เบญจาสีหน้าเศร้าไป
“ยังเลยค่ะ”
“อยากตามหาพวกเขาไหมล่ะ ผมจะช่วย”
“หนูเคยได้ยินพี่ณินพูดว่า คนเราต้องมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ถึงจะมีความสุข ตอนนี้เวลานี้ หนูกำลังมีความสุขกับการเป็นเบญจาของทุกคน หนูไม่อยากรบกวนพี่ๆ ต้องเหนื่อยกับการตามหาว่าหนูเป็นใคร แค่พี่ๆ ช่วยดูแลหนู หนูก็เกรงใจจะแย่อยู่แล้ว ถ้าหนูมีครอบครัว สักวันพวกเขาก็จะต้องตามหาหนูเจอเอง”
ติณห์ยิ้มนิดๆ แต่แอบมองเบญจาอย่างสงสัย
ในเรือนพงษ์อินทร์เขาเช็ดหน้าด้วยผ้าขนหนู เปลี่ยนเสื้อ รอบตาแดงนิดหน่อย พงษ์อินทร์ค่อยๆ ลืมตามอง
เห็นกรรณายื่นหน้าแล่บลิ้น ทำตาเหล่ใส่
“ผมไม่ได้เป็นตาแดง ไม่ต้องมาแล่บลิ้นใส่”
“มองเห็นว่าชั้นแลบลิ้น แปลว่าตานายหายแล้ว งั้นชั้นไปแล้ว”
“เอาสิ ผมจะได้ป่าวประกาศให้ทั่วว่า คุณเป็นพวกโรคจิต ถ้ำมองคุณจารุณีอาบน้ำ”
พงษ์อินทร์ลุกเดินไปทางประตู เธอตามไปคว้าแขนเขาไว้
“ฉันไม่ได้บ้าขนาดแอบดูคุณแม่บ้านจารุณีอาบน้ำนะ”
พงษ์อินทร์แอบยิ้มอย่างเป็นต่อ ปั้นหน้ากวนเหมือนเดิม
“งั้น...ความจริงคืออะไร”
“คุณอยากเข้าใจยังไงก็แล้วแต่คุณแล้วกัน”
“ดี...งั้นผมจะไปฟ้องคุณจารุณี เดี๋ยวนี้เลย”
“เฮ้ย บอก ก็บอก”
กรรณาหมดทางหนีทีไล่
“ชั้นเห็นคุณแม่บ้านเดินลับๆ ล่อๆ ออกมาจากห้องบนบ้านใหญ่ ท่าทางน่าสงสัย ชั้นก็เลยตามมาดู แค่นั้นเอง”
“เขาออกจากห้องไหน”
“ถัดจากห้องทำงานคุณแผนยุทธไปทางขวาสองห้อง ห้องประตูสีขาว
“ห้องพี่พิม”
“ห้องคุณพิมอร ห้องคุณพิมอรไม่ใช่ห้องเดียวกับคุณแผนยุทธหรอกหรือ”
“พี่พิมกับคุณแผนยุทธแยกห้องกันนอนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ดีใจอะดิ”
“อย่าเปลี่ยนเรื่อง”
“โอเค เอาเป็นว่าผมจะบอกให้นะว่าคุณสงสัยอะไรไร้สาระ คุณจารุณีมีกุญแจเข้าออกทุกห้องในบ้านหลังใหญ่ ไม่แปลกที่เขาจะเข้าออกห้องพี่พิม เฮ้อ...คนเราเนอะ มีตาหามีแววไม่ คนที่ไว้ใจได้กลับระแวง แต่ไอ้คนที่โคตรไม่น่าไว้ใจกลับไว้ใจ”
“นายหมายถึงใคร”
“กิ๊กคุณไง ไม่ใช่สิ ระดับนี้คงเกินคำว่ากิ๊กไปแล้ว”
“ทำไมนายถึงคิดว่าคุณแผนยุทธไม่น่าไว้ใจ”
“บอกไปคุณก็คงไม่เชื่อ เอาเป็นว่าอดใจรออีกหน่อยเถอะนะ รอไว้ให้ผมได้หลักฐานเด็ดจากรถพี่พิม ผมจะกระชากหน้ากากคนให้ดู”
“รถคุณพิมอรมีอะไร”
กรรณาตั้งใจฟัง
“มี... มียางสี่ล้อ พวงมาลัย เข็มขัดนิรภัย ฝากระโปรง เบาะ”
“ไอ้บ้า อุตส่าห์ตั้งใจฟัง ชั้นกลับแล้ว”
กรรณาจะเดินไป พงษ์อินทร์รั้งแขนกรรณาไว้
“จะไปไหน”
“ดึกป่านนี้ไปตักบาตรมั้ง “
พงษ์อินทร์เปลี่ยนเป็นโทนเสียงอ้อนขอความเห็นใจ
“คุณจะไปไหนไม่ได้ คุณต้องอยู่ดูแลผม จนกว่าผมจะแน่ใจว่าตาผมไม่เป็นอะไร”
“ตัวใหญ่อย่างกับควาย โดนสเปรย์แค่นี้ไม่ตายหรอกน่ะ”
“ไม่ได้กลัวตาย แต่ถ้าเกิดผมตาพร่าเลือน หรือบอด มองไม่เห็นขึ้นมา เพราะถูกทำลายจอตา หรือเซลล์ตา ด้วยไอ้สเปรย์บ้าๆของคุณ คุณจะได้ประคองผมไปส่งโรงพยาบาลทัน และเป็นคนรับผิดชอบชีวิตผมทั้งหมด”
กรรณาเซ็ง
“โอ๊ย รื่องเยอะจริง”
บริเวณเรือนหลังเล็กของพงษ์อินทร์ เขานอนหลับอยู่บนโซฟา กรรณานั่งพับเพียบพัดให้ด้วยสีหน้าเซ็งสนิท
“พัดแรงๆ สิ ร้อน”
“เพคะๆ “
กรรณาพัดแรงขึ้น เขานิ่งไปแล้ว กรรณาชะโงกหน้าดูพงษ์อินทร์ แล้วด่า “ไอ้บ้า” แบบไม่ออกเสียง
เธอมองนาฬิกา เห็นว่าเวลาตีหนึ่งแล้ว จึงค่อยๆ วางพัด ยืนขึ้นบิดขี้เกียจ เช็กอีกรอบว่าพงษ์อินทร์หลับไปแล้ว จึงหันหลังค่อยๆ ย่องออกไป
จู่ๆ เสียงร้องเพลงกล่อมของพิมอรดังขึ้น กรรณาชะงักกึก หูขยับ
ทางด้านข้าง พงษ์อินทร์นอนหนุนตักพิมอร พิมอรลูบหัวเขาเบาๆ และร้องเพลงกล่อมเขา เขาอมยิ้มเพราะรับรู้ถึงความรู้สึกความรักความอบอุ่นของพิมอรที่มีให้เขาแม้จะหลับอยู่
กรรณาเดินเข้าไปใกล้เสียงเพลงนั้น แล้วหันไปเห็นพงอินทร์หลับสนิท ใบหน้ายิ้มนิดๆ อย่างคนหลับฝันดี เธอมองอย่างแปลกใจ พิมอรร้องเพลงจนจบ ลูบหัวน้องแล้วร้องไห้ พลางหันมามองดูกรรณา
กรรณายืนฟังเพลงนั้นอย่างประทับใจ จนจบ
“ใครคะ คุณคือพิมอร พี่สาวนายโจ้ใช่ไหม”
กรรณายืนเอียงคอ รอคำตอบ แต่เงียบ พงอินทร์หลับยาว
หน้าเรือนรับรอง ญาณินนั่งอยู่หน้าเรือนรับรอง ดื่มชาร้อน ส่งข้อความคุยกับติณห์อยู่ หน้าจอปรากฏข้อความ “คิดถึง นอนหลับฝันดีนะครับ” ญาณินยิ้มแล้วพิมพ์ตอบ
ภายในห้องรับแขก มือถือหน้าจอสว่างขึ้น ติณห์ยกขึ้นมาดู หน้าจอมีข้อความ “คิดถึงเหมือนกัน ฝันดีจ๊ะ พรุ่งนี้เจอกันค่ะ” เขายิ้มๆ เหม่อถึงญาณิน
อยู่ๆมีจานใส่ขนมปัง 1คู่ และกาแฟ 1 ถ้วย ยื่นเข้ามา
“เห็นพี่ติณห์ยังไม่นอน เลยทำขนมปังปิ้งกับกาแฟมาให้ค่ะ” เบญจาบอก
“งั้น เบญจาไปนอนก่อนนะคะ”
ติณห์พยักหน้ารับ เบญจายิ้มให้แล้วเดินไปห้องตัวเอง ติณห์มองตาม ตัดสินใจว่าต้องหาความจริงให้ได้ว่าเบญจาคือใคร
“เธอเป็นใคร”
เช้า วันใหม่ ณ สำนักงานตำรวจ ภายในห้องทำงาน ผู้การเปิดลิ้นชักใหญ่ ไล่หาของจนทั่ว หมอวรวรรธกับณัฐเดชนั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ ทำหน้างง
“ขอโทษนะครับ ผู้การหาอะไรอยู่หรือครับ เดี๋ยวผมช่วยหา”
“หาแฟ้มสรุปคดีคุณพิมพ์พิลาส หายไปไหนไม่รู้ ผมหามาหลายวันแล้ว หาไม่เจอ”
ณัฐเดชกับหมอวรรธมองหน้ากัน รู้ตัวว่า โดนผู้การพูดประชด
“เรายังไม่ได้ส่งครับ คือเรากำลังพยายามหาหลักฐานอยู่ครับ แต่...”
“แต่หาไม่เจอ หรือไม่หา เอาเวลาไปจีบสาวอยู่หรือไง”
ณัฐเดชหลบสายตาผู้การที่ต้องมองมา
“นั่นไง ! คุณไม่กล้าสบตาผม คุณเอาเวลาไปจีบสาวอยู่จริงๆ ด้วย เงินเดือนของคุณมาจากภาษีของประชาชน แต่คุณกลับเอาเวลาไปทำเรื่องไร้สาระ ผมรับไม่ได้”
“อย่างพี่ณัฐไม่จีบสาวหรอกครับ ผมยืนยันได้ครับ ผู้การ”
หมอวรวรรธยิ้มให้ ณัฐเดชยิ้มแห้งๆตอบ
“แต่จีบหนุ่มเรอะ” ผู้การถาม
“ไปกันใหญ่ มันไม่ใช่อย่างที่ผู้การคิดหรอกครับ”
“แล้วมันอย่างไหน”
“ผมกำลังพยายามอยู่ครับ”
“ถ้าพยายามแล้วยังไม่สำเร็จ ก็ต้องเพิ่มความพยายามเข้าไปอีก พวกคุณออกไปได้แล้ว ผมจะใช้ความพยายามของผมต่อ”
ผู้การเดินไปที่หน้าต่าง เพ่งออกไป
“ผู้การพยายามทำอะไรครับ” วรวรรธถาม
“ใช้พลังจิตยกรถนั่น”
วรวรรธกับณัฐเดชส่ายหน้า บ้าไปแล้ว
ณัฐเดชกับหมอวรวรรธเดินมาจากห้องผู้การ หน้าทั้งสองเซ็งจัด เพราะเพิ่งโดนด่ามา โทรศัพท์ณัฐเดชดังขึ้น เขารับสาย
“ไงไอ้ฝรั่ง”
ติณห์ยืนคุยอยู่บนระเบียง
“ถ้าชั้นอยากสืบประวัติคนๆ นึง ชั้นต้องทำยังไง”
“จ้างนักสืบสิ”
“โน มันดูซีเรียสไป เอาแบบที่ชั้นสืบได้เอง หรือนายสืบให้ชั้นก็จะเวรี่กู๊ดมาก”
“ส่งวัน เดือน ปีเกิดมาให้ชั้น”
“ไม่มี ไม่รู้อะไรเลย”
“ได้ เอารูปมาสิ”
“แค่ดูรูปก็รู้ได้เลยเหรอวะ”
“ไม่ขนาดนั้น แต่อย่างน้อยก็จะได้รู้หน้าตา รูปพรรณสัณฐานของคนๆ นั้น ส่วนที่เหลือ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ชั้น ว่าแต่นายจะสืบประวัติใคร”
ติณห์ไม่ตอบ
เบญจากำลังนั่งเพ้นท์เล็บให้มิรันตีอยู่ ฝ่ายมิรันตีกำลังนั่งสนใจกับเล็บสวยของตัวเอง
“ใช่...โอนสิทธิ์ทั้งหมดของตาติณห์มาไว้ที่ฉันแต่เพียงผู้เดียว”
มิรันตีพูดไปโดยไม่ได้หันไปมองทนายสมชาติที่นั่งเยื้องอยู่ด้านหลัง
“เออ...อันนี้เป็นความประสงค์ของคุณติณห์หรือครับ คุณมิรันตี”
“เป็นความประสงค์ของฉันนี่แหละ ในเมื่อมันเป็นสมบัติของพ่อฉัน แล้วฉันก็ยังไม่ตาย จะข้ามเจเนเรชั่นไปให้ติณห์ มันจะใช่เหรอ ฉันเป็นลูก เป็นผู้สืบสายเลือดโดยตรง ฉันควรเป็นผู้จัดการมรดกสิ”
“แต่ตอนแรก คุณสละสิทธิ์แล้วนี่ครับ”
“ไม่ต้องมาแต่อะไรทั้งนั้น ชั้นเปลี่ยนใจ ต้องการเรียกร้องสิทธิ์ที่ชั้นควรจะได้คืน เข้าใจไหมคุณทนาย คุณจะไปทำยังไงก็เรื่องของคุณ แต่เรื่องที่ฉันต้องการนี่ ต้องเสร็จต้องได้ แล้วถ้าจะสู้กันในศาลก็เอา ชั้นมั่นใจ ว่าจะชนะด้วย เพราะฉันคือลูกคุณหลวงพิชัยภักดี ยังไง ฉันจะไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือของนังยิปซีร้อยเล่ห์ ที่หวังจะมาใช้การสะกดจิตหมู่เพื่อมาฮุบสมบัติฉันแน่”
สมชาติอึกอัก
มิรันตีกำชับ
“ให้ไวด้วยนะ ไม่งั้น ชั้นอาจจะคิดว่าคุณก็ร่วมมือกะนังนั่น เป็นแก๊งค์เดียวกัน”
สมชาติหน้าซีด
เช้าสาย กรรัมภาขับรถเข้ามาจอดในบริษัทซิกส์เซนส์ เปิดประตูเดินนวยนาดเข้ามาทางกลาสเฮ้าส์ ถือกระเป๋าชาแนลใบใหม่ใบใหญ่ๆ ไว้ข้างหน้า ตั้งใจอวดเพื่อน
“โอ๊ยๆ อากาศร้อนจัง ขอน้ำเย็นๆ ให้คนมีกระเป๋าใหม่หน่อยเซ่”
กรรัมภาชะงัก เมื่อเห็นสุคนธรส เนตรสิตางศุ์นั่งอยู่กับลีจองกุ๊ก
“อันยอง...ซาหวาดดีกับคุงแก้ม”
กรรัมภาหันหลังจะเดินหนี ท่านเจ้าที่กระโดดขวางไว้
“เดินหนีลูกค้า เสียมารยาทนะจ๊ะ หนูแก้ม”
“หลบค่ะ คุณเจ้าที่”
“ไม่ค่ะ”
กรรัมภาหลบจะไปทางซ้าย เจ้าที่ก็ขยับไปขวาง กรรัมภาจะไปทางขวา เจ้าที่ก็ขยับขวาง ลีจองกุ๊ก เห็นกรรัมภาพูดคนเดียว ขยับซ้ายขวาคนเดียว เขาเกาหัวงงกับลีลาของผูหญิงคนนี้ สุคนธรสกับเนตรสิตางศุ์ลุกไปหา บอก
“คุณจุนจีไม่ได้มาหรอกจ้ะยัยแก้ม” เนตรสิตางศุ์บอก
กรรัมภาทำวางฟอร์ม
“มาไม่มาก็เรื่องของเขาสิ ชั้นแค่จะเอากระเป๋ามาวาง”
สุคนธรสบอก
“ก็วางสิจ๊ะ คนสวย นะ นะ”
ลีจองกุ๊กเดินมายิ้มให้ แต่กรรัมภายังเฉย ลีจองกุ๊กหุบยิ้มจ๋อยทันที
สุคนธรสบอก
“คืออย่างนี้แก้ม คุณลีจองกุ๊กเป็นตัวแทนจากคุณจุนจีมาขอให้เราไปช่วยติดต่อกับวิญญาณของคุณย่าคุณจุนจี”
“เป็นตัวแทน แล้วทำไมเขาไม่มาเอง”
ลีจองกุ๊กยิ้มแห้ง นึกภาพอดีต
“คือ คือว่า จุนจีอยากมามากแต่ต้องถ่ายละคร งานเยอะมั่กๆ ไม่ว่างเลยครับ”
“งั้นกลับไปบอกด้วยนะคะ ว่าพวกเราก็ไม่ว่าง งานเยอะ “มั่กๆ” เหมือนกัน”
“อย่าไปฟังมันนะคะ พวกเราว่างค่ะ ยินดีรับเคสของคุณจุนจี”
เนตรสิตางศุ์กับกรรณาและเจ้าที่เออออกันใหญ่
“กอบกุงทุกคนมั่กๆ คุงจะเริ่มงานได้เมื่อไหร่”
“เร็วที่สุดค่ะ เพราะยัยแก้มว่างอยู่” สุคนธรสบอก
กรรัมภาถาม
“ใครบอกว่าชั้นจะรับงานนี้”
“เราสามคนลงเสียงกันแล้ว“ เนตรสิตางศุ์บอก
“ใช่ๆ” เจ้าที่รับคำสนับสนุน
“ท่านเจ้าที่ไม่นับย่ะ”
“นับด้วยครับ ประชาธิปไตยไง” เจ้าที่บอก
ลีจองกุ๊กถาม
“ใครคับ ท่านเจ้าที่”
“เอาน่า สามในห้า คะแนนเป็นเอกฉันท์” เนตรสิตางศุ์บอก
“ท่านไม่เกี่ยว”
ลีจองกุ๊กงงไปกันใหญ่
“เอกฉันท์ แต่ชั้นไม่ทำ”
กรรัมภาคว้ากระเป๋า จะเดินออกไป
เนตรสิตางศุ์ สุคนธรสและเจ้าที่เรียก
“แก้ม คุณแก้ม”
สองสาววิ่งตามกรรัมภาไป
ลีจองกุ๊กลุกจะตามด้วย แต่โดนเจ้าที่คว้าไหล่ เขาหันไปไม่เจอใครแต่ขยับไม่ได้ นึกในใจโดนซะแล้ว
“อยู่นี่แหละคุณกล้ามโต ปล่อยให้เขาคุยกันเอง”
ลีจองกุ๊กไม่ได้ยินที่เจ้าที่บอก แต่ร้อง “ว้าก”
กรรัมภาเดินมาขึ้นรถ สุคนธรส เนตรสิตางศุ์วิ่งตามมาล้อมไว้
“ไอ้แก้มๆ เดี๋ยวๆๆ คุยกันให้รู้เรื่องก่อน”
“ชั้นไม่ทำ”
“แต่แกเหมาะสมกับงานนี้ที่สุด แกรู้ทุกอย่าง รู้ไปถึงไส้ถึงพุงนายจุนจี งานมันจะง่ายขึ้น” เนตรสิตางศุ์บอก
“ชั้นไม่ทำ ชั้นไม่ทำ ชั้นไม่ทำ”
สุคนธรสหันไปปรึกษาเนตรสิตางศุ์
“ทำไงดีวะแก”
“นั่นสิ”
ทันใดหมอวรวรรธขับมอเตอร์ไซค์เข้ามา ณัฐเดชขับรถตามมาจอดติดๆ สองหนุ่มลงจากรถ ต่างมีสีหน้าไม่สบายใจ กรรัมภาวิ่งเข้าไปเกาะแขนณัฐเดช
“พี่ณัฐช่วยแก้มด้วย พวกนี้มันไม่ให้ความยุติธรรมกับแก้ม”
“ทางนี้ดีกว่าคุณแก้ม พี่ณัฐอารมณ์บ่จอยอยู่” วรวรรธบอก
“พี่ณัฐเป็นอะไรคะ”
“โดนผู้การเฉ่งมา คดีการตายของคุณพิมพ์พิลาสยังไม่คืบหน้า ผู้การเข้าใจผิดคิดว่าพี่ณัฐเอาเวลาไปจีบสาว”
“พอไอ้หมอ ไม่ต้องเล่า แล้วนั่นรถใคร”
“รถของคุณลีจองกุ๊กผู้จัดการส่วนตัวของปาร์คจุนจีค่ะ เขาจะมาให้เราช่วยเคลียร์ปัญหาคุณย่าของปาร์คจุนจี”
“ย่าปาร์คจุนจี ก็คุณพิมพ์พิลาสน่ะสิ “ วรวรรธบอก
สุคนธรสถาม
“พี่ณัฐกับหมอทำคดีคุณย่าของปาร์คจุนจีอยู่เหรอคะ”
“ใช่ เราสงสัยว่าการตายของคุณพิมพ์พิลาสไม่ใช่แค่ถูกงูกัดตายธรรมดา แต่น่าจะมีเงื่อนงำมากกว่านั้น”
เนตรสิตางศุ์บอก
“เป๊ะเลยค่ะ คุณจองกุ๊กบอกว่า วิญญาณคุณย่าปาร์คจุนจีพยายามบอกจุนจีว่าให้ช่วยเธอ ถ้าเรารับงานนี้ ก็เท่ากับว่าเรายิงปืนนัดเดียวได้ช่วยนกสามตัว ช่วยบริษัทให้มีรายได้ ช่วยงานพี่ณัฐ และช่วยปาร์คจุนจี”
“ไอ้แก้ม ถ้าแกรักพี่ณัฐ รักพวกเรา แกต้องรับทำคดีนายจุนจีแล้วล่ะ” สุคนธรสบอก
กรรัมภาหนักใจ
ผ่านเวลาสักครู่ เนตรสิตางศุ์เจ้ากี้เจ้าการ จับทุกคนให้นั่งสงบๆ
“ตั้งใจฟังหน่อยค่า”
เนตรสิตางศุ์ไม่สามารถทำให้ทุกคนเชื่อฟังได้ ทุกคนยังคุย ซุบซิบกัน ณัฐเดชเอาแต่กดโทรศัพท์ เช็กไลน์
วรวรรธรีบช่วยแฟน เอาไม้มาเคาะโต๊ะปังๆๆ
“เงียบๆๆ”
ก็ยังไม่มีใครสนใจ ยังคงคุยกันอย่างเมามัน
“โห...เดี๋ยวป๋าจัดให้หนูเนตร” เจ้าที่บอก
“ค่ะๆ ช่วยหน่อยค่ะ”
ทันใดเจ้าที่ได้ใช้พลังอำนาจทำให้โทรศัพท์ดัง กริ๊งๆ น้ำก๊อกไหลแรงสุดชีวิต ไฟติดๆ ดับๆ ระฆังที่แขวนโชว์ตีดังติ๊งๆ ดังสนั่น ทุกคนสะดุ้ง เงียบ ได้ผล
“ขอบคุณค่ะ” เนตรสิตางศุ์พูดกับเจ้าที่
วรวรรธ กระซิบถาม
“ท่านเจ้าที่เหรอ”
“ค่ะ”
ลีจองกุ๊กนั่งไม่เป็นสุข ตากรอกไปมา กรรัมภาขยับตัวตรง จับๆทรงผมให้เข้าที่ พอมั่นใจ แล้วควักโพยกระดาษขึ้นมาอ่าน ทุกคนนั่งมองแก้ม เงียบลุ้น
“อะแอ่ม...ต่อไปนี้คือการแถลงข่าวจากดิฉัน ...กรรัมภา กรณีศิลปินดาราเกาหลี ชื่อนาย ปาร์คจุนจี แม้เขาจะเป็นเทพบุตร ซุปตาร์ เป็นไอด้อลและแรกรักของกรรัมภา แต่เขาก็ได้ทำร้ายจิตใจดวงน้อยของกรรัมภาอย่างทารุณโหดร้ายเกินที่ใจของคนจะทนได้ ดังนั้น กรรัมภาจะไม่ทน!”
วรวรรธบอก “จบซะละ”
“ยัง!... ปาร์ค จุนจี มีพฤติกรรมที่ยากเกินอภัยอย่างยิ่ง และสมควรถูกลงโทษให้เป็นเยี่ยงอย่าง ดังนั้น...”
ทุกคนตั้งใจฟังนิ่ง
“นับจากวันนี้เป็นต้นไป กรรัมภากับปาร์คจุนจี จะขอยุติความสัมพันธ์ดังกล่าวข้างต้นลง”
ทุกคนโพล่ง “โห,โหย,ว้า”
ลีจองกุ๊กลุกขึ้น
“หมายความว่า คุณจะไม่”
ลีจองกุ๊กโดนเจ้าที่จับกดให้ลงนั่ง เขาตัวสั่นๆ เหวอๆ
“ฟังก่อน!ขอยุติความสัมพันธ์ดังกล่าวข้างต้นลง เพื่อตัดความรู้สึกส่วนตัวออกไปให้หมด นับว่าเป็นเรื่องดีๆอีกเรื่องนึงนะคะ พี่ๆสื่อมวลชน...”
ทุกคน “โห่ว”
“แล้วชีวิตของเรา ก็จะได้ก้าวต่อไป ดังนั้น กรรัมภาจึงพร้อมแล้ว ที่จะยินดีรับผิดชอบภารกิจพิชิตมารให้กับนายจุลจักร สุขใจนิยม”
“หา ใครอะ”
“วงเล็บ นายปาร์ค จุนจี ให้สำเร็จลุล่วงนับจากนี้ไป ขอคารวะ กรรัมภา”
ทุกคน “เฮ้,เย้ แก้ม,วู้ๆ”
ทุกคนกรูกันมารุมกรรัมภา
“มันต้องแบบนี้สิครับ ขอผมกอดทีนะครับ” ลีจองกุ๊กจะกอดแก้ม
“เพื่อนกอดได้ หนุ่มเกาหลี ถอยไปไกลๆจะดีกว่า” สุคนธรสบอก
ลีจองกุ๊กเก้อ
“ไม่เป็นไรครับ แต่ถ้าจุนจีรู้ เค้าคงแฮปปี้มาก”
“อะๆๆๆไอโด้นท์แคร์ค่ะ ดิฉันรับงานนี้อย่างมืออาชีพจริงๆ” กรรัมภาบอก
“ขอบคุณคุณแก้มมากนะครับ มีคุณช่วย การทำงานของผมจะง่ายขึ้นมาก จริงไหมครับ พี่ณัฐ”
“ใช่ๆๆ แต๊งๆๆ”
ทันใด โทรศัพท์ณัฐเดชก็สั่นๆ เขารีบกดรับอย่างตื่นเต้น แล้วปลีกตัวเข้ามุมไป กระซิบกระซาบ เนตรสิตางศุ์กับวรวรรธสบตากันอย่างแปลกใจ
ณัฐเดชวางโทร หน้าตาดี๊ด๊า มีความสุขร่าเริง หายซีเรียสทันที
“เออ เรียบแล้วแล้วนะ หมอ แกจะอยู่ต่อก็อยู่เถอะ ชั้นต้องไปก่อนล่ะ ตามสบายนะ ตามสบาย ทุกคน บ๊ายบายๆๆ จุ๊บุๆๆ”
ณัฐเดชรีบไป ทุกคนงงๆ นิดหน่อย
ภายในเรือนรับรอง รีสอร์ตเมืองกาญจน์ เวลากลางวัน ญาณินในกรอบ viewfinderของกล้อง เธอกำลังเดินไปมา ชะเง้อดูว่าเบญจา หรือใครจะมาตอนไหน ภาพถูกปรับระยะโฟกัสไปมา แล้วกดชัตเตอร์ 3-4 ช็อตไปมา
“ต้องใช้กล้องดีขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
ติณห์กำลังก้มดูรูปที่ถ่ายในจอแสดงภาพของกล้องถ่ายรูปดิจิตัลในมือ
“มายคัมร่า ซูมได้อะไรได้ เราจะได้รูปที่คุณภาพไฮควาลิตี้สุดๆ”
“ก็ดีค่ะ โอเค นึกได้ละ เราจะต้องทำแผน ว่า คุณกำลังฮิตเล่นกล้อง ต้องการถ่ายรูปทุกคนในรีสอร์ตนี้”
ภาพใน viewfinderของกล้องแกว่งส่ายไปมา แต่พลันหน้าทนายสมชาติเข้ามาบังยืนอยู่เต็มกรอบ ในมือถือซองอกสาร
สมชาติอึดอัด ไม่เต็มใจพูด
“คุณติณห์ครับ ผมอยากรบกวนให้คุณเซ็นเอกสารหน่อยน่ะครับ”
ติณห์ยังเล็งกล้องไปมา
“อ่า คุณสมชาติ นิ่งๆ นิ่งๆ ดี เอียงซ้ายนิด ทำหน้าฉงนๆ ดีมากครับ หล่อมาก”
ติณห์กดชัตเตอร์ แล้วเอากล้องลง
“อะไรนะครับ เอกสารอะไรนะครับ”
“ครับ เอกสารที่คุณมิรันตีบอกว่าได้คุยกับคุณติณห์ไว้เรียบร้อยแล้ว”
ในเวลาต่อมา ภายในบ้านพักติณห์ เอกสารมอบโอนกรรมสิทธิ์ถูกวางลงตรงหน้ามิรันตี ที่กำลังนั่งเอกเขนกอยู่ ติณห์ฟึดฟัดนั่งลงตรงหน้า มีทนายสมชาติ ยืนอยู่ที่มุมหนึ่งห่างๆ
อ่านต่อหน้า 4
สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 5 (ต่อ)
ในเวลาต่อมา ภายในบ้านพักติณห์ เอกสารมอบโอนกรรมสิทธิ์ถูกวางลงตรงหน้ามิรันตี ที่กำลังนั่งเอกเขนกอยู่
ติณห์ฟึดฟัดนั่งลงตรงหน้า มีทนายสมชาติ ยืนอยู่ที่มุมหนึ่งห่างๆ
“มอมครับ นี่มันอะไรครับ”
“ก็ตามนั้นละ ทำไมต้องให้แม่อธิบายซ้ำหือ ติณห์ ลูกเชื่อแม่ก็แล้วกัน แม่ทำไปเพื่อลูกจริงๆ ลูกก็น่าจะรู้”
“เพื่อผม แล้วทำไมจะให้ผมเซ็นเอกสารโอนสิทธิ์กิจการรีสอร์ตและที่ดินทั้งหมดไปไว้ที่แม่”
“ก็ต้องเอามาไว้ที่แม่นี่ละจะปลอดภัยกับแกที่สุด แกมันหน้ามืดตามัว หลงอีพวกหลอกลวงสะกดจิตหมู่หัวปักหัวปำ ขืนแม่ไม่รีบตัดสินใจทำเรื่องนี้สิ มีหวัง สมบัติทั้งหมดของคุณตาแก จะละลายหายไปอยู่กับแม่นั่น”
“มอม คุณณินเขาไม่เคยต้องการอะไร”
“แล้วทำไมแกต้องหวงสมบัติแม่ด้วย”
“ผมไม่ได้หวง แต่ผมรู้ว่ามอมอยากเอาของๆของแกรนด์ปา ไปทำอะไรที่มอมอยากจะทำอยู่ตอนนี้ ซึ่งจะทำให้วิญญาณแกรนด์ปาซัฟเฟอร์ ไม่มีความสุข”
“วิญญาณแกรนปา โอ...ก็อต คุณทนายดูนะ ว่าลูกชั้นเคยดีๆ แต่ตอนนี้เพี้ยนสุดๆ”
“แต่ว่า”
“คุณรีบเอาปากกาไปให้ติณห์เขาสิ”
สมชาติเอาปากกาให้ติณห์แล้วแอบกระซิบ
“เอ่อ..คุณติณห์..คงต้องทำตามที่เราคุยกันไว้เมื่อกี้”
สมชาติวางปากกาลงบนเอกสารตรงหน้าติณห์
“ยังไงผมก็เซ็นต์ไม่ได้”
เบญจาที่ยืนฟังอยู่สักพัก เดินเข้ามาพร้อมอ่างน้ำ มาหยุดยืนอย่างงงๆ มิรันตีหันไปเห็น
“กำลังยุ่งอยู่หรือคะคุณแม่”
“เข้ามาเถอะเบ๊นซ์”
เบญจาเดินมาวางอ่างน้ำลงข้างๆมิรันตี แล้วหยิบลูกประคบจุ่มขึ้นมาประคบขาให้มิรันตี
“ติณห์ แม่จะบอกลูกอีกครั้งว่าที่แม่ทำ ก็เพื่อลูก ดังนั้นลูกต้องเซ็นต์ เดี๋ยวนี้”
ติณห์ถอนใจดัง นิ่ง ไม่หัน
“ติณห์”
“เอ่อ คุณติณห์คะ สงสารคุณแม่ออกนะคะ คุณทำแบบนี้ คุณแม่เสียใจแย่เลย”
ติณห์หันขวับมามองเบญจาขวางๆ แล้วหันไปมองทนายสมชาติที่พยักหน้าให้ทำตามที่แอบตกลงกันไว้ มิรันตีไม่สังเกตเห็น
“งั้น ผมก็มีคอนดิชั่น เงื่อนตาย”
“เงื่อนไขครับ” สมชาติบอก
“เงื่อนไข..ถ้าผมเซ็นเอกสารนี่ มัมต้องไม่ยุ่งกับเรือนไทยของแกรนด์ป๊าเด็ดขาด ผมจะทำเรือนไทยให้เป็นมิวเซียมของแกรนด์ป๊าและตระกูลเราเท่านั้น”
“พิพิธภัณฑ์!เพื่ออะไร ใครจะมาดู แล้วมันจะทำกำไรให้เราไหม โน โน”
“โอเค ถ้าอย่างนั้น จบข่าวครับ บายมอม”
ติณห์ยกมือไหว้ เดินจ้ำออกไป
“ดูนะ คุณทนาย ดูสิ หนูเบ๊นซ์ ลูกอกตัญญูมันหน้าตาแบบนี้ไง ดูไว้นะ ดูๆๆ”
มิรันตีโมโห เบญจาทำหน้าเยือกเย็น
มุมหนึ่งในบ้านพัก ญาณินปลอบใจติณห์
“เอาเถอะคะ ใจเย็น ค่อยหาทางพูดกับแม่คุณวันหลังให้เข้าใจจะดีกว่า เรื่องอย่างนี้มันละเอียดอ่อนเหมือนกัน”
ติณห์ถอนใจ
"ผมไม่ได้อยากแย่งสมบัติกับแม่ตัวเอง ที่สำคัญ...คนที่ผมแคร์คือแกรนด์ปา"
"เฮ้อ...ทำไมชีวิตมันถึงมีแต่เรื่องยากๆน้า"
ติณห์เหลือบไปเห็น เบญจาเดินผ่านไป เขาสะกิดเธอ
"มาแล้ว...จะไปไหนนะ"
เบญจาดูรีบเดินจ้ำอ้าว
"คุณแม่คุณคงใช้ให้ไปทำอะไรมั้ง"
"งั้น...เหมาะเลย กล้องๆๆ"
ติณห์รีบลุก ญาณินวิ่งไปเอากล้องมาส่งให้ ทั้งคู่พยักหน้ากัน
ติณห์วิ่งตามเบญจามาที่ล็อบบี้รีสอร์ต
"เฮ้ เบญจี้ น้องเบ๊นซ์ เบญจา"
เบญจารีบเดินลิ่วเลยไป หันมา
"ใช่ เธอนั่นละ"
"พี่ติณห์มีอะไรหรือเปล่าคะ"
"อืม พอดีพี่กำลังอยากได้ภาพรีสอร์ตสวยๆไปลงยูทูบ เลยถ่ายไว้หลายๆมุม พอดีเธอมา พี่อยากได้ภาพที่มีคนด้วย เบญจาช่วยไปยืนตรงนั้นให้หน่อยสิ
"เอ่อ คือ เบญจา"
"เอาน่า นิดนึง"
"คือ เบญจาต้องรีบไปนะค่ะ คุณแม่ให้หนูไปเอาของน่ะค่ะ"
"แป๊บเดียว สองสามช็อต ไป เบญจาไปเดินเป็นแบบให้พี่ถ่ายหน่อยนะ ไปยืนตรงนั้นนะ"
ติณห์ชี้แล้วดันๆตัวเบญจามายืนมุมหนึ่ง
"นี่ๆ ยืนนี่ แล้วมองมาทางผมนะ"
ติณห์ถอยไปสองสามก้าวแล้วยกกล้องขึ้นเล็ง
"โอเค วัน ทู ทรี โก"
ภาพใน viewfinder ของกล้อง เบญจาหน้าก้มๆ สีหน้าอึดอัดๆ
"อาเกน ขออีกทีนะ วัน ทู ทรี โก..วัน ทู ทรี โก"
ภาพใน viewfinder ของกล้อง เบญจายืนเกร็งๆ เบือนๆหน้า
"พอ พอแล้วค่ะ หนูต้องรีบไป"
"อาๆๆ โอเค แท้งกิ้ว เชิญตามสบาย"
เบญจารีบเดินลิ่วไป ติณห์มองตาม
ในห้องนอน... บนเตียง ไตรรัตน์ลืมตาผึงขึ้นมากลางดึก แล้วหันขวับหน้าหื่นๆไปทางสุคนธรสที่นอนตะแคงหันหลังให้อยู่ข้างๆ
"ที่รัก... ไม่ว่าที่รักจะยังไง ตอนนี้ ผมคงไม่ไหวจะทนอีกแล้ว"
ไตรรัตน์ขยับไปดึงไหล่สุคนธรสพลิกมา พร้อมกับโผเอาตัวคร่อมพรวด แล้วเขาก็ตะลึงงัน ตาเบิกโพลง หน้าเหวอ
เพราะหน้าสุคนธรรสมีหนวดเคราขึ้นเขียวครึ้ม หันมายิ้มเยาะ
ไตรรัตน์ตะโกนลั่น
"ไม่ อ๊าก!"
ไตรรัตน์แหกปาก ร้องลั่น
"ไม่...ไม่ ไม่เจง"
ไตรรัตน์สะดุ้งตื่นจากโซฟา ในห้องรับแขก มาเจอหน้าเจ๊หญิง และเสี่ยจำเริญที่รุมจ้องกันอยู่
" อะ อาไตร ลื้อเป็นอะไรหรือเปล่า"
"ม้า...คุณรส คุณรส"
"ลื้อฝันถึงหนูรสกลางวันแสกๆแบบนี้ ทำไมเป็นฝันร้ายล่ะ มันควรจะเป็นฝันอย่างอื่นสิ" เสี่ยจำเริญบอก
"ฝันอย่างอื่น หมายถึงอะไรเตี่ย"
"ก็หมายถึง ฝันหวานๆไง ตื่นมามันต้องยิ้มเผล่ ไม่ใช่ตื่นมาแล้วร้องให้ช่วย"
ไตรรัตน์อึ้ง
ด้านหนึ่ง เคที่กะแม่เดินเข้ามาพอดี ได้ยินทั้งสามคุยกันเลยตัดสินใจ แอบดูและฟัง
"นั่นสินะ คุณรสออกไปแล้วเหรอฮะ"
"ก็ออกไปแต่เช้าไง...แล้วทำไมลื้อมานอนข้างล่างอย่างนี้ล่ะ"
"ก็..เมื่อคืนผมดูบอลดึกไปหน่อย "
เจ๊หญิงบอก
"ให้มันได้อย่างนี้สิ ไม่ขยันทำการบ้านเลย แล้วยังไงเนี่ย พ่อกะแม่จะได้หลานมาอุ้มกันวันไหน"
ไตรรัตน์หน้านิ่ง เศร้าไป
"มันความผิดของใครล่ะ"
"แกหมายความว่าไง หนูรสเขาคุมกำเนิดหรือ"
เคที่กับแม่ตาลุก ย่องมาฟังใกล้ขึ้น
"ไม่ช่าย แต่เราสองคน ไม่เคย"
เจ๊หญิงถาม
"ไม่เคย...ไม่เคยอะไร"
ไตรรัตน์อึกอัก
"ไม่เคยมีโอกาสทำสิ่งที่ก่อให้เกิดการกำเนิดน่ะสิครับ"
เสี่ยจำเริญตกใจเล็กน้อย
"หา จิงดิ ที่แต่งงานกันมาหลายเดือนแล้วเนี่ยนะ"
"ครับเตี่ย เอาเป็นว่า เราแต่งงานกันเพียงแต่ในนาม เหมือนในละครสมัยโบราณเลย เรานอนจับมือกันเฉยๆเป็นอย่างมาก"
"อ้าว...หรือว่า นี่แกจะมาบอกแม่ว่า อาวุธแก มัน ใช้งานไม่ได้" เจ๊หญิงบอก
เคทีที่ย่องมาฟังใกล้หลืบ หน้าเหวอตกใจ ทิพย์ที่ตามมาด้วยบอกให้เงียบไว้
ไตรรัตนฺพูดต่อ
"โธ่ม้า ใช้ไม่ได้ กับไม่ได้ใช้มันต่างกันมากนะครับ แต่ช่างมันเถอะ ถ้าไม่ได้ใช้นานๆไป จากใช้ได้ก็อาจจะใช้ไม่ได้จริงๆก็ได้ งงมั้ย"
"ไม่งง...เข้าใจ" เสี่ยจำเริญบอก
"แล้วทำไมถึงไม่ได้ใช้ล่ะ"
เจ๊หญิงพูดกับเสี่ย
"หรือว่าฮวงจุ้ยในห้องตี๋น้อยมันไม่ได้ พอถึงเตียงแล้วหลับตลอด เอางี้นะ เดี๋ยวแม่จะเรียกอาเอี้ยง ซินแซฮวงจุ้ยชื่อดังมาจัดนู้นนี่ในห้องนอนให้ใหม่เอามะ แป๊บเดียว ห้องของลูก จะให้อารมณ์ที่เร้าใจ และตื่นเต้นตลอดเวลา"
"มันไม่ใช่เรื่องของฮวงจุ้ย...แต่...แต่"
"แต่...แต่อะไร" เสี่ยจำเริญถาม
สองแม่ลูกเขยิบเข้ามาแอบฟังใกล้เข้าไปอีก
"มันอยู่ที่ตัวคน...ตรงๆเลยละกัน คุณรสนั่นแหละ เขา...เขาแปลกๆ เขาเหมือนกับ เหมือนกับ..."
"เหมือนกับ..อะไร" เสี่ยจำเริญถาม
"เหมือน..เขาจะมีข้ออ้าง มีเหตุผลตลอดเวลา ที่จะไม่...ไม่"
เสี่ยจำเริญกับเจ๊หญิงถอนหายใจ เห็นใจลูกชายคนเดียว
เคทีตาลุกมองทิพย์ คิดแผนบางอย่างได้
เรือนรับรอง การ์ดเมโมรี ถูกเสียบเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ติณห์นั่งจ้อง หน้าจอแสดงแถบวิ่งโหลดภาพวิ่งเป็นชุดๆ
"โอเค"
ญาณินที่นั่งอยู่ตรงข้ามมองมา ติณห์คลิก
ภาพบนจอ แสดงรูปญาณิน อิริยาบถต่างๆ ภาพรวรรณยิ้ม ภาพทนายสมชาติหน้าบูด ตามด้วยภาพต้นไม้ ดอกไม้ที่ทางเดินหน้ารีสอร์ต ทุกภาพชัดแจ่ม ติณห์จดจ่อไล่ดูทีละภาพ
ภาพบนจอ แสดงรูปเบญจา รูปแรกยืนก้มๆหน้า แต่หน้ามืด คล้ายย้อนแสง รูปที่สอง มีแสงคล้าย lens flare บังหน้าเบญจาจนจ้าขาว รูปที่สาม เฉพาะหน้าเบญจาเลือนเบลอ เหมือนถ่ายวัตถุเคลื่อนที่ไว
"โอ ชิท"
ติณห์ไล่ดูภาพกลับไปกลับมาอีกที
"อะไรคะ"
ติณห์งง ญาณินลุกมาดู
"ผมถ่ายรูปเบญจามา แต่คุณดูซิ"
ญาณินดูที่หน้าจอตะลึงตาม
เจ๊หญิงมานั่งลงที่โซฟาในห้องรับแขก เคที่ และทิพย์ นั่งยิ้มหวานกันอยู่
"ไงจ๊ะ วันนี้มีอะไร มาแต่หัววันเชียว" เสี่ยจำเริญถาม
ทิพย์ยื่นของให้
"นี่ค่ะ โสมแดงคะคุณพี่ เคทีเขาสั่งมาพิเศษจากโคเรีย"
เจ๊หญิงยื่นมือไปรับไว้
"โถ ไม่ต้องลำบากกันขนาดนี้หรอก ให้ฉันหรือให้อาไตรละ"
"เพื่อคุณพี่โดยเฉพาะเลย ทานปุ๊บจะกระชุ่มกระชวย ผิวพรรณผุดผาด อ่อนเยาว์ ยังกะสาวสองพันปี" ทิพย์บอก
"สองพันปี"
"ใช่ค่ะ ไม่พอเหรอคะ แต่อย่างคุณแม่ อาจจะไปได้ไกลถึงสี่ห้าพันปีก็ได้นะคะ ของเขาดีจริง"
"ฉันไม่เอาหรอก ขอบคุณมาก ยิ่งโดยเฉพาะทำให้เป็นสาวสี่ห้าพันปี ฉันยิ่งไม่เอา ฉันยอมเป็นไปตามธรรมชาติ"
เคที่ ทิพย์ มองหน้ากัน ไม่ได้ผล หามุขใหม่
"ถ้าเอาไปให้ไธรส์ ไธร์สก็จะสมบุกสมบันคึกคักสมชายชาตรี มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองอะค่ะ"
"เหรอๆ ดี จะได้เอาให้อาไตร เผื่อจะช่วยได้บ้าง"
"หนูเห็นไธรซ์เค้าหมองๆ ลอยๆ ขรึมๆ เศร้าๆ เขาไม่สบายอะไรหรือคะ ซีดเซียวดูน่าเป็นห่วง"
เสี่ยจำเริญบอก
"อ๋อ อาตี๋น้อยเขาลุ้นอยากมีอาตี๋น้อยไวๆ เลยเครียดๆ ไปหน่อย"
ทิพย์ตกใจเวอร์
"ว้าย ตายแล้ว เขาแต่งงานกันมาตั้งนานแล้วนะคะ ยังไม่โอ้กอ้ากอีก ผิดปกติๆ มากๆ"
เคที่รีบรับมุขต่อ ไม่มีช่องว่างให้เสี่ยจำเริญกับเจ๊หญิงพูด
"ใช่ค่ะ ผิดปกติมากนะคะคุณแม่ ไม่ใช่อยู่กันไปสิบปี ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอรู้ตัวอีกที คุณแม่ กับอาป๋า ก็แก่ตายไปแบบเก้อๆ ไร้ทายาทสืบตระกูลนะคะ"
เจ๊หญิงคิดตามอย่างหวั่นๆ
"โอยๆ ไม่หรอก คงยังไม่ได้ที่ ของอย่างนี้บทจะมาก็มาเป็นพรวนเองละ...เออ...แล้วเงิน5ล้านของชั้น ที่เธอยืมไป ตอนนี้ถึงไหนแล้ว"
ทิพย์หยิบไอแพดออกมากดให้ดูรูปที่ดินเชิงเขา สวยงาม น้ำตกไหลผ่าน
"โอ๊ย..มันแจ๋วมากเลยค่ะ นี่ค่ะๆๆๆ...ที่ดินของเรา สวยไหมคะ"
เสี่ยจำเริญบอก
"โอ้โห...นี่มันภูเขา ลำธาร สวยยังกะอุทยานแห่งชาติ"
"ไม่ใช่อุทยานนะคะ ที่ดินส่วนบุคคลค่ะ มีโฉนด นส.3เรียบร้อย พร้อมโอน" เคที่บอก
"แล้วภูเขาทั้งลูกนี่นะ ราคา5ล้าน" เจ๊หญิงถาม
"ก็นี่ล่ะค่า...ที่อยากจะเรียนปรึกษาเจ๊ เอ๊ย..คุณพี่ คือ5ล้าน มันซื้อได้แค่แปลงเดียว เล็กๆๆ เล็กบิ๋มเดียวเอง..ไม่ถึง10ไร่ ถ้าเราอยากได้รีสอร์ตสวยๆ เราต้องหุ้นกัน ซื้อที่เพิ่มอีกหน่อย นี่คะ ซีร็อก นส.3ทั้งหมด คุณพี่ดูเอาเอง"
"แหม...อยากให้คุณแม่ไปดูที่กับเราก่อนจังแล้วค่อยตัดสินใจ แต่ถ้าเรามัวแต่ช้า ก็จะมีบริษัทใหญ่ ไปตัดหน้า...เอาไปทำหมู่บ้านทำรีสอร์ต ที่แบ่งขายเป็นหลังๆแทน เขาเงินหนาด้วยสิ"
ทิพย์เสนอ
"ขั้นแรก เราก็น่าจะมัดจำที่มาก่อน แล้วคุณพี่ค่อยไปดู แล้วมาช่วยกันวางแผนโปรเจ็กรีสอร์ตของเรา"
"น่าจะตั้งชื่อเหมือนตลาดไปเลยนะคะ คุณแม่ เป็นรีสอร์ตหญิงจำเริญ" เคที่บอก
กล่อมหักจนเจ๊หญิงชักเคลิ้ม
"รีสอร์ตหญิงจำเริญ"
"แหม...นี่ถ้าคุณพี่โอนให้ดิฉันอีกสัก10ล้าน เราก็มัดจำที่ไว้ได้ทั้งภูเขาเลย เป็นการตัดหน้าคู่แข่งทันเวลา"
"หะ หา อีกกี่ล้านนะ" เสี่ยจำเริญถาม
"อีกสิบล้านค่า"
เคที่ กับ ทิพย์ยิ้มหวาน
"สิบล้าน!"
เจ๊หญิงแทบหงาย
เสี่ยจำเริญเดินจูงมือเจ๊หญิงที่เดินสูดยาดม หนีไปรอบๆบ้าน เคที่ และทิพย์ ตามดักหน้าหลัง ยิ้มหวาน
"โครงการของเราเริ่ดจริงๆนะคะ" เคที่บอก
"คุณพี่กับเสี่ยจำเริญ จะได้มีภูเขาทั้งลูกเป็นของตัวเองแล้ว" ทิพย์บอก
เคทีกับแม่โพล่งพร้อมกัน
"ไชโย้! Yes"
"เดี๋ยว...ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย" เจ๊หญิงบอก
"ไม่เป็นไรค่ะ ทิพย์รู้อยู่แก่ใจ"
"ใช่ค่ะ ออกเป็นเช็ค หรืออะไรดีคะ" เคที่ถาม
"เอ้อ ลืมไป ยังไม่ได้ให้อาหารปลาคราฟ" เสี่ยจำเริญรีบหนีไปหลังบ้าน
"ใช่ๆ รีบไป...เดี๋ยวปลาตาย"
"หา คุณพี่เลี้ยงปลาคราฟตั้งแต่มะไหร่คะ"
"คุณแม่จะทำอะไร ใช้เคที่ได้นะคะ ให้อาหารปลา พาหมาไปอึ พาแมวไปฉี่ เอาผ้าไปซัก เอาเช็คไปเข้า จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ จองตั๋วเครื่องบิน หรือทำบุญ ทำบุญบริจาคของได้หมด"
ไตรรัตน์หน้ายุ่งๆ เดินถือโทรศัพท์ผ่านมา แล้วเดินเลี้ยวออกไปนอกบ้าน ทิพย์รีบสะกิดเคที่ทันที
เคที่มองตาม
เคที่ เดินตรงมาหาไตรรัตน์ที่กำลังยกโทรศัพท์ขึ้นมาจะกดโทร.
"ไธร์สคะ อย่าว่างั้นงี้เลยนะ คือเคที มีอะไรอยากจะพูดถึงยายจอมขมังเวทย์ของไธรซ์หน่อย"
ไตรรัตน์ชะงัก
"อะไรของคุณ"
"ความจริง เคทีก็ไม่อยากจะพูดถึงหรอกนะคะ ว่า ไอ้ที่เคที่สงสัยมาตลอดจะเป็นจริงขึ้นมาจนได้"
"คุณกำลังหมายถึงอะไร"
เคทียิ้มอย่างมีชัย
"คือ...งั้น เคที่ขอถามเรื่องส่วนตัวนิดนะคะ ว่าคุณรสของไธร์สน่ะ เป็นผู้หญิง เหมือนผู้หญิงปกติทั่วไปหรือเปล่า"
ไตรรัตน์สะอึก ฟังเงียบ
"ผู้หญิงปกติที่เขาจะรักสวยรักงามแต่งหน้า ทาเล็บ ทำผม อบไอน้ำ ทำสปาน่ะคะไธร์ส"
เคที่กรีดกราย ออกลีลา หูตาแพรวพราวราวกับนางแบบหน้ากล้องเผยใบหน้าเป๊ะ ขนตางอน ปากแดงอวบอิ่ม ผมสะบัดสยายของเธอไปมา เธอลูบไล้แขน ขา โชว์เล็บที่เพ้นท์มาอย่างสวย
ไตรรัตน์กรอกตาคิดตาม
ในห้องนอนไตรสุคนธรสสวมกางเกง ติดกระดุมเสื้อเชิ้ตแบบผู้ชายจนมิดคอ พับแขนเสื้อขึ้นเดินออกมาจากห้องน้ำ ถือมีดโกนขนแบบมีดโกนหนวดผู้ชายออกมาวางบนโต๊ะ
เคที่หยิบเอานิตยสารหัวนอกพรึบขึ้นมากรีดกรายพลิกอ่านไปมา แล้วทำหน้าตาวู้ว้าว ชอบๆ ตกใจ อยากได้ ชี้ๆ ในเล่ม
"ผู้หญิงปกติที่เขาชอบอ่านนิตยสารแฟชั่นอินเทรนด์ เช็กดวง ก็อสซิปดารา นิยายชวนฝัน"
ไตรรัตน์ฟังเงียบ หายใจไม่คล่อง ก่อนกรอกตาคิดตาม
อ่านต่อตอนที่ 6