คู่กรรม ตอนที่ 22
กลางดึกของค่ำคืนนั้น แลเห็นรถยนต์ลึกลับ แล่นมาจอดแถวหน้าบ้านหลังหนึ่ง ชายคนที่นั่งอยู่ตอนหลังของรถ ซึ่งสวมหมวกหลุบบังหน้าหันมองซ้ายมองขวา ก่อนจะเปิดประตูก้าวลงจากรถ ท่าทีระแวดระวัง
ภายให้ห้องประชุม ด้านในบ้านหลังนั้น แผนที่พระนครและธนบุรีถูกกางออกบนโต๊ะกลางห้อง หลวงชลาสินธุราช กำลังขีดวงตามจุดยุทธศาสตร์สำคัญต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นพระราชวังสำคัญๆ โดยมีป๋วย และเหล่าเสรีไทระดับสูง 3-4 นาย ยืนมองใกล้ชิด
“พระราชวังเดิม..พระราชวังดุสิต..วังหน้า..วังหลัง..พระบรมมหาราชวัง..นี่คือจุดสำคัญทั้งหมด ที่เราต้องรีบแจ้งกับทางอินเดียโดยด่วน ไม่งั้นของคู่บ้านคู่เมืองเราจะเสียหายยับแน่” คุณหลวงว่า
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
“เข้ม สถานีวิทยุเจบีเจของคุณ…” คุณหลวงหันไปทางป๋วย
“ครับไม่มีปัญหา”
สารวัตรองอาจเปิดประตูเข้ามา ถอดหมวกออก ทุกคนหันไปมอง
“พญานาค…” เสรีไทยคนหนึ่งทักทาย
“ผมมีข่าวสุดแสนพิเศษมาบอก” สารวัตรองอาจบอกยิ้มๆ
ทุกคนสีหน้างง
“อะไรหรือพญานาค” หลวงชลาสินธุราชตื่นเต้น
“ผมเพิ่งกลับจากบ้านท่าน...เอ่อ พูเลา”
“พูเลา” หลวงชลาสินธุราชทวนคำ
ทุกคนทวนชื่อ สีหน้ายิ่งงง
“ช้างพลายแถวเชียงใหม่” คุณหลวงเดา
“ใช่และไม่ใช่..นี่ละข่าวดีของพวกเรา เพราะพูเลา หรือท่านหลวงอดุลย์...”
ทุกคนฟังสารวัตรองอาจพูด ต่างมีสีหน้าประหลาดใจ กึ่งจะดีใจ แทบจะระเบิดออกมา
“ได้ตอบรับข้อเสนอของทางพญาอินทรี” สารวัตรองอาจหมายถึงอเมริกา “ที่จะสนับสนุนขบวนการเสรีไทยของเราทุกรูปแบบ รวมไปถึงจะสนับสนุนทางการเมืองหลังสงครามยุติแล้ว”
“พูเลา...ท่านอธิบดีตำรวจ นี่จริงแล้วหรือ” คุณหลวงไม่คาดคิด
สารวัตรองอาจยิ้ม พยักหน้า ทุกคนร้องเฮลั่น
หลวงชลาสินธุราชยิ้มชื่นมื่น หน้าบาน ดูมีความหวังขึ้นมา
เช้าวันต่อมา แลเห็นธงอาทิตย์อุทัยปลิวไสวเหนืออู่ กลางแสงแดดยามเช้า ปั้นจั่นกำลังถูกเคลื่อนเข้ามายังจุด โกโบริยืนหน้าดำคร่ำเคร่งกับการควบคุมสั่งการทหาร สีหน้าล้าๆ แววตาเศร้าๆ ซึมๆ พลางหันบอกอธิบายกับฮิชิดะที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
เคสุเกะที่อยู่อีกมุมหนึ่งคอยแอบมองจับสังเกต กับทหารอีกคน
“ผู้กองไปพม่าจริงใช่มั้ยนี่” ทหารถาม
“น่าจะจริงแล้ว ก็นั่นล่ะผู้หมวดฮิชิดะที่จะมาแทน” เคสุเกะว่า
“พี่ว่ามั้ย ผู้กองดูไม่ค่อยเฮฮาเหมือนแต่ก่อน เงียบๆ ไปเยอะ”
“อืม ก็น่าจะจริงเหมือนกัน”
เคสุเกะมองจับสังเกตโกโบริต่อไป
เห็นทหารคนหนึ่งวิ่งเอาจดหมายตรงเข้าไปยื่นให้โกโบริ โกโบริมีสีหน้าประหลาดใจกึ่งพอใจภายใต้สีหน้าที่นิ่งเรียบ ก่อนโกโบริบอกอะไรบางอย่างกับฮิชิดะ แล้วเดินแยกหลบไป เคสุเกะมองตามโกโบริไปห่วงๆ
โกโบริกางจดหมายแม่ออกอ่าน ราวกับเสียงแม่มาอ่านจดหมายให้ฟังข้างหู
“แม่ได้รับจดหมายจากลูกแล้ว แม่ดีใจมากๆ ลูกสบายดีใช่ไหม ทุกคนที่นี่เป็นห่วงลูกกันทุกคน ที่นั่นสถานการณ์เป็นยังไงบ้าง ลูกไม่ต้องห่วงทางนี้ ทุกคนยังสบายดี เรื่องหลาน ลูกของลูก.. พ่อและญาติๆเขาดีใจกันยกใหญ่ เตรียมหาข้าวของไว้รับขวัญกันแล้ว นะ แม่กับพ่อนั่งนับวันรอวันนั้นกันอยู่ สุดท้ายนี้แม่ฝากความเป็นห่วงถึงภรรยาของลูกด้วย ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์จงคุ้มครองให้ลูกปลอดภัย รัก จากแม่
โกโบริถอนใจเบาๆ เศร้าสุดๆ
ด้านอังศุมาลินยังนอนพักอยู่ในห้อง สีหน้าหม่นเศร้า สายตามองทอดผ่านกรอบหน้าต่างออกไปยังท้องฟ้าที่อยู่แสนไกล
“อร...อร มานี่เร็ว” เสียงยายร้องดังเข้ามา
อังศุมาลินขยับตัว เหลียวมองออกไปทางประตูห้องที่เปิดค้างไว้
แม่อรรีบออกมาจากครัว เห็นยายศรยืนอยู่กับทหารญี่ปุ่น 2 คนที่หอบเอาลังใหญ่ 2 ลังมาวาง
“จากพ่อโกโบริใช่ไหม”
“อา..ไฮ้ นี่ด้วยครับ จากผู้กองโกโบริ”
ทหารคนหนึ่งควักยื่นซองสีน้ำตาล ซึ่งเป็นซองเงินเดือนให้แม่อร
“ไปละครับ...ไฮ้”
“ไฮ้...จ๊ะๆ” แม่อรตอบ
ทหารสองคนทำความเคารพแข็งขัน ก่อนหันลงบันไดหายไป ยายศรมองๆ ลังตรงหน้า แม่อรเดินมาที่หน้าประตูห้อง พร้อมซองที่ได้รับมาในมือ
“อัง ลูก...พ่อดอกมะลิเอาของมาให้”
อังศุมาลินที่คอยฟังอยู่ ทิ้งตัวลงนอนเช่นเดิม
“ค่ะแม่”
เวลายามบ่าย ที่สถานีรถไฟบางกอกน้อย บรรยากาศแสนคึกคักวุ่นวาย เห็นขบวนรถจักรจอดนิ่ง มีทหารญี่ปุ่นเดินไปมาวุ่นวายมากมาย ตู้โบกี้ลำเลียงยุทธปัจจัย ถูกเปิดออก เห็นเป็นเครื่องจักรชิ้นโตวางอยู่ โกโบริ ยืนมองดูเครื่อง มีเคสุเกะยืนอยู่ด้วยข้างๆ
ระหว่างนั้นตาผล โผล่จากมุมหลบมุมหนึ่ง มองไปเห็นทหารญี่ปุ่นมากมาย รวมทั้งโกโบริที่กำลังยืนคุยกับเคสุเกะและทหารอีก 2-3 คน ที่นำเครื่องจักรมาส่ง ไม่ได้เน้นว่าสังเกตเห็นอะไร
ตรงอีกมุมหนึ่งที่ไม่มีใครทันสังเกต ตาบัว กะตาผล โผล่ชะโงกหน้าด้อมๆ มองๆ ไปมา ก่อนที่ตาผล หันไปสะกิดชายอีกคนที่หลบซุ่มอยู่ข้างๆ
ที่แท้เป็นเสรีไทย เรเว่น ค่อยๆ โผล่ชะโงกหน้ามามองสังเกตโดยรอบ ด้วยสีหน้าจริงจัง ราวกับจะมองเพื่อบันทึกทุกสิ่งอย่างเก็บไว้ให้ครบ
จานข้าว และแก้วน้ำไม่พร่องเลย และวางแห้งอยู่อย่างนั้น อังศุมาลินนอนหลับตานิ่ง ซึมเซา ไม่มีชีวิตชีวา
ระหว่างนั้นแลเห็นเท้าทหาร ในรองเท้าบู้ธกำลังเดินขึ้นชั้นพักที่บันไดมา อังศุมาลินได้ยิน ลืมตาโพลงขึ้น สีหน้าดูมีความหวัง
ทหารคนนั้นเดินมาหยุดยืนที่หน้าห้อง อังศุมาลินมองจ้องไปข้างหน้าเขม็ง
ตรงหน้ายังมีพวงมาลัยดอกมะลิ ที่แม่อรร้อยแบบง่ายๆ วางไว้ให้หอมๆ ที่ข้างหมอน
อังศุมาลินเอื้อมมือไป หยิบดอกมะลินั้นมา สูดดมแบบอ่อนๆ พร้อมๆ กับมีเสียงเคาะประตูเบาๆ
อังศุมาลินวางพวงมาลัยมะลิลง เอามือวางที่ท้องเบาๆ เหมือนประคองตัวเอง แล้วค่อยๆ ขยับตัวหันไป พลิกตัวช้าๆ หันไปทางประตู มองอย่างมีหวัง
พอประตูเปิดออก คนที่ก้าวเข้ามา คือหมอทาเคดะ ที่โค้งให้ แล้วนั่งลง สีหน้าอังศุมาลินผิดหวังชัดเจน แต่ก็ยังฝืนยิ้มให้
อังศุมาลินทักทายเศร้าๆ “คุณหมอ...”
“ผมนึกว่าโกโบริจะกลับมาแล้วเสียอีก เขาไปสถานีรถไฟ สงสัยธุระคงจะยืดเยื้อ” หมอว่า
อังศุมาลินรับทราบสั้นๆ “ค่ะ”
“อังซัง..เป็นยังไงบ้างครับ” หมอทาเคดะถาม
“ไม่เป็นไรค่ะ” อังศุมาลินดูใจลอยๆ เหม่อไปทันที
หมอทาเคดะเปิดกระเป๋า หยิบเครื่องมือแพทย์ต่างๆ ออกมาวางบนผ้า
ใบหน้าอังศุมาลิน มองออกไปที่หน้าต่าง มองม่านปลิวไปตามแรงลมๆ อย่างเลื่อนลอย
หมอทาเคดะกำลังวัดชีพจรอังศุมาลินอยู่ อังศุมาลินค่อยๆ หลับตาลง ใบหน้าอังศุมาลินเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่
ภาพในความคิดของอังศุมาลิน เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายๆ วันที่ผ่านมา ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ร้าย
ขณะนั้นฝนตกพรำๆ ที่หน้าต่าง
อังศุมาลินทอดสายตายืนดูสายฝน ส่วนโกโบริที่ใส่ยูกาตะ อยู่บ้าน เขียนอะไรอยู่ง่วน อังศุมาลินหันกลับมา
โกโบริกำลังเขียนรูปด้วยพู่กันแบบญี่ปุ่น เป็นรูปต้นสนที่มีฝนกำลังตกใส่ โกโบริเขียนเป็นเส้นประๆๆๆ สายฝน
ข้างๆ มีบทกวีเขียนอยู่เป็นแถวแบบสวยงาม เหมือนเป็นภาพเขียนศิลปะ
“คุณเขียนรูปสวยเหมือนกันนะคะ”
โกโบริคุยโว “คุณไม่รู้ตัวหรอก ว่าคุณแต่งงานกับใคร”
“ใครคะ”
“ศิลปินใหญ่”
อังศุมาลินหัวเราะ “จริงเหรอคะ...งั้นนี่..อะไรคะ...บทกวีเหรอ”
“ใช่..แต่..ผมไม่ได้แต่งเองหรอก จำเขามาอีกที” โกโบริบอก
“ว่ายังไงคะ”
โกโบริอ่านบทกวี อย่างตั้งอกตั้งใจ เป็นคำญี่ปุ่น
“สายน้ำไหลผ่านแก่งหิน ยังกระซิบคำอำลาต่อกัน
สายฝนหล่นพรำ ยังสั่งลาหมู่เมฆ
แต่เมื่อเธอจากฉัน ไม่มีคำลาใดๆทั้งสิ้น
ราวหยาดหิมะที่โปรยปราย แล้วละลายหายสูญไปกระนั้น”
อ่านภาษาญี่ปุ่นเสร็จ ก็แปลไทยต่อแล้วยิ้มละไม
สีหน้าอังศุมาลินดูผ่อนคลาย ทั้งที่ยังหลับตา เสียงฝนที่ตกค่อยๆ จางไป หมอทาเคดะที่เพิ่งตรวจดูอังศุมาลินเสร็จปลดหูฟังออกจากหู ยิ้มออกมาอย่างพอใจ
“ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วนะ อังซัง”
อังศุมาลินเหมือนตื่นจากความฝัน ลืมตามา มองงงๆ
“อะไรนะคะ”
หมอทาเคดะมองมาอย่างห่วงๆ “คุณหลับหรือ..ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว.. ทั้งตัวคุณและเด็กตอนนี้ผมอนุญาตคุณหยิบจับ ลุกเดินได้ปกติ แต่ต้องค่อยๆ ก่อนนะ และขอห้ามทำอะไรหนักๆ เด็ดขาด”
อังศุมาลินฟัง ใจยังลอยๆ
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
ทาเคดะเหลียวมองไปทางถาดจานข้าว
“แล้วก็ ควรทานอาหารให้เป็นเวลา เพื่อตัวคุณเอง รวมไปถึงตัวเด็กในท้องด้วยนะ”
“ค่ะหมอ..ขอบคุณมากค่ะ” อังศุมาลินหลับตาลง ท่าทางอ่อนเพลีย
หมอทาเคดะมองหน้าอังศุมาลิน ขมวดคิ้ว กังวลกับอาการที่เห็น
ที่อู่ต่อเรือญี่ปุ่นเย็นนั้น เครื่องจักรชิ้นใหญ่กำลังถูกยก โรยตัวลงมาช้าๆ ด้วยปั้นจั่น โกโบริกำลังยืนกำกับอยู่อย่างใกล้ชิด ใส่กางเกงขาสั้น เสื้อไม่ใส่ มีแค่ผ้าขาวคาดหน้าผาก เนื้อตัวมอมแมม เหงื่อโทรมกาย
โกโบริตะโกนดังลั่น “ช้าๆ ทางซ้าย...มาทางซ้ายอีก”
หมอทาเคดะเดินมา เมียงๆ มองๆ จับสังเกตอาการโกโบริ อยู่ครู่หนึ่งก่อนร้องตะโกนทัก
“กำลังยุ่งเชียวนะผู้กองโกโบริ”
โกโบริหันมาเห็น ทักตอบ “อ้าวหมอ” แล้วหันกลับไปสั่งต่อ “มากไป กลับไปๆ นั่นละ พอๆ ตรงนั้นล่ะ”
โกโบริเดินปาดเหงื่อ เข้ามาหาหมอทาเคดะ
“มีอะไรหมอ มาถึงตรงนี้ทำไม มันอันตราย”
“งานเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ยังไม่ได้เท่าไหร่ เครื่องจักรยังมาไม่ครบเลย แถมบางชิ้นที่ส่งมาก็ต้องมาซ่อมอีก”
“ทำไม ไม่กลับไปบ้านเลย” หมอถาม จ้องหน้ารอฟังคำตอบ
โกโบริก้มหน้านิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้ามองหมอทาเคดะ
“มาถามกันอย่างนี้...” โกโบรินึกห่วงอังศุมาลิน สีหน้าเป็นกังวลขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้นหรือหมอ”
คู่กรรม ตอนที่ 22 (ต่อ)
ครู่ต่อมาโกโบริเดินนำหมอทาเคดะมาหยุดยืน คุยกันอยู่ที่มุมลับตามุมหนึ่ง
“แม่กับลูกปลอดภัยดีแล้ว” หมอทาเคดะบอก
โกโบริถอนใจนิดๆ ก่อนยื่นมือไปตบบ่าทาเคดะเป็นเชิงขอบคุณ
“ต้องขอบใจหมอ ที่ช่วยดูแลรักษาอย่างดี” จู่ๆ สีหน้าก็เครียดขึ้นมาอีก ขบกรามแน่น “ทีแรกคิดว่า...เด็กจะไม่รอดเสียแล้ว”
“เพราะเรื่องนี้หรือ ถึงไม่ยอมกลับบ้าน”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกหมอ ก็เห็นแล้วนี่ว่าตอนนี้งานมัน...ถ้าผมไม่คอยคุม ก็ไม่มีใครทำให้มันเสร็จได้” โกโบริบ่ายเบี่ยง
“แล้วต้องทำกันตลอดวันตลอดคืนเลยหรือไง” หมอมองจ้องหน้า
“ก็ไม่อย่างนั้นหรอกหมอ แต่...”
“คุณต้องเดินกลับไปดูคนที่บ้านบ้างคนไข้ บางครั้งก็ต้องการการรักษาดูแลทางใจเหมือนกัน” หมอทาเคดะบอก
โกโบริหัวเราะ ก่อนบอกออกมาด้วยน้ำเสียงฟังดูเยาะหยันเบาๆ
“ถ้างั้นหมอมาบอกผิดคนเสียแล้ว” โกโบริรู้ตัวว่าพลั้งปากพูดไป จึงรีบกลบเกลื่อน “คนบางคน ก็ไม่ได้เหมาะที่จะไปพูดจาปลอบอกปลอบใจใครได้หรอก”
“คุณไม่ห่วงลูกบ้างหรือ” หมอทาเคดะติง
“หมอ..อย่าถามผมอย่างนั้นอีก” โกโบริฉุนนิดๆ
“งั้นคุณก็ต้องกลับบ้านบ้าง” หมอยิ้มบางๆ พลางตบบ่าคืน “ไอ้งานตรงนี้น่ะ คงไม่ได้เลื่อนยศเร็วนักหรอก”
จากนั้นหมอทาเคดะก็หันตัวเดินจากไป
โกโบริมองตาม สีหน้ามีแววครุ่นคิด ก่อนถอนใจหนักหน่วง ก้าวพรวดหันจะเดินผละไปจากงานเพื่อจะกลับบ้าน
โกโบริเดินมาทางประตูอู่ติดสวน จะกลับบ้าน ทหารที่เฝ้ายามตรงประตูเปิดประตูให้ โกโบริกำลังเดินออกแล้ว จู่เคสุเกะวิ่งหน้ามอมตามมา
“ผู้กองๆ ครับ”
โกโบริหันขวับไปหา
“มีอะไร”
“แต่เกิดปัญหานิดหน่อยฐานที่เตรียมรับเครื่องจักร มันแตกครับ”
โกโบริหน้าอึ้ง ยืนนิ่งตัดสินใจว่าจะเอาไงดี แล้วเลือกที่จะรีบเดินกลับย้อนไปดูงาน
ขณะเดียวกันภายในห้องลับ ที่กองสันติบาล พระนคร
ตัวละครวนัส วิชญา อรุณ ป๋วยเรเว่น พงศ์ ดี แดง
กระดาษบนโต๊ะกลางห้องถูกขีด วง แล้วลากเส้นไปมา ห้องทั้งห้องดูมืดทึบและมิดชิด ป๋วย เรเว่น กับ พงศ์ กำลังอธิบายให้สมาชิกเสรีไทยทั้งหมดฟัง ได้แก่ วนัส วิชญา อรุณ ดี และแดง
วนัส วิชญา อรุณ อยู่ในชุดปกติเหมือนคนอื่นๆ แล้ว การอธิบายเสร็จลงไปแล้ว ป๋วยที่ยืนกำกับอยู่ข้างๆ พงศ์ และเรเว่น สรุปต่อ
“ที่เรเว่น กับพงศ์ อธิบายสภาพพื้นที่จุดยุทธศาสตร์เป้าหมายทั้งสองแห่งไป ผมจะบอกว่านี่คือจุดยุทธศาสตร์ เป้าหมายต่อไปของกัลกัตตาและแคนดี ซึ่งเราจะร่วมปฏิบัติการกับเสรีไทยสายอเมริกาอีกสี่นายที่จะมาร่วมในวันปฏิบัติการ โดยผมขอแบ่งผู้รับผิดชอบดังต่อไปนี้”
ป๋วยหันมาทางทุกคน “สนามบินดอนเมือง เป็น ดี แดง พงศ์ และผม”
ดี แดง และพงศ์ ยิ้มๆ ยักคิ้วไปมา
“ส่วน สถานีรถไฟบางกอกน้อย จะเป็น เรเว่น แซม เหมา และลำพู”
วนัส วิชญา อรุณ และเรเว่น พยักหน้ารับทราบ
“คุณคุ้นเคยแถวนั้นดีนี่ลำพู” ป๋วยว่า
“ครับ” วนัสรับคำ
ป๋วยยิ้มกับวนัส “ยินดีด้วย” หันไปบอกกับทุกคน “โดยทั้งหมดจะเป็นปฏิบัติการกลางคืน และหลังเที่ยงคืนทั้งหมด และจุดแรกที่จะเกิดขึ้นภายใน 72 ชั่วโมงข้างหน้าจากนี้ก็คือ...”
ป๋วยหันมาทางกลุ่มของวนัสที่จดจ่อรอฟัง วนัสและพวกตาลุกวาวขณะฟังแผนที่ป๋วยบอก
รุ่งเช้า ชีวิตชาวบ้านย่านลำคลองดำเนินไปอย่างปกติ เรือออกพายกันไปมาตามครรลอง บนเรือนอังศุมาลิน มีกองผ้าแพรสีอ่อนที่ถูกตัดเลาะมาจากเสื้อผู้ใหญ่ วางเป็นตั้งอยู่ 2 ตั้ง และมีกองผ้าที่ลงมือตัดจากแบบแล้วอีกหนึ่งกองวางอยู่ใกล้ๆ
อังศุมาลินที่กำลังใช้กรรไกบรรจงตัดผ้าตามแบบกระดาษรูปชุดเสื้อผ้าเด็กทาบติดอยู่
สีหน้าอังศุมาลิน กำลังจดจ้อง เพ่งเกือบก้มลงมาที่กรรไกรในมือไล่ตัดไปมา จนต้องกระพริบตา ที่ท่าทางดูอ่อนล้าอยู่หลายครั้ง
ระหว่างนั้น แม่อรเดินเข้าออกในครัว ผ่านยายศรที่กำลังนั่งนาบใบพลูสดใส่ลงปี๊บอยู่ ยายมองแม่อรแล้วพยักไปทางอังศุมาลินว่าให้ดูทางโน้นๆ แม่อรหยุดยืนมองอังศุมาลินด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“นี่ดีที่หนูยังมีเสื้อแพรอยู่หลายตัว ไม่งั้นคงแย่ ผ้าหายากจะตายไป” อังศุมาลินเอ่ยขึ้น
“อ้าว แล้วเมื่อวานที่พ่อดอกมะลิให้คนขนของอะไรมาให้นั่นล่ะ”
อังศุมาลินอึ้งไปครู่
“ก็อยู่ในลังนั่นไงคะ”
“แล้วทำไมหนูไม่รื้อออกดูล่ะลูก แล้วเขาสั่งมาว่ายังไงอีกหรือเปล่า”
“ก็...เขียนมาว่างานที่อู่ยุ่งมากนี่ละค่ะ”
“นั่นซิ หายหน้าไปเลย” แม่อรหน้าหม่น
“แล้วไอ้เรื่องไปพะมงพม่าจะว่ายังไงกัน อยู่ดีไม่ว่าดี ก็ไปให้มันลำบากลำบน ดูอย่างพ่อวนัสนั่น โดดร่มลงมายังแขนขาแทบหัก ดีนะที่มาลงประเทศตัวเอง ถ้าไปลงที่อื่นสงสัยจะไม่รอด” ยายตะโกนมาถาม
แม่อรเหลือบไปที่ประตูเรือน
“นั่น พ่อหนังสือพิมพ์รายวันมาแล้ว เดี๋ยวเป็นได้เรื่องอีกหรอก”
อังศุมาลินหันไปมอง
สักครู่ต่อมา ตาบัวกะตาผล มองจนแน่ใจว่าไม่มีโกโบริอยู่แน่ๆ ก่อนทิ้งตัวนั่งลงใกล้ๆ อังศุมาลิน
“เรียบร้อยแล้วละแม่อัง” ตาบัวเอ่ยขึ้น
อังศุมาลินรามือมองก่อนถอนใจยาว
“อะไรเรียบร้อยอีกล่ะ”
ตาบัวเขยิบเข้าไปใกล้ เหลียวมองซ้ายขวาลับล่อ ก่อนโน้มไปพูดเบาใกล้ๆ อังศุมาลิน
“รู้แล้วอย่าพูดไปนา ฟามลับสุดยอด”
ยายศรชักรำคาญ “ลับนักก็ไม่ต้องบอก”
สองเกลอสะดุ้งโหยง
“คืองี้...ทางตำรวจเขาเล่นกับพวกเราด้วยแล้ว” ตาบัวเอื้อนเอ่ย
“เล่นอะไร” ยายศรถาม
ตาผลชักฉุน เกาหัวแกรกๆ “อ้าว..ก็พลกะพรรคไงละ คราวนี้ก็สบายสะดวกโยธินเลย”
ทุกคนหันมามอง ตาบัวบอกต่อ
“แม่น..ตำรวจเขาก็ไม่ตามจับ ไปไหนมาไหนก็ง่าย”
“และทีนี้ละไอ้ยุ่นแหลกแน่ เพราะทางเรากำลังเตรียมหันปืนไปจ่อคอหอยพวกมันแล้ว” ตาผลบอก ท่าทีฮึกเหิมสุดๆ
“ไม่มีเหลือไม่มีรอดแน่” ตาบัวสำทับ
อังศุมาลินก้มหน้าก้มตา ตัดผ้าไปเรื่อยๆ แววตาครุ่นคิด
แม่อรมองลูกสาวอย่างห่วงใย “ฮื้อ เขาอยู่กันออกเต็มบ้านเต็มเมือง ขืนทำอะไรไปจะได้ลำบากกันหมด”
“ไม่เชื่อก็คอยดู เขาจะให้คนไทยลุกฮือกันมาฆ่าพวกไอ้ยุ่นเสียให้หมด” ตาผลว่า
ยายศรถามตรง “แล้วนี่ฉันมิต้องลุกขึ้นมาฆ่าพ่อดอกมะลิด้วยรึไง”
ตาผลชักลังเล หันไปหาตาบัว “เฮ้ย..ไอ้บัว มันจริงหรือ”
ตาบัวพยักหน้าหงึกๆ “เขาว่างั้นละ เขาให้พวกเราออกปลุกปั่นคนไทยไว้ พอถึงวันอะไรของเขาไม่รู้ นั่นละเราก็ค่อยฮือกันขึ้นมา”
ตาผลตบเข่าฉาด “ไหมเล่า..บอกแล้วว่าเราเตรียมพร้อมกันจริง”
ตาบัวยืดอย่างเป็นต่อ
แม่อรกะยายศร พากันถอนใจ
อังศุมาลินก้มหน้า พับผ้าไป แววตาตัดสินใจได้แล้ว ว่าจะไม่ยอมให้โกโบริเป็นอะไร
อังศุมาลินเดินมาเปิดตู้ ที่มีกล่องเข็มกับด้าย โดยหยิบผ้าที่ตัดตามแบบแล้ว เป็นรูปเสื้อเด็ก มาเลือกให้เข้ากับสีด้ายในกล่องไปมา
แม่อรเดินเข้ามาหา
“แม่ว่า มันก็ดีเหมือนกันนะลูก ที่พ่อดอกมะลิจะไปพม่าเสียได้ หากจะมีตูมตามขึ้นมาหรือใครมาทำอะไรแกเข้า ไอ้เราก็คงทนไม่ได้ หรือจะไปช่วยก็คงไม่ดีกับเราอีก สงครามมันเป็นอย่างนี้นี่เอง...เอ หรือพ่อดอกมะลิแกขอย้าย เพราะรู้ๆ เรื่องนี้เข้า”
“คงไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ” อังศุมาลินมั่นใจ
“แล้วนี่แกจะอยู่ได้เห็นหน้าลูกหรือเปล่าก็ไม่รู้” อังศุมาลินถอนหายใจยาว “ไปทางโน้นก็ยิ่งยุ่งๆ ถ้าเกิดพลาดพลั้งอะไรไป”
อังศุมาลินชะงัก หวนรำลึกไปถึงเรื่องที่คุยกันกับโกโบริก่อนหน้านี้
เวลานั้นโกโบริบอกด้วยท่าทีเย็นชา “แล้วถ้าคุณไม่ต้องการเขา เหมือนที่ไม่ต้องการผม..ผมจะส่งเขาไปญี่ปุ่น ตอนนี้ผมเขียนจดหมายไปบอกพ่อกับแม่ไว้แล้วว่าจะได้หลาน”
อังศุมาลินฟังแล้วโกรธมากขึ้น
อังศุมาลินดึงตัวเองกลับมา กัดริมฝีปากแน่นนิ่ง
ทว่าคำพูดประโยคแรกของโกโบริที่แสนเย็นชาดังขึ้นอีกครา
“แล้วถ้าคุณไม่ต้องการเขา เหมือนที่ไม่ต้องการผม”
อังศุมาลินหลุดปากเถียงกับสิ่งที่รำลึกขึ้นมาเบาๆ
“ชั้นต้องการสิ ต้องการทั้งคู่นั่นแหละ”
แม่อรได้ยินแว่วๆ “อะไรนะ ยัยอัง”
อังศุมาลินพลางเหลือบมองผ้าตัดรูปเสื้อเด็กในมือ
“ลูกค่ะ..ลูกนี่แหละ..จะผูกรั้งเราเอาไว้ด้วยกัน!” อังศุมาลินพูดอย่างเด็ดเดี่ยว
แม่อรมองมาแบบไม่เข้าใจนัก แต่สบตาแล้วก็ได้ความรู้สึกที่ดีจากตาโตคู่นั้น อย่างไม่เคยได้เห็นจากอังศุมาลินมาก่อน
แม่อรโผเข้ามากอดลูกสาว ด้วยความรู้สึกตื้นตันมากมายจนน้ำตารื้น
อังศุมาลินกอดตอบแม่อร หลับตาซบอกแม่ ยิ้มอบอุ่น มั่นใจอย่างไม่เคยเป็น
ทันใดในความอบอุ่น มั่นคงที่เกิดขึ้น เหมือนแล่นจากสมอง จิตใจอังศุมาลิน พุ่งไปสู่ลูกในท้อง
ช่างน่าอัศจรรย์นัก อังศุมาลิน รับรู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นที่ท้อง อังศุมาลินตาลุกโพลงขึ้นมา รีบถอยจากที่กอดแม่ ท่าทีตื่นเต้น ยกมือขึ้นจับที่กึ่งกลางตัว
“แม่..แม่คะ!”
อังศุมาลินเงยหน้ามองแม่อร เสียงสั่น
“ลูกค่ะ ลูกหนูดิ้นแล้ว”
ริมฝีปากอังศุมาลินสั่นระริก น้ำตาเอ่อคลอด้วยความยินดี แม่อรยิ้มชื่น
คู่กรรม ตอนที่ 22 (ต่อ)
เวลาต่อมาตู้เสื้อผ้าถูกเปิดออก อังศุมาลินหยิบเสื้อฟอร์มโกโบริที่ตนเย็บกระดุมเสร็จออกมา และเสื้อเครื่องแบบอีก 2-3 ตัว
อังศุมาลินเดินลิ่วออกมาจากห้อง พร้อมถุงกระดาษสีน้ำตาลข้างในใส่เสื้อโกโบริในมือ แม่อร กะยายศร นั่งอยู่ที่ยกชานเห็นเข้า
“อ้าว จะไปไหนหรือลูก”
“ไปอู่ค่ะ”
“หนูจะไปทำไม” แม่อรสงสัย
“พอดี..หนูเพิ่งนึกได้ว่ามีชุดฟอร์มโกโบริในตู้ที่หนูเย็บกระดุมเสร็จไว้หลายวันแล้ว เลยจะแวะเอาไปให้”
แม่อรกังวล “แต่ถ้าหนูเป็นลมเป็นแล้งล้มไปอีกละ”
“แม่ไม่ต้องห่วงหรอกคะ แค่นี่เอง หนูเดินไปแป๊บเดียว จะรีบมา” อังศุมาลินรีบไป
แม่อรมองตามอย่างห่วงๆ ยายศรดูออก
อังศุมาลินเดินมาในสวน ถือถุงเสื้อกระดาษสีน้ำตาลในมือแนบตัว
อังศุมาลินสาวเท้าเดินลิ่วไปตามทางเดินในสวน สีหน้าเต็มเปี่ยมความหวังที่จะได้พูดอธิบายความบางอย่างเสียที ในมือแนบถึงเสื้อติดไว้กับตัว
จังหวะหนึ่งอังศุมาลินเดินหลบกิ่งไม้ตรงหน้า นึกไป ภาพเดียวกันนี้เมื่อนานมาแล้ว
ครั้งนั้นโกโบริก้มตัวหลบกิ่งไม้อย่างทะมัดทะแมง แม้จะใช้แขนได้แค่ข้างเดียว และมักจะบอกเตือนคนข้างหลังโดยไม่หันมามองแม้แต่น้อย
“ระวัง-กิ่งไม้-ทางขวา”
โกโบริเดินไปอีกนิดก็บอกอีก
“ระวัง หลุมข้างหน้า”
พร้อมกันนั้น โกโบริกระโดดข้ามแอ่งน้ำขัง แล้วหันมามองแบบเป็นห่วง
“ระวังครับ…”
อังศุมาลินทำหน้าหมั่นไส้นิดๆ กับมาดทหารของโกโบริ
นึกเรื่องนี้แล้ว อังศุมาลินสีหน้าชุ่มชื่น ก้าวเดินต่อไป พร้อมๆ กับภาพจำเหตุการณ์เดียวกันผุดขึ้นมาอีก
ตอนนั้นโกโบริหัวเราะเบาๆ “ขอโทษ ผมเดินเร็วไปหน่อย” โกโบริยืนรอ อังศุมาลินตามมาจนทัน จึงมองอย่างเอ็นดูและอธิบายเป็นคำพูด ช้าๆ ชัดๆ “คนญี่ปุ่น...ผู้ชาย..ต้องเดินหน้า ผู้หญิง..เดินตามหลัง ต้องรีบตามให้ทัน เพราะ..ผู้ชายเป็น-นักรบ จะได้ คุ้มครอง-ดูแล-ผู้หญิง-ที่อยู่ข้างหลัง-ได้”
อังศุมาลินประชดกลับ “งั้นก็รีบไปก่อนเถอะ เดี๋ยวจะตามไป” แล้วยืนเฉย
โกโบริเดินต่อไป อีก 2 ก้าว ก็หยุดกึก อังศุมาลินเกือบชน
อังศุมาลินเดินไปยิ้มไป มีเสียงนกบินพรึบพรับบนเหนือศีรษะ สะดุ้งชะงักแหงนมองไปบนแนวยอดไม้ นึกถึงเหตุการณ์ต่อมาตอนระเบิดลง ที่ตนเอามือเกาะต้นแขนโกโบริอยู่ก็จิกเกร็งแน่นขึ้นอีก
“วันนี้น่าจะหนักหน่อย คุณกลัวมากไหม”
อังศุมาลินมีอาการสั่นเทา
โกโบริรู้สึกรักและห่วงหวงจับหัวใจขึ้นมาเงียบๆ กระชับวงแขนกอดบังไว้อย่างทะนุถนอมยิ่งขึ้น
“อย่ากลัว ผมยังอยู่ คุณจะไม่เป็นอะไร ฮิเดโกะ”
อังศุมาลินนึกถึงเหตุการณ์นี้ขณะเดินผ่านท้องร่องที่เกิดเหตุนอนสลบอยู่กับโกโบริจนยายเมี้ยนและชาวสวนมาเจอ อังศุมาลินเหลียวมองท้องร่องนั้นครู่หนึ่ง นึกถึงเรื่องราวในวันที่โกโบริคอยปกป้อง และบอกรักตนในวันนั้น
“ฮิเดโกะ...”
อังศุมาลินได้ยินเสียงแผ่วเบาที่ข้างหูถนัด สีหน้าเป็นประกายมีความหวังขึ้นมา รีบถอนตัวกลับมามองหน้าโกโบริ
โกโบริพยายามพูดให้ดัง แต่แผ่วเหลือเกิน
“ฮิเดโกะ..ผมรักคุณ”
สีหน้าอังศุมาลินขณะดุ่มเดินไปเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นทุกย่างก้าว ก้มมองและจับที่ท้องเบาๆ ก่อนเร่งฝีเท้าเดินลิ่วไป
พอเดินเข้ามาภายในอู่ต่อเรือญี่ปุ่นเวลาต่อมา อังศุมาลินแลเห็นทหารญี่ปุ่นเดิน วิ่ง สวนกันวุ่นวายไปมา สภาพภายในอู่แปลกตาไปมาก อังศุมาลินเดินมา มองๆ หา ไม่รู้จะไปทางไหน เริ่มยังไงดี
อังศุมาลินลองเดินผ่านตามอาคารชั่วคราวต่างๆ ชะโงกหน้าเข้าไปดู ก็ไม่พบโกโบริ จู่ๆ เสียงคุ้นหูของเคสุเกะดังขึ้น “สาหวัดดีคับ”
อังศุมาลินหันไป เห็นเคสุเกะหน้าตามอมมายืนยิ้มแฉ่งอยู่ข้างๆ
ตรงบริเวณไซต์งาน บรรดาคนงานทั้งทหาร และพวกกุลีรับจ้าง กำลังง่วนอยู่กับเครื่องจักร ตะโกนส่งเสียงกันโหวกเหวก ปั้นจั่นยกเครื่องจักรยักษ์ลอยขึ้น
มองไปที่มุมหนึ่งของโรงเก็บ ซ่อม เครื่องจักร ซึ่งกั้นเป็นห้องทำงานเล็กๆ โกโบริกำลังยุ่งอยู่กับแบบแผ่นโตบนโต๊ะ มือโกโบริกำลังใช้ดินสอบรรจงขีดเส้น
เคสุเกะเดินนำอังศุมาลินเข้ามาในโรงเครื่องจักร อังศุมาลินเดินตามมาใจลุ้นระทึกที่กำลังจะได้เจอโกโบริ
เคสุเกะพาอังศุมาลินเดินมาหยุดตรงมุมหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปในเขตห้องทำงาน เสียงเครื่องจักร ผสานเสียงโหวกเหวกของผู้คนดังอึงอลจนเคสุเกะต้องพูดดังขึ้น
“งั้นคุณ-รอตรงนี้ก่อน”
อังศุมาลินยื่นหน้ามาฟังใกล้ๆ เพราะไม่ค่อยได้ยินถนัด
เคสุเกะบอกดังขึ้น “เดี๋ยวผม-จะไปบอกผู้กอง-โกโบริให้”
“ขอบคุณค่ะ”
เคสุเกะ เดินหายเข้าไปด้านใน อังศุมาลินยืนรอ มองถุงเสื้อในมืออย่างมั่นใจ
ฝ่ายโกโบริขีดเส้นวาดแบบอยู่ แต่ขีดๆ อยู่ไส้ดินสอเกิดหัก โกโบริพยายามสะกดอารมณ์ หันไปคว้าแท่งใหม่มา แต่ก็เป็นแท่งทู่จนอารมณ์เสีย หยิบแก้วที่เสียบดินสอไว้มาเทดู เห็นเป็นดินสอแท่งหัก แท่งทู่เสียหมด กระจายเกลื่อนโต๊ะ
โกโบริฉุนขาดปัดดินสอทิ้ง ดินสอหล่นกระจายหล่นเต็มพื้น
เคสุเกะโผล่เข้ามาพอดี ถึงกับหน้าเสีย เจอหน้าโกโบริอย่างจัง เคสุเกะอึกอัก
“เอ่อ...คือ..ผู้กองครับ...มีคุณ…”
โกโบริยังหงุดหงิดไม่หาย ถอนใจยาว พยายามคุมตัวเอง ก้มเก็บดินสอใต้โต๊ะขึ้นมาทีละแท่ง เหลียวขวับไป ตวาดไล่เสียงดัง
“ใคร อะไร ออกไป ไม่ว่าง ไม่ต้องให้ใครเข้ามาทั้งนั้น”
โกโบริหยิบเก็บดินสอขึ้นมาอย่างวู่วาม รุนแรง นั่นยิ่งทำให้ดินสอยิ่งกลิ้งกระจายไปใหญ่
อังศุมาลินได้ยินเสียงที่ดังออกมา เหมือนโดนตีหัว อึ้ง มึน งง
เคสุเกะหน้าเสียหนัก เดินเจี๋ยมเจี้ยมจ๋อยสนิทออกมา จะเอ่ยปากพูดบอก แต่อังศุมาลินซึ่งหน้าชาซีด เกิดทิฐิขึ้นมาหันตัวกลับ แล้วเดินจ้ำอ้าวออกมา และห่างออกมาเรื่อยๆ
เคสุเกะยืนงงๆ อยู่ พยายามร้องเรียก แต่ดูเหมือนอังศุมาลินจะไม่ได้ยิน
ภายในโรงเครื่องจักร ตรงโต๊ะดูงานของโกโบริ เห็นแท่งดินสอที่ยังกระจัดกระจายอยู่บนพื้น โกโบรินั่งหงายหลังพิงพนักเก้าอี้ หลับตานิ่งอยู่พักหนึ่ง พลันถอนใจเฮือก ก่อนจะตะโกนเรียกเสียงดัง
“เคสุเกะ”
เคสุเกะกำลังจะก้าวเดินไปจากตรงที่เดิม ตรงมุมก่อนเข้าไปในเขตห้องทำงาน ถึงกับสะดุ้งโหยง
เคสุเกะเยี่ยมหน้าโผล่มายิ้มแหะๆ
โกโบริที่สีหน้าและน้ำเสียงดีขึ้นถาม
“เมื่อกี้ใครมา”
เคสุเกะกลืนน้ำลายเอื้อก “อังศุมาลินซัง..คะ คับ”
โกโบริลุกพรวดขึ้นทันที ถลันสวนออกไปดู เคสุเกะแทบหลบไม่ทัน
โกโบริมองไปที่หน้ามุมห้องทำงาน แต่ไม่พบแม้แต่เงาอังศุมาลิน มีแต่คนงานและเครื่องจักรเช่นเดิม
โกโบริใจหายวาบ แทบลืมทุกอย่าง มองหาทั่ว
อังศุมาลินเดินดุ่มๆ มึนๆ ไร้วิญญาณออกมายืนนิ่งอยู่หน้าโรงเครื่องจักร กำลังงง เบลอ มึน ไม่รู้จะไปทางไหนดี และเริ่มเวียนหัว ตาลาย
เห็นภาพผู้คนรอบตัวที่เดินไปมา เหมือนเดินมามองเยาะยิ้มเธอ อังศุมาลินสีหน้าเซียวซีด ตาลาย
พลันถุงเสื้อในมือร่วงลงที่พื้น
โกโบริถลาเข้ามาคว้าหมวกบนโต๊ะ ผ้าเช็ดหน้าที่เหน็บอยู่กระเป๋าเสื้อร่วงลงที่พื้นโดยไม่รู้ตัว แล้วโกโบริก้าวพรวดออกไป เคสุเกะยืนตัวลีบมองตามไปมา
อังศุมาลินหน้าเซียวซีด ทรุดนั่งอยู่ที่พื้น พยายามทรงตัว สูดหายใจลึกๆ มือควานคว้าหยิบถุงเสื้อกลับขึ้นมา
โกโบริรีบสวมหมวกวิ่งออกมาที่หน้าโรงงานเหลียวกวาดตามองหาทั่ว
อังศุมาลินที่ทรุดนั่งห่างจากจุดของโกโบริกว่า 30-40 เมตรพลันมีทหารกำลังลำเลียงลังเหล็กขนาดใหญ่ผ่านมาขณะที่โกโบริกำลังจะมองมาทางอังศุมาลิน
โกโบริเหลียวหันมองไปทางอังศุมาลิน แต่ถูกบังด้วยลังเหล็กขนาดใหญ่นั้นพอดีพลันมีเสียงดังตึงโครมใหญ่จากในโรงงาน ตามมาด้วยเสียงโหวกเหวกจ้าละหวั่นของทหารและคนงาน
โกโบริหันขวับไป แล้วรีบวิ่งไป
เครื่องจักรขนาดใหญ่ล้มเค้เก้ ยับเยินอยู่ข้างปั้นจั่นยักษ์เก่าโทรมที่เชือกสลิงขาดวิ่นห้อยโตงเตง
โกโบริถลาวิ่งแหวกคนงานเข้ามาดู ฮิชิดะยืนหน้ายักษ์อยู่กับคนงานชายไทยที่คุมปั้นจั่นหน้าซีดคอตก
“มีอะไร”
โกโบริตะลึง ชายไทยหันมา
คนงานชายรีบอธิบาย “เครื่องจักรมันหนักมากครับนายช่าง ปั้นจั่นกับสลิงก็เก่ามาก มันเลยขาดตกลงมา”
ว่าพลางดึงสายลวดสลิงขนาดใหญ่ขึ้นมาให้ดู ก่อนเจื่อนลงไป เพราะสายตาเข้มมาดุที่มองตอบกลับมา
“ไม่มีคนงานเป็นอันตรายอะไรใช่ไหม”
คนงานรีบบอก “ไม่มีครับ”
“เอาละๆ จะรีบไปเบิกของใหม่จากโกดังบางกอกน้อยให้ ไป..ตอนนี้ยกเครื่องนี้ขึ้นมาเสียก่อน”โกโบริตะโกนเรียก “เคสุเกะ”
เคสุเกะยืนอยู่ไม่ไกล ก้าวพรวดลนลานเข้ามา
“ครับผู้กอง”
“ไปเรียกคนงานทั้งหมดมาช่วยกันยกเครื่องจักรนี่ เร็วๆ”
“ครับ”
โกโบริเดินต่อไปที่เครื่องจักร แข็งขันลงมือร่วมกันทหาร และคนงานที่กำลังง่วนกัน ฮิชิดะมองนิ่ง
ตอนสายๆ กล้วยเครือใหญ่ถูกมาวางพิงที่ข้างบันไดเรือนด้วยฝีมือแม่อรที่กำลังจะทรุดนั่งที่บันได หันไปเห็นอังศุมาลินเดินหน้าซีด สีหน้าเรียบนิ่งเลี้ยวพ้นมาช้าๆ พร้อมในมือถือถุงเสื้อ
“อ้าว ไหนว่าจะเอาเสื้อผ้าไปให้พ่อดอกมะลิไม่ใช่หรือลูก”
อังศุมาลินถือถุงเสื้อเกร็งบอกด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ค่ะ..ก็ไปแล้วค่ะ..แต่ ไม่มีใครอยู่”
“หา..ไปไหนกันหมดละ” แม่อรงง “ไม่มีใครให้ฝากไว้เลยหรือ แล้วพ่อดอกมะลิเขาไปไหน ข้ามไปฝั่งนู้นหรือเปล่า”
อังศุมาลินนิ่งไม่ตอบ เดินไปเรื่อยๆ
“แต่แม่ว่าเดี๋ยวแกก็มาเองแหละ หนูน่ะไม่ควรเดินมากอีกนะ พรุ่งนี้แม่ว่าจะเดินไปสอยนุ่นไว้หลัวหนึ่ง มันกำลังแตกขาวทั้งต้น คุณยายเขาอยากได้ไว้ยัดเมาะ ผ้าขาวที่พ่อดอกมะลิแกส่งมา ทำเมาะ ทำผ้าอ้อมได้ยังกับมีลูกสักสามสี่คน ดูจะเห่อเอาหนัก”
อังศุมาลินเดินหลีกแม่อรขึ้นบันไดไป
“ระวังนะลูก จะตกลงมาอีก”
แม่อรรีบก้าวตามขึ้นเรือนไป
คู่กรรม ตอนที่ 22 (ต่อ)
แสงพระอาทิตย์รอนๆ ของยามเย็น สาดส่องอยู่เหนือหลังคาโบสถ์วัดกลางพระนครแห่งหนึ่ง มีเท้าของคนสามคนเดินดุ่มมาตามทางที่ลัดเลี้ยวไปมา หลังวัดแห่งนั้นที่อาคารสร้างติดกัน จนมีแต่ทางเดินแคบๆ เป็นตรอกซอยเต็มไปหมด
ตาบัวกะตาผล เคียนผ้าขาวม้า แม่นมั่นไปมา เดินตามหลังลูกน้องของหลวงชลาสินธุราชคนเดิมหากตามไม่ทัน มีสิทธิ์หลง หรืองงเอาได้ เพราะทางคดเคี้ยวมาก
“โอโห ลึกลับซับซ้อน” ตาบัวบ่นงึมงำ
ตาผลเรียกไว้ “เดี๋ยวๆ พี่”
คนของคุณหลวง พาเดินมาหยุดที่มุมหนึ่ง ที่ดูจะเป็นทางตันแล้วก่อนหันหน้ามา
“อ้าว ตันแล้วพี่”
“อย่าบอกนะว่าพี่ก็หลง”
“เฮ้ย ไอ้จิ๋มสอง…”
ตาบัว รีบเอามือปิดปากตาผลไม่ให้พล่ามแซวเรื่อยเปื่อย คนของคุณหลวงผิวปากสัญญาณสองที
ชายสี่คนในชุดสีเข้มคละกันไป ก้าวโผล่ออกมาที่ข้างหลัง ตาบัวกะตาผล ทั้งสองหันขวับไป สองเกลอผงะเล็กน้อย
“โอโห..เข้ม” ตาบัวกะตาผลเข้มกันมาเชียว
อรุณ เรเว่น วิชญา ยืนเด่น วนัสค่อยโผล่แทรกตามออกมา ทักทาย
“ลุง..สวัสดี”
ตาบัว ตาผล ตาวาวขึ้นมาทันที
“พ่อวนัส”
ตกกลางดึก บนท้องฟ้าเหนืออู่ ดวงจันทร์ดวงโตไม่เต็มดวงนักสีแดงฉานกำลังจะถูกเมฆบัง เคสุเกะกำลังสั่งโหวกเหวกกับพวกคนงานที่ซ่อมเครื่องจักรที่ล้ม ก่อนหันมามองๆ ไปยังโกโบริ
โกโบริกำลังเชื่อมเหล็กเหงื่อโทรมกาย พักมือลง ปาดเหงื่อ นึกได้ตบๆ ที่กระเป๋าเสื้อ หาผ้าเช็ดหน้าไม่เจอ ตบๆ ที่กางเกงก็ไม่มี สีหน้ากังวลขึ้นมาทันที
โกโบริเดินตรงรี่เข้ามาถึงห้องทำงาน หันมองซ้ายขวาทั่ว เดินมาที่โต๊ะมองๆ ดู ก้มไปมองที่พื้นสะดุดเห็น โกโบริสีหน้าโล่ง ก่อนก้มลงไปหยิบ ผ้าเช็ดหน้าสีโอลด์โรสตกมอมแมมอยู่ที่พื้น ถูกเก็บขึ้นมา
โกโบริสะบัดๆ ผ้า มองดูผ้า พลางนึกขึ้นได้ ว่าอังศุมาลินมาหานี่นา
ขึ้นที่กองผักตบที่ลอยน้ำไหลเรื่อย
อังศุมาลินนั่งเหม่อพิงเสาศาลาท่าน้ำทอดสายตานิ่งไปตามกระแสน้ำข้างหน้า สีหน้าว่างเปล่า เหม่อนิ่ง ไร้ชีวิตชีวา เหตุการณืในอดีตผุดขึ้นมาในความคิด
เวลานั้นอังศุมาลินเอียงคอดู รู้สึกน่าสนใจ ทันใดมีเสียงผู้ชายสดใส ร่าเริง ดังมาจากข้างหลัง
“หนาวไหมครับ”
อังศุมาลินสะดุ้ง หันขวับไป
บนเรือขาวลำนั้น โกโบรินอนคว่ำพังพาบ ซ่อมเครื่องจักรอยู่ ในมือนึงถืออุปกรณ์ กำลังไขอะไรอยู่ มือเปื้อนดำ หน้าตาสดใสร่าเริง ใส่ชุดทหารลำลองสำหรับการทำงาน
โกโบริรีบลุกมานั่ง ยิ้มให้ “สวัสดีตอนเช้าครับ”
อังศุมาลินมองตาโตโพลง อึ้งๆ งงๆ
สีหน้าโกโบริยิ้มอย่างเป็นมิตร
อังศุมาลินกอดอก ถอนใจเบาๆ คิดถึงตอนเจอกันครั้งต่อมา
เรือโกโบริขับชะลอๆ แล้วเข้ามาแล่นเคียงข้างไปช้าๆ อังศุมาลินลอบมองด้วยหางตา ปั้นหน้าไม่สนใจ
โกโบริชะโงกมา ยิ้มกว้างอย่างจริงใจ พูดอย่างร่าเริง
“มีอะไรอยู่ในเรือหรือครับ ขายไหม”
อังศุมาลินจ้องดุๆ “ไม่ขาย!..Not for sale!”
โกโบริก้มมา จับกราบเรืออังศุมาลินไว้ แล้วหันมายิ้มให้แม่อรซื่อๆ
“ไป-ใน-มา-ครับ พวก-นี้-คาย-หรือ-เปล่า”
แม่อรยิ้มพยักหน้า แล้วชี้มือบุ้ยใบ้กวาดมือไปทั่วลำเรือแล้วชี้ไปข้างหน้า
“ขาย..ไป ขาย ที่ ตลาด”
“ตะลาด...อิชิบะ”
โกโบริมองหน้าอังศุมาลินเหมือนเป็นการถามให้แน่ใจ
อังศุมาลินเอาพาย ตีๆ ใกล้ๆ มือโกโบริ จนโกโบริสะดุ้ง หดมือไป อังศุมาลินคัดหัวเรือออกห่าง จ้วงพายลงน้ำอย่างแรง
อังศุมาลินเหม่อนิ่งใจลอย อยู่อย่างเดิม คิดถึงเรื่องราวเก่าก่อนต่อไป
โกโบริหน้าตาซีดเซียว ซอกคอมีรอยยาแดงแต้มไว้เป็นทางยาว ที่ตัวยังมีผ้าพันไว้ อังศุมาลินมองๆ
“คุณ-หายดีแล้วหรือ”
โกโบริฟังไม่ค่อยถนัด เอียงคอเล็กน้อยเหมือนไม่เข้าใจที่อังศุมาลินพูดภาษาญี่ปุ่นไป
“สบายดีแล้วใช่ไหม.. หายดีแล้ว”
โกโบริก้มหัวลงช้าๆ ยิ้ม
“ขอบคุณมากครับ..ขอบคุณครับ ผมสบายดี”
ทั้งคู่มองตากัน ไม่รู้จะต่อบทสนทนากันอย่างไร เงียบอยู่สักพัก
โกโบริก้มลงไปดูเครื่องยนต์ของเรือ จับโน่นดึงนี่ด้วยมือข้างเดียวอย่างเก้งก้าง อังศุมาลินลอยคอดูอยู่เงียบๆ
อังศุมาลินเหม่อนิ่งใจลอย นึกไปอีก
โดยในตอนนั้นอังศุมาลินรีบลุกขึ้น กระชับกระโจมอกให้แน่น เอาผ้าเช็ดตัวคลุมกระชับไหล่
“ใครน่ะ”
เรือค่อยๆ ลอยเข้ามาช้าๆ จนแสงไฟค่อยๆ ไล่ไปที่ใบหน้า เผยให้เห็นเป็นโกโบริส่งยิ้มมา
อังศุมาลินมองงงๆ
“ผมเอง”
อังศุมาลินพูดไม่ออก “คุณ..ไปแล้ว ไม่ใช่เหรอ”
“มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ผิดหวังหรือครับ” โกโบริยิ้ม
“เปล่า” อังศุมาลินนิ่ง “คือ...แปลกใจนิดหน่อย”
“แต่ผมดีใจมาก” โกโบริยิ้มหน้าบาน
อังศุมาลินพูดไม่ออก มองตาโตอยู่เช่นนั้น
อังศุมาลินถอนใจ สายตาทอดนิ่ง นึกไปอีกเหตุการณ์
อังศุมาลินขัดแรงย้ำๆ จนฝาละมีหัก บาดมือ
“โอ๊ย”
“นั่น.. โกรธผมแล้วไปพาลอย่างอื่น เลยเจ็บตัวเสียเอง”
อังศุมาลินสะบัดมือเจ็บ เห็นมือขวา มีเลือดไหล รีบเอามืออีกข้างกดปากแผลหยุดเลือดไว้
“อ้าว เลือดออกด้วย มาให้ผมดูซิ”
อังศุมาลินตวาด “ไม่ต้อง”
อังศุมาลินจะจุ่มมือลงไปในลำคลอง โกโบริไวรีบเอื้อมคว้าไว้
“คุณ อย่านะ น้ำมันสกปรก”
“ไม่ อย่ายุ่ง”
อังศุมาลินจะดื้อจุ่มให้ได้ แต่โกโบริแข็งแรงกว่ากดบีบข้อมืออังศุมาลินเอาไว้นิ่ง
“คุณจะดื้อยังไง..ผมไม่ยุ่ง แต่นี่จะทำให้ตัวเองเป็นอันตราย ผมจะปล่อยให้คุณทำไม่ได้ รู้ไหมว่าน้ำมีเชื้อโรค จะเข้าแผลได้”
นึกขึ้นมาแล้ว อังศุมาลินหลับตาเพื่อพักตา ถอนใจลืมตาเศร้าเศร้าๆ เหตุการณ์เดิมๆ ผุดขึ้นมาอีก
อังศุมาลินยื่นรับผ้ามาแต่โดยดี ปลายมือของทั้งสองสัมผัสกัน โกโบริทอดมือค้างอยู่ครู่หนึ่งก่อนดึงมือกลับ
อังศุมาลินพลางหลบตารับผ้ามา เช็ดๆ พลางคลี่ผ้าออกจะกลับเช็ด
เห็นว่าเป็นผ้าผืนเก่าของตน อังศุมาลินเหลือบตามองโกโบริเป็นเชิงจะถามว่าของฉันนี่
“ใช่ ผ้าของคุณผมเก็บไว้กับตัวตลอด”
อังศุมาลินใจเต้นขึ้นมาไม่ทราบสาเหตุ รีบหลบตากลับผ้าผืนนั้นเช็ดหน้าไปมาต่อไปอย่างยอมรับไมตรี โกโบริเอนหลังพิงกราบเรือหันมอง แล้วแอบมีความสุขในใจ
ขณะเช็ดๆ อังศุมาลินได้กลิ่นหอมจากผ้า แอบดม แล้วเผลอหันไปมองดูโกโบริ
โกโบรินั่งพิงกราบเรือ ทอดขาเหยียดไป งอเข่าเล็กน้อยขวางเรือ ทอดแขนพาดแบบผ่อนคลาย ดูเหนื่อยๆ และพักผ่อนแบบเหม่อๆ เนื้อตัวเปรอะเลอะเทอะ
อังศุมาลินแอบมีความอบอุ่นใจเงียบๆ ในมือกำผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น เหมือนตัวสื่อความรู้สึก
อังศุมาลินนึกขึ้นมาน้ำตาค่อยเอ่อคลอ เศร้า ซึม
หมู่หิ่งห้อยบินกระจายผ่านมาเป็นกลุ่ม อังศุมาลินเหลียวทอดตามองตาม
ขณะเดียวกันใบพายจ้วงลงน้ำคัดท้ายเรือเข้าเทียบท่า ทวนกระแสน้ำที่กำลังกรากเชี่ยว ตาผลที่อยู่ท้ายเรือหันมาบ่น
“ไอ้บัว เอ็งจ้ำให้มันเร็วกว่านี้หน่อยสิวะ”
ตาบัวที่อยู่หัวเรือชักฉุน จ้วงยิกๆ มือจะหงิกอยู่แล้ว
“บ๊ะ ก็เต็มเหนี่ยวอยู่นี่ จะเอายังไงก๊ะข้าอีกวะ”
“เหรอ แล้วทำไมเรือไม่วิ่งเลยวะ ทั้งคัดทั้งวาดกันขนาดนี้”
“ก็เอ็งมันแก่แล้วนะซิ เรี่ยวแรงมันถึงไม่ขึ้น” ตาบัวชะแง้มองไป “เฮ้ยนั่นใครมานั่งตะคุ่มอยู่หัวตะพาน”
ตาบัวกะตาผล ชะงักหยุดจ้วง ชะลอเลี้ยงเรือรอดู
ชายคนที่นั่งอยู่กลางลำ ที่แท้เป็นวนัส สวมหมวกหลุบหน้า เห็นผ่านหลังหรือผ่านไหล่ด้านหน้าไป เอียงลดๆตัวๆชะเง้อดู
“เอ็งอยู่ใกล้ฝ่าข้าก็เพ่งดูดีๆ ซิวะ ผิดนักจะได้เผ่นกัน ขืนขึ้นไปสุ่มสี่สุ่มห้าเป็นได้ไส้ไหลแน่ ดงพวกมันทั้งนั้น”
ตาบัวเพ่งชะแง้ออกไป
“เอาเถอะ เทียบเข้าไปเลย เร็ว” วนัสเร่ง
“เอ้า เทียบก็เทียบ แต่ไปเจอใครไม่รู้ละนะ”
เรือของสามคนคัดเทียบตรงเข้ามา อังศุมาลินขยับตัวขึ้น
ชายคนที่อยู่กลางลำ ลุกยืนพรวดขึ้น แต่เห็นเป็นเงาตะคุ่ม ไม่ชัดนัก จนเรือโคลงไหว เรือเข้าเทียบชนท่าปุ๊บ ชายคนนั้นกระโดดพรวดก้าวขึ้นไปไม่ฟังเสียงอะไรทั้งสิ้น
“ค่อยๆ เดี๋ยวเรือล่ม” ตาบัวบอกแต่ไม่ทัน
อังศุมาลินขยับจะถอย ยินเสียงเรียกดังขึ้น
“อัง..อังศุมาลิน”
อังศุมาลินชาวาบทั้งตัว กับเสียงคุ้นนั้น
วนัสก้าวพรวดเข้ามา แสงตะเกียงที่หัวเสาท่าน้ำทำให้เห็นใบหน้าชัดว่าเป็นวนัส ที่ดีใจสุดๆ
อังศุมาลินตั้งตัวไม่ทัน ยังไม่แน่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้นัก
“อัง..เรามาแล้ว จำได้ไหม”
วนัสโผเข้ากอดอังศุมาลินแน่น อังศุมาลินยืนตัวแข็ง
“อังดีใจมั้ย อัง....”
วนัสก้มมองอังศุมาลิน ดวงตาวาววับเป็นประกาย
อังศุมาลินนิ่งอึ้งไปครู่ ฟังแล้วแทบเข่าอ่อนทรุด
อังศุมาลินเสียงสั่น “นัส...วนัส”
ติดตาม "คู่กรรม" ตอนที่ 23