xs
xsm
sm
md
lg

ดาวเกี้ยวเดือน ตอนที่ 10

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ดาวเกี้ยวเดือน ตอนที่ 10

ประกายดาวนึกถึงตอนที่เด็กชายคนหนึ่งพูด
“หม่องเคยมีหลายตัวแล้ว เวลาหม่องลงไปทำงานในตัวเมืองกับพี่พลทีไร พี่พลก็ซื้อให้”
“ทำงาน ? ทำงานอะไรคะ” ประกายดาวถาม
เด็กยังไม่ทันตอบ ต้นอ้อก็รีบแย่งตอบ
“ขายของจุกจิกที่เด็กๆ ทำเองน่ะค่ะ”

ประกายดาวโกรธ
“ใจร้ายมาก”
“ถ้าระมัดระวังมันไม่เป็นอะไรหรอก” ปุระชัยบอก
พลกับเจ้านายลังเล
ปุระชัยพูดต่อ “เอาเป็นว่าถ้างานนี้สำเร็จ ฉันจะให้ค่าตอบแทนคนละล้าน ทีนี้นายกับพวกน้องๆ ก็จะมีเงินเรียนหนังสือสูงๆ กันทุกคน”
พลกับเจ้านายตาลุกวาว
“ตกลงครับ ท่านจะให้ผมพาน้องๆ ไปเมื่อไหร่” พลถาม
“พรุ่งนี้ มิสเตอร์เฉินจะรออยู่ในเมือง”
ประกายดาวพูดเบาๆ “หลอกเด็กนี่หว่า”
ประกายดาวตัดสินใจจะเก็บหลักฐานมัดตัวคนร้ายจึงถ่ายรูปพวกปุระชัยแต่ภาพไม่ชัด ประกายดาวจึงย่องเข้าไปใกล้ๆ อีก เธอถ่ายพวกปุระชัยคุยกันหลายช็อตซึ่งเห็นหน้าปุระชัยอย่างชัดเจน
ระหว่างถ่ายเท้าของประกายดาวเผลอเหยียบไปบนกิ่งไม้บนพื้นหักดังป๊อก ประกายดาวสะดุ้ง พวกปุระชัยหันขวับไปทางเสียง ปุระชัยสั่งลูกน้อง
“ไปดูสิ”
ลูกน้องสองคนชักปืนจากเอวแล้ววิ่งมาทางประกายดาว ประกายดาวตาโต

ลูกน้องวิ่งมาถึงบริเวณที่เกิดเสียงแล้วเล็งปืนไปหลังพุ่มไม้แต่ก็ไม่มีใคร ลูกน้องเล็งปืนไปรอบๆ ประกายดาวยืนตัวลีบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่เพราะลูกน้องเดินอยู่ด้านหลังใกล้ประกายดาวมาก ปุระชัยตะโกนถาม
“เจออะไรไหม”
“ไม่เจอครับนาย”
ลูกน้องอีกคนเหลือบไปเห็นรอยเท้าคนบนพื้น
ลูกน้องคนหนึ่งถาม “อะไรวะ”
“รอยเท้าคน”
เท้าประกายดาวเปื้อนโคลน
“อาจจะเป็นของไอ้พลกับไอ้นาย”
“ไม่แน่”
ลูกน้องอีกคนเดินมาข้างหน้าจนเกือบจะถึงประกายดาว ประกายดาวหลับตาปี๋และแทบจะกลั้นลมหายใจ เท้าลูกน้องอยู่ห่างจากประกายดาวเพียงก้าวเดียว
จู่ๆ ก็มีเสียงปืนดังปังมาจากที่ไกลๆ ลูกน้องชะงักแล้วหันขวับไปทางเสียง ลูกน้องปุระชัยวิ่งไปทางนั้นทันที ประกายดาวโล่งอกแม้แทบจะล้มทั้งยืน เธอแอบมองให้แน่ใจว่าพวกลูกน้องไปแล้วก่อนจะย่องออกไปจากตรงนั้น

ลูกน้องปุระชัยวิ่งเข้ามามองหาที่มาของเสียง แต่ก็ไม่เห็นอะไร ลูกน้องเดินย้อนกลับไป ต้นอ้อที่ยืนถือปืนแอบอยู่หลังต้นไม้มองตามพวกลูกน้องปุระชัยไป

ลูกน้องปุระชัยกลับมาหาปุระชัย
“ไม่มีอะไรเลยครับ”
ชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่กับปุระชัยบอก “สงสัยจะเป็นพวกล่าสัตว์ป่า”
ปุระชัยพยักหน้า

ประกายดาววิ่งสะพายกล้องเข้ามาในบ้านด้วยหน้าตาตื่นตระหนก ต้นอ้อที่นอนหลับอยู่บนเตียง แกล้งสะลึมสะลือตื่นขึ้น
“พี่ดาวไปไหนมาคะ”
ประกายดาวโกหก “พี่นอนไม่หลับก็เลยไปเดินถ่ายรูปเล่น น้องต้นอ้อนอนเถอะนะคะ เดี๋ยวพี่ไปเข้าห้องน้ำก่อน”
“พี่ดาวคะ พรุ่งนี้ต้นอ้อจะเข้าไปเมือง พี่ดาวกลับไปกับต้นอ้อเลยนะคะ”
ประกายดาวพูดไปงั้นๆ “ค่ะ”
ประกายดาวเปิดกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วแอบหยิบมือถือออกมายัดใส่กระเป๋ากางเกงอย่างระมัดระวังไม่ให้ต้นอ้อเห็น เธอวางกล้องทิ้งไว้แล้วเดินออกไป ต้นอ้อมองตามประกายดาว
“ขอให้กลับจริงๆ นะคุณดาว”

ประกายดาวเดินเร็วเข้ามาหลบหลังต้นไม้ใหญ่ เธอเหลียวมองกลับไปดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามมา แล้วเอามือถือออกมากดโทร
“เจ้าป่าเจ้าเขา เห็นแก่เด็กตาดำๆ โปรดประทานคลื่นโทรศัพท์ให้หน่อยเถอะนะคะ”
ประกายดาวกดมือถือโทรหา "อภิเชษฐ์" แต่ไม่ติด เสาสัญญาณบนมือถือไม่มีคลื่นเลย ประกายดาวพยายามกดซ้ำใหม่ ใครบางคนที่ยืนมองประกายดาวทางด้านหลังก้าวเข้าไปใกล้ประกายดาวแล้วคว้าแขนประกายดาวหมับ
ประกายดาวสะดุ้งแล้วหันไปพบว่าเป็นเด็กน้อยหน้างัวเงีย ประกายดาวโล่งใจก่อนจะย่อตัวลงคุยกับเด็กน้อย
“หนูมาทำอะไรตรงนี้คะ”
“หนูปวดฉี่ ไม่มีใครตื่นมาเข้าห้องน้ำกับหนูเลย พี่ดาวไปเป็นเพื่อนหนูหน่อย”
“ไปสิ”
เด็กน้อยคว้ามือประกายดาวแน่น
“พี่ดาวอย่าทิ้งหนูนะ”
“จ้ะ พี่จะไม่ทิ้งหนู พี่สัญญา”
ประกายดาวมีแววตาเด็ดเดี่ยวอย่ตัดสินใจแล้วว่าจะช่วยเด็กๆ ให้ได้

เช้าวันใหม่ พลกับเจ้านายเดินคุยกันออกมาจากทางบ้านพัก
“ฉันให้พิมพ์กับต้นอ้อไปขอข้าวสารที่หมู่บ้านโน้น เดี๋ยวฉันจะล่อให้พี่ดาวตามสองคนนั้นไป ทางสะดวก แล้วเราค่อยจัดการตามแผน” พลบอก
เจ้านายมองไปรอบๆ ก็เห็นหมู่บ้านเงียบเชียบ
“ทำไมเงียบๆ หายไปไหนกันหมด”
“เออว่ะ”
เจ้านายมองไปที่หน้าหมู่บ้าน พอเห็นอะไรบางอย่างเขาก็ตกใจ “เฮ้ย ดูนั่น !”
พลมองตามไปก็เห็นประกายดาวต้อนเด็กๆ ขึ้นรถสองแถวเล็ก ประกายดาวยิ้มลั้นล้าอย่างมีความสุข “ท่าทางเราจะเจอก้างชิ้นใหญ่แล้วว่ะ” พลว่า

ประกายดาวกำลังพาเด็กๆ ขึ้นรถสองแถวโดยจัดแจงให้นั่งเป็นระเบียบ พลกับเจ้านายเดินเข้ามาหา ประกายดาว
“อ้าว...พล พี่ตามหาพลกับเจ้านายตั้งแต่เช้าแล้วแต่หาไม่เจอ พี่จะบอกว่าพี่จะพาน้องๆ ไปเที่ยวในเมืองนะ เย็นๆ กลับ”
พลกับเจ้านายสบตากัน
“อย่าลำบากเลยพี่ดาว ไอ้พวกนี้ซนอย่างกับลิง” พลบอก
ประกายดาวพูดกับเด็กๆ “ข้อตกลงของเราคืออะไรคะเด็กๆ”
“ไม่ดื้อ ไม่ซน สนใจแต่พี่ดาว” เด็กๆ ตอบ
“พี่ขอพาน้องๆ ไปเถอะนะ ให้แกได้ไปเปิดหูเปิดตา พี่อุตส่าห์เดินไปที่หมู่บ้านโน้นให้ชาวบ้านหารถให้”
เจ้านายยืนกราน “ไม่ได้ !”
พลแทรกขึ้น “รีบไปรีบกลับนะครับ”
ประกายดาวยิ้มแล้วขึ้นรถ รถเคลื่อนออกไปพร้อมกับเสียงสนุกสนานตื่นเต้นของเด็กๆ
“ไอ้พล แกยอมให้ไป แล้วงานของนายล่ะวะ” เจ้านายถาม
“ใครว่าฉันยอม”
พลยิ้มอย่างมีแผน

พิมพ์ไทยกับต้นอ้อเดินมาด้วยกัน ต้นอ้อถือกระบุงใส่ข้าวสาร
“ได้ข้าวสารมานิดเดียว จะพอกินกันซะที่ไหน” พิมพ์ไทยว่า
“เราเห็นตรงโน้นมีกล้วยสุกเครือใหญ่เชียว เดี๋ยวพิมพ์กลับไปก่อนนะ เราไปเก็บกล้วยให้ จะได้เอามาให้เด็กๆ กินแก้หิว” ต้นอ้อบอก
ต้นอ้อส่งกระบุงข้าวสารให้พิมพ์ไทยแล้วเดินแยกไปอีกทาง

ประกายดาวนั่งรถมากับเด็กๆ เด็กๆ ตื่นเต้นดีใจ
“ถ้าน้องๆ อยากได้อะไร บอกพี่ดาวนะคะ พี่ดาวจะให้เป็นรางวัลที่ทุกคนเป็นเด็กดี”
เด็กๆ เฮ
“พี่ดาวพาเราไปหาพ่อแม่ได้ไหมคะ พวกเราอยากมีพ่อแม่” เด็กถาม
ประกายดาวสงสารเด็ก
“ให้พี่ดาวเป็นแม่ให้ทุกคนดีกว่า”
“แล้วพ่อล่ะคะ”
“พี่ดาวเป็นทั้งพ่อทั้งแม่ให้เอง”
“พี่ดาวจะเป็นพ่อได้ยังไง พ่อต้องเป็นผู้ชาย แต่พี่ดาวเป็นผู้หญิง”
ประกายดาวหน้าเจื่อนเพราะเถียงไม่ออก
จู่ๆ เสียงยางรถก็ระเบิดตู้ม รถเบรคอย่างแรง ประกายดาวและเด็กๆ ถลันมาข้างหน้า เด็กๆ หวีดร้อง
รถจอดสนิท ประกายดาวดึงเด็กๆ ขึ้นมานั่งบนเบาะ
“มีใครเป็นอะไรไหมคะ”
ไม่มีใครตอบ ประกายดาวมองไปหน้ารถอย่างไม่สบายใจ

คนขับยืนดูยางล้อที่แบนติดถนน ประกายดาวลงจากรถมาดู
“เกิดอะไรขึ้นคะ”
“ตะปูเรือใบครับ เต็มถนนเลย ไม่รู้ใครมือบอนเอามาโรย” คนขับบอก
ประกายดาวมองที่ถนนก็เห็นตะปูเกลื่อนถนน ประกายดาวมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นใครอยู่แถวนั้น เจ้านายกับพลแอบดูฝีมือตัวเองอย่างพอใจ
“ไปโว้ย ไปเตรียมขนมให้เด็กๆ กินกัน” พลว่า
พลกับเจ้านายกลับเข้าไปในหมู่บ้าน

คนขับก้มดูยางรถแล้วบอกประกายดาว
“เราคงไปไม่ได้แล้วครับคุณ ผมไม่มียางอะไหล่ด้วย”
“ยังไงฉันก็จะต้องพาเด็กๆ ไปให้ได้”
“คุณจะไปยังไง ถ้าเดินลงไปกว่าจะถึงก็คงพรุ่งนี้เช้า”
ประกายดาวมุ่งมั่น “มันต้องมีทางสิ”
คนขับส่ายหน้าเพราะไม่เห็นทางจะลงไปได้ แล้วเขาก็มองไปที่ถนน
“รถใคร”
ประกายดาวมองตามก็เห็นรถเก๋งคันใหญ่กำลังมุ่งหน้ามาที่หมู่บ้าน ประกายดาวมองด้วยความแปลกใจจนกระทั่งรถเคลื่อนมาหยุดตรงหน้าประกายดาว ถึงเห็นว่าคนที่นั่งอยู่ตอนหลังของรถ คือ จันทร์ภานุ
“คุณชาย” ประกายดาวหันไปหาคนขับรถ “หยิกแขนฉันหน่อยค่ะ”
คนขับรถงง
“ฉันอยากแน่ใจว่าไม่ได้ฝันอยู่ หยิกเลยค่ะ แรงๆ”
คนขับรถหยิกแขนประกายดาวอย่างแรง
ประกายดาวร้อง “โอ๊ย !!”
จันทร์ภานุลงจากรถ จันทร์ภานุเห็นประกายดาวร้องอยู่กับคนขับรถก็เป็นห่วงมากจึงรีบปราดเข้าไปคว้าแขนประกายดาวมาถาม
จันทร์ภานุตาขุ่นใส่คนขับรถ “คุณดาว เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่มีอะไรค่ะ คุณชายมาที่นี่ได้ยังไงคะ”
จันทร์ภานุเสียงเครียด “ผมมารับคุณกลับ”
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“เอาไว้ผมจะเล่าให้ฟัง คุณกลับลงไปกับผมก่อนเถอะนะ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ฉันทิ้งเด็กๆไปไม่ได้” ประกายดาวบอก
จันทร์ภานุมองไปที่รถสองแถวก็เห็นเด็กน้อยตาใสยืนเกาะรถมองประกายดาวกับจันทร์ภานุอย่างสนใจ
“คุณชายมาก็ดีแล้ว ช่วยพาเด็กๆ ด้วยเถอะค่ะ”
จันทร์ภานุงง “ทำไม ?”

จันทร์ภานุรับคำนิ่งๆ ด้วยสีหน้าเครียดแต่ไม่ได้ตกใจ
“ครับ”
ประกายดาวแปลกใจกับท่าทางของจันทร์ภานุ “ครับ ? ตกใจแค่นี้เองเหรอคะ คุณปุระชัยพ่อคุณรติรสเป็นหัวหน้าแก็งค์ค้ายาเสพย์ติด และพวกมันก็เอาชีวิตของเด็กตาดำๆ เป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์ คุณชายน่าจะตกใจกว่านี้”
“ผมพอจะรู้เรื่องแล้ว ไอ้เชษฐ์มันรับผิดชอบคดีนี้อยู่ มันบอกผมว่าคุณอยู่ที่นี่ ผมถึงต้องมารับคุณกลับ”
“กำลังจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นที่นี่เหรอคะ” ประกายดาวถาม
“เปล่า” จันทรภานุจับมือประกายดาว “ผมเป็นห่วงคุณ ผมอยากจะมาหาคุณตั้งแต่เมื่อวาน แต่ผมมาเร็วสุดได้เท่านี้”
จันทร์ภานุมองประกายดาว ประกายดาวรู้สึกดีมาก
พิมพ์ไทยเดินผ่านมาเห็นประกายดาวยืนจับมือกับจันทร์ภานุก็มองอย่างสนใจแล้วเดินเข้าไปใกล้
ประกายดาวหักห้ามใจก่อนจะพูด
“ขอบคุณมากค่ะ แต่คุณชายมาถึงตอนนี้ก็ดีมากแล้วค่ะ คุณชายจะได้มาช่วยฉันหาทางช่วยเด็กๆ ฉันจะไม่ยอมให้พลกับเจ้านายใช้เด็กๆ เป็นเครื่องมือขนยาบ้าลงไปในเมืองเด็ดขาด”
พิมพ์ไทยที่แอบฟังอยู่หลังต้นไม้ถึงกับอึ้ง
“พี่พล !”

พิมพ์ไทยพรวดพราดเข้ามาในบ้าน เธอคว้ากระเป๋าจากในตู้มายัดเสื้อผ้าลงไปพลางร้องไห้ปนโกรธ พลกับเจ้านายเข้ามาเห็นก็งง
“พิมพ์จะไปไหน”
พิมพ์ไทยผลักพล
“อย่ามายุ่ง”
“เป็นบ้าอะไรอีก !” พลถาม
พิมพ์ไทยเสียใจ “พิมพ์บ้า แต่พวกพี่เลว ชั่ว ! พิมพ์หลงคิดว่าพวกพี่เป็นคนดี แต่ที่แท้พวกพี่มันก็เป็นพวกพ่อค้ายา ไหนพี่บอกว่าพี่รักไอ้พวกเด็กๆ น้องพี่ อยากตอบแทนบุญคุณครูใหญ่ แล้วพี่ทำแบบนี้ได้ยังไง”
พลกับเจ้านายอึ้ง พลคว้าตัวพิมพ์ไทยมายืนประจัญหน้าแล้วคาดคั้นถาม
“พิมพ์รู้ได้ยังไง”
พิมพ์ไทยไม่ตอบแต่โวยวาย “พิมพ์ไม่อยากติดคุก พิมพ์จะกลับบ้าน”
พลโมโหจึงเขย่าตัวพิมพ์ไทยถาม “อีพิมพ์ กูถามว่ามึงรู้ได้ยังไง”
พิมพ์ไทยกลัว

จันทร์ภานุกำลังขึ้นรถ ประกายดาวยืนอยู่ด้วย เด็กๆ นั่งรวมกันอยู่ห่างออกไป
“ขับลงไปอีกหน่อยก็มีสัญญาณมือถือแล้ว พอผมโทรบอกไอ้เชษฐ์เสร็จแล้ว ผมจะรีบกลับมา คุณดูแลตัวเองด้วยนะ” จันทรภานุบอก
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลอกให้พลกับเจ้านายตายใจ”
จันทร์ภานุขึ้นรถแต่ยังมองตามประกายดาวอย่างอาลัยอาวรณ์ คนขับรถขับออกไป ประกายดาวมองตามอย่างลุ้นๆ
“รีบกลับมานะคะคุณชาย”
“พี่ดาวขา พี่เขาเป็นใครเหรอคะ” เด็กคนหนึ่งถาม
“พ่อเราไง พี่ดาวเป็นแม่ พี่คนนั้นเป็นพ่อ เรามีทั้งพ่อทั้งแม่แล้ว” เด็กอีกคนบอก
เด็กๆ ดีใจ ประกายดาวลูบหัวเด็กน้อยและมองเด็กเศร้าๆ
“น่ารักกันขนาดนี้ ทำไมถึงใจเหี้ยมทำร้ายได้ลงคอ”
ทันใดนั้นพลก็วิ่งเข้ามา
“พี่ดาว ! พี่ดาวช่วยพิมพ์ด้วย !”
ประกายดาวตกใจ

ปุระชัยกับลูกน้องออกมาจากในโกดัง ต้นอ้อแอบซุ่มดูอยู่หลังพุ่มไม้
“สั่งพวกมันเร่งมือ ถ้าวันนี้มิสเตอร์เฉินพอใจ เขาอาจจะสั่งเพิ่มอีกเท่าตัวก็ได้” ปุระชัยสั่ง
เจ้านายวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
“นายครับ เกิดใหญ่แล้ว มีคนรู้เรื่องของเราครับนาย”
ปุระชัยหันไปถาม “ใคร !”
ต้นอ้อฟัง

ประกายดาววิ่งเร็วๆ ตามพลไปที่บ้าน พลเปิดประตูเข้าไป ประกายดาววิ่งตามเข้าไปในบ้านก็เห็นพิมพ์ไทยถูกมัดมือมัดเท้ามัดปากติดกับเสา
“พิมพ์ !”
พิมพ์ไทยตาโตเพราะเห็นอะไรบางอย่างด้านหลังประกายดาว เธอพยายามส่งเสียงร้องเตือนประกายดาว ประกายดาวหันไปมองตามแต่ก็ถูกพลใช้ไม้ฟาดท้ายทอยจนสลบเหมือด พิมพ์ไทยหลับตาปี๋ด้วยความกลัว
“ช่วยไม่ได้นะพี่ดาว พี่อยากเข้ามายุ่งเอง” พลว่า

พลเข้ามาเปิดกระเป๋ากล้องของประกายดาว เขาเปิดดูกล้องก็เห็นว่ามีรูปถ่ายของปุระชัย พลอึ้ง พลเปิดเอาเมมโมรี่ออกมาจากกล้องแล้วเก็บใส่กระเป๋าก่อนจะโยนกล้องทิ้งลงพื้น
“พี่พล ทำของพี่ดาวทำไม” เด็กคนหนึ่งถาม
“ยุ่งน่ะ”
เจ้านายวิ่งเข้ามา
“เจอท่านหรือเปล่า” พลถาม
“เจอ ท่านบอกว่าให้พาพี่ดาวไปที่โกดัง ท่านจะจัดการพี่ดาวเอง” เจ้านายบอก

จันทร์ภานุนั่งอยู่บนรถ เขาจ้องมือถือในมืออย่างรอคอยคลื่นโทรศัพท์แต่ก็ไม่มีคลื่น จันทร์ภานุหงุดหงิด
“ขับเร็วกว่านี้ได้ไหม”
“ครับคุณชาย” คนขับรับคำ
จันทร์ภานุกระสับกระส่ายเพราะไม่สบายใจมาก

พลกับเจ้านายแบกประกายดาวที่ถูกมัดมือไว้ พลแบกส่วนขา ส่วนเจ้านายแบกส่วนหัว สักพักเจ้านายก็หยุดเดิน
“พักแปบเถอะว่ะ เหนื่อย”
พลวางประกายดาวไว้บนพื้น
“ถ้าเราพาพี่ดาวไปให้จัด ท่านจะฆ่าพี่ดาวหรือเปล่า” เจ้านายถาม
ประกายดาวปรือตาขึ้นเพราะได้ยินเสียงเจ้านายกับพลคุยกัน แต่เธอยังแกล้งทำเป็นสลบ
“ไม่รู้ แต่ถ้าพี่ดาวหลุดหนีไปได้ เราได้ติดคุกแน่” พลบอก
ประกายดาวนิ่วหน้าเครียดเพราะรู้ถึงชะตากรรมของตัวเอง เธอปรือตาขึ้นมองก็เห็นท่อนไม้วางอยู่ใกล้ๆ
“ปล่อยให้ท่านตัดสินใจเถอะ ว่าจะจัดการพี่ดาวยังไง” พลบอก เจ้านายพยักหน้า “เราไปต่อได้แล้ว วันนี้ยังมีหลายเรื่องต้องจัดการ”
เจ้านายจับขาประกายดาวจะยกขึ้น แต่ประกายดาวถีบเจ้านายอย่างแรงจนเจ้านายกระเด็น
พลตกใจ “เฮ้ย !”
พลยังไม่ทันตั้งหลัก ประกายดาวคว้าท่อนไม้ที่อยู่บนพื้นมาฟาดใส่พลทั้งๆ ที่มือยังถูกมัด พลล้ม ประกายดาววิ่งหนีไป พลกับเจ้านายวิ่งตาม
พลตะโกน “พี่ดาวหยุด”

ประกายดาววิ่งหนีทั้งๆ ที่มือถูกมัด พลกับเจ้านายวิ่งตาม

ประกายดาววิ่งเข้ามาสะดุดก้อนหินล้มลงจนเข่ากระแทกหิน
ประกายดาวร้อง “โอ๊ย !”
เข่าประกายดาวแตกเป็นแผลเลือดไหล ประกายดาวรู้สึกเจ็บมาก

ประกายดาวลุกขึ้นได้แล้วและกำลังจะวิ่ง แต่เข่าอ่อนจึงทรุดจะล้ม ทันใดนั้นก็มีมือหนึ่งมารวบเอวประกายดาวไปหลังต้นไม้ ประกายดาวร้องกรี๊ดแต่ถูกคนนั้นปิดปาก ประกายดาวมองเต็มตาถึงเห็นว่าเป็นจันทร์ภานุ ประกายดาวดีใจจนแทบร้องไห้
“คุณชาย”
ประกายดาวโผกอดจันทร์ภานุ
“ไม่ต้องกลัวแล้วนะ”
เสียงพลดังขึ้น “ทางนั้น”
จันทร์ภานุกอดประกายดาวจากทางด้านหลัง ทั้งสองยืนหลบหลังต้นไม้ พลกับเจ้านายวิ่งผ่านไป จันทร์ภานุมองตามไปจนแน่ใจว่าพลกับเจ้านายไปแล้ว จันทร์ภานุจึงแก้เชือกที่มือให้ประกายดาว
จันทร์ภานุถาม “ไหวไหม”
“ไหวค่ะ”
จันทร์ภานุแก้เชือกจนเสร็จแล้วคว้ามือประกายดาวกำลังจะพาวิ่งไป แต่แล้วก็ต้องชะงักกึกเมื่อเห็นลูกน้องปุระชัยสองคนยืนเล็งปืนมาทางเขา

จันทร์ภานุกับประกายดาวถูกลูกน้องปุระชัยเล็งปืนใส่ จันทร์ภานุจับมือประกายดาวแน่นก่อนจะดึงเธอมายืนซ้อนหลังของเขาอย่างปกป้อง
“จะไปกับพวกกูดีๆ หรือจะเป็นผีเฝ้าป่า” ลูกน้องขู่
ลูกน้องสองคนก้าวเข้าไปใกล้จันทร์ภานุกับประกายดาว
“ตำรวจกำลังมาที่นี่ ถึงเราจะตาย พวกนายก็หนีไม่พ้น” จันทรภานุบอก

พลกับเจ้านายที่แอบฟังอยู่มุมหนึ่งตกใจเมื่อได้ยินคำว่าตำรวจ ทั้งสองวิ่งหนีไป

ประกายดาวพูดกับลูกน้องปุระชัย
“ทางที่ดีพวกนายเอาเวลานี้มาคิดทบทวนสิ่งที่ทำลงไปดีกว่า กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีตอนนี้ก็ยังไม่สาย คิดถึงพ่อแม่ไว้ สงสารท่าน ลองคิดดูถ้านายเป็นพ่อคน แล้วลูกนายเป็นคนชั่ว พัวพันกับแก็งค์ยาเสพย์ติด แถมฆ่าคนตาย ต้องติดคุกตลอดชีวิต ดีไม่ดีก็โดนโทษประหาร หัวใจนายจะไม่แตกสลายหรอกเหรอ”
ลูกน้องสองคนชำเลืองมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
ลูกน้องคนหนึ่งตะโกน “หุบปาก”
“แค่นี้นายยังฟังไม่ได้ แล้วหัวอกพ่อแม่นายตอนเห็นนายติดคุกจะเป็นยังไง” ประกายดาวว่า
“กูบอกให้หุบปาก”
ลูกน้องปราดเข้าไปหาประกายดาว จันทร์ภานุตัดสินใจกระโดดเตะมือของลูกน้องคนนั้นจนทั้งปืนและตัวลูกน้องกระเด็นไปคนละทาง
ลูกน้องอีกคนจะยิงจันทร์ภานุ จันทร์ภานุเตะจระเข้ฟาดหางใส่จนลูกน้องอีกคนทรุดลง ขณะเดียวกันลูกน้องคนแรกจะคว้าปืนบนพื้นแต่ประกายดาวหยิบท่อนไม้แถวนั้นหลับตาฟาดใส่ท้ายทอยของลูกน้องคนแรกจนลูกน้องคนแรกสลบเหมือด
ลูกน้องคนที่สองตั้งหลักขึ้นมายืนแล้วรัวปืนยิงจันทร์ภานุ
ประกายดาวร้องบอก “คุณชายระวัง !”
จันทร์ภานุม้วนตัวหลบหลังต้นไม้ ลูกน้องเปลี่ยนมายิงประกายดาว จันทร์ภานุพุ่งมาผลักประกายดาวหลบได้ทันอย่างเฉียดฉิว แล้วเขาก็จับมือประกายดาวพาวิ่งหนีออกไป ลูกน้องคนที่สองวิ่งตาม

จันทร์ภานุจับมือประกายดาวพาวิ่งหนี ลูกน้องคนที่สองวิ่งไล่ยิงตามไปติดๆ จันทร์ภานุโดนกระสุนเฉี่ยวที่แขนซ้ายจนเซจะล้ม
“โอ๊ย !”
“คุณชาย”
“ไม่เป็นไร กระสุนแค่เฉี่ยว ผมทนไหว ไปต่อเถอะ”
จันทร์ภานุกับประกายดาววิ่งหนีไป

ลูกน้องปุระชัยวิ่งมาก็ไม่เห็นจันทร์ภานุกับประกายดาวแล้ว
“หายไปไหนวะ”
จันทร์ภานุกับประกายดาวแอบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ มือขวาของจันทร์ภานุกุมแผลที่ต้นแขนซ้ายของตัวเองไว้โดยมีเลือดไหลซึมออกมาตลอดเวลา
ลูกน้องวิ่งไปทางหนึ่ง ประกายดาวชะเง้อมองจนลูกน้องปุระชัยวิ่งไปแล้ว ประกายดาวหันมาดูจันทร์ภานุอย่างห่วงใย
“คุณชายไหวไหมคะ”
“ไหวครับ” จันทรภานุตอบ
“เดี๋ยวเราไปทางนี้ดีกว่าค่ะ ฉันจำได้ว่าทางนี้มีทางอ้อมไปข้างหน้าหมู่บ้าน”
ประกายดาวประคองจันทร์ภานุขึ้นพาวิ่งไปคนละทางกับที่ลูกน้องปุระชัยวิ่งไป

จันทร์ภานุกับประกายดาววิ่งมา จันทร์ภานุมีสีหน้าเจ็บปวดบริเวณแผลที่แขนซ้าย แผลของเขามีเลือดไหลเยิ้มออกมา ประกายดาวมองไปข้างหน้า
“น่าจะใกล้ถึงหน้าหมู่บ้านแล้วค่ะ” ประกายดาวบอก
จู่ๆ ทั้งสองก็เหยียบตาข่ายดักสัตว์ทำให้ถูกดึงขึ้นไปห้อยต่องแต่งในอากาศ ประกายดาวกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ

อ่านต่อหน้าที่ 2


ดาวเกี้ยวเดือน ตอนที่ 10 (ต่อ)

เสียงประกายดาวร้องกรี๊ดดังอยู่ไกลๆ ลูกน้องปุระชัยหันขวับไปทางเสียง

ประกายดาวกับจันทร์ภานุอยู่ในตาข่าย ทั้งสองดิ้นขลุกขลัก
จันทร์ภานุกับประกายดาวพูดพร้อมกัน “คุณดาว/คุณชายเป็นยังไงบ้าง”
ประกายดาวตอบ “ฉันไม่เป็นอะไร”
“ผมก็ไม่เป็นอะไร”
จันทร์ภานุดูตาข่าย
“คุณมีมีดมีของมีคมพกติดตัวบ้างไหม” จันทรภานุถาม
“ไม่มีค่ะ”
ประกายดาวพยายามดึงเชือกให้ถ่างออก แต่เชือกเส้นหนาและแน่นมาก
“ทำไมแน่นอย่างนี้ แล้วเราจะออกไปได้ยังไงกัน”

ลูกน้องปุระชัยวิ่งมาจวนจะถึงตาข่ายดักสัตว์ เขาก้มลงไปมองรอยหยดเลือดบนพื้นก่อนจะก้มแตะเลือด แล้วมองไปข้างหน้าก็เห็นหยดเลือดอยู่ตามทางข้างหน้า ลูกน้องปุระชัยยิ้มแล้วเดินตามรอยเลือดไป

ประกายดาวกับจันทร์ภานุพยายามดึงเชือกออก ทั้งสองพยายามหาทางเอาตัวรอดกันอย่างทุลักทุเล จันทร์ภานุมองลงไปก็เห็นลูกน้องปุระชัยกำลังเดินก้มหน้าเข้ามา
ลูกน้องปุระชัยเอาแต่ก้มมองหยดเลือดจึงไม่เห็นตาข่ายดักสัตว์ที่ห้อยอยู่บนต้นไม้ จันทร์ภานุใช้นิ้วแตะปากบอกให้ประกายดาวอยู่นิ่งๆ ประกายดาวเห็นลูกน้องปุระชัยก็ตาโตเพราะตกใจ ลูกน้องปุระชัยเดินตามรอยเลือดมาหยุดอยู่ใต้ตาข่ายก็พบว่ารอยเลือดหายไปแล้ว
“มันไปทางไหน”
ลูกน้องปุระชัยมองไปรอบๆ แต่ไม่ได้แหงนขึ้นมองข้างบน ประกายดาวลุ้นและเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง ทันใดนั้นสายตาประกายดาวก็ไปปะทะเข้ากับงูเหลือมที่กำลังเลื้อยอยู่บนกิ่งไม้
ประกายดาวอ้าปากจะกรี๊ดแต่จันทร์ภานุปล่อยมือจากแผลที่แขนมาปิดปากประกายดาวไว้ได้ทัน ทำให้เลือดจากแขนไหลลงไปหยดใส่หัวลูกน้องปุระชัยพอดี
ลูกน้องปุระชัยรู้สึกถึงหยดน้ำลงบนหัวจึงเงยหน้ามองถึงเห็นว่าคนที่เขากำลังตามล่าอยู่ในตาข่าย ลูกน้องปุระชัยหัวเราะสะใจ
“เข้าใจหาที่แอบกันนะ อยู่นิ่งๆ ให้กูยิงซะตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง เสียเวลาทำมาหากิน”
ลูกน้องยกปืนขึ้นเล็งไปที่ตาข่าย ประกายดาวกลัวสุดขีดจึงหลับตาปี๋และโผเข้าไปในอ้อมกอดจันทร์ภานุ ลูกน้องปุระชัยกำลังจะเหนี่ยวไก จันทร์ภานุตัดสินใจตะโกน
“อย่ายิงผู้หญิง”
ลูกน้องปุระชัยชะงัก
“ฉันขอร้อง อย่ายิงผู้หญิง ยิงฉันคนเดียว”
ประกายดาวอึ้ง “คุณชาย...”
จันทร์ภานุต่อลองกับลูกน้องปุระชัย “คุณดาวจะไม่พูดเรื่องที่เกิดขึ้น คุณดาวจะบอกทุกคนว่าฉันตาย
เพราะถูกกับดักสัตว์ พวกนายจะไม่ผิด ปล่อยคุณดาวไปเถอะ”
“ไม่ค่ะ คุณชายไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ คุณชายไม่ควรต้องมาตายเพราะฉัน” ประกายดาวบอก
“ได้สิ ผมตายเพราะคุณได้ เพราะผมระ....”
จันทรภานุยังพูดไม่จบเสียงปืนก็ดังเปรี้ยง ประกายดาวกรี๊ด ลูกน้องปุระชัยชูปืนไปทางอื่น
“หุบปากกันได้แล้วใช่ไหม พร่ำเพ้อกันอยู่ได้ กูรำคาญ ! พวกมึงไม่ต้องแย่งกัน ได้ตายทั้งคู่นั้นแหละ”
ลูกน้องปุระชัยขึ้นนกปืน ประกายดาวตาโต !
“อย่า !!!”
จันทร์ภานุดึงประกายดาวมากอดไว้แน่นเพื่อจะเอาตัวเองบังกระสุนให้ประกายดาว ลูกน้องปุระชัยลั่นไก
เสียงปืนดังปัง จันทร์ภานุกับประกายดาวสะดุ้งสุดตัว ประกายดาวรู้สึกได้ถึงความอุ่นจากเลือด ประกายดาวเลื่อนมือตัวเองมาดูก็เห็นเลือดบนฝ่ามือ
“คุณชาย !”
ประกายดาวผละออกจากจันทร์ภานุ จันทร์ภานุมีสีหน้าเจ็บปวด
“คุณต้องไม่เป็นอะไรนะคะ คุณต้องอยู่กับฉัน อย่าทิ้งฉันไปเด็ดขาด เราต้องรอด เราต้องรอด !!”
“ผมไม่ได้ถูกยิง ผมเจ็บ...” จันทรภานุบอก
ประกายดายเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังบีบแผลที่แขนข้างซ้ายของจันทร์ภานุอยู่
ลูกน้องของปุระชัยร้องอย่างเจ็บปวด “อ๊าก”
ประกายดาวกับจันทร์ภานุก้มลงไปมองข้างล่างก็เห็นต้นอ้อกำลังเตะต่อยลูกน้องปุระชัยไม่ยั้ง
ประกายดาวแปลกใจ “ต้นอ้อ !”

ลูกน้องของปุระชัยนอนสลบอยู่บนพื้น ต้นอ้อปัดมือไปมาแล้วแหงนหน้ามองตาข่ายกับดักสัตว์
“คุณดาวกับคุณชายโอเคไหมคะ” ต้นอ้อถาม
“ต้นอ้อรู้จักคุณชายด้วยเหรอ” ประกายดาวสงสัย
“ค่ะ”
“คุณคือหมวดอรดี ลูกน้องของอภิเชษฐ์” จันทรภานุว่า
“ต้นอ้อเป็นตำรวจ ! เป็นไปได้ยังไง” ประกายดาวตกใจ
“เรื่องมันยาวค่ะ คุณสองคนลงมาก่อนดีกว่า”
ต้นอ้อหยิบปืนของลูกน้องปุระชัยเล็งไปที่เชือก
“พร้อมนะคะ”
ต้นอ้อยิงเชือกที่ขึงตาข่ายแค่สองนัดเชือกก็ขาดผึง จันทร์ภานุกับประกายดาวร่วงลงมาบนพื้น ประกายดาวทับอยู่บนตัวจันทร์ภานุและปากของทั้งสองก็ปะทะกันจังๆ ต้นอ้อรีบมองไปทางอื่นเพราะเขินแทน
“ตามสบายนะคะ ฉันขอตัวไปจัดการพวกที่เหลือก่อน”
จันทร์ภานุกับประกายดาวประคองกันขึ้นแล้วสบตากันเขินๆ

พลกับเจ้านายวิ่งเข้ามาเก็บของใส่กระเป๋า พิมพ์ไทยที่ถูกมัดอยู่กับเสามองอย่างงงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ต้นอ้อเปิดประตูเข้ามา
“จะไปไหนกัน”
พลกับเจ้านายชะงัก

พล เจ้านาย และลูกน้องปุระชัยถูกใส่กุญแจมือถูกคุมตัวขึ้นรถ พลเดินรั้งท้ายหันมามองพิมพ์ไทยที่ยืนร้องไห้อยู่กับต้นอ้อ พิมพ์ไทยทนไม่ไหวจึงร้องไห้โฮและโผเข้าไปกอดพล
“พี่พล !”
“พี่ดูแลพิมพ์ไม่ได้แล้ว พิมพ์กลับไปอยู่กับแม่นะ พี่จะได้ไม่เป็นห่วง”
“พิมพ์จะรอพี่นะ”
“ไม่ต้องรอ ใช้ชีวิตของพิมพ์ให้ดีให้มีความสุข วันหนึ่งที่พี่ออกมาจากคุก พี่จะเป็นฝ่ายไปหาพิมพ์เอง”
พิมพ์ไทยกอดพลและร้องไห้

ประกายดาวพันผ้าสีขาวที่แขนซ้ายให้จันทร์ภานุเสร็จพอดี
“โชคดีนะคะแผลไม่ลึกมาก”
จันทร์ภานุพยักหน้ารับ ประกายดาวมองไปที่หน้าหมู่บ้าน
พลกับเจ้านายขึ้นรถตำรวจ พิมพ์ไทยร้องไห้วิ่งตามรถ ต้นอ้อจับตัวเธอเอาไว้และกอดปลอบใจ รถตำรวจเคลื่อนออกไป ประกายดาวมองอย่างสงสาร
“น่าสงสารพวกเขานะครับ ความขาดทำให้ต้องตกเป็นเหยื่อของพวกคนเลว” จันทรภานุบอก
ประกายดาวงง “ขาด ?”
“ขาดความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ ขาดคนคอยชี้นำทางที่ดี ขาดสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ แล้วมันก็ไม่ใช่ความผิดของพวกเขาเลยสักนิด แต่เป็นความผิดของพ่อแม่ที่ไม่มีความรับผิดชอบ ทำให้เขาเกิดแต่ทิ้งพวกเขาไป”
“ทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง” ประกายดาวว่า
“แต่ไม่มีเหตุผลอะไรมากพอที่จะทำให้ทิ้งลูกของตัวเองได้ลงคอ ตัวเองเลือกได้ว่าจะทำให้หนึ่งชีวิตเกิดมาหรือไม่ แต่เด็กๆ เลือกเกิดไม่ได้ ถ้าพวกเขาเลือกได้ ก็คงไม่มีใครอยากเกิดเป็นเด็กกำพร้า ทุกคนต้องการความสมบูรณ์พร้อม ไม่มีใครอยากขาด”
“ถ้าฉันมีลูก ลูกฉันก็คงไม่อยากขาดเหมือนกัน” ประกายดาวเผลอพูดออกไป “มาเป็นพ่อให้ลูกฉันไหมคะคุณชาย”
จันทร์ภานุงง “ครับ ?”
“เอ่อ....ฉันหมายถึงเด็กๆ ในหมู่บ้านน่ะค่ะ ฉันจะรับอุปถัมภ์ เป็นแม่ให้พวกเขา ถ้าคุณชายอยากทำบุญ อยากเห็นอนาคตของชาติมีอนาคตสดใส ก็มาร่วมอุปถัมภ์เด็กๆ ด้วยกันก็ได้”
ต้นอ้อประคองพิมพ์ไทยเดินผ่านเข้ามา ประกายดาวรีบเปลี่ยนเรื่องโดยการเข้าไปหาต้นอ้อ
“หมวดต้นอ้อคะ”
“คะ ?”
“ฉันมีรูปถ่ายมัดตัวคุณปุระชัย ฉันอยากฝากให้คุณเชษฐ์ด้วย เผื่อจะช่วยให้เขาทำงานได้ง่ายขึ้น”
ประกายดาวมองหากระเป๋ากล้องที่วางอยู่ใกล้ๆ เธอวิ่งไปที่กระเป๋าแล้วพบว่ากล้องถ่ายรูปแตกกระจาย
“กล้อง ! เมมก็หายไป”
“พลหักทิ้งไปแล้วค่ะ” ต้นอ้อบอก
ประกายดาวตกใจ “หา !”
“แต่ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ ฉันก๊อปปี้เอาไว้แล้ว” ต้นอ้อบอก
ประกายดาวแปลกใจ ต้นอ้อยิ้ม

เหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมา
ต้นอ้อมองตามประกายดาวแล้วพูดกับตัวเอง
“ขอให้กลับจริงๆ นะคุณดาว”
ประกายดาวเดินออกไปจากห้องพัก ต้นอ้อลุกขึ้นไปมองที่ประตูเพื่อดูให้แน่ใจว่าประกายดาวไปแล้ว ต้นอ้อแกะเอาแผ่นเมมโมรี่ในกล่องถ่ายรูปของประกายดาวออกมาแล้วเปิดแผ่นไม้บนพื้น ก่อนจะหยิบกล่องเหล็กที่ซ่อนไว้ออกมา ข้างในกล่องเหล็กมีโน้ตบุ๊คเล็กๆ ปืน กล้องถ่ายรูป และเครื่องอัดเสียง ฯลฯ ต้นอ้อเอาเมมโมรี่เสียบกับโน้ตบุ๊คแล้วก๊อปไฟล์รูปจากเมมโมรี่ลงเครื่อง

เมื่อฟังต้นอ้อเล่าเหตุการณ์ ประกายดาวก็โล่งใจ
“หมวดรอบคอบดีจังเลยค่ะ” ประกายดาวชม
“ไม่รอบคอบไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวจะโดนผู้กองเม้ง” ต้นอ้อบอก
“แล้วนี่ไอ้เชษฐ์มันจะขึ้นมาไหมครับ” จันทรภานุถาม
“ไม่ค่ะ เขาต้องไปตามเช็คบิลตัวพ่ออยู่”
ประกายดาวสงสัย “ตัวพ่อ ?”

ปุระชัยรีบโกยเอกสารและของสำคัญใส่กระเป๋าเดินทาง รติรสเปิดประตูเข้ามาพอเห็นท่าทางของพ่อก็แปลกใจ
“พ่อจะไปไหนคะ” รติรสเอ่ยถาม
ปุระชัยปิดกระเป๋า เขาพูดพร้อมเดินออกจากห้อง
“ดูแลตัวเองด้วย แล้วพ่อจะติดต่อกลับมา”
ปุระชัยเดินออกไปจากห้อง รติรสงงแต่ก็วิ่งตาม
“พ่อคะ!” รติรสเรียก

ปุระชัยถือกระเป๋าเอกสารลงมาจากชั้นสอง รติรสวิ่งตามมาคว้าแขนปุระชัย
“พ่อจะไปไหน”
“รส พ่อไม่มีเวลาอธิบาย ปล่อยพ่อ พ่อต้องรีบไป”
“ไม่ ! รสไม่ให้พ่อไป พ่อต้องบอกรสก่อน เกิดอะไรขึ้น แล้วพ่อจะไปไหน”
อภิเชษฐ์กับตำรวจเดินเข้ามา
“ขอเชิญไปกับเราด้วยครับ” อภิเชษฐ์บอก
ปุระชัยหน้าซีด ขณะที่รติรสงงเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

รติรสร้องไห้โฮอยู่ในอ้อมกอดของอรอุมา อรอุมามีใบหน้าเรียบเฉยเพราะไม่ได้สงสารชะตากรรมของเพื่อนรักเลยแม้แต่น้อย
“อร เธอต้องช่วยฉันนะ บ้าน รถ เงินถูกยึดไปหมดเลย ฉันไม่เหลืออะไรแล้ว”
“ถามจริงเถอะ เธอไม่เคยระแคะระคายเลยเหรอว่าพ่อเธอทำอะไรอยู่” อรอุมาถาม
“ไม่เคย ฉันไม่เคยสนใจ”
“เธอนี่ก็เหลือเกินเลยนะ อะไรที่ควรรู้ควรทำก็ไม่ทำ แต่อะไรที่ไม่ควรทำกลับทำ”
รติรสงงกับคำพูดของอรอุมา
“ถ้าจะให้ฉันช่วย เธอต้องบอกความจริงกับฉัน” อรอุมาว่า
รติรสงง “ความจริงอะไร ?”
อรอุมาจ้องตารติรสเขม็ง
“เธอกับศิวะเป็นชู้กันหรือเปล่า”
รติรสอึ้งและไม่กล้าสบตา “ทำไมเธอถามแบบนี้”
“ฉันให้เธอตอบ ไม่ใช่ให้ถามกลับ ว่าไงล่ะ เธอกับศิวะเป็นชู้กันจริงหรือเปล่า”
“บ้าเหรอ ฉันจะทำแบบนั้นได้ยังไง เราเป็นเพื่อนกันนะ”
รติรสลุกขึ้นเพราะไม่สามารถทนสบตากับอรอุมาได้ อรอุมากระชากมือรติรสให้หันมาประจันหน้ากับเธอ
“ใช่ เราเป็นเพื่อนกัน เพราะฉะนั้นเธอก็ต้องรู้จักนิสัยฉันดี”

อรอุมาย่างเข้าหารติรส รติรสขยับถอย
“ฉันรักใคร ฉันรักหมดใจ แต่ถ้าฉันเกลียดใคร ฉันก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้ชีวิตมันพบแต่ความฉิบหาย ต่อให้ฉันต้องฆ่ามัน ฉันก็จะทำ”
อรอุมาปัดแจกันบนโต๊ะหล่นพื้นแตกกระจาย รติรสกลัวสุดขีดแต่ก็ต้องข่มใจไว้
“เธอ...เธอพูดเหมือนเธอไม่ไว้ใจฉัน” รติรสว่า
“ฉันพยายามไว้ใจเธออยู่ ฉันถึงไม่จ้างนักสืบไปสืบเรื่องเธอกับศิวะไง แล้วถ้ามันเป็นเรื่องจริง ฉันต้องวุ่นวายเสียเวลาเสียเงินหามือปืนฝีมือดีๆ อีก เฮ้อ...แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว”
รติรสกลืนน้ำลายดังเอื้อก
“ตกลงเธอจะอยู่กับฉันที่นี่ใช่ไหม”
“ไม่เป็นไร ฉันไม่อยากรบกวนเธอกับศิวะ เดี๋ยวฉันไปหาโรงแรมพักก็ได้”
อรอุมายิ้มหวาน รติรสกลัวอรอุมา

รติรสเดินแบกกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ ใส่แว่นตาดำ ใส่หมวกอำพรางใบหน้าแต่ก็ยังดูหรูหรา รติรสเดินมาตามริมฟุตบาธที่ข้างหน้าเป็นวินมอเตอร์ไซด์
“อีบ้าอร ทำไมต้องมาสงสัยตอนนี้ด้วย แทนที่จะได้พึ่งพิงสักหน่อย”
รถยนต์คันหนึ่งขับมาอยางเร็วแล่นผ่านน้ำบนพื้นกระเด็นไปโดนรติรสเต็มๆ รติรสกรี๊ดเพราะรังเกียจน้ำสกปรก พวกวินมอเตอร์ไซด์และคนแถวนั้นหัวเราะขำท่าทางของรติรส รติรสค้อนตาเขียวแล้วเดินปึงปังไปจากตรงนั้น เธอเห็นข่าวในทีวีที่อยู่บริเวณวินมอเตอร์ไซด์เข้าพอดี

ข่าวรายงานการจับกุมปุระชัยข้อหาคดียาเสพย์ติดประกอบภาพปุระชัยใส่กุญแจมือ มีอภิเชษฐ์เดินคุมตัวปุระชัยขึ้นรถ กองทัพนักข่าวรุมถ่ายรูป
“วานนี้มีการจับกุมนักธุรกิจชื่อดังหัวหน้าแก็งค์ยาเสพย์ติด โดยการจับกุมครั้งนี้ได้หลักฐานมัดตัวจากนางสาวประกายดาวช่างภาพชื่อดัง”
ภาพประกายดาวปรากฎด้านล่างของจอ

รติรสแค้น
“นังดาว เพราะแกคนเดียว !”

จันทร์ภานุขับรถเข้ามาจอด จันทร์ภานุกับประกายดาวลงจากรถ จันทร์ภานุเดินไปที่ท้ายรถแล้วหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าของประกายดาวมาให้ ประกายดาวดูเหม่อลอยเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา จันทร์ภานุสังเกตเห็นจึงถาม
“คุณมีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า ปรึกษาผมได้นะ”
ประกายดาวมองจันทร์ภานุนิ่งแล้วนึกถึงสิ่งที่คาใจตัวเอง
ภาพตอนที่มิลินทร์พูดกับประกายดาวผุดขึ้นมาในหัวของเธอ
“แกรักคุณจันทร์ภานุ” มิลินทร์บอก
ประกายดาวปากแข็ง “ฉันไม่ได้รัก”
ภาพตอนที่จิตสุภางค์พูดกับเธอ
“แกอย่าเอาไอ้แฟนเก่าสามคนของแกมาตัดสินผู้ชายทั้งโลกสิ คุณชายจันทร์เขาดีกว่าหลายขุม”
ภาพตอนที่จันทร์ภานุบอกคนร้ายว่าอย่ายิงประกายดาว
“อย่ายิงผู้หญิง ยิงฉันคนเดียว !”
ภาพตอนที่แดนดินพูดกับเธอ
“คนเราจะหนีอะไรก็หนีได้ แต่หนีใจตัวเองไม่ได้หรอกนะดาว”
ภาพตอนที่ประกายดาวพูดกับจันทรภานุ
“ถ้าฉันมีลูก ลูกฉันก็คงไม่อยากขาดเหมือนกัน”

ประกายดาวตัดสินใจถามจันทร์ภานุ
“คุณชายคะ ฉันกำลังจะเปลี่ยนแปลงความคิดอะไรบางอย่างของตัวเอง ห้ามถามนะคะว่าคืออะไร แต่ฉันอยากให้คุณชายตอบคำถามฉันสามข้อ”
“ครับ”
ประกายดาวตัดสินใจถาม “ข้อแรก. คุณชายอยากมีลูกไหมคะ”
จันทร์ภานุตอบทันที “อยากครับ”
“ข้อสอง ถ้าคุณชายแต่งงาน คุณชายสัญญาได้ไหมว่าจะไม่ทำให้ภรรยาของคุณชายเสียใจ คุณชายจะทำให้เธอกับลูกมีความสุขไปตลอดชีวิต”
“ผมไม่สัญญา” จันทรภานุบอก
ประกายดาวอึ้ง
“ไม่มีใครอยากให้ชีวิตคู่ของตัวเองล้มเหลว แต่อนาคตเราก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น บางทีปัญหาชีวิตคู่มันอาจจะซับซ้อนกว่าที่เราคิด ไม่งั้นปัญหาหย่าร้างคงจะไม่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นผมจะไม่ขอสัญญา แต่ผมทำทุกวันให้ดี รักและดูแลภรรยากับลูกเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้ ส่วนอนาคตจะเป็นยังไงก็ช่างมัน”
ประกายดาวมองจันทร์ภานุอย่างซาบซึ้ง
“ข้อสุดท้าย คุณชายมีผู้หญิงที่อยากจะแต่งงานด้วยหรือยังคะ”
“มี แต่ติดปัญหาอยู่อย่าง”
“อะไรคะ”
“เธอบอกว่า เธอไม่ได้รักผม”
จันทร์ภานุสบตาประกายดาว ประกายดาวหัวใจพองโตเพราะรู้ว่าจันทร์ภานุหมายถึงเธอ
“คุณดาว ผมขอถามคุณกลับบ้าง คำถามเดียวเท่านั้น”
“อะไรคะ”
“คุณ...”
จันทร์ภานุยังไม่ทันได้ถาม พงศ์จันทรก็ขับรถเข้ามาจอดอย่างรวดเร็ว พงศ์จันทรลงจากรถแล้วเดินเข้าไปหาประกายดาว
“คุณดาว !”
ประกายดาวเซ็งที่อดรู้คำถามของจันทร์ภานุ
“ผมเห็นข่าวคุณแล้ว คุณปลอดภัยดีใช่ไหม ผมเป็นห่วงคุณแทบแย่”
“ฉันปลอดภัยดีค่ะ” ประกายดาวถามจันทร์ภานุ “เมื่อตะกี้คุณชายจะถามอะไรฉันคะ”
จันทร์ภานุมองพงศ์จันทรที่ยืนอยู่ข้างประกายดาว
“เชิญตามสบายครับ คิดซะว่าผมไม่มีตัวตน” พงศ์จันทรบอก
จันทร์ภานุสบตากับพงศ์จันทรเพราะคิดว่าเขาท้าทาย
จันทร์ภานุพูด “ผมจะถามว่าที่คุณเคยบอกว่าไม่ได้รักผม คุณพูดจริงหรือเปล่า”
ประกายดาวอึ้งเพราะไม่คิดว่าจันทร์ภานุจะกล้าถามตอนนี้
“ว่าไงล่ะครับคุณดาว คุณชายรอคำตอบอยู่นะ” พงศ์จันทรเร่ง
“ไม่ใช่แค่ผมล่ะมั้งครับที่รอคำตอบ” จันทรภานุบอก
จันทร์ภานุกับพงศ์จันทรมองหน้าท้าทายกัน ประกายดาวมองทั้งสองสลับกันไปมา สองหนุ่มลุ้นคำตอบของประกายดาว แต่จันทร์ภานุเก็บอาการได้ดีกว่าต่างจากพงศ์จันทรที่สีหน้าลุ้นมาก ประกายดาวหนักใจจึงพูดออกไปว่า
“ฉันยังไม่อยากพูดอะไรตอนนี้ คุณชายเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะค่ะ”
จันทร์ภานุผิดหวังเพราะไม่คิดว่าประกายดาวจะไล่เขา พงศ์จันทรยิ้มเยาะจันทร์ภานุ
“คุณเองก็ต้องพักผ่อนมากๆ นะ” จันทรภานุบอก
ประกายดาวรับคำ “ค่ะ”
จันทร์ภานุขึ้นรถแล้วขับออกไป

จันทร์ภานุมองประกายดาวกับพงศ์จันทรผ่านกระจกหลัง พงศ์จันทรขยับมาชิดประกายดาวอย่างรู้ว่าจันทร์ภานุกำลังมองอยู่ จันทร์ภานุเศร้า

ประกายดาวมองจนรถจันทร์ภานุจนลับตาแล้วก็หันมาพูดกับพงศ์จันทร
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
“ผมก็มีเรื่องจะคุยกับคุณ” พงศ์จันทรบอก

ประกายดาวกับพงศ์จันทรเดินเข้ามาในคอนโดด้วยกัน
“คุณมีอะไรก็พูดมาก่อนเถอะค่ะ”
“ผมขอโทษที่วันนั้นผมเกือบพูดเรื่องแผนล่าสเปิร์มของคุณ คุณอย่าโกรธผมเลยนะ”
“แต่คุณก็ยังไม่ได้พูดนี่คะ ถ้าจะโกรธ ฉันโกรธที่คุณทำร้ายร่างกายคุณชายมากกว่า”
“ก็ผมหึงคุณนี่”
พงศ์จันทรจับมือประกายดาว
“ตั้งแต่คุณหายไป มันทำให้ผมรู้ว่าคุณมีความหมายกับผมมากแค่ไหน ผมรู้สึกดีกับคุณมาก มากอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน ผมทำได้ทุกอย่างเพื่อคุณ ถึงผมจะไม่ดีไม่เฟอร์เฟ็คเท่าคุณจันทร์ภานุ แต่ผมจะทำให้คุณกับลูกมีความสุขไปตลอดชีวิต ผมอยากแต่งงานมีลูกกับคุณ”
“แต่ฉันไม่ได้รักคุณ”
พงศ์จันทรอึ้งแต่ก็ไม่ยอมแพ้
“ตอนนี้คุณยังไม่รักผมก็ไม่เป็นไร แต่ผมจะทำให้คุณรักผมให้ได้”
“ยังไงฉันก็รักคุณไม่ได้ ฉันรักคุณจันทร์ภานุ”
“นี่ใช่ไหมคือสิ่งที่คุณจะคุยกับผม”
“ค่ะ”
“แล้วทำไมเมื่อตะกี้คุณไม่บอกจันทร์ภานุไปเลยล่ะว่าคุณรักเขา คุณไม่พูด แถมไล่เขากลับ มันทำให้ผมมีความหวังรู้ไหม”
“ที่ฉันไม่พูด เพราะฉันไม่อยากให้คุณเสียใจ”
“คิดว่าพูดตอนนี้ ผมจะไม่เสียใจหรือไง”
“ฉันขอโทษ”
พงศ์จันทรจับไหล่ประกายดาวทั้งสองข้าง
“เปิดโอกาสให้ผมเถอะคุณดาว ผมต่างหากที่เหมาะสมกับคุณไม่ใช่คุณชาย ผมจะทำให้คุณเปลี่ยนใจมารักผมให้ได้ นะคุณดาว”
พงศ์จันทรเขย่าตัวประกายดาว ประกายดาวผลักพงศ์จันทรออกอย่างไม่พอใจ
“ฉันขอบคุณมากที่คุณมีความรู้สึกดีๆ ให้ฉัน แต่คุณกลับไปถามใจตัวเองดูดีๆ เถอะค่ะ ว่าคุณรักฉันจริงๆ หรือแค่อยากเอาชนะคุณชาย”
ประกายดาวจะเดินไป พงศ์จันทรโพล่งขึ้น
“คุณก็อาจจะไม่ได้รักคุณจันทร์ภานุ คุณแค่อยากได้สเปิร์มของเขา”
ประกายดาวหยุดเดินแล้วหันกลับมา
“แผนสเปิร์มมันจบไปแล้วค่ะ”
ประกายดาวเดินออกไป พงศ์จันทรทรุดตัวลงอย่างไร้เรี่ยวแรง

รติรสลงจากรถแท็กซี่ เธอมองเข้าไปในคอนโดของประกายดาวด้วยสีหน้าร้าย พลันสายตาของรติรสก็หันไปเห็นอะไรบางอย่างที่ริมถนนหน้าคอนโด รติรสยิ้มเจ้าเล่ห์
“วันนี้วันซวยของแกแท้ๆ นังดาว”

ประกายดาวเดินลากกระเป๋ามาหยุดที่หน้าห้อง เธอล้วงหยิบกุญแจในกระเป๋ามาไขประตูแต่พบว่าประตูไม่ได้ล็อค
“ตอนไปก็ล็อคแล้วนี่”
ประกายดาวนิ่วหน้าด้วยความสงสัย เธอค่อยๆ หมุนลูกบิดเปิดประตูเข้าไปข้างใน

ประกายดาวค่อยๆ เปิดประตูเข้ามาก็พบว่าไฟในห้องเปิด
“ไฟเปิด ?”
เสียงก๊อกแก๊กๆ ดังมาจากทางครัว ประกายดาวมองไปเห็นเงาคนตะคุ่มๆ อยู่หลังเคาน์เตอร์
“ใคร !”
แดนดินโผล่มาจากเคาน์เตอร์หลังจากว่าก้มเก็บของเสร็จ
“มาแล้วเหรอยัยตัวดี”
“โธ่...พี่ดิน ดาวตกใจแทบแย่”
แดนดินไม่พูดอะไร เขาถือไม้เรียวที่เหลาจากไม้ไผ่พุ่งเข้ามาฟาดก้นประกายดาว ประกายดาวกระโดดเหย็ง
“โอ๊ย ! ตีดาวทำไม ดาวเจ็บนะ”
ประกายดาวกระโดดหลบไปรอบๆ ห้อง แดนดินไล่ตีพร้อมต่อว่า
“เจ็บแล้วจำไหมล่ะ หนอย...เป็นช่างภาพดีๆ ไม่ชอบ ริอยากเท่ห์ทำตัวเป็นฮีโร่จับผู้ร้ายค้ายา ตัวเท่าลูกหมา”
“ถ้าดาวเป็นลูกหมา พี่แดนก็เป็นพี่หมา”
“ไอ้ดาว !” แดนดินไล่ตีประกายดาว
“โอ๊ย ! อูย ! พี่ดินพอ ดาวเจ็บ”
ประกายดาวบีบน้ำตาร้องไห้เหมือนเด็กๆ
“ฮือๆๆ จำแล้ว ดาวจำแล้วค่ะพี่ดิน อย่าตีดาวเลย ดาวเจ็บ ฮือๆๆ”
แดนดินหยุดตีน้องทันที
“แกไม่ต้องเอาน้ำตามาอ้อนฉัน” แดนดินว่า ประกายดาวหยุดร้องไห้ “เล่าให้ฉันฟังเดี๋ยวนี้ ว่าเกิดอะไรขึ้น แกไปรู้จักพวกเด็กชาวเขาได้ยังไง แกขึ้นไปทำอะไรบนดอย แล้วไปยุ่งกับไอ้พวกแก็งค์ค้ายาได้ยังไง”
“มันก็เป็นอย่างที่ข่าวลงนั่นแหละ” ประกายดาวบ่น “รู้งี้ไม่น่าโทรบอกเลยว่ามาถึงกรุงเทพฯ แล้ว”
แดนดินเอาไม้เรียวฟาดก้นประกายดาว ประกายดาวกระเด้ง
“โอ๊ย !”
“แกนี่มันเหลือเกินเลยนะไอ้ดาว เมื่อไหร่จะอยู่นิ่งๆ เหมือนชาวบ้านเขา หาเรื่องปวดหัวมาให้ฉันตลอด”
“ไหนๆ ดาวก็รอดปลอดภัยกลับมา เรื่องมันจบไปแล้ว พี่ดินก็ลืมๆมันไปซะเถอะ”
“ใครจะไปลืมลง พวกมันไม่ใช่แก๊งค์เด็กขายลูกกวาด แต่พวกมันเป็นแก๊งค์ค้ายาระดับประเทศ ฉันกลัวว่าจะจบไม่จริงน่ะสิ”
เสียงออดหน้าห้องดังขึ้น ประกายดาวเดินไปเปิดก็เจอรปภ.ยืนสีหน้าตื่นเต้นอยู่
“คุณดาวครับ รถของคุณ”
ประกายดาวกับแดนดินแปลกใจ

ประกายดาวกับแดนดินเดินตามรปภ.มาจากด้านในคอนโด ประกายดาวมองไปที่รถของเธอซึ่งมีรอยกรีดรอบคัน ประกายดาวอึ้ง
“ผมออกเวรแล้วกำลังจะกลับบ้าน เดินผ่านก็เห็นมันเป็นแบบนี้ ผมจำได้ว่าเป็นรถของคุณดาวก็เลยขึ้นไปตาม” รปภ. อธิบาย
“ขอบคุณมากค่ะ ว่าแต่ทำไมรถของดาวถึงมาจอดอยู่ข้างนอก”
“พี่จอดไว้เอง” แดนดินบอก
“พี่ดิน ! ทำไมไม่เอาไปจอดข้างใน”
“ถ้าเอาไปจอดข้างในมันต้องแลกบัตร แต่พี่ลืมเอากระเป๋าตังค์มา ไม่มีบัตรให้แลก พี่ขอโต๊ดนะน้องรัก”
“ต่อไปนี้อย่าคิดว่าดาวจะให้ยืมรถอีกเลย คอยดู !” ประกายดาวว่า
แดนดินจ๋อย ประกายดาวเครียด
รติรสซุ่มดูประกายดาวด้วยสีหน้าร้าย

อ่านต่อหน้าที่ 3


ดาวเกี้ยวเดือน ตอนที่ 10 (ต่อ)

ศิวะตกใจ
“คุณจะบ้าเรอะ ! หาเรื่องเดือดร้อนไม่เข้าเรื่อง”
“ฉันเกลียดมัน ถ้าฉันไม่ได้เล่นงานมันคืน ฉันนอนไม่หลับแน่ มันทำให้พ่อฉันถูกจับ ทำให้ชีวิตฉันตกอับขนาดนี้ มันโดนแค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ” รติรส
ศิวะเปิดกระเป๋าเงินแล้วหยิบแบงค์พันหลายใบออกมาส่งให้รติรส
“เอาไปก่อน แล้วผมจะโอนมาให้อีก กินใช้ให้มันประหยัด แล้วก็คิดหางานทำซะ อย่าลืมว่าคุณไม่ใช่ลูกคุณหนูเหมือนเดิมแล้ว”
รติรสเซ็ง “ฉันรู้น่า”
รติรสหยิบกุญแจห้องวางในมือศิวะ
“กุญแจห้องฉัน เขาให้สำรองมาสองชุด คุณเก็บเอาไว้เวลามาหาฉัน แต่คุณต้องระวังตัวให้มากๆ นะ อรเริ่มสงสัยเราแล้ว”
“ผมรู้ ผมถึงมาหาคุณบ่อยๆ ไม่ได้”
รติรสใจหายก่อนจะโผเข้ากอดศิวะ
“ไม่เอา คุณต้องมาหาฉันบ่อยๆ ตอนนี้ฉันไม่เหลือใครแล้ว ฉันมีคุณคนเดียว คุณอย่าทิ้งฉันนะ”
“ถ้าผมคิดจะทิ้งคุณ ผมจะมายืนอยู่ตรงนี้เหรอ”
“ฉันรักคุณนะคะ”
ศิวะยิ้มแล้วกอดรติรสแน่นแต่ลอบทำหน้าเซ็งๆ ขณะที่รติรสอบอุ่นหัวใจเหลือเกิน

ศิวะเดินออกมาจากข้างในตึก ก่อนจะหยุดยืนอยู่ใกล้ถังขยะแล้วแบมือดูกุญแจห้องของรติรส
“เธอเหลือแต่ตัว ผมไม่โง่เลี้ยงคุณไว้เป็นภาระหรอกนะ”
ศิวะโยนกุญแจทิ้ง

จันทร์ภานุเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าซึมเศร้าเมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
ภาพในอดีตย้อนกลับมา ประกายดาวอึดอัดจนพูดออกมา
“ฉันยังไม่อยากพูดอะไรตอนนี้ คุณชายเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะค่ะ”

จันทร์ภานุถอนหายใจเศร้าๆ
“คุณดาว คุณไม่ได้รักผม”

มิลินทร์กับจิตสุภางค์นั่งคุยกับประกายดาว
“ฉันว่าแกต้องไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ครั้งใหญ่แล้วว่ะดาว อยู่ดีๆ ก็มีเรื่องมาหาตัวตลอด” จิตสุภางค์บอก
“ฟาดเคราะห์ครั้งใหญ่ เดี๋ยวจะได้ลาภเป็นสัตว์สองเท้าหน้าหล่อ ผิวขาว หุ่นล่ำแทนไง” มิลินทร์ว่า
มิลินทร์กับประกายดาวหัวเราะคิกคัก
“คุณพงศ์น่ะเหรอ”
“บ้า ! พูดถึงคุณพงศ์แล้วก็สงสาร ฉันไม่ได้อยากจะทำร้ายจิตใจเขาเลยนะ แต่ฉันก็ไม่อยากให้เขามาเสียเวลากับฉัน” ประกายดาวบอก
“เมื่อรักสามเส้าเกิด มันต้องมีคนใดคนหนึ่งเจ็บอยู่แล้ว แกทำถูกแล้วดาว”
“ใช่ ตอนนี้แกก็เดินหน้าใส่เกียร์คว้าคุณชายมาเป็นสามีและพ่อของลูกให้ได้ เชื่อฉัน ไม่ยากหรอก คุณชายเขามีใจกับแกอยู่แล้ว”
“แต่ฉันก็ต้องทำให้เขาเอ่ยบอกปากรักฉันและขอฉันแต่งงานให้ได้” ประกายดาวบอก
“ว่าแต่ทำไมแกไม่บอกเขาไปตั้งแต่เมื่อคืนวะ ว่าที่แกพูดว่าไม่ได้รักเขา แกโกหก”
“ฉันเขิน ฉันเคยบอกรักผู้ชายซะที่ไหน แล้วอีกอย่าง...คุณพงศ์ก็ยืนอยู่ตรงนั้น ถึงฉันจะไม่รักเขา ฉันก็ไม่ใจร้ายพอที่จะทำร้ายจิตใจเขาต่อหน้าคุณจันทร์ภานุหรอก” ประกายดาวบอก
มิลินทร์เตือน “ระวังคุณชายเข้าใจผิดหรอก”
“ฉันถึงต้องบอกความจริงกับเขาให้เร็วที่สุดไง” ประกายดาวบอก

ประกายดาวกับจันทร์ภานุเดินเลือกดูรถกัน จันทร์ภานุมีสีหน้าซึมๆ ไม่ได้สดใสอะไรมากนัก ประกายดาวหันมาสังเกตสีหน้าของจันทร์ภานุ
“คุณชายเป็นอะไรคะ หรือว่ายังระบมแผลอยู่” ประกายดาวถาม
“แผลดีขึ้นมากแล้วครับ”
ประกายดาวยิ้มแล้วพูด “ขอบคุณคุณชายมากนะคะที่เสียสละเพื่อฉัน แถมวันนี้ยังอุตส่าห์เสียเวลามาเลือกรถเป็นเพื่อนฉันอีก”
“ผมดีใจที่เวลามีปัญหา คุณดาวนึกถึงผม”
ประกายดาวยิ้มและมองจันทร์ภานุไม่วางตา
“คุณชายคะ...เมื่อวานที่คุณชายถามฉันว่าที่ฉันพูดว่าฉันไม่ได้รักคุณชาย ฉันโกหกหรือเปล่า ฉันจะบอกว่า...”
โทรศัพท์ของประกายดาวดัง ประกายดาวกดปิด
“รับก่อนก็ได้นะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ดินแค่โทรมาง้อฉันเรื่องรถ พูดต่อนะคะ ฉันจะบอกว่าฉัน...”
ลูกค้าคนหนึ่งเดินเข้ามาดูรถคันนั้น ประกายดาวกับจันทร์ภานุต้องหลบไปอีกทาง
ประกายดาวพูดแก้เก้อ
“ฮ่าๆๆ สงสัยเมื่อเช้าไม่ได้ก้าวเท้าซ้ายออกจากบ้าน ถึงโดนขัดจังหวะตลอด เอาใหม่นะคะ” ประกายดาวบอกกับตัวเอง “ประกายดาวสู้ๆ !”
“คุณดาวไม่ต้องบอกผมก็ได้นะครับ ผมเข้าใจดี”
ประกายดาวดีใจ “คุณชายเข้าใจฉันเหรอคะ”
“ครับ เรื่องบางเรื่องสิ่งที่ตาเห็นทำให้เข้าใจได้ดีกว่าคำพูดซะอีก ผมเข้าใจแล้วว่าคุณคิดยังไงกับผม”
“ขอบคุณมากค่ะที่เข้าใจฉัน ฉันจะได้ไม่ต้องพูด เฮ้อ...อึดอัดแทบแย่”
ประกายดาวยิ้มร่าเริง แต่จันทร์ภานุยิ้มเศร้าๆ เพราะเข้าใจไปว่าประกายดาวจะบอกว่าไม่ได้รักเขา

นันทินีเดินตามพนักงานเข้ามา
“เช็คลมยางแล้วก็ถ่ายน้ำมันเครื่องแถมให้ด้วยเลยแล้วกัน เดี๋ยวถ้าเด็จพ่อจะซื้อรถใหม่ ฉันจะสั่งให้มาซื้อที่นี่ อ่อ...แถมล้างรถให้ด้วยเลยแล้วกัน ฉันไม่รีบ”
พนักงานแอบเบ้หน้าหมั่นไส้ นันทินีมองเข้าไปในโชว์รูมก็เห็นจันทร์ภานุยืนดูรถ
“อุ้ย ! คุณชาย นังดาว ! ใครซื้อรถใหม่”
“คุณดาวค่ะ รถราคาเป็นล้าน คุณดาวจ่ายเงินสดด้วยนะคะ” พนักงานบอก
นันทินีปรี๊ดแตก

จันทร์ภานุเพิ่งกลับมาจากข้างนอกกำลังเดินเข้าห้อง นมพรเรียก
“คุณชายคะ หม่อมต้องการพบค่ะ”
“หม่อมแม่มีเรื่องอะไรหรือครับ”
นมพรไม่ตอบแต่รู้สึกหนักใจ

สุรีย์หน้าตึง
“แม่ไม่คิดเลยว่าชายจะเป็นคนแบบนี้ !”
จันทร์ภานุนั่งอยู่บนโซฟาตรงข้ามสุรีย์ นมพรนั่งอยู่ใกล้ๆ
“อุตส่าห์เกิดมามีชาติตระกูล เรียนจบเมืองนอกเมืองนา มีการศึกษาสูงๆ มีหน้าที่การงานดีๆ แต่กลับปล่อยให้ผู้หญิงหลอก”
“หม่อมแม่ใจเย็นๆ ก่อนครับ หม่อมแม่โกรธอะไรชาย”
นมพรพยักพเยิดไปทางนันทินีเพื่อฟ้องจันทร์ภานุว่านันทินีบอก ขณะที่นันทินีนั่งดูนิตยสารอยู่ๆ ห่างกำลังทำลอยหน้าลอยตาไม่สนใจสิ่งที่หม่อมสุรีย์กับจันทร์ภานุคุยกัน
“คุณนันฟ้องเรื่องอะไรหม่อมแม่” จันทรภานุถาม
“ว้าย ! นันไม่ได้ฟ้องนะคะ นันแค่หวังดีกับคุณชาย”
“ใช่ หนูนันทำถูกแล้ว ไม่อย่างงั้นแม่ก็จะไม่รู้ว่าชายไปลงทุนซื้อรถให้ผู้หญิงคนนั้น” สุรีย์ว่า
จันทร์ภานุพยักหน้าเพราะเก็ทแล้วว่าเรื่องอะไร
“สายข่าวเร็วดีนะครับ”
“นันเห็นกับตาตัวเองค่ะ คุณชายไปเลือกรถกับนัง..เอ๊ย คุณดาว” นันทินีบอก
“ผมก็อยากจะซื้อรถให้คุณดาว แต่เธอไม่ยอม”
นันทินีปรี๊ด “เห็นไหมคะหม่อมป้า คุณชายหลงมัน”
“ชาย แม่ขอสั่งห้ามให้ชายเลิกยุ่งผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คนดี” สุรีย์บอก
“หม่อมแม่เอาอะไรไปตัดสินคุณดาวครับ”
“ผู้หญิงดีที่ไหนจะไปยุ่งกับสามีคนอื่น” สุรีย์ว่า
“หม่อมแม่เคยสอนผมว่า อย่าตัดสินใครถ้ายังไม่รู้จักเขาดีพอ แล้วทำไมหม่อมแม่ถึงตัดสินว่าคุณดาวไม่ดีเพราะฟังคำพูดของคนอื่น”
สุรีย์เถียงไม่ออก
จันทร์ภานุพูดต่อ “สำหรับผมคุณดาวเธอเป็นคนดี กล้าหาญ มีน้ำใจ และที่สำคัญ เธอไม่เคยหวังอะไรจากผม ถ้าหม่อมแม่ไม่มีเหตุผลมากเพียงพอ ผมเลิกยุ่งกับคุณดาวตามความต้องการของหม่อมแม่ไม่ได้หรอกครับ” จันทรภานุเดินออกไป
นันทินีเขย่าแขนสุรีย์
“หม่อมป้าห้ามคุณชายอีกสิคะ”
สุรีย์หนักใจ นันทินีหงุดหงิด นมพรแอบหัวเราะคิกคักด้วยความสะใจ
“ต้องอย่างนี้สิคะ คุณชายของนม”

พงศ์จันทรนั่งซึมอยู่ที่โต๊ะทำงาน มือถือของเขาดัง พงศ์จันทรมองหน้าจอก่อนจะถอนหายใจเซ็งนิดๆ แล้วค่อยรับสายด้วยน้ำเสียงระโหยโรยแรง
“ฮัลโหล”
นันทินีที่แอบคุยโทรศัพท์กำลังร้อนรน แต่พอได้ยินเสียงพงศ์จันทรก็แปลกใจ
“ทำไมเสียงเหมือนคนใกล้ตาย โทรผิดเบอร์หรือเปล่า”
“ถูกแล้ว ผมเอง คุณมีอะไรก็ว่ามา” พงศ์จันทรบอก
“เกิดเรื่องหายนะแล้ว ท่าทางคุณจันทร์ภานุจะหลงเสน่ห์ยัยคุณดาวแล้ว ฉันจะทำยังไงดี”
“ทำใจ”
“อ้าว...ทำไมพูดแบบนี้”
“ผมพูดความจริง ทำใจยอมรับความพ่ายแพ้ซะ เขาสองคนรักกันมาก”
“แต่ฉันไม่ยอมให้คุณชายเป็นของคนอื่น คุณชายต้องเป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น คุณต้องช่วยฉันคิดเดี๋ยวนี้ คิดๆๆ”
พงศ์จันทรประชด “งั้นคุณก็จับคุณชายปล้ำรวบหัวรวบหาง หลอกให้หม่อมแม่คุณชายมาเห็นเข้าใจผิด กดดันให้คุณชายรับผิดชอบคุณเหมือนในละครไปเลยแล้วกัน”
นันทินีกรี๊ดด้วยเหมือนโมโห
“กรี๊ด” นันทินียิ้มร่า “แผนเด็ดมาก ฉันชอบ ไม่เสียแรงที่มีคุณเป็นที่ปรึกษา”
พงศ์จันทรส่ายหน้าพลางคิดในใจว่าอีนี่ท่าจะบ้า
“แล้วพรุ่งนี้ฉันจะโทรไปรายงานข่าวดีนะคะคุณพงศ์” นันทินีบอก
สุรีย์เดินเข้ามาจากทางด้านหลังนันทินี
“หนูนันทำอะไรอยู่จ๊ะ เข้าไปกินของว่างกับป้าเถอะ จะได้ช่วยกันคิดจัดการกับแม่ผู้หญิงคนนั้น”
นันทินีคิดแผนฉับพลัน แล้วก็แกล้งทิ้งตัวล้มลงกับพื้น
สุรีย์ตกใจ “ว้าย ! หนูนัน !”
สุรีย์ปราดเข้าไปหานันทินี
“หนูนันเป็นอะไรจ๊ะ”
“นันเครียดเรื่องคุณชายจนไมเกรนกำเริบค่ะ ปวดหัวมาก” นันทินีรีบบอก “ไปหาหมอไม่หายนะคะ นันต้องได้นอนพักเยอะๆ แล้วมันจะดีขึ้นเอง แต่คืนนี้ไม่มีใครอยู่บ้านด้วย ถ้าอาการกำเริบหนักๆ ตอนกลางคืนคงแย่ นันจะทำยังไงดีน้า...”
“งั้นหนูนันนอนค้างกับป้าที่นี่เถอะนะ ห้องนอนแขกมีว่างตั้งหลายห้อง”
“กราบขอบพระคุณค่ะ”
นันทินีลอบยิ้มร้าย

จันทร์ภานุกดอ่านแชทในมือถือจากประกายดาวที่ส่งมาว่า "ฝันดีนะคะคุณชาย" จันทร์ภานุยิ้มแล้วกดตอบไปว่า "ฝันดีครับ"

ประกายดาวอ่านมือถือแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข มิลินทร์นั่งทาเล็บคุยโทรศัพท์กับแดนดิน
“ลินทร์มานอนเป็นเพื่อนไอ้ดาวแล้ว ไม่มีต้องมีอาวุธค่ะ แค่ลินทร์กรี๊ด มันก็เพ่นแล้ว พี่ดินไม่ต้องห่วงนะคะ”
มิลินทร์วางสายแล้วแซวประกายดาว
“พี่ชายเป็นห่วงน้องสาวแทบบ้า แต่นังน้อยนั่งจีบผู้ชายหน้าระรื่น แล้วนั่งแชทกันไปมา จะได้ผลเหรอ”
“น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน” ประกายดาวบอก
“หยดเข้าไป ชักช้า ระวังจะมีใครเอาน้ำเป็นโอ่งมาสาดใส่คุณจันทร์ภานุ คราวนี้แหละแกอดแน่”
“พูดเลย ไม่กลัว” ประกายดาวยิ้มระรื่น

จันทร์ภานุกำลังจะเข้านอน เสียงเคาะประตูดังขึ้น จันทร์ภานุเดินไปเปิดประตูก็เห็นนันทินียืนสีหน้าร้อนรนอยู่หน้าห้องในสภาพตัวเปียกนิดๆ
“คุณชายคะ ช่วยไปดูก๊อกน้ำในห้องน้ำให้นันหน่อยเถอะค่ะ ก๊อกมันแตก นันเรียกใคร ไม่มีใครได้ยินเลย”
จันทร์ภานุพยักหน้ารับ

นันทินีเดินเร็วนำจันทร์ภานุเข้ามาในห้อง เสียงก๊อกน้ำดังซู่ดังมาจากในห้องน้ำ
“ก๊อกน้ำในห้องน้ำค่ะ”
จันทร์ภานุเข้าไปในห้องน้ำ นันทินีหยุดเดินแล้วมองจันทร์ภานุอย่างมีแผน

จันทร์ภานุที่อยู่ในห้องน้ำหมุนปิดก๊อกเสร็จก็เดินออกมาจากห้องพร้อมพูด
“ก๊อกไม่ได้เสียหรอกครับ แค่หลวมหน่อย เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมให้คนงานมาเปลี่ยน”
จันทร์ภานุเจอนันทินีนอนสลบอยู่บนพื้น จันทร์ภานุเข้าไปดูนันทินีพร้อมเรียก
“คุณนัน คุณนัน”
นันทินียังแน่นิ่ง จันทร์ภานุย่อตัวลงแตะแขนนันทินี
“คุณนัน คุณเป็นอะไร”
จู่ๆ นันทินีก็คว้ามือคุณจันทร์ภานุหมับพร้อมตอบ !
“เป็นว่าที่ภรรยาของคุณชายค่ะ”
นันทินีผลักจันทร์ภานุอย่างแรงจนจันทร์ภานุหงายหลังลงบนพื้น นันทินีกระโดดคร่อมร่างจันทร์ภานุ แล้วกอดเขาไว้แน่น
“คุณนัน คุณทำอะไรของคุณ”
“คุณชายเป็นของนันเถอะนะคะ นันรักคุณชาย”
จันทร์ภานุพยายามปัดนันทินีออกแล้วลุกขึ้น นันทินีกระโดดเกาะจันทร์ภานุเป็นลิง
“นันไม่ให้คุณชายไปไหนทั้งนั้น”
จันทร์ภานุยังไม่ทันตั้งตัวจึงเซล้มไปทางเตียงทำให้นันทินีหล่นลงบนเตียงเต็มๆ
“กรี๊ดด !”

สุรีย์กำลังก้มกราบพระ โดยมีนมพรนั่งอยู่ด้วย ทั้งสองได้ยินเสียงนันทินีกรี๊ดจึงหันขวับไปทางหน้าห้อง

นันทินีนอนแผ่บนเตียง จันทร์ภานุพลิกตัวมาจับแขนสองข้างของนันทินีขึงพืด จันทร์ภานุยิ้มมุมปากชวนหลงใหลมาก
“ผมเชื่อแล้วว่าคุณนันต้องการผมจริงๆ แบบนี้สิ ผู้หญิงที่ผมต้องการ” จันทรภานุบอก
นันทินีไม่ไว้ใจ “คุณชายไม่ได้หลอกนันใช่ไหมคะ”
“ถ้าไม่เชื่อใจกัน ผมไปก็ได้”
นันทินีดึงแขนจันทร์ภานุ
“เชื่อค่ะเชื่อ” นันทินีกระซิบข้างหูจันทร์ภานุอย่างยั่วยวน “เพื่อคุณชาย นันยอมทำทุกอย่าง”
นันทินีจะปลดชุดนอนตัวเอง แต่จันทร์ภานุจับมือนันทินีไว้แล้วพูด
“ไม่ต้อง ผมจัดการเอง”
จันทร์ภานุดันร่างนันทินีลงนอนบนเตียง นันทินียิ้มเซ็กซี่และมองขึ้นไปบนหลังตู้ที่มีโทรศัพท์มือถือตั้งแอบถ่ายอยู่ นันทินียิ้มร้าย
“ชักช้าอยู่ไย มามะ...มาเลย”
จันทร์ภานุยิ้ม

สุรีย์กับนมพรกำลังเดินไปทางห้องนอนนันทินี หญิงนิ่มเดินมาจากอีกทางถามขึ้น
“จะไปไหนกันคะ” หญิงนิ่มถาม
ทั้งสองไม่ตอบ

สุรีย์เปิดประตูเข้ามา นมพรกับหญิงนิ่มตามมาด้วย
“หนู...”
ยังไม่ทันจะเรียก เสียงนันทินีครางก็ดังขึ้นจากในห้อง
“คุณชายขา คุณชายของนัน”
สุรีย์ นมพร และหญิงนิ่มแปลกใจเมื่อเดินเข้าไปในห้อง แล้วทั้งสามก็ตาโตเพราะตกตะลึงที่เห็นนันทินีถูกมัดมือสองข้างขึงไว้กับหัวเตียง มีผ้าปิดตา โดยที่นันทินีกำลังพูดและหัวเราะคนเดียว
“เป็นไงคะ เสียงนันเซ็กซี่ชิมิ”
สุรีย์ นมพร และหญิงนิ่มอ้าปากเพราะสยองกับภาพที่เห็น
หญิงนิ่มหันหน้าไปด้านหลังถึงเห็นจันทร์ภานุย่องออกมาจากหลังประตู จันทร์ภานุยกนิ้วชี้แตะปากให้หญิงนิ่มเงียบๆ แล้วย่องออกไป ขณะที่นันทินียังพร่ำพูดไม่หยุด
“คุณชายอย่าชักช้าสิคะ นันอดใจไม่ไหวแล้วนะ ผีแมวป่ากำลังเข้าสิงนันแล้ว นันอยากข่วนๆๆๆๆ คุณชาย เงี๊ยว”
สุรีย์ทนไม่ไหวจนเซจะเป็นลม
“หม่อม / หม่อมป้า !”
นมพรกับหญิงนิ่มอ้าแขนรับร่างมสุรีย์
“หม่อมป้า ?!”
นันทินีได้ยินชื่อสุรีย์ก็ตกตะลึงแต่ยังมองอะไรไม่เห็นเพราะมีผ้าปิดตาอยู่ สุรีย์สะลึมสะลือฟื้นขึ้น ก็ออกแรงชี้นันทินีทันที
“เอานังผู้หญิงไร้ยางอายคนนี้ออกไปจากวังของช้าน”
นันทินีตกใจ “หม่อมป้า”

นันทินีสะพายกระเป๋าเดินกระฟัดกระเฟียดเพราะทั้งโกรธทั้งอายออกมาจากในห้องจนมาเจอหญิงนิ่มยืนอยู่
“มีปัญหาอะไรมิทราบคะน้องหญิง” นันทินีว่า
“หญิงแค่มาดูให้แน่ใจว่าพี่นันไปหรือยัง หญิงเป็นห่วงสวัสดิภาพของพี่ชายค่ะ”
“น้องหญิงเป็นห่วงสวัสดิภาพของตัวเองดีกว่าค่ะ เล่นกับไฟระวังไฟจะเผาตัวตาย”
“พี่นันพูดอะไร”
“ไม่ต้องอายหรอกค่ะ พี่รู้ น้องหญิงกิ๊กกับคุณพงศ์จันทรอยู่”
“พี่นันพูดให้ดีๆ นะคะ หญิงไม่ได้กิ๊กกับคุณพงศ์”
“ไม่ได้กิ๊ก แต่คุยแชทกันทุกวัน วันก่อนไปไหนกันมาคะ มือถือคุณพงศ์ถึงตกอยู่ในรถน้องหญิง”
หญิงนิ่มไม่เชื่อ “ไม่จริง”
“จริงสิคะ คุณพงศ์ยังโทรมาให้พี่แอบไปเอามือถือของเขาจากรถน้องหญิง สงสัยเขาคงจะกลัวน้องหญิงเจอมือถือ แล้วความจะแตกว่าเขาไม่ได้กิ๊กกับน้องหญิงแค่คนเดียว ถ้าโดนคุณพงศ์เขี่ยทิ้ง โทรหาพี่นะคะ พี่รอสมน้ำหน้าอยู่”
นันทินีสะบัดหน้าเดินออกไป หญิงนิ่มใช้ความคิดอย่างหนัก

หญิงนิ่มเปิดดูหน้าต่างแชทที่คุยกับคุณชายไร้หัวใจแล้วนิ่วหน้าเพราะใช้ความคิดอย่างหนัก
เธอคิดถึงตอนที่กดพิมพ์แชทหาชายไร้หัวใจ แต่เสียงมือถือดังในรถ
เธอคิดถึงตอนที่นั่งอยู่ในร้านอาหารแล้วกดแชทไปหาคุณชายไร้หัวใจ แต่พงศ์จันทรที่อยู่บนเวทีหยิบโทรศัพท์มาดู
เธอคิดถึงตอนที่คุณชายไร้หัวใจถามเธอว่า "คิดออกหรือยังครับ ว่าพี่ชายคุณมีข้อเสียอะไร"
หญิงนิ่มตอบกลับ "ทำไมคุณต้องสนใจกับข้อเสียของพี่ชายฉันจังเลยคะ"
เธอคิดถึงตอนที่พิมพ์ข้อความ "คืนนี้มาทำอะไรสนุกๆ กับว่าที่พี่สะใภ้"
เวลาไม่นาน พงศ์จันทรก็ไปโผล่ที่ร้านอาหาร
“คุณพงศ์ มาได้ยังไง” หญิงนิ่มงง
“ผมรู้ว่าทุกคนสนุกกันอยู่ที่นี่ ผมจะพลาดได้ยังไง”

หญิงนิ่มคิดอย่างหนัก
“นายคือคุณชายไร้หัวใจจริงๆ เหรอ”

มือถือของพงศ์จันทรมีข้อความแชทจากหญิงนิ่มเข้ามา พงศ์จันทรเงยหน้าจากกองแฟ้มเอกสาร แล้วหยิบมือถือมาเปิดดู เขาเห็นไอคอนการ์ตูนดีใจ พงศ์จันทรวางโทรศัพท์ไว้เหมือนเดิมเพราะไม่อยากสนใจ เขานั่งทำงานต่อ ไฟหน้าจอมือถือยังไม่ทันดับ หญิงนิ่มก็ส่งสติ๊กเกอร์ดีใจมาอีกสองครั้ง พงศ์จันทรยังเฉย
หญิงนิ่มที่นั่งแชทอยู่ในห้องนอนสงสัย
“ทำไมไม่ตอบ”
หญิงนิ่มตัดสินใจพิมพ์ข้อความ
บนหน้าจอมือถือพงศ์จันทรขึ้นข้อความอะไรบางอย่าง พงศ์จันทรรำคาญจึงหยิบมือถือขึ้นมาจะกดปิด แต่ตาเหลือบเห็นข้อความเข้าพอดี พงศ์จันทรอ่าน
"ฉันกำลังจะมีพี่สะใภ้แล้ว"
หญิงนิ่มพิมพ์มาอีกว่า "พรุ่งนี้พี่ชายฉันจะขอผู้หญิงที่เขารักแต่งงาน"
พงศ์จันทรอึ้งเพราะถึงจะโดนประกายดาวปฎิเสธมาแล้ว แต่เขาก็อดใจหายไม่ได้ เขาพิมพ์ตอบ ไปว่า "ยินดีด้วย"
หญิงนิ่มตอบ "มายินดีด้วยตัวเองดีไหมคะ ตอนสองทุ่มที่ร้าน..."
หญิงนิ่มพิมพ์ข้อความต่อ "ฉันล้อเล่นค่ะ"
แต่หญิงนิ่มมีแววตามุ่งมั่น ส่วนพงศ์จันทรนิ่งเพราะเศร้า

อภิเชษฐ์กับต้นอ้อนั่งในสวน ต้นอ้อหยิบดอกไม้สดที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมาดมอย่างชื่นชม อภิเชษฐ์แซว
“หิวเหรอ”
ต้นอ้อเซ็ง “ฉันจะมีอารมณ์สุนทรีย์บ้างไม่ได้หรือไง ฉันก็เป็นผู้หญิงนะ”
อภิเชษฐ์เดินเข้าไปหาต้นอ้อแล้วเอาดอกไม้จากมือต้นอ้อมาทัดหูเธอ ต้นอ้อแหงนหน้ามองอภิเชษฐ์แล้วใจเต้นแรงที่ได้ใกล้ชิดเขามากขนาดนี้ อภิเชษฐ์ทัดดอกไม้เสร็จ
“ค่อยเหมือนหน่อย”
“เหมือนผู้หญิงเหรอคะ” ต้นอ้อถาม
“เหมือนคนบ้า ฮ่าๆๆๆ”
“ผู้กอง !”
ต้นอ้อหยิบดอกไม้ปาลงพื้นแล้วมองค้อนอภิเชษฐ์ปะหลับปะเหลือก อภิเชษฐ์มีความสุขได้แกล้งต้นอ้อ จันทรภานุเดินเข้ามาหา
“ไปแกล้งอะไรหมวดต้นอ้ออีกแหละไอ้เชษฐ์” จันทรภานุว่า
“รักหรอกจึงหยอกเล่น” อภิเชษฐ์บอก
ต้นอ้อค้อนอภิเชษฐ์
“แกมีอะไรกับฉัน ถึงมาถึงที่นี่เลย”
“ฉันอยากคุยเรื่องคุณดาว” อภิเชษฐ์บอก
“คุณดาว ? คุณดาวทำไม” จันทรภานุงง
อภิเชษฐ์นิ่งไปอึดใจแล้วพูด
“ทางการสงสัยว่าคุณดาวอาจจะพัวพันกับแก็งค์ค้ายาของคุณปุระชัย”
จันทรภานุอึ้ง!

จันทรภานุโพล่งออกมาอย่างหัวเสีย
“เป็นไปไม่ได้ ถ้าคุณดาวเป็นพวกเดียวกับพวกมัน คุณดาวคงไม่เสี่ยงชีวิตแอบถ่ายรูปมาเป็นหลักฐานมาให้แก แล้วคุณดาวก็เกือบตายเพราะพวกมันด้วย”
“เออรู้ แต่ดันมีคนมาให้ข้อมูลว่าเห็นคุณดาวเจอกับพลอยู่บ่อยๆ คุณดาวก็เลยถูกสงสัย” อภิเชษฐ์บอก
“หมวดต้นอ้ออยู่กับพวกพล หมวดเป็นพยานได้ว่าคุณดาวกับพลไม่ได้สนิทกัน”
“เวลาพลกับเจ้านายไปทำธุระเรื่องยาเสพย์ติด ฉันกับพิมพ์จะถูกห้ามไม่ให้ไป” ต้นอ้อบอก
จันทรภานุเสนอ “งั้นก็ไปถามพลเลยสิ”
“คนพวกนี้พร้อมจะปิดปากเพื่อปกป้องพวกเดียวกัน ยิ่งคุณดาวอาสาช่วยดูแลน้องๆ ให้เขา พลอาจจะปกป้องคุณดาวเต็มที่” อภิเชษฐ์บอก
“คุณชายไม่ต้องห่วงนะ คุณดาวแค่ถูกสงสัย เดี๋ยวถ้าเรารวบรวมหลักฐานได้ว่าคุณดาวไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งค์นี้ ทุกอย่างก็จบ” ต้นอ้ออธิบาย
จันทรภานุเครียด

พงศ์จันทรเดินเอาแผ่นสตอรี่บอร์ดมาวางบนโต๊ะลูกน้อง
“ถ้าคุณออกแบบงานแต่งลูกค้าเรียบขนาดนี้ เขาไม่ต้องมาจ้างเราจัดงานก็ได้”
“ชีวิตรักเขาเรียบมาก ไม่มีอะไรให้เล่นเลยครับ” ลูกน้องบอก
“งานของเรา คือ ทำสิ่งที่ไม่มีให้มันมี ใช้ความคิดสร้างสรรเยอะๆ แก้มาใหม่”
มิลินทร์เดินผ่านมาเห็นพงศ์จันทรก็ตกใจ
“คุณพงศ์ !” มิลินทร์บ่นกับตัวเอง “ไหนว่าวันนี้ไม่อยู่ออฟฟิศไง”
มิลินทร์เอากระเป๋าถือปิดหน้าแล้วพยายามเดินให้ห่างพงศ์จันทร แต่พงศ์จันทรหันมาเห็นพอดี
“คุณลินทร์?”
มิลินทร์ทำท่าเซอร์ไพร้สมาก “อ้าว...คุณพงศ์ ลินทร์แวะมาเอาไฟล์รูปถ่ายวันงานเปิดตัวสินค้าเมื่อวานน่ะค่ะ เชิญตามสบายนะคะ ลินทร์ไม่กวน”
มิลินทร์กำลังจะรีบเดินไป พงศ์จันทรตัดสินใจเรียก
“คุณลินทร์ครับ”
มิลินทร์ชะงักแล้วบ่นพึมพำ
“ไอ้ดาวหาเรื่องให้แล้วไง” มิลินทร์หันมาหาพงศ์จันทรแล้วยิ้มหวาน “คะ ?”
“ผมฝากแสดงความยินดีกับคุณดาวด้วยนะครับ”
“เรื่องอะไรคะ”
“คุณชายกำลังจะทำให้คุณดาวได้สิ่งที่เธอฝันมาตลอด คืนนี้บอกให้คุณดาวแต่งตัวสวยๆ นะครับ เผื่อได้ใช้ฉากสำคัญนี้ในงาน คนจัดงานอย่างผมจะได้มีของโชว์ในงานเยอะๆ”
“คุณชายจะขอดาวแต่งงานเหรอคะ”
พงศ์จันทรยิ้มนิดๆ แทนคำตอบ
“หา ! จริงเหรอคะ”
“เดี๋ยวคืนนี้ก็รู้ครับว่าจริงไม่จริง”
“งะ...งั้นลินทร์ขอตัวก่อนนะคะ” มิลินทร์วิ่งอย่างร้อนรนออกไป
พงศ์จันทรหันไปเห็นสายตาลูกน้องมองเขาเป็นเชิงถามว่าไปบอกเขาทำไม
พงศ์จันทรพูดกับลูกน้อง “ผมเพิ่งอกหักจากคุณดาว ขอขัดขวางความสุขบ้างเถอะ เดี๋ยวพวกเขาก็จะมีความสุขกันไปตลอดชีวิตอยู่แล้ว”

อ่านต่อหน้าที่ 4


ดาวเกี้ยวเดือน ตอนที่ 10 (ต่อ)
ประกายดาวเล่นโยคะพิลาทิสอยู่ในห้อง มิลินทร์รีบร้อนเปิดประตูเข้ามาในห้อง
“ดาว !”
ประกายดาวเล่นโยคะอยู่ในท่าแอดวานซ์มาก ประกายดาวชะงักค้างกลางอากาศแล้วเหลือบมองมิลินทร์

ประกายดาวตกใจ
“คุณชายจะขอฉันแต่งงาน !”
“เยส เสียเวลาทำแผนล่าสเปิร์มอยู่ตั้งนาน รู้งี้ใช้แผนใหม่ของแกตั้งแต่แรก ป่านนี้ฉันก็ใกล้จะได้อุ้มหลานแล้ว”
“คุณพงศ์รู้ได้ยังไง ว่าคุณชายจะขอฉันแต่งงาน”
“เออว่ะ ลืมถาม”
“ฉันว่าคุณพงศ์อาจจะเข้าใจผิดก็ได้ คุณชายไม่เคยบอกรักฉันเลย เขาจะขอฉันแต่งงานได้ยังไง”
“ก็บอกรักปุ๊บ ขอแต่งงานปับไง”
มือถือของประกายดาวดังขึ้น ประกายดาวดูหน้าจอ
“คุณชาย !”
“อ้าย นั่นไง! เขาโทรมานัดแกแล้ว รับสายเลย แต่อย่ากระโตกกระตากให้เขารู้นะว่าเรารู้เรื่องแล้ว”
ประกายดาวห้าว “เออ..รู้น่ะ” ประกายดาวรับสายด้วยเสียงหวานโอเว่อร์ “สวัสดีค่ะคุณจันทรภานุ”
มิลินทร์ตีประกายดาวเพื่อดุว่าให้เธอทำตัวเป็นปกติ ประกายดาวคลำแขนป้อยๆ มิลินทร์เอาหูแนบโทรศัพท์ฟังกับประกายดาว

จันทรภานุคุยโทรศัพท์อยู่สวนของวังนพรัตน์
“คืนนี้คุณดาวว่างไหม ผมอยากไปหานะ ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
มิลินทร์กรี๊ด
“เสียงอะไรครับ”
“คนถูกผีเข้าค่ะ” ประกายดาวตอบ
มิลินทร์ตีประกายดาว
“คุณชายจะคุยกับฉันเรื่องอะไรคะ”
“เอาไว้คืนนี้เราค่อยคุยกันดีกว่า พูดตอนนี้ไม่ค่อยสะดวก” จันทรภานุบอก
“โอเคค่ะ แล้วเจอกันนะคะ” ประกายดาววางสาย
“คุณชายโทรมานัดแกจริงๆ ด้วย ในที่สุดแกก็จะได้ลงจากคานทองนิเวศน์ ดีใจด้วยนะจ๊ะเพื่อนรัก”
“ขอบใจ”
“คุณพงศ์เขาคงตัดใจจากแกได้แล้วเนอะ เขาถึงบอกให้แกเตรียมตัว ว่าไปเขาก็น่ารักดีเหมือนกันนะ”
ประกายดาวยิ้ม

พงศ์จันทรยุ่งกับงานบนโต๊ะ เขาเซ็นเอกสารในแฟ้มเสร็จก็หยิบสตอรี่บอร์ดงานแต่งของลูกค้ามาดู เพื่อให้ไม่คิดถึงประกายดาวกับจันทรภานุ แต่ข้อความจากหญิงนิ่มก็แว่บเข้ามาหลอกหลอนในหัว
เขานึกถึงข้อความที่ว่า "พี่ชายฉันจะขอผู้หญิงที่เขารักแต่งงาน"
"มายินดีด้วยตัวเองดีไหมคะ ตอนสองทุ่ม"
พงศ์จันทรดูนาฬิกาข้อมือ เห็นนาฬิกาข้อมือบอกเวลา 19.30 น.

นาฬิกาข้อมือของหญิงนิ่มก็บอกเวลา "19.30 น" หญิงนิ่มนั่งอยู่ในมุมมืดๆ ของร้านอาหารแห่งหนึ่ง เธอชะเง้อมองไปที่ทางเข้าร้านอย่างรอคอยการมาถึงของพงศ์จันทร

จันทรภานุถือถุงกระดาษใส่ขนมเค้กยืนเคาะประตูห้อง สักพักประตูเปิดออกจากด้านใน จันทรภานุตกตะลึง จันทรภานุมองไล่ตั้งแต่เท้าของประกายดาวขึ้นไปถึงหน้า ประกายดาวอยู่ในชุดเดรสเข้ารูป แต่งหน้าทำผมเรียบๆ แต่ดูดีและสวยมาก
“คุณดาวไปงานมาเหรอครับ” จันทรภานุ
“คะ ?” ประกายดาวนึกได้ว่าจันทรภานุคงหมายถึงการแต่งตัวของเธอจึงรีบพูดแก้ “อ๋อ...เอ่อ...ใช่ค่ะ ฉันเพิ่งกลับมาเมื่อตะกี้นี้เองค่ะ เชิญคุณชายข้างในเถอะค่ะ”
จันทรภานุก้าวเข้ามาในห้อง ประกายดาวปิดประตูแล้วแอบยิ้มตื่นเต้นกับตัวเอง เธอปั้นหน้าเป็นปกติก่อนจะหันหลังเข้าไปในห้อง

ประกายดาวเดินตามจันทรภานุเข้ามาในห้อง จันทรภานุส่งถุงขนมเค้กให้เธอ
“ขนมเค้ก ผมซื้อมาฝาก”
“ขอบคุณมากค่ะ ฉันเอาไปใส่จานให้ค่ะ”
ประกายดาวจะหยิบถุงเอาไปใส่จาน แต่จันทรภานุห้าม
“คุณเพิ่งกลับมาถึงเหนื่อยๆ ผมจัดการให้เองดีกว่า”
จันทรภานุลุกขึ้นถือถุงขนมไปที่ครัว ประกายดาวรีบแชทหามิลินทร์ว่า "เขาเอาขนมเค้กมา" สักพักก็มีข้อความของมิลินทร์ตอบกลับมาว่า "แหวนอยู่ในเค้กชัวร์ !"
ประกายดาวหันขวับไปมองจันทรภานุก็เห็นจันทรภานุวางเค้กลงบนจานอย่างบรรจง
ประกายดาวพูดกับตัวเอง “แหวนในเค้ก ! คุณชายโรแมนติกจัง”
จันทรภานุเดินกลับมาพร้อมจานขนมเค้ก เขาวางจานบนโต๊ะแล้วนั่งลงข้างๆ ประกายดาว ประกายดาวลดโทรศัพท์ลงแล้วพยายามทำตัวให้เป็นปกติ
“น่าทานจังเลยค่ะ”
“น่าทานก็ทานให้หมดเลยนะ เสร็จแล้วเราค่อยคุยกัน”
ประกายดาวตักเค้กเข้าปากแต่ยังไม่เจออะไรผิดปกติ เธอเคี้ยวตุ้ยๆ พลางยิ้มหวานให้จันทรภานุ
ประกายดาวตักเค้กเข้าปากคำโตก็ยังไม่เจออะไรอีก เธอเริ่มคุ้ยเค้กเพื่อจะหาแหวนจนทั้งครีมทั้งตัวแป้งเละไปหมด
จันทรภานุมองงงๆ ประกายดาวเงยหน้าขึ้นมาเห็นสายตาของจันทรภานุก็พูดแก้เก้อ
“เอ่อ...ฉันชอบกินแบบนี้ค่ะ หน้าตาไม่ได้ แต่อร่อยมาก”
“คุณนี่ไม่เหมือนใครจริงๆ”
ประกายดาวตักเค้กเละๆ กิน

ประกายดาวดื่มน้ำ
“วันหลังผมคงต้องกินเค้กแบบคุณดาวบ้างแล้ว ท่าทางจะอร่อยจริงๆ” จันทรภานุบอก
ประกายดาวยิ้มกลบเกลื่อนแต่คิดในใจ
“แหวนไม่ได้อยู่ในเค้ก ก็ต้องอยู่ที่ตัวคุณชาย”
ประกายดาวพูดกับเขา “คุณชายมีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันคะ ฉันพร้อมฟังแล้ว”
“ผมอยากจะถามคุณดาวว่า...”
ประกายดาวลุ้น
“คุณรู้จักกับพลได้ยังไง”
ประกายดาวงง “ว่าไงนะคะ ?”
“ผมถามว่า คุณรู้จักพลได้ยังไง”
“ฉันเจอเขาที่ตลาดคนเดินในเชียงใหม่น่ะค่ะ นี่เหรอคะคือเรื่องที่ชายจะคุยกับฉัน”
“ครับ คุณดาวคิดว่าผมจะคุยกับคุณดาวเรื่องอะไร”
“ไม่มีอะไรค่ะ ว่าแต่คุณชายถามเรื่องพลทำไมคะ”
จันทรภานุยิ้มแต่ไม่ตอบ

พงศ์จันทรทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง เขาตัดสินใจอะไรบางอย่างก่อนจะปิดแฟ้มแล้วลุกออกไป

หญิงนิ่มนั่งเท้าคางคอยพลางดูนาฬิกาข้อมือ นาฬิกาบอกเวลา "21.30 น."
“นายปลาไหลไม่มา แสดงว่าเขาไม่ใช่คุณชายไร้หัวใจ ก็ดีเหมือนกัน” หญิงนิ่มกวักมือเรียกพนักงาน “น้องคะ เช็คบิลค่ะ”
หญิงนิ่มก้มหน้าหยิบกระเป๋าตังค์ในกระเป๋าสะพาย
จังหวะเดียวกันกับที่พงศ์จันทรเดินถือช่อดอกไม้สดเข้ามาในร้าน เขากวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วเดินไปทางหนึ่งซึ่งหญิงนิ่มกับพงศ์จันทรยังมองไม่เห็นกัน
หญิงนิ่มหยิบแบงค์พันจ่ายค่าเครื่องดื่มให้พนักงานแล้วเอ่ยถาม
“ห้องน้ำไปทางไหนคะ”
พนักงานผายมือไปด้านในร้าน
หญิงนิ่มให้เงินแล้วลุกออกไป

พงศ์จันทรถือช่อดอกไม้เดินมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นจันทรภานุกับประกายดาว
“น้อง เห็นผู้หญิงคนนี้ไหม” พงษ์จันทรเข้าไปถามพนักงาน
พนักงานดูรูปแล้วพูด “ไม่เห็นครับ”
“แล้ววันนี้มีใครมาเซอร์ไพร้สขอแต่งงานกันที่นี่หรือเปล่า”
“ยิ่งไม่มีใหญ่เลยครับ”
พงศ์จันทรแปลกใจ เขาพยักหน้าขอบคุณพนักงานแล้วแชทหาหญิงนิ่ม
"แผนเซอร์ไพร้สขอแต่งงานของพี่ชายคุณ เสร็จหรือยังครับ" พงศ์จันทรกด SEND
เสียงเตือนข้อความแชทจากมือถือหญิงนิ่มดังขึ้นใกล้ๆ พงศ์จันทรเพราะตอนนั้นหญิงนิ่มเดินผ่านบริเวณนั้นพอดี แต่ทั้งสองไม่เห็นกันเพราะมีฉากไม้กั้น
พงศ์จันทรหันขวับไปมองทางเสียง หญิงนิ่มหยุดเดินแล้วดูมือถือ
“คุณชายไร้หัวใจ”
หญิงนิ่มอ่านแล้วกดพิมพ์ตอบโดยไม่ได้เอะใจว่าพงศ์จันทรอยู่แถวนั้น พงศ์จันทรกำลังเดินมาเกือบถึงหญิงนิ่ม หญิงนิ่มส่งตัวสติ๊กเกอร์น่ารักๆ ที่ไม่สื่อความหมายอะไรไปให้ มือถือพงศ์จันทร์มีเสียงดัง ข้อความเข้า ทั้งหญิงนิ่มและพงศ์จันทรสะดุ้ง
หญิงนิ่มหันขวับไปทางข้างหลังฉากกั้น หญิงนิ่มแปลกใจจึงกดส่งสติ๊กเกอร์อย่างเร็ว เสียงติ๊งจากข้างหลังฉากดังขึ้นอีก
“คุณชายไร้หัวใจ”
หญิงนิ่มรีบเดินไปข้างหลังฉากกั้นนั้น เธอโผล่พ้นฉากกั้นออกมาก็พบผู้หญิงนั่งตบเติมแป้งพัฟ โดยมือถือของเธอตั้งอยู่บนโต๊ะแต่ไม่มีพงศ์จันทรอยู่บริเวณนั้น
หญิงนิ่มมองผู้หญิงคนนั้น
ผู้หญิงคนนั้นงง “มีอะไรหรือเปล่าคะ”
หญิงนิ่มตอบ “ไม่มีค่ะ”
หญิงนิ่มเดินกลับไป
พงศ์จันทรที่ยืนแอบอยู่หลังเสามองตามหญิงนิ่มแล้วถอนหายใจโล่งอก
“เกือบไปแล้ว”
ข้อความมือถือของพงศ์จันทรดัง พงศ์จันทรหยิบขึ้นมาดูเห็นข้อความว่า "เลว !"
พงศ์จันทรตะลึง พอหันหลังไปก็เห็นหญิงนิ่มยืนถือมือถืออยู่ข้างหลังด้วยสีหน้าโกรธพงศ์จันทรมาก

ภาพเหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมา หญิงนิ่มที่เดินมาดูมองไปที่ลูกค้าหญิงที่กำลังเติมหน้าเห็นพงศ์จันทรยืนแอบอยู่หลังเสาจากกระจกแป้งพัฟ
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีค่ะ”

เหตุการณ์ปัจจุบัน พงศ์จันทรถลาเข้าไปหาหญิงนิ่ม
“คุณหญิง ฟังผมก่อน”
หญิงนิ่มนึกถึงตอนที่เธอพิมพ์ข้อความให้คุณชายไร้หัวใจ
“คุณชายไร้หัวใจ ฉันมีเรื่องสงสัยอยากถาม..การที่ฉันหัวใจเต้นแรง เวลาอยู่ต่อหน้าผู้ชายคนหนึ่ง มันหมายว่ายังไงคะ”
หญิงนิ่มทั้งโกรธทั้งอาย
“ไอ้คนโกหก !”
หญิงนิ่มตบหน้าพงศ์จันทรดังผัวะแล้วเดินออกไป
พนักงานและลูกค้าในร้านมองสองคนนี้เป็นตาเดียวแต่พงศ์จันทรไม่สนใจ
“คุณหญิง !”
พงศ์จันทรเดินตาม

หญิงนิ่มวิ่งร้องไห้ออกมาจากในร้านเพราะรู้สึกโกรธมาก พงศ์จันทรเดินตามเข้ามาดึงแขนหญิงนิ่ม
“คุณหญิง ผมขอโทษ”
“เก็บคำขอโทษของนายไว้เถอะ มันไม่ช่วยอะไรหรอก”
“คุณหญิงจะให้ผมทำยังไง คุณถึงยกโทษให้ผม”
“ใช่สินะ คนอย่างนายทำได้ทุกอย่าง ทำได้แม้กระทั่งลงทุนฝืนใจคุยกับฉัน ทำให้ฉันยอมมอบความรู้สึกดีๆ ให้กับคนที่ฉันไม่เคยเห็นหน้า”
“ผมไม่เคยฝืนใจคุยกับคุณ”
หญิงนิ่มผลักอกพงศ์จันทร
“เลิกโกหกสักทีได้ไหม ! แค่นี้ฉันยังเสียใจไม่พอหรือไง”
หญิงนิ่มร้องไห้โฮจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่
“คุณหญิง..”
พงศ์จันทรแตะแขนหญิงนิ่มแต่หญิงนิ่มสะบัดมือออก
“อย่ามาแตะต้องตัวฉัน ! ที่จริงฉันน่าจะเอะใจมาตั้งนานแล้ว ว่านายคือคุณชายไร้หัวใจ เพราะนายมันคนไม่มีหัวใจ ! เป็นผู้ชายน่ารังเกียจที่สุด ฉันเกลียดนาย ฉันเกลียดนาย”
หญิงนิ่มวิ่งออกไป พงศ์จันทรได้แต่มองตามไปอย่างเศร้าๆ แล้วเตะต้นไม้บริเวณนั้นเพื่อระบายอารมณ์
“โธ่โว้ย !”

หญิงนิ่มเดินเข้ามาในรถแล้วฟุบหน้ากับพวงมาลัยร้องไห้โฮ หญิงนิ่มเงยหน้าขึ้นแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาก่อนจะตัดสินใจเปิดกระจกรถแล้วปาออกไปนอกหน้าต่าง มือถือของหญิงนิ่มกระแทกพื้นจนแตกกระจาย

ประกายดาวเอาจานขนมเค้กเละๆ มาวางตรงที่ล้างจาน ด้วยอารมณ์ที่เพิ่งผิดหวังเรื่องจันทรภานุไม่ได้ขอเธอแต่งงาน ประกายดาวหันกลับมาเจอจันทรภานุยืนอยู่ข้างหลังในระยะที่ใกล้มาก ประกายดาวสะดุ้ง
“อุ้ย!”
ประกายดาวผงะถอย จันทรภานุรวบเอวประกายดาวไว้ ทั้งสองสบตากันอย่างเขินๆ ประกายดาวตั้งหลักได้ก็ถอยออกมาจากจันทรภานุ
“คุณชายมีอะไรหรือเปล่าคะ”
“คุณดาวโกรธผมเรื่องพลหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ เรื่องพล...ฉันบริสุทธิ์ใจซะอย่าง ฉันไม่ซีเรียสหรอกค่ะ”
“แล้วคุณเป็นอะไร ดูคุณเหมือนมีเรื่องไม่พอใจ”
ประกายดาวอึดอัด
“บอกมาเถอะครับ อยากให้ผมนอนไม่หลับหรือไง”
“คุณชายต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่หัวเราะฉัน”
จันทรภานุพยักหน้า
“ฉันคิดว่าวันนี้คุณชายจะขอฉันแต่งงาน”
จันทรภานุงง “ขอแต่งงาน ?!”
“ค่ะ พอดีฉันกับเพื่อนเข้าใจกันนิดหน่อย วันนี้ก็เลยจัดซะเต็ม” ประกายดาวก้มมองชุดตัวเอง
“เค้กเละๆ ก็เป็นหนึ่งในการเข้าใจผิดด้วยหรือเปล่า”
“จะเหลือเหรอคะ น่าอายจัง”
“น่ารักดีออก แต่ถ้าผมจะขอผู้หญิงแต่งงาน ผมไม่เอาแหวนใส่ในเค้กหรอกนะ มันน่ารักเกินไป”
“แล้วคุณชายจะทำยังไงคะ อุ้ย ! ไม่ต้องบอกดีกว่า ถึงเวลาจริง เดี๋ยวฉันไม่เซอร์ไพร้ส”
“คุณยังคิดว่าผมจะขอคุณแต่งงานอยู่อีกเหรอ”
“คุณชายจะพาฉันหนีเลยเหรอคะ”
“ไม่ใช่ แต่ผมจะไปกล้าขอคุณแต่งงานได้ยังไง ในเมื่อคุณไม่ได้รักผม”
ประกายดาวแปลกใจ “ทำไมถึงคิดว่าฉันไม่รักคุณชาย”
“คุณบอกเอง”
“ก็ฉันบอกแล้วไงคะ ว่าวันนั้นฉันโกหก..” ประกายดาวหยุดพูดเพราะคิดได้ “...เอ๊ะ !”
ประกายดาวนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
ประกายดาวพูดกับมิลินทร์ “ฉันเขิน ฉันเคยบอกรักผู้ชายซะที่ไหน แล้วอีกอย่าง...คุณพงศ์ก็ยืนอยู่ตรงนั้น ถึงฉันจะไม่รักเขา ฉันก็ไม่ใจร้ายพอที่จะร้ายจิตใจเขาต่อหน้าคุณจันทรภานุหรอก”
“ระวังคุณชายเข้าใจผิดหรอก” มิลินทร์ว่า
ประกายดาวนึกถึงตอนที่จันทรภานุคุยกับเธอ
“คุณดาวไม่ต้องบอกผมก็ได้นะครับ ผมเข้าใจดี”
ประกายดาวดีใจ “คุณชายเข้าใจฉันเหรอคะ”
“ครับ เรื่องบางเรื่องสิ่งที่ตาเห็นทำให้เข้าใจได้ดีกว่าคำพูดซะอีก ผมเข้าใจแล้วว่าคุณคิดยังไงกับผม”
“ขอบคุณมากค่ะที่เข้าใจฉัน ฉันจะได้ไม่ต้องพูด เฮ้อ...อึดอัดแทบแย่”

ณ เหตุการณ์ปัจจุบัน ประกายดาวถาม
“ที่คุณชายบอกว่าเห็นทำให้เข้าใจกว่าคำพูด คุณชายเห็นอะไรคะ”
“เห็นคุณกับคุณพงศ์ดูสนิทสนมกัน” จันทรภานุบอก
“โถ...คุณชายน่ะ เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว ฉันกับคุณพงศ์เราเป็นแค่เพื่อนกันค่ะ แล้วเราก็จะไม่มีวันพัฒนาเป็นอย่างอื่นได้ด้วย”
ประกายดาวจับไหล่สองข้างของจันทรภานุแล้วมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา
“คุณชายฟังฉันให้ดีๆ นะคะ วันนั้นฉันจะบอกคุณชายว่า ที่ฉันเคยพูด...ว่าฉันไม่ได้รักคุณชาย ฉันโกหก ฉันพยายามปฏิเสธหัวใจตัวเอง เพราะฉันกลัวความรัก ฉันไม่อยากรักใครให้ต้องเสียใจอีก ฉันถึงต้องพูดออกไปแบบนั้น เข้าใจแล้วนะคะ”
จันทรภานุไม่ตอบแต่ดึงประกายดาวมากอดแน่น
“ถ้าคุณรักผม ผมจะไม่มีวันทำให้คุณเสียใจ...ประกายดาว”
จันทรภานุค่อยๆ ดึงประกายดาวออกแล้วจูบเธออย่างดูดดื่ม สักพักทั้งสองจึงผละออกจากกัน แล้วมองตากันอย่างหวานซึ้ง

วันต่อมา จันทรภานุเดินออกมาจากทางด้านในวังจนเจอนันทินีนั่งพับเพียบบนพื้นเกาะขาหม่อมสุรีย์อยู่
“หม่อมป้าต้องเชื่อนัน นันไม่ได้เป็นอย่างที่หม่อมป้าเห็น นันแค่จะลองใจคุณชาย มันเป็นแค่การแสดงเท่านั้น”
“งั้นเธอก็แสดงได้แนบเนียนมาก ไปเป็นดาราซะเถอะ อย่ามาเป็นสะใภ้ป้าเลย”
สุรีย์สะบัดออกจากการเกาะกุมของนันทินีแล้วจะเดินไป
นันทินีคว้าขาสุรีย์หมับ
“หม่อมป้าจะไปไหน !”
สุรีย์ตกใจ “ว้าย !”
สุรีย์เกือบหน้าคะมำ โชคดีที่จันทรภานุปราดมารับไว้ได้ทัน
“หม่อมแม่เป็นอะไรไหมครับ”
สุรีย์ส่ายหน้า
“นันไม่ได้ทำนะคะ หม่อมป้าโกรธจนขาแข้งอ่อน” นันทินีแก้ตัว
สุรีย์เหวอพลางคิดนใจว่านังนี่ไม่เคยยอมรับผิดเลย
นันทินีพูดต่อ “เห็นไหมคะหม่อมป้า "โกรธคือโง่โมโหคือบ้า" เดี๋ยวพอหม่อมป้าหายโกรธ หม่อมป้าก็จะมีสติกลับมาคิดได้เหมือนเดิมว่า...นันเหมาะสมกับคุณชายที่สุด เพราะนันสวย...รวย..ดูดี..มีชาติตระกูล และที่สำคัญ...นันไม่เคยยุ่งกับสามีชาวบ้าน” นันทินีตั้งใจพูดกระทบประกายดาว
“งั้นคุณนันก็ดีเกินไป คุณนันไปหาคนที่เขารักคนดีๆ อย่างคุณนันเถอะครับ เผอิญผมเป็นคนชอบอะไรที่มันพอดีๆ” จันทรภานุพูดกับนมพร “คุณนม ส่งแขก”
จันทรภานุประคองสุรีย์เดินออกไป
“ตะกี้นันพูดแค่มุมดี แต่จริงๆ แล้วนันขี้อิจฉาเป็นบางครั้ง ขี้โม้เป็นบางที นันพอดีนะคะคุณชาย คุณชายฟังนันสิคะคุณชาย คุณชาย !!”
นันทินีร่ำร้องจะเดินตาม แต่นมพรมาขวางหน้า
“ประตูอยู่ทางโน้นค่ะ” นมพรบอก
“ไม่ไป มีไรมะ” นันทินีว่า
“ไอ้ชด ไอ้มิ่งมา "ยก" แขกออกไปทีสิ”
“ไปก็ได้ !”
นันทินีกระแทกเท้าออกไปตัวเปล่าโดยลืมกระเป๋าสะพายทิ้งไว้

จันทรภานุประคองสุรีย์เข้ามานั่ง จันทรภานุก้มลงนวดข้อเท้าให้ สุรีย์ถอนหายใจยาว
“แม่ว่าแม่ดูคนไม่ผิดแล้วเชียวนะ แต่ไหงหนูนันกลับกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้ แต่ก็ดีเหมือนกัน เห็นธาตุแท้กันไวๆ ก็ดี จะได้ไม่หลงผิดเอาเข้ามาร่วมตระกูล เออ..ชาย หนูขวัญลูกสาวคุณหญิงมลิกากลับมาจากเมืองนอก”
จันทรภานุปราม “หม่อมแม่ครับ”
“แม่อยากให้ชายได้ผู้หญิงดีๆ ชายจะได้มีความสุข”
“แต่ถ้าผมไม่ได้รัก ทั้งผมกับเขาจะมีความสุขได้ยังไง”
“ก็ได้ แม่จะยอมให้ชายเลือกผู้หญิงเอง ถือซะว่าแม่ไถ่โทษเรื่องหนูนัน แต่ชายต้องดูให้ดีๆ นะ อย่าคว้าผู้หญิงโกหก สร้างภาพเป็นคนดีอย่างหนูนันมาเด็ดขาด ไม่งั้นแม่นอนตายตาไม่หลับแน่ๆ”
“ครับ หม่อมแม่ก็รู้ว่าชายเกลียดคนโกหก”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น นมพรเดินเข้ามา
“คุณชายคะ คุณเชษฐ์มาหาค่ะ”

นันทินีวิ่งกลับเข้ามามองหากระเป๋าสะพายของตัวเอง แล้วเห็นมันวางอยู่บนโต๊ะจึงรีบวิ่งไปหยิบ
“ถ้าใครรู้ว่าเป็นของปลอม น่าอายกว่าโดนไล่ออกจากวังอีก”
นันทินีกอดกระเป๋าแล้วรีบเดินออกไป

จันทรภานุคุยกับอภิเชษฐ์
“ฉันไปคุยกับคุณดาวมาแล้ว คุณดาวบอกว่าเคยเจอพลแค่ไม่กี่ครั้ง แล้วเรื่องที่เธอคุยกับพลก็มีแต่เรื่องวาดรูป คุณดาวชอบฝีมือวาดรูปของพวกเขา ส่วนกับคุณปุระชัย เธอไม่เคยเจอกันเป็นการส่วนตัวเลย”
อภิเชษฐ์พยักหน้ารับ
นันทินีเดินกอดกระเป๋าผ่านมาเห็นพวกจันทรภานุคุยกันหน้าเครียดๆ นันทินีมองอย่างสนใจ
จันทรภานุพูด “คุณดาวเธอยินดีให้ความร่วมมือเพื่อพิสูจน์ว่าเธอบริสุทธิ์ใจ”
“ไม่ต้องห่วง คุณดาวได้ให้ความร่วมมือแน่” อภิเชษฐ์บอก
“ทำไมวะ”
“เราเช็คประวัติคุณดาวดู แล้วเราก็พบว่าคุณดาวมีทรัพย์สิน ทั้งเงินสด อสังหาริมทรัพย์ รวมๆ กันแล้วก็หลายสิบล้าน” ต้นอ้ออธิบาย
นันทินีตกใจ “ต้าย ! รวยกว่าฉันอีก”
“มันน่าแปลกตรงที่ว่า ครอบครัวคุณดาวมีฐานะปานกลาง พ่อแม่ขายข้าวขาหมู ตัวคุณดาวก็เป็นช่างภาพ เธอไม่น่าจะมีทรัพย์สินมากขนาดนี้ ถ้าคุณดาวชี้แจงที่มาที่ไปของทรัพย์สินไม่ได้ เธอก็จะยังไม่ทันจากข้อกล่าวหาว่าพัวพันกับแก็งค์ค้ายาเสพย์ติด”
นันทินีที่กอดกระเป๋าแอบฟังอยู่หลังต้นไม้เปรยออกมา
“พัวพันแก็งค์ค้ายาเสพย์ติด สนุกจุงเบย...อิอิ”
นันทินียิ้มร้ายอย่างมีแผน

ที่คอนโดประกายดาว จิตสุภางค์โพล่งออกมา
“กรรมสมัยนี้เร็วยิ่งกว่าสามจี ! อยากไปอกหักคุณพงศ์ เลยเจอคุณพงศ์หักหน้าซะเยิน ฮ่าๆ สะใจว่ะ”
ประกายดาวปาหมอนใส่จิตสุภางค์ “ซ้ำเติมกันเข้าไป”
มิลินทร์วางสายโทรศัพท์เดินกลับเข้ามาจากทางระเบียง
“ฉันโทรไปถามคุณพงศ์แล้ว เขาบอกว่า...เขาเข้าใจผิด แล้วก็ฝากขอโทษแกมาด้วย”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก ฉันต้องขอบคุณคุณพงศ์ด้วยซ้ำ ถึงคุณชายจะไม่ได้ขอฉันแต่งงาน แต่ก็ทำให้เราเข้าใจกัน” ประกายดาวบอก
จิตสุภางค์พูดทะลึ่ง “เมื่อคืนแกไม่ขอสเปิร์มเขาเลยล่ะ”
“ฉันไม่ชิงสุกก่อนห่ามย่ะ เดี๋ยววิญญาณเตี่ยม้านอนตายตาไม่หลับ” ประกายดาวบอก
มิลินทร์อ่านข่าวบนมือถือแล้วก็ตกใจ
“เฮ้ย ! ดูข่าวนี่ดิ”
ประกายดาวกับจิตสุภางค์เข้ามาประกบมิลินทร์
มิลินทร์อ่าน " เพิ่งรู้ว่าประกายดาวช่างภาพแสนสวยว่าที่สะใภ้จันทรภานุจะมีทรัพย์สินรวมๆ กันกว่าสิบล้าน ไม่น่าเชื่อว่าอาชีพช่างภาพจะทำเงินได้มากขนาดนี้ อุตะ ! หรือว่านางมีอาชีพเสริมที่บอกใครไม่ได้ คุณจันทรภานุทราบแล้วสืบด่วน ไม่งั้นจะหาว่าเดี๊ยนไม่เตือน"
“มันรู้ได้ไงว่าแกมีสมบัติเยอะ ฉันไม่เคยพูดนะ” จิตสุภางค์ว่า
มิลินทร์รีบบอก “ฉันก็ไม่เคยพูด”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น จิตสุภางค์ที่อยู่ใกล้สุดทำหน้าที่เปิดประตู จันทรภานุพุ่งเข้ามาจับแขนจิตสุภางค์จนแทบจะกอดเพราะคิดว่าคนที่มาเปิดเป็นประกายดาว
“คุณดาว คุณโอเคไหม”
จันทรภานุรีบปล่อยมือจากจิตสุภางค์ แต่จิตสุภางค์เคลิ้มกับสัมผัสของจันทรภานุจึงคว้ามือจันทรภานุหมับ
“โอเคค่ะ โอเคมาก” จิตสุภางค์ตอบ
“ไอ้จิต ฉันจะฟ้องเฮียเชา” ประกายดาวว่า
“ย่ะ ! หวงจริง”
จันทรภานุเดินมาหาประกายดาว
“คุณดาว...ไอ้เชษฐ์มันยังไม่ได้บอกเรื่องทรัพย์สินของคุณกับใคร แต่ไม่รู้ว่าข่าวรั่วไหลออกไปได้ยังไง แต่คุณไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวถ้าคุณไปบอกเชษฐ์ว่าทรัพย์สินคุณมีที่มาที่มายังไง คุณก็จะพ้นจากข้อกล่าวหา”
“คุณชายไม่เชื่อตามข่าวบ้างหรือคะ” ประกายดาวถาม
“ผมไม่เชื่อใคร ผมเชื่อคุณ”
จิตสุภางค์กับมิลินทร์เขินแทน
“ฉันก็ไม่อยากให้คุณชายเสียชื่อเพราะฉัน เราไปหาคุณเชษฐ์ตอนนี้เลยเถอะค่ะ” ประกายดาวบอก

รถจันทรภานุขับเข้ามาจอดหน้าสถานีตำรวจ โดยมีรถของมิลินทร์ตามหลังมา ประกายดาวก้าวลงจากรถของจันทรภานุ มิลินทร์กับจิตสุภางค์ก็ลงมาด้วย เมื่อทุกคนลงจากรถ กองทัพนักข่าวที่ยืนออกันอยู่ด้านหนึ่งหันมาเห็นประกายดาวกับจันทรภานุก็ร้องบอกกัน
“นั่นไง !”
นักข่าวพากันวิ่งกรูกันเข้ามารุมสัมภาษณ์ประกายดาวกับจันทรภานุ
จันทรภานุ ประกายดาว มิลินทร์ และจิตสุภางค์ตกใจ
“มาได้ไงวะ”
“แฮะ..ฉันเผลอบอกยัยจี๊ดเพื่อนเจ้าของ หนังสือพิมพ์ว่าจะมาที่นี่เป็นเพื่อนดาวกับคุณชาย ไม่คิดว่าข่าวจะไวขนาดนี้”
นักข่าววิ่งมาถึงตัวประกายดาว
“ตกลงคุณดาวทำอาชีพเสริมอะไรคะ”
“ดาวมันทำอะไรไม่เป็นหรอกค่ะ นอกจากถ่ายรูป” จิตสุภางค์ตอบแทน
“แล้วคุณดาวมีทรัพย์สินหลายสิบล้านจริงไหมคะ”
“ไม่จริงค่ะ ฉันไม่ได้มีทรัพย์สินเป็นสิบล้าน แต่ฉันมีเป็นร้อยล้าน” ประกายดาวตอบ
ทั้งจันทรภานุและนักข่าวตะลึง
“ร้อยล้าน !”
ประกายดาวยิ้มมั่นใจ

จบตอนที่ 10

กำลังโหลดความคิดเห็น