ปีกมาร ตอนที่ 7
ทางด้านลายสือเดินออกไปท่ามกลางบรรยากาศเงียบ ด้วยกิริยาเหงาๆ ผลึกเดินตามเข้ามา
“มึงน่าจะดีใจนะ ที่ระฆังช่วยไม่ให้มึงปีนต้นงิ้วทัน” ผลึกเริ่มขู่ “มึงจบ...มึงเป็นคนเริ่มต้นมึงต้องขมวดปมให้ได้...เออ..กูเสือก...แต่เพราะอะไรล่ะถ้าไม่ใช่เพราะมึงเป็นเพื่อน”
ลายสืออึกอัก “เอ้อ…”
“ต้องจบ...จบอยู่แค่นี้ ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้ที่นี่ แล้วกลับกรุงเทพฯ ตัวเปล่า ถ้ามึงไม่เลิก....กูก็ไม่เลิก!”
สองหนุ่มต่างมองสบสายตากันด้วยแววตาจริงจัง ลายสือผละไป
ผลึกมองตามไปด้วยความห่วงใย
ฟากสลักกำลังดูให้ละมัยทำงานบ้านอยู่ ภูฉายเดินลงมาท่าทีไม่สบายใจ
“ตาหนูน้ำหนักลดลงนะครับ แม่”
“เด็กกำลังยืดตัวล่ะซี โบราณเขาห้ามทักรู้มั้ย”
“น้ำหนักลดจริงๆ นะครับ ผมชั่งน้ำหนักดูแล้ว มัย”
“คะ”
“มื้อกลางวันส่วนใหญ่ เอาอะไรป้อนตาหนู”
“เอ้อ...”
ละมัยอึกอักมองไปยังสลัก
“ก็พวกต้มๆตุ๋นๆ มีประโยชน์ทั้งนั้นแหละ ถ้าตาหนูน้ำหนักลดก็คงเป็นเรื่องยืดตัว ไม่เกี่ยวกับอาหารหรอกเพราะเรื่องอาหารการกินนี่แม่ดูแลเอง ดูอย่างตอนที่แม่เลี้ยงแกซี ขนาดเลี้ยงด้วยน้ำข้าวแกยังอ้วนปี๋เลย จริงมั้ย..ภู”
“เอ้อ…”
“หรือว่าแกลืม ฮึ”
“เอ้อ....ปละ...เปล่าครับ”
“ดี จำได้ก็ดี จะได้รู้ว่าเรื่องเลี้ยงเด็กน่ะ ไม่มีใครในโลกเลี้ยงได้ดีกว่าแม่ของแกหรอก!”
ภูฉายสบสายตาแม่ เมื่อเห็นหน้าสลักเริ่มไม่พอใจ และมองค้อนไปยังสาวใช้คู่กัด
“ครับ..แม่”
ละมัยแอบถอนหายใจ ทำหน้าเบื่อๆ ระอาสลัก
ขณะเดียวกันในทุ่งหญ้ากว้างไพศาล ลายสือนั่งกอดเข่าเหม่อมองออกไป ด้วยความรู้สึกอันหมองหม่น มองเห็นหมอกกระจายอยู่บางๆ ทั่วไป ศลัยลาสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ ถอดเสื้อคลุมออกมาสวมลงบนไหล่ของลายสือ
“หนาวนะ”
ลายสือวางมือลงบนหลังมือของศลัยลา เมื่อศลัยลากำลังจะชักมือกลับน้ำเสียงและแววตาอ่อนโยน
“อย่าดีกับผมนักเลย เพราะมันจะทำให้ผมลืมคุณไม่ได้ถ้าเราจากกัน”
ศลัยลาชักมือกลับ มีท่าทีหวั่นไหว แต่พยายามกลบเกลื่อน
“ฉันคงมีสัญชาติญาณของแม่อยู่ในตัวเองเพราะฉันเป็นผู้หญิง สวมเอาไว้เถอะ เจ็บป่วยไปคุณจะเสียเวลาเรียนดูคุณหมดสนุกไปเยอะนะ”
“ผมไม่ได้คิดว่าที่ผ่านมาเป็นเรื่องสนุกนะ เรากำลังจะ...ไม่ได้พบกันอีกจริงๆ หรือ”
“อาจจะเป็นยังงั้น หรืออาจจะไม่ใช่ บางที...ฉันกับเขาอาจจะไม่หย่ากันมันมีเหตุผลเยอะแยะ เป็นต้นว่า..ลูก”
“แล้วผมล่ะ ผมไม่มีความหวังที่จะรอคุณเลยหรือ” ลายสือเสียงเศร้า
“ลายสือ ทำไม…”
ศลัยลายื่นมือออกไป สบสายตาของลายสือ ต่างเกี่ยวกระชับมือของกันละกันไว้ ด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ
“ทำไมผู้หญิงคนนั้นต้องเป็นฉัน ต้องเป็นผู้หญิงแก่ๆ อย่างฉัน..ทำไม”
ลายสือกระชากตัวศลัยลาเข้ามากอดไว้ ตะโกนเสียงดัง
“ผม....ผมไม่รู้..ผมไม่รู้..ผมไม่รู้..ผมไม่รู้!”
เย็นนั้นภูฉายเดินลงมาจากภายในบ้านด้วยสีหน้าหมองหม่น ละมัยเดินตามออกมา
“ไม่ทราบจริงๆ หรือคะคุณภู ว่าคุณศลัยจะกลับมาเมื่อไหร่”
“ไม่..ไม่รู้”
“มัยอยากให้คุณศลัยกลับมาเร็วๆ คุณภูล่ะคะ” ละมัยถาม
ภูฉายถอนสายตากลับมาจากละมัย แววตาดูลังเล
“ฉันไม่รู้”
ศลัยลาและลายสือนอนตะแคงมองหน้ากันในดงหญ้า ในบรรยากาศยามเย็นแสนโรแมนติก ลายสือจุมพิตปลายนิ้วของศลัยลาทีละนิ้ว
“นอกจากนี้แล้ว....ผมคงไม่มีสิทธิ์แตะต้องคุณอีก”
“ฉันนับถือความเป็นสุภาพบุรุษของคุณนะลายสือ ยังไม่อยากเห็นมันสูญพันธุ์”
“คุณไม่เปิดโอกาสให้ผมทำสิ่งผิดๆ ต่างหาก”
“ลายสือ...ฉันกลัวใจตัวเอง ฉันกลัว...กลัวว่าฉันจะอดใจไม่ได้ต้องกลายเป็นผู้หญิงแพศยา..เล่นชู้!”
“ผมไม่ปล้ำคุณ ไม่ใช่ผมไม่กล้า แต่ผมยังต้องการเป็นสุภาพบุรุษในสายตาของคุณ แต่…สัญญากับผมสักข้อได้มั้ย”
“อะไร”
“ถ้าคุณหย่าจากเขา...เราจะไม่อดกลั้นตัวเอง สัญญาได้มั้ย...ว่าคุณจะยอมให้ผมปล้ำทันทีที่คุณเซ็นใบหย่า!”
สีหน้าของศลัยลากลับสลดลง
เช้าวันต่อมาภูฉายเดินลงมาจูบสลัก ที่อ่านหนังสือพิมพ์อยู่
“ผมไปทำงานนะครับแม่”
“กลับเร็วๆ นะลูก เย็นนี้แม่จะแกงเลียงหัวปลี”
“ครับ”
ภูฉายเดินออกไป สลักมองตามไปด้วยความชื่นใจ ละมัยวิ่งส่งเสียงนำมาก่อน
“คุณนายคะ น้องหนูเป็นอะไรก็ไม่รู้ค่ะ สงสัยจะท้องเสีย”
“แหม แกก็...ก็ให้กินยาแก้ท้องเสียซี ดีนะภูไปทำงานแล้ว ไม่ยังงั้น...เออ..เสียมากมั้ย”
“เป็นน้ำเลยค่ะ”
“เอ พักนี้ตาหนูท้องเสียบ่อยๆ นะ คงต้องเปลี่ยนนมใหม่”
“แล้วจะให้ทำยังไงกับน้องหนูคะ”
“เปลี่ยนผ้าให้ใหม่ซียะ นังโง่ ไปเร็วๆ เข้าเดี๋ยวแฉะแล้ว กลายเป็นผื่นคัน ภู เขาจะหาว่าฉันเลี้ยงลูกเขาไม่ดี เขาน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แม่เมียเขาน่ะซี...นังศลัยลา”
ละมัยหน้าเจื่อนๆ หันกลับขึ้นชั้นบนไป
สลักถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย ชิงชัง
“นังศลัยลา มันคงหาว่าฉันสกปรก!”
เช้าวันนี้ศลัยลาอยู่ที่สถานีรถไฟอุดรธานี เตรียมเดินทางกลับกรุงเทพฯ กับผจงจิต ส่วนลายสือเดินทางกลับผลึก จงใจแยกตู้เดินทาง ลายสือจับมือศลัยลาไว้ โดยไม่สนใจคนอื่นๆ
“คุณไม่ให้สัญญากับผม ไม่ให้แม้แต่ความหวัง คุณไม่ต้องการให้ผมพบคุณอีก”
“อย่าพบกันอีกเลย ฉันขอร้อง”
“ผมจะพยายาม แต่ผมไม่สัญญากับคุณนะ”
ศลัยลาฝืนยิ้ม
“ลาก่อนนะ ลายสือ”
“ไม่ เราจะไม่ลาจากกัน ตราบใดที่ผมยังไม่ได้ตายจากคุณ!”
ต่างปล่อยมือกันและกัน ผลึกรั้งลายสือออกไป
ผจงจิตรั้งศลัยลาขึ้นรถไฟ ต่างมองกันจนลับสายตา รถไฟเคลื่อนตัวออกไป
ทางด้านภาษิตนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะสนาม นวลนภาดูแลต้นไม้ ภาษิตรำพึงเบาๆ
“ตัวเก็งประธานกลุ่มพิทักษ์สิทธิสตรี นึกแล้วไม่มีผิด....เชอะ”
นวลนภาฉงน “อะไร”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ข่าวน่ะครับ”
“วันนี้ไม่ให้ออกไปไหนนะ อยู่ช่วยแม่ย้ายต้นไม้หน่อยแก่จนรากงอกออกมานอกกระถางแล้ว”
“เห็นมั้ย...มีงานบางอย่างที่ผู้หญิงทำไม่ได้ ต้องใช้พลังที่เข้มแข็งของผู้ชาย เป็นต้นว่า...”
แท็กซี่คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอด ศลัยลาก้าวลง เดินเข้ามาวางกระเป๋าไหว้แม่
นวลนภาดีใจ “ศลัย”
ภาษิตก็ด้วย “พี่ศลัยกลับมาแล้ว”
“อ้าว แล้วทำไมตรงมาที่นี่เลยล่ะ” นวลนภาแปลกใจ
“หนูไม่อยากกลับบ้านค่ะ เพราะกลับไปที่นั่นก็คงไม่พบใคร...ภูเขาไปอยู่บ้านแม่ของเขา แกขนของนี่ขึ้นไปเก็บด้วยนะ หนูไปอาบน้ำนะคะ หนูเหนื่อย”
ศลัยลาเดินเข้าบ้านด้วยกิริยาอ่อนล้า
นวลนภาและภาษิตมองตามไป แล้วจึงกลับมาสบสายตากันอย่างแปลกใจ
เช้านั้นเพียรภมรนั่งทำงานอยู่ ดูเวลาที่ข้อมือแล้วจึงเก็บงานด้วยท่าทีกระฉับกระเฉง
“ฉันมีประชุมตอนสิบโมงนะคะ ฝากดูลูกความคดีละเมิดสิทธิ์ไว้กับคุณด้วยนะ ธุระจำเป็นจริงๆ”
“ได้ค่ะ คุณเพียรนัดลูกความไว้กี่โมงล่ะ”
“สิบเอ็ดโมงครึ่งค่ะ”
เพียรภมรเดินออกไป พนักงานดูเวลาที่ข้อมือขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
เวลานั้นภูฉายเพิ่งกลับจากทำงาน เดินเข้ามาใช้โทรศัพท์
“นั่นจะโทร. ไปไหน”
“จะโทร. กลับบ้านครับ ไม่รู้เข็มได้ข่าวศลัยหรือยัง”
สลักดึงโทรศัพท์ จากมือภูฉายวางลง
“ไม่ต้องรีบร้อนหรอกน่ะ โทร. กลับบ้านน่ะเมื่อไหร่ก็ได้ มีคนใช้เฝ้าบ้านไม่ต้องห่วง มานี่แน่ะ แม่ทำของอร่อยๆ ไว้ให้เหมือนตอนที่แกกลับจากโรงเรียนไง ชิมดูซี ภูชอบมั้ย”
“ขนมขี้หนูหรือครับนี่”
“ใช่ ตอนเป็นเด็กๆ แกชอบ สมัยโน้นมีขายให้เกลื่อน แต่เดี๋ยวนี้แม่ต้องทำเอง โอย ฉันทำทั้งวันจนเมื่อยหลังไปหมด อร่อยใช่มั้ยลูก”
“ครับ...แม่”
ละมัยลอบเบะหน้า ขบขันกึ่งเยาะหยันภูฉาย
อาหารบนโต๊ะ ล้วนเป็นเมนูจากอีสานที่เป็นของฝาก ภาษิตนั่งรับประทานอย่างเอ็ดอร่อย นวลนภากำลังปรุงเครื่องยำ ศลัยลาสวมเสื้อคลุมเดินเช็ดผมลงมา
“หอบมาเสียเยอะแยะ ทั้งที่ราคาพอๆ กับกรุงเทพฯ...อ้อ..ศลัย แม่ยำหมูยอแน่ะ กินอะไรมาหรือยังล่ะ”
“ยังค่ะแม่ หิวจัง”
ศลัยลาหยิบหมูยอเข้าปากเคี้ยว ท่าทีตามสบาย
“นี่ครับ จาน โปรดมีวัฒนธรรมในการรับประทานหน่อยครับ”
“อร่อย ฝีมือไม่ตกเลยนะคะ คุณแม่”
“พบภูฉายหรือยัง เขารู้มั้ยว่าหนูกลับมาแล้ว”
ศลัยลาชะงัก สีหน้าสลดลง
“ยังค่ะ ค่ำๆ หนูจะไปดูลูก”
“แหม แม่อยากไปด้วยจัง ห่วง...”
ภาษิตกระแอมเตือน
นวลนภารู้ตัว “ฉันรู้น่ะว่ามันน่าเกลียด แต่ฉันจะให้ลูกฉันไปคนเดียวได้ยังไง”
“มันคงไม่มีอะไรเลวร้ายกว่าที่เคยแย่ลงหรอกค่ะคุณแม่” ศลัยลาว่า ท่าทีเนือยๆ
“ภูเขาเป็นห่วงหนูนะ เขาเทียวมาถามข่าวหนูตั้งหลายครั้งเราน่ะใจดำไม่ส่งข่าวเขา ส่งข่าวแม่เลย”
“เพื่อนผมก็ไปฝึกงานที่นั่นสองคน พวกโบราณคดีปีสุดท้ายน่ะครับ” ภาษิตเอ่ยขึ้น
แววตาของศลัยลาสลดลง
“แล้วนี่ ต้องกลับไปอีกมั้ย”
“ไม่ค่ะ”
“ดี แม่ไม่อยากให้หนูไปไหนอีก ไปตั้งสามสี่เดือนตาหนูคงโตแล้วละ ลูกน่ะ...ยิ่งห่างก็ยิ่งเป็นอื่นนะ ศลัย”
สีหน้าแววตาของศลัยลาเคร่งขรึม ครุ่นคิดหนัก
อ่านต่อหน้า 2
ปีกมาร ตอนที่ 7 (ต่อ)
เวลานั้นประตูห้องประชุมชมรมสตรีวาระคัดเลือกประธานชมรมคนใหม่เปิดออก ประธานคนใหม่เดินออกมาพร้อมๆ กับคนอื่นๆ ที่ เข้ามาแสดงความยินดีกับประธานที่เป็นคุณหญิงท่านหนึ่ง
“ขอแสดงความยินดีด้วยนะคุณ คุณหญิงขา”
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณในความร่วมมือของทุกๆคนด้วยค่ะ”
เพียรภมรเดินออกมา สีหน้า แววตาผิดหวัง
“เสียใจด้วยนะ ไม่ใช่คุณวุฒิของคุณไม่เหมาะสม แต่เป็นเพราะว่าคุณยังใหม่กับสมาคมอยู่ ตำแหน่งเลขาฯ ท่านประธาน คุณก็สามารถทำประโยชน์ให้กับผู้หญิงอีกมากนะคะ” เพื่อนปลอบ
“ขอบคุณค่ะที่ให้กำลังใจ”
ประธานหันมาหา “อ้อ หนู ฉันดีใจด้วยนะ ที่ได้หนูมาเป็นกำลังของพวกเรา”
เพียรภมรหน้านิ่ง “ค่ะ”
“คงต้องขอให้หนูช่วยส่วนงานจากคณะกรรมการกลุ่มเก่า...มีทนายความหญิงทำงานของกลุ่มแบบนี้ ฉันอุ่นใจนะ เพราะฉันเชื่อในความสามารถของคุณเพียรภมร”
“ขอบคุณค่ะ”
เพียรภมรยิ้มออก กวาดสายตายิ้มให้ทุกคน
ทางด้านสลักแต่งตัวเดินลงมา ภูฉายเดินตามมา
“นี่ ฉันไม่ค่อยสบาย จะไปหาหมอนะ ถ้าน้องหนูตื่นแกเอาอาบน้ำแต่งตัวก่อนป้อนข้าวนะ”
“ฉันจะรีบกลับ” ภูฉายบอก
“รีบได้ยังไง ต้องแวะซื้อของ ไหนๆ ก็ออกนอกบ้านแล้วออกเสียทีเดียวเลย จะไม่ไม่สิ้นเปลือง ไป ภู”
“ครับ”
สลักและภูฉายเดินออกไป ละมัยมองตามไป เสียงร้องของเด็กดังจ้าขึ้น
“น้องหนูร้องแล้ว”
ละมัยกระวีกระวาดขึ้นบันไดไป เสียงเด็กน้อยร้องจ้ายังคงดังระงมอยู่
ส่วนศลัยลาเดินมาอย่างรวดเร็ว ตรงไปยังรถยนต์ด้วยสีหน้าเครียดหนัก นวลนภากับภาษิตวิ่งตามมาอย่างห่วงใย
“ไปคนเดียวได้จริงๆ หรือ”
“ได้ค่ะ คุณแม่ทำเหมือนหนูกำลังจะไปสู้รบปรบศึก”
“ก็ท่าทางพี่ศลัยเอาเรื่องยังงี้ คุณแม่ก็ไม่ไว้ใจน่ะซีครับ”
“อย่าให้มีอะไรรุนแรงนะ ค่อยพูดค่อยจากันนะลูก”
“ค่ะ คุณแม่เตรียมจัดห้องไว้ให้ตาหนูเถอะค่ะ”
ศลัยลาขับรถยนต์ออกไปสีหน้านวลนภาและภาษิตตกใจ
“จัดห้องให้ตาหนู หมาย...หมายความว่า....”
สีหน้าแววตาของนวลนภาตื่นตะลึง
ที่บ้านสลักเวลานั้น เด็กทารกร้องไห้จ้า ละมัยพยายามอุ้มปลอบแต่ก็ไม่หยุด จนละมัยพลอยร้องไห้ไปด้วย
“โธ่ น้องหนู อย่าร้องไห้ซีคะ โอ๋ แต่ช้าแต่ เขาแห่ยายมาพอถึงศาลาเขาก็วางยายลง..น้องหนู...โอ๋...อย่าร้องค่ะ อย่าร้องนะคะ”
ศลัยลาเปิดประตูเข้ามาอย่างรีบร้อน
“น้องหนูเป็นอะไร มัย ทำไมร้องยังงี้ล่ะ”
“คุณศลัย..มาแล้วหรือคะ หนูไม่รู้ค่ะ ตื่นก็ร้องเลย”
“ลูกแม่ แม่กลับมาแล้วละลูก น้องหนู...น้องหนูจ๋า นี่แม่นะลูกน่ะ”
ลูกน้อยค่อยๆ เงียบๆ เสียง ศลัยลาโอบกอดลูกไว้ น้ำตาคลอดวงตา
“เงียบจริงๆ ด้วย คงรู้ว่าคุณศลัยเป็นแม่”
“คุณแม่ล่ะ”
“ออกไปข้างนอกค่ะ เห็นว่าไปหาหมอกับคุณภู น้องหนูไม่ค่อยดีเลยค่ะ ผอมแล้วก็ร้องโยเยทั้งวัน”
“เก็บของน้องหนูเท่าที่จำเป็นนะ” ศลัยลาบอก
“คุณศลัย คุณ...”
“เก็บของน้องหนูเท่าที่จำเป็น ฉันจะพาลูกไปรอข้างล่าง”
ศลัยลาอุ้มลูกเดินออกไป
“น้องหนู..รอดแล้ว!”
ละมัยรีบลนลานเก็บของเด็กอย่างดีใจ
ลายสือเดินเหงาๆ ออกมาหน้าประตูมหา’มหาลัย เห็นแหมวยืนรออยู่
“พี่ลายสือ กลับมาแล้วหรือคะ”
ลายสือมองอย่างเฉยเมย ถามเหมือนเสียไม่ได้
“ทำไมเรารู้ล่ะ”
ผลึกเดินออกมา
“กูเป็นคนบอกน้องแหมวเอง เห็นมึงเก็บตัวอยู่แต่ในคณะน้องแหมวมีธุระกับมึง”
“ธุระอะไร”
“คุณพ่อต้องการพบพี่ลายสือค่ะ”
สีหน้าแววตาของลายสือเต็มไปด้วยความลำบากใจ
เวลาต่อมาศลัยลาอุ้มลูกลงมายังรถยนต์ ละมัยหิ้วของใช้ตามมา จู่ๆ รถยนต์ของภูฉายเล่นเข้ามาจอด สลักรีบลงมาส่งเสียงเอะอะ
“นั่น...นั่นจะเอาตาหนูของฉันไปไหน นังศลัย”
ภูฉายดีใจ
“ศลัย คุณกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ”
“นี่ถ้าแม่ไม่นึกขึ้นมาได้ว่าลืมกระเป๋าเงินละก็ มันต้องขโมยตาหนูไปแน่ๆ เอามานี่..เอาหลานฉันคืนมา”
ศลัยลาจ้องตาแม่ผัว “แต่ตาหนูเป็นลูกของหนูนะคะ”
“ตาหนูเป็นหลานของฉัน ฉันเลี้ยงมากับมือ” สลักจ้องหน้า
ภูฉายพยายามประนีประนอม “ศลัย...ผมขอร้อง....อย่า...”
“คุณนั่นแหละหยุด...ฉันต้องการลูกไปเลี้ยงเอง”
“ไม่ได้ ฉันเลี้ยงตาหนูมาตั้งแต่เกิด ให้คนอื่นเลี้ยงได้ยังไงแกนี่มันน่าตบจริงๆ นะนังมัย แกสมรู้ร่วมคิดกับมันแย่งหลานฉันหรือ”
“เอ้อ...ก็....ก็คุณศลัยเป็นแม่นี่คะ คุณนาย” ละมันบอก
“แต่ฉันเป็นย่า ภู เอาลูกไปข้างบน” สลักตะแบง
“ศลัย ส่งตาหนูให้ผมเถอะ แล้วค่อยตกลงกันทีหลัง นะ ...ศลัย”
ศลัยลามองภูฉายด้วยความรู้สึกขมขื่น ส่งลูกให้
“ได้ คุณเอาตาหนูไป แต่ฉันไม่มีเวลาตกลงกับคุณทีหลัง”
“ดี ฉันไม่มีเวลาพูดกับแกเหมือนกัน” สลักฉุนมาก
“เอาตาหนูไปคืนให้หนูนะคะคุณแม่...”
ศลัยลาก้าวมาหยุดตรงหน้าสลัก บอกต่อด้วยน้ำเสียงและแววตาจริงจัง เด็ดเดี่ยว
“แล้วหนูจะเอาภูฉายใส่ถาดประเคนคืนคุณแม่!”
ศลัยลาเดินออกไปเลย สลักและภูฉายต่างตื่นตะลึง
ฟากลายสือและผลึกกวาดสายตาไปทั่วบ้านหลังใหญ่ เห็นผู้ว่าฯ และคุณดารา ภรรยา แม่ของแหมวนั่งอยู่ตรงหน้าทั้งสอง ท่าทีภรรยาเป็นผู้หญิงใจดี
“พ่อซื้อบ้านใหม่ อยากให้แกย้ายมาอยู่กับน้อง จะได้ช่วยดูแลน้องอีกสองสามคนที่ต้องเรียน พ่อคงเกษียนฯปีหน้าก็ว่าจะหาที่ทางอยู่ทางเหนือ ไม่ลงมาอยู่กรุงเทพฯ” ผู้ว่าฯบอก
แหมวยกน้ำมาให้ แล้วนั่งกอดเอวแม่ไว้ ท่าทีอบอุ่นทั้งแม่และลูก สองคนไม่รู้ว่านั่นเป็นภาพที่ก่อให้เกิดความสะเทือนใจแก่ลายสือ
“กรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้ก็ไม่น่าอยู่หรอกครับคุณพ่อ มาเรียนกับมาทำงานหาเงินน่ะดีครับ” เห็นลายสือนิ่ง ผลึกตอบแทน
“มาอยู่กับน้อง อาจะได้สบายใจว่าเด็กๆ มีคนดูแล” ดารายิ้มบอก
“เห็นจะไม่หรอกครับ” ลายสือตอบ
“ทำไมล่ะ” ผู้ว่าฯงง
“ไม่ต้องเกรงใจอานะ อาก็ไม่ได้คิดว่าลายสือเป็นคนอื่น คิดว่าเป็นลูกของอา” ดาราว่า
ลายสือลุกขึ้นยืนทันที ผลึกร้อนใจที่เห็นกิริยากระด้างกระเดื่องของลายสือ
“ขอบคุณครับที่เอ็นดูผมเหมือนเด็กๆ ผมกลับละครับคุณพ่อ”
ลายสือเดินดุ่มๆ ออกไป ผลึกรีบวิ่งตาม
ผู้ว่าฯ และภรรยาลุกขึ้นยืนมองตามไปอย่างกังวล
“อ้าว แล้วกัน” ผู้ว่าฯพึมพำ
สีหน้าแววตาของแหมวทั้งผิดหวังและเสียใจ
“พี่ลายสือ”
ศลัยลานั่งอยู่ที่ชิงช้า หน้าบ้าน ท่าทีเหงา ซึม เข็มวิ่งผ่านไปเปิดประตูรับรถยนต์ของภูฉาย
“คุณศลัยคะ คุณภูมาค่ะ”
ศลัยลานิ่งเฉย เข็มเข้าบ้านไปแล้ว ภูฉายเดินเข้ามานั่งลงใกล้ๆ บนชิงช้าตัวเดียวกัน
ศลัยลายังคงเฉยเมยเย็นชา
“ผมขอร้องนะศลัย เรื่องลูก...อย่าเพิ่งเอาแกไปได้มั้ย”
“ทำไม” ศลัยลาเสียงแข็ง
“แม่รักตาหนูมาก จะให้ตาหนูจากท่านไปได้ยังไง...ผมขอเวลาให้ท่านบ้าง”
“คุณต้องการเวลานานแค่ไหน”
“นานที่สุด...ผมจะพยายามค่อยๆ แยกตาหนูไปจากแม่...แต่...แต่มันต้องใช้เวลา”
แววตาของศลัยลามองภูฉายอย่างขมขื่น
“กี่ปีคะ...ยี่สิบหรือสามสิบปี ก็ได้...เอาสักสี่สิบปีเป็นยังไงแต่แม่ของคุณจะหนังเหนียวอยู่ได้นานขนาดนั้นหรือ หรือถ้าอยู่ได้ ลูกของฉันก็คงกลายเป็นผู้ชายอย่างคุณ!”
ศลัยลาลุกขึ้นยืน ถอยก้าว อย่างรังเกียจ ภูฉายก้าวตามมา สีหน้าตื่นตระหนก
“ศลัย”
“ฉันพร้อมจะหย่ากับคุณแล้วละ ภู”
“ศลัย ผมรักคุณนะ”
“ฉันจะให้เวลาคุณหนึ่งเดือน เมื่อฉันหย่าฉันจะเอาลูกไปเลี้ยงเอง ถ้าคุณกับคุณแม่คุณไม่ยอมให้ลูกฉันดีๆ ฉันจะฟ้อง...เอาซีคะภู ฉันเป็นแม่ตาหนูน่ะ ฉันฟ้องแน่”
ศลัยลาสะบัดหน้าเข้าบ้านไป สีหน้าแววตาของภูฉายตื่นตระหนกตกใจมาก
อ่านต่อหน้า 3
ปีกมาร ตอนที่ 7 (ต่อ)
คืนนั้นลายสือเดินอยู่อย่างโดดเดี่ยวริมถนนราชดำเนิน ท่าทางสับสน เปลี่ยวเหงาอย่างหนัก ผลึกยืนกอดอกพิงต้นเสาไฟ ยืนมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเดินเข้ามา
“แกรู้มั้ย...แกทำไม่ถูก แกปฏิเสธความหวังดีของผู้ใหญ่...แล้วผู้ชายคนนั้นก็เป็นพ่อของแก”
“ฉันเหนื่อย...ฉันล้า...ฉันสับสน...ฉันไม่รู้จะทำตัวยังไง ฉันอยากมีความสุขเหมือนเมื่อก่อน เป็นอะไรก็ได้ที่เป็นฉันเอง ไม่ใช่ไอ้บ้า...ไอ้หมาขี้เรื้อน”
ลายสือตะโกนด่าตัวเองอย่างคลุ้มคลั่ง
“ไอ้โง่...ไอ้วายร้าย...ไอ้เฮงซวย...แล้ว...แล้วก็...”
ผลึกด่าเป็นชุด ลายสือหันไปสบสายตาของผลึก
“ไอ้งั่ง!” คำด่าสุดท้ายที่ผลึกมอบให้
“ใช่ ไอ้งั่ง…”
ลายสือรับด้วยหน้าเศร้าหมอง ท่าทีสงบลง เดินออกไปกลางถนน ป้องปากตะโกน
“ศลัยลา....ผมรักคุณ...ผมรักคุณ..!”
ผลึกยืนกอดอกมองท่าทีบ้าบอของลายสือพลางส่ายหน้าอย่างหนักใจ
วันหนึ่งประตูสำนักงานทนายความเปิดออก ศลัยลาก้าวเข้ามาด้วยท่าทีเหนื่อยล้าในชีวิต
เพียรภมรรีบเข้ามาประคอง
“พี่ศลัย พี่เป็นอะไรน่ะ นี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไร แค่เหนื่อย...เหนื่อยน่ะ”
“มานั่งนี่ก่อน เดี๋ยวเพียรหาอะไรเย็นๆ ให้ดื่ม ท่าทีพี่ไม่ใช่แค่เหนื่อยนะคะ พี่ศลัย”
เพียรภมรหาน้ำเย็นให้ศลัยลาดื่ม ท่าทีห่วงใย
“เพียร...อย่าให้ฉันกลับบ้านคนเดียวนะ...ฉัน...ฉันกลัว!”
เพียรภมรจ้องหน้า “พี่กลัวอะไร”
“ฉัน...”
สีหน้าแววตาของศลัยลาปวดร้าวเหลือเกิน พยายามตัดความรู้สึกรักใคร่คิดถึงลายสือออกไปอย่างหนัก
“ฉันกลัวตัวเอง..!”
หลังจากนั้นไม่นาน นวลนภาเดินมาส่งเพียรภมรที่รถยนต์ ภาษิตเดินตามมาห่างๆ
“ขอบใจมากนะหนู ที่พาศลัยมาส่งที่นี่ พักนี้ไม่ค่อยสบายใจเรื่องในครอบครัวน่ะ ก็ดี กลับไปบ้านโน้นก็ต้องอยู่คนเดียวเพราะภูเขาไปอยู่กับแม่ของเขา”
“หนูกลับเลยนะคะคุณแม่ ค่ำแล้ว แล้วหนูจะมารีบมาดูพี่ศลัยใหม่”
“ขับรถดีๆ นะลูกนะ”
“ค่ะ”
เพียรภมรปรายตาชำเลืองมองมายังภาษิตแวบหนึ่ง ก่อนขับรถยนต์ออกไป
นวลนภารีบเข้าบ้าน ภาษิตมองตามเพียรภมรไปด้วยสีหน้า แววตาครุ่นคิด
คืนนั้นศลัยลานอนอยู่ที่เก้าอี้ยาว นวลนภาเช็ดหน้าให้ด้วยผ้าเย็น สักครู่หนึ่งศลัยลาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ภาษิตเดินมายืนที่ประตู ท่าทีไม่สบายใจ
“ศลัย เป็นยังไงมั่งลูก”
ศลัยลาเสียงสั่นสะท้าน “ภูเขาขอเวลาค่ะแม่ หนูให้เวลาเขาเดือนนึงถ้าเขาไม่ยอมคืนลูกให้หนู หนูจะฟ้องหย่า”
ภาษิตหงุดหงิด ไม่พอใจ “มิน่าล่ะ...ท่านทนายใหญ่ท่านถึงได้มาส่งลูกความในอนาคตถึงที่นี่!”
“ไม่มีทางตกลงกันด้วยดีหรือลูก” นวลนภาทอดเสียงอ่อนโยน
“มันก็ต้องแล้วแต่แม่ของเขาค่ะ คุณแม่...กอดหนูไว้ซีคะ กอดหนูไว้ หนูไม่อยากทำอะไรผิดๆ”
นวลนภาสบสายตาของภาษิตอย่างงุนงง ศลัยลาเริ่มร้องไห้
“กอดหนูไว้แน่นๆ อย่าให้หนูกลัวอย่างที่หนูกำลังกลัว...หนูกลัวการมีชู้ค่ะคุณแม่ กอดหนูซีคะ”
นวลนภากอดศลัยลาไว้แน่น ด้วยอาการปลอบโยน
ภาษิตมองพี่กับแม่ด้วยสีหน้าแววตาแปลกใจ
ฟากลายสือนอนก่ายหน้าผากทุกข์ตรอมอยู่ในห้องที่หอพัก ผลึกกับจืดค่อยๆ เปิดประตูเข้ามา ย่องเข้ามาอย่างระวัง
“ดูให้แน่ๆ ก่อนโว้ยไอ้จืด มันตาขวางอยู่หรือเปล่า”
“มันตาเหล่ว่ะ ตาเหล่นี่ถือว้าบ้าได้มั้ย” จืดว่า
“สือ ไอ้สือโว้ย ขอพ่อวัดปรอทหน่อยได้มั้ยวะ”
“อ้าปากขึ้น....ว้า...มันไม่ยอมว่ะ งั้นเอาเหน็บที่จั๊กกระแร้มันก็ได้” จืดบอก
“ขอพ่อตรวจระดับความร้อนในร่างกายหน่อยนะ จะได้ส่งโรงพยาบาลถูก ว่าไปโรงพยาบาลปากคอตาจมูกดี หรือว่าไปโรงพยาบาลบ้าดี” ผลึกว่า
ลายสือตะโกนไล่ทั้งสอง
“ไป อย่ามายุ่งกับกู ชีวิตกู อนาคตกู พวกมึงไม่เกี่ยวโว้ย...ไป ออกไปให้หมด”
ลายสือไล่เตะทั้งสองออกไปจากห้อง
คืนนั้นภูฉายเมามาเพราะดื่มหนัก เดินเซเข้ามาในบ้าน ละมัยตะโกนเรียกสลัก
“คุณนาย คุณนายคะ คุณภูเมามาค่ะ”
สลักวิ่งลงมา เห็นสภาพลูกชายก็โมโหปนตกใจ
“ต๊าย...ภู ไปกินเหล้ามาหรือ แม่ตีไม่รู้จักจำหรือยังไง เขาคงเสียใจที่เมียขอหย่า เอาน้ำเย็นมาเร็วๆ นังมัย”
“ค่ะ”
“ภู ภูฉาย”
“แม่....แม่...”
“แม่อยู่นี่ ภู”
ภูฉายกอดสลักร่ำไห้เหมือนเด็กๆ
“อย่าทิ้งผมไปนะ อย่าทิ้งผม เหมือนที่ศลัยกำลังจะทิ้งผมไป...อย่า..อย่านะ...แม่”
“ภู โธ่ แม่ไม่เคยทิ้ง...แกเลยนะ ทำไมแกต้องทำร้ายตัวเองกับอีแค่ผู้หญิงคนเดียว..ภู....โธ่ ภูฉาย”
สลักกอดภูฉายไว้ด้วยความรักและหวงแหน
ภาษิตขับรถยนต์ให้นวลนภานั่งมา รถยนต์ติดไฟแดงแห่งหนึ่ง โดยมีจืดและผลึกขับมอเตอร์ไซค์มาเทียบจอด
ผลึกเห็นร้องเรียก “ไอ้ษิต..กำลังอยากพบมึงอยู่เลยว่ะ”
“เฮ้ย” ภาษิตดีใจ “กลับมาแล้วหรือวะ ไม่เห็นซื้ออะไรติดไม้ติดมือมาฝากมั่งเลยนะ ตัวเอง”
“ลำพังไอ้ผลึกมันยังอดมื้อกินมื้อเลยว่ะ กูอยู่หอเดียวกับมันยังกินปลากระป๋องแทบทุกวัน” จืดว่า
“ไปดูอาการไอ้สือหน่อยซีวะ” ผลึกบอก
“มันเป็นอะไร” ภาษิตฉงน
“เฮ้อ แย่ว่ะ”
“ตายเรอะ!”
นวลนภาตกใจ เมื่อเห็นท่าทีเศร้าหมองของจืดและผลึก
ทั้งสองรีบยกมือไหว้ลานวลนภา พลางทำหน้าเจื่อนๆ
“อ้าว คุณแม่ สวัสดีครับ นี่เพื่อนผมเองครับอยู่หอเดียวกันมันชื่อไอ้จืด อ้าว เฮ้ย..ไฟเขียวแล้วว่ะ ไปละโว้ยเพื่อน”
“แล้วค่อยเจอกันโว้ย เพื่อน”
ไฟเขียวพอดี ผลึกกะจืดแยกไปด้วยความเร็ว
“อ้าว ไปแล้ว เลยไม่รู้ว่าไอ้สือมันเป็นอะไร”
“เฮ้อ...โชคดีนะที่พวกนี้ยังจำได้ว่าฉันเป็นแม่ของแก”
ภาษิตทำหน้าเบะๆ ล้อเลียน ก่อนขับรถยนต์ออกไป
ส่วนภูฉายเดินลงมาด้วยอาการปวดศีรษะ
“เอายาให้คุณภูสองเม็ด ยาแก้ปวดน่ะ” สลักบอกละมัย
“ค่ะ”
“กินยาซะ นี่ถ้าไม่คิดว่าแกกำลังบ้านแตกสาแหรกขาดละ แม่ตีแกไปแล้วเมื่อคืน รู้มั้ยแม่นั่งเฝ้าแกทั้งคืนเหนื๊อย..เหนื่อย”
“ศลัยขอหย่าจากผมครับแม่”
“แกก็หย่าเสียก็สิ้นเรื่อง หย่าซะ เรื่องลูกแม่กำลังหาทางแก้ไขอยู่ แม่ต้องช่วยให้แกเป็นฝ่ายได้ลูกไว้”
“นี่ผมต้องสูญเสียศลัยลาไปจริงๆ หรือครับแม่”
“แกยังไม่รู้อีกหรือภูฉาย..แกน่ะ..สูญเสียศลัยลาไปตั้งนานแล้ว รู้ตัวมั้ย..แกเสียเมียไปตั้งนานแล้ว เหลือแต่แม่..แม่..แม่!”
สีหน้าแววตาของภูฉายปวดร้าวเหลือแสน
ที่หอพักนักศึกษา จืดกะผลึก นั่งทำกับข้าวแบบง่ายๆ กันอยู่ โดยมีปลากระป๋องเป็นวัสดุหลักเสียงกริ่งที่ประตูดังขึ้น
“เจ้าหนี้ใครมา คนนั้นไปเปิดโว้ย”
ลายสือเปิดประตูเข้ามาพร้อมภาษิต
“ไอ้พวกนี้มันบอกว่าอาการของมึงกำลังหนักเข้าขั้นบ้า” ภาษิตหันมาทางลายสือ
“กูพยายามวัดปรอทแล้วนะ แต่ว่า...” ผลึกตั้งท่าจะเล่า
จืดขอแจมทันที “ปรอทแตกเพราะมึงไล่เตะกูสองคน”
“เห็นมั้ย...ดูหน้ามันซี หน้าดำคล้ำยังงี้มีหวังต้องใส่ซองเป็นร้อยว่ะ ใส่สี่ซ้าห้าสิบเดี๋ยวเจ้าภาพด่า ไม่คุ้มค่าน้ำหวานกับข้าวต้ม”
ลายสือถาม “ใครหิวมั่งวะ”
ผลึกยกมือ
“กู”
“กู” จืดยกตาม
“กูด้วย” ภาษิตบอก
“งั้นก็รับประทานข้าวซะ แล้วหยุดยุ่งเรื่องของกูซะที”
ลายสือเดินหนีไป
ภาษิตอึ้ง “ไอ้สือ!”
“มึงเตรียมใส่ซองไว้ล่วงหน้าเหอะ กูว่ามันต้องรับประทานลูกปืนในฐานะชายชู้แน่ๆว่ะ”
ฟังคำของผลึก ภาษิตมองตามไปด้วยความแปลกใจ
ขณะที่ศลัยลาและผจงจิตนั่งทำงานอยู่ ภูฉายก้าวเข้ามา ผจงจิตมองทั้งสอง ค่อยๆ เลี่ยงออกไป
ศลัยลาเย็นชา ภูฉายยังคงรักษาความอ่อนโยนสุขุม
“ศลัย ผมต้องการพูดกับคุณ”
“เรื่องหย่าหรือคะ คุณพร้อมเมื่อไหร่”
“ไม่มีทางที่เราจะทำให้มันดีขึ้นเลยหรือ คุณก็รู้ว่าผมรักคุณรักลูก ผมอยากมีครอบครัวเหมือนเมื่อก่อน ลูกต้องการคุณนะแล้วลูกก็ต้องการผมด้วย ลูกต้องการเรา”
“แต่ลูกไม่ต้องการความเคยชินของคุณ ฉันพยายามแกะความเคยชินที่มันเกาะติดตัวคุณมา แต่ฉันก็ทำไม่สำเร็จ ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ”
“ผมต้องเสียคุณ...เสียลูกหรือ”
“คุณไม่ได้มีชีวิตอยู่ได้เพราะฉันกับลูก คุณมีชีวิตอยู่ได้เพราะแม่ของคุณต่างหากล่ะ คุณเสีย...ก็คงเสียหน้า เสียแค่นั้นเอง คุณกลับไปได้แล้วค่ะภู ถึงวันหย่าฉันจะไปรับลูกของฉันคืน”
ศลัยลาเก็บกักควมเจ็บปวดไว้ในแววตา ก้มหน้าทำงานต่อไป
ภูฉายค่อยๆ ถดตัวถอยก้าวออกไปด้วยความปวดร้าว ศลัยลามองตาม แล้วจึงเมินหน้าไป น้ำตาร่วงพรู
ภาษิตนอนแคะกระปุกเงินรูปสัตว์อยู่บนเก้าอี้นอนในห้อง นวลนภาเดินเข้ามา มองอย่างแปลกใจ
“แกทำอะไรน่ะ”
“อุ๊ย คุณแม่ แหม...ตกใจแน่ะ อุตส่าห์เก็บเป็นความลับแล้วเชียว”
“นี่มันกระปุกออมสินของแกตั้งแต่เด็กๆนี่ เอามาแคะทำไม อ้อ นี่แร้นแค้นขนาดต้องงัดของเก่าออกมากินแล้วหรือ”
“โธ่ คุณแม่ ผมแคะออกมานับน่ะครับ จะเก็บไว้ซื้อของขวัญให้ใครบางคน”
นวลนภาเย้า “ผู้หญิงละซี”
“ทายถูก เอ้า เอารางวัลไปหนึ่งฟอด ให้ทายอีกคำถามนึงจะได้เข้าไปแข่งรอบสุดท้าย รู้มั้ย...เนื่องในโอกาสอะไรเอ่ย”
“วัน..วัน..วันเกิด”
“ถูกอีกแล้ว ได้เข้ารอบสุดท้าย...แล้วทายอีกคำถามนึง สุดท้ายจริงๆ ครับ ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครเอ่ย”
“เอ๊ะ ใครน่ะ...หรือ...หรือว่า...”
สีหน้าและแววตาของนวลนภาตื่นเต้นมาก
ขณะเดียวกัน จืด ผลึก และลายสือ หอบของขวัญกล่องใหญ่ออกมาที่หน้ามหา’ลัย กล่องของขวัญใหญ่มากจนบังหน้าของจืด แหมวมายืนรอ 3 หนุ่มอยู่ตั้งนานแล้ว
“แน่ใจนะ ว่าไอ้ษิตมันเชิญพวกเรา” ลายสือถาม
“แน่ใจซีวะ วันเกิดคนสำคัญในชีวิตของมันออกยังงั้น ไม่ไปก็ไม่ได้กินของฟรีน่ะซี”
“อุตส่าห์ลงขันกันซื้อของขวัญ ไม่ไปขาดทุนนะโว้ย” จืดว่า
ผลึกเห็นสาวน้อยแล้ว “น้องแหมว”
“จะไปไหนกันคะพี่ลายสือ แหมวไปด้วยได้มั้ยคะ”
ลายสืออิดออด “แต่ว่า…”
“ไปซีครับ ไปด้วยหลายๆ คน สนุกดี วันเกิดแม่ของเพื่อนน่ะครับ เฮ้ย ให้น้องแหมวไปด้วยนะ ไอ้สือ”
“นะคะ” แหมวคะยั้นคะยอ
ลายสือสบสายตา ตอบอย่างรำคาญ ตัดบท
“ก็ได้ ไปก็ไป”
แหมวดีใจ เดินรวมกลุ่มออกไปด้วย
ทางด้านศลัยลาช่วยนวลนภาทำสลัดจานใหญ่อยู่ในครัว
“เสียดายนะ ทุกปีภูเขาเคยมา”
“อย่าไปเสียดายเลยค่ะ ปีนี้เขาคงไม่มีอารมณ์จะอวยพรวันเกิดใครนอกจากแม่ของเขา” ศลัยลาประชด
“ไม่เอาน่ะศลัย เลิกพูดแบบนี้ที แม่ไม่สบายใจ ช่วยกันจัดสลัดดีกว่าเดี๋ยวเพื่อนๆ ภาษิตคงมาแล้วละ”
ภาษิตเดินไปชะโงกที่หน้าต่าง เสียงแตรรถยนต์
“มาพอดีเลยครับ เดี๋ยวผมลงไปรับเพื่อนผมนะ..พี่ศลัย สลัดเสร็จแล้วลงไปเลยนะ”
“ย่ะ”
ศลัยลามองค้อน ภาษิตออกไป
“สั่งยังกับมันเป็นคุณพ่อแน่ะ”
“ยกออกไปเถอะลูก เสร็จแล้ว เดี๋ยวแม่ตามลงไป กินกันข้างล่างก็ดี ครัวจะได้ไม่เลอะ ไปเถอะ”
“ค่ะ”
ศลัยลายกสลัดออกไป
ภาษิตกำลังแจกจ่ายเครื่องดื่มให้แหมวและเพื่อนๆโดยมีกล่องของขวัญกล่องใหญ่วางอยู่
“ตามสบายนะครับ น้องแหมว วันนี้คุณแม่พี่ลงครัวเองเลย พี่เพิ่งรู้ว่าไอ้สือมันมีน้องสาวสวย”
“มึงจะรู้ได้ไงวะ วันๆ มึงเคยสนใจเพื่อนฝูงที่ไหน มึงน่ะติดแม่แจ ไอ้ลูกแหง่ยังไม่อดนม” ผลึกหมั่นไส้
“เบาไว้ เบาหน่อยเดี๋ยวคุณแม่ได้ยิน กูกลัวตะหลิวออกมาก่อนของอร่อยๆว่ะ” จืดบอก
“ละ..ลุย..” ผลึกฮึกเหิมเมื่อเห็นของกิน
“กินเถอะ ไม่ต้องเกรงใจไอ้พวกลิงพวกนี้หรอก ไหนๆ ก็มาแล้วนี่” ลายสือหันมาทางแหมว
“ค่ะ”
เสียงศลัยลาดังขึ้น
“มาแล้วค่ะ สลัดไก่ทอด”
ศลัยลายกสลัดออกมา ลายสือและผลึกตะลึงงัน เช่นเดียวกับศลัยลา
อ่านต่อหน้า 4
ปีกมาร ตอนที่ 7 (ต่อ)
ภูฉายนั่งกอดอกนิ่งๆ อยู่ในห้องโถง ก่อนที่จะตัดสินใจกดโทรศัพท์บ้านโทร.ออก สลักก้าวเข้ามา เอื้อมมือไปดึงโทรศัพท์ไว้ สีหน้ามึนตึง
“จะโทร. ไปง้อเมียอีกหรือ ทำไมแกไม่คิดถึงศักดิ์ศรีของแกบ้างนะ คนที่เป็นผัวน่ะมันต้องมีศักดิ์ศรี ต้องไม่ง้อเมียก่อน ต้องเป็นฝ่ายถูกเสมอ...จำไว้”
“เอ้อ...ผม..ผมไม่ได้โทร.ถึงศลัยหรอกครับ แต่...แต่ว่า...”
“งั้นแกโทร....ถึงใคร” สลักจ้องหน้า
“คุณแม่ของศลัยลาน่ะครับ วันนี้เป็นวันเกิดของคุณแม่ศลัย”
“งั้นก็ไม่ต้อง...เพราะนับแต่นี้เป็นต้นไป แกไม่มีแม่ยายอีกต่อไปแล้ว เลิกคิดจะอวยพรวันเกิดแม่ยายเสียทีเถอะ”
“ครับ..แม่”
ภูฉายรับคำด้วยความเกรงใจสลักและจำนน
ส่วนที่บ้านนวลนภา ทั้งหมดนั่งรับประทานอาหารด้วยกัน โดยมีนวลนภาคอยเสิร์ฟด้วยท่าทีเป็นกันเอง ลายสือขรึมไป แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นกิริยาผิดปกติ
ศลัยลาสบสายตาของลายสือ
“อร่อยจังเลยครับคุณแม่ ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยกินสลัดไก่ทอดที่ไหนอร่อยเท่ารสมือของคุณแม่” ผลึกสอพลอ
“อร่อยก็กินเยอะๆ ซี นาทีทองมีแค่ปีละครั้งไม่ได้มีบ่อยๆหรอกนะ...หนู...เอานี้จ้ะไก่ทอด” นวลนภาว่า
แหมวยิ้มหวาน “ขอบพระคุณค่ะ”
“หน้าตาน่ารัก คงยังเรียนหนังสืออยู่ซีนะ” นวลนภาถาม
“กำลังจะเอ็นทรานซ์ค่ะ”
“น้องแหมวเป็นน้องสาวเจ้าสือมันครับ เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ”
ศลัยลามองไปยังลายลือ และแหมว
นวลนภาฉงน “แม่เพิ่งรู้ว่าลายสือมีน้องสาว”
ลายสืออึกอัก “เอ้อ...”
ผลึกตอบแทน “มันก็เพิ่งรู้ครับ เฮ้ย...ไอ้สือ”
ภาษิตหันมาทางลายสือ “เฮ้ย คุยบ้างก็ได้ว่ะ คุณแม่ถามอะไรแกน่ะ”
“ขอโทษครับคุณแม่”
“ของหวานมีผลไม้นะ เดี๋ยวแม่ไปยกมาให้”
“หนูไปเองดีกว่าค่ะ”
ศลัยลาลุกขึ้นยืน ลายสือรีบลุกขึ้นยืนตาม
“ผมช่วยครับ”
ศลัยลาเหลือบสายตาขึ้นมองลายสือแว่บหนึ่ง แล้วเดินเข้าบ้าน ลายสือเดินตามไป ผลึกมองตามไปอย่างไม่สบายใจ
ศลัยลาเดินเข้ามาจัดผลไม้ ลายสือเดินตามมายืนพิงประตูอยู่ห่างๆ ศลัยลาเหลียวไปมองอย่างหวั่นไหว
“ลายสือ”
ลายสือประชด “ยังดีนะที่คุณยังจำผมได้ คิดว่าผมจำคุณได้คนเดียวเสียอีก”
“คุณสบายดีหรือ”
“ผมไม่มีความสุขเลย...ไม่มีความสุขเหมือนคนไม่มีที่ไป ผมเหมือน “ไอ้บ้า” อย่างที่คุณว่าไม่มีผิด”
“ลายสือ คุณลืมเรื่องที่ผ่านมาให้หมดได้มั้ย”
“ทำไม”
“เพราะมันไม่มีประโยชน์ที่คุณจะจำไว้ ถึงฉันจะไม่มีชีวิตครอบครัวที่ล้มเหลว ฉันก็เริ่มต้นกับคุณไม่ได้”
ลายสือก้าวเข้ามาหา นัยน์ตาวาวโรจน์ขึ้น ศลัยลาถดตัวถอย ด้วยความรู้สึกสับสนและหวั่นกลัว
“คุณต้องให้ผมถามอยู่คำเดิม...ทำไม”
“คุณอายุยี่สิบห้าแต่ฉันอายุสามสิบ ถ้านั่นไม่ใช่เหตุผลที่หยุดคุณได้คุณก็ควรจะทบทวนเสียใหม่ ฉันเป็นผู้หญิงที่มีภูมิหลังมากเกินไป”
“คุณหย่ากับเขาไม่ได้...ใช่มั้ย”
“เรายังมีปัญหาเรื่องลูก”
“เพียงแต่...คุณบอกผมว่าคุณจะหย่ากับเขา ผมก็จะไม่ถอยก้าวของผมแม้แต่ก้าวเดียว!”
“คุณจะทำให้การหย่าของเรายุ่งยาก”
ลายสือเดินประชิดเข้ามา ยกลำแขนขึ้นกันตัวศลัยลาให้อยู่ในวงแคบๆ กระซิบอย่างหนักแน่น จริงจัง
“ผมรักคุณนะ ผมไม่ถอย ถึงไม่ว่าผมจะเป็นอะไรในสายตาของใคร ผมรักคุณ!”
ทั้งสองสบสายตากัน
สีหน้าแววตาของศลัยลาทั้งหวั่นไหว หวาดกลัว สับสันและลังเล อยู่ในแววตาคู่นั้น
คืนเดียวกัน ภูฉายยืนอยู่เงียบๆ ในมุมที่ค่อนข้างสลัว สลักเดินออกมาหา
“ภู แม่ให้นังมัยมันตั้งโต๊ะแล้ว กินข้าวเถอะลูก”
“ผมยังไม่หิวเลยครับ แม่”
“ไม่หิวก็ต้องกิน แม่อุตส่าห์ให้นังมัยมันตัดหัวปลีในสวนหลังบ้านมาแกงเลียง จำได้มั้ย..เมื่อตอนเด็กๆ แกชอบแกงเลียงบางทีแกก็เก็บยอดตำลึงมาให้แม่แกง ตอนนั้นน่ะแกยังตัวเล็กๆ ตอนที่…”
แววตาของสลักสลดลง เมื่อนึกถึงชีวิตที่ถูกสามีทอดทิ้งตั้งแต่ภูฉายยังเยาว์วัย
“ตอนที่พ่อทิ้งแม่กับผมไป”
“ใช่...ตอนนี้แกรู้หรือยัง ว่าความเจ็บปวดมันเป็นยังไง...แกก็เหมือนแม่...แกถูกเมียทิ้ง เหมือนอย่างที่พ่อแกเคยทำกับแม่”
สลักสะเทือนใจ พยายามเรียกร้องความรักและสงสารจากภูฉายเป็นเครื่องทดแทนความสูญเสียที่ผ่านมาในชีวิต
“แกต้องไม่ทิ้งแม่นะ ภู”
ภูฉายดึงตัวสลักเข้ามากอดไว้อย่างปลอบโยน
“ครับ...แม่”
ส่วนลายสือ ผลึกและจืดนั่งแท็กซี่มาส่งแหมวที่หน้าบ้าน ท่าทีของลายสือเงียบขรึมเคร่ง ผลึกคอยสังเกตตลอดเวลา
“สนุกจังเลยค่ะ คุณแม่พี่ภาษิตทำกับข้าวเก๊งเก่งนะคะ แล้วคุณศลัยลาเองก็..สวยจังเลยค่ะ”
“ส่งน้องแหมวถึงบ้านแล้วนะครับ กดกริ่งเลยนะ” จืดกดกริ่งแล้วหันมาทางหนุ่มอ้วนดำ
“โอย อิ่มว่ะ เฮ้ย อิ่มมั้ยวะ ผลึก ทำไมวันนี้มึงเงียบไม่ค่อยเห่ากรรโชกเลยล่ะ”
ผลึกอึกอัก “ก็...”
ดารา แม่ของแหมวเดินออกมาเปิดประตู ทักลายสือด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“อ้อ ลายสือ มาส่งน้องหรือ เข้ามาก่อนซี คุณพ่อเพิ่งกลับไปวานนี้เองจ้ะ”
“เห็นจะไม่ล่ะครับ ผมไม่ยักรู้ว่า...คุณอาอยู่ที่นี่ ไม่ได้ขึ้นเหนือกับคุณพ่อ”
“ก็พี่ลายสือไม่ยอมมาอยู่กับพวกเรานี่คะ คุณแม่ก็เลยห่วงแหมวกับน้องๆ”
“ย้ายมาอยู่ด้วยกันซี อาจะได้ฝากเด็กๆ ไว้”
ลายสือตัดบท “ผมขอคิดดูก่อน เข้าบ้านเถอะ แหมว”
“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ พี่จืด พี่ผลึก”
“ขอบใจนะจ้ะ” ดารายิ้มอย่างเป็นมิตร
3 คนยกมือไหว้ลาแล้วเดินไป แหมวยังชะเง้อมอง ตามลายสือไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นศรัทธาในตัวลายสือ
ดารามองกิริยาอาการของลูกสาววัยใสอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด
วันต่อมาลายสือนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงนอนด้วยท่าทีเคร่งขรึม ผลึกเปิดประตูเข้ามา ยืนมองอยู่เงียบๆครู่หนึ่ง
“มึงรู้มั้ย ถ้าไอ้ภาษิตมันรู้...ว่าเพื่อนกับพี่สาวของมันน่ะ...”
ลายสือเสียงดังใส่ “มึงหยุดพูดได้แล้ว กูกับคุณศลัยลายังไม่ได้ทำอะไรผิด”
“แต่มึงกำลังจะทำ มึงคิดว่ากูไม่รู้สันดานของมึงหรือ...กูเป็นเพื่อนมึงมากี่ปี กูเคยเห็นมึงวิ่งหนีอะไรบ้าง...ไม่เคย”
ลายสือเมินหน้าไป
“กูไม่อยากเห็นเพื่อนฆ่ากันเอง มึงรู้มั้ย...ถ้าภาษิตมันรู้ว่ามึงกำลังจะเล่นชู้กับพี่สาวของมันละก็...”
สีหน้าแววตาของผลึกดุดันและเอาเรื่องขณะบอกต่อ
“อะไรจะเกิดขึ้น”
ส่วนภาษิตนอนอ่านหนังสือ มีจานขนมวางอยู่ใกล้ๆ นวลนภาจัดดอกไม้อยู่มุมหนึ่ง
ศลัยลาเดินลงมา สีหน้าเรียบๆ เศร้าหมอง
“ไม่ค้างอีกคืนหรือครับ พี่ศลัยลา”
“ไม่ละ แม่คะ...หนูจะเลยไปหาเพียรภมรแล้วกลับบ้านเลยนะคะ”
“อยู่ได้หรือลูก อยู่คนเดียวนี่บางทีเราก็บังคับความคิดเราไม่ได้นะ มันฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ”
“ยังไงหนูก็จะพยายามค่ะแม่”
ศลัยลาเดินออกไป สีหน้าภาษิตกังวลใจเมื่อลุกขึ้นนั่ง
“แม่คิดว่าเรื่องมันจะเป็นยังไงครับนี่”
“ไม่รู้ซี..”
นวลนภาส่ายหน้า สีหน้าเคร่งขรึม
“แม่ไม่กล้าเดาน่ะ”
ดวงแก้วสาวสวยทันสมัยกำลังเคาะเถ้าบุหรี่ลงที่เขี่ย พลางช้อนสายตาขึ้นมองภูฉายด้วยความสนใจ ท่าทีของภูฉายเงียบขรึม
พนักงานนำเอกสารมาให้อย่างนอบน้อม
“เรียบร้อยครับ ผมขอบพระคุณที่คุณดวงแก้วกรุณาให้ความไว้วางใจเรา มีอะไรให้ผมรับใช้ โทร.คุยอย่าเกรงใจนะครับ”
“ถ้าจะเลือกใช้บริการของคุณ ฉันก็ไม่เกรงใจผู้จัดการหรอกค่ะ เงินเป็นร้อยๆ ล้านแล้ว ตอนนี้หุ้นก็ไม่น่าลงทุน เก็บเงินเอาไว้ถึงดอกเบี้ยจะต่ำไปหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าเอาเงินไปเสี่ยงกับคำว่าหมดตัว”
ท่าทีของดวงแก้ว ซ่อนความเจ้าชู้เอาไว้ในแววตาและบุคลิกที่ดูดีนั้น
“นพพล” ภูฉายเรียกผู้ช่วย
“ครับผม”
“เดี๋ยวให้นักการถอยรถยนต์ของคุณดวงแก้วมาจอดด้านหน้าเลยนะ”
ดวงแก้วแทรกขึ้น “ถ้าเปลี่ยนเป็น...กินข้าวกับคุณภูฉายสักมื้อนึงล่ะ”
สีหน้าดวงแก้วยิ้มพราย สบสายตาภูฉายอย่างท้าทาย ภูฉายไม่อาจที่จะปฏิเสธเพราะเป็นลูกค้าคนสำคัญ แต่สีหน้าของภูฉายอึดอัด
“เอ้อ…”
ด้านสลักเดินลงมาสั่งงานสาวใช้ก่อนออกนอกบ้าน
“หาหมอเสร็จแล้ว ฉันจะไปหาภูที่ทำงานเลย จะได้กลับบ้านพร้อมๆ กันไม่ต้องเสียค่าแท็กซี่ เอ้อ ฉันจะซื้อกับข้าวแถวๆ นั้นด้วย แกดูตาหนูให้ดีนะ อย่าให้นังศลัยมันมาขโมยหลายชายฉันอีกล่ะ นังมัย”
“ค่ะ”
สลักเดินออกไป ส่วนละมัยถอนหายใจอย่างโล่งอก
ฟากศลัยลานั่งนิ่งๆ อยู่หน้าโต๊ะทำงานของเพียรภมร ที่สำนักงานทนายความ
“ค่อยสบายใจขึ้นบ้างหรือยัง พี่ศลัย”
“ฉันดีขึ้น”
“คืนนี้ไปนอนที่อาพาตเมนท์ของเพียรมั้ย”
“อย่าเลย ฉันจะกลับบ้าน ทิ้งบ้านไปนอนบ้านแม่มาสองคืนแล้วละ”
เพียรภมรค่อนขอด
“ระวังเถอะ คุณภูฉายเขารู้แกว เขาจะหลบแม่เขามาออด...ผู้หญิงน่ะ ตายเพราะลูกออดมาเยอะแล้ว”
“แต่สำหรับฉัน...ไม่มีวัน ถ้าเขากลับไปอ้อนแม่เขาละก็...”
สีหน้าแววตาของศลัยลาเย็นชามาก ขณะพูดต่อ
“ไม่แน่”
แก้วน้ำถูกดื่มไปแล้วเหลือติดก้นแก้ว สลักนั่งรอภูฉายตรงหน้าโต๊ะทำงาน ชำเลืองมองนาฬิกา เห็นเป็นเวลาบ่ายสองโมงครึ่ง
พนักงานยกแก้วน้ำมาเปลี่ยนให้ สลักทำน้ำเสียงกระด้างใส่ ท่าทีหงุดหงิด
“นภดล ภูเขาออกไปตั้งแต่กี่โมง”
“คุณภูฉายออกไปก่อนเที่ยงครับผม”
“เขาไปไหนรู้มั้ย ทำไมป่านนี้ยังไม่กลับ”
“เห็นว่า...ไปรับประทานอาหารกลางวันกับลูกค้าครับ”
พนักงานเลี่ยงออกไป สลักเบะปากดูถูก
“คงเป็นพวกเสี่ยร้อยล้านแต่อ้วนอุ้ยอ้าย ไม่รู้ไขมันจะจุกตายเมื่อไหร่ซีท่า...ฮึ”
คุณนายสลักไม่รู้สักนิดว่าตัวเองคิดผิดเต็มประตู
อ่านต่อตอนที่ 8