xs
xsm
sm
md
lg

ธิดาพญายม ตอนที่ 6

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ธิดาพญายม ตอนที่ 6

ม่านชมพูที่ป้องกันทายาททั้งสี่และนาชะ ปาระนังกับราเชน ที่ยืนอยู่ข้างๆ ปาระนังสะบัดมือไปมาเกิดพลังลมวูบวาบฝูงผึ้งเข้าไม่ติด ราเชนใช้ลูกธนูไฟหมุนเป็นม่านกันไว้ ฝูงผึ้งบินจู่โจมเอกภพกับณัชชาที่ถือคบไฟกวัดแกว่งอยู่

ณัชชาแกว่งคบไฟหมุนติ้วกลายเป็นม่านไฟกันฝูงผึ้งไว้ไม่ให้เข้าใกล้แล้ววิ่งเข้าใกล้เอกภพที่กำลังถูกฝูงผึ้งรุมล้อม ฝูงผึ้งกระจายห่างออกไป
“ฝูงผึ้งเยอะมาก เราคงต้านไม่อยู่”
ทั้งสองมองฝูงผึ้งที่บินรอบตัว
นาฬิกาหยิบแว่นขึ้นมาใส่แล้วกราดสายตาดู คาดไม่ถึงแม้แว่นจะมีสีดำแต่ก็เห็นทุกอย่างชัดเจน
“ไม่มีร่องรอยของประตูกล”
บีมใส่ถุงมือแล้วแล้วยกขึ้นตรงหน้ากลายเป็นแสงออกไปเหมือนไฟฉายกราดไปมา
“ถุงมือไม่เวิร์ค”
“ปิงปองละ”
ปิงปองถือสมุดกับดินสอ แต่ไม่มีการวาดของดินสอเกิดขึ้น ปิงปองตัดสินใจวาดเองเป็นรูปสี่เหลี่ยม แต่แล้วก็จางหายไป
“ดินสอไม่ยอมวาด” ไกรยุทธ์ดึงเชือกออกมาจากเป้ “เอาเชือกมาเนี่ยนะหาประตู”
“ก็ไม่มีอย่างอื่นแล้วนี่” ทันใดนั้นเชือกสลายตัวจากขด ปลายข้างหนึ่งพุ่งออกจากม่านชมพูไปที่ต้นไม้แล้วหายเข้าไปในต้นไม้ “เฮ้...ดูนี่”
ทุกคนมองอย่างตื่นเต้น
“ประตูกล เร็วเข้ารีบดึงตัวตามเชือกเข้าไป” ทันใดนั้นม่านสีชมพูสลายตัวไปฝูงผึ้งที่บินวนอยู่เข้าจู่โจมทุกคน “องค์หญิง ท่านธิดา ทางนี้”
ทายาททั้งสี่สาวเชือกดึงตัวหายวูบเข้าไปในต้นไม้ ณัชชากับเอกภพพรวดเข้ามาเห็นเชือกลอยอยู่ปลายข้างหนึ่งอยู่ในต้นไม้
“ผู้กองเข้าไปก่อน” เอกภพสาวเชือกวิ่งพรวดหายไปในต้นไม้ ปาระนังกับราเชนเข้ามา “เชิญท่าน กับท่านธิดา”
ปาระนังกับราเชนสาวเชือกหายเข้าไปในต้นไม้ ณัชชามองฝูงผึ้งที่บินวนเวียนอยู่ ทันใดนั้นณัชชาปล่อยพลังออกไปยังฝูงผึ้ง เกิดเป็นแสงพุ่งไปยังฝูงผึ้งจนแตกกระจายณัชชาจ้องอย่างพอใจ

อาคินหันขวับตามเสียงพลังของณัชชา
“พลังเทพ เฮอะ องค์หญิงท่านพลาดจนได้ ท่านสองคนยังไม่รีบตามรอยไป”
เทพซ้ายขวาแวบหายไป อาคินยิ้มสะใจแล้วหายแวบตามไป
ณัชชายิ้มปล่อยพลังอีกครั้งหนึ่งไปที่ฝูงผึ้ง ทำให้ฝูงผึ้งโกรธแค้นรวมกำลังพุ่งเข้ามาที่บริเวณต้นไม้
“เทพอาคินตามมาเจอเหล็กในผึ้งหน่อยเป็นไร”
ณัชชาดึงเชือกเข้าประตูกลพร้อมสะบัดมืออีกครั้งฝุ่นรอบๆ ต้นไม้กระจายขึ้นลบรอยของทุกคนที่เข้ามาที่ต้นไม้หายไปจนหมด ณัชชาหายวูบเข้าไปในต้นไม้

ทุกคนยืนอยู่ตรงต้นไม้แล้วมองที่หมู่บ้าน
“เรามาอยู่ที่ไหนอีกแล้ว”
“อย่างน้อยมีหมู่บ้านให้เห็นผู้เห็นคนมั่ง”
“ยังไงขอพักสบายๆ ซะหน่อยก็ยังดี”
“หวังว่าเทพอาคินคงไม่โผล่มาเร็วเกินไป”
“เทพอาคินคงยังไม่โผล่มาง่ายๆ หรอก ป่านนี้อาจกำลังโดนผึ้งต่อยอยู่ก็ได้”
ทุกคนหันมามองณัชชา
“ยังไงครับ”
“ก่อนเข้าประตูกลฉันปล่อยพลังเทพออกไปคาดว่าเทพอาคินป่านนี้คงตามมาถึงแล้ว”
“เจอฝูงผึ้งพอดี”
ทุกคนต่างยิ้มกัน แต่แล้วเอกภพทรุดลง
“ผู้กอง”
ณัชชาปราดเข้าไปสำรวจดู ที่ต้นคอมีจุดอยู่จุดหนึ่ง
“แย่แล้ว ผู้กองถูกผึ้งต่อย”

ร่างของอาคินกับเทพซ้ายขวาถูกฝูงผึ้งรุมเข้ามา ทั้งสามต่างปล่อยพลังปล่อยกระแทกฝูงผึ้งกระจายออกไปชุลมุน
“รีบออกไปจากที่นี่”
อาคินปล่อยพลังแล้วแวบหายไป เทพซ้ายขวาแวบตามอย่างรวดเร็ว

เอกภพอยู่บนตักของณัชชา ณัชชาพลิกใบหน้าของเอกภพดูรอยแผลที่ต้นคอ ณัชชาใช้ฝ่ามือปล่อยพลังไปที่แผลที่ต้นคอของเอกภพ แต่ไม่ปรากฏว่าไม่มีผลอะไรเกิดขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น”
“พลังของพี่ณัชชาช่วยพี่เอกไม่ได้เหรอคะ”
“ฝูงผึ้งที่เราพบเป็นฝูงผึ้งมนตร์พิษร้ายแรงเราถึงพบซากมนุษย์ อาจต้องใช้น้ำผึ้งจากรังของพวกมันมาแก้พิษให้ผู้กอง”
ณัชชาวางศีรษะของเอกภพลงที่หมอนแล้วขยับตัวลุกขึ้น
“งั้นทุกคนรออยู่ที่นี่ เราจะไปเอาน้ำผึ้งมา”
ณัชชาขยับตัวไปที่ต้นไม้ประตูกล
“เดี๋ยวก่อนองค์หญิงตอนนี้ช้าไปแล้ว กลับไปผิดเวลาอาจจะพาองค์หญิงไปที่อื่นจนไม่อาจกลับมาที่นี่ได้ทันท่วงที”

ณัชชาถึงกับอึ้งไปเช่นเดียวกับคนอื่นๆ

ราเชนยืนระวังภัยอยู่หน้ากระท่อมหลังหนึ่ง และส่งถุงเงินให้ชายคนหนึ่ง
“เราขอรบกวนพักที่นี่ซักหน่อย” ชายชาวบ้านรับเงินแล้วถอยออกไป “เดี๋ยว” ชายชาวบ้านหยุด “เราไม่อยากให้ใครมารบกวน”
“รับรองว่าจะไม่มีใครรู้นายท่าน”
ราเชนพยักหน้า ชายออกไป
ภายในกระท่อมเอกภพหลับตาสนิทอยู่บนเสื่อเก่าๆ ของชาวบ้าน ล้อมรอบไปด้วยทายาททั้งสี่ นาชะและณัชชา ปาระนังเอามือแตะที่หน้าผากของเอกภพ
“อาการของผู้กองหนักมาก แต่ที่ยังต้านพิษอยู่ได้เพราะมีเลือดเทพอยู่ในตัวแต่ไม่รู้ว่าจะต้านได้นานเท่าใด”
ทุกคนต่างมองหน้ากันสีหน้ากังวล
ราเชนยืนระวังอยู่หน้ากระท่อม ปาระนังเดินเข้ามา
“ผู้กองเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่ค่อยดี องค์หญิงถ่ายพลังช่วยสกัดพิษไว้แล้วหวังว่าคงต้านได้นานพอ”
“ทายาทองค์รักษ์ย่อมไม่จบชีวิตง่ายๆ อย่ากังวลไปเลย” ปาระนังพยักหน้ารับ ทันใดนั้นราเชนหันขวับ “นั่นใคร”
ร่างของชายเจ้าของบ้านปลิวเข้ามากองที่พื้นตรงหน้าของปาระนังและราเชน ตามด้วยชายฉกรรจ์นับสิบ ทุกคนต่างมีคบไฟในมือและอาวุธหอกดาบอยู่ในมือ ชายคนหนึ่งถือถุงเงินที่ราเชนให้ชายคนนั้นยกชูขึ้น
“ข้าอยากได้เหรียญทองของท่านอีก ส่งมาซะดีๆ”
ราเชนกับปาระนังมองหน้าพวกมันสีหน้าเคร่งเครียด

ทายาททั้งสี่ นาชะและณัชชานั่งเฝ้าอาการของเอกภพอยู่ ได้ยินเสียงเอะอะด้านนอก ณัชชาขยับตัว
“ทุกคนอยู่ที่นี่ห้ามออกไป”
ณัชชาเดินออกไป ทุกคนมองตาม นาฬิกาขยับตัวเอาผ้ามาซับที่หน้าผากของเอกภพ
ประตูกระท่อมเปิดร่างของณัชชาก้าวออกมา พวกมันต่างมองณัชชา สายตาจ้องความสวย
“หรือไม่ก็ส่งนางหญิงทั้งสองคนมาให้ข้า” พวกมันหัวเราะ
“เชิญองค์หญิงกลับไปดูแลผู้กอง เดนมนุษย์พวกนี้เรากับท่านราเชนจัดการได้” ปาระนังบอก
ณัชชาจ้องพวกมันอึดใจแล้วกลับเข้าห้องไป พวกมันต่างทำเสียงอืออาเสียดาย หัวเราะกันสนุก
“พวกเจ้าอยู่ในหมู่บ้านนี้หรือ”
“เชอะ พวกข้ามีหมู่บ้านของข้าเองห่างออกไปตั้งชื่อว่าหมู่บ้านอหิงสา”
“หมู่บ้านละแวกนี้ล้วนกลัวเกรงหมู่บ้านข้า”
“ถ้าไม่ได้เหรียญทองข้าจะส่งตาเฒ่านี่กับเอ็งไปนรก” ผู้เป็นหัวหน้ายิ้มมองปาระนัง “เอานางนี่เป็นเมีย แล้วเผาหมู่บ้านนี้ให้วอด”
“ก็ได้ พวกเจ้าอยากได้เหรียญทองก็เข้ามาเอา” ราเชนสะบัดมือมีถุงเหรียญทองถุงใหญ่อยู่ในมือ ปาระนังยืนยิ้มอยู่ข้างๆ พวกมันต่างมองหน้ากัน ราเชนก้าวออกไป ยืนตรงหน้าพวกมันยื่นถุงเงินออกไป “ใครจะมาเอาเหรียญทอง”
“ข้าเอง” หัวหน้าก้าวเข้าไปตรงหน้าของราเชน มันเอื้อมมือไปคว้าถุงแต่ไม่สามารถดึงออกจากมือราเชนได้ “เฮ้ยเองทำอะไรวะ”
ทันใดนั้นร่างของราเชนลุกพรึบเป็นไฟขึ้นมาทั้งตัว ราเชนหัวเราะก้องไฟลามมาถึงหัวหน้าไหม้พรึบกลายเป็นเถ้าไป พวกมันถึงกับถอยหลังสีหน้าซีดเป็นไก่ต้ม
“พวกเอ็งคิดจะเผาข้าเลยสนองให้ และนี่คือไฟนรกที่จะเผาพวกเอ็งไม่ได้ผุดได้เกิด 500 ชาติ”
“พวกเรา...แก้แค้นให้หัวหน้า”
พวกมันพากันบุกเข้ามา ปาระนังดีดตัวไปท่ามกลางพวกมัน ตวัดดาบไปมา เสียงร้องบาดเจ็บดังระงม ในที่สุดพวกมันล้มไปเกือบครึ่ง ชายคนหนึ่งโดดเอาขวานฟันปาระนังทางด้านหลัง แต่แล้วมีมีดสั้นเล่มหนึ่งปักเข้าให้ที่หน้าอกของมันจากฝีมือของราเชน. มันร้องลั่นทรุดลง ทันใดนั้นมีดสั้นมีประกายไฟขึ้นมาลุกท่วมร่างมัน พวกมันต่างกลัวหันหลังวิ่งหายไปจนหมด
“มนุษย์เลวพวกนี้คงคาดไม่ถึงว่าจะตกนรกทั้งเป็น”
“เสร็จภารกิจแล้ว เราจะส่งหมู่บ้านของพวกมันไปนรกรับชะตากรรมที่พวกมันก่อไว้”
วันต่อมาณัชชา นาชะ และปาระนัง ยืนอยู่หน้าต้นไม้ ประตูกลที่ผ่านเข้ามา
“ท่านธิดาคิดว่าเวลาถูกต้องแล้วหรือยัง”
ปาระนังแหงนหน้ามองท้องฟ้า
“ยากที่จะบอก แต่พระอาทิตย์อยู่ในตำแหน่งใกล้เคียงกับเวลาที่เราผ่านออกมา หวังว่าองค์หญิงประสบความสำเร็จ”
“เราจะต้องกลับมา ช้าหรือเร็วเท่านั้น”
“เราจะทำทุกอย่างเพื่อให้ผู้กองมีชีวิตอยู่จนกว่าองค์หญิงจะกลับมา”
ณัชชาพยักหน้ารับ แล้วขยับตัวจะผ่านประตูกล ทันใดนั้นปิงปองวิ่งมากับไกรยุทธ์พร้อมตะโกนเรียกเสียงดัง
“พี่ณัชชา รอก่อน”
ปิงปองวิ่งเข้ามาใกล้ ยืนหอบ
“ดินสอของปิงปองวาดภาพออกมาครับ”
ปิงปองยืนหอบพร้อมส่งกระดาษให้ณัชชา ณัชชารับมา ปาระนังก้าวเข้าไปดูด้วยเห็นเป็นรูปนาฬิกาทราย
“นาฬิกาทราย”
“สวรรค์เป็นใจแล้วองค์หญิง สวรรค์มอบกุญแจผ่านประตูกลให้ท่าน” ทันใดนั้นปรากฏเป็นนาฬิกาทรายอยู่ในมือของณัชชา “พอทรายไหลหมดจากด้านนี้ก็คือเวลาเข้าประตูกลพอจะกลับก็ตั้งใหม่ รอจนทรายไหลจนหมดก็จะกลับมาที่นี่ได้ตามเดิม”
“ขอบใจมากปิงปอง” ปิงปองยิ้มให้ “แล้วเจอกัน”
ณัชชาหันหลังเดินเข้าประตูกลไป ทันใดนั้นนาชะก้าวตามพรวดหายเข้าไปด้วย ทุกคนถึงกับคาดไม่ถึง
“พี่นาชะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว นาชะย่อมไม่ปล่อยองค์หญิงไปตามลำพัง”
ทุกคนต่างยิ้มชื่นชมที่นาชะซื่อตรงต่อณัชชา

หน้าต้นไม้อีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นเวลากลางคืน ณัชชาสะบัดมือคบไฟติดมือขึ้นมา ณัชชาตวัดมือข้างที่ถือนาฬิกาทราย นาฬิกาทรายหายแวบไป ณัชชาหันมาทางนาชะ
“ใครให้เจ้าตามเรามา”
“แหม องค์หญิงก็...”
“เราให้เจ้าดูแลทายาททั้ง 4”
“นาชะฝากท่านราเชนไว้แล้ว ท่านราเชนรับปากด้วยความยินดี ท่านราเชนเก่งแล้วก็มีฝีมือกว่านาชะตั้งเยอะ
นาชะเชื่อว่าทายาททั้ง 4 ต้องปลอดภัย”

“เจ้ายังพูดมากเหลวไหลเหมือนเดิม”

นาชะได้แต่ยิ้ม ณัชชาส่ายหน้าทำเป็นเอือมแล้วก้าวเดินไปยังลานที่พักเดิมซึ่งยังมีซากกองไฟให้เห็นอยู่ ณัชชาก้มมองที่พื้นแล้วยิ้ม
“มีอะไรน่าขำหรือเพคะ”
“รอยเท้า ต้องเป็นของเทพอาคินกับเทพซ้ายขวา กำลังถูกฝูงผึ้งรุมต่อย”
“หวังว่าคงไม่นอนซมอยู่แถวนี้นะเพคะ”
“เทพอาคินมีพลังสูง คงหลบไปที่อื่นได้ทันท่วงที” ทันใดนั้นณัชชาหันไปทางด้านหนึ่ง“เสียงผึ้ง อยู่ทางด้านโน้นรังของมันอาจจะอยู่ที่นั่น”
นาชะมองตามสีหน้าตื่นเต้น

ที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ร่างของณัชชากับนาชะแวบมาใต้ต้นไม้ ณัชชากราดคบไฟไปมา
“องค์หญิงแวบมาแบบนี้ไม่กลัวเทพอาคินจะรู้ตำแหน่งเหรอเพคะ”
“ป่านนี้เทพอาคินอยู่คนละดินแดนแล้ว”
“อ้อ”
ณัชชาเงยขึ้นมองต้นไม้รอบๆ ยกคบไฟให้สูงขึ้น
“น่าจะมีรังอยู่แถวนี้”
ทันใดนั้นมีเสียงดังกระหึ่มพื้นสั่นสะเทือนไปทั่ว
“เสียงอะไรเพคะองค์หญิง”
“เสียงเหมือนสัตว์ฝูงใหญ่กำลังเคลื่อนตัว”
ทันใดนั้นเสียงผึ้งฝูงใหญ่ดังกระหึ่มมา ณัชชาหันไปก็เห็นฝูงผึ้งใหญ่บินออกมาจากถ้ำดำไปหมดแล้วค่อยเคลื่อนไปอีกด้านของเสียงสั่นสะเทือนที่ห่างออกไป
“ที่แท้รังของฝูงผึ้งอยู่ในถ้ำ”
“พวกมันคงออกไปล่าสัตว์ฝูงนั้น”
ณัชชายกคบไฟขึ้นไปยังหน้าถ้ำ เห็นทางเข้าถ้ำอยู่ในสายตา
“เร็วเข้า ก่อนที่พวกมันจะกลับมา”
ณัชชาแวบหายไป นาชะแวบตาม

เอกภพค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
“พี่เอก”
“เกิด...อะ...ไร...ขึ้น” เอกภพถามเสียงแผ่ว
“พี่เอกถูกผึ้งต่อย อาการไม่ดี องค์หญิงกำลังกลับไปเอายาแก้พิษ นาชะก็ไปด้วย”
เอกภพขยับตัวแต่ไม่ไหว
“องค์หญิง”
เอกภพทรุดหลับลงไปอีกครั้ง นาฬิกาถอนใจมองหน้าทายาทที่นั่งรายล้อมอยู่
“ซมขนาดนี้ยังทำซ่า”
“เฮ้อ ความรัก”
“พูดเหมือนรู้จัก มีแฟนแล้วเหรอ”
“แน่นอน” บีมทำฟอร์มหล่อ
“ขี้โม้ เราอยู่กับนายตลอดเวลาไม่เห็นมีหญิงซักกะคน”
บีมหายยืด นาฬิกากับไกรยุทธ์ขำ บีมเหล่ปิงปองประมาณว่าก็เธอไงล่ะแฟนฉัน แต่ปิงปองไม่รู้เรื่อง

ที่หน้ากระท่อม ราเชนยืนจ้องไปด้านหน้า ปาระนังเดินเข้ามา
“พวกเดนมนุษย์มาอีกแล้ว”
“พวกนี้ต้องพบกับความตายถึงจะสาสม”
ชายชาวบ้านโผล่มาหน้าตาตื่น
“พวกมันกลับมาอีกแล้วท่าน”
“ท่านหลบไปไกลๆ ก่อน เราจะจัดการกับพวกมันเอง”
ชายชาวบ้านรีบตาลีตาเหลือกออกไป ราเชนสีหน้าเคร่งเครียดเยือกเย็น

ณัชชาเดินถือคบไฟเข้าไปในถ้ำ นาชะอยู่ข้างๆ ในที่สุดทั้งสองหยุดมองตรงหน้า ด้านหน้าเป็นผนังที่แท้คือรังผึ้งทั้งผนังเห็นตาใหญ่กว่ารังผึ้งทั่วไป
“โห ดูขนาดแล้วตัวผึ้งคงใหญ่น่าดู”
“เรารีบเอาน้ำผึ้งแล้วออกไปจากที่นี่ดีกว่า”

พวกนักเลงนับสิบเดินเข้ามาที่หน้ากระท่อม ราเชนกับปาระนังยืนเตรียมพร้อมอยู่
“เมื่อคืนนี้น้องชายข้ามาที่นี่”
“อ๋อ...คนที่ขู่ว่าจะเผากระท่อมให้วอด”
“ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องรับผิดชอบ”
“เราส่งมันไปนรกเรียบร้อยแล้ว”
พวกมันต่างขยับหอกดาบรายล้อมราเชนกับปาระนัง
“พวกท่านเองก็ควรรีบกลับไปเตรียมตัวล่ำลาผู้คนก่อนที่จะไปพบกับพวกที่มาเมื่อคืนนี้”
ราเชนกราดสายตามองพวกมัน ปรากฏเป็นสายตาสีแดงของยมทูตมองพวกมัน พวกมันถึงกับตกใจหน้าซีด
“โปรดอภัยให้พวกข้าด้วย พวกข้ารู้เท่าไม่ถึงการณ์”
“พวกเจ้าเป็นคนไม่ดี ข่มขู่ผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนข้าให้อภัยไม่ได้”
“เฮ้ย ไม่ให้อภัยก็ต้องฆ่าทิ้ง ลุย”
พวกมันต่างบุกเข้าฟันทั้งแทงด้วยหอกดาบ ราเชนและปาระนังบุกเข้าปะทะด้วยชั้นเชิงที่เหนือกว่า พวกมันบาดเจ็บล้มตายไปหลายคนสุดท้ายพวกมันต่างวิ่งหนีเอาตัวรอด
“ท่านต้องส่งมันกับพวกไปนรกจริงๆ เหรอ” ปาระนังถาม
“คนพวกนี้ไม่รู้จักสำนึกผิดถูก เราเห็นอนาคตว่าลูกหลานมันจะทำให้มนุษย์ผู้อื่นเดือดร้อน สมควรกำจัดตัดไฟเสียแต่ต้นลม”

ราเชนสายตาเยือกเย็น

ร่างของณัชชากับนาชะแวบมายืนตรงลานพักเดิม ณัชชาถือคบไฟอยู่ในมือ ณัชชาสะบัดมืออีกครั้ง ตอนนี้มี นาฬิกาทรายปรากฏ ยกตั้งส่องกับคบไฟเพื่อให้ทรายไหลเพื่อจับเวลา ในมือนาชะมีถุงหนังสัตว์บรรจุน้ำผึ้งอยู่

“เจ้าระวังถุงน้ำผึ้งให้ดี”
“ผู้กองรู้ว่าท่านห่วงขนาดนี้คงปลื้มใจ”
นาชะทำหน้าทะเล้น
“เจ้าอย่าก่อกวนให้มาก”
ทันใดนั้นณัชชาขยับตัว นาชะถึงกับคาดไม่ถึงเมื่อร่างของอาคินกับเทพซ้ายขวาปรากฏ
“เทพอาคิน”
“องค์หญิงฉลาดมาก ล่อให้เรามาเผชิญกับฝูงผึ้ง”
“น่าเสียดายที่ท่านยังปรกติดีอยู่”
สายตาของณัชชามองที่นาฬิกาทรายที่ตัวเองกำไว้ในมือ เห็นทรายไหลลงมาอีกด้านหนึ่งใกล้จะหมดแล้ว
“ฝูงผึ้งมากมาย คาดว่าต้องมีคนหนึ่งคนใดต้องถูกพิษของมัน”
“ขอบใจที่ท่านเป็นห่วง”
“มีทางเดียวที่ท่านจะเอาน้ำผึ้งกลับไปได้ คือมีเราไปกับท่านด้วย”
“ท่านคิดว่าเราจะยอม”
“ถ้าท่านไม่ยอม เราจะทำลายประตูกล”
ณัชชายิ้ม ทันใดนั้นณัชชาสะบัดมือใส่นาชะ ร่างของนาชะปลิวหายเข้าไปในประตูกล อาคินคาดไม่ถึง
“ท่านช้าไปแล้ว แค่ต่างเวลาก็ต่างดินแดน” อาคินขยับตัวยกมือขึ้นหมายปล่อยพลัง“แล้วพบกันใหม่ท่านอาคิน”
ณัชชาแวบหายไปทันที
“รีบตามไป”
เทพซ้ายขวารีบแวบตามไปทันที

ร่างของนาชะกระเด็นออกมาจากต้นไม้กลิ้งกับพื้น พอตั้งตัวได้ก็สอดส่ายเห็นถุงน้ำผึ้งตกอยู่ไม่ห่างออกไป นาชะดีดตัวไปรีบคว้าถุงน้ำผึ้งขึ้นมาแล้วหันไปทางประตูกล
“แย่แล้ว องค์หญิง”

ร่างของณัชชาปรากฏในราวป่า เทพซ้ายขวาปรากฏตัวตามมาติดๆ
“ฝีมือท่านไม่เคยต้านเราได้”
ณัชชาพูดจบก็ดีดตัวเข้าหาเทพซ้ายขวา ปล่อยหมัดเตะต่อยจนเทพซ้ายขวาตั้งตัวไม่ติด เทพซ้ายขวาถอยไปมาปัดป้องพัลวัน อาคินปรากฏร่างปล่อยพลังเข้าใส่ณัชชา ณัชชาดีดตัวตีลังกาแวบหายไปอีก
“ตามไป”

ราเชนกับปาระนังยืนระวังอยู่ ร่างของนาชะปรากฏพร้อมถุงน้ำผึ้งในมือ
“นาชะ องค์หญิงณัชชาล่ะ”
นาชะได้แต่ถอนใจ สีหน้ากังวล ปาระนังกับราเชนต่างมองหน้ากันรู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดพลาด

ร่างของณัชชาแวบเข้ามาในถ้ำ ร่างของเทพซ้ายขวากับอาคินปรากฏตามมาติดๆ ต่างมีคบไฟอยู่ในมือ
“ยังไงก็หนีไม่พ้น”
“เรากำลังสนุกอยู่ต่างหาก”
ณัชชาดีดตัวเข้าหาเทพซ้ายขวาและอาคิน ตวัดดาบพิฆาต ฟันบุกอย่างดุเดือด ทั้งสามต่างต่อสู้กันหลายท่า
ณัชชาดีดตัวห่างออกมา
“หวังว่าท่านคงสนุกอยู่”
“แน่นอน”
ขณะนี้ณัชชายืนหันหลังให้นอกถ้ำ เทพซ้ายขวาและอาคินกลับกลายเป็นอยู่ในถ้ำโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นณัชชาบุกเข้าใส่ ฟาดฟันดาบพิฆาตเข้าใส่เทพซ้ายขวาและเทพอาคินอีกครั้ง ไล่ลุกบุกไล่คืบหน้าไปอีกสามก้าว ทันใดนั้นณัชชาปล่อยพลังใส่อาคิน อาคินยิ้มเบี่ยงร่างหลบได้อย่างง่ายดาย
“พลังเทพของท่านอ่อนและช้าลง”
ณัชชาตีหน้าเคร่งปล่อยพลังออกไปอีก อาคินเบี่ยงตัวหลบได้อย่างง่ายดายอีกครั้ง เสียงพลังของณัชชากระแทกผนังถ้ำด้านในตึง ตึง สองครั้ง ฝุ่นร่วงกราวจากเพดาน อาคินยิ้มเยาะ ณัชชาร้องเสียงดังแล้วบุกเข้าใส่ เทพซ้ายขวาและอาคินอีกครั้ง ฟาดฟันใส่เทพซ้ายขวาอย่างดุเดือดแต่แล้วกลับมีช่องว่างตรงหน้าเปิดอยู่ อาคินได้โอกาสสะบัดมือใส่เข้าที่ร่างของณัชชาถูกอย่างจัง ณัชชาลอยออกไปหน้าถ้ำ ทรุดลง
“องค์หญิงพาเราไปหาทายาทซะโดยดี แล้วเราอาจจะ...”
ทันใดนั้นฝูงผึ้งบินออกมาจากภายในถ้ำเข้าใส่ร่างของอาคินกับเทพซ้ายขวา จนทั้งสามตั้งตัวไม่ติด
ณัชชายิ้ม พึมพำ
“ลาก่อนท่านอาคิน”
ณัชชตวัดมือใส่ปากถ้ำ หินร่วงกราวมาปิดถ้ำ ร่างของณัชชาแวบหายไป ในขณะที่อาคินกับเทพซ้ายขวาปล่อยพลังปัดป้องผึ้งเป็นพัลวัน หินร่วงลงมาปิดถ้ำจนสนิท

เอกภพนอน นาฬิกานั่งอยู่ใกล้ๆ ปาระนังก้มตัวเข้ามาอีกด้านหนึ่งพร้อมจอกน้ำทำด้วยไม้ ปาระนังกับนาฬิกาช่วยกันยกคอของเอกภพขึ้น ปาระนังเอาถ้วยจรดที่ปากของเอกภพแล้วเอาถ้วยจ่อที่ริมฝีปากของเอกภพอึดใจก็ค่อยๆ ปล่อยคอของเอกภพนอนลงกับหมอนตามเดิม ทุกคนต่างจ้องอย่างกังวลใจ

ร่างของเทพซ้ายขวากับอาคินแวบออกมายืนที่ต้นไม้ประตูกล อาคินเสียอารมณ์
“องค์หญิง เราจะตัดหัวท่านเสียบประจานให้สวรรค์ต้องสั่นสะท้าน”
เทพซ้ายขวาเงียบสนิทไม่กล้าพูดอะไร

ราเชนยืนระวังอยู่หน้ากระท่อม ปาระนังยืนอยู่กับนาชะ
“เราไม่มีทางเลือกนอกจากรอองค์หญิงอยู่ที่นี่”
“นาชะเป็นห่วงว่าเทพอาคินจะติดพันจนองค์หญิงไม่สามารถกลับมาได้”
“อย่างน้อยองค์หญิงก็มีนาฬิกาทรายบ่งเวลาที่ถูกต้องกลับมาที่เดิมได้อย่างแน่นอน”
ทันใดนั้นร่างของบีมออกมาจากด้านใน

“ท่านธิดา อาการของผู้กองผิดปรกติกว่าเดิม”

อ่านต่อเวลา 17.00น.

ธิดาพญายม ตอนที่ 6 (ต่อ)

ภายในกระท่อม ใบหน้าของเอกภพที่มีเหงื่อจับสีหน้าออกซีด นาฬิกา ปิงปอง นาชะ อยู่ข้างๆ
“ทำไมพี่เอกถึงไม่หายคะ น้ำผึ้งแก้พิษได้ไม่ใช่เหรอคะ”
ปาระนังตรวจดูข้อมือของเอกภพ
“เราคิดว่าเพราะ องค์หญิงณัชชาใช้พลังสะกดพิษไว้ไม่ให้ลุกลามพลังขององค์หญิงพลอยสะกดน้ำผึ้งไม่ให้เข้าถึงพิษไปด้วย”
“แล้วยังไงคะ”
“ในเมื่อเป็นพลังขององค์หญิง มีเพียงองค์หญิงเท่านั้นที่จะควบคุมพลังนี้ได้”
นาฬิกาสีหน้าไม่ดี ปิงปองได้แต่เอามือโอบปลอบใจ ปาระนังสีหน้าเคร่งเครียดกังวล นาชะได้แต่ถอนใจ

ราเชนยืนระวังภัยอยู่ด้านหน้า ไกรยุทธ์กับบีม เดินไปเดินมาอยู่ข้างๆ สีหน้าร้อนใจ
“คนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครอง เธอสองคนต้องเชื่อมั่นและเข้มแข็ง”
ไกรยุทธ์กับบีมต่างถอนใจ พยักหน้าเข้าใจ ทันใดนั้นราเชนหันขวับไป พวกเดนตายกลับมาอีก คราวนี้มากันจำนวนมากนับได้ถึง 20 คน
“พวกนี้ร้อนใจที่จะไปนรกจริงๆ”
“บีมเข้าไปอยู่ข้างใน”
“ผมจะอยู่สู้กับมัน”
บีมล้วงถุงมือสีเงินมาใส่ ท่าทางพร้อม
“คุณบีมช่วยขึ้นไปคอยป้องกันพวกทายาทคนอื่นๆ ด้วย”
“งั้นได้เลยครับ”
บีมดีดตัวขึ้นไปบนกระท่อม ราเชนกับไกรยุทธ์ต่างยิ้มให้กันที่ให้บีมขึ้นบ้านไปได้ ทั้งสองเตรียมพร้อมประจันหน้า
“เธอคิดจะสู้กับพวกมัน” ราเชนถามไกรยุทธ์
“ครับ”
“ดีมาก” ราเชนตวัดมือส่งมีดสั้นให้ไกรยุทธ์ “มีดเล่มนี้จะช่วยป้องกันเธอ”
ไกรยุทธ์รับมา พยักหน้ารับสีหน้าเคร่งเครียด

พวกโจรเดินดาหน้ากันเข้ามา ราเชนกับไกรยุทธ์ ยืนเตรียมพร้อมรับมือ
“พวกนี้ไม่ยอมรอให้ท่านไปเผาหมู่บ้านพวกมัน”
ร่างของปาระนังก้าวออกมาหน้ากระท่อมลงมาร่วมวง
“ท่านควรจะอยู่ดูแลผู้กอง” ราเชนบอก
“อาการของผู้กองคงที่แล้ว คงหลับไประยะหนึ่งมีนาชะแล้วก็บีมอยู่คอยระวังทุกคน”
พวกเดนตายมาถึงหน้ากระท่อมพวกมันมีอาวุธพร้อม
“คราวนี้ข้าจะขยี้เอ็งให้ราบ”
“ใครจะตายก่อน”
“ฆ่ามันทุกคน แล้วเผาให้เรียบ”
พวกมันกรูกันเข้ามารุมล้อม ราเชน ปาระนัง และไกรยุทธ์ เกิดการต่อสู้กันอย่างดุเดือดตื่นเต้น
“ไกรยุทธ์อย่าห่างจากเรา”
พวกมันรุมล้อมบุกอย่างต่อเนื่องนับว่าพวกมันมีฝีมือ แต่ราเชนกับปาระนังรับมือได้อย่างสบาย ไกรยุทธ์อ่อนประสบการณ์สุดท้ายตกเป็นรอง มีพวกมันสองคนเข้ามารุมคนหนึ่งจามด้วยขวาน ไกรยุทธ์เอามีดสั้นรับไว้ได้แต่มือสะท้านเสียหลัก อีกคนหนึ่งเงื้อดาบหมายฟัน ทันใดนั้นเสียงปืนดังเปรี้ยง มันทรุดก่อนที่จะลงดาบ พวกมันต่างหยุดด้วยความตกใจ หันไปก็เห็นเอกภพยืนถือปืนอยู่
นาฬิกากับบีมประคองเอกภพคนละข้าง ปิงปองอยู่ใกล้ๆ นาฬิกา นาชะอยู่อีกด้านหนึ่ง
“คนกำลังนอนพวกเอ็งมาส่งเสียงกวนใจ”

หัวหน้าโจรจ้องที่เอกภพ จ้องที่ปืนในมือยังเห็นควันปืนลอยอยู่
“อย่าให้ใครรอดออกไป”
หัวหน้าโจรสั่ง พวกมันบุกเข้ามาอีก เอกภพลั่นไกเปรี้ยงๆ พวกมันทรุด ราเชนกับปาระนังบุกฟันด้วยดาบของตน ไกรยุทธ์ออกลวดลายอย่างเต็มที่พวกมันบุกเข้ามาฟันเปรี้ยง มีดสั้นหลุดจากมือ มันตามติดแต่แล้วก็ต้องตาเหลือกเมื่อมีดสั้นลอยมาขวางหน้าของมัน ไกรยุทธ์ฉวยโอกาสถีบโครมเข้าให้มันกระเด็นไป มีดสั้นวิ่งเข้ามาอยู่ในมือของไกรยุทธ์เหมือนเดิม
“ขอบใจมากพี่มีดสั้น”
เสียงปืนดังเปรี้ยงพวกมันทรุดไปอีกหนึ่ง เอกภพขยับปืนแต่ทันใดนั้นเอกภพตัวงอทรุดเพราะอาการพิษกำเริบ
“พี่เอก”
“รีบพาผู้กองเข้าไปข้างใน”
นาฬิกากับปิงปอง ต่างช่วยประคองเอกภพ บีมกับนาชะคอยระวังดู อยู่ข้างๆ ทันใดนั้นพวกมันสองสามคนแหวกวงล้อมดีดตัวขึ้นมาบนหน้าลานบุกล้อม พวกมันคนหนึ่งเข้ามา บีมตกใจยกมือข้างที่มีถุงมือยกใส่เป็นแสงจ้าส่องตามัน มันร้องลั่นมองไม่เห็น บีมโดดถีบมันกระเด็นไป แต่แล้วพวกมันบุกหลุดเข้าประชิดตัวคว้าปิงปองกับนาฬิกาไว้ได้ เอกภพทรุดลงกับพื้น นาชะคว้าคนที่อยู่ใกล้เอกภพแล้วแวบหายไปโผล่กลางอากาศแล้วปล่อยมันหล่นลงมามันร้องเสียงหลงกระแทกพื้นทรุด แต่พวกมันเข้ามารุมเอกภพหลายคน ทันใดนั้นร่างของณัชชาปรากฏขึ้นมาใช้พลังฝ่ามือตบพวกมันกระจัดกระจายออกไปในที่สุด
“พี่ณัชชา”

พวกมันหยุดตั้งตัวมองณัชชา ณัชชากราดสายตาดุร้ายมองพวกมัน ทันใดนั้นหัวหน้าของพวกมันโบกมือ
“ถอยก่อนเว้ย”
พวกมันถอยวิ่งหนีกันป่าราบ
“พี่ณัชชา พี่กลับมาทันพอดี”
“ผู้กองเป็นอะไร น้ำผึ้งแก้พิษไม่ได้หรือ”
“คิดว่าพลังขององค์หญิงที่กันพิษไว้ บังเอิญกันน้ำผึ้งแก้พิษด้วย”
“เชื่อเลย รีบพาผู้กองเข้าไปด้านในก่อน”

ร่างของเอกภพนอนอยู่ในกระท่อม ทุกคนนั่งห่างออกไปเล็กน้อยสีหน้าเป็นกังวล ณัชชากับปาระนังนั่งอยู่ข้างๆร่างของเอกภพคนละด้าน ปาระนังถือจอกน้ำผึ้งเตรียมพร้อม
“องค์หญิงต้องสลายพลังขององค์หญิงที่เป็นกำแพงล้อมพิษจากร่างของผู้กองให้หมด”
ณัชชาวางฝ่ามือบนหน้าอกของเอกภพ หลับตา พลังของณัชชาวิ่งออกจากร่างของเอกภพกลับเข้าสู่ฝ่ามือของณัชชาจนหมด อึดใจร่างของเอกภพก็สั่นสะท้านสีหน้าดำคล้ำ

“น้ำผึ้ง เร็วค่ะ องค์หญิง”

ปาระนังส่งจอกน้ำผึ้งให้ ณัชชารีบเอาจอกน้ำผึ้งจรดปากเอกภพแล้วปล่อยพลังเดินน้ำผึ้งเข้าไป ครู่หนึ่งร่างกายของเอกภพก็เริ่มสั่นเบาลงและนิ่งสงบในที่สุด ทุกคนต่างโล่งใจ บีม ปิงปอง นาฬิกาและนาชะ เข้ามา
“เกิดอะไรขึ้นคะ”
“พอองค์หญิงถอนพลัง พิษก็เข้าสู่เส้นเลือดทำให้ผู้กองอาการหนัก แต่น้ำผึ้งเข้าไปทำลายพิษได้ทันท่วงที ตอนนี้น่าจะปลอดภัยแล้ว”
“โชคดีพี่ณัชชากลับมาได้ทันเวลาพอดี”
“นั่นน่ะซิ ไม่ยังงั้นโดนผู้กองบ่นไม่หยุดแน่ๆ”
ทุกคนต่างยิ้ม บรรยากาศดีขึ้น

ราเชน ปาระนัง ไกรยุทธ์ ณัชชา อยู่หน้ากระท่อม
“ผู้กองยังไม่แข็งแรงพอที่จะเดินทาง คงต้องพักอีกอย่างน้อยหนึ่งวัน” ณัชชาบอก
“เราต้องระวัง พวกนั้นอาจจะกลับมาอีก”
“เราจะตามไปจัดการพวกมันให้สิ้นซาก”
“เราไม่ควรคร่าชีวิตผู้คนโดยไม่จำเป็น”
“มีคนมา”
ทุกคนหันไปก็เห็นชาวบ้านเข้ามากลุ่มหนึ่งประมาณ 10 คน มีลุงเจ้าของบ้านอยู่ด้วย ทุกคนเดินใกล้เข้ามา
“ได้โปรดช่วยเราขับไล่หมู่บ้านโจรพวกนี้ไปด้วยเถิดท่าน”
“จู่ๆ พวกมันมาตั้งหมู่บ้านของพวกมัน ไม่เกรงกลัวกฎเจ้าเมือง”
“พวกมัน รังแกชาวบ้าน ปล้นทรัพย์สิน ใครขัดขวางมันก็เผาบ้าน”
“ถ้าเช่นนั้น เราจะไปกับท่านราเชนจัดการกับพวกมัน” ณัชชาบอก
“ระวังด้วยนะท่าน มันมีแม่มดมีวิชาอาคมเป็นหัวหน้าของพวกมัน”
“แม่มดรึ ดี จะได้สนุกมากขึ้น”
“ฝากท่านธิดาคอยระวังทายาทและผู้กอง”
“ไม่มีใครผ่านเข้ามาได้เด็ดขาด”
“พวกท่านรีบนำเราไป”
ชาวบ้านรีบเดินนำ ณัชชากับราเชนเดินตามไป ปาระนังกับไกรยุทธ์เตรียมพร้อมระวัง

ที่ลานของหมู่บ้านโจรอหิงสา ล้อมรอบด้วยกระท่อมที่พักของพวกมัน แม่มดนามะนี ยืนอยู่บนแท่นหิน สีหน้าดุร้ายน่ากลัวด้วยความโกรธ
“เลี้ยงพวกเจ้าเสียข้าวสุก”
“พวกมันมีอาวุธสายฟ้า เสียงดังเหมือนฟ้าผ่า ถูกเป็นดิ้น พวกเราเข้าไม่ติด”
“พวกมันมีวิชา”
แม่มดนามะนียกไม้เท้าชู
“มันต้องเห็นฤทธิ์ไม้เท้าข้า มีข้าเท่านั้นที่ยิ่งใหญ่”
ทันใดนั้นมีมีดสั้นพุ่งเข้ามาปักที่ไม้เท้าของแม่มดนามะนี พวกมันต่างตกใจแตกตื่นหันไปก็เห็นณัชชากับราเชนยืนเด่นอยู่บนหลังคากระท่อมของพวกมัน แม่มดนามะนีสะบัดไม้เท้ามีดสั้นปลิวเข้าหาณัชชากับราเชน ราเชนสะบัดมือออกมา มีดสั้นวิ่งเข้าหามือของราเชนอย่างง่ายดาย ราเชนกับณัชชาร่อนลงมาที่ลานของพวกมัน พวกมันถอยกรูดไปยืนอยู่ด้านหลังของแม่มดนามะนี
“ฝีมือมีน้อยนิด คิดอยากเป็นใหญ่”
“ใครถลกหนังพวกมันได้ ข้าจะให้เพชร นิล จินดา เหรียญทอง” แม่มดนามะนีบอก พวกมันต่างเฮกันเข้ามา
“พวกโง่เขลาเห็นแก่สินจ้าง จนยอมตาย”
“เราช่วยสงเคราะห์ให้ไปเกิดใหม่น่าจะดี”
ราเชนกับณัชชาดีดตัวเข้าไปกลางกลุ่มพวกมัน ราเชนตวัดมือมีมีดสั้นประจำตัวออกมา ไปถึงไหนล้มตายที่นั่น
ณัชชาใช้แค่ฝ่ามือเตะต่อย ผ่านที่ไหนพวกมันล้มตายที่นั่น แม่มดนามะนี เห็นท่าไม่ดีกราดสายตาเห็นพวกมันล้มตาย หมดจึงดีดตัวพุ่งหนี ร่างลอยลิ่วไปบนหลังคากระท่อม
“หนีไม่พ้นหรอก”
ราเชนสะบัดมือธนูโลกันต์ปรากฏ เหนี่ยวปล่อยลูกธนูออกไป ลูกธนูเสียบอกแม่มดไฟลุกท่วมตกลงบนหลังคากระท่อม ไฟลุกท่วมลามไปทั้งหมู่บ้าน ทันใดนั้นชาวบ้านที่หลบอยู่ต่างวิ่งออกมาส่งเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจ ณัชชากับราเชนพยักหน้าให้กันแล้วดีดตัวออกไป

เช้าวันรุ่งขึ้น พวกชาวบ้านต่างโบกมือให้กับขบวนของณัชชาที่ห่างออกไป ทายาททั้งสี่และนาชะต่างหันมาโบกมือให้ชาวบ้านยิ้มกันอย่างสนุก
“ต้องขอบคุณองค์หญิงที่อุตส่าห์กลับไปเอาน้ำผึ้ง”
“ด้วยความยินดี ไม่อยากให้ทายาททั้ง 4 ต้องใจเสียถ้าคุณเป็นอะไรไป”
“โห...นึกว่าห่วงผมซะอีก”
“เปล่า”
“มิน่าถึงแกล้งปล่อยพลังสกัดพิษทำเอาผมเกือบเดี้ยง”
“น่าเสียดายที่ไม่เวิร์ค”
“นั่นนะซิครับ”
“คุณทำให้เราช้าไปสองวัน เร่งฝีเท้าหน่อย”
ณัชชาพูดจบ เดินนำออกไป เอกภพยืนยิ้ม
“เชื่อเลย”
“อย่ายอมแพ้พี่เอก”
นาฬิกาบอก เอกภพยิ้มเดินคู่ไปกันนาฬิกา
“องค์หญิงมุ่งแต่เรื่องหากุญแจ ถ้าทางคุณเอกภพจะหมดหวัง” ราเชนคุยกับปาระนัง
“ปาระนังเชียร์คุณเอกภพค่ะ”

ทั้งสองต่างยิ้ม ขณะพากันเดินไป

ทั้งหมดหยุดพัก ต่างล้อมวงปรึกษากัน นาชะ เอาขนปีกแจกให้ทุกคนอีกครั้ง
“เก็บไว้ให้ดีล่ะ คราวนี้”
ปิงปองรับมาแล้วเก็บใส่เป้ของตนอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างยิ้ม
“ผมนึกว่าเมื่อพ้นด่านที่หนึ่งแล้วเราจะพบปริศนาของการเดินทาง”
“ความจริงควรจะเป็นเช่นนั้น แต่เทพอาคินปรากฏตัวทำให้รีบร้อนจนอาจหลุดเส้นทางออกมา”
“แต่เราออกมาตามประตูที่ดินสอของปิงปองวาดนี่ครับไม่น่าจะหลงเส้นทาง”
“ประตูที่ปรากฏอาจเพื่อให้เราแค่พ้นอันตรายแต่อาจจะไม่ใช่ประตูที่นำเราไปสู่ด่านที่ 2 ก็ได้”
“งั้นพวกเราก็ต้องลองสำรวจแผนที่ดู”
“เอาเลยบีม ลุย”
ทุกคนต่างยิ้ม

ทายาททั้งสี่นั่งที่พื้นดินหันหน้าเข้าหากัน ต่างปล่อยพลังจากฝ่ามือเข้าหากันภาพที่ปรากฏคือประตูด่านที่หนึ่ง ที่มีน้ำตกอยู่ด้านหลังที่ผ่านมาแล้ว อึดใจภาพก็จางหายไป
“ถ้าเราอยู่ในเส้นทาง แผนที่ต้องบอกตำแหน่งด่านต่อไป”
“เราต้องหาประตูกลับไปยังจุดสุดท้ายคือจุดที่ทายาททั้ง 4 พบของประจำตัว”
“โห...ยูเทิร์นขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“สงสัยแก่ตายกันก่อนแน่ๆ”
ทุกคนได้แต่มองหน้ากัน สีหน้ากังวล
“ทุกคนลองเอาของประจำตัวออกมาดูซิว่าจะช่วยหาประตูกลได้อีกหรือไม่”
ณัชชาบอก ทายาททั้งสี่ต่างเปิดเป้ประจำตัวเอาของประจำตัวที่พบออกมา
“เริ่มที่ไกรยุทธ์ก่อนก็แล้วกัน” ไกรยุทธ์ถือม้วนเชือกขดไว้ในมือ หมุนตัวไปรอบๆ แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไกรยุทธ์ส่ายหน้าแล้วเก็บเชือก “บีมลองดูซิ”
บีมใส่ถุงมือสีเงินแล้วยกขึ้น หันไปรอบๆ เช่นกัน แต่ก็ไม่มีแม้แต่แสงออกมาจากถุงมือ
“ปิงปอง”
ปิงปองยกสมุดขึ้นมาพร้อมถือดินสอไว้ในมือ
“ประตูกล ณ บัดนี้”
“โห...ภาษาโบราณไปเหรอเปล่า ปิงปอง”
ทุกคนต่างยิ้มออกมาได้ ปิงปองเหล่บีม
“เอ้า ของศักดิ์สิทธิ์มาแต่โบราณก็ต้องใช้ภาษาโบราณซิ”
“โอเค โอเค ใจเย็นๆ”
“นาฬิกาล่ะ”
นาฬิกาหยิบแว่นขึ้นมาสวม กราดสายตาไปรอบๆ สายตามองไปเห็นแต่ต้นไม้ในสภาพเดิม
“ไม่เห็นประตูอะไรเลย องค์หญิง”
ทุกคนต่างสงสัย นาฬิกาเก็บแว่นเข้าเป้ของตน ทุกคนต่างถอนใจ
“เดี๋ยว” ทุกคนสะดุ้งหันมามองนาชะ “ของประจำตัวของนาฬิกาไม่ใช่แว่นตา แต่เป็นผ้าเช็ดหน้าไม่ใช่เหรอ”
ทุกคนต่างมองนาชะอย่างสนใจ
“ใช่ แต่ผ้าเช็ดหน้าจะทำอะไรได้เหรอพี่นาชะ”
“เอามาเช็ดน้ำตาผมดีกว่า”
“เอาน่าลองดู เชือกของผมยังเคยหาประตูกลได้เลย”
“โอเค ลองดู”
ปาระนังกับราเชนต่างมองหน้ากันลุ้น นาฬิกาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากเป้ของตน คลี่ออกมาถือไว้ในมือ แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรปรากฏขึ้นมา ทุกคนได้แต่ถอนใจ
“อะ บีมจะเช็ดน้ำตาไม่ใช่เหรอ”
นาฬิกาส่งให้บีม
“ไม่เจอประตูต้องเช็ดแน่ๆ”
บีมรับมาแล้วลองจับสองมุมของผ้าเช็ดหน้าให้ห้อยลงแล้วตรวจดู แต่แล้วถุงมือที่บีมใส่อยู่ปรากฏมีแสงออกมา แสงลามไปถึงผ้าเช็ดหน้าจนผ้าเช็ดหน้าพลอยเป็นแสงสีเงินไปด้วย
ทันใดนั้นผ้าเช็ดหน้าหลุดจากมือบีมลอยอยู่ในอากาศเป็นแสงสีเงินขยายกว้างขึ้นจนใหญ่ขึ้นเท่าบานประตู
“ไม่น่าเชื่อ”
ทุกคนต่างมองอย่างตื่นเต้น
“นี่ไงประตู”
ทายาทต่างกระโดดโลดเต้น แต่แล้วแสงก็ค่อยอ่อนลง
“ทุกคนเข้าประตูเร็วเข้า นาฬิกา”
นาฬิกาพรวดเข้าประตูหายไป แสงค่อยๆ จางลง
“บีม ปิงปอง ไกรยุทธ์ เร็ว”
บีม ปิงปอง ไกรยุทธ์ พรวดหายเข้าไปในประตู
“ท่านราเชน ท่านธิดา” ปาระนังกับราเชนดีดตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว แสงอ่อนลงทุกที “ผู้กองเร็ว”
“เชิญองค์หญิง”
แสงอ่อนลงเต็มที ณัชชาพุ่งพรวดเข้าไปก่อน เอกภพพุ่งตาม แสงหายวับไปทันที

ร่างของเอกภพกลิ้งบนพื้นเข้าประตูมา พอเงยหน้าขึ้นก็ถึงกับคาดไม่ถึง
“ล้อเล่นน่า” มือของณัชชายื่นมาตรงหน้าเอกภพ เอกภพจับดึงตัวขึ้นมาจนใบหน้าใกล้กัน เอกภพมองหน้าณัชชา ณัชชาพยักหน้า แล้วหันไปมองตรงหน้า ภาพที่เห็นคือเสาชิงช้าเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหน้า “เรากลับมาอยู่ในปัจจุบันหรือนี่”
“ปัจจุบันหรือเปล่าไม่รู้ แต่เสาชิงช้าแน่นอน”
เอกภพมองรถราที่วิ่งไปมารอบๆ ทันใดนั้น ผ้าเช็ดหน้าลอยลงมาจากด้านบน นาฬิกาคว้าเอาไว้รีบเก็บใส่เป้
“หรือว่าเป็นภาพลวงตา”
“คนมองกันใหญ่แล้ว เรารีบออกจากที่นี่ดีกว่า”
“มีวัดอยู่ทางด้านโน้น”
ทุกคนต่างวิ่งออกไป

ทุกคนวิ่งพรวดเข้ามาในวัด ต่างมองหน้ากันอย่างงุนงงสงสัย
“เดี๋ยวก็รู้ว่าจริงหรือไม่จริง” เอกภพเปิดเป้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด มีเสียงรับสาย “เจนศักดิ์ นี่ผมเองผู้กองเอกภพ”
ทุกคนต่างมองอย่างตื่นเต้น
ขณะนั้นเจนศักดิ์อยู่ที่กรมบังคับการตำรวจ เจนศักดิ์กราดสายตาพร้อมลุกมาเปิดประตูห้องดูว่ามีใครอยู่หรือเปล่า
“ผู้กองเอกภพ ผู้กองหายไปไหนมา ครับ ได้ครับ ผมจะจัดให้ตามต้องการ”
เอกภพวางสายหันมาบอกทุกคน
“ผมเพิ่งพูดกับคุณเจนศักดิ์”

ณัชชากับทุกคนต่างมองเอกภพอย่างคาดไม่ถึง

 
ทั้งหมดซุ่มอยู่มุมหนึ่งของหลังวัดใกล้ที่จอดรถ ทันใดนั้นรถตู้เข้ามาจอดพรวด ร่างของเจนศักดิ์โดดลงมาจากรถ

“ผู้กองเอกภพ ผู้กองณัชชา เกิดอะไรขึ้น แล้วนี่...”
เจนศักดิ์มองปาระนังกับราเชนและทุกๆ คน
“รีบไปก่อนแล้วจะเล่าให้ฟัง”

อาคินกับเทพซ้ายขวา เดินมาหยุดอยู่ที่ลานเล็กๆ ในป่าแห่งหนึ่ง อาคินกราดสายตาไปรอบๆ
“ไม่มีพลังเทพปรากฏเลย”
ทันใดนั้นอาคินเหมือนหายใจไม่ออก สูดหายใจแรง ร่างกายซวนเซ เทพซ้ายขวารีบเข้ามาประคองทั้งสองด้านพยุงอาคินไว้ได้ อาคินกราดสายตามองรอบๆ สีหน้าเคร่งเครียดเยือกเย็น

ที่องค์กรของอาคิน อำนาจนั่งวางมาดอยู่ในห้องรับแขก มีมือปืนอยู่ 5 คน. มีสาวนั่งอยู่ข้างๆ ในมือถือแก้วน้ำส้ม หัวเราะอย่างมีความสุข
“ขอให้พวกมันตามหากุญแจจนตายไปเลยจะได้ไม่ต้องกลับมายุ่งกับข้า”
พวกลูกน้องต่างหัวเราะกัน ทันใดนั้นร่างของอาคินกับเทพซ้ายขวาแวบปรากฏ อำนาจถึงกับเงียบสนิทหน้าซีด
“ท่าน ท่านกลับมาแล้ว”
อาคินยิ้มเครียด สีหน้าดุดัน
“หวังว่าท่านได้ทำทุกอย่างที่เราสั่งไว้”
“ทุกอย่างตรงตามที่ท่านสั่งทุกประการ”
อาคินยิ้มเยือกเย็น

เจนศักดิ์พาเอกภพและทุกคนมาที่เซฟเฮาส์แห่งหนึ่ง
“ที่นี่เป็นสถานที่ซ่อนตัวพยานปากสำคัญ ปลอดภัยแน่นอน” เจนศักดิ์บอก
“ก่อนอื่นดีใจที่คุณหายดี”
“ครับ รู้ตัวอีกทีก็แข็งแรงเหมือนเดิม หลังจากที่ผมได้รับคำสั่งจาก ผบ.สิทธิชัยก็รีบติดต่อผู้กองทันทีแต่เหมือนกับว่าผู้กองหายไปจากโลกนี้”
“พูดอีกก็ถูกอีก”
ทุกคนต่างยิ้ม
“กี่วันแล้วคะที่คุณเริ่มติดต่อกับผู้กอง”
“สามวันแล้วครับ”
“แค่สามวันเองเหรอ”
เจนศักดิ์มองทุกคนแปลกใจ
“เราลุยกันมาเกือบอาทิตย์ แค่สามวันเองเหรอ”
ทุกคนต่างมองหน้ากันคาดไม่ถึง เจนศักดิ์ยิ่งมึนกว่าเพื่อน
“ลุยอะไรกันครับ”
เจนศักดิ์มองหน้าทุกคนไปมา
“คุณกับผมไปเดินเล่นกันในสวนก่อนดีกว่า” เอกภพบอก

อีกด้านหนึ่งที่องค์กรของอาคิน
“จัดหาสถานที่สงบโดยเร็ว เราต้องนั่งสมาธิ 24 ชั่วโมง ท่านสองคนจัดการทุกอย่างแทนเราและคอยระวังอย่าให้ใครรบกวนเป็นอันขาด”
อาคินสั่งเทพซ้ายขวา

กลุ่มของเอกภพ ทั้งหมดนั่งรวมตัวกันอยู่ในห้องรับแขก
“ผมงงมาก องครักษ์ทั้ง 4 ให้เรากลับมาปัจจุบันทำไม”
“ต้องมีบางอย่างที่มีผลกระทบต่อการเดินทาง”
“เป็นไปได้ที่สถานที่บางแห่งในแผนที่ได้กลายสภาพเป็นอย่างอื่นและสามารถค้นพบได้เพียงแต่ในปัจจุบันเท่านั้น”
“หมายความว่ายังไงคะ พวกเราไม่เข้าใจ”
“สมมุติว่าเส้นทางในแผนที่เป็นทุ่งนาหรืออะไรซักอย่างแต่กาลเวลาเปลี่ยนไป สถานที่นั้นอาจกลายเป็นศูนย์การค้าหรือโรงหนังไปแล้ว”
“อ๋อ ถ้าเดินตามแผนที่เดิม อาจจะหลง”
“ก็ดีน่ะซิครับ พวกเทพเลวจะได้หาไม่เจอ”
ทุกคนต่างยิ้ม
“ปาระนังเชื่อว่า แผนที่จะบอกเราว่าเราควรจะไปที่ใด และเราก็จะได้เข้าใจเสียทีว่าทำไมองครักษ์ทั้ง 4 จึงให้เรากลับมาปัจจุบันอีก”
“หรือไม่ที่เราพูดมาผิดทั้งหมด”

เทพซ้ายขวายืนระวังเฝ้าหน้าห้องหนึ่ง
“ท่านคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับเทพอาคิน” เทพซ้ายถามเทพขวา
“เราคิดว่าการถอดหัวใจไว้ที่ภูตสังหาร ทำให้ร่างกายของท่านอ่อนแอ ต้องหาที่สงบนั่งสมาธิผสานพลังกับภูตสังหาร”
“ทุกครั้งที่อาการเกิดขึ้นต้องกลับมาที่นี่หรือไง”
“ที่นี่อาจปลอดภัยที่สุด เพราะถ้าองค์หญิงรู้ก็จะบุกมาจัดการกับท่านได้ อยู่ห่างคนละดินแดนคนละเวลาปลอดภัยที่สุด”
ทันใดนั้นมีพลังกระแทกร่างของเทพซ้ายขวากระเด็นไปกระแทกผนังตึกอย่างแรงจนเทพซ้ายขวาทรุด ทั้งสองรีบลุกขึ้นมาเทพซ้ายก้มโค้งศีรษะคำนับไปที่หน้าห้อง
“พวกเราขออภัยที่กล่าวถึงท่าน”

ทายาททั้งสี่ต่างนั่งที่พื้นหันหน้าเข้าหากันและยกฝ่ามือปล่อยพลังให้มารวมกันตรงกลาง ที่เหลือต่างจับตาดูอย่างตั้งใจ อึดใจแผนที่ก็แสดงภาพปรากฏขึ้นมาเป็นภาพของป้อมพระจุลจอมเกล้า
“ป้อมพระจุลจอมเกล้า อยู่สมุทรปราการนี่เอง”
ทุกคนต่างมองหน้ากัน แผนที่ค่อยๆ จางหายไป
“ที่แท้ด่านทุกด่านที่เราต้องผ่านล้วน แล้วแต่อยู่ในเวลาปัจจุบัน”
“พอผ่านด่านไปแล้วกลับกลายเป็นประตูไปสู่อีกแดนหนึ่งที่องครักษ์วางกำลังไว้”
“ซับซ้อน อันตราย”
“ใช้เวลายาวนานกว่าเวลาในปัจจุบัน”
“พอผ่านได้แล้ว ก็ต้องวนมาปัจจุบันอีกเพื่อหาด่านต่อไป”
“โห ซับซ้อนน่าดู”
ทันใดนั้นณัชชาขยับตัว
“มีคนมา ทุกคนเก็บของเร็วเข้า เราต้องไปจากที่นี่”

ทายาททุกคนต่างดีดตัวขึ้นคว้าเป้กันวุ่นวาย
 

ธิดาพญายม ตอนที่ 6 (ต่อ)

เอกภพกับเจนศักดิ์เดินคุยกันในสวน
“ผมไม่เข้าใจครับ ประตูกล ต่างดินแดน ต่างเวลา”
“เรื่องมันยาว เอาไว้มีโอกาสแล้วผมจะเล่าให้คุณฟังว่าแต่ของที่ผมสั่งไปได้หรือเปล่า”
“อยู่ที่ท้ายรถตู้ครับ กระสุนปืน ระเบิดครบ”
“เรื่องของผมกับทุกคนเป็นความลับ ระวังตัวด้วยนายอำนาจมีสายมากมาย” เจนศักดิ์พยักหน้า
“ครับ”
ทันใดนั้นร่างของนาชะแวบมา
“มีคนมาค่ะผู้กอง ทุกคนอยู่บนรถตู้เรียบร้อยแล้ว”
เจนศักดิ์กับเอกภพต่างคาดไม่ถึง นาชะแวบหายไป
“เป็นไปได้ยังไง ผมมั่นใจว่าไม่มีใครตามมา”
“เร็วเข้า”
เอกภพกับเจนศักดิ์พรวดไปที่รถตู้ ทุกคนพร้อมอยู่แล้ว เจนศักดิ์ดีดตัวขึ้นข้างคนขับ เอกภพดีดตัวขึ้นทางด้านหน้า เจนศักดิ์สตาร์ทรถ แล้วพรวดออกไปอย่างรวดเร็ว

รถตู้แล่นออกมาบนถนนทางเข้า สองข้างทางเป็นสวนต้นไม้มากมาย ทันใดนั้นเงาร่างนับสิบก็โผล่มาจากพุ่มไม้เข้าขวางทาง
“ชน”
เจนศักดิ์พุ่งรถฝ่าเข้าไปพวกมันหลบกันกระจาย แล้วสาดกระสุนตามมาเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
“มีใครเป็นอะไรหรือเปล่า” เอกภพหันมาถาม
“พวกมันยิงไม่ถูกรถเลยครับ”
“ดิฉันคิดว่ามันแค่ยิงขู่ ส่งสัญญาณให้พวกมันรู้มากกว่า”
รถตู้พรวดออกมาถึงถนนใหญ่ ทันใดนั้นรถตู้อีกสองคันวิ่งสวนไปพอดี พวกมันรีบเบรกพรืดรีบกลับ
รถตามมาอย่างรวดเร็ว
“ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ ที่นี่เป็นความลับที่สุด”
“ขอผมดูโทรศัพท์คุณหน่อย” เจนศักดิ์ส่งโทรศัพท์ให้ เอกภพเปิดตรวจดูก็พบแผ่นกลมบางๆ ซ่อนอยู่ เอกภพดึงออกมาให้ดู “เครื่องติดตามตัว พวกมันคงติดไว้ตอนที่คุณยังอยู่ในอาการโคม่า”
เอกภพกำมือบีบแผ่นกลมจนกลายเป็นผง
“บ้าที่สุด”
เจนศักดิ์บึ่งรถตะบึงไป พวกมันขับรถตามมาติดๆ
“ต้องสลัดพวกมันให้หลุด”

รถตู้ของเอกภพวิ่งมาตามทางพอถึงทางแยกก็มีรถตู้ออกมาปาดจนต้องหักหลบเสียหลักลงข้างทาง
“ทุกคนลงจากรถ”
ทุกคนต่างพรวดลงจากรถ โดยใช้รถเป็นที่กำบัง รถตู้สองคันวิ่งมาจอดล้อมไว้ ร่างของอำนาจลงมาจากรถ
“สวัสดีครับ ผู้กองเอกภพ ดีใจที่ผู้กองสบายดี”
เอกภพก้าวออกไป
“คุณอำนาจ จะมอบตัวหรือไง”
“เจ้านายผมให้มารับตัวทายาททั้ง 4 คน เพื่อแลกกับชีวิตของนักเรียน 15 คน ซึ่งขณะนี้ถูกจับตัวอยู่บนรถนักเรียนที่ติดระเบิดไว้”
“เทพอาคินกลับมาที่นี่เหมือนกัน”
“เทพอาคินรู้ได้ยังไง”
ทุกคนต่างมองหน้ากันสีหน้าเคร่งเครียด
“แต่ทำไมเทพอาคินกับเทพซ้ายขวาไม่ปรากฏตัว”
ทั้งหมดต่างมองหน้ากัน ราเชนหลับตาพึมพำ
“เราจะรู้ได้ยังไงว่าพวกนักเรียนจะปลอดภัย” เอกภพถามขึ้นมา
“ผู้กองอยากจะลองเสี่ยงก็ตามใจ ผมไม่เกี่ยว”
“เทพอาคิน ร้ายกาจจริงๆ”
“พวกเราพร้อมจะไปกับเทพอาคินเพื่อช่วยชีวิตเด็ก” ไกรยุทธ์บอก
“เทพอาคินใช้วิธีสกปรกเอาชีวิตคนอื่นมาขู่เรา”
“เพราะมันรู้ว่าเราเป็นคนดีน่ะซิ”
“ความจริงพวกเราไปกันเทพอาคินก็ดีเหมือนกัน พอถึงด่านสุดท้ายได้กุญแจแล้ว พวกพี่ๆ ค่อยออกมา
จัดการเทพอาคินแย่งกุญแจม้วนเดียวจบ”
“ติดอยู่ตรงที่ว่า เมื่อเทพอาคินได้กุญแจแล้วมันจะกำจัดทายาททันที”
“ในขณะที่เราอาจจะหลงอยู่ในต่างดินแดน ต่างเวลา”
“อาคินก็จะใช้กุญแจปล่อยทหารภูตจากคุกนิลกาล”
“สงครามล้างโลกทั้ง 4 ก็จะเกิดขึ้น”
“เฮ่...ถ้ายังงั้นแผนนี้คงไม่ดีแน่นอน”
“ว่ายังไงผู้กอง เวลาไม่คอยท่า รถนักเรียนอาจจะระเบิดเมื่อไหร่ก็ได้”
ทุกคนต่างมองหน้ากัน เคร่งเครียด ตัดสินใจไม่ถูก

เอกภพก้าวออกมา ยกมือเปล่าทั้งสองข้างขึ้น เดินออกมาหน้ารถตู้ ณัชชาและทุกคนจับตามองอยู่หลังรถตู้ เอกภพก้าวออกมายังที่อำนาจกับพวกมือปืนยืนอยู่
“ผมไม่เชื่อว่าคุณจะคุมเด็กนักเรียนอยู่ในมือ”
“ผมว่าผู้กองควรจะเชื่อ”

เอกภพจ้องหน้าอำนาจเขม็ง

ในซอยเปลี่ยวแห่งหนึ่ง เด็กหลายคนอยู่บนรถบัสรับนักเรียนขนาดกลาง คนขับนอนฟุบอยู่ที่พวงมาลัย ด้านนอกรถมีมือปืนนับสิบยืนคุมอยู่รอบๆ
เอกภพจ้องนายอำนาจตาไม่กะพริบอำนาจยิ้มมั่นใจ ทันใดนั้นเสียงณัชชาดังขึ้นให้เอกภพได้ยิน
“พวกมันจับเด็กไว้จริง ฉันสัมผัสได้จากความมั่นใจของมัน คุณตัดสินใจได้เลย”
ทันใดนั้นเอกภพตวัดปืนมือจ่อที่อำนาจ อำนาจคาดไม่ถึง พวกมือปืนต่างตวัดปืนเข้าใส่เอกภพ
“ให้มือปืนของคุณพาผมไปที่รถบัสเด็กนักเรียน ถ้าจริงก็แลกกันเลย คุณเอาทายาทไป ผมขับรถบัสนักเรียน
ออกมา ไม่ยังงั้นผมก็ยิงคุณตรงนี้”
อำนาจคาดไม่ถึง ดีดมือ พวกมันคนหนึ่งคว้าโทรศัพท์ออกมากดฟังแล้วส่งให้อำนาจ อำนาจรับมากรอกเสียง“เตรียมตัวให้พร้อม จะส่งคนไปถ้าตุกติก” อำนาจยิ้มมองเอกภพ “เก็บซะ เด็กด้วย ระเบิดไปเลย”
อำนาจยิ้มเครียดถือว่าตนเป็นต่อ
“คุณไกรยุทธ์” ไกรยุทธ์ก้าวออกมา “ผมเชื่อว่าคุณเคยยิงปืน”
“เคยเป็นแชมป์ยิงเป้าของสโมสรครับ”
“ดี คุณคุมตัวนายอำนาจไว้ ถ้าตุกติก” เอกภพยิ้มมองอำนาจ “ยิงได้เลย คิดเสียว่ายิงเป้า”
เอกภพตวัดมือมีปืนปรากฏส่งให้ไกรยุทธ์ ไกรยุทธ์ส่องที่อำนาจ พวกมือปืนเดินเข้ามาใกล้เพื่อนำตัวเอกภพออกไปที่รถ
“เกิดเด็กของผมนิ้วคันปืนลั่นไปโดนเด็กของคุณขึ้นมาล่ะผู้กอง”
เอกภพหยุดหันมา
“ผมลืมบอกไป ว่าคุณไกรยุทธ์เป็นหนึ่งในทายาท ถ้าเด็กของคุณนิ้วคันเกินเหตุ คุณซวยแน่”
ไกรยุทธ์ยิ้มส่องปืนที่อำนาจ อำนาจแค้นที่เสียท่าเอกภพ
เอกภพเดินออกไปกับมือปืนสองคน รถตู้ขับเข้ามารับเอกภพไป เจนศักดิ์ นาชะกับทายาทที่เหลือต่างมองตามอย่างกังวล ณัชชากับปาระนังและราเชนยิ้มให้กัน

ในซอยเปลี่ยวที่พวกมือปืนคุมรถบัสอยู่ รถตู้ของพวกมันขับเข้ามาจอด ร่างของเอกภพถูกคุมตัวลงมาจากรถตู้
เอกภพกราดสายตามองพวกมันที่คุมรถบัสอยู่แล้วเดินไปที่รถบัส
“ขอขึ้นรถไปดูเด็กๆ หน่อยได้มั๊ย”
พวกมันมองหน้ากันแล้วพยักหน้า เอกภพเดินขึ้นไปบนรถ พวกมันจะขยับตามเอกภพหยุด
“จะตามขึ้นมาทำไม ไม่เคยเห็นเด็กเหรอ”
พวกมันมองหน้ากัน อีกคนหนึ่งพยักหน้า พวกมันถอยให้เอกภพขึ้นไปคนเดียว เอกภพขยับตัวขึ้นไปเห็นคนขับฟุบอยู่ที่พวงมาลัยก็ถอยลงมาหันมามองพวกมัน
“พี่ เอาคนขับลงไปหน่อยซิ ปล่อยไว้ยังงี้เด็กกลัวแย่”
หัวหน้ามันพยักหน้า พวกมันสองสามคนเดินผ่านเอกภพขึ้นไปบนรถเอาร่างของคนขับลงมาโดยที่กุญแจรถยังคาอยู่ที่รถ
“เฮ้อ ไอ้พวกนี้เกิดมาเป็นคนได้ยังไงก็ไม่รู้”
เอกภพเดินขึ้นรถ หัวหน้ามองอย่างระมัดระวัง

เอกภพขึ้นไปบนรถพวกเด็กๆ ต่างมองตื่นกลัว
“ไม่ต้องกลัวนะครับ พี่เป็นตำรวจจะมาช่วยพวกเรา” เด็กๆ ต่างเฮ “แต่พวกเราต้องอยู่เฉยๆ ก่อน ห้ามส่งเสียงเดี๋ยวผู้ร้ายจะรู้ตัว” เด็กๆ ต่างพยักหน้า เอกภพยิ้มอย่างพอใจแล้วพึมพำออกมาเบาๆ “หวังว่าคงเป็นไปตามแผนที่องค์หญิงวางไว้ องค์หญิงครับผมกำลังคิดถึงองค์หญิงอยู่ แวบมาได้แล้วครับ”
แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เอกภพคิ้วขมวด หลับตาตั้งสมาธิ เด็กๆ ต่างมองกันอย่างสงสัย เอกภพลืมตาขึ้นมามองข้างหนึ่ง แต่ยังไม่มีร่างของณัชชา เด็กๆ ต่างยิ้มขำ

อีกด้านหนึ่งไกรยุทธ์ถือปืนส่องที่อำนาจ พวกมือปืนยังคุมเชิงอยู่
“ผู้กองถึงพวกเด็กๆ แล้ว ขอตัวก่อนนะคะ” ณัชชาบอกปาระนัง
“เชิญค่ะ เราจะจัดการทางนี้เอง”
“คุณเจนศักดิ์ เรามีแผนที่จะใช้รถตู้ของพวกมันหน้าที่ขับเป็นของคุณ” ณัชชาบอกเจนศักดิ์
“ผมพร้อมอยู่แล้วครับ”
ณัชชายิ้มแล้วร่างก็แวบหายไป ปาระนังสบตากับราเชน
“พี่ณัชชาแวบไปไหนพี่นาชะ” นาฬืกาถามนาชะเมื่อสังเกตเห็นณัชชาแวบหายไป
“ตามตำแหน่งของผู้กองไปที่รถบัสเด็ก”
“อ้าว พี่ณัชชาใช้พลังแวบไปแบบนี้ เทพอาคินต้องรู้น่ะซิ”
“องค์หญิงลองทดสอบพลังของเทพอาคินอยู่”
“หมายความว่ายังไงพี่นาชะ”
“เทพอาคินส่งคนมาเล่นงานพวกเรา ทั้งที่ตามล่าพวกเรามาตลอดแสดงว่า...”
“งานเข้า มาเองไม่ได้”
“อะไรประมาณนั้น องค์หญิงเลยทดสอบให้แน่ใจ”
“ถ้าแวบแล้วเทพอาคินยังไม่โผล่ ก็แสดงว่าตอนนี้เราได้เปรียบจะปล่อยพลังแค่ไหนก็ได้”
“เยส”

ทุกคนต่างยิ้มกัน ด้วยความโล่งใจ

ที่รถบัสของเด็กนักเรียน เอกภพหลับตาทำสมาธิอยู่แล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นก็เห็นเด็กๆ มองยิ้มกันอยู่ เอกภพกราดสายตาไปมาไม่มีร่างของณัชชา
“เอ ทำไมองค์หญิงยังไม่แวบมา”
“อยู่นี่แล้วผู้กอง”
เอกภพและเด็กทุกคนหันไปก็เห็นเด็กหญิงน่ารักคนหนึ่งตัวโตกว่าปะปนกับนักเรียนอยู่ เด็กๆ มองอย่างสงสัย
เด็กหญิงเดินมาตรงกลางรถบัสแล้วใช้สายตามองไปที่พื้นรถก็เห็นระเบิดที่ติดอยู่ใต้ท้องรถไฟกะพริบเสียงตึ๊ดๆ เบาๆ
“ไปได้แล้วผู้กอง ทางนี้ฉัน...เอ้อ หนูจัดการเอง”
เอกภพอดขำไม่ได้
“ได้จ้ะหนู”
เด็กหญิงค้อนใส่เอกภพ เอกภพเดินลงจากรถไป เด็กหญิงเอามือโบกผ่านตรงจุดระเบิด ทันใดไฟดับ เสียงเงียบไป
“ทุกคนนั่งประจำที่ ถ้าได้ยินเสียงอะไรก้มหัวหลบ เข้าใจมั๊ย”
เด็กๆ ต่างพยักหน้า

เอกภพก้าวลงมาจากรถบัส พวกมันกรูกันเข้ามา
“ใจเย็นๆ เพื่อน ไหนใครต่อสายนายอำนาจให้หน่อยจะได้ตกลงกันให้เรียบร้อย”
หัวหน้ามันพยักหน้า ลูกน้องมันเอามือถือออกมากด เอกภพเดินห่างรถบัสออกมา พวกมันเดินตามเอาปืนส่องกันเป็นพรวน
“เฮ้ย...อะไรว๊ะล้อมหน้าล้อมหลัง ไม่มีเงินแจกหรอกพวก”
พวกมันถอยห่างออกไปนิดนึง ท่าทางฮึดฮัดไม่พอใจ

บนรถบัสเด็กหญิงเดินไปที่คนขับแล้วเข้าไปนั่งที่คนขับ พวกมันคนหนึ่งหันมามองเห็นพอดี มันขำแล้วบอกพวกมันให้มอง พวกมันหันมามองแล้วขำเพราะเด็กหญิงจับพวงมาลัยขายังยื่นไม่ถึงคันเร่งด้วยซ้ำ พวกมันต่างขำแล้วไม่สนใจ เด็กหญิงค้อนใส่พลางบิดกุญแจ แล้วกดประตูปิดโครม
ด้านล่างเอกภพกราดสายตามองพวกมันที่ล้อมไว้รอบๆ ต่างถือปืนเตรียมพร้อม
“ติดแล้วพี่”
ลูกน้องโยนโทรศัพท์มาให้หัวหน้า หัวหน้ารับแล้วส่งให้เอกภพ เอกภพยิ้มรับมา ชำเลืองไปทางรถบัสเด็กแวบนึง
บนรถบัสเด็กหญิงจับพวงมาลัยหมุนไปหมุนมา พวกมันไม่สนใจแม้แต่มอง ทันใดนั้นร่างของเด็กกลายเป็นร่างของณัชชา เด็กๆ ต่างตาโตตื่นเต้น ณัชชาสตาร์ทรถแล้วพรวดออกไปจากซอย พวกมันหันมามองอย่างคาดไม่ถึงต่างร้องเอะเอะ พวกมันที่ล้อมเอกภพหันไปเห็นต่างวิ่งตามสาดกระสุนปืนใส่รถเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
กระสุนปลิวว่อนบนรถบัสเด็กต่างร้องกันเสียงดัง
“เด็กๆ ก้มหัวลง”
เด็กๆ ต่างก้มหัวลง ณัชชาตะบึงรถออกไปจากซอย

เอกภพยิ้ม พวกมันต่างวิ่งกลับมาเอาปืนจ่อรอบๆ เอกภพ เอกภพยกโทรศัพท์ขึ้น
“คุณอำนาจ ผมว่าคุณคุยกับลูกน้องคุณดีกว่า”
เอกภพส่งโทรศัพท์ให้หัวหน้าของมัน มันรับสายสีหน้าไม่ดี
“เด็กขับรถหนีไปแล้วครับ”
“เอ็งจะบ้าหรือเปล่าวะ เด็กขับรถหนี”
“จริงๆ ครับ”
เอกภพยืนยิ้มอย่างชอบใจ เสียงณัชชาดังขึ้นให้เอกภพได้ยิน
“รีบแวบมาได้แล้วก่อนที่ฉันจะไกลเกินพิกัดพลังของคุณ”
ทันใดนั้นร่างของเอกภพแวบหายไป พวกมันตาค้าง หัวหน้ามันตาค้างมือถือโทรศัพท์นิ่งอยู่
“แล้วไอ้ผู้กอง”
อำนาจถามมาทางโทรศัพท์ หัวหน้าจึงได้สติ
“ผู้กอง เอ้อ...หายไปแล้วครับ”
“บ้าที่สุด กดระเบิดซิวะ” เสียงนกปืนดังกริ๊ก อำนาจหันไปเห็นไกรยุทธ์สีหน้าเคร่ง “เดี๋ยว ไม่ต้องกด”
ไกรยุทธ์ยิ้ม

รถบัสนักเรียนวิ่งอยู่บนถนนสายหนึ่งโดยมีณัชชาเป็นคนขับ เด็กๆ ต่างตื่นเต้น ทันใดนั้นร่างของเอกภพโผล่มายืนข้างๆ ณัชชา
“ทุกคนปลอดภัยแล้ว เย้” เด็กๆ ต่างเฮ เอกภพกับณัชชาต่างยิ้มให้กัน “ป่านนี้ท่านธิดากับราเชน คงเล่นงานพวกนั้นน่วมไปแล้วมั๊ง”
“เรารีบเอาเด็กไปส่งดีกว่า”

เอกภพกับณัชชาต่างยิ้มให้กัน

ส่วนอีกด้านหนึ่งไกรยุทธ์กำลังสั่งอำนาจ
“สั่งให้ทุกคนทิ้งปืนซะ”
อำนาจสีหน้าเคร่ง พวกมือปืนต่างขยับปืนส่องที่ไกรยุทธ์ พวกทายาทที่เหลือต่างมองอย่างตื่นเต้น นาชะยืนคุมทายาททุกคน ปาระนังกับราเชนกราดสายตามองดูพวกมือปืนแล้วสบตาส่งซิกกัน
“แน่ใจเหรอว่าจะแลกกับชีวิตของทายาทและทุกคนกับผม”
“แน่ใจเหรอว่าคุณจะแลก”
“ผมดูก็รู้ว่าคุณยังไม่เคยยิงใครมาก่อน”
“ใช่ แต่สำหรับคุณผมยินดีที่จะลองดู”
อำนาจสีหน้าเคร่ง จ้องมองไกรยุทธ์หยั่งเชิง ทันใดนั้นลูกธนูโลกันต์ติดไฟของราเชนก็วิ่งมาปักตึบเข้าที่รถตู้คันที่จอดอยู่ทางด้านหลังของพวกมือปืนที่ยืนคุมเชิงอยู่ พวกมันหันมองอย่างคาดไม่ถึง ทันใดนั้นรถก็ระเบิดตูมไฟท่วมรถพวกมันถูกกระแทกกระเด็นลงไปนอนกับพื้นระเนระนาด รวมทั้งนายอำนาจหงายหลังก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้น อำนาจสะบัดหัวหายจากความมึนงงก็พบกับราเชนและปาระนังยืนอยู่ตรงหน้าดาบของปาระนังจ่ออยู่ที่หน้าอกของอำนาจ“ท่านโชคดี ที่เราไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะฆ่าคนเลวอย่างท่าน”
“ทุกคนรีบขึ้นรถ เร็วเข้า”
พวกทายาทต่างพากันไปที่รถตู้ของพวกมันอีกหนึ่งคันที่จอดขวางอยู่ เจนศักดิ์เดินเข้ามาที่อำนาจ ตวัดปืนเข้าใส่
“คนอย่างนายอยู่ไปก็หนักแผ่นดิน”
เจนศักดิ์เหนี่ยวไกแต่ราเชนตวัดมือ ปืนในมือเจนศักดิ์เบนไป เสียงปืนดังเปรี้ยงถูกพื้นถนนเฉี่ยวอำนาจเส้นยาแดง อำนาจหน้าซีด
“ถ้ามันตายคุณจะบาปตกนรก ยังไงมันไม่ตายดีแน่นอน”
อำนาจพยักหน้าหงึกๆ สีหน้ายังไม่หายซีด เจนศักดิ์ข่มใจกัดฟันเดินออกไป ปาระนังกับราเชนเดินตามออกนอกไป ไกรยุทธ์มองหน้าอำนาจที่ซีดเผือด
“น่าเสียดายจริงๆ”
ทันใดนั้นร่างของณัชชากับเอกภพแวบมาตรงหน้าอำนาจ อำนาจถึงกับคาดไม่ถึง
“ไม่ใช่เทพอาคินเจ้านายของคุณเท่านั้นที่มีพลังฝีมือ ถอนตัวซ ก่อนที่จะสายเกินไป”
เอกภพบอก อำนาจจ้องหน้าไม่ตอบ

รถตู้แล่นมาตามทางโดยมีเจนศักดิ์เป็นคนขับ เอกภพนั่งด้านหน้า ทุกคนนั่งกันอยู่ทางด้านหลัง
“ปั้มอยู่ข้างหน้า แวะจอดเติมน้ำมันก่อน”
“ได้ครับ”
รถตู้เข้ามาจอดในปั๊ม พวกทายาทต่างยืนบิดยืดแข้งยืดขาอยู่ใกล้ๆ เอกภพยืนคุยกับเจนศักดิ์ห่างออกมา
“ผมต้องให้คุณลงที่นี่”
“แต่ผมไปส่งได้ครับ”
“ขอบคุณ ผมมีแผนที่ต้องการให้คุณช่วย”

ที่องค์กรของอาคิน เทพซ้ายขวายืนอยู่หน้าห้องที่จัดไว้ให้กับอาคิน อำนาจกับสมุนเดินเข้ามา
“ท่านได้ตัวทายาทมาเรียบร้อย”
“ท่านส่งเราไปเผชิญกับคนที่มีพลังฝีมือเรารอดมาได้ก็บุญแล้ว”
“ท่านพูดเหลวไหลอะไร”
“มีคนชุดดำยิงธนูไฟมาระเบิดรถของเรากับหญิงชุดขาวถือดาบแหลมจ่อคอหอยเรา ผู้กองกับนางตำรวจหญิง
นั่นก็แวบไปมาเป็นว่าเล่น ท่านอาคินมัวแต่ทำอะไรอยู่”
เทพซ้ายขวามองหน้ากัน
“อืม ท่านรอคำตอบจากท่านอาคินเองก็แล้วกัน”
ทันใดนั้นสมุนเข้ามารายงาน
“นายกำจรกับพวกกลุ่มมาเฟีย พาคนมาบุกพวกเรา”
“พวกท่านรีบไปต้านไว้”
อำนาจกับพวกมือปืนต่างพากันออกไปอย่างร้อนรน
ทางด้านนอกพวกกำจรบุกเข้ามาทางด้านหน้า เกิดการยิงกันอย่างสนั่นหวั่นไหวกับพวกของอำนาจกับมือปืนที่ออกมาต้านไว้อย่างหนาแน่น ด้านตรงข้ามมีรถคันหนึ่งจอดอยู่ ด้านในคือเจนศักดิ์นั่งดูอยู่อย่างพอใจ
“หวังว่านายกำจรกับพวกสามารถบุกเข้าไปก่อกวนทำลายการนั่งสมาธิของเทพอาคินอย่างที่ผู้กองต้องการ”

เอกภพขับรถ ณัชชานั่งอยู่ทางด้านหน้า หันไปบอกทุกคน
“เทพอาคินกลับมาอยู่ที่นี่แล้วอย่างแน่นอน ที่มันยังไม่ปรากฏตัวเพราะต้องทำพิธีอะไรบางอย่าง เราต้องหาประตูทางเข้าให้เร็วที่สุด”
ทุกคนต่างพยักหน้ารับมองหน้ากันอย่างมุ่งมั่น
“หวังว่าเจนศักดิ์ก่อกวนพวกมันได้สำเร็จ”

ณัชชาหันมามองหน้าเอกภพ สีหน้าเคร่งเครียด ไม่มีคำตอบ รถตู้ตะบึงไป

ธิดาพญายม ตอนที่ 6 (ต่อ)

หน้าห้องสมาธิของอาคิน เทพซ้ายขวาเดินไปมาอย่างกังวล เสียงปืนดังสนั่นเข้ามา
“เสียงปืนดังสนั่นอย่างนี้ พวกมันมีเจตนาทำลายพิธีของท่านอาคิน”
เทพซ้ายไม่ตอบขยับตัวเตรียมพร้อม มองไปทางด้านหน้า เทพขวาหันไปมองทางห้องสมาธิสีหน้ากังวล
ภายในห้องสมาธิซึ่งเป็นห้องว่าง อาคินนั่งสมาธิอยู่ มีภูตสังหาร 9 ตัวนั่งล้อมวงอยู่ ทันใดนั้นร่างของภูตสังหารกลายเป็นกลุ่มควันลอยเข้าไปล้อมรอบอาคิน อาคินลืมตาขึ้น หัวเราะก้องกังวาน

รถตู้ของพวกทายาทเข้ามาจอดหน้าป้อมพระจุล ทุกคนลงมาจากรถ
“หาทางเข้าให้เร็วที่สุด”
ทุกคนต่างพรวดกันเข้าไปด้านใน ต่างกระจายกันค้นหา
ทุกคนช่วยกันค้นหาตามจุดต่างๆ นาฬิกาใช้ผ้าเช็ดหน้าแกว่งไปมา ปิงปองถือสมุดกับปากกาเดินไปมาอยู่ในบริเวณหนึ่ง บีมใช้ถุงมือใส่มือขวาแล้วกราดมือไปมา ไกรยุทธ์สะพายขดเชือกแกว่งปลายเชือกไปมา ปาระนังกับราเชนช่วยกันตรวจตามกำแพง ณัชชากับเอกภพก็ตรวจในด้านของตน นาชะแวบไปดูกลุ่มนี้ที กลุ่มโน้นที แต่ก็ยังไม่มีร่องรอยของประตูที่ก้าวผ่านเข้าไปได้

ที่องค์กรของอาคิน พวกของกำจรบุกเข้ามาจนพวกของอำนาจเริ่มถอยล้มตาย เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว
“บุกเข้าไปจัดการกับนายของมันให้ได้”
พวกกำจรต่างลุยผ่านกำจรเข้าไป มีล้มตายบางส่วนแต่ก็วิ่งลุยเข้าไป
“เชอะ คิดจะให้พวกข้ายอมก้มหัวให้ เก็บพวกมันให้หมด”
กำจรเดินตามสั่งการ พวกกำจรสาดกระสุนพวกอำนาจยิงพลางถอยพลาง ทันใดนั้นร่างของอาคินปรากฏขวางทางพวกของกำจร ทุกคนหยุดชะงัก ยกปืนจ้องที่อาคิน อาคินหัวเราะดังก้อง
“ฆ่ามัน”
กำจรสั่ง พวกของกำจรสาดกระสุนใส่อาคิน กระสุนปะทะร่างของอาคินราวกับห่าฝน แต่อาคินไม่สะเทือน ทันใดนั้นอาคินสะบัดมือออกมาทั้งสองข้าง กลายเป็นควันดำปรากฏรายล้อมร่างของอาคินแล้วกลายเป็นภูตสังหาร 9 ตัว พุ่งเข้าใส่พวกของกำจร ตบซ้ายป่ายขวา ร่างของมือปืนกระเด็นกระจัดกระจายไปทั่ว
“ทุกคนถอย”
กำจรกับพวกถอยกันวุ่นวาย อาคินหัวเราะก้อง
เจนศักดิ์เฝ้าดูอยู่ในรถ สีหน้าของเจนศักดิ์ตื่นเต้นคาดไม่ถึง
“แย่แล้ว”
พวกกำจรต่างถอยหนีกันออกมา ขึ้นรถพรวดกันออกไป สมุนอำนาจตามมายิงกราดดังสนั่นหวั่นไหว

ในป้อมพระจุล ณัชชากับเอกภพกำลังตรวจหาตรงกำแพงจุดหนึ่ง ร่างของนาชะปรากฏ
“เป็นยังบ้างเพคะ”
ณัชชาหันมามองนาชะส่ายหน้าสีหน้ากังวล
“ข้ารู้สึกไม่ดี นาชะเจ้าไปคอยระวังด้านนอก”
“เพคะ”
ร่างของนาชะแวบหายไป ณัชชาหันไปมองทุกคนที่กำลังค้นหากันอยู่ ถอนใจ
“องค์หญิงสัมผัสถึงพลังบางอย่าง” ณัชชาพยักหน้า
“พลังของอาคิน เราต้องรีบแล้ว”
ณัชชาออกไป เอกภพมองตามแล้วรีบค้นหาตรวจกำแพงต่อไป

ร่างของนาชะปรากฏอยู่เหนือกำแพงกราดสายตาไปมา ทันใดนั้นรถตู้ของพวกมันพรวดเข้ามา ทุกคนคาดไม่ถึง อำนาจกับมือปืนต่างกรูลงมาจากรถ ทันใดนั้นร่างของอาคินกับเทพซ้ายขวาปรากฏ
“เทพอาคิน มันทำพิธีเสร็จแล้ว”
นาชะรีบแวบหายเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว
ขณะนั้นทุกคนต่างหาทางเข้าอย่างรีบเร่ง ร่างของนาชะแวบเข้ามา
“องค์หญิงเพคะ เทพอาคินอยู่ด้านนอก”
“ทุกคนระวัง”
ทันใดนั้นร่างของอาคินกับเทพซ้ายขวาปรากฏ เอกภพกับณัชชาปาระนังกับราเชนต่างยืนเตรียมพร้อม ทายาทยืนอยู่ทางด้านหลังของทุกคน นาชะค่อยๆ แวบร่างหายไปไม่มีใครเห็น
“องค์หญิง เราเปิดโอกาสให้ท่านหนีแต่นึกไม่ถึงท่านก็ย้อนกลับมาสู้อุ้งมือเรา”
“การฝากหัวใจไว้กับภูตสังหารคงทำให้พลังของท่านอ่อนลงมากกว่า”
อาคินตาวาวคาดไม่ถึงว่าณัชชาจะรู้ทัน สีหน้าดุดัน ทันใดนั้นพวกของอำนาจกับมือปืนก็กรูมาจากด้านนอกล้อมทุกคนไว้อีก ทั้งหมดต่างประจันหน้ากัน
“แผนของผู้กองที่ส่งนายกำจรไปบุกรังพวกเรานับว่าไม่เลว”
“เอาไว้คราวหน้าผมจะวางแผนให้ดีกว่านี้”
“ผู้กองคงไม่รู้อีกเหมือนกันว่ารถของพวกเราทุกคันติดวิทยุสามารถตามรอยได้”
ทุกคนคาดไม่ถึงด้วยความรีบไม่ทันคิด
“รีบส่งตัวทายาทมา”
“อยากได้ ก็ต้องออกแรงกันหน่อย”

ทันใดนั้นควันดำปรากฏขยายตัวออกมาจากร่างของอาคิน ณัชชาถึงกับคาดไม่ถึง อาคินหัวเราะก้อง“ใช่แล้วองค์หญิงตอนนี้ภูตสังหารกับเรารวมเป็นหนึ่งภูตสังหารอยู่ที่ไหนเหมือนเราอยู่ที่นั่น ท่านหนีเราไม่พ้นหรอก”

ทันใดนั้นเสียงนาชะดังขึ้นให้ณัชชาได้ยิน
“องค์หญิง เจอทางเข้าแล้วเพคะ”
ณัชชาได้ยินจึงหาทางดึงความสนใจของอาคินและภูตสังหาร
“รวมเป็นหนึ่งยิ่งดี จะได้ไปพร้อมๆ กัน”
ณัชชาตวัดมือ มีดสั้นปลิวติดมือขึ้นมาแล้วกลายเป็นดาบสั่งรังสีแดงสาดแสงไปทั่ว

ดาบในมือณัชชาตั้งท่าเตรียมพร้อม เอกภพมีปืนในมือทั้งสองข้าง ปาระนังถือดาบปลายแหลม ราเชนถือดาบสั้นในมือ ตรงข้ามคืออาคิน เทพซ้ายขวา อำนาจและสมุนอีกนับสิบ อาคินจับจ้องที่ณัชชาอย่างระมัดระวัง แต่แล้วทันใดนั้นร่างของนาชะแวบมาเหนือหัวของพวกมัน ผงสีชมพูฟุ้งกระจายลงมาปกคลุมอาคินกับพวกมันก่อนที่พวกมันจะตั้งตัว พวกมันทั้งหมดยืนยิ้มเคลิ้มไป
“เร็วเข้าเพคะ ผงแห่งความรักทำให้มันเคลิ้มได้ 2 นาทีเท่านั้น”
“นาชะ เจ้ารีบนำไปที่ประตู”

นาชะพุ่งแวบเป็นสายสีชมพูยาวตรงไปที่มุมกำแพงด้านหนึ่งมีแสงเป็นรูปสี่เหลี่ยมของประตูปรากฏอยู่ ทายาทและทุกคนต่างวิ่งตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว ร่างของนาชะแวบมายืนรอที่ประตู บีมวิ่งเข้าไปแต่กระดอนออกมา
“เข้าไม่ได้พี่นาชะ”
“ทายาทต้องจับมือกันไว้แล้วเข้าไปพร้อมๆ กัน”
ทายาททุกคนทำตามแล้วพรวดเข้าไปพร้อมๆ กัน ร่างของทายาททั้ง 4 หายแวบเข้าไปในม่านประตู
“ท่านธิดา ท่านราเชน ช่วยนำทางพวกทายาทด้วย”
ปาระนัง กับราเชนพรวดหายเข้าไป ม่านประตู
“ผงแห่งความรักจะหมดฤทธิ์แล้ว เร็วเข้าเพคะองค์หญิงผู้กอง”
ณัชชากับเอกภพพรวดเข้าไปข้างในประตู นาชะแวบเข้าไปติดๆ แต่ประตูยังเปิดอยู่

พวกของอาคินยืนเคลิ้มกันอยู่ในที่สุดผงสีชมพูก็หายไป อาคินรู้ตัว
“กามเทพนาชะ วันนึงข้าจะต้องสั่งสอนเจ้า” ทันใดนั้นควันดำปรากฏล้อมร่างอาคิน “คุณอำนาจ กลับไปที่ องค์กร ของท่าน รอคำสั่งเรา”
อำนาจพยักหน้า อาคินกับเทพซ้ายขวาหายแวบไป อำนาจได้แต่ถอนใจยาว

กลุ่มของเอกภพวิ่งอย่างเต็มที่ ภายในป้อมพระจุลกลายเป็นราวป่า ทุกคนวิ่งมาจนมุมที่หน้าผาแห่งหนึ่ง
นาชะแวบปรากฏ
“ประตูยังเปิดอยู่เพคะ เทพอาคินต้องหาเจอแน่ๆ”
“ระยะของหน้าผาห่างมากไม่มีทางที่เราจะข้ามไปได้”
“พวกเราต้องใช้พลังข้ามไป แต่ทายาทคงจะลำบาก”
“นอกจากว่าทายาทต้องไปติดไปกับใครคนหนึ่ง”
“ขอบคุณท่านราเชนที่แนะนำ”
“พวกมันใกล้แล้วองค์หญิง”
“ตัดสินใจได้เลยครับ”
ทั้งหมดต่างจ้องที่ณัชชาเป็นจุดเดียว ณัชชาขบคิดครู่หนึ่ง
“นาฬิกาพี่ขอยืมผ้าเช็ดหน้าหน่อย” นาฬิการีบหยิบผ้าเช็ดหน้าส่งให้ณัชชา ณัชชารับมาแล้วสะบัดลงไปกับพื้นตรงหน้าของทายาททั้งสี่ “ขอย่อส่วนทุกคนก่อนนะ”
ณัชชาสะบัดมือปล่อยแสงไปที่ทายาททั้งสี่ ทันใดนั้นทายาททั้งสี่ก็ค่อยย่อส่วนเล็กลง ยืนอยู่ข้างๆ ผ้าเช็ดหน้าซึ่งขณะนี้กลายเป็นผืนใหญ่แล้ว
“ทุกคนก้าวลงไปบนผ้าเช็ดหน้า” ทั้งหมดก้าวลงไปยืนอยู่บนผ้าเช็ดหน้า ณัชชายิ้มย่อตัวลง “พี่จะเอาทุกคนติดตัวพี่ไปเอง แบบนี้ง่ายกว่า”
“แล้วพวกเราจะหายใจออกหรือครับ”
“ผ้าเช็ดหน้าของนาฬิกาไม่ธรรมดาเราหายใจออกแน่นอน”
“เพื่อความไม่ประมาท”
ณัชชาปล่อยพลังไปที่ร่างของทายาททั้งสี่อีกครั้ง ร่างของทายาททั้งสี่ค่อยๆ หายไป
“องค์หญิงย่อจนหายไปเลยหรือเปล่าครับเนี่ย”
“ไม่หรอก เพื่อความปลอดภัยของทายาท สายตาของมนุษย์จะมองไม่เห็น มีแต่สายตาเทพเท่านั้นที่เห็นได้”
เอกภพกะพริบตาเพ่งมองอีกครั้งก็เห็นร่างของทายาททุกคนถูกย่อส่วนเล็กอยู่ที่เดิม
“ดีครับ แต่เอ๊ะเทพอาคินก็เห็นได้น่ะซิครับ”
“ใช่ แต่เทพอาคินจะไม่ทำอะไรทายาทแน่นอน” ณัชชาจับชายผ้าเช็ดหน้าม้วนเข้าหากันแล้วมัดผูกที่เข็มขัดที่เอวของตน “นาชะ เจ้ารีบหลบไปก่อน แล้วคอยตามให้ทันล่ะ”

“เพคะ”

อ่านต่อพรุ่งนี้ เวลา 09.30น.

นาชะแวบหายไป ทุกคนขยับตัวพร้อม ทันใดนั้นควันดำของภูตสังหารพุ่งเข้ามาและล้อมทุกคนไว้ ณัชชาและทุกคนต่างประจันหน้า
ทุกคนถูกภูตสังหารล้อมไว้ ทุกคนพร้อมที่จะลุยออกไป ทันใดนั้นอาคินกับเทพซ้ายขวาปรากฏ
“มาซะทีกำลังรออยู่”
“พวกท่านจนมุมแล้ว”
“เราจนมุมไม่เป็นไร ท่านไม่ได้ตัวทายาทก็แล้วกัน”
อาคินกราดสายตามองไม่เห็นพวกทายาท อาคินเสียอารมณ์
“ตราบใดที่พวกท่านถูกกำจัด การหาตัวทายาทย่อมไม่ใช่เรื่องอยาก”
“ท่านแน่ใจหรือว่าจะกำจัดพวกเราได้”
“ระยะประชิดเช่นนี้ ท่านใช้พลังเทพหนีไปที่ไหนภูตสังหารตามพวกท่านได้ทันแน่นอน”
“งั้นก็ลองดู ทุกคน.”
ทันใดนั้นณัชชากับเอกภพต่างยื่นมือมาคว้ากัน แล้วพุ่งตัวแวบข้ามหน้าผาหายไปด้านหนึ่ง ในขณะที่ปาระนัง”
กับราเชนพุ่งตัวแยกข้ามหน้าผาหายไปคนละด้าน สายพลังพุ่งออกไปสามทิศทาง อาคินกับถึงกับคาดไม่ถึงอึ้งไปอึดใจ
“ท่าน”
อาคินรู้ตัวหน้าสะท้านด้วยความโกรธ  
“แยกตามไป”
ภูตสังหารกลายเป็นควันดำพุ่งเป็นสามสายข้ามหน้าผาแยกตามไป
“ท่านจะให้เราสองคนตามไปทิศทางใด” เทพซ้ายขวาถาม อาคินคิดไม่ตก สีหน้าเคร่งเครียด
“พวกท่านอยู่เฉยๆ ดีกว่า”
 
ร่างของเอกภพกับณัชชาปรากฏขึ้นอีกด้านหนึ่งของหน้าผา แล้ววิ่งอย่างรวดเร็วเข้าไปในราวป่า ผ้าเช็ดหน้าที่ผูกไว้กับเอวของณัชชาแกว่งไปมา ภายในผ้าพวกทายาทกลิ้งไปมาส่งเสียงร้องเจี๊ยวจ๊าว ณัชชากับเอกภพดีดตัวเข้าไปในป่าแล้วหยุดรอเอกภพตวัดปืนขึ้นมาในมือทั้งสอง ณัชชาตวัดมือดาบสั้นเข้ามาอยู่ในมือ
“พร้อม”
“แน่นอน”
ทันใดนั้นควันดำปรากฏแล้วกลายเป็นร่างของภูตสังหาร 3 ตัวล้อมณัชชากับเอกภพไว้ แวบเดียวร่างของอาคินปรากฏตามมา
“ท่านเลือกตามเรามา คงเพราะว่าหนึ่งในหัวใจของภูตทั้งสามเป็นหัวใจของท่านกระมัง”
“เป็นคำตอบที่ท่านต้องค้นหาเอาเอง”
 
ในราวป่าอีกด้าน ร่างของปาระนังปรากฏ กลายเป็นหยดน้ำ เกาะบนใบไม้ ควันดำพุ่งตามเข้ามา ปรากฏเป็นภูตสังหาร 3 ตัว ยืนล้อมบริเวณอยู่ แต่ไม่สามารถสัมผัสพลังของปาระนังได้ ภูตสังหารยืนล้อมอยู่ไม่ไปไหน
ในราวป่าอีกแห่งหนึ่ง ร่างของราเชนพุ่งวาบเข้ามายืนแล้วหมุนตัวติ้วเจาะพื้นหายลงไปใต้ดิน ควันดำสามสายพุ่งเข้ามากลายเป็นภูตสังหาร 3 ตัวปรากฏแต่ก็จับพลังของราเชนไม่ได้ ภูตสังหารยืนล้อมอยู่ไม่ไปไหนเช่นกัน
ราวป่าทางด้านณัชชา เอกภพถือปืนกราดไปมา ณัชชาตั้งท่าถือดาบสั้นในมือ ทันใดนั้นดาบสั้นกลายเป็นดาบยาวส่องรังสีออกมา ณัชชาสะบัดไปมา
“ขอเริ่มก่อนแล้วกัน”
เอกภพบอกแล้วรัวปืนเข้าใส่โล่บังหัวใจของภูตสังหารทั้ง 3 ดังสนั่นหวั่นไหว ลูกกระสุนทำอะไรไม่ได้ เอกภพสาดกระสุนใส่ถี่ยิบ ภูตสังหารคำรามแล้วย่างเข้าหาเอกภพและณัชชา ณัชชาตวัดดาบแล้วดีดตัวข้ามหัวภูตทั้งสามพุ่งเข้าใส่อาคินแล้วฟันเข้าใส่อย่างดุเดือด อาคินปัดป้องถอยกรูดเสียเปรียบ แต่แล้วควันดำลอยเข้ามารอบตัวอาคินกลายเป็นภูตสังหารเข้ามาต้านณัชชา ณัชชาต่อสู้โชว์ฝีมืออย่างดุเดือดล่อให้ห่างเอกภพออกไป เอกภพค่อยๆ ถอยตัวหายเข้าไปในราวป่าในที่สุด
 
ณัชชาถูกภูตสังหารรายล้อมต่อสู้จนเริ่มคับขัน ทันใดนั้นดีดตัวถอยออกมาอย่างรวดเร็ว อาคินเห็นได้โอกาสปล่อยพลังออกมาณัชชารีบสะบัดดาบรับปะทะพลังเสียงดังสนั่น ร่างของณัชชาลอยลิ่วไปปะทะต้นไม้โครม แรงกระแทกทำให้ผ้าเช็ดหน้าที่ห่อร่างของทายาททั้งสี่กระเด็นหลุดเข้าไปในพุ่มไม้โดยไม่คาดคิด ร่างของทายาททั้งสี่กลิ้งไปมาอยู่ในผ้าเช็ดหน้า ร่างของณัชชากระเด็นตกมากระแทกพื้น ณัชชารีบดีดตัวขึ้นมาเตรียมตั้งรับอีกครั้งดาบในมือสะบัดไปมาส่งรังสีเรืองรองไปทั่ว
“เพื่อนของท่านหนีท่านไปแล้วกระมัง”
“เป็นธรรมดา รู้หน้าไม่รู้ใจ แต่ไม่ต้องห่วงแค่ท่านกับภูตสามตัว เรายังต้านได้อย่างแน่นอน”
“เราอยากดูเช่นกัน”
ณัชชาขยับดาบไปมา อาคินยิ้มอย่างเป็นต่อภูตสังหารก้าวเข้าหาณัชชาอย่างเยือกเย็น ทันใดนั้นเห็นลูกระเบิดลอยออกมาจากพุ่มไม้ เข้าใส่อาคินเกิดระเบิดดังสนั่น ร่างของอาคินกระเด็นถอยไปสามสี่ก้าวด้วยแรงระเบิด แต่แล้วลูกที่ 2 และลูกที่ 3 ก็ตามมาระเบิดต่อกันอย่างต่อเนื่อง อาคินถอยกรูด ทันใดนั้นควันดำก็ผละจากณัชชา ฟุ้งเข้ามาล้อมร่างของอาคินไว้กลายเป็นร่างของภูตสังหารรอบตัวอาคินพลางปล่อยพลังออกมาสกัดระเบิดที่ลอยลิ่วเข้ามาจนระเบิดกลางอากาศเข้าไม่ถึงตัวอาคิน ในที่สุดระเบิดก็หยุด
“ระเบิดแค่นี้ ทำอะไรเราไม่ได้หร...”

อาคินหันขวับถึงกับหน้าเครียดด้วยความโกรธ เพราะร่างของณัชชาหายไปแล้ว อาคินหันควับไปยังพุ่มไม้ตรงหน้าดีดตัวเข้าไปแต่แล้วก็พบแต่ความว่างเปล่า อาคินกัดฟันด้วยความแค้นใจ ภูตสามตัวกลายเป็นควันดำเข้ามารายล้อมตัวอาคิน อาคินกราดสายตามองด้วยความแค้นใจ ในที่สุดก็แวบหายไป
 
ทางด้านปาระนัง ภูตทั้งสามตัวยืนล้อมอยู่ที่เดิม แต่แล้วก็กลายเป็นควันพุ่งหายออกไป หยดน้ำค้างบนใบไม้ที่ค่อยใหญ่ขึ้นแล้วกลายเป็นร่างของปาระนังปรากฏ ปาระนังยิ้มอย่างพอใจแล้วดีดตัววิ่งหายเข้าไปในราวป่า
ในราวป่าด้านราเชน ภูตทั้งสามกลายเป็นควันดำพุ่งออกไป ร่างของราเชนหมุนติ้วขึ้นมาจากพื้นดิน จนเต็มตัว
ราเชนยิ้ม แล้วดีดตัวเข้าราวป่าไป
ส่วนเอกภพก็กำลังดีดตัวผ่านราวป่าไปอย่างรวดเร็วเหมือนกัน
ในราวป่าอีกแห่งที่เป็นจุดนัดหมาย ร่างของณัชชา ปาระนัง กับราเชน ยืนรอเอกภพอยู่อย่างกังวล แต่แล้วอึดใจร่างของเอกภพก็วิ่งออกมาจากพุ่มไม้ตรงเข้ามาหาคนทั้งสาม
“แผนขององค์หญิงเยี่ยมมาก ให้ผู้กองใช้ระเบิดก่อกวนจนเทพอาคินกับภูตสังหารจับพลังขององค์หญิงไม่ได้”
“สุดท้ายมันก็ต้องถอยไป”
“แต่ผมวิ่งตับแทบแตกอยู่คนเดียว”
ทุกคนต่างยิ้ม ทันใดนั้นร่างของนาชะปรากฏ
“ว่าไง”
“ไม่มีร่องรอยของเทพอาคินอยู่ในบริเวณนี้แล้วเพคะ”
ทุกคนต่างยิ้มอย่างพอใจ
“ทีนี้เราก็ปล่อยทายาททั้ง 4 ออกมาได้แล้ว” ณัชชาตวัดมือไปที่เอวแต่แล้วก็ต้องชะงัก “ผ้าเช็ดหน้าที่ห่อทายาทหายไปไหน”
ทุกคนต่างตกใจคาดไม่ถึง
 
ผ้าเช็ดหน้าค่อยๆ ขยับไปมา แล้วร่างของทายาททั้งสี่ตัวเล็กคลานออกมาจากใต้ผ้าเช็ดหน้า ต่างเซไปมาสะบักสะบอม
“โอ๊ยเกิดอะไรขึ้น มึน”
“ท้องป่วนหมดเลย โอ๊ย”
“เอ๊ะ นั่นอะไรน่ะ”
ทุกคนหันไปดูก็เห็นผ้าผืนใหญ่ กองอยู่ห่างออกไป
“ผ้าเช็ดหน้าของคุณนาฬิกา”
“หา”
“เราถูกองค์หญิงณัชชาย่อส่วน แล้วห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าจำไม่ได้เหรอ”
ทุกคนต่างมองกัน แล้วกราดสายตามองไปรอบๆ ทุกคนต่างคาดไม่ถึงเพราะสิ่งรอบตัวดูใหญ่ไปหมด ทันใดนั้นเงาดำวูบผ่านมา                                               
“หลบ”
ทุกคนพุ่งตัวหลบระนาบกับพื้น เงาดำเฉี่ยวผ่านทุกคนไปอย่างตื่นเต้น ต่างขยับตัวลุกขึ้นมา
“ดูนั่น”
ทุกคนมองตามไปก็เห็นผีเสื้อตัวหนึ่งร่อนลงมาเกาะอยู่ห่างออกไป กลายเป็นตัวใหญ่มหึมา
“โว่ว ตัวเบ้อเร่อ”
“โชคดีที่เป็นแค่ผีเสื้อ”
ทุกคนต่างถอนใจเดินเข้าใกล้ผีเสื้อที่เกาะอยู่
“สีสวยน่าดู”
“พี่นาฬิกาจะเอาผ้าเช็ดหน้าไปได้ยังไงล่ะ”
“ต้องลองดู” นาฬิกายื่นมือออกไปแล้วปล่อยพลัง ผ้าเช็ดหน้าค่อยๆ หดลงกลายเป็นผืนเล็กลอยเข้ามาหานาฬิกา “ค่อยยังชั่วหน่อย”
ทันใดนั้นทุกคนได้ยินเสียงตึมๆ แผ่นดินสะเทือนจนทั้งหมดเซไปมา ผีเสื้อบินออกไปเสียงปีกดังพรึบๆ สนั่น... เสียงดังตึมๆ แผ่นดินสะเทือน
“อะไรอีกล่ะ”
“อย่าบอกนะว่าเป็นไดโนเสาร์แบบในจูราสสิคปาร์ค”
เสียงตึมๆ ดังขึ้นเสียงแปร๋นดังสนั่นจนทุกคนต้องเอามือปิดหู
“ช้าง หนีเร็ว”
ทุกคนออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต อึดใจก็เห็นเท้าช้างใหญ่มหึมาเข้ามา แล้วออกไปทิศทางเดียวกับทายาททั้งสี่ เท้าของช้างย่ำลงบนพื้นดินเสียงดังสนั่น ขณะที่ทายาททั้งสี่วิ่งผ่านดงไม้ต้นไม้กันอย่างไม่คิดชีวิต  
“กอไผ่อยู่ข้างหน้ารีบไป”
ทั้งหมดวิ่งตรงเข้าไปในก่อไผ่ซึ่งเห็นเป็นต้นมหึมาอยู่ข้างหน้า ทั้งหมดวิ่งพุ่งพรวดเข้าไปในกอไผ่ ช้างวิ่งตามมายืนตรงกอไผ่ ขยับไปมา

จบตอนที่ 6
กำลังโหลดความคิดเห็น