ปีกมาร ตอนที่ 16 อวสาน
ในขณะเดียวกันนั้น ทารกน้อยนอนคว่ำหน้าหลับปุ๋ยบนเตียง ส่วนศลัยลานั่งพับผ้าลูกอยู่อย่างช้าๆ ด้วยท่าทีเลื่อนลอย นวลนภาเดินเข้ามา
“หลับแล้วหรือ”
“ค่ะ”
“วันนี้วันหยุด ไม่ได้ไปไหนหรือศลัย”
“ไม่ไปหรอกค่ะ หันหน้าไปทางไหนมีแต่ความวุ่นวาย หนูเบื่อ”
“อยู่บ้านเลี้ยงลูกก็ดี การเลี้ยงลูกจะทำให้หนูมีสติมากขึ้น เออ บ่ายนี้แม่มีสาคูไส้หมู โทร.ไปชวนหนูเพียรมาช่วยกันปั้นสาคูดีกว่า ดีมั้ย”
“ดีค่ะ แม่”
สีหน้าของศลัยลาดีขึ้น รื่นเริงขึ้น
“งั้นหนูโทร. ไปเดี๋ยวนี้เลยนะคะ”
ศลัยลาลุกเดินออกไป นวลนภาพยักหน้ายิ้มๆ
ทางด้านผลึกและจืดช่วยกันทำกับข้าวกันอยู่ตามมีตามเกิด ลายสือเดินไปมา
“หมูน่ะใส่ลงไปเยอะๆ โว้ยไอ้จืด กูกินแกงเทโพใส่วิญญาณหมูของมึงมาห้าปีแล้ว จนกูร่ำๆ จะเหลือแต่วิญญาณอยู่แล้ว”
“ยังดีนะ ยังมีวิญญาณหมูให้กินน่ะ ไปอยู่เคนยากูกลัวจะแทะแต่กระดูกควายป่าน่ะซี”
“กูตัดสินใจแล้ว ไม่แน่ว่ะ...อยู่เมืองไทยเอาดีไม่ได้เพราะดวงไม่ถึงฆาตซะที ไปอยู่เคนยากูอาจจะได้เป็นลูกเขยหัวหน้าเผ่า มีอนาคตเป็นผู้นำชนกลุ่มน้อยก็ได้ไอ้สือ เดี๋ยวกินข้าวด้วยกันซีวะ
ลายสือไม่ละ กูจะออกไปข้างนอก”
“ขอบใจว่ะ”
จืดประชด ลายสือหันมามองหน้าจืด แล้วเดินออกไป
“มึงไปขอบอกขอบใจมันทำไมวะไอ้จืด”
“กูประชดมันน่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะขอบใจมันหรอก มึงว่ามันไปไหนวะ”
ผลึกไม่ตอบ แต่สีหน้าหนักใจขณะถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เฮ้อ...”
ส่วนสลักกำลังจัดทำขนมไทยใส่จานแก้วอย่างสวยงาม มีละมัยคอยช่วยอยู่ข้างๆ
“นี่ ไม่ต้องเอามือมาแตะต้องนะนังมัย มือแกน่ะ...เหมาะที่จะไปถือเชือกควาย เอาออกไป
“ค่ะ”
สลักมองค้อนละมัย แล้วเห็นภูฉายเดินลงมาอย่างเนือยๆ
“ภู แม่ทำขนมไว้ให้แกแน่ะ ทำเองไม่ได้ซื้อหรอก พักหลังๆ แม่ไม่ค่อยได้ปรนนิบัติแกเพราะมัวแต่ยุ่งๆ นั่นแกจะไปไหน”
“ผมมีธุระครับแม่”
“ธุระอะไรกัน หวังว่าธุระของแกคงไม่ใช่ธุระที่เกี่ยวกับนังศลัยลานะ” สลักแดกดันดักคอ
“เอ้อ...ไม่ใช่ครับ”
“แล้วทำไมต้องไปวันหยุดล่ะ วันหยุดแทนที่แกจะอยู่เป็นเพื่อนแม่ แกกลับทำตัวเป็นคนธุระมาก”
สลักอ้อนเสียงอ่อนๆ น่าสงสาร จับมือลูกชายไว้ ภูฉายค่อยๆ แกะมือออก สลักก้มลงมองมือที่กำลังแกะออกอย่างหวาดหวั่น เพราะเป็นสิ่งที่ภูฉายไม่เคยทำ
“ผมต้องไปแล้วละครับ แม่”
ภูฉายเดินออกไปเลย สลักมัวแต่ตะลึงกับการกระทำของภูฉาย พอรู้สึกตัวก็ยิ่งทวีความโกรธ
“ภู....ภู…”
“สงสัยจะต้องชาร์ทแบตใหม่แล้วละค่ะ คุณนาย คุณภู..แบตหมด!” ละมัยบอก
สีหน้าแววตาของสลักที่มองตามไป เต็มไปด้วยความโกรธจัด
เพียรภมรอยู่ในครัวบ้านนวลนภา กำลังพยายามที่จะปั้นสาคูใส้หมูด้วยท่าทีเครียด กังวล
สาคูออกมาแปลกๆ นวลนภาและศลัยลาสาละวนอยู่กับการตั้งหม้อนึ่งเตรียมนึ่งอยู่
ภาษิตเดินเข้ามายืนมอง
“นี่อะไรน่ะ คุณ”
เพียรภมรเมินหน้าหนี ตอบประชด
“ไม้ตีพริกละมั้ง”
“แต่ผมว่าเหมือนจรวดมากกว่านะ หรือไม่ก็...ยานอวกาศมาจากต่างดาว”
เพียรภมรมองสาคูที่ปั้น เผลอยิ้ม แต่เมื่อเห็นภาษิตมองอยู่จึงชักสีหน้ามึนตึง
“นี่ อย่ามาวิจารณ์ฉันนะ ฉันไม่ชอบ มานี่...เอาไปทิ้งก็ได้”
เพียรภมรรวบของ จะเอาไปทิ้งถังขยะ แล้วชะงัก เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างตื่นตระหนก
“พี่ศลัย มาดูอะไรนี่เร้ว...”
ศลัยลาวิ่งเข้ามา นวลนภาตามมาสมทบ พร้อมภาษิต สี่คนมองออกไปด้วยความแปลกใจ
ทุกคนมองไปยังลายสือและภูฉายก้าวเข้ามาเผชิญหน้ากันตรงหน้าบ้าน ศลัยลา เพียรภมร ภาษิตและนวลนภาวิ่งออกมาจากบ้าน
แววตาของภูฉายวาววับไปด้วยความโกรธ
“ผมถือว่าวันนี้เป็นวันดีนะ เป็นวันที่น่าจะจารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างกับผู้หญิงทั้งโลก…”
ภูฉายประชดด้วยน้ำเสียงกร้าวๆ เย้ยหยัน
“วันที่ “ผัว” กับ “ชู้” มาชุมนุมกันโดยไม่มีการนัด..!”
“น้าหมายถึงผมหรือ” ลายสือย้อนหน้านิ่งๆ
ภูฉายโกรธจนลืมตัว ชี้หน้าด่าด้วยกิริยาหยาบ
“ก็มึงนั่นแหละ...ไอ้ชู้ ไอ้เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม...มึงเป็นได้แค่ชู้ ไม่มีวันสะเออะขึ้นมาเป็นผัว!”
ศลัยลาวิ่งเข้ามา กรีดเสียงใส่สองคน
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ..ภู..หยุด!”
ภูฉายหันขวับมาจ้องหน้าศลัยลา ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ภูฉายชี้หน้าด่า
“คุณทนฟังไม่ได้ก็เพราะมันเป็นความจริง...เพราะมันผิด...เพราะมันเป็นสิ่งที่ผู้หญิงดีๆเขาไม่ทำกันใช่มั้ยศลัยลา”
นวลนภาตื่นตะลึงเผลอตัวถอยก้าวไปยึดภาษิตไว้แน่น
“โมราหรือกากี หน้าตามันก็คงยังงี้ อย่างคุณนี่แหละ!”
“อย่าก้าวร้าวคุณศลัยนะ มันไม่ใช่ความผิดของคุณศลัยลา” ลายสือปกป้องศลัยลาเต็มที่
“แล้วใครผิดล่ะ แกยังงั้นหรือ” ภูฉายตตะคอก
“ใช่ ผมผิดเอง ถ้าคุณยังมีความเป็นผู้ชายเหลืออยู่ละก็เซ็นใบหย่าซะ ผมจะแต่งงานกับศลัยลาทันที!”
ภูฉายหัวเราะเยาะอย่างบ้าคลั่ง
“แกน่ะหรือ...น้ำหน้าอย่างแกน่ะหรือจะมีปัญญาแต่งงาน ไอ้โง่...บอกแล้วไงแกเป็นได้แค่ชายชู้ เล่นชู้กันตามโรงแรมม่านรูด...แกทำได้แค่นั้น”
ลายสือบันดาลโทสะ ต่อยหน้าเข้าเต็มหมัดจนภูฉายล้มลง เลือดซึมออกมาตรงมุมปาก ศลัยลาผวาเข้ามาห้ามลายสือ ส่วนนวลนภาเข้ากอดปล้ำภูฉายไว้ ขณะภาษิตกับเพียรภมรทำอะไรไม่ถูก จ้องมองทั้งสองฝ่ายอย่างตื่นตระหนก
“อย่า ลายสือ”
“อย่า ภู”
“อย่าก้าวร้าวคุณศลัยนะ”
ลายสือชี้หน้าภูฉาย แววตาเอาเรื่องเต็มที่
“ถ้าคุณดูถูกคุณศลัยอีกคำเดียวผมฆ่าคุณแน่”
“เฮ้ย สือ อย่า…” ภาษิตร้องห้าม
“ถ้าจะเป็นผัวโง่ๆ ก็อย่าเป็นมันเลย...คุณน่ะผิดแล้วยังโง่อีก ไอ้ไก่ได้พลอย...คุณน่ะมันไก่ได้พลอย..!”
ลายสือย้ำหนักแน่น ก่อนผลุนผลันออกไป สีหน้าแววตาของภูฉายตื่นตะลึงเพราะประโยค “ไก่ได้พลอย”
นั่นทำให้ภูฉายเริ่มไม่แน่ใจว่าศลัยลามีความสัมพันธ์เกินเลยกับลายสือ
ฟากผลึกยกหม้อแกงออกมาวาง
“ตักข้าวได้แล้วโว้ยไอ้จืด ไม่อร่อยกูสาบานว่าจะแขวนทั้งหม้อทั้งไหเลย เออนี่..กูว่าเรามาวางแผนเรื่องไปเคนยากันดีกว่าวะ หาเผ่าอยู่สักเผ่า เซ็นสัญญาเข้าสังกัดไปเลย แต่ต้องเลือกเผ่าที่มีแนวโน้มว่าจะมีเหมืองเพชรนะ”
“แล้วจะรู้ได้ยังไงวะที่ไหนมีเหมืองเพชรน่ะ”
“เราต้องขุดค้นและ...นี่...ไอ้นี่น่ะโว้ย เห็นเครื่องมือที่ติดตัวกูมาแต่กำเนิด”
“จมูก!” จืดทาย
“ใช่ ใช้จมูกดมกลิ่น...พอได้กลิ่นความร่ำรวยตรงไหนก็ขุด แล้วก็…”
จู่ๆ ลายสือเดินเหงาๆ เข้ามานั่งลงใกล้ๆ ทั้งสองชะงัก ปิดปากเงียบ ตักข้าวใส่จาน
“กูกินด้วยคนได้มั้ยวะ กูหิว”
ผลึก และจืดต่างสบสายตาของกันและกันด้วยความแปลกใจ
ด้านเพียรภมรซับเลือดออกจากปากของภูฉายซึ่งยังคงนั่งเงียบอยู่
“แม่จะขึ้นไปดูศลัยลาก่อนนะ หนูเพียร”
“ค่ะ”
นวลนภาเดินขึ้นชั้นบนไป
“ฉันไม่ได้อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้เลยนะ คุณภูฉาย ฉันยังไม่เคยลืมว่าเราสามคนเป็นเพื่อนกัน”
ภาษิตพูดขึ้นด้วยท่าทีประนีประนอม เสียงอ่อนโยนลง “มีอะไรที่จะหยุดเรื่องนี้ได้มั้ยครับ พี่ภู”
ภูฉายนิ่งสนิท ภาษิตและเพียรภมรต่างมองสบสายตากันอย่างกังวล
ส่วนศลัยลานั่งอยู่เงียบๆ บนเตียงนอนนวลนภาเปิดประตูเข้ามา
“ศลัย หนูเป็นอะไรหรือเปล่าลูก”
“เปล่าค่ะ ภูเป็นยังไงมั่งคะ แม่”
“แม่จับความรู้สึกของเขาไม่ได้หรอก เขาเอาแต่นิ่งเงียบ ไม่พูดไม่เคลื่อนไหว แต่แม่รู้ว่าเขาเสียใจ เสียใจที่แล้วๆ มา เขากล่าวหาหนูผิดๆ”
ศลัยลาน้ำตาไหลรินลงมาอาบแก้ม แต่รีบป้ายน้ำตาทิ้ง นวลนภาจับปลายคางของศลัยลาให้เงยขึ้นสบสายตา
“ศลัย...อย่าร้องไห้อีกเลยลูก แม่ภูมิใจในตัวหนูที่หนูไม่ได้ทำในสิ่งที่หนูต้องการจะทำ”
“ใช่ค่ะ”
“ให้แม่ถามสักคำหนึ่งเถอะ หนูไม่ได้รักลายสือหรือ”
ศลัยลาตอบเต็มคำ “หนูรักเขาค่ะแม่”
“แล้วทำไมหนูไม่ทำในสิ่งนั้นล่ะ”
“ไม่ใช่หนูไม่ทำ ลายสือต่างหากล่ะคะที่ไม่ทำ เขาไม่เล่นชู้ เมียคนอื่น ก็เพราะเขาต้องการที่จะเป็นผู้ชายจริงๆ เป็นสุภาพบุรุษ...สุภาพบุรุษที่สังคมคิดว่ามันสูญพันธ์ไปแล้ว...ลายสือ เขาเป็นสุภาพบุรุษค่ะ แม่”
ศลัยลาและนวลนภาโอบกอดซึ่งกันและกัน ศลัยลาร่ำไห้ด้วยความเสียใจ
ภูฉายเดินลงมายังรถยนต์ สีหน้าเงียบขรึมเคร่งเครียด เริ่มรู้แล้วว่าศลัยลาไม่ได้เป็นชู้กับลายสือ เพียรภมรและภาษิตเดินตามมา
“คุณภูคะ ฉันจะไปส่งคุณ”
“ผมไม่เป็นไรแล้ว”
ภาษิตท้วง “แต่ว่า...คุณเป็นผู้หญิงนะ จะไปส่งเขาได้ยังไง”
“ฉันช่วยตัวเองได้ ไปค่ะภู ฉันจะทิ้งรถไว้ที่นี่”
เพียรภมรแบมือ
“ขอกุญแจฉันเถอะค่ะ”
ภูฉายมองหน้าเพียรภมร แล้วส่งกุญแจให้ ทั้งสองนั่งรถยนต์ออกไป
ภาษิตมองตามไป บ่นอย่างหัวเสีย
“นี่สำนึกบาปอะไรน่ะ ท่านทนายใหญ่”
ขณะที่สลักนั่งเอนตัวหลับอยู่ที่เก้าอี้ยาว ละมัยนั่งพัดวีอยู่ใกล้ๆ พอละมัยเห็นรีบลุกขึ้นยืนรับ ภูฉายเดินเข้ามาเงียบๆ มุมปากยังเห็นเป็นแผลอยู่
“คุณภูเป็นอะไรไปคะ คุณไปไหนมาน่ะ คุณนายรอคุณจนหลับแน่ะค่ะ”
น้ำเสียงของภูฉายเป็นปกติ แต่มีความกังวลปนความเหนื่อย
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรหรอก ไม่ต้องปลุกคุณแม่นะ”
“ค่ะ”
ภูฉายเดินขึ้นชั้นบนไป ละมัยมองตามไปด้วยความแปลกใจ แล้วจึงหันมามองสลักที่นอนหลับสนิท
กลีบดอกไม้สีขาวเกลื่อนพื้น ด้วยฝีมือลายสือที่นั่งเด็ดทิ้งทีละกลีบๆ ด้วยท่าทีเลื่อนลอยครุ่นคิดหนัก ผลึกและจืดกำลังจะออกไปข้างนอก
“กูซื้อปลากระป๋องไว้ให้มึงแล้วนะ ข้าวก็หุงเอาไว้ให้แล้ว กูกับไอ้จืดจะไปหาอาจารย์อังเดร” ผลึกบอก
“ถ้าฝนตกปิดประตูหน้าต่างด้วยนะ อ้อ แล้วช่วยเก็บผ้าที่ราวให้ด้วยล่ะ ขากลับกูจะแวะซื้อเศษผักมาต้มจับฉ่าย” จืดว่า
“แล้วก็ซื้อใบบัวบกมาต้มให้มึงกินแก้โรคช้ำใจด้วยว่ะ” ผลึกแดกดันทิ้งทวน
ลายสือเหลือบสายตาขึ้นมองอย่างขุ่นเขียว แล้วลุกขึ้นไล่เตะ ถีบ เพื่อนทั้งสองออกไปด้วยความโกรธ
ก่อนทรุดตัวลงนั่ง ด้วยสีหน้าและแววตาครุ่นคิดกังวลเต็มที่
ศลัยลาแต่งตัวเดินลงมา ด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
“จะไปไหนน่ะ ลูก” นวลนภาถามไถ่
“อยากไปเรื่อยๆ ค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูอยากอยู่คนเดียวสักพัก”
“ก็ตามใจ”
ศลัยลาเดินออกไป ภาษิตมองตามพี่สาวไป
“ปล่อยพี่ศลัยไปทำไมครับแม่ ผมกลัวพี่ศลัยจะคิดสั้น”
“ศลัยเป็นคนมีสติ แม่เชื่อว่าศลัยต้องไม่ทำยังงั้น ตายทำมั้ย”
นวลนภาทำเสียงสูงขบขัน ทั้งที่จริงนวลนภาภูมิใจในตัวลูก
“มีชีวิตอยู่สนุกจะตายไป ดูเถอะ...หาได้ที่ไหนน่ะผู้หญิงอายุป่านนี้ มีผู้ชายมาฆ่ากันตายตรงหน้าตั้งสองคน!”
ภาษิตนิ่งอึ้ง เหลือบสายตาขึ้นมองนวลนภา ท่าทีลังเล
“แม่คิดว่าไอ้สือมันพูดความจริงหรือครับ”
“ใช่ แม่เชื่อ”
“งั้น....พี่ศลัยก็ไม่ได้เล่นชู้”
“ภาษิต...แม่ภูมิใจในตัวศลัย ไม่เสียแรง...ที่แม่เลี้ยงลูกด้วยนมของแม่เองไม่ใบ่นมวัว แม่ภูมิใจจริงๆ”
แววตาของภาษิตแจ่มใส ทำเสียงล้อเลียนคำฮิตติดปากภูฉาย
“ครับ..แมแหม่ แม่แม้แหม…”
ที่บ้านสลักเช้าวันเดียวกัน ละมัยเตรียมอาหารเช้าอยู่ สลักเดินลนลานลงมาสีหน้าเลิกลัก
“นี่ นังมัย ภูตื่นหรือยัง”
“ยังค่ะ”
“เออ ค่อยยังชั่วหน่อย เดี๋ยวฉันต้องพูดกับเขาให้รู้เรื่องจะไปไหนมาไหนต้องขออนุญาตแม่ก่อน ภูนี่ ไม่ได้โดนไม้เสียนาน เลยติดนิสัยไปไม่ลามาไม่บอกกล่าว”
ภูฉายเดินลงมา แผลข้างปาก และแก้มบวมเป่ง
“เอ๊ะ นั่นแกเป็นอะไรน่ะ มีแผลนี่ ไหน...แม่ดูหน่อย ใคร ใครมันทำแกบอกแม่ซิ หรือว่าพวกนังศลัย....น้องชายมันใช่มั้ย...ไอ้นั่นมันเป็นนักเลงนี่”
“ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ แม่”
“โธ่ ภู ไม่เป็นได้ยังไง แกเจ็บนะ...แม่เลี้ยงแกมาถนอมแกยังกับแก้วตาดวงใจ ทำไมแกยอมให้คนอื่นมาทำร้ายแกยังงี้ ฮึ แล้วนี่แจ้งความหรือยัง”
“ผมบอกแล้วไงครับ ไม่เป็นไร”
สลักเสียงกระด้างขึ้นทันที
“ฉันไม่ได้ถามว่าเป็นหรือไม่เป็น แกแส่เข้าไปในบ้านนั้นทำไม”
“เอ้อ...”
“เจ็บแล้วไม่รู้จักจำ หน้าแตกกลับมายังบอกอีกว่าไม่เป็นไรแกเป็นคนหรือควายกันแน่ เพราะโง่ยังงี้น่ะซีเมียถึงได้มีชู้”
ภูฉายเริ่มโกรธ ข่มใจเต็มที่ “ผมจะไปละ”
“ยังไปไม่ได้ ต้องพูดให้รู้เรื่อง”
“ผมต้องไปทำงานนะครับ แม่”
ภูฉายเบื่อๆ ผลุนผลันออกไป สลักตะโกนหลัง
“ต้องแจ้งความนะ แกไม่แจ้งฉันจะแจ้งเอง ไม่ยังงั้นไอ้อีพวกนั้นมันจะได้ใจ อีกหน่อยมันคงยกโคตรมาฆ่าแกกับแม่ถึงในบ้าน...แม่จะแจ้งความเดี๋ยวนี้แหละ”
สลักกระแทกเสียงอย่างขุ่นเคือง
ขณะที่ภาษิตกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ สลักพาตำรวจเข้ามา
“นี่แหละค่ะ ไอ้หมอนี่แหละ ที่มันทำร้ายภูฉาย จับมันไปเลยค่ะมันเป็นนักเลงอันธพาลต้องใช่มันแน่ๆ”
“อะไรกันครับนี่” ภาษิตงง
“ยังมีหน้ามาถามอีก แกทำร้ายลูกฉัน เขาให้ฉันไปแจ้งความแล้วเอาตำรวจมาจับแก!” สลักแหวใส่
นวลนภาวิ่งลงมาอย่างตื่นตระหนก
“ไปพูดกันที่สถานีตำรวจดีกว่า คุณ” ตำรวจบอก
นวลนภาตกใจ “อะไรกันคะ นี่มาจับใครนี่”
“ก็มาจับพวกอันธพาลปัญญาชนน่ะซีคุณ ทำตัวเป็นคนมีการศึกษามีสังคม ที่ไหนได้ไม่รู้เลี้ยงลูกยังไง คนนึงเล่นชู้ อีกคนเป็นอันธพาล”
ภาษิตงงใหญ่ “นี่มันเรื่องอะไรกันครับ ผมไม่รู้เรื่อง”
“อย่ามาตีหน้าเซ่อนะ ภูเป็นคนบอกฉันเองว่าแกชกเขาจนหน้าแตก เอาตัวมันไปโรงพักเลยค่ะคุณตำรวจ มันจะได้รู้ว่าคุกมันเป็นยังไง”
“ภาษิตน่ะหรือทำร้ายภูฉาย ไม่จริง” นวลนภายิ่งตกใจ
“ผมเชิญไปตกลงกันที่สถานีตำรวจทั้งคู่เลยครับ ยืนเถียงกันยังงี้พอดีไม่ต้องจบ เชิญครับ”
“แม่จะไปกับแกด้วย เดี๋ยวแม่จะโทร. เรียกเข็มมาเลี้ยงหลาน” นวลนภาว่า
“ฉันจะไปรอที่รถตำรวจนะยะ”
สลักสะบัดหน้าเดินออกไป นวลนภาวิ่งกลับขึ้นตึก ภาษิตเดินตามตำรวจออกไปด้วยท่าทีงงๆ
ภูฉายไม่ไปทำงาน ขับรถยนต์กลับเข้าบ้านมาจอด นั่งนิ่งๆ หลับตาอยู่กับพวงมาลัย ละมัยเข้ามามองอย่างแปลกใจ
“คุณภู ก็ไหนบอกว่าจะไปทำงานไงล่ะคะ”
ภูฉายเปิดประตูรถลงมา
“แม่ไม่อยู่ใช่มั้ย”
“ค่ะ ไม่อยู่ ไป...เอ้อ....ไป...”
“เอาละ ไม่ต้องบอกฉันหรอก ฉันไม่อยากรู้หรอกว่าแม่ไปไหน ฉันขอนอนสักสองสามชั่วโมงนะ มัย”
ภูฉายเดินขึ้นตึกไป ละมัยมองตามไปอย่างสงสาร
“โธ่ คุณภู”
ภูฉายเปิดประตูห้องนอน บรรยากาศอ้างว้าง โดดเดี่ยว เขาเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งซบหน้ากับฝ่ามือของตนเอง สะอื้นไห้เบาๆ และเริ่มแรงขึ้น...แรงขึ้น
สลักนั่งแท็กซี่เข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าบึ้งตึง มองรถยนต์ของภูฉาย
“นังมัย!”
“ขา”
“ภูกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่นี่”
“เมื่อกี้นี้เองค่ะ”
“แล้วเขาอยู่ไหน”
“ข้างบนค่ะ”
สลักรีบเดินขึ้นตึกไป ละมัยมองตามไปอย่างกังวล
ภูฉายยังซบหน้ากับฝ่ามือสะอื้นไห้ เสียงเบาลง..เบาลง เสียงทุบประตูรัวถี่ขึ้น เสียงสลักเรียกอยู่ภายนอก
“ภู...ภู...ภูฉาย”
ภูฉายยังคงนิ่งเฉย ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แววตาของภูฉายเริ่มเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวและเกลียดชัง
“ภู เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ นี่แม่นะ แม่สั่งให้แกเปิดประตูแม่เอาตำรวจไปลากคอมันเข้าคุกแล้ว เห็นมั้ย...แม่ทำเพื่อใครถ้าไม่ใช่เพื่อลูกโง่ๆ อย่างแก ภู...ภู...แกจะขังตัวเองให้ตายเพราะความโง่หรือยังโง่ ฮึ ไอ้ลูกโง่...โง่ๆๆๆโง่นัก”
ภูฉายเริ่มมือสั่นจ้องผ่านฝ่ามือของตัวเอง แล้วตบหน้าตัวเองหลายๆ ครั้ง
“ใช่...ผมโง่...โง่...เป็นผัวโง่ๆ แล้วก็เป็นลูกโง่ๆผมมันโง่...มันโง่...โง่...”
ภูฉายตบหน้าตัวเอง ร้องไห้ ทิ้งตัวลงนอนร้องไห้อย่างหนักหน่วง
“ก็ตามใจ...แกไม่เปิดให้แกแกก็ตายอยู่ในนั้นแหละแม่ทำเพื่อแกถึงขั้นนั้นแล้ว ถ้าแกยังไม่เห็นคุณค่าของแม่ก็ตามใจ!”
ภูฉายทิ้งตัวลงนอนงอตัว ร้องไห้ เหมือนเด็กๆ ที่เปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง และเดียวดาย ตามลำพัง ไม่มีแม้แต่ฟางสักเส้นที่จะยึดเกาะ
ภาษิตถูกคุมตัวอยู่ในห้องขัง เพียรภมรเดินเร็วเข้ามาอย่างรีบร้อน นวลนภาตะโกนเรียกอย่างร้อนใจ
“หนูเพียร ทางนี้”
“คุณแม่...เรื่องเป็นยังไงคะนี่”
“คุณนายสลักแจ้งตำรวจว่าภาษิตทำร้ายภูฉาย ไม่รู้ความคิดของภูฉายหรือเปล่า”
“แหม ถ้าเขาคิดยังงั้นก็แย่ซีครับ คุณก็รู้ว่าไม่ใช่” ภาษิตท้วง
“หนูจะโทร. ถึงภูฉายค่ะ”
เพียรภมรเลี่ยงออกไป ใช้โทรศัพท์มือถือ
“บ้านคุณนายสลักใช่มั้ยคะ ขอพูดสายกับคุณภูฉายค่ะ...อะไรนะ...ไม่รับสายหรือ”
ละมัยเป็นรับโทรศัพท์
“ค่ะ ไม่รับสาย ไม่ค่อยสบายค่ะ...คุณภูยังหลับอยู่”
สลักเดินเข้ามายืนฟัง
“ปลุกเดี๋ยวนี้เลยหรือคะ ค่ะ ถ้าเป็นเรื่องสำคัญคงได้”
สลักแว้ดใส่ “นังมัย!”
“อุ๊ย คุณนาย งั้นพูดกับคุณนายนะคะ”
“เอามานี่...ไม่ต้องพูด...ไม่ต้องต่อรองกับมัน ฉันรู้ว่าใคร”
สลักแย่งโทรศัพท์มากระแทกหูลง
“มันจะได้รู้ซะบ้างว่าลูกฉัน...ฉันไม่ยอมให้ใครแตะหรอก...ฉันรักลูก”
ภาษิตยืนพิงห้องขังกอดอกมองเพียรภมรซึ่งมีท่าทีร้อนใจกับนวลนภา
“ทำยังไงดีล่ะหนู ติดมั้ย”
“ไม่ติดแล้วล่ะค่ะ ทางโน้นคงไม่รับสายแล้วละค่ะ”
“แล้วจะทำยังไงดีล่ะ นี่ภาษิตมิต้องนอนห้องขังหรือ”
“แม่ อยู่เป็นเพื่อนผมนะ”
ภาษิตยื่นมือออกมาจับมือนวลนภา ท่าทีตื่นกลัว
“ประกันตัวได้มั้ยหนู”
“เราต้องเอาภูมายืนยันค่ะว่าไม่ได้ถูกภาษิตทำร้าย”
“คุณนายสลักคงไม่ยอมให้เราพูดกับภูฉาย หนูจะทำยังไง”
สีหน้าแววตาของเพียรภมรเด็ดเดี่ยวมาก
“หนูจะไปพบคุณภูฉาย”
ปีกมาร ตอนที่ 16 อวสาน (ต่อ)
สลักเดินเร็วๆ ออกมาจากบ้าน ตามด้วยละมัย เพื่อกันเพียรภมรไว้ ที่ประตูใหญ่ที่มองเห็นหน้าต่างห้องนอนของภูฉาย
“อย่านะ...อย่าเข้ามาในบริเวณบ้านฉันแม้แต่ก้าวเดียว ไม่ยังงั้นฉันจะโทร.เรียกตำรวจข้อหาบุกรุก เป็นทนายหรือทะแนะก็ไม่สนใจทั้งนั้น กฎหมายเขาไม่ได้มีไว้ให้ทนายใช้พวกเดียวนะ ประชาชนคนเดินถนนก็มีสิทธิ์ใช้”
“ฉันต้องการพบคุณภูฉาย”
“ฉันไม่ให้พบ!”
“ทำไมล่ะคะ”
“เพราะฉันเป็นแม่ของเขา”
“เราไม่ได้มาพรากลูกพรากแม่ใคร เหมือนอย่างที่คุณนายพรากผัวพรากเมียเขาหรอกค่ะ ฉันต้องการขอให้เขาทำในสิ่งที่ถูกต้อง”
“แก..แกด่าฉัน แกหาว่าฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผัวเมียเขาเลิกกันใช่มั้ย”
สลักแผดเสียงอย่างลืมตัว
ภูฉายโผล่หน้าต่างออกมาด้วยสีหน้าร่วงโรย เครียด
“ไม่จริง...คนมันไม่รักกัน มันถึงได้อยู่ด้วยกันไม่รอด นังศลัยมันมักมาก มันมีชู้ มันถึงได้เกิดเรื่องฟ้องร้องในศาล...ไม่ใช่ฉัน...ฉันไม่ได้พรากผัวพรากเมียใคร แกออกไปนะ”
ภูฉายตะโกนถามลงมา
“อะไรกัน คุณ”
“ภาษิตถูกจับค่ะ คุณต้องให้การกับตำรวจ ว่าคนที่ทำร้ายคุณไม่ใช่ภาษิต”
“อย่านะ...นี่เป็นคำสั่งของแม่ แม่ไม่ให้แกไป”
“คุณต้องไปนะคะ คุณภู คุณก็รู้ว่าคุณควรทำอะไร”
“แต่แม่ไม่ให้แกไป”
“รอผม ผมจะไปกับคุณ”
ภูฉายผลุบหายไปจากบานหน้าต่าง สลักตะลึง เพียรภมรเบนสายตามาสบสายตาของสลักอย่างผู้ชนะ
ฟากศลัยลาจอดรถยนต์ ได้ยินเสียงร้องของเด็ก เข็มอุ้มเด็กในอ้อมแขนเขย่าไปมา สีหน้าร้อนใจ
“เข็ม น้องหนูเป็นอะไรน่ะ”
“ไม่ทราบค่ะ ร้องไม่หยุดเลยค่ะ ตัวร้อนจี๋เลยต้องเอามาอุ้มข้างนอกค่ะ”
“แล้วคุณแม่ล่ะ”
“คุณป้าไปสถานีตำรวจ คุณภาษิตถูกจับค่ะ เลยให้หนูดูน้องหนูแทนตัวร้อนจังเลยค่ะ”
“ร้อนจริงๆ ด้วย รู้มั้ยภาษิตถูกจับเรื่องอะไร”
“หนูไม่รู้หรอกค่ะ คุณป้าไม่ได้บอกอะไร เอายังไงดีคะ น้องหนูน่ะ”
“ขึ้นรถเร็ว เอาน้องไปหาหมอ”
เข็มขึ้นรถยนต์พร้อมน้องหนู ศลัยลาขับรถพาออกไป
ด้านนวลนภาเดินไปมาด้วยท่าทีเครียดหนัก ภาษิตยืนมองผ่านกรงขังไปยังทั้งคู่ด้วยแววตาครุ่นคิด ภาษิตเริ่มรู้สึกถึงความห่วงใย
“โอย เมื่อไหร่ภูฉายจะมาเสียทีนะ”
“แม่ครับ”
“จะเอาอะไรลูก ไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวหนูเพียรก็คงจะเอาตัวภูฉายมาได้ ไม่ต้องกลัว..แม่อยู่นี่”
“แม่ทำเหมือนผมเป็นลูกแหง่ติดแม่ เหมือนพี่ภูเลย”
“งั้นแกอยู่คนเดียวได้มั้ยล่ะ แม่จะได้กลับมาดูหลาน วันนี้ศลัยกลับบ้านค่ำหรือเปล่าก็ไม่รู้ เข็มมันเคยเลี้ยงเด็กเสียที่ไหน”
“แม่ อยู่เป็นเพื่อนผมก่อน ผมรู้นะ...ว่าแม่เป็นห่วงผมน่ะ”
“ไม่ใช่แม่คนเดียวหรอกที่ห่วงแก ยังมีผู้หญิงอีกคน...ห่วงแกไม่น้อยไปกว่าที่แม่ห่วง
ภาษิตนิ่งอึ้งไป เหลือบสายขึ้นมองนวลนภา”
“ใครครับ”
เพียรภมรขับรถยนต์ราวกับจะบิน ภูฉายนั่งเงียบๆ สลักส่งเสียงแจ้วๆ อยู่กึ่งกลางทางเบาะหลัง
“แกขัดคำสั่งแม่ แกเห็นคนอื่นดีกว่าแม่ได้ยังไง แม่เลี้ยงแกมาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น คนอื่นน่ะ..มันมีบุญคุณกับแกที่ไหน แกจะไปช่วยมันให้เจ็บตัวเปล่าทำไม...แกนี่มันโง่จริงๆฉันเพิ่งจะเชื่อว่าแกโง่เหมือน...เหมือน...เหมือนพ่อแกไม่มีผิด พ่อแกน่ะ...ไม่ใช่เพราะความโง่หรือ ชีวิตมันถึงได้เรี่ยราดยังงั้น”
ภูฉายนั่งนิ่ง พยายามอดกลั้นสุดขีดเมื่อได้รับแรงบีบคั้นไม่ลดละจากสลัก แรงขึ้นเรื่อยๆ จนภูฉายต้องหลับตานิ่งๆ ขบกรามอย่างอดกลั้น
“เร็วกว่านี้ได้มั้ย คุณ” ภูฉายหันไปเร่งเพียรภมร
“ไม่ต้อง จะรีบไปตายหรือยังไงถึงได้ขับรถเหมือนขับเรือบิน...ภู...แกเห็นแม่เป็นอะไร เห็นแม่เป็นแค่อีแก่ไม่มีความหมายใช่มั้ย แกถึงได้กล้าขัดคำสั่งของแม่ แก...แกมันลูกเนรคุณ ถ้าฉันรู้ว่าแกจะเห็นคนอื่นดีกว่าแม่ยังงี้ละก็ ฉันไม่เบ่งแกออกมาเป็นคนหรอก..ไอ้ลูกไม่รักดี!”
รถยนต์แล่นทะยานไป
ด้านนวลนภาลุกนั่งท่าทีกระวนกระวายอยู่ที่หน้าห้องขัง สักครู่หนึ่ง เพียรภมรวิ่งนำหน้าภูฉาย เข้ามา โดยมีสลักวิ่งตามมาติดๆ
“มาแล้ว” นวลนภาร้องอย่างดีใจ
“มาแล้วค่ะคุณแม่ คุณภูฉาย...บอกความจริงกับตำรวจไปซีคะเขาจะได้ปล่อยตัวภาษิต”
สลักโวยลั่น “บอกมันไปเลยว่ามันทำร้ายแก ฉันไม่ยอมให้มีการประกันตัวนะ ฉันกลัวมันย้อนกลับไปฆ่าฉัน บอกไปซีภู ภูฉาย”
“ปล่อยภาษิตไปเถอะครับ เขาไม่ได้ทำร้ายผม”
สลักโมโหสุดขีด “ภู แกจะบ้าหรือ นี่....นี่แก...”
“ภาษิตไม่ได้ทำรายผม เขาไม่รู้เรื่องอะไรหรอกครับ ปล่อยเขาไป แม่....ผมขอโทษ”
ภูฉายหวั่นไหวสุดขีดหันหลังกลับ หลบหน้าทุกคน สลักเบรกแตก ตะโกนด่า ร่ำไห้ประจานภูฉาย
“ภู ไอ้ลูกไม่รักดี ไอ้ลูกเนรคุณ แม่ทำไปเพราะแม่หวังดีกับแกนะ อยากให้แกฉลาดทันคน แกจะได้ไม่ตกเป็นเบี้ยล่างให้คนพวกนี้มันเอารัดเอาเปรียบ...แกไม่เคยเห็นความดีของแม่ แกรักคนอื่นมากกว่าแม่...แม่อยากตาย...แม่จะต้องตาย...แม่ต้องตายเพราะแกเพราะมีลูกเนรคุณอย่างแก โลกจะต้องประมาณแก...เพราะแกแม่ถึงต้องตาย..ฮือๆ...โง่...ทำไมถึงได้โง่ยังงี้....ทำไมถึงได้โง่อย่างงี้...แกมันไอ้โง่!”
ภูฉายชะงัก ค่อยๆ หมุนตัวกลับมา แววตาวาวโรจน์อย่างคนขาดสติ โดยไม่มีใครคาดคิด ภูฉายก้าวเข้าไปหาราวกับจะฆ่าจะแกงสลัก พร้อมกับแผดเสียงดังลั่น อย่างเหลืออด
“หยุดนะ...อย่าด่าผมว่าไอ้โง่...ผมรู้ว่าผมโง่ ผมไม่เคยฉลาดพอที่จะเป็นลูกของแม่ แม่ถึงได้ร่ำร้อง...แม่ร่ำร้องมานานแค่ไหนแล้วล่ะ...แม่อยากตาย...แม่ต้องตาย....แม่ร้องอยู่ยังงี้ทุกวัน...ทุกเดือน...ทุกปี ตลอดชีวิตของผม แล้วทำไมล่ะ...ทำไมแม่ไม่ตาย ทำไมแม่ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อรังแกผม...แม่ทำให้ชีวิตของผมต้องพัง มันพังจะไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว..เพราะแม่...ตายซี...ตายเลย...เชิญตายซะ...เชิญ!”
“ภู” สลักตาค้าง ตกใจสุดขีด
ภูฉายร้องไห้ โฮๆ แล้ววิ่งออกไป ทุกคนตะลึงงัน
สลักเกิดอาการช็อค ล้มตึงลงไปนอนหงายหน้าตาตั้ง นัยน์ตาเบิกโพลงอย่างน่ากลัว
ศลัยลาเดินกระวนกระวายอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ขณะเข็มเดินโทรศัพท์อยู่ด้วยสีหน้าร้อนใจ
“ไม่มีใครรับสายค่ะ สงสัยจะยังไม่กลับ”
“รู้มั้ย เขาไปที่สถานีตำรวจอะไร”
“ไม่ทราบค่ะ”
หมอเปิดประตูออกมา
“คุณหมอ ลูก...ลูกเป็นยังไงบ้างคะ”
“เด็กเป็นไวรัสลงกระเพาะนะครับ เราคงต้องเอาตัวเด็กไว้ที่นี่เลย”
ศลัยลาตกใจ “ไวรัสลงกระเพาะ”
“ครับ ระยะนี้เด็กอ่อนเป็นกันมาก อาการของลูกคุณต้องอยู่ในความดูแลขอหมออีกหลายวัน”
“ลูก…”
สีหน้าของศลัยลาตื่นตระหนก
พอนวลนภาเปิดประตูเข้ามาภายในห้องสลัวๆ แล้วจึงเปิดไฟ ต่างคนต่างแปลกใจ
“เอ๊ะ เข็มมันไปไหนนี่ ทิ้งบ้านไว้ฟืนไฟก็ไม่เปิด”
“น้องหนูด้วยครับ เดี๋ยวผมไปดูข้างบน”
ภาษิตรีบวิ่งขึ้นไปข้างบน
“ขวดนมที่ก็ยังไม่ได้ล้าง เข็ม....เข็มเอ๊ย....”
“อยู่ข้างบนหรือเปล่าคะ”
สักครู่ภาษิตวิ่งลงมาหน้าตื่น
“ไม่มีครับคุณแม่ ข้างบนปิดไฟ”
“โอย...หมดเรื่องนั้นก็มาเรื่องนี้อีกแล้ว หนูเพียร...ทำยังไงถึงจะรู้ล่ะว่าตาหนูกับเข็มไปไหน”
เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น ภาษิตรีบรับสาย
“พี่ศลัย ผมเอง...หรือครับ...เป็นอะไรฮะ...ครับ...เรื่องของผมเรียบร้อยครับ เดี๋ยวผมจะตามไป ครับ ครับ”
ภาษิตวางสายลง
“ศลัยหรือ” นวลนภาถาม
“น้องหนูไม่สบายครับ หมอบอกว่าไวรัสลงกระเพาะ ผมจะไปดูหลาน”
“แม่ไปด้วย”
“คุณแม่ไม่ต้องไปหรอกค่ะ คุณแม่เหนื่อยมาครึ่งค่อนวันแล้ว...หนูจะไปกับภาษิต”
“ก็ดี ดูแลศลัยลาด้วยนะ หนู” นวลนภาฝากฝัง
“ค่ะ”
“คุณแม่อยู่บ้านคนเดียวได้ใช่มั้ยครับ”
“ได้ ไม่ต้องห่วงแม่หรอก แม่จะรอโทรศัพท์นะ”
เพียรภมร และภาษิตรีบออกไป
นวลนภามองตาม ถอนหายใจด้วยความกังวล
ด้านสลักอยู่ในเครื่องช่วยหายใจ นอนนิ่งอยู่บนเตียงห้องคนไข้ของโรงพยาบาล โดยมีละมัยนั่งเฝ้าอยู่ด้วยความร้อนใจ สักครู่หนึ่งสลักเริ่มรู้สึกตัว
“ภู ภูฉาย…”
“คุณนาย คุณนายรู้สึกตัวแล้วหรือคะ คุณนายช็อคไปค่ะ”
สลักคร่ำครวญเสียงสั่นเครือ “ภูล่ะ ภูอยู่ที่ไหน เขาคงไม่อยากให้ฉันตายใช่มั้ย เขาบ้า เขาคลั่ง เขาพูดไปยังงั้นเอง ใช่มั้ย”
“คุณนายขา..คุณนาย…”
“ฉันจะรอภู ภูเขาไปไหนแกรู้มั้ย ทำไมป่านนี้เขายังไม่มาอยู่กับฉัน มาขอโทษฉัน ที่เขาเป็นบ้า เขาแช่ง..แม่!”
ละมัยตาเหลือก “หา คุณภูน่ะหรือคะแช่งคุณนาย เอ้อ..มากไปมั้ง อ้า..เดี๋ยว
คุณภูก็กลับเองแหละค่ะ หนูไม่เคยเห็นคุณภูจงใจไปไหน เดี๋ยวคงจะมาหาคุณนายค่ะ”
“ฉันจะรอภูฉาย”
แววตาของสลักหมองจัด ท่าทีเงียบเหงาและเดียวดาย
ฟากภูฉายหลังจากหนีเตลิดออกมา และเดินช้าๆ ไปตามท้องถนนเปลี่ยวอันเวิ้งว้างในค่ำคืนที่เคว้งคว้าง
เขาหยุดก้าวมองไปรอบๆ ตัว เหมือนคนโดดเดี่ยวไม่มีที่ไป ก่อนจะนั่งลงข้างๆ ถนน ภูฉายกอดเข่าอย่างหนาวเหน็บ ซบหน้ากับเข่าร้องไห้อย่างเงียบเหงา
ส่วนศลัยลานั่งซบหน้าอยู่กับฝ่ามืออยู่ในห้องพักฟื้นลูกน้อย เข็มนั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง เพียรภมรเดินเข้ามานั่งใกล้ๆ มองศลัยลาด้วยแววตาหมองเศร้า และสะเทือนใจ
สักครู่ศลัยลาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ภาษิตยืนอยู่มุมหนึ่ง มองมา
“ฉันมัวแต่ใช้เวลาส่วนใหญ่ ตีรันฟันแทงกับภูฉายเพื่อตัวเองจนลืมลูก...ลูกที่ฉันพูดอยู่ทุกวันว่าเป็นแก้วตาดวงใจของฉัน ฉัน...ฉันทำตัวเหมือนคนที่ไม่ใช่แม่...ไม่เป็นแม่” ศลัยลาครวญคร่ำ
“พี่ศลัย...อย่าลงโทษตัวเองเลย มันเป็นไป...อย่างที่มันจะต้องเป็น ไม่มีใครไม่เสียใจกับเรื่องลูก แม้แต่คุณภูฉายเองก็เถอะ” เพียรภมรปลอบโยน
“ภูฉาย” ศลัยลาครางออกมา
“พี่ศลัยลืมไปแล้วหรือ คุณภูฉายเป็นพ่อนะ...เขาเป็นพ่อเหมือนอย่างที่พี่เป็นแม่ ยิ่งตอนนี้ เขา…”
เพียรภมรหันไปสบสายตาภาษิต
“เขาเป็นอะไร” ศลัยลาชะงัก แปลกใจ
เพียงภมรบอกอย่างลำบากใจ “เอ้อ...ไม่ค่อยดี…”
สีหน้า และแววตาของศลัยลาแปลกใจมากๆ
“ภูฉาย…”
ตะวันสาดแสงแรกขึ้นสู่ท้องฟ้ายามอรุณรุ่ง ภูฉายยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิมเหม่อมองออกไปอย่างเลื่อนลอย ด้วยความความรู้สึกที่เปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง ในท่าทีที่นิ่งขรึมมากขึ้นของภูฉาย
สลักร้องไห้สะอึกสะอื้นคร่ำครวญหวนไห้อย่างน่าสงสาร หลังกลับจากโรงพยาบาล มาพักที่บ้านแล้ว ละมัยยืนมองเงียบๆ ไม่แน่ใจว่าเป็นมารยาของเจ้านายอีกหรือไม่
“ภู....เขาไม่กลับมาเลยใช่มั้ย...เขาไปแล้ว...เขาทิ้งฉันไปแล้ว ถ้าเขาไม่ทิ้งแม่เขาก็น่าจะกลับมาแล้ว เขาหายไปทั้งคืน เขาไม่กลับมาแล้วจริงๆ ภู...โธ่...ภูฉาย”
ละมัยถอนหายใจ แล้วเมินไป
ภูฉายอยู่ที่ร้านข้าวแกงริมทาง เวลานี้นั่งเขี่ยข้าวในจานอย่างเนือยๆ
“เก็บเงินด้วยครับ”
ขณะภูฉายหยิบกระเป๋าตังค์ออกมาเพื่อจ่ายเงินแม่ค้า นามบัตรของทะนงผู้เป็นบิดาหล่นออกจากซอกหลืบกระเป๋า ภูฉายหยิบขึ้นมาจ้องมอง พึมพำเบาๆ
“พ่อ...”
ในเวลาต่อมา ทะนงขับรถจี๊ปแล่นตัดไปตามแนวโค้งของถนนที่สองข้างทางเต็มไปด้วยไร่อ้อย โดยมีภูฉายนั่งอยู่เคียงข้าง ทะนงหันมามองภูฉาย ซึ่งนั่งซึมอยู่ในสภาพทรุดโทรมยิ่งขึ้น
“ไม่มีอะไรหรอกลูก มันเป็นเรื่องของชีวิตน่ะ จริงๆแล้วมันไม่มีใครผิดใครถูกหรอก ต่างคนต่างคิดต่างคนก็มีเหตุผลของตัวเอง”
ภูฉายเหลือบสายตาขึ้นมองพ่อ แววตาว่างเปล่า เฉยชา เพราะภูฉายและทะนงไม่ผูกพัน และคุ้นเคยกันมาก่อน
“เอาน่ะ แกมาถูกที่แล้วละ ไม่มีอะไรน่ะ ลูก”
บ้านไร่หลังกะทัดรัดที่บอกถึงฐานะปานกลาง และความสันโดษของเจ้าบ้าน ทะนงขับรถจี๊ปเข้ามาจอดหน้าบ้านหลังนี้
“ถึงแล้ว ลงมาซีลูก เอิง....เอิง...”
ทะนงตะโกนเรียกภรรยา สักครู่เอิงเปิดประตูบ้านออกมา ด้วยบุคลิกยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นผู้หญิงในแบบที่ผู้ชายอยู่ด้วยแล้วมีความสุข หากเทียบกันแล้วเอิงไม่ใช่คนสวยสง่าเท่าสลัก
“นี่ไงล่ะ ภูฉาย ลูกชายผมเอง”
“คุณภูฉาย ยินดีต้อนรับค่ะ คุณพ่อคุณพูดถึงคุณบ่อยๆ ฉันรู้จักคุณตั้งแต่อยู่ที่โน่น” เอิงยิ้มแย้มทักทาย
ทะนงแนะนำ “เอิงเป็นพยาบาลเก่า พอลาออกจากงานทางโน้นแล้วก็มาปักหลักทำไร่กันที่นี่ มันเงียบหน่อย...แต่แกก็คงไม่ต้องการความเอิกเกริกไม่ใช่หรือ”
“ขึ้นมาข้างบนซีคะ”
เอิงเชื้อชวน ด้วยกิริยารื่นเริงและเป็นกันเอง แม้ว่าจะอยู่ในวัยกลางคน
กิริยาอาการของทะนงและเอิง บ่งบอกถึงสภาพครอบครัวเล็กๆ ที่อบอุ่นเป็นกันเอง อยู่ร่วมกันด้วยความเข้าใจ
ภูฉายมองสองคน รู้ในนาทีนั้นว่าเหตุใดผู้เป็นพ่อจึงทิ้งสลักไปมีเมียใหม่
“พอคุณโทร.ให้ไปรับ คุณพ่อคุณดีใจค่ะ สั่งแช่เบียร์ไว้เต็มตู้เลยค่ะ เชิญค่ะ” เอิงโอภาปราศัย
“ไปซีลูก”
ทะนงโอบไหล่ของภูฉายเดินขึ้นเรือนไป ภูฉายยังมีท่าทีขัดเขินเหมือนคนแปลกหน้า
ฟากฉวีนอนอยู่บนเตียงในบ้านเช่า สักครู่จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น ควานมือเข้าไปใต้หมอนก่อนผุดลุกขึ้นนั่งอย่างตื่นตระหนก
“เงิน”
ที่บริเวณท่าเรือ ไม่ไกลจากบ้านเช่าของฉวี แลเห็นสุเทพนั่งกินเหล้าอยู่กับตัวเพื่อนๆ ต่างตีเกราะเคาะขวดร้องเพลงกันอย่าสนุกสนานด้วยอาการมึนเมา มีเมียน้อยสวมกางเกงขาสั้น มัดผมสองแกะ ใส่เสื้อสายเดี่ยว ท่าทีก๋ากั่น ดูถ่อยๆ นั่งอยู่บนตักของสุเทพ
ฉวีค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากมุมหลบ จ้องมองไปยังสุเทพด้วยท่าทีนิ่งๆ ไม่โวยวาย แต่ความรู้สึกในแววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวเหลือประมาณ
ไม่นานต่อมาสุเทพเมาแอ่นกลับมาเคาะประตูบ้าน ตะโกนเรียกเสียงเข้ม
“อี..เอ๊ย...” พอรู้ตัวรีบเปลี่ยนเป็นเสียงอ่อนลง “แม่ แม่จ๋า พ่อไปฉลองวันเกิดเพื่อนมา เปิดประตูรับพ่อหน่อย แม่..แม่คุณของพ่อ พ่อจ๋ากลับมาแล้ว”
พอเห็นว่าฉวีไม่เปิดให้ สุเทพจึงเปิดประตูเข้าไปเอง
“ประตูไม่ได้ใส่กลอน แม่…”
ฉวีนั่งก้มหน้านิ่งๆ อยู่บนที่นอน ค่อยๆ หันมาจ้องหน้า
“แม่ ตื่นเช้าจังเลย ไม่ต้องไปทำงาน มีลูกหาเลี้ยง แม่จะรีบตื่นทำไม”
ฉวีจ้องหน้าสุเทพ พยายามข่มความรู้สึกเต็มที่
“กูยังไม่ได้นอน!”
“ยังไม่ได้นอน แล้วนั่งอยู่ทำไมล่ะแม่ นอนๆๆๆ เพิ่งออกจากโรงพยาบาล แม่ต้องพักผ่อนให้มากๆ เดี๋ยวพ่อจะ…”
ว่าแล้ว สุเทพค่อยๆ เอนตัวลง คว่ำลงกับพื้น หลับไปด้วยความเมา
ฉวีก้มลงมองสุเทพด้วยแววตาหดหู่ เริ่มรู้สึกผิดที่ไม่เชื่อคำพูดของเพียรภมร
ฟากลายสือเดินงุ่นง่านไปมาอย่างกังวล และร้อนใจ สักพักหนึ่งจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ตั้งใจจะโทร.ถึงศลัยลา แต่กลับกดทิ้ง
“ไม่ ผมต้องฝึกตัวเองให้ทนให้ได้ โธ่…”
ลายสือเปล่งเสียงตะโกน
“กู..อยาก..ตาย!”
ผลึกและจืด ก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าเฉยเมย
“ไอ้โง่!”
“ไอ้งั่ง!”
แวววาของลายสือสลดลงอย่างชัดแจ้ง
ทางด้านศลัยลานั่งมองลูกที่ยังหลับสนิทอยู่ นวลนภาเปิดประตูเข้ามาเงียบๆ
“วันนี้เป็นยังไงบ้างลูก เอาน้ำเกลือออกแล้วหรือ”
“ค่ะเพิ่งเอาออกเมื่อเช้า พ้นขีดอันตรายแล้วละค่ะ”
“โถ ทูนหัวของยาย ตัวแค่นี้เอง...เจออะไรต่ออะไรเยอะแยะ ดีนะที่ยังไม่รู้เดียงสา”
“แม่หมายถึง...เรื่องของหนูกับภูฉายหรือคะ”
“ศลัย แม่ไม่รู้จะคิดยังไงเลยนะตอนนี้ ภูฉายเขาก็...คงจะเสียใจ เขา...บ้าไปแล้ว เขา…”
ศลัยลาพูดตัดบท “ค่ะ หนูรู้ หนูพยายามใช้เวลาที่มีอยู่นึกถึงเรื่องเก่าๆ หนูเคยรักภูฉายมากนะคะ รักมาก”
นวลนภาถอนหายใจด้วยความกังวล
“ป่านนี้....คุณนายสลักเป็นยังไงมั่งก็ไม่รู้”
ปีกมาร ตอนที่ 16 อวสาน (ต่อ)
สลักนอนอยู่ในบ้าน กำลังออกอาการอึดอัดเพราะเริ่มมีอาการหายใจไม่ออก
“ภู...ภู...ช่วยด้วย...ช่วยแม่ด้วย...มัย....นังมัย...”
ละมัยทำงานอยู่ ชะโงกมองด้วยสีหน้าเบื่อๆ
“คุณนายเป็นอะไรอีกล่ะคะ”
“ฉัน...ฉันหายใจไม่ออก”
“ไม่ออกจริงๆ หรือไม่ออกเล่นๆ คะ”
“ภู ภูอยู่ที่ไหนน่ะ...แม่...แม่...ช่วยด้วย...แก...แกช่วยประคองฉันให้นั่งที ฉันยังไม่อยากตายนะ ฉันเป็นห่วงลูกของฉัน”
ท่าทีของสลักน่าสงสาร ละมัยจำใจต้องเข้าประคอง
“หายใจไม่ออกจริงๆ หรือคะ งั้น...งั้นไปหาหมอมั้ยคะ คุณนาย มันค่อยสมเหตุสมผล ตอนที่คุณภูฉายกลับมา”
สลักชะงัก พยายามขยับตัวลุกขึ้นนั่งเอง น้ำตาคลอ ด้วยทิฐิ
“ไม่..ไม่ไป...ฉัน..ฉันจะรอภูฉาย เขา..เขาคงไม่ได้หมายความอย่างที่เขาพูด เขาไม่อยากให้ฉันตายจริงๆ หรอก ฉันตายแล้วเขาจะอยู่ได้ยังไง ใช่มั้ย..นังมัย เขาคงไม่ได้ความว่า..เขาอยากให้ฉันตาย..ใช่มั้ย”
ละมัยหันกลับมามองสลักด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นสลักน้ำตาร่วงพรู
อีกฟากหนึ่ง ภูฉายยืนทอดสายตามองสภาพไร่อ้อยยามเช้า อย่างเศร้าหมองเงียบเหงาเอิงยกเครื่องชงกาแฟมาตั้ง ทะนงเดินออกมา
“กาแฟค่ะคุณภูฉาย”
“ขอบคุณครับ”
“ฉันจะออกไปตรวจไร่ คุณกินกาแฟกับลูกเถอะค่ะ” เอิงหันมาทางสามี
“เมื่อคืนหลับบ้างหรือเปล่า ลูก”
เอิงขับรถจี๊ปออกไป ด้วยท่าทีทะมัดทะแมง ขยันขันแข็ง ภูฉายมองตามไป ไม่ได้ยินที่ทะนงถาม ทะนงมองตามสายตาของภูฉาย
“เขาเป็นคนง่ายๆ พ่อบอกตรงๆ นะ อยู่ใกล้ๆ เอิง พ่อรู้สึกมั่นคง ผู้หญิงเก่งไม่จำเป็นต้องเป็นผู้หญิงใช้ปาก ผู้หญิงที่ดีก็ไม่จำเป็นต้องนุ่งซิ่น เราต้องยอมรับในยุคสมัยที่มันเปลี่ยนไป”
“ผมจะอยู่ที่นี่สักพักหนึ่งได้มั้ยครับ”
“ได้ซี แต่โทร. บอกที่ทำงานเสียก่อน ยังไงชีวิตของลูกก็ยังต้องผูกพันอยู่กับงาน...ภาระ...หรือแม้แต่....ครอบครัว”
สีหน้า และแววตาของภูฉายสลดลงทันทีเมื่อได้ยินคำว่า...ครอบครัว
“ครอบครัวหรือครับ”
ขณะที่อาจารย์อังเดรนั่งทำงานอยู่ในห้องพักครู ลายสือเปิดประตูเข้ามา อังเดรไม่ได้หันไปมอง แต่เปรยๆ ขึ้น
“อะไรหาย...ก็ต้องหาให้เจอ คนที่ทำของหายแล้วไม่หาให้พบน่ะเป็นคนสับเพร่า เป็นคนที่ต้องสูญเสียอะไรดีๆ ในชีวิตไป..น่าเสียดายนะ”
ลายสือเดินเข้ามา สีหน้าเครียดขรึม
“ผมฟังไม่รู้เรื่องหรอกครับอาจารย์ ถ้าจะเตือนผมละก็..ต้องพุ่งเข้าชนครับ”
“ชีวิตต้องการระบบ มันก็เหมือนกลไกที่เราต้องจัด จัดให้เข้ารูปเข้าร่างอย่างที่ควรจะเป็น ถ้าเราปล่อยมันกระจัดกระจาย เราก็จะไม่ได้ในสิ่งที่เราควรจะได้ พูดอย่างนี้แล้วไม่เข้าใจ....ก็ไปเอาหัวโขกฝาท่อตายซะ!”
ลายสือมองหน้าอังเดร กลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ แววตาของลายสือเหมือนยอมจำนนแล้ว
ด้านภาษิตและเพียรภมร เดินเข้ามาชนกันจากต่างมุมของอาคารผู้ป่วยในโรงพยาบาล เพียรภมรมองหน้าภาษิต
“แหม ใจเราตรงกันเลยนะครับ ผมมาเยี่ยมหลาน”
“ฉันก็จะมาเปลี่ยนให้ศลัยกลับไปพักบ้าง”
“ผมถึงได้ว่า....ใจเราตรงกันยังไงล่ะ”
เพียรภมรมองค้อน แล้วเดินหนีไปตามทางเดิน ภาษิตมองตามยิ้มๆ แล้วรีบเดินตามเข้าไป
เช้านี้สลักนอนซมเศร้าอยู่ มีชามข้าวต้มวางทิ้งไว้ใกล้ๆ ตัว ละมัยทำงานอยู่ใกล้ๆ มองมายังสลัก เริ่มรู้สึกสงสาร สลักทรุดโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด
“ภูกลับมาหรือยัง”
“ยังค่ะ”
“เขาไปสามวันแล้วนะ เขาไม่เคยไปไหนนานๆ ยังงี้มาก่อนเลยนะ หรือว่าเขาจะไม่กลับมาหาแม่อีก เขาทิ้งแม่ไปแล้ว”
“คุณภูต้องกลับค่ะ”
“แกรู้ได้ยังไง”
“คุณภูเขาเป็นคนรักแม่ค่ะ คุณนาย”
“ใช่ หวังว่าเขายังรักฉันอยู่…”
สลักหลับตาลง น้ำตาไหลรินลงมาอาบนองใบหน้า
แลเห็นคนงานกำลังคัดอ้อยอยู่ ทะนงขับรถจี๊ปเข้ามาจอดภูฉายมาด้วย สองคนมองไปเห็นเอิงคุมงานอยู่ด้านหนึ่ง
“อ้อยพวกนี้เราตัดส่งโรงงาน มันก็ได้ราคาบ้างไม่ได้บ้างแล้วแต่ภาวะเศรษฐกิจน่ะลูกบางปีเกือบจะไม่ได้อะไรเลยแต่ต้องทำ ชีวิตคนงานกับครอบครัวอีกเป็นรอย ส่วนที่เราได้น้อยลงไปบ้างเพื่อให้คนส่วนใหญ่เขาอยู่ พ่อว่าเราก็น่าจะแบ่งปันส่วนนั้นไปให้เขา มันก็ไม่ใช่ทุกปี” ทะนงว่า
“แล้วถ้าขาดทุนล่ะครับ”
“ก็กินให้มันน้อยลงหน่อย ทำงานให้มากขึ้นอีก”
“ดีนะครับ ผมเพิ่งรู้ว่าพ่อเป็นคนสันโดษ”
“ภูจะไม่ถามพ่อสักคำหรือ ว่าทำไมพ่อถึงได้ทิ้งลูกไป”
“ไม่ละครับ....ผมคิดว่าผมได้คำตอบแล้ว”
“ความสุขนะลูก ต้องให้ตัวเองบ้าง...เพื่อตัวเราเองจะได้มีพลังที่จะให้คนอื่น ภูต้องรู้จักแยกว่าอะไรให้ตัวเอง อะไรให้คนอื่น ไม่ใช่ให้...เพราะมันเป็นหน้าที่ที่จะต้องให้...ให้ไปหมดไม่เหลือแม้แต่ลมหายใจ”
ภูฉายถอนสายตากลับไปมองเอิงที่กำลังทำงานอย่างเข้มแข็ง เขาอดนึกถึงแม่ของตัวเอง ที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆ โดยสิ้นเชิง
ส่วนลายลือเดินทอดน่องไปตามถนน ด้วยความรู้สึกเศร้าหมอง เขาหยุดยืนมองไปรอบๆ มอบตามรถประจำทางไปอย่างเคว้งคว้าง
เพียรภมรและภาษิตเดินลงมาจากตึกผู้ป่วยโรงพยาบาล เพียรภมรถามอย่างเสียไม่ได้ ทั้งที่ห่วงใยภาษิต เริ่มแคร์ภาษิตมากขึ้น
เพียรภมรต้องให้ไปส่งมั้ย
ภาษิต ไม่ต้องหรอกครับเดี๋ยวผมจะเลยไปธุระ
เพียรภมรคุณจะไปไหน
ภาพ-สีหน้าขรึมๆ ของภาษิต
“ไปหาลายสือ”
ผลึกกะจืดเปิดประตูออกมาจากห้อง เจอภาษิต
“มันไม่อยู่ว่ะ ออกไปตั้งแต่เช้า”
“ใช่ หน้ามันเหี้ยมยังกับมันมาจากนรก กูเลยไม่กล้าตอแย กลัวมันกัด!” จืดว่า
“แล้วรู้มั้ยว่ามันไปไหน”
ผลึกกะจืด มองหน้ากันบอกพร้อมกัน
“ไม่รู้ว่ะ”
ลายสืออยู่ที่วัดนั่งอยู่ตรงหน้าเจดีย์เก็บอัฐิของแม่ เขาพูดไปเรื่อยๆ เหมือนแม่ยังมีชีวิตอยู่
“ผมสับสนครับแม่ ผมทำให้คนทั้งโลกเชื่อในความรักของผมไม่ได้ ความรัก..มันไม่เหมือนที่ผมรักแม่ รักของแม่ไม่มีเงื่อนไข แต่รักของผมมันมีเงื่อนไขเยอะ มันต่างกัน...ผมไม่รู้จะทำยังไงกับตัวเอง ความรู้สึกของผมมันไม่ใช่กระดาษนะมันจะได้ฉีกทิ้งได้เผาได้ แต่..แต่มัน..แม่..บอกผม..ผมควรจะทำยังไงกับตัวเองดี!”
ลายสือร้องไห้เงียบๆ
ลุงสัปเหร่อค่อยๆ โผล่หน้าออกมามองลายสือด้วยความแปลกใจ
ค่ำวันนั้นภายในบ้านมืดสลัว สลักเดินลงบันไดพยายามจับราวบันได ท่าทีสลักไม่สบายหนัก สภาพยิ่งโทรมลง ทุกข์ทั้งใจ และกาย
“ภู...ภูกลับมาหรือยัง มัย...นังมัยเอ๊ย...มัย...ภูกลับมาแล้วใช่มั้ย ฉันได้ยินเสียงรถน่ะภู...ภู...”
สลักก้าวลงมาอย่างช้าๆ ละมัยเปิดสวิทช์ไฟ บ่นๆ
“ขา ไม่มีใครมาหรอกค่ะ คุณนายลงมาทำไมคะ หนูไม่ได้ยินเสียงรถใครเลย”
“แต่ฉันได้ยินนี่...ภูฉาย...ภูฉายหลับมาแล้ว โถ ภูกลับมาหาแม่แล้ว”
“คุณนาย ระวังค่ะ”
สลักก้าวพลาดโงนเงนอยู่แล้วพลัดตกบันไดลงมา ละมัยกรีดเสียงร้องอย่างตื่นตระหนก
ร่างสลักนอนแน่นิ่งอยู่ตรงตีนบันไดนั่นเอง
ทางฝ่ายฉวีเปิดประตูเข้ามาพร้อมด้วยถุงของกิน มองหาสุเทพไม่พบฉวีทิ้งของในมือ วิ่งเข้ามาค้นหาเงินใต้ที่นอน ไม่พบ
“ไอ้เทพ!”
คราวนี้ฉวีคำรามออกมาด้วยความโกรธสุดขีด
สุเทพ กับ เมียน้อย และก๊วนเพื่อนนั่งล้อมวงกินเหล้ากันอย่างสนุกสนาน แต่ละคนเมาแอ่น
“พี่ เดี๋ยวเมานะ” เมียน้อยบอก
“เมาซีวะดี มันต้องเมา ไม่ต้องห่วง เอาเงินนี่ไปซื้อเหล้ามาอีก นี่..เอาไป…”
“พักนี้พี่ไปทำอะไรมาน่ะ เห็นมีเงินมาให้ทุกวัน” เมียน้อยว่า
“ไม่ต้องถาม มีเงินให้ใช้ ทำตัวดีๆ เดี๋ยว..เดี๋ยวมีเลี้ยง มีค่าน้ำค่าไฟมีค่าห้อง”
ฉวีก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึง มองเห็นสุเทพกำลังส่งเงินให้เมียน้อย
“ไอ้เทพ..!”
“แม่ แม่จ๋า”
เมียน้อยหันมายกมือไหว้ฉวี
“สวัสดีค่ะแม่”
ฉวีตวาดแว้ด “กูไม่ใช่แม่ กูเป็นเมียมัน!”
“เฮ้ย งานกร่อบโว้ย แม่...เอ๊ย เมียมา…”
ก๊วนเพื่อนต่างลุกหนีแยกย้ายกันออกไป
“เมีย...ช่วยไม่ได้ อยากแก่ทำไมล่ะ ก็นึกว่าแม่น่ะซี” เมียน้อยตีฝีปากใส่ฉวี
ขาดคำฉวีตบเมียน้อยคว่ำลงไปกองกับพื้น
“หุบปากนะ กูจะพูดกับมันไม่ใช่มึง!”
“แม่ กลับไปก่อนนะ เดี๋ยวไปพูดกันที่บ้าน” สุเทพพยามเคลียร์
“ไม่ยอม เมียพี่ตบหนู พี่ต้องไปส่งหนูก่อน”
“นะ ไปส่งน้องแป๊บ”
“กูจะมาบอกกับมึงว่า ไม่ต้องกลับไปที่บ้านกูอีกแล้ว บ้านกู เงินกูไม่ต้อนรับคนอย่างมึง มึงมันชาติสัตว์ มึงไม่รู้จักโอกาส คนอย่างมึงมันเลี้ยงไม่เชื่องหรอก กูจะเลิกกับมึง!”
ฉวีเดินออกไป สุเทพหัวเราะเยาะส่งเสียงตามไปเย้ยหยัน
“คงเลิกได้หรอก..เดี๋ยว..เดี๋ยวมีง้อ กูก็อยากจะรู้นักว่าผู้หญิงอย่างมึงน่ะเจ็บแล้วเคยจำมั้ย ไม่เคย..เจ็บซ้ำเจ็บซาก เจ็บไม่เลิก ชอบ..ชอบเจ็บไม่จำ!”
ศลัยลานั่งหลับเฝ้าลูกอยู่ นวลนภาเปิดประตูเข้ามาศลัยลาจึงลืมตาขึ้น
“ไม่ได้หลับได้นอนเลยหรือลูก ศลัย”
“หนูไม่กล้าหลับค่ะ กลัวน้องหนูเป็นอะไรไป”
“แม่ซื้อโจ๊กมาให้แน่ะ กินเสียหน่อยนะ...จะได้มีแรงเดี๋ยวกินแล้วเงียบเสียบ้าง แม่จะดูตาหนูเอง”
“ได้ข่าวภูบ้างมั้ยคะ แม่” ศลัยลาอดถามไม่ได้
“ตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้น แม่ก็ไม่ได้ข่าวภูฉายอีกเลย แม่ไม่กล้าโทร. ไปถามข่าวที่บ้านคุณสลักหรอก เพราะคุณสลักเองก็คงไม่อยากพบใคร ศลัย....แม่ไม่เคยเห็นภูฉายโมโหร้ายยังงั้นมาก่อนเลยนะ”
“ค่ะ เขาเหมือนคนบ้า...เขาบ้าเสียยิ่งกว่าตอนที่เขาทำร้ายหนู หรือว่า…”
แววตาของศลัยลาเต็มไปด้วยความกังวล
“...เขาเป็นบ้าไปแล้ว”
เวลาเดียวกันที่บ้านไร่ของทะนง เอิงเดินออกมาส่งภูฉายและทะนง
“น่าจะไปพรุ่งนี้เช้านะคะคุณภูฉาย”
“อย่ารั้งเขาเลย เขาคงใจร้อนเหมือนตอนที่เขามาน่ะ”
“พ่อไม่ต้องไปส่งผมถึงกรุงเทพฯหรอกครับ ผมไปรถประจำทางเหมือนตอนขามาก็ได้”
“พ่ออยากไปส่งลูกให้ถึงที่ ภู ลูกยังมีที่ไปที่มาอยู่นะ ผัวเมียกันน่ะ...มันอยู่ที่เราต้องให้เกียรติกันและกัน เราต้องรู้จักแบ่งแยกความรักให้ถูก นี่คือรักแม่...แล้วนี่คือรักเมีย” ทะนงสอนสั่ง
“ขอให้โชคดีนะคะคุณภูฉาย แวะมาบ้าง...คุณพ่อคุณน่ะถึงเขาจะมีใคร เขาก็ยังมีคุณ” เอิงบอกพลางยิ้มให้อย่างจริงใจ
“ขอบคุณครับ”
ภูฉายค่อยๆ ยกมือไหว้เอิง ด้วยความรู้สึกนับถือ ซึ้งใจ และเข้าใจมากยิ่งขึ้น
ทะนงขับรถวิ่งออกไป เอิงมองตามไป ยิ้มอย่างมีความสุข
ฟากฉวีก้าวเข้ามาหยุดยืนที่สันเขื่อน ทำท่าเหมือนจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ก่อนร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาอย่างรุนแรง เพราะความเสียใจที่ไม่เชื่อเพียรภมร ฉวีถอดรองเท้าอย่างช้าๆ
เพียรภมรแวะมาหาแม่ด้วยความเป็นห่วง กำลังเคาะประตู
“แม่..แม่..แม่นอนหรือยัง หนูเอง...”
เพียรภมรขยับประตู พบว่าเปิดได้ เธอขมวดคิ้วท่าทีสงสัย ก่อนจะเดินเข้าไป
“แม่ หนูไม่ได้มาหาแม่หลายวัน หนูงานยุ่งน่ะ แม่..แม่อยู่ไหน”
เพียรภมรมองไปยังมีดปอกผลไม้ที่วางไว้ไกล้ถุงผลไม้
“แม่ไปไหน!”
สุเทพก้าวออกมาจากมุมหลบ
“แม่ไม่อยู่ อยู่แต่พ่อ ไม่ใช่พ่อจริงก็เป็นพ่อตี๊ต๊างได้ เราสามคนพ่อ แม่ ลูก มองยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้ใช่มั้ย”
เพียรภมรโมโห “แก แม่ฉันอยู่ไหน”
“เรามาเป็นสามคนผัวเมียดีกว่า นังหวีมันจะเลิกยะโสกับผัวซะที”
สุเทพโถมเข้าปลุกปล้ำเพียรภมร พยายามจะข่มขืน เพียรภมรต่อสู้สุดชีวิต ร้องขอความช่วยเหลือ จังหวะที่เพียรภมรกำลังจะเสียที ฉวีเปิดประตูผลัวเข้ามา คว้ามีดปอกผลไม้ตรงหน้า จ้วงแทงหลังของสุเทพจนมิดด้าม สุเทพสิ้นใจคาที่
เพียรภมรช็อค “แม่…”
“เพียร...” ฉวีครางเลือดเปื้อนเปรอะเต็มมือ
สองคนโผเข้ากอดกัน ร่ำไห้สะอึกสะอื้น
สลักนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล ละมัยเปิดประตูเข้ามานำภูฉายและทะนงเข้ามา
“คุณนายมานอนโรงพยาบาลสองวันแล้วค่ะ
“แม่…”
ภูฉายเข้ามากอดสลักไว้ สัมผัสนั้นทำให้สลักค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“แม่ครับ...ผมกลับมาแล้ว ผม...ผมเสียใจ...ผม...ผมขอโทษ แม่อย่าตายนะ...แม่ต้องไม่ตาย”
“ภู ภูจริงๆ หรือลูก”
“ครับ...แม่”
“โอ ลูก...ลูกไม่ได้ทิ้งแม่ไปใช่มั้ย ลูกกลับมาหาแม่แล้ว”
ทะนงก้าวเข้ามา สลักเพ่งมองทะนง
“ผมพาภูฉายมาส่ง เขาไปหาผม เพราะเขาไม่มีที่ไป”
“คุณ...”
“เขายังเป็นลูกของคุณอยู่ ไม่มีใครพรากเขาไปจากคุณได้หรอก แต่คุณไม่คิดบ้างหรือว่า..เขาโตแล้ว เขาโตเกินกว่าที่คุณจะกดเขาไว้เหมือนเด็ก”
สลักเมินหน้าหนีไป ยังมีทิฐิอยู่บ้าง
“ออกไปข้างก่อนได้มั้ย ภูฉาย พ่อมีเรื่องจะพูดกับแม่”
“ครับ”
ภูฉายและละมัยเดินออกไป ทะนงยกเก้าอี้มานั่งตรงหน้าอดีตภรรยา สลักยังคงเมินหน้าไปปึ่งชา ทั้งที่น้ำตาเริ่มคลอดวงตา
“คุณควรจะดีใจนะที่มีชีวิตอยู่มาจนถึงวันนี้ วันที่คุณเป็นแม่ แล้วถึงวันที่คุณเป็นย่าของหลานเล็กๆ คุณได้ทำหน้าที่ที่ประเสริฐที่สุดของผู้หญิง ฐานะของคุณถูกลูกหลานวางไว้กราบไหว้ ไว้เป็นที่เคารพบูชาของพวกเขา...คุณเหมือนร่มโพธิ์ร่มไทรที่ปกป้องให้ความร่มเย็นกับพวกเขาได้ คุณช่างเป็นผู้หญิงที่โชคดีจริงๆ นะ คุณสลัก”
สลักค่อยๆ เบนสายตามาจ้องมองทะนงด้วยแววตาแปลกใจ ทะนงยิ้มให้อย่างปลอบโยน
“คนเรามันก็ยังงี้แหละคุณ มันต้องหาคำตอบให้ตัวเอง แล้วกว่าจะได้คำตอบที่ลงตัว เราก็เกือบจะสูญเสียบางสิ่งบางอย่าง...เหมือนอย่างที่เราเสียสูญเสียกันมาแล้ว”
ทะนงผ่องถ่ายความเข้าใจและน้ำคำปลอบโยนมายังสลักเต็มเปี่ยม
ดวงตาของสลักยามนี้เอ่อคลอไปด้วยน้ำตาเต็มตา ริมฝีปากสั่นระริก ก่อนที่น้ำตาจะร่วงรินลงมา
ปีกมาร ตอนที่ 16 อวสาน (ต่อ)
ภูฉายเดินไปมาอย่างเงียบๆ ตามทางเดินหน้าห้องพักฟื้นของสลัก ทะนงเปิดประตูออกมา พยักหน้าให้ภูฉายเข้าไป
ภูฉายค่อยๆ ยกมือขึ้นไหว้ทะนง ความห่างเหินแปลกแยกหายไปจากความรู้สึก
“ขอบคุณครับ พ่อ”
สลักนอนน้ำตาไหลริน หันหลังให้ประตูอยู่ ภูฉายเปิดประตูเข้ามา สลักหลับตาลงทันที ภูฉายก้าวเข้ามาใกล้ๆ เตียง
“แม่ครับ ผมอยากให้แม่รู้ว่าผมรักแม่ครับ ผมรักแม่...อย่างแม่!”
สลักลืมตาขึ้น สีหน้า แววตาของสลักตื่นตระหนก ภูฉายเปิดประตูออกไป
“ภู…”
สลักร้องไห้อย่างเงียบเหงา ด้วยความรู้สึกสะเทือนใจสุดขีด
ด้านลายสือเดินทอดน่องทีท่าเนือยๆ ผ่านลุงสัปเหร่อไปหยุดยืนหน้าที่เจดีย์เก็บกระดูกของแม่ก้มหน้านิ่งๆ ก่อนเงยหน้าขึ้น
“ผมไม่ได้พบคุณศลัยมาเกือบอาทิตย์แล้ว ผมยังไม่ตายครับ...แม่”
สัปเหร่อมองมายังลายสืองงๆ
รถยนต์แล่นเข้ามาจอดในบ้านนวลนภา เข็มเข้าไปรับพวกของใช้จากนวลนภา
ศลัยลาอุ้มลูกเข้าบ้านไป ภาษิตและเพียรภมรมองตามไปก่อนหันกลับมา
“แล้วเรื่องของแม่คุณล่ะ”
“แม่ได้ประกันตัว ฉันจะเป็นทนายให้แม่ อ้างเหตุว่าแม่ทำลงไปเพื่อป้องกันชีวิตของลูก ศาลท่านฟังความจำเป็นของคนเป็นแม่อยู่แล้ว”
“แม่ของคุณรักคุณมากนะ”
“ค่ะ ฉันรู้ว่าแม่รักฉัน ความรักที่ให้กันได้แม้แต่ลมหายใจ ความรักแบบนี้แหละที่ฉันต้องการ”
“คุณพบแล้ว ความรักของแม่คุณไง” ภาษิตว่า
เพียรภมรเมินหน้าไปซับน้ำตา เปลี่ยนน้ำเสียงให้เข้มแข็งขึ้น
“ฉันจะโทร. บอกคุณภูฉาย”
“ผมก็จะบอกลายสือ เพราะไม่ว่าจะเป็นพี่ภูหรือลายสือ เขาก็สิทธิ์รับรู้เรื่องชีวิตพี่ศลัยทั้งนั้น”
“คุณหมายถึง...คุณพร้อมที่จะยอมรับแล้ว ไม่ว่าพี่สาวของคุณจะเลือกใคร”
สีหน้าของภาษิตเคร่งขรึมขณะบอก
“มันอยู่ที่พี่ศลัยจะตัดสินใจ”
ศลัยลานั่งพับผ้าเด็กช้าๆ ลูกน้อยนอนหลับอยู่บนเตียง ภูฉายกระหืดกระหอบเข้ามาอย่างตื่นตระหนก ไม่มีวี่แววความเกลียดชังเหลืออยู่นอกจากความห่วงใยลูก
“ลูกเป็นยังไงบ้าง ศลัย”
“ดีขึ้นแล้วละค่ะ เพิ่งกลับจากโรงพยาบาล”
“โอ..ลูกพ่อ”
ภูฉายจะเอื้อมมือไปแตะต้องลูก ชะงัก หันมามองศลัยลา
“ศลัย...”
“ภูคะ ฉันเป็นแม่ที่ไม่เคยทำอะไรเลย เรามัวแต่ฆ่ากันเพื่อตัวเองจนลืมไปว่าลูกมีชีวิต มีเลือดเนื้อ วันหนึ่งเมื่อเขาผ่านวัยไร้เดียงสา เขาก็จะมีความรู้สึกมีความคิด เขาเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับเรา”
“ศลัย...ผม...ผมขอโทษ...ที่แล้วมาผมผิด ยกโทษให้ผมด้วย”
ศลัยลาค่อยๆ ก้าวเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าภูฉาย ก่อนดึงตัวภูฉายเข้ามากอดไว้อย่างปลอบโยน แนบใบหน้าลงบนเส้นผมของภูฉาย
หลังประตูที่เปิดทิ้งไว้ ลายสือยืนมองภาพนั้นอยู่ด้วยแววตาสะเทือนใจ ก่อนจะปิดประตูลงเบาๆ แล้วเดินออกไป
ภาษิตและเพียรภมรยืนรออยู่ ลายสือเปิดประตูออกมา แหมวยืนรออยู่ด้วย ภาษิตถามด้วยแววตาเคร่งขรึม
“จะไปไหน”
“ฝากคำ..ลาก่อน..ให้คุณศลัยลาด้วยนะ เพื่อน” ลายสือบอก
แหมวยิ้มชื่น “แหมวดีใจค่ะ ที่พี่ลายสือตัดสินใจไปเคนยา”
“ขอบใจมากนะเพื่อนรัก”
ลายสือโอบไหล่แหมวเดินออกไป
เพียรภมรมองตามไป สะเทือนใจ
“ฉันไม่อยากทำคดีนี้ เลยนะภาษิต ถ้าคุณเป็นฉัน...คุณจะรู้ว่าฉันปวดร้าวแค่ไหน ฉันอาจจะมีพ่อที่ทุบตีแม่ อาจจะขมขื่นที่เพศหญิงยังถูกกดขี่ แต่ฉันก็ไม่ถึงกับ...เอาชีวิตที่ไม่มีมีความผิดมาเป็นเหยื่อแก้แค้น...ขอให้คุณเข้าใจด้วย”
ภาษิตยื่นมือมาจับมือของเพียรภมร แววตาแจ่มใส บีบมือหล่อนเบาๆ และตอบอย่างปลอบโยน
“ครับ ผมเข้าใจ”
เพียรภมรกระชับมือของภาษิต ต่างยิ้มให้แก่กัน
อังเครสั่งสอนลายสือซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะในห้องพักครู แหมวยืนอยู่มุมห้อง
“พูดซีครับ..เริ่มต้นได้เลย พูดอะไรก็ได้ที่มันดึงให้ผมลงมาจากต้นงิ้ว”
“เธอตัดสินใจแล้ว ทำไมฉันต้องพูดด้วยล่ะ ลูกผู้ชายอย่างเธอน่ะ จะยอมให้ใครเขาด่าว่าไอ้สัตว์หรือ เธอเป็นตัวอะไรที่ดีกว่าคำที่เขาด่าเยอะแยะ เธอไม่ใช่เด็กที่พ่อแม่จะสั่งว่าอย่าทำนะ..โตแล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้ว เธอต้องรู้จักคิดก่อนที่จะทำหรือไม่ทำ เธอตัดสินใจแล้วนี่...ฮึ...ลายสือ”
แววตาของลายสือเคร่งขรึมจริงจังขณะบอก
“ครับ อาจารย์ ผมตัดสินใจแล้ว”
จืดและผลึกกำลังจัดเสื้อผ้าเตรียมไปเคนยา ผลึกถือสูท ซึ่งโก้เกินจำเป็น
“สูท...แน่ะ...ปัดฝุ่นซะหน่อย หล่อล่ำบึกอย่างกูนี่ ไปอยู่ส่วนไหนของโลกก็ต้องใส่สูทผูกไทบอกระดับปัญญาชนไว้ก่อน มึงไม่เอาสูทไปด้วยหรือวะ ไอ้จืด”
“ไม่เอา กูเอากางเกงขาก๊วยไปสองตัวก็พอ เวลาถูกมนุษย์กินคนจับไปต้มซุป กูจะได้ไม่เสียดายสูทดีๆ แพงๆ หยั่งมึง”
“แหม มึงนะ...กูไม่แปลกใจหรอกว่าทำไม มึงถึงหล่อไม่สำเร็จสักที ก็เพราะมึงมัน…”
ศลัยลาก้าวเข้ามา ทั้งสองชะงัก
“ฉันมาหาลายสือ”
“เอ้อ...ผม...ผมจะไปตามให้”
“ไม่ต้อง....ฉันจะไปหาเขาที่ห้อง”
ศลัยลาเดินเข้าหอพักไปเลย สีหน้าแววตาของสองหนุ่มตื่นตระหนก ขณะมองตามไป ก่อนจะหันมามองหน้ากัน
ขณะที่ลายสือกำลังเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า ศลัยลาเปิดประตูลายสือเงยหน้าขึ้นมอง ชะงัก สีหน้าเคร่งขรึม เย็นชา
“ลายสือ”
“กลับไป...กลับไปแล้วอย่ามาให้ผมเห็นหน้าคุณอีก”
“คุณโกรธฉันหรือ”
“กลับไป..อย่าทำให้ผมเห็นแก่ได้ ผู้ชายทุกคนมันมีสันดานเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งนั้น อย่าทำให้ผมอ่อนแอจนแพ้ใจตัวเอง!”
“ฉันตัดสินใจแล้ว...เหมือนอย่างที่คุณเองก็ตัดสินใจ ไม่มีอะไรที่จะเปลียนวิถีชีวิตของเราได้อีก คุณเป็นตัวของคุณเอง ฉันเป็นฉัน...เป็นเมีย...เป็นแม่”
ศลัยลาปวดร้าวในใจ
“แต่ฉันต้องมาที่นี่เพื่อที่จะพิสูจน์ให้คุณเห็นว่า...ที่แล้วมา ฉันจริงใจกับคุณมาก”
“คุณหมายถึงอะไร”
“ตัวของฉัน...ร่างกายของฉัน...ถ้า...ถ้าคุณต้องการ”
น้ำตาของศลัยลาไหลรินลงมาอย่างเงียบงัน
ลายสือนิ่งอึ้ง สะเทือนใจ
ภาพ-ครู่หนึ่งจึงเปลี่ยนท่าทีเป็นรื่นเริง ติดตลก
ศลัยลามองอย่างแปลกใจ
ลายสือ เข้าใจผิดแล้วละมั้ง...คุณน้า
ศลัยลา เข้าใจผิดยังไง
ลายสือ ผมขอบใจก็แล้วกัน...สำหรับความจริงใจของคุณ ผมรู้ว่า
มันไม่ง่ายเลยที่คุณจะพิสูจน์ตัวเองว่าคุณไม่ได้หลอกเด็ก!
ศลัยลา ลายสือ
หมายเหตุ-น้ำตาของศลัยลายังเปื้อนดวงตา
ลายสือ เราอาจจะเคยพูดกันว่า...ผมไม่ปล้ำคุณเพราะผมอนุรักษ์
ความเป็นสุภาพบุรุษ ผมเป็นนักอนุรักษ์นะ หรือว่า....
แววตาของลายสืออ่อนโยนลง เมื่อสบสายตาของศลัยลา ความรักมากมายเอ่อท้นอยู่ในดวงตาคู่นั้นของลายสือ
“คุณไม่อยากให้เราเหลือความนับถือให้กันและกันเมื่อ...เมื่อตอนที่...เรากลับไปทำหน้าที่ของเราเอง”
“ลายสือ...”
ศลัยลายิ้มออกมาทั้งน้ำตา โผเข้ากอด สองคนกอดกระชับกันและกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ขอบใจมากนะ...หนุ่มน้อย”
“ผมรักคุณนะ บอกลาสามีคุณด้วย...ผมขอโทษ”
สองคนต่างยังคงโอบกอดกันและกันไว้แนบแน่น
สลักนอนป่วยอยู่บนที่นอนที่ปูกับพื้นเตี้ยๆ โดยมีละมัยนั่งพัดวีอยู่ใกล้ๆ ศลัยลาและภูฉายถือกระเช้าดอกไม้เข้ามา
“คุณนายคะ คุณภูกับคุณศลัยมาค่ะ”
“หือ ใครนะ”
เวลานี้สลักดูร่วงโรยแก่ชราลงชั่วพริบตา เส้นผมขาวโพลนไปทั้งศีรษะ
“ภูหรือ”
ภูฉายนั่งพับเพียบลงใกล้ๆ ศลัยลานั่งเยื้องจากภูฉายเล็กน้อย
“ครับ ผมเองครับแม่”
“ภู แม่เสียใจ แม่รู้ว่าตลอดเวลาแม่ไม่เคยทำอะไรถูกเลย...แม่รังแกแกมาตลอดเวลาทั้งที่แกไม่มีความผิด”
“แม่ครับ”
สลักร้องไห้ เป็นคนแก่ที่ปลงตกกับชีวิตแล้ว
“อย่าพูดอะไรเลย แม่รู้ แม่นอนเจ็บอยู่เป็นเดือน มันทำให้แม่ได้คิดอะไรหลายอย่าง มันทำให้แม่มีเวลาย้อนกลับไปมองดูตัวเอง...แกยังโกรธแม่อยู่หรือเปล่า ภูฉาย”
“โธ่ แม่ ผมรักแม่นะครับ ศลัยก็รักแม่เหมือนผม”
“ค่ะ คุณแม่”
“แม่รู้ แม่ถึงต้องมีชีวิตอยู่อย่างแม่ไงล่ะ แม่คงจะปรับตัวได้เรื่อยๆ แกมีครอบครัว มีสังคมแล้วก็มีแม่ แค่นี้ก็ควรจะพอแล้วสำหรับคนแก่ แม่ผิดจริงๆ”
ภูฉายบีบมือสลัก
“ใครก็ทำผิดได้ทั้งนั้นครับแม่ ผมอยากเห็นแม่มีความสุข แม่เหนื่อยแม่ทุกข์ทรมานมามากแล้ว...ผมอยากให้แม่เป็นแม่ในหัวใจของผมอย่างแม่...ผมรักแม่ครับ”
“ศลัยลา ฉัน...ขอโทษ” สลักบอกจากใจจริงๆ
ศลัยลาก้มลงกราบที่เท้าของสลักเพื่อขอขมา
“คุณแม่คะ หนูขอโทษ”
สลักโอบกอดภูฉายและศลัยลาไว้ด้วยความรัก สีหน้าปรากฏรอยยิ้ม ทั้งที่น้ำตาคลอเต็มดวงตาของคุณนายสลัก
ที่สำนักงานทนายความ เพียรภมรนั่งเปิดสำนวนคดีของศลัยลาและภูฉาย ก่อนที่จะโยนลงถังขยะ ขยับตัวจะลุกขึ้นยืนแต่ชะงักเมื่อเห็นภาษิตซึ่งแต่งตัวเรียบร้อยสุภาพ เพราะได้งานทำแล้ว
“ทิ้งทำไมล่ะ คุณ”
“มันจบแล้ว คดีฟ้องหย่ากรณีถูกสามีทำร้ายและข่มขืน...ฉันดีใจนะที่มันจบลงด้วยดีแบบนี้”
“ผมมารับคุณไปกินข้าวกลางวัน ฉลองที่ผมได้งานทำ...ผมเป็นผู้ใหญ่พอที่จะเลี้ยงข้าวท่านทนายใหญ่ได้แล้วนะ”
“ฉันจะล้มทับให้ดังเชียว”
เพียรภมรยิ้มๆ ภาษิตเข้ามาโอบเอว แสดงความเป็นเจ้าของ ก่อนที่ทั้งสองจะเดินออกไป
ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ผลึกกำลังหอบหิ้วกระเป๋าจำนวนมากมายเข้ามายังสนามบิน พร้อมอังเดร จืดและลายสือที่ต่างมีกระเป๋าเพียงคนละใบเท่านั้น
“ช่วยหน่อยซีวะ ช่วยหล่อล่ำบึกหน่อยไอ้จืด” ผลึกบอก
“อ๋อ ตัวใครตัวมัน กูขี้เหร่...กูมีเป้แค่ใบเดียว แต่มึงหล่อล่ำบึก มึงขนกระเป๋าเป็นสิบเชิญ พ่อหล่อล่ำบึ้ก!”
อังเดรเร่ง “เร็วๆ เข้าเดี๋ยวไม่ทันนะ”
“ครับ”
ทั้งสองเดินตามอังเดรไป
ผลึกยังกระเร้อกระรังอยู่กับกระเป๋ามากมายของตนเอง
ฟากศลัยลาทำงานด้วยท่าทีเลื่อนลอย ภูฉายเดินเข้ามานั่งลงใกล้ๆ ศลัยลา กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ผมรู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่ อยากไปส่งเขามั้ย ผมจะไปเป็นเพื่อน”
ศลัยลายื้มอย่างตื่นเต้น ดีใจ
“จริงหรือคะ ภูฉาย”
“คุณต้องลาจากเขาไปตลอดชีวิต เพราะต่อไปนี้...ผมจะไม่ยอมที่จะสูญเสียคุณอีก วินาทีเดียวก็ไม่ได้”
ภูฉายจูบแผ่วเบาตรงหน้าผากศลัยลา
“ภู ขอบคุณค่ะ”
แววตาศลัยลาเป็นประกายดีใจ
แหมววิ่งเข้ามาตรงช่องผู้โดยสารขาออกในสนามบิน ขณะลายสือ อังเดร ผลึก และจืด กำลังจะเข้าช่องของประตู
“พี่ลายสือ คุณแม่ฝากน้ำพริกเผามาให้ค่ะ”
“ขอบใจมากนะแหมว ขยันเรียนมากๆ อย่าเหลวไหล พี่ทำให้ความฝันของคุณพ่อเป็นความจริงไม่ได้ แหมวมีหน้าที่ต้องทำ”
ลายสือลูบเส้นผมของแหมว
“แหมวจะจำไว้”
“ไปกันได้แล้ว” อังเดรบอก
ลายสือกวาดสายตามองไปรอบๆ ด้วยแววตาเศร้าหมอง
“ดูแลคุณพ่อด้วยนะ”
“ค่ะ”
ลายสือจะก้าวออกไป ศลัยลาวิ่งเข้ามา โดยมีภูฉายเดินตามห่างๆ และหยุดก้าวรออยู่ไกลๆ ปล่อยให้ศลัยลาวิ่งเข้ามาหาลายสือ
“ลายสือ”
“ศลัยลา”
“ฉันมาส่งคุณ...ทั้งที่ฉันกลัว...กลัวที่จะเห็นคุณเดินไปจากฉันแล้วไม่กลับมาอีกเลย”
“ผมอาจจะไปจากเมืองไทยนานมาก นานจนบอกไม่ได้ว่าเมื่อไหร่จะกลับ แต่ผมจะไม่มีวันลืมคุณ...ลาก่อน...”
“ลาก่อนค่ะลายสือ”
ลายสือพูดด้วยเสียงแผ่วๆ ขณะสบสายตา “ผมรักคุณ…”
พร้อมกันนั้น ลายสือจูบที่ปลายก้อยของศลัยลาอย่างละมุนละไมเพื่อบอกลาครั้งสุดท้าย ก่อนเดินตามคนอื่นๆ ไป เขายังหันมามองศลัยลาไม่ละสายตา
ศลัยลาโบกมือให้ ยิ้มทั้งน้ำตา
“ฉันรักคุณค่ะ...ลายสือ”
ภูฉายก้าวเข้ามาหยุดยืนเคียงข้างโอบศลัยลาศลัยลา โบกมือให้ลายสืออย่างยินดีเช่นกัน
จบบริบูรณ์
โปรดติดตาม "ภาพอาถรรพ์" เร็วๆ นี้