อาญารัก ตอนที่ 22 อวสาน
ในนาทีเป็นนาทีตายของคุณนายทองจันทร์ที่สนกำลังหยิบยื่นให้นั้นเอง รถของขุนภักดีแล่นมาจอดยังโรงรถพอดี ทุกคนพากันลงจากรถมาแล้วด้วยสีหน้าแช่มชื่น
“พ่อกับแม่เรียม จะกลับเรือนเสียที” ขุนภักดีเอ่ยขึ้น
“หนูขอไปนอนกอดแม่เนียนนะคะ ยัยติ๋วเธอห้ามยุ่ง” ทานตะวันบอก
“หนูจะไปอ่านหนังสืออิเหนาให้คุณย่าฟังค่ะ” เนื้อทองว่า
“ขี้อิจฉาอีกแล้ว” เทิดศักดิ์เหน็บ
“รีบไปกันเถิด แม่ห่วงคุณย่า” เนียนใจคอไม่สู้ดี
ทุกคนเดินตรงไปทางเรือนของตัวเอง
ฝ่ายสนจิกหัวทองจันทร์จนหน้าแหงนหงาย แล้วตบตีหญิงชราคู่แค้นตามอำเภอใจ ทองจันทร์หมดแรงต่อล้อต่อเถียงต่อสู้ หรือแม้แต่จะหนีแล้ว ได้แต่นอนหมอบราบปล่อยให้นางสนคนชั่วทำเอาตามใจชอบ
“สำนึกหรือยังว่าอย่ามายุ่งกับกู สาแก่ใจหรือยังว่าสาระแนกับกูแล้วเป็นอย่างไร”
ทองจันทร์หมดแรง พูดออกมาเสียงเบาหวิว “เวรกรรมกำลังจะตามทันมึง มึงจะตกนรก”
สนยิ้มดุดัน
“มึงแช่งกู มึงแช่งกู นี่แน่ะๆๆ”
สนทุบตีทองจันทร์ไม่ยั้ง
จังหวะนี้กบเดินโซเซกุมหัวออกมาจากพุ่มไม้หน้าเรือนทองจันทร์ อาการยังงวยงงอยู่
“มีคนมาตีหัวเราใครกัน”
แล้วพอกบก็นึกออก ก็มีสีหน้าตื่นตกใจมาก
“แย่แล้วคุณท่าน”
กบวิ่งไปที่ตัวเรือน แมวที่เพิ่งฟื้นวิ่งเซมาอีกคนเช่นกัน
“คุณท่าน”
กบกะแมวตะกายขึ้นเรือนไปทันที พวกเนียนมาถึงเห็นกบและแมวก็แปลกใจมาก โดยเฉพาะเนียน
“นั่นกบ แมว ทำไมไม่อยู่บนเรือนกับคุณย่า เร็วลูกไปดูกันสิ”
เนียนพาลูกสาววิ่งไปที่เรือนทองจันทร์เร็วรี่
เวลานี้ทองจันทร์ฟุบลงไปกองแล้ว นอนตาค้าง มีสนยืนยิ้มสะใจ เอาเท้าแตะตัวทองจันทร์ดูว่าจะตายหรือยัง
“ไงอีแก่ สบายใจหรือยัง จงเอาความลับของกูไปเล่าในนรกเถิด”
มีเสียงเอะอะใกล้หน้าห้อง เป็นเสียงคู่หู
“คุณท่านเจ้าขา”
สนปราดไปที่ประตูลงกลอนทันที วิ่งกลับมาเอามีดที่เตรียมมาจ้วงแทงทองจันทร์ที่พยายามจะอ้าปากตอบรับ
“ช...ชั้น”
เสียงสาวแฝดเรียก “คุณย่าขา เปิดประตูสิคะ
ตามมาด้วยเสียงเนียน “คุณแม่ขา”
“พวกมันแห่กันมาแล้ว”
สนมองไปที่หน้าต่าง เสียงทุบประตูดังเร็วและแรงขึ้น พร้อมทั้งเสียงเรียกของท่านขุนดังขึ้น
“เอะอะอะไรกัน คุณแม่ คุณแม่ครับ ทุกคนถอยมา”
สนตื่นตระหนกตกใจมาก
“พี่ขุนมาแล้ว”
ทุกคนถอยห่างออกมา ขุนภักดีวิ่งพุ่งเข้าไปกระโดดถีบประตู เต็มแรง มีแมวกะกบช่วยเอาหัวดัน
สนตื่นตกใจทิ้งมีดในมือวิ่งตรงไปที่หน้าต่าง แล้วกระโดดลงไปทันที พร้อมๆ กับที่ประตูเปิดอ้าออก ทุกคนผวาเข้ามา และถึงกับผงะเมื่อเห็นภาพที่ประจักษ์ต่อสายตาเบื้องหน้า ขุนภักดี เนียน เรียม ตะลึง กบ แมว และสาวแฝดกรีดร้อง เสียงดังระงม
“คุณแม่”
“คุณแม่”
“คุณย่า”
“คุณท่าน”
ทุกคนผวาไปหาทองจันทร์ ขุนภักดีใจจะขาดช้อนตัวแม่ขึ้นมา ทองจันทร์ยังไม่สิ้นลม มองมายังทุกคนที่น้ำตาไหล
พยายามจะพูด
“คุณแม่ ใครทำคุณแม่ครับ”
“อี อี…” ทองจันทร์จะบอก แต่โรยแรงลงเต็มที
“อย่าเพิ่งถามเลยค่ะ รีบพาคุณแม่ไปโรงพยาบาล” เรียมบอก
ทองจันทร์ส่ายหน้าบอกว่าไม่ไหวแล้ว
“มะ ไม่ ต้อง ไม่ทันดอก”
ทองจันทร์พยายามยื่นมือมาหาลูกชาย ขุนภักดีช้อนตัวแม่โอบกอดไว้ อีกมือจับมือแม่
“ขอ...มือ...ทุกคน” หญิงชราบอกเสียงกระท่อนกระแท่น
ทุกคนยื่นมือไปจับมือทองจันทร์พร้อมเพรียง ทองจันทร์ยิ้มทั้งน้ำตา
“มี...พยาน..ชี้ตัวคนร้าย” ทองจันทร์บอกอีก
“คุณแม่” สามคนร้องขึ้น
“คุณย่า” สองสาวแฝดร้องเรียก
“ขอโทษ พรุ่งนี้นัดแล้ว ไม่ได้อยู่” ทองจันทร์รู้ตัวว่าเวลาของตนหมดลงแล้ว
ทุกคนร้องเรียกอีก "คุณแม่" / "คุณย่า"
“รัก...ทุกคน...ตายตาหลับแล้ว...ลาก่อน”
ทองจันทร์หลับตาจริงๆ น้ำตายังไหลย้อยที่หางตาทั้งสองข้าง ใบหน้าทองจันทร์มียิ้มน้อยๆ ระบายอยู่
ทุกคนร้องไห้โฮๆ สะอึกสะอื้นจนตัวโยน
ยกเว้นขุนภักดีที่เงียบกริบ ดวงตาแดงก่ำ กอดทองจันทร์ไว้ในอ้อมอก น้ำตาไหลย้อยไม่สะอื้นแม้เพียงน้อย
ด้านเทิดศักดิ์ขึ้นเรือนมามองหาแม่แต่ไม่พบ
“คุณแม่ไม่อยู่บ้าน ไปไหนรึ เอ๊ะ นั่น คุณแม่”
เทิดศักดิ์มองลงไปเห็นสนอยู่เบื้องล่าง โดยสนเดินเขยกๆ รีบร้อนมาที่เรือน ก่อนจะเห็นกบกับแมว วิ่งมาท่าทีตระหนกตกใจ
“คุณสน” สองคนเรียก
สนตกใจขวัญกระเจิง แต่ปากตะเพิดไล่ “ไปให้พ้น จากบ้านกูนะ”
“เรามาตามคำสั่งคุณนายเรียมเจ้าค่ะ” กบบอก
“กูบอกว่า ไปให้พ้น หรือว่าพวกมึงหูตึง”
สนขึ้นเสียง พร้อมกับปราดเข้าใส่สองคนทันที
กบกะแมวร้อง “ว้าย”
สนไม่ฟัง ปราดไปตบตีสองคน เทิดศักดิ์วิ่งลงมาจากเรือนมาดึงสนไว้
“อย่านะครับ คุณแม่ สองคนนี่มาทำไม”
“คุณท่านโดน...” กบบอก
แมวต่อคำ “โดนฆ่าตายแล้วเจ้าค่ะ”
สนฉวยโอกาสตอนนั้นรีบขึ้นบ้านไปทันที
“คุณย่า... โธ่”
เทิดศักดิ์หันไปมองหาแม่ แต่ไม่เห็น สนหายไปแล้ว เทิดศักดิ์ยืนนิ่ง
“สองคนนี่กลับไปเรียนคุณพ่อว่า ชั้นกำลังจะตามไป”
เทิดศักดิ์ผลุนผลันขึ้นเรือนไปทันที กบกะแมวหันกลับไปทางเรือนทองจันทร์
สนมองหน้าลูก เทิดศักดิ์มองหน้าแม่
“คุณแม่ไปไหนมาครับ”
“ลงไปนั่งที่ท่าน้ำมาน่ะ”
“ไม่กลัวผีแล้วหรือครับ”
“เลิกกลัวแล้ว ผีก็แค่ เรื่องเล่าสู่กันฟัง”
“ทำไมขาคุณแม่เขยกครับ”
“แม่เดินผิดท่าเลยล้ม แล้วขาแพลงน่ะ”
เทิดศักดิ์ฉวยมือสนมาดู “มือคุณแม่เปื้อนเลือด”
“เอ้อ...เลือด ปลาที่แม่ทำกับข้าวน่ะลูก” สนแถไปเรื่อย
“คุณแม่ไม่ได้ยินที่กบกับแมวบอกว่าคุณย่าโดนฆ่าตายหรือครับ”
“ฮ้า... แม่ไม่ทันฟัง”
“ถ้าเช่นนั้น เรารีบไปกันครับ”
เทิดศักดิ์ไม่สนใจว่าแม่จะตอบว่ากระไร ดึงแขนแม่ลงเรือนไปทันที
บนเรือนทองจันทร์เต็มไปด้วยความเศร้าโศก
เนียนนั่งร้องไห้มีลูกสาวฝาแฝดประกบซ้ายขวา คอยกอดปลอบ ขุนภักดีนั่งสงบตาแดงก่ำน้ำตาตกใน มีเรียมนั่งร้องไห้เงียบๆ ข้างๆ จับมือท่านขุนไว้ปลอบประโลม กบและแมวนั่งร้องไห้กระซิกๆ
เทิดศักดิ์ แดงน้อย และหมู่เติมกำลังตรวจสถานที่เกิดเหตุและหาหลักฐานเพิ่มเติม สีหน้าเคร่งเครียดมาก
ศพของทองจันทร์มีผ้าแพรคลุมร่างไว้ สนนั่งอยู่ตามลำพัง นั่งนิ่งใจเย็นมากๆ ตลอดเวลาเทิดศักดิ์มักปรายตาหันมามองทางแม่บ่อยๆ
สักครู่หนึ่งเทิดศักดิ์เดินไปกระซิบบางอย่างกับขุนภักดี
อ่านต่อหน้า 2
อาญารัก ตอนที่ 22 อวสาน (ต่อ)
ครู่ต่อมาขุนภักดีตามเทิดศักดิ์ออกมาตรงมุมหนึ่งหน้าเรือนแล้วจึงสอบถาม
“เทิดศักดิ์มีอะไรสำคัญจะพูดกับพ่อรึ”
“ครับ คุณแม่ทราบว่าคุณย่ากำความลับเรื่องผมเอาไว้”
“เราไม่ควรพูดเรื่องนี้กันในคืนนี้”
“เราต้องพูดเรื่องนี้กันในคืนนี้ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้น ทุกคนต้องตายเพราะกำความลับของผม ผมจะไม่ยอมให้ใครตายอีกไม่ได้”
ท่านขุนอึ้ง “ทำไมเทิดศักดิ์จึงคิดว่าคุณย่ากำความลับของลูกไว้”
“คุณย่าเคยแย้มพรายกับผม ท่านหงุดหงิดมากใส่ทั้งผมและคุณแม่ หลายครั้ง เพราะท่านโกรธอะไรคุณแม่บางอย่าง”
“คุณย่าไม่เคยบอกพ่อ ว่าท่านกำความลับของเทิดศักดิ์ไว้”
“แต่ผมมั่นใจว่าคุณพ่อทราบแล้ว แม้คุณย่าไม่ได้บอก วันนี้ทุกคนรู้เรื่องราวของตนเองหมดสิ้น ยกเว้นผม”
“เพราะลูกไม่มีความลับ”
เทิดศักดิ์ลงนั่งคุกเข่าตรงหน้าท่านขุน แล้วก้มลงกราบ
“คุณพ่ออย่าทรมานผมมากกว่านี้อีกเลยครับ ทุกวันนี้ผมกินไม่ได้นอนไม่หลับ ผมรู้ว่ามีบางอย่างที่ผมไม่รู้ และอาจน่ากลัวมากขึ้นไปเรื่อยๆ คุณพ่อรักผม สงสารผมบ้างไหมครับ”
“รักมากที่สุด ไม่ได้รักน้อยไปกว่าลูกคนไหนๆ เลย”
“โปรดบอกผม บอกผมสิครับ” เทิดศักดิ์ขอร้อง
ท่านขุน เอามือมาวางบนหัวเทิดศักดิ์ “เทิดศักดิ์ไม่ใช่ลูกของพ่อ”
เทิดศักดิ์สะดุ้งทั้งตัว เงยหน้ามองขุนภักดี
“นี่แหละครับ ที่ผมต้องรู้”
“ถึงอย่างไรพ่อก็ยังรักลูกเสมอ ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนใจพ่อได้”
“พ่อผมคือใคร”
“เสือหนัก” ขุนภักดีบอก
เทิดศักดิ์สะดุ้งอีกตลบ น้ำตาเริ่มไหลริน
“ทำไม ทำไม...มิน่า เขาถึงไม่ฆ่าผม แถมช่วยเหลือผม”
“เสือหนักคือพี่ชายของน้าเนียน เทิดศักดิ์คือลูกผู้พี่ของแดงน้อย หนูอี๊ด หนูติ๋ว”
เทิดศักดิ์ยืนนิ่ง
“คุณแม่ทราบเรื่องนี้มาตลอด เพราะคุณแม่พูดแดกดันน้าเนียนตลอดเวลา”
“พ่อไม่อยากบอกเรื่องนี้กับลูกตอนนี้ เพราะว่าความจริง บางครั้งมันช่างเจ็บปวด”
“แต่ก็ยังดีกว่าที่ไม่รู้ความจริง ผมรู้ตอนไหนมันก็เจ็บปวดเท่ากันครับ”
“พ่อเสียใจนะ ที่เทิดศักดิ์ต้องตามจับพ่อตัวเองทั้งที่รู้ความจริงแล้ว”
“ครับ ความจริงของผม มันเจ็บปวดมากเกินกว่าที่ใครคิด ทั้งเจ็บปวดทั้งโหดร้าย เหลือเกินครับ”
“ลูกจะไปไหน”
“ไปจับคนร้าย ฆ่าคุณย่าและทุกคนครับท่านขุน”
เทิดศักดิ์เปลี่ยนสรรพนามที่เคยเรียกขาน
พอได้ฟังขุนภักดีใจหายวับ ปราดไปหาเทิดศักดิ์ ดึงบ่ามาโอบไว้ส่ายหน้าห้าม
“ถ้ายังรักยังเคารพพ่อคนนี้ โปรดอย่าทำร้ายจิตใจของพ่อ ด้วยการเรียกพ่อว่าท่านขุน ทุกอย่างของเราเหมือนเดิม ไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นไม่ให้พ่อหยุดรักหยุดเมตตาลูก นอกเสียจากว่าลูกไม่รักพ่อคนนี้แล้ว”
เทิดศักดิ์ก้มลงกราบแทบเท้าขุนภักดี
“เช่นเดียวกันครับ ไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นไม่ให้ผมรักเคารพเทิดทูนคุณพ่อได้ เพียงแค่ผมละอายแก่ใจ กระดากใจครับ”
ขุนภักดีดึงตัวเทิดศักดิ์ขึ้นมายื่นสองมือออกไปหา
“สองมือของพ่อเคยโอบอุ้มลูกไว้ตั้งแต่วันที่ลูกเกิด สองมือของพ่อที่พร้อมจะตายแทนลูกตั้งแต่วันนั้น มันยังมั่นคงในหัวใจของพ่อจนถึงบัดนี้ เทิดศักดิ์พ่อรักลูกนะ”
เทิดศักดิ์โผเข้าสู่อ้อมกอดของท่านขุน น้ำตาไหลรินอาบแก้ม ขุนภักดีน้ำตาซึม
สักครู่หนึ่ง เทิดศักดิ์ผละออกมาหันตัวเดินจากไป ท่านขุนมองตามถอนใจสงสารลูกมาก
ดวงอาทิตย์เริ่มสาดแสงสีทองยามอรุณรุ่ง เทิดศักดิ์เดินตรงมาที่เรือนสน เดินขึ้นเรือนในสภาพน้ำตายังไหลอาบสองแก้ม
สนนั่งนิ่งบนเรือน ใจเต้นไม่เป็นส่ำ เห็นเทิดศักดิ์เดินน้ำตาไหลกลับมา
“ลูกยังร้องไห้เสียใจที่คุณย่าตายอยู่อีกรึ”
“ผมเสียใจเรื่องคุณย่านั่นก็ใช่ แต่ผมมีเรื่องเสียใจและเจ็บปวดมากที่สุดในชีวิตอีกเรื่องครับ”
สนฉงน “เรื่องอะไรรึ”
“ผมไม่ใช่ลูกคุณพ่อ”
สนตกตะลึงตาโต
“นึกแล้ว ว่าอีแก่นั่นมันต้องบอกลูก”
“อย่าประณามคุณย่า คุณย่าไม่เคยบอกอะไรผม แต่ความตายของทุกคนจนกระทั่งมาถึงคุณย่า บอกผมให้ผมปะติดปะต่อว่า ทำไมทุกคนจึงต้องตาย”
“ลูกพูดอะไร”
“คุณแม่รู้ว่าผมพูดอะไร ทุกคนตายเพราะกำความลับของผมเอาไว้”
“เหลวไหลนะลูก”
“คนที่เดือดร้อนที่สุด ที่กลัวความลับของผมจะรั่วไหลคือคนที่ฆ่าทุกคน” เทิดศักดิ์บอก
“ไม่จริง ไม่จริง เทิดศักดิ์คือลูกของคุณพ่อ พ่อของลูกคือท่านขุนภักดีภูบาล ข้าหลวงเมืองสุพรรณ”
“ผมจะไม่ตู่เอาใครที่ไม่ใช่พ่อมาเป็นพ่อของผม และคุณพ่อเพิ่งบอกผมว่าผมไม่ใช่ลูกของท่าน”
สนโกรธจัด “ไอ้คนอัปรีย์มันกล้าดีอย่างไรมาพูดเช่นนั้น”
“คนกล้าพูดความจริง ไม่ใช่คนอัปรีย์ แต่คนอัปรีย์คือคนที่กล้าฆ่าคนอย่างอำมหิตผิดมนุษย์”
“มันเกลียดแม่ มันสิ้นรักแม่ มันเลยใส่ร้ายแม่”
“ไม่มีใครใส่ร้ายคุณแม่ ว่าผมเป็นลูกเสือหนักดอกครับ”
สนตกใจขึ้นเสียง “เทิดศักดิ์”
“พ่อผมคือเสือหนัก คุณแม่กลัวใครจะรู้เรื่องนี้”
สนลุกพรวด เทิดก้มลงกราบสน แล้วลุกพรวดเช่นกัน
“ผมกราบเท้าขอโทษคุณแม่ แต่ผมต้องทำ เพราะคุณแม่ฆ่าทุกคน”
เทิดดึงกุญแจมือมาสวมฉับที่สองข้อมือของสนทันที สนตะลึงแล้วกรีดร้องดังไปทั่วทั้งบริเวณบ้าน
ได้ยินหมด
“ปล่อยแม่ ปล่อยนะ ปล่อย”
เทิดศักดิ์ยืนมองแม่กลิ้งเกลือกลงกับพื้น น้ำตาลูกผู้ชายไหลนองหน้า
เวลาค่อนรุ่ง ทุกคนต่างสวมใส่ชุดไว้ทุกข์ นั่งเศร้าโศกอยู่บนเรือนทองจันทร์
จังหวะนั้นเองก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของสนดังแหวกความเงียบสงัดมา ทุกคนเหลียวมองหน้ากัน มีท่านขุนเท่านั้นที่ทราบว่าน่าจะเกิดอะไรขึ้น
“เสียงสน” เรียมบอก
“เป็นอะไรไปรึ หรือว่าตัวเวรตัวกรรมมันตามมาตะครุบตัวได้” ทานตะวันว่า
“พี่ขุนไปดูสิคะ” เนียนบอก
“พี่ไปแน่ แต่ทุกคนไม่ต้องตามไป รอกันอยู่ที่นี่”
เอกพรวดมาทำท่าจะพูด ขุนภักดียกมือห้ามส่ายหน้า
“ท่านขุนขอรับ คือว่า…”
“ไม่ต้องพูด แกไปบอกทุกคนว่าให้อยู่กับที่ของตนเอง ใครมีงานอะไรให้ทำไปตามปกติ ไม่ว่าจะได้ยินสิ่งใด ห้ามเสนอหน้ามาให้ข้าเห็น” ขุนภักดีสั่ง
“ขอรับ”
“ส่งคนไปตามนายอำเภอแดงน้อยให้มาที่นี่”
“แล้วตำรวจ” เอกถาม
“ไม่ต้อง”
เอกพรวดออกไป กบกะแมว สวนมาละล่ำละลัก
“คุณนายเรียมเจ้าขา…”
“คุณนายเนียนเจ้าขา…”
“เงียบ ทุกคนรออยู่ที่นี่ อย่าไปเรือนโน้น อาจมีอันตราย” ขุนภักดีสั่งเข้ม
“ค่ะ” พวกผู้หญิงทุกคนรับคำ
จากนั้นท่านขุนเดินดุ่มๆ ลงเรือนไป ทุกคนมองตามใจคอไม่สู้ดี
ขณะเดียวกัน มีเรือลำหนึ่งพายมาช้าๆ ตามลำคลอง เห็นเป็นเสน่ห์กำลังพายเรือ มีอีกคนที่นั่งหันหลังใส่หมวก
แต่งตัวสะอาดสะอ้าน มาดดูดีมาก เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าเป็นหนักนั่นเอง แต่มาในแบบของสิน หนักใส่หมวกหลุบหน้าไว้
“ปากคำของชั้นที่บอกให้แกเขียนเอาไว้ แกเก็บเรียบร้อยแล้วรึ” หนักถาม
“เรียบร้อยแล้วจ้ะ พี่หนัก เอ แต่ทำไมพี่ไม่เก็บไว้ยื่นให้ท่านขุนเอง”
หนักยิ้มเศร้าๆ “ชั้นไม่มีโอกาสได้ยื่นดอก จึงมอบให้แกนั่นแหละยื่น”
“พี่หนักไปที่นั่นไม่กลัวรึ ว่าจะโดนจับ”
“ข้าไปเพื่อให้เขาจับ ข้าไปเพราะชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของคนที่จับข้า”
เสน่ห์ตกใจ “พี่หนัก”
“ทำความดี สักครั้งในบั้นปลายของชีวิต ทำเพื่อชื่อเสียงเกียรติยศของคนที่ข้ารักสุดหัวใจหลายคน ข้ายินดีมอบให้ ไม่เสียดายชีวิต”
เสน่ห์พยักหน้ารับเศร้าๆ เรือแล่นไปต่อตามลำคลองมุ่งหน้าไปบ้านภักดีภูบาล
อ่านต่อหน้า 3
อาญารัก ตอนที่ 22 อวสาน (ต่อ)
ทางด้านสนร้องไห้คร่ำครวญจะเป็นจะตาย ถูกเทิดศักดิ์จับใส่กุญแจมือแล้ว เทิดศักดิ์เองก็ร้องไห้เช่นกัน ร้องเหมือนเด็กๆ กอดแม่เอาไว้
“ปล่อยแม่นะ แกมาจับแม่ใส่กุญแจมือทำไม ไอ้ลูกทรพี ไอ้ลูกอกตัญญู”
“ยกโทษให้ผมเถิดครับคุณแม่ ผมจำใจต้องทำ ผมเจ็บปวดที่สุดแต่ผมก็จำใจต้องทำ”
“แม่ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
“คุณแม่ฆ่าคนตายมายี่สิบกว่าปีแล้ว ฆ่ามาตั้งแต่ผมยังไม่เกิด สุดท้ายเมื่อคืน คุณแม่ฆ่าร่มโพธิ์ร่มไทรของคนทั้งบ้าน คุณแม่ทำให้คุณพ่อและพวกผมหัวใจสลาย”
“แกใส่ร้ายแม่ตัวเอง แกมันเลว แกไม่มีหลักฐานอะไรจะมากล่าวหาชั้น”
“ผมมีแน่นอนครับ ผมจะพาคุณแม่ไปโรงพัก”
“กูไม่ไป ไอ้สารเลว มึงกล้าจับแม่ตัวเอง มึงมันไม่ใช่คน”
จังหวะนี้ขุนภักดีเดินเข้ามา หน้าเครียดเคร่ง ตรงเข้ามาตบหน้าสนโดยแรง จนร่างสนเซถลา
“คนที่ไม่ใช่คนคือแก นางสน อีงูเห่า กูไม่น่าเอามึงมาเลี้ยงดูเลย กูหลงผิดเลี้ยงงูเห่าเอาไว้ในบ้านมายี่สิบกว่าปี มึงทำลายครอบครัวกูป่นปี้ มึงทำลายพระประจำชีวิตกู แม่กูทำอะไรให้มึง มึงอาศัยร่มไม้ชายคาแม่กูอยู่แท้ๆ มึงยังฆ่าท่านได้ลงคอ”
“ใส่ร้ายกันทั้งนั้น ทุกคนรุมใส่ร้ายกันทั้งนั้น” สนมองตาขวาง
“ผมเป็นลูกคุณแม่ เลือดเนื้อเชื้อไขคุณแม่ ผมไม่มีวันใส่ร้ายคุณแม่ ผมมีแต่จะปกป้อง แต่สิ่งที่คุณแม่ทำ มันเกินกว่าอำนาจหน้าที่ของผมที่จะปกป้อง”
“ปล่อยแม่ ปล่อยกูไป ปล่อยให้กูหนีไป ไอ้ลูกชั่ว”
“หยุดแก้ตัว แล้วไปโรงพัก”
สนวิ่งมาทั้งกุญแจมือ มาเกาะขาขุนภักดีเอาไว้แน่น
“ทูนหัวของเมีย สิ้นรักเมียแล้วใช่ไหม จึงได้ปล่อยให้เมียเผชิญชะตากรรมเลวร้าย มากมายปานนี้”
“กูอภัยให้มึงมานานมากเกินพอแล้ว หมดเวลาอภัยให้มึงอีกต่อไป”
“คุณแม่ครับ ไปโรงพักกับผมนะครับ”
ขุนภักดีส่ายหน้าห้าม
“อย่าไปเด็ดขาด ขืนไปนางคนใจร้ายคนนี้มันจะประจานลูกจนเสียหายลูกอยู่บนเรือนนี่ พ่อจะเอาตัวมันลงไปพูดข้างล่างเอง”
เทิดศักดิ์จำใจหยุดอยู่บนเรือน สนจะอยู่บนเรือนกับลูก แต่ถูกท่านขุนฉุดกระชากลงบันไดไป
เทิดศักดิ์ชะงักหันมามอง แล้วตัดใจหันกลับทั้งน้ำตา
ขณะเดียวกัน เรือของหนักแล่นผ่านมาถึงท่าน้ำ หนักลอบมองเข้าไปในบ้านภักดีภูบาลแล้วออกอาการตกใจ
“เอ๊ะ”
หนักเขม้นมอง แลเห็นว่า มีผ้าดำผูกเอาไว้ที่บริเวณด้านหน้าของศาลาอย่างสวยงาม หนักกับเสน่ห์ตกใจมาก รู้ว่าเป็นการไว้ทุกข์คนสำคัญในบ้าน
“ที่นี่มีคนตาย คนสำคัญเสียด้วย” หนักว่า
เสน่ห์ใจหล่นวูบ อุทานออกมา “คุณนายทองจันทร์”
“อีสนฆ่าคุณนายทองจันทร์ นี่กูทำให้ท่านตายเพราะใช้มึงมาพบท่านกูทำเวรทำกรรมอีกแล้วรึ พายเลยไปก่อน กูจะหาทางขึ้นฝั่ง ไปจัดการอีสน”
เสน่ห์พายเรือต่อไป
ส่วนสนมองจ้องตาท่านขุนแบบบ้าดีเดือดแล้ว ขุนภักดีมองสะท้อนใจ จ้องกันพักหนึ่ง ต่างคนต่างคิด
“อนิจจา กูเอางูเห่ามาแอบอกไว้ได้อย่างไร” ขุนภักดีคิด
“กูไม่กลัวมึงดอก” สนคิด
ท่านขุนส่ายหน้าเสียใจ
“มึงจะเอาอย่างไรกับกูไอ้ขุนภักดีภูบาล มึงอยากให้กูสารภาพมากใช่ไหมจะบอกให้นะ ว่ากูฆ่าหมดทุกคนจริงๆ ศพสุดท้ายคือแม่ของมึง อีแก่นั่นมันเกลียดกู มันจ้องจะเอากูเข้าตะราง ฆ่าใครไม่สาแก่ใจเท่าฆ่าแม่ของมึง”
ท่านขุนบันดาลโทสะ ตบหน้าสนอีกฉาด
“ตบทำไม ยิงกู แทงกู ตบกู จับกูโยนน้ำวางยาพิษกูสิ กูทำเพื่อลูกกู กูทำเพื่อเทิดศักดิ์”
“ดีมากที่แกทำเพื่อลูก แต่สิ่งที่แกทำมันไม่สำเร็จ ถ้าแกอยากให้สำเร็จแกต้องเสียสละเพื่อเทิดศักดิ์”
“อย่างไรรึ”
“ฆ่าตัวตายเสียเถิด”
สนตะลึง ส่ายหน้า
“ไม่” สนหัวเราะคิกคัก “จับกูไปโรงพัก กูจะไปประจานมึงทั้งโคตรให้ขายหน้าคนทั้งเมืองสุพรรณ”
“สน...เห็นแก่เทิดศักดิ์เถิดนะ” ขุนภักดีพยายามเกลี้ยกล่อม
“กูไม่เห็นแก่ใครทั้งสิ้น กูชอบเห็นแก่ตัว ไอ้เทิดศักดิ์มันไม่ใช่ลูกกู มันแค่มาอาศัยท้องกูเกิด”
ขุนภักดีสุดทนฟัง ตบหน้าสนอีกฉาด สนหัวเราะอย่างบ้าดีเดือด เลือดไหลซึมออกกบมุมปาก
เทิดศักดิ์ได้ยินทุกคำพูด ยืนร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ
เสียงสนดังขึ้นอีก “ไปสิพากูไปโรงพัก พากูไปประจานไอ้เทิดศักดิ์ กูจะบอกทุกคนว่า มันเกิดจากการที่กูโดนไอ้เสือหนักฉุดกูไปข่มขืนเจ็ดวัน มันไม่ได้เกิดจากความรัก มันแค่ชิงหมาเกิด กูจะรักมันลงได้อย่างไร กูเกลียดมันด้วยซ้ำ”
“คุณแม่เกลียดผม คุณแม่ทำร้ายผมทำไม คุณแม่ไม่เคยรักผม”
สองคนอยู่ใต้ถุนด้านล่างเรือน ทุ่มเถียงกันต่อ สนหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“ยิ่งมาตอนนี้กูยิ่งเกลียดมันเข้าไส้ เข้ากระดูกดำ”
“ชั้นไหว้ละสน หยุดทำร้ายเทิดศักดิ์เสียที” ขุนภักดีไหว้จริงๆ
“กูไม่หยุด มึงจะทำไมกู”
ขุนภักดีเงื้อมือจะตบซ้ำ มีใครคนหนึ่งเข้ามาทางด้านหลัง กำมือท่านขุนรั้งไว้ สนผงะตกใจ
“อย่าขอรับ มือท่านสะอาดเกินไป เลวร้ายสามานย์อย่างมันต้องมือกระผม”
“ไอ้หนัก”
เทิดศักดิ์ตะลึง ได้ยินสนเรียกชื่อหนัก
“พ่อ พ่อของเรา เสือหนักมาทำไม”
เสียงท่านขุน ตะโกนบอกเทิดศักดิ์ “อย่าเพิ่งลงมานะ เทิดศักดิ์”
ขาเทิดศักดิ์ที่กำลังก้าวจึงชะงัก
ฝ่ายขุนภักดีเขม้นมองอย่างแปลกใจ กระซิบถามเสียงเบามาก
“นายสิน นี่นา”
“ขอรับ กระผมคือนายสิน นายสินคือเสือ...” หนักลดเสียงเบาลง “หนัก”
“เทิดศักดิ์อยู่ข้างบนบ้าน ยังไม่อยากให้เขาลงมาตอนนี้”
“ขอรับ”
สองคนพูดกันเบาๆ ได้ยินเพียงสองคนสนไม่ได้ยิน
“กูจะสาธยายความเป็นผัวเมียเจ็ดวันของกูกับมึง ให้ท่านขุนฟังอีนางคนชั่วนี่ มันจ้างไอ้เหิมผัวเก่าของมันไปฉุดเนียนมาข่มขืน”
“ชั้นทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว แต่ชั้นพยายามอดทนไม่ทำร้ายไม่ลงโทษไม่น่าปล่อยมันไว้ให้มาถึงแม่ตัวเองเลย”
“สมน้ำหน้า พวกแกมันโง่กันทั้งบ้าน” สนด่า
“ผมขออภัยที่ครั้งนั้นแสดงตัวว่าชื่อสิน”
“ไอ้โง่มาให้มันจับใส่ตะราง”
“เพื่อลูกกู กูยอมโง่ ยอมตาย ยอมอะไรก็ได้ ทั้งนั้น” หนักบอก
“ไอ้ขุนภักดียืนเซ่อฟังมันทำไม มันเป็นชู้กับเมียมึง มันข่มขืนเมียมึง”
ขุนภักดีส่ายหน้า แต่หนักกระชากสนมาแล้วตบลงไปกองกับพื้น
“อย่างมึงมันต้องน้ำมือกู กูไม่ยอมให้มึงประจานลูกกูในศาลดอก มึงรู้ใช่ไหม รสชาติมือกูมันต่างกับมือท่านขุนมากมายนักนังอมนุษย์ มึงมันถนัดสะสมความชั่ว ผลักไสความดี”
หนักฉุดกระชากลากสนออกไปจากบริเวณบ้าน
อ่านต่อหน้า 4
อาญารัก ตอนที่ 22 อวสาน (ต่อ)
ขุนภักดีพยายามห้าม และเตือนหนักด้วยความหวังดี
“เดี๋ยว พ่อหนัก ขอเตือนในฐานะที่เป็นน้องเขย ที่นี่มีทั้งตำรวจ นายอำเภอก็กำลังมา ข้าหลวงก็ยืนอยู่ตรงนี้ ปลอดภัยไว้ก่อนมิดีกว่ารึ”
“ที่กระผมมาวันนี้ ไม่สนใจเรื่องใดทั้งสิ้น มาเพื่อลูก มาเพื่อยอมให้ถูกจับถูกฆ่าตายก็ยอม กระผมสร้างเวรสร้างกรรมมาทั้งชีวิต ขอทำกรรมดีสักครั้งในชีวิต กระผมยินดี”
“กูจะไปขึ้นศาล กูจะให้ศาลลงโทษมึง ไม่ใช่กู”
“กูไม่ให้มึงไปขึ้นศาล กูจะพิพากษามึงเอง นอกเสียจากว่ามึงจะพิพากษาตัวเองดังที่ท่านขุนขอร้องคือฆ่าตัวตาย”
“ไม่” สนปฏิเสธดังลั่น
หนักทั้งตบทั้งจิกหัว
“โอ๊ย เทิดศักดิ์ช่วยแม่ด้วย ไอ้หมาสารเลวมันจะฆ่าแม่”
“มึงร้องไป ร้องไปให้ลูกมาดูพ่อฆ่าแม่ ยังไงกูก็จะพิพากษามึง”
สนทรุดลงไปแล้ว ไม่ส่งเสียงแล้ว ขุนภักดีขยับบอก
“เสือหนักชั้นว่า…”
หนักชักปืนออกมา
“ท่านขุนอยู่ตรงนี้ อย่ามายุ่งกับเรื่องนี้ กระผมจะไปเล่นกีฬาฆ่าคนตายกับอีนางใจชั่วนี่ อีสน มึงวิ่งไป วิ่งไปให้กูนับหนึ่งถึงสิบ ถ้ามึงไปพ้น มึงก็รอด ถ้ามึงไปไม่พ้นมึงก็ตาย”
เสียงเทิดศักดิ์ดังเข้ามา “อย่านะ เสือหนัก”
“อย่าลงมา ขืนไม่ฟังกัน อีนางนี่ตายเดี๋ยวนี้”
สนมองหน้าหนัก กลัวจับจิต
“ชั้นกลัวแล้ว”
“ถ้ามึงไม่วิ่งไป กูจะยิงแสกหน้ามึงตายตรงนี้ บอกให้หนี บอกให้วิ่ง”
สนวิ่งตุปั๋ดตุเป๋ไปทันที หนักนับ
“หนึ่งสอง สาม...”
หนักเดินช้าๆ ท่านขุนได้แต่มองตาม
พวกผู้หญิงนั่งอกสั่นขวัญแขวนอยู่บนเรือน ได้ยินเสียงเอะอะแว่วมา เสียงร้องไห้ของสนผสมเสียงตะคอกของเสือหนัก เอกพาแดงน้อยเข้ามา
“นายอำเภอมาแล้วขอรับ”
“เกิดอะไรขึ้นอีกหรือครับ แม่เนียน คุณนายแม่ ถามนายเอกก็ไม่ได้เรื่อง” แดงน้อยงง
“เทิดศักดิ์กับคุณพ่อไปที่เรือนแม่สน เข้าใจว่าจะไปเอ้อ…” เรียมพูดไม่ทันจบ
“จับนางสนเข้าตะรางค่ะ” ทานตะวันบอกแทน
เสียงเอะอะดังแว่วมา
“คุณพ่อให้ไปตามแดงน้อยมา ไปสิลูก” เนียนบอก
“ครับ แม่เนียน ทุกคนระวังตัวนะครับ”
แดงน้อยเดินพรวดไปทันที
สนวิ่งเตลิดหนีเตลิดไป หนักวิ่งตามถือปืนยกไปข้างหน้า
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย ไอ้เสือหนักมันจะฆ่ากู”
“ถ้ามึงหนีพ้น กูก็ฆ่ามึงไม่ได้ แต่ถ้ามึงหนีไม่พ้น”
“อย่า อย่ายิง เสือหนักอย่ายิง” ขุนภักดีร้องห้าม
ทั้งสามวิ่งตามกันไป
ขณะที่เทิดศักดิ์วิ่งลงมาจากเรือน แดงน้อยก็พรวดมาถึงพอดี ถามอย่างตกใจ
“เทิดศักดิ์ นี่มันอะไรกัน”
“โน่น คุณแม่กำลังวิ่งหนีเสือหนัก อยู่โน่น”
“รีบตามไป เร็วๆ เข้า”
สองคนรีบวิ่งตามไป
สนคนชั่ววิ่งหนีล้มลุกคลุกคลาน หนักตามติดใกล้เข้าไปแล้ว
“อย่ายิง อย่ายิง ยังไม่อยากตาย กูยังไม่อยากตาย”
“มึงยังไม่อยากตาย แล้วทำไมมึงเที่ยวฆ่าคนอื่นตายยังกับผักปลา”
“กูไม่ได้ฆ่า อีเนียนน้องมึงต่างหากที่ฆ่า”
“อีสนมึงทำให้กู ทนไม่ได้แล้ว หยุดพูดนะ มึงหยุดใส่ร้ายน้องกู”
“กูจะพูด น้องมึงใส่ร้ายกู กูจะไปศาลจะไปประจานลูกมึง”
“อีสน มึง…”
หนักโผนทะยานกระชากหัวสนยกปืนจ่อ ท่านขุนตามมาตะโกนห้าม
“อย่า”
เทิดศักดิ์กับแดงน้อยตามมาเห็นเหตุการณ์
“อย่า”
แต่หนักยิงเปรี้ยงทันที ร่างสนทรุดลงไป
“เสือหนักแก…” แดงน้อยโมโห
ขุนภักดีหันมา “อย่าแดงน้อย”
ขณะที่ร่างสนทรุดลงนั้น แดงน้อยยิงเปรี้ยงไปทันทีเช่นกัน ท่านขุนห้ามไม่ทัน
ท่านขุนและเทิดศักดิ์ตกตะลึง สนลงไปกองกับพื้น เทิดศักดิ์ผวาไปหาแม่ หนักยืนนิ่งหลังจากโดนยิง แล้วก้าวไปสามก้าว มองมายังสน
“จงไปนรกเสียเถิด อีสน”
จากนั้นหนักล้มลงนอนใกล้ๆ สน ขุนภักดียืนนิ่ง เทิดศักดิ์กับแดงน้อยเดินเข้าไปที่ทั้งสองคน
“สนตายสนิทแล้ว แต่...”
สองหนุ่มเห็นหนักนอนนิ่งยังไม่ตาย ครั้นมองชัดๆ แล้วต้องตะลึง
“ลุงสิน”
หนักเจ็บไปทั้งร่างรวบรวมแรงพยักหน้าให้สองคนมาหา สองคนเดินเข้ามาใกล้ทรุดตัวลงนั่ง
“ลุงสิน”
ทุกคนบนเรือนได้ยินเสียงปืน ต่างเป็นห่วงขุนภักดี เทิดศักดิ์ กับแดงน้อย พากันวิ่งมายังเสียงปืน
“แดงน้อย เทิดศักดิ์” เนียนร้องขึ้น
“พี่เทพ”
“นางสนแน่ๆ” ทานตะวันว่า
“โธ่...นั่นค่ะ อยู่ตรงนั้น” เนื้อทองชี้ไป
ทุกคนกรูไปที่เกิดเหตุ
เทิดศักดิ์เดินมาปิดตาให้สน แล้วก้มลงกราบ ขออโหสิกรรม
“คุณแม่ครับ ผมขอโทษ ที่ผมไม่สามารถช่วยคุณแม่ได้ อโหสิให้ผมด้วย”
ท่านขุน แดงน้อยอยู่กับเทิดศักดิ์ หนักมองแดงน้อย น้ำตาซึม
“แดงน้อยของลุง”
“ลุงสิน ทำไม ทำไม”
“นายสินคือเสือหนัก” ขุนภักดีบอก
“ไม่จริง” แดงน้อยรับไม่ได้ คาดไม่ถึง
“จริง จริงที่สุด” หนักบอกย้ำ
“เทิดศักดิ์มากราบพ่อสิ” ขุนภักดีเรียก
เทิดศักดิ์ผละจากสนมาทรุดลงที่หนักนอนหายใจรวยรินอยู่ หนักยกมือพยายามจับหน้าเทิดศักดิ์
“พ่อขอโทษ ที่ทำให้ลูกอับอาย มีพ่อเป็นไอ้เสือหนักคนเลว”
เทิดศักดิ์ผวาเข้าไปกราบเท้าหนักข้างหนึ่ง ส่วนแดงน้อยกราบอีกข้างหนึ่ง
“พ่อครับ”
“ลุงครับ โธ่ลุง นี่ผม ยิงลุง” แดงน้อยเศร้า
“ยิงตามหน้าที่ หลานมีหน้าที่จัดการคนทำผิด หลานทำในสิ่งที่ถูกต้อง” หนักปลอบ
จังหวะนี้พวกเนียนมาถึงพอดี เนียนเห็นหนักนอนจมกองเลือดอยู่ ก็ผวาตัวเข้าไปกอดพี่ชายแน่น ร้องครวญคร่ำ ใจจะขาดรอนๆ
“พี่หนัก พี่หนักของน้องโธ่”
“ผมกลายเป็นฆาตกรฆ่าลุงตัวเอง” แดงน้อยคร่ำครวญ
“พ่อครับ ผมภูมิใจที่ได้เป็นลูกพ่อ”
“แดงน้อย กราบขอขมาลุงหนักสิลูก” เนียนบอก
“ผมกราบขอขมาครับลุงหนัก”
“ขอบใจ ขอบใจมาก มานี่สิมาทั้งหมด ทุกคน”
ท่านขุนถอยห่างออกไป เนียนพยักหน้าเรียกลูกสาวแฝด เรียมช่วยดันสองสาวแฝดให้ไปหาหนัก
“หนูสองคนไปกราบลุงหนักสิ”
สองคนไปกราบหนัก รอบตัวหนักมีเนียน ทานตะวัน เนื้อสอง เทิดศักดิ์ และแดงน้อยรุมล้อมร้องไห้จับมือจับตัว หนักมองไปรอบตัวอย่างเต็มตื้น มีความสุข
“อย่าเสียใจกันเลย ควรภูมิใจที่เสือหนักคนนี้ได้ตายอย่างมีประโยชน์ ปกป้องไม่ให้นางคนใจชั่ว เอาลูกตัวเองไปประจาน เอาทุกคนที่บ้านนี้ไปประจาน”
หนักยิ้ม กวาดตามองทุกคนราวกับจะจดจำไว้ตลอดกาล จนมาหยุดที่เทิดศักดิ์
“พ่อภูมิใจมากเทิดศักดิ์ พ่อรักลูก อยากให้ลูกกอด และอยากกอดลูกสักครั้งในชีวิต”
เทิดศักดิ์ก้มลง เนียน และแดงน้อยเอามือหนักมากอดเทิดศักดิ์ไว้ เทิดศักดิ์กอดหนักตอบ
“ผมรักพ่อครับ”
“พ่อก็รักลูก รักทุกคน ลาก่อน”
หนักปิดตาลงอย่างสงบ ท่ามกลางเสียงสะอื้นไห้ของคนที่ล้อมรอบกาย เรียมกับขุนภักดียืนมองอยู่ใกล้ๆ ต่างจากศพสนที่ไม่มีใครเหลียวแล นอนตายอย่างเดียวดายและน่าอนาถ
หลายวันต่อมา สมาชิกทุกคนของบ้านภักดีภูบาลนั่งอยู่ภายในเรือลำใหญ่ ที่แล่นอยู่กลางแม่น้ำท่าจีน
ทุกคนแต่งชุดดำ กำลังจะทำพิธีลอยอังคารกระดูกของทองจันทร์ และหนัก
“ทุกคนมารวมกันตรงนี้ มาช่วยกันส่งคุณย่า” ขุนภักดีเรียกลูกๆ
ทุกคนมารวมกัน ขุนภักดีหย่อนหม้ออังคารของทองจันทร์ลงไป
“มาทางนี้เทิดศักดิ์ อุ้มกระดูกของพ่อมาทางนี้”
เทิดศักดิ์อุ้มหม้อบรรจุอังคารของหนักมา ทุกคนมารวมกัน เทิดศักดิ์หย่อนหม้อลงไปในน้ำ เรียมมองเทิดศักดิ์ที่หน้าหมองเศร้าตลอดเวลา
“เทิดศักดิ์ แม่ให้กบกับแมว เอาเถ้ากระดูกของแม่สน ใส่ติดมาด้วย ส่งเขาไปสู่สุคติด้วยสิ”
กบยื่นส่งมาให้ เทิดศักดิ์รับมาแล้วหย่อนลงไปเพียงลำพัง
“คุณแม่ครับ ไปสู่สุคตินะครับ”
เห็นเรือแล่นไปตามลำน้ำในบรรยากาศแสนโศกเศร้า
เวลาผ่านไป เช้าวันนี้เนียน เรียม และเนื้อทอง มาทำผมที่ร้านของทานตะวัน แต่ละคนทำผมสวยงาม มีทานตะวันคอยดูแล
“ขอบใจมากจ้ะพิศมัย นี่จ้ะ ค่าติ๊บ” เรียมยื่นเงินให้
“ขอบใจมากนะพิศมัย ดูสิแม่ชั้นสองคนสวยราวกับเป็นพี่สาวของชั้น” ทานตะวันยิ้มแฉ่ง
“หนูอี๊ด ชมกันเองเสียแล้ว”
“แล้วดูน้องสาวชั้นสิ สวยงามมากจริงไหม”
“หนูสวยเหมือนพี่อี๊ดนี่คะ”
ทุกคนหัวเราะ แดงน้อยกับเทิดศักดิ์พากันเข้ามา
“ตำรวจมาแล้ว มารับสาวๆ”
“นายอำเภอมาแน่ะ มารับสาวๆ เหมือนกัน”
ขุนภักดีเข้ามากับเอก
“ข้าหลวงก็มารับคุณนายสองคน”
“เชิญขอรับ คุณนาย” เอกบอก
ทุกคนพากันออกไปอย่างมีความสุข พิศมัยกับช่างยิ้มแย้มมองตาม
พิธีเปิดโรงเรียนของเนื้อทอง มีบรรดาข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนทั่วเมืองสุพรรณ มาร่วมงานอย่างเนืองแน่น
แลเห็นแพรคลุมป้ายชื่อโรงเรียนอยู่ และขุนภักดีกำลังตัดริบบิ้น มีทุกคนในครอบครัวยืนอยู่ด้านหลัง และข้าราชการพ่อค้า ประชาชนหมู่ใหญ่ยืนรวมตัวกันอยู่ ท่านขุนบรรจงตัดแพรคลุมป้าย ลูกโป่งดึงแพรสีสวยลอยขึ้นไปบนอากาศ เห็นชื่อป้ายโรงเรียนเด่นหรา
“โรงเรียน ทองจันทร์อนุสรณ์”
“เราเปลี่ยนชื่อใหม่ให้เป็นอนุสรณ์แด่คุณนายทองจันทร์มารดาผมครับ ทุกๆ คน” ขุนภักดีประกาศ
ทุกคนปรบมือยินดี ต่างยิ้มย่องผ่องใส แหงนหน้ามองลูกโป่งที่ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นทุกคนก็เดินเข้าประตูโรงเรียนไป นำโดยขุนภักดี
สมาชิกทุกคนของบ้านภักดีภูบาลที่เคยหมองเศร้าทุกข์โศก อันเนื่องมาจากเรื่องราวร้อนร้ายของความรักความแค้นในอดีต
วันนี้สีหน้าของแต่ละคนเปื้อนยิ้มเปี่ยมสุขตลอดเวลา
จบบริบูรณ์