สุดสายป่าน ตอนที่ 7
คืนเดียวกันนั้น ฐิตินั่งมองกานดาวสีนอนหลับด้วยสายตาลึกซึ้ง ด้วยความรักล้นใจที่มีต่อกานดาวสี เอามือไล้แก้ม ปัดผมที่รุ่ยลงปรกหน้าให้ ฐิติก้มหน้าลงกระซิบที่ข้างหู
“กานดาวสี...ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมพบคุณที่ประจวบ ผมก็รู้เลยว่าผมจะไม่มีวันรักใครได้อีก...นอกจากคุณคนเดียว”
พูดจบฐิติก็ก้มลงจูบแก้มกานดาวสีเบาๆอย่างทะนุถนอม ก่อนจะล้มตัวลงนอนกอดกานดาวสีไว้ด้วยท่าทางอิ่มเอมใจมีความสุขสุดๆ
กานดาวสีค่อยๆ ลืมตา แต่ยังนอนนิ่งอยู่ จนเมื่อแน่ใจว่าฐิติหลับแล้วถึงขยับตัวออก ก่อนจะเอาหมอนข้างวางไว้แทน ค่อยๆ จับแขนฐิติให้กอดหมอนข้างแทน มองฐิติอย่างเศร้าๆ ขณะพูดออกมา
“คุณฐิติคะ ฉันคงมีความสุขมากที่สุด ถ้าคุณจะรักฉัน ทั้งๆ ที่รู้ว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น”
รุ่งเช้า ท่านหญิงลักษมี พุดตาน และนมสาย เดินเล่นอยู่ที่ชายหาด สักพักใหญ่จึงบ่ายหน้าเดินกลับตำหนักใหญ่
“พระพุทธรูปที่วัดพระแก้วน้อยนี่ท่านศักดิ์สิทธิ์จริงๆนะเพคะ ขออะไรก็ได้ทันตาเห็น”
ท่านหญิงยิ้มปลื้ม แต่ก็อดขัดคอนมสายไม่ได้
“ผ่านไปแค่วันเดียว ฉันจะได้เหลนทันตาเห็นได้ยังไง ไม่ได้ออกมาจากกระบอกไม้ไผ่นะยะ”
นมสายพูดเสียงเล็กเสียงน้อย “แหม มันก็ต้องเป็นไปตามขั้นตอนล่ะเพคะ ก่อนจะมีเหลนน่ะ ผัวเมียเค้าก็ต้องอิ๊อ๊ะกันก่อน เนี่ยตาบุญกับแม่สีดาเค้าแอบมากระซิบอิฉันว่าตอนที่เราไม่อยู่ คุณฐิติกับคุณกานดาวสีก็อยู่แต่ในห้อง อาหารเย็นก็ยังไม่ยอมออกมาทานเลยเพคะ”
ท่านหญิงท่าทางมีความสุขที่ทุกอย่างเป็นไปดังใจ
“นั่นน่ะสิ ฉันตัดสินใจถูกจริงๆที่หาเรื่องออกไปจากตำหนักได้จนดึกจนดื่น...นี่ผัวเมียเค้าคงยังไม่ตื่นกันล่ะสิ”
ท่านหญิงกับนมสายหันมายิ้มให้กันอย่างมีนัย หน้าตาปลื้มปริ่มด้วยกันทั้งคู่
“ตาติอาจจะยังไม่ตื่น แต่แม่กานดาวสีน่ะ เดินมาโน่นแน่ะเพคะ” พุดตานบอก
ทุกคนมองไปเห็นกานดาวสีเดินหน้าเศร้าใจลอยมาจากอีกทางหนึ่ง
นมสายบ่นออกมาอย่างผิดหวัง “อ้าว แล้วคุณติล่ะคะ”
ฐิตินอนหลับอยู่บนเตียงอย่างมีความสุข บนเตียงนอน หมอน มีร่องรอยว่ามีคนนอนฐิติค่อยๆพลิกตัวหันไปเหมือนจะกอดใครที่เคยนอนอยู่ข้างๆ
ฐิติพึมพำเหมือนเรียกหา “กานดาวสี...”
เงียบไม่มีเสียงตอบ ฐิติลืมตาขึ้นพบแต่ความว่างเปล่า ผุดลุกขึ้นนั่งบนเตียงมองไปที่นอนข้างๆ เห็นร่องรอยว่าก่อนหน้านี้มีคนนอนอยู่ ฐิติมองแล้วยิ้มอย่างมีความสุข
ด้านท่านหญิงจ้องหน้าจ้องตาถามกานดาวสี “ทำไมหล่อนถึงลงไปเดินเล่นอยู่คนเดียว แล้วพ่อติล่ะ”
กานดาวสีหลบตาอย่างมีพิรุธ สีหน้าเหมือนมีเรื่องกังวลในใจ ยังไม่ทันตอบ
“ผมอยู่นี่ครับ”
ทุกคนหันไปตามเสียง ฐิติยิ้มกริ่มกำลังเดินเข้ามา หน้าตาแจ่มใส เป็นสุข ตาเป็นประกายวิบวับ กานดาวสีหันไปสบตาฐิติพอดี แล้วก็รีบหาเรื่องเลี่ยงออกไป
“ดิฉันไปช่วยป้าสีดาเตรียมอาหารเช้าก่อนนะคะ”
กานดาวสีเดินเลี่ยงไปทันที ฐิติมองตามอย่างเป็นห่วง
“กานดาวสี...รอผมด้วย”
ฐิติรีบเดินตามกานดาวสีไป ท่านหญิง พุดตาน นมสาย มองตามไปอย่างไม่เข้าใจ
ท่านหญิงหันไปประชดนมสาย “ไงล่ะยะ ที่หล่อนว่าคู่นี้เค้าไม่ยอมออกมาจากห้องน่ะ ฉันว่าคงจะตีกันอยู่มากกว่าล่ะมั้ง”
นมสายจ๋อย
กานดาวสีรีบเดินหนีไปทางครัว ฐิติคว้าแขน ดึงกานดาวสีเข้ามาในอ้อมกอด
“เดี๋ยวก่อนสิ คุณจะรีบไปไหน รู้มั้ย ผมตื่นขึ้นมาใจหายหมด นึกว่าเมียหนีไปซะแล้ว”
“ปล่อยค่ะ ใครเห็นเข้าจะไม่ดี”
“ไม่ดียังไง ในเมื่อเราสองคนเป็น...”
กานดาวสีรีบร้องห้าม “อย่าพูดเลยค่ะ”
ฐิติยิ้มๆ มองกานดาวสีอย่างเอ็นดู คิดว่าอีกฝ่ายเขิน
“ผมจะพูด...ก็เราสองคนเป็นสามีภรรยากันแล้วนี่นา”
กานดาวสีอึกอัก “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน...คุณไม่จำเป็นต้องถือเป็นข้อผูกมัดระหว่างเราหรอกค่ะ”
“คุณหมายความว่ายังไง”
กานดาวสีเจ็บปวดเหลือเกินแต่ก็ต้องพูด “ก็หมายความว่า เมื่อไหร่ที่คุณยอมรับว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น คนที่คุณเจอที่ประจวบ...ฉันก็ยินดีที่จะไป...”
กานดาวสีเจ็บปวดจนพูดต่อไม่ได้ ฐิติตะลึง มองหน้ากานดาวสีอย่างเจ็บปวด คิดไม่ถึงว่ากานดาวสีจะไม่มีเยื่อใยกับตนขนาดนี้
“ใช่สิ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมันคงไม่มีอะไรน่าจดจำ เพราะคุณคงผ่านมาเยอะจนชิน เรื่องแค่นี้ถึงได้ไม่มีความหมายอะไรสำหรับคุณเลย”
“หยาบคาย”
“ก็สมแล้วกับผู้หญิงอย่างคุณไม่ใช่เหรอ”
กานดาวสีตบหน้าฐิติฉาดใหญ่
ฐิติกระชากกานดาวสีเข้ามาอย่างโกรธจัด แต่ยังไม่ทันจะทำอะไร บุญมาเดินถือโทรเลขเข้ามาส่งให้กานดาวสี
“มีโทรเลขถึงคุณกานดาวสีครับ”
ฐิติทำเป็นไม่สนใจ แต่ก็ยังไม่ยอมเดินไปไหน กานดาวสีรีบรับโทรเลขมาเปิดอ่าน แล้วหน้าเสีย มือสั่น ฐิติเห็นกานดามณีท่าทางผิดปกติมาก ก็หลุดปากถามอย่างเป็นห่วง
“มีอะไรรึเปล่ากานดาวสี”
กานดาวสีบอกด้วยเสียงเจือสะอื้น
“คุณพระโทรเลขมาบอกว่าคุณพ่อไม่สบายมาก ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ”
ยามบ่าย วิเศษนอนอยู่คนเดียวในห้องพัก ในห้องโล่งๆ ไม่มีดอกไม้หรือกระเช้าผลไม้ ที่แสดงว่ามีคนมาเยี่ยม หรือมาดูแลเลย เสียงเคาะประตูดังขึ้น วิเศษหันไปมองสายตาเป็นประกายด้วยความหวัง
พอประตูห้องเปิดออก เห็นวิสูตรถือแจกันดอกไม้ เดินเข้ามาอย่างลังเลเล็กน้อย วิเศษทำท่าเหมือนผิดหวังแต่พอเห็นชัดว่าเป็นวิสูตร ตาก็เป็นประกายตื่นเต้นขึ้น วิสูตรวางแจกันที่โต๊ะหัวเตียง
“ผมวิสูตร...คุณวิเศษจำผมได้มั้ยครับ”
วิเศษพยายามยิ้ม ส่งเสียงอื้ออ้าบอกว่าจำได้ วิสูตรยิ้มอย่างเข้าใจ
“ผมคิดว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่เมื่อวานที่ผมมาเยี่ยมคุณ” วิสูตรลังเลนิดหนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูด “ผมรู้สึกเหมือนกับว่า...คุณมีอะไรจะพูดกับผมหรือเปล่าครับ”
วิเศษพยักหน้า ส่งเสียงอื้ออ้าอีก
วิสูตรพยายามตั้งใจฟัง แต่ยังไงก็ไม่รู้เรื่อง เลยหมดหวัง แต่ไม่ได้รำคาญหรือหงุดหงิดได้แต่พึมพำ
“แล้วผมจะรู้ได้ยังไงว่าคุณจะบอกอะไร”
เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะขึ้นมา คุณพระถือกระเช้าดอกไม้เข้ามา แล้วชะงักเมื่อเห็นวิสูตร แต่ก็ยิ้มให้อย่างมีมารยาท
“สวัสดีครับ ผม...คุณพระบรรณกิจ คุณคงจะเป็นเพื่อนคุณวิเศษ”
วิสูตรไหว้คุณพระ “ผมวิสูตรครับ” พร้อมกับเอื้อมมือไปรับดอกไม้จากคุณพระไปวางไว้บนโต๊ะ คุณพระพูดกับวิเศษ
“ผมโทรเลขไปบอกหนูกานที่หัวหินแล้วนะ หลานเพิ่งจะรู้ว่าพ่อวิเศษป่วยจริงๆ ด้วย พอแกได้รับโทรเลขก็รีบโทรศัพท์มาหาผมทันที อีกไม่นานหนูกานดาวสีก็คงจะมาถึงแล้วละ”
วิสูตรพลอยดีใจไปด้วย บีบแขนวิเศษอย่างเป็นกำลังใจให้
“คุณวิเศษต้องสู้นะครับ อย่างน้อย คุณก็ยังมีภรรยา มีลูกที่คอยเป็นกำลังใจให้” นึกถึงตัวเองแล้วเศร้า “ผมซะอีก...ตัวคนเดียวในโลกจริงๆ ภรรยาก็ตาย ลูกก็หายตัวไป...ชาตินี้ผมจะมีโอกาสได้เจอลูกอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้”
วิเศษตาเหลือก ด้วยความตกใจตอนที่วิสูตรบอกว่าภรรยาตาย พอวิสูตรพูดจบ วิเศษก็ร้องอื้ออ้าขึ้นมาอีก เหมือนจะบอกอะไร คุณพระตกใจ รีบเข้ามาจับมือวิเศษ
“พ่อวิเศษ มีอะไรหรือเปล่า”
วิเศษยังส่งเสียงและมองไปทางวิสูตรอย่างพยายามจะบอกอะไรบางอย่าง คุณพระหันมามองหน้าวิสูตรก่อนจะหันไปถามวิเศษ
“พ่อวิเศษมีอะไรจะบอกกับคุณวิสูตรงั้นรึ”
วิเศษอื้ออ้าอย่างตื่นเต้น คุณพระกับวิสูตรมองหน้ากันอย่างแปลกใจ
ครู่ต่อมาคุณพระบรรณกิจกับวิสูตรเดินคุยกันมาตามทางเดินในโรงพยาบาล
“ผมก็สงสัยอยู่ครับว่า คุณวิเศษตั้งใจจะบอกอะไรกับผมในเมื่อเราสองคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน”
“เอาอย่างนี้...เดี๋ยวถ้าหนูกานดาวสีมาถึง ผมจะลองถามดูว่าแกเคยได้ยินพ่อวิเศษพูดถึงคุณวิสูตรบ้างหรือเปล่า...”
วิสูตรสะดุดใจนิดหนึ่ง “กานดาวสี...”
“ลูกสาวพ่อวิเศษเค้าน่ะครับ” คุณพระนึกขึ้นมาได้ “หรือว่าคุณวิสูตรรู้จักแก...”
“เปล่าครับ...ผมแค่คิดว่าชื่อเธอคล้ายกับลูกสาวผม”
“ลูกสาวคุณวิสูตรชื่ออะไรเหรอครับ”
น่าเสียดายนักที่พยาบาลเดินเข้ามาขัดจังหวะก่อน
“คุณพระบรรณกิจคะ...คุณหมอปิ่นให้ดิฉันมาเชิญคุณพระไปพบที่ห้องทำงานเรื่องอาการของคุณวิเศษค่ะ”
สองคนเดินตามพยาบาลไป
อ่านต่อหน้า 2
สุดสายป่าน ตอนที่ 7 (ต่อ)
ฟากกานดามณีในชุดสวยเซ็กซี่ เดินมากับวิไลวรรณ สองสาวด้อมๆ มองอยู่ที่หาดทรายด้านหน้าตำหนักเล็ก จนเห็นบุญมากับสีดาช่วยกันเก็บกวาด ปิดประตูหน้าต่างในตำหนักอยู่
“แกเข้าไปถามให้หน่อยสิว่าคุณฐิติอยู่หรือเปล่า”
“แล้วทำไมแกไม่เข้าไปถามเองล่ะ”
“จะให้ฉันเข้าไปได้ยังไง ถ้าเกิดคุณฐิติไม่อยู่ แล้วคนอื่นมาเจอฉันล่ะ...ละครเรื่องเนี้ย ฉันต้องแสดงให้คุณฐิติเท่านั้นย่ะ”
“แล้วถ้าเค้าอยู่ล่ะ”
“แกก็บอกเค้าไปสิว่ากานดาวสี กิริเนศวรกำลังรอเค้าอยู่ที่ชายหาด...ถึงเค้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่เค้าก็ต้องออกมาดูให้เห็นกับตาแน่ๆ และหลังจากนั้น ฉันก็จะรื้อฟื้นความหลังให้เค้าเอง”
“เออๆ ฉันไปถามให้ก็ได้” วิไลวรรณประชด “เป็นเมียเจ้าขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็อย่าลืมเพื่อนขี้ข้าคนนี้ก็ละกัน”
วิไลวรรณเดินสะบัดเข้าไปหาบุญมากับสีดา
“ป้าๆ คุณฐิติอยู่หรือเปล่า”
“ไม่อยู่หรอก ท่านกลับกรุงเทพฯ ไปตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว”
วิไลวรรณผิดหวัง “กลับกรุงเทพฯ เหรอ”
ในห้องทำงานวสันต์ ที่สูรยกานต์ไหมไทย วสันต์หน้าตาหงุดหงิด เซ็นเอกสารในแฟ้มเสร็จก็ปิดแฟ้มดังโครม เสือกแฟ้มคืนอิ่มใจที่ยืนรออยู่ อิ่มใจมองวสันต์อย่างน้อยใจ
อิ่มใจตัดพ้อ “ทำไมช่วงนี้ดูคุณวสันต์หงุดหงิดจังคะ หรือว่าทำงานหนักไป” แล้วพยายามเอาใจ “อิ่มว่าวันนี้เราไปหาอะไรอร่อยๆ ทานกันหลังเลิกงานดีมั้ยคะ”
“อย่าเพิ่งมาเซ้าซี้ได้มั้ย ผมยิ่งเครียดอยู่”
“เครียดเรื่องอะไรคะ” อิ่มใจระแวง “หรือว่าหงุดหงิดที่คุณกานดาวสีเค้าไม่กลับมาซะที”
วสันต์หันขวับมามองอิ่มใจอย่างหงุดหงิดเอาเรื่อง ขยับจะตวาด คุณพระถือแฟ้มเปิดประตูเข้ามา ท่าทางเคร่งขรึม เดินตรงเข้าไปหาวสันต์ วสันต์รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ลุกขึ้นยืนต้อนรับ ตามองเอกสารในมือคุณพระอย่างกระวนกระวาย
“คุณพระ...เซ็นเอกสารเสร็จแล้วเหรอครับ จริงๆผมไปเอาที่ห้องเองก็ได้...”
คุณพระไม่สนใจที่วสันต์พูด วางแฟ้มเอกสารลงตรงหน้าวสันต์
“ผมคงยังเซ็นให้ไม่ได้ คุณช่วยเอารายละเอียดทั้งหมดของรายการนี้มาให้ผมดูอีกครั้ง...ตัวเลขสูงขนาดนี้ มันต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ”
วสันต์รับคำด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ไม่นานต่อมาวสันต์พาตัวเองมาอยู่ที่ประตูหน้าวังสูรยกานต์ และยื่นซองจดหมายให้นวล
“ฉันฝากจดหมายฉบับนี้ให้คุณกานดาวสีด้วย”
“แต่เธอยังไม่กลับจากหัวหินเลยค่ะ”
วสันต์หงุดหงิด “เค้ากลับมาตอนไหนก็ให้เค้าตอนนั้นน่ะแหละ”
นวลกำลังจะเอื้อมมือไปรับ วสันต์ดึงไว้ก่อน
“แล้วก็ไม่ต้องให้ใครเห็นล่ะ” วสันต์กำชับ
นวลชะงักไปนิดหนึ่ง วสันต์หยิบธนบัตรใบละ 1 บาท 5 ใบส่งให้นวลพร้อมจดหมาย
ด้านวิเศษนอนหลับไปด้วยฤทธิ์ยาอยู่บนเตียง คุณพระนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงนั้น สักครู่หนึ่งกานดาวสีเปิดประตูห้อง วิ่งถลาเข้ามาหาวิเศษอย่างใจเสีย ฐิติตามเข้ามาด้วย
“คุณลุงคะ ทำไมคุณพ่อถึงเป็นแบบนี้ล่ะคะ”
“พ่อของหลานเส้นเลือดในสมองแตก”
“แล้วมีทางจะรักษาให้หายมั้ยคะ”
คุณพระมีท่าทีหนักใจ “หมอเพิ่งบอกลุงเมื่อกี้นี้เองว่าดูจากอาการแล้วก็คงจะไม่มีทางอื่น นอกจากผ่าตัด”
กานดาวสีน้ำตาไหลพรากด้วยความเป็นห่วงพ่อ ฐิติกอดพลางปลอบ
“อย่าร้องไห้เลยนะ กานดาวสี คุณพ่อของคุณต้องหายเป็นปกติ เชื่อผมเถอะ”
กานดาวสีจับมือวิเศษ ร้องไห้คร่ำครวญ ด้วยความเสียใจ
“คุณพ่อต้องหายนะคะ คุณพ่อต้องไม่เป็นอะไร คุณพ่อตื่นมาคุยกับลูกสิคะ ลูกมาแล้ว ลูกอยู่ตรงนี้แล้ว ลูกขอโทษที่ดูแลคุณพ่อไม่ดี ลูกขอโทษ...”
กานดาวสีร้องไห้คร่ำครวญ ฐิติมองอย่างสงสาร
ไม่นานต่อมา ฐิติ กานดาวสี และคุณพระบรรณกิจ ออกมาจากห้องวิเศษ กานดาวสีหันมาบอกกับฐิติ
“ฝากกราบเรียนท่านหญิงด้วยนะคะว่าดิฉันขออนุญาตอยู่เฝ้าคุณพ่อที่โรงพยาบาล”
คุณพระแอบเหลือบตามองกานดาวสีอย่างแคลงใจนิดหนึ่ง
“แต่ผมว่าวันนี้คุณน่าจะกลับไปพักผ่อนก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมคุณพ่อใหม่”
“ฉันไม่ได้เหนื่อยอะไร ฉันอยากอยู่เฝ้าคุณพ่อมากกว่า”
คุณพระเห็นความโศกเศร้าเสียใจและห่วงใยวิเศษของกานดาวสีแล้วก็อดปลอบไม่ได้
“หนูกานดาวสีกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ ลุงให้พยาบาลพิเศษเค้าคอยดูแลอยู่แล้ว แล้วนี่หมอเค้าก็เพิ่งให้ยานอนหลับไป พ่อวิเศษคงจะหลับอีกนาน”
“ให้หนูอยู่ที่นี่เถอะค่ะ ถึงกลับไปหนูก็คงไม่สบายใจอยู่ดี แค่นี้หนูก็รู้สึกผิดมากพออยู่แล้ว ที่ไม่ได้อยู่ดูแลคุณพ่อตั้งแต่แรก”
ฐิติปลอบ “อย่าโทษตัวเองเลยนะ ไม่มีใครรู้อนาคตได้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“ใช่ค่ะ เพราะถ้ารู้ ยังไงฉันก็ไม่ไปหัวหินแน่ๆ”
ฐิติชะงัก อดคิดไม่ได้ว่ากานดาวสีอาจจะหมายถึงเรื่องที่มีความสัมพันธ์กับตน
คืนนั้นท่านหญิงลักษมีเดินไปเดินมาด้วยความกังวลเรื่องวิเศษ พลางทอดถอนใจ
“นี่พ่อวิเศษจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้...เมื่อไหร่แม่กานดาวสีเค้าจะกลับมาซะทีนะ”
นมสายท่าทางไม่สบายใจเหมือนกัน แต่ก็พยายามปลอบท่านหญิง
“คงจะไม่เป็นอะไรหรอกเพคะ ถ้าเป็นคุณกานดาวสีคงส่งข่าวมาแล้ว”
“ยังไงก็ขออย่าให้เป็นอะไรหนักหนาเล้ย”
พุดตานหันไปเห็นฐิติเดินหน้าขรึมเข้ามา จึงรีบเข้าไปหา ถามอย่างร้อนใจ
“ตาติมาพอดี คุณวิเศษเป็นยังไงบ้างลูก”
“เห็นหมอบอกว่าต้องผ่าตัด เพราะเส้นเลือดในสมองแตกครับ”
ทุกคนตกใจ
“โธ่...คุณวิเศษ เพิ่งจะเห็นหน้ากันอยู่หลัดๆ...” นมสายบอกพลางยกมือไหว้ท่วมหัว “เจ้าประคู๊ณ ขอให้คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองคุณวิเศษด้วยเถอะเจ้าค่ะ”
ท่านหญิงมัวแต่ตกใจ เพิ่งจะสังเกตว่ากานดาวสีไม่ได้กลับมาด้วย
“เอ๊ะ แล้วแม่กานดาวสีล่ะ”
“เธอฝากมากราบเรียนท่านย่าว่าจะขออยู่เฝ้าคุณวิเศษที่โรงพยาบาลครับ”
ท่านหญิงพยักหน้ารับรู้ เห็นหน้าตาฐิติอิดโรยจึงเป็นห่วง
“ย่าว่าติก็ดูเหนื่อยๆนะลูก ไปพักผ่อนก่อนดีกว่านะ แล้วพรุ่งนี้จะเอายังไงก็ค่อยว่ากัน”
“ครับ งั้นผมขอตัวก่อน”
ฐิติเดินไป นมสายอดพูดไม่ได้อย่างคนปากเปราะ
“เฮ้อ...มีแต่เรื่องอย่างนี้ แล้วเมื่อไหร่ท่านหญิงจะมีเหลนล่ะเพคะ”
ท่านหญิงอ่อนใจ
ที่วังสูรยกานต์ตอนเช้า นวลถือจดหมายลับๆล่อๆอยู่หน้าห้องฐิติ ทำท่าด้อมๆมองๆ เหมือนจะเปิดประตูเข้าไปแต่ไม่กล้า ประตูห้องเปิดออกพอดี ฐิติออกมาจากห้อง นวลตกใจ กระโดดตัวลอย จดหมายตกลงบนพื้น
“อุ๊ย ว๊ายหกหล่นป่นระยี่หมดแล้ว”
“มาทำอะไรอยู่ตรงนี้...นวล”
“เอ่อ...เอ่อ...”
นวลเหลือบมองไปที่ซองจดหมายที่ตกอยู่แล้วรีบหลบตา ไม่อยากให้ฐิติสังเกตเห็น ทว่าฐิติหันไปเห็นเข้าพอดี
“จดหมายอะไร”
นวลผวาตัวจะรีบเข้าไปเก็บ แต่ฐิติไวกว่าหยิบขึ้นมาก่อน
“ค...คือ เมื่อวานมีคนฝากจดหมายไว้ให้คุณกานดาวสีค่ะ แต่หนูลืม”
“เอามานี่ ฉันจะเอาไปให้เค้าเอง”
นวลส่งจดหมายให้ฐิติแล้วก้มหน้างุดๆ เดินเลี่ยงไป ฐิติดูที่หน้าซองจดหมาย เห็นเป็นชื่อ “กานดาวสี กิริเนศวร” เขาลังเลอยู่นิดหนึ่ง แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจเปิดออกอ่าน
“ถ้าไม่อยากให้ใครรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเรา กลับจากหัวหินเมื่อไหร่ รีบติดต่อกลับผมด่วน เรามีเรื่องต้องคุยกัน
...วสันต์”
ฐิติโกรธจัด ขยำจดหมายจนยับคามือ
อ่านต่อหน้า 3
สุดสายป่าน ตอนที่ 7 (ต่อ)
เช้าวันต่อมา กานดาวสีเดินคุยกับหมอปิ่น หมอเจ้าของไข้วิเศษมาตามทาง แล้วมาหยุดที่หน้าห้องวิเศษ
“แล้วคุณพ่อจะต้องผ่าตัดเมื่อไหร่คะ”
“เร็วที่สุดครับ ยิ่งช้า...โอกาสหายก็จะยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ”
กานดาวสีบอกอย่างไม่ลังเล “ได้ค่ะ แล้วแต่คุณหมอจะเห็นสมควร ถ้ามีทางไหนที่จะทำให้คุณพ่อหายเป็นปกติ ดิฉันก็ยินดีจะทำทุกอย่าง”
“ครับ ผมจะได้สั่งให้เตรียมห้องผ่าตัดเลย”
คุณหมอปิ่นเดินไป
กานดาวสีเครียด ยืนสงบอารมณ์อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้องวิเศษ
กานดาวสีเปิดประตูเข้าไปในห้องแล้วตาโตอย่างดีใจ เมื่อเห็นนารีรัตน์นั่งซบหน้าอยู่ที่ขอบเตียงวิเศษ
“ยัยรัตน์”
นารีรัตน์หันมามองกานดาวสีอย่างเกลียดชัง
“มาได้แล้วเหรอ นึกว่าจะรอให้คุณพ่อตายซะก่อน”
กานดาวสีนึกไม่ถึงว่านารีรัตน์จะพูดอย่างนี้ ตำหนิอย่างไม่พอใจ
“ทำไมเธอพูดอย่างเงี้ย”
“หรือไม่จริง คุณพ่อป่วยมาตั้งหลายวันแล้ว แต่พี่ก็เพิ่งจะโผล่มา”
กานดาวสีไม่เข้าใจ “เธอพูดอะไร พอได้รับโทรเลขว่าคุณพ่อป่วย พี่ก็รีบกลับมาทันที”
นารีรัตน์ด่าอีก “ไม่ต้องมาตีหน้าซื่อ รัตน์ไม่เคยคิดเลยว่าพี่กานจะเลวขนาดนี้...ทั้งๆ ที่รู้ว่าคุณพ่อป่วยหนัก แต่พี่ก็ยังไปเริงร่าอยู่ที่หัวหิน ไม่คิดจะช่วย ไม่แยแสทั้งๆ ที่บ้านกำลังจะถูกยึด”
กานดาวสีตกตะลึง
“อะไรนะ”
เวลาต่อมานารีรัตน์เดินหนีมาที่สวนของโรงพยาบาล ด้วยไม่อยากจะพูด ไม่อยากเห็นหน้ากานดาวสีอีก แต่กานดาวสีวิ่งตามมาดึงแขนไว้
“เดี๋ยวก่อนยัยรัตน์ พี่ไม่เคยรู้เรื่องนี่มาก่อนเลยนะ”
นารีรัตน์ย้อน “เหรอ แล้วที่พี่ให้เพื่อนตบคุณแม่จนหน้าบวม ตอนที่ท่านมาบอกพี่ที่วังสูรยกานต์ล่ะ หรือจะบอกว่าไม่รู้ไม่เห็นอีก...”
กานดาวสีอึ้งไป งงไปหมดว่าเกิดอะไรขึ้น นารีรัตน์ใส่ไม่ยั้ง
“เสียแรงที่คุณพ่อรักพี่ที่สุด พี่ยังอกตัญญูได้ถึงขนาดนี้”
“เธอกำลังเข้าใจผิด...”
“รัตน์ไม่มีเวลามาฟังพี่แก้ตัวหรอกนะ ถึงรัตน์จะไม่ใช่ลูกรักของคุณพ่อ แต่รัตน์ก็จะไม่มีวันทิ้งท่าน รัตน์จะทำทุกอย่างเพื่อหาเงินมารักษาคุณพ่อ...แล้วรัตน์ก็จะไม่ยอมให้บ้านถูกยึดไปต่อหน้าต่อตาด้วย”
นารีรัตน์สะบัดแขนให้หลุดจากกานดาวสีแล้ววิ่งหนีไป กานดาวสีมองตาม ทั้งเครียด ทั้งงุนงงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ฐิติพูดโทรศัพท์หน้าเครียด มือกำจดหมายแน่น
“อะไรนะครับ กานดาวสีไม่ได้กลับไปที่บ้าน...ไม่เป็นไรครับคุณอาอุไร ผมลืมไป เค้าคงจะเฝ้าคุณอาวิเศษอยู่ที่โรงพยาบาล ขอบคุณนะครับ”
ฐิติวางหูโทรศัพท์แล้วเดินก้าวยาวๆ ผ่านห้องทานอาหารเช้า จะออกไปนอกตึก
“พ่อติ จะรีบไปไหน ไม่ทานอาหารเช้าก่อนรึ” ท่านหญิงลักษมีเรียก
“ไม่ครับท่านย่า ผมมีเรื่องต้องไปสะสางนิดหน่อย ขอตัวก่อนนะครับ”
ฐิติเดินออกไป
“ก็คงจะเรื่องคุณวิเศษน่ะแหละเพคะ เห็นว่าต้องผ่าตัดวันนี้”
ท่านหญิงพยักหน้าเห็นด้วย “ก็จริง ฉันก็คิดว่าจะไปเยี่ยมพ่อวิเศษเค้าวันนี้เหมือนกัน”
พุดตานไม่เห็นด้วยกับท่านหญิงและนมสาย มองตามฐิติไปด้วยท่าทางมีกังวล
ด้านคุณพระบรรณกิจเดินเข้ามาให้ทำงานวสันต์วางเอกสารปึกใหญ่ลงตรงหน้าเขา มองวสันต์อย่างเคร่งขรึม
“ผมจะพูดตรงๆเลยนะ ผมรู้แล้วว่าที่ยอดเงินมันคลาดเคลื่อน เป็นเพราะคุณทุจริต...”
วสันต์แกล้งทำหน้าตกใจ รีบแก้ตัวเป็นพัลวัน
“อะไรกันครับ ทำไมคุณพระถึงกล่าวหา...”
คุณพระขัดขึ้น “พอเถอะคุณวสันต์ ผมได้ตรวจสอบหลักฐานอย่างละเอียดแล้ว...” มองอย่างรู้ทัน “เรื่องที่เกี่ยวกับสูรยกานต์ไหมไทย ไม่มีใครตบตาผมได้หรอก”
วสันต์ละล่ำละลัก “แต่คุณพระครับ...ให้ผมได้อธิบาย”
“ไม่ต้อง...ถ้าคุณไม่อยากให้เรื่องถึงตำรวจ สิ่งที่คุณจะต้องทำก็คือรีบเอาเงินมาคืนในบัญชี แล้วเขียนใบลาออกซะ ผมรับรองว่าจะไม่กระโตกกระตากเรื่องนี้ให้ใครรู้”
วสันต์ตกใจ “คุณพระ”
คุณพระเดินออกไป ทิ้งให้วสันต์งุ่นง่านอยู่คนเดียวในห้อง ทั้งโกรธ ทั้งตกใจ
“โอ๊ย...แล้วกูจะทำยังไงดีวะ”
คุณพระบรรณกิจเดินหน้าตาเคร่งเครียดกลับมาที่ห้องทำงาน อิ่มใจรีบลุกขึ้นรายงาน
“คุณพระคะ มีแขกมาขอพบค่ะ”
คุณพระฉงน “ใคร”
เสียงกานดาวสีดังขึ้น “หนูเองค่ะ”
คุณพระหันไปตามเสียง เห็นกานดาวสีลุกขึ้นจากโซฟาที่มุมห้องเดินเข้ามาหา
คุณพระตกใจพอฟังกานดาวสีพูดจบ “หนึ่งแสนบาท”
กานดาวสีละอายแต่จำเป็นต้องพูด “ค่ะ คือ หนูจะเอาไปเป็นค่าผ่าตัดของคุณพ่อ...แต่หนูจะรีบหางานทำ เอาเงินมาใช้คุณลุงให้เร็วที่สุด”
“เรื่องนั้นน่ะไม่มีปัญหาหรอก หนูกานไม่ต้องกังวล แต่ลุงขอถามหน่อยเถอะว่าทำไมหนูกานจะต้องหางานทำด้วย ลุงแน่ใจว่าถ้าคุณฐิติรู้เรื่องนี้...”
กานดาวสีพูดขัดขึ้น “หนูคงไม่พูดเรื่องนี้กับคุณฐิติหรอกค่ะ” พูดขึ้นมาแล้วสะเทือนใจ “เดี๋ยวเค้าจะว่าได้ว่าหนูแต่งงานเพราะเงิน”
“ลุงว่าหนูคิดมากเกินไปแล้ว คุณฐิติไม่มีทางคิดอย่างนั้นแน่ๆ”
“ยังไงหนูก็จะไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากเค้าเป็นอันขาดค่ะ หนูไม่อยากให้เป็นหนี้บุญคุณกัน ถ้าวันนึงมีเหตุให้ต้องเลิกรากันไป”
คุณพระมีสีหน้าระแวง
“แล้วทำไมถึงคิดว่าจะเลิกกัน หรือว่าหนูรักคนอื่น...ที่ไม่ใช่คุณฐิติ”
ฟากวสันต์กำลังจะเดินออกจากบริษัท แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นกานดาวสียืนอยู่ที่หน้าบริษัท วสันต์ดวงตาวาววับ สีหน้าเหี้ยมเกรียม
“นี่นังกานดาวสีมันกลับมาจากหัวหินแล้วเหรอเนี่ย”
วสันต์กำลังจะเดินเข้าไปหากานดาวสี ไม่ทันสังเกตเห็นคุณพระซึ่งเดินตามออกมาพอดี
คุณพระเห็นวสันต์กำลังจะเดินไปหากานดาวสี จึงเรียกขึ้น
“คุณวสันต์จะไปไหนรึ”
วสันต์ตกใจ “คือผม...”
วสันต์ชำเลืองมองไปที่กานดาวสี เห็นกานดาวสีกำลังก้าวขึ้นรถรับจ้าง
“เอ่อ...พอดีผมมีธุระต้องรีบไป ขอตัวก่อนนะครับ”
วสันต์รีบวิ่งไปเรียกรถที่หน้าบริษัท คุณพระมองตามอย่างระแวง
ด้านกานดามณีแต่งตัวสวยเฉียบเดินเข้ามาในโรงพยาบาลกับวิไลวรรณที่บ่นบ้าโวยวายตลอดทาง
“นี่แกนึกยังไงฮะ ถึงมาเยี่ยมพ่อแกได้...จะว่ามาขอเงิน เค้าก็คงไม่มีปัญญาให้แกแล้ว หรือว่าเกิดจะพิศวาสอะไรขึ้นมา”
“โวยวายไปได้ ฉันก็แค่จะแวะไปดูนิดนึง ยังไงเค้าก็เป็นพ่อ...”
วิไลวรรณ(บ่น) แล้วแกจะลากฉันมาทำไมแต่เช้าฮะ คนจะนอน...กะอีแค่มาหาพ่อ จะหนีบฉันมาด้วยทำไมก็ไม่รู้
กานดามณีหยุดเดิน หันมายิ้มกับวิไลวรรณอย่างหมายมั่นปั้นมือ พูดเน้นคำ
“ก็เพราะแกจะต้องไปหาคุณฐิติที่วังสูรยกานต์กับฉันน่ะสิ ฉันตัดสินใจแล้ว ยังไงวันนี้ฉันก็ต้องพบเค้าให้ได้...”
กานดามณีเดินลับมุมไป เห็นฐิติเดินหน้าหงิกเข้ามาจากอีกทาง ทำท่าจะเดินไปทางหนึ่ง แล้วเปลี่ยนใจเดินไปที่เคาน์เตอร์พยาบาล
“ขอโทษนะครับ ห้อง 108 ไปทางนั้นหรือเปล่าครับ”
“ใช่ค่ะ” พยาบาลบอก
ฐิติพยักหน้ารับรู้ แล้วเดินไป
รถแท็กซี่แล่นมาจอดที่หน้าโรงพยาบาล กานดาวสีลงมา แล้วเดินก้มหน้าก้มตาเก็บธนบัตรในกระเป๋าถือ ทำให้ผ้าเช็ดหน้าตกลงที่พื้น กานดาวสีก้มลงเก็บใส่กระเป๋าก่อนจะเดินต่อไปแต่วสันต์เข้ามาขวางไว้ กานดาวสีมองหน้าวสันต์อย่างตกใจ
“คุณ...”
วสันต์ย่างสามขุมเข้ามาขยุ้มไหล่กานดาวสีไว้
“เธอกล้าลองดีกับฉันเหรอ ฉันบอกไว้ในจดหมายแล้วไงว่ากลับมาจากหัวหินเมื่อไหร่ให้รีบติดต่อฉันทันที...”
“จดหมายอะไรฉันจะไปรู้ได้ยังไง ก็ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่รู้จักคุณ”
วสันต์ไม่เชื่อ “แหม...ตั้งแต่ได้เป็นถึงสะใภ้สูรยกานต์นี่ความจำเสื่อมขึ้นมาเลยนะ...ผิดกับฉันที่จำได้ทุกตารางนิ้วของเธอ”
“คุณพูดเรื่องอะไรน่ะ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้”
กานดาวสีผลักวสันต์เต็มแรง แล้ววิ่งหนีออกไป
วสันต์ตามมาคว้าแขนกานดาวสีลากเข้ามุมลับตา เอามือเค้นคอกานดาวสีให้มองที่ตน โน้มหน้าเข้าไปใกล้เหมือนจะเล้าโลม แววตาวาววับ พูดทีเล่นทีจริง
“ถ้าอยากให้ฉันลืมล่ะก็...ง่าย จ่ายมาสิ ล้านนึง แล้วฉันจะปิดปากให้สนิทเลยทีเดียว คิดดูสิว่ามันคุ้มซะยิ่งกว่าคุ้มอีก เพราะถ้าเรื่องระหว่างเรารู้ไปถึงหูคุณฐิติ...เค้าต้องเขี่ยเธอออกไปจากชีวิตเค้าแน่ๆ”
“คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ เรื่องระหว่างเรามันจะเกิดขึ้นได้ยังไง ในเมื่อฉันไม่เคยรู้จักคุณ”
วสันต์มองอย่างทึ่งแกมเย้ย
“ฉันลืมไปว่าเธอคงจะผ่านมาเยอะ จนจำไม่ได้ล่ะสิว่าใครเป็นใคร...ต่อจากฉัน ก็ยังมีไอ้วิทย์ ไอ้ฐิติ นี่ยังไม่รวมก่อนหน้านี้อีกไม่รู้กี่คนเฮ้อ...เยอะขนาดนี้ สงสัยจะต้องทวนความจำให้ซะแล้ว”
วสันต์ก้มลงจะจูบกานดาวสีดิ้นสู้
“อย่านะ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้”
กานดาวสีดิ้นสุดตัว ก่อนจะชะงัก ตาโตด้วยความตกใจ วสันต์ก็ชะงักไปด้วย มองตามสายตากานดาวสี เห็นฐิติยืนมองอยู่ด้วยสีหน้าเย็นชาแต่แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“ขอบคุณนะที่บอกให้รู้ว่าก่อนจะมาถึงผมคุณผ่านใครมาแล้วบ้าง”
กานดาวสีตกใจ “คุณฐิติ”
ฐิติหยิบจดหมายที่ขยำเป็นก้อนกลมๆออกมา
“ผมคิดไม่ผิดจริงๆ ที่อ่านจดหมาย มันยิ่งทำให้ผมแน่ใจในความสำส่อนของคุณ”
“คุณฐิติ มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ ฟังฉันก่อน”
“พอเถอะ แค่นี้ผมก็ได้ยินชัดเต็มสองหูแล้ว...บทรักของผมมันคงถึงใจไม่พอล่ะสิ ถึงกับต้องใช้พ่อตัวเองมาเป็นข้ออ้างแล่นกลับมาหาชู้เก่าแบบนี้”
กานดาวสีทั้งเสียใจ ทั้งผิดหวัง “คุณดูถูกฉันเกินไปแล้วนะ”
“เลิกเล่นละครได้แล้วกานดาวสี...หน้าอย่างคุณำได้ทุกอย่างเพื่อเงิน คุณจำไว้นะ คุณจะไม่มีวันได้อะไรจากผมแม้แต่สตางค์แดงเดียว”
ฐิติปาจดหมายทิ้งแล้วเดินออกไปทันที
กานดาวสีพูดไม่ออก น้ำตาไหล เสียใจที่ฐิติไม่ยอมแม้แต่จะฟัง
“เอาล่ะ...ไหนๆ ผัวเธอเค้าก็รู้เรื่องหมดแล้ว เราน่าจะมาช่วยกันคิดวิธีรีดเงินจากมันดีกว่า”
กานดาวสีหมดความอดทน “หยุดพูดซะที ฉันขอบอกเป็นครั้งสุดท้ายว่า ฉันไม่เคยรู้จักคุณ...แต่ถ้าคุณอยากจะปั้นเรื่องอะไรไปบอกใครอีก ก็เชิญ ฉันไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไปแล้ว”
กานดาวสีน้ำตาไหล เดินแกมวิ่งมาตามทางเดิน วสันต์เดินตามมาด้วย
“กานดาวสี จะไปไหน มาพูดกันก่อน”
กานดาวสีไม่สนใจ เปิดประตูเข้าไปในห้องวิเศษ วสันต์วิ่งมาถึงจะเปิดประตูเข้าไป แต่ติดล็อก
“กานดาวสี เปิดประตูเดี๋ยวนี้ เราต้องพูดกันให้รู้เรื่อง เธอจะโง่เสียตัวให้มันฟรีได้ไง...กานดาวสี”
วสันต์ทั้งเคาะ ทั้งเขย่าประตู
ส่วนอีกด้านหนึ่ง กานดามณีกับวิไลลักษณ์กำลังดูเลขห้องวิเศษ
“104 แล้ว พ่อแกอยู่ห้อง 108 ใช่มั้ย” วิไลวรรณถาม
กานดามณีมองเรื่อยไปข้างหน้า แล้วก็ชะงัก ตาโตด้วยความตกใจ เมื่อเห็นวสันต์ยืนเคาะประตูอยู่หน้าห้องวิเศษ กานดามณีพูดไม่ออก รีบลากวิไลวรรณหันหลังกลับวิ่งออกไปทันที
“ไปเร็วยัยวรรณ”
วิไลวรรณดึงมือไว้
“จะไปไหนอีกล่ะ จะถึงห้องพ่อแกแล้วไง หรือจะเปลี่ยนใจอีก”
“เรื่องพ่อเอาไว้ก่อน ตอนนี้ไอ้วสันต์มันอยู่นั่นไง
วิไลวรรณมองตามสายตากานดามณี แล้วตกใจร้องเสียงดัง
“เฮ้ย...”
วสันต์ได้ยินหันมาตามเสียง แล้วต้องตะลึงเมื่อเห็นกานดามณี
“เฮ้ย กานดาวสี”
กานดามณีกับวิไลวรรณจูงมือกันวิ่งหนี
“เร็วๆ เข้าสิแก”
วสันต์มองตามกานดามณี แล้วมองประตูห้องวิเศษที่เห็นกับตาว่ากานดาวสีวิ่งเข้าไป รู้สึกประหลาดใจมาก
“อะไรกันวะ หรือว่ามีกานดาวสี 2 คน”
วสันต์ไม่รอช้า รีบวิ่งตามกานดามณีกับวิไลวรรณไปทันที
อ่านต่อหน้า 4
สุดสายป่าน ตอนที่ 7 (ต่อ)
ด้านฐิติรีบเดินตรงไปขึ้นรถอย่างหงุดหงิด แล้วขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว อันเป็นจังหวะเดียวกับที่กานดามณีวิ่งพรวดพราดออกมาตัดหน้ารถ และหันไปเห็นรถฐิติกำลังพุ่งเข้ามาหา กานดามณีร้องกรี๊ดสุดเสียง
“อ๊าย”
วิไลวรรณที่วิ่งตามมาเห็นก็พลอยกรี๊ดไปด้วย ฐิติเหยียบเบรกดังเอี๊ยด กานดามณีล้มลงวิไลวรรณรีบวิ่งมาดู
“ยัยณี เป็นยังไงบ้าง”
ฐิติวิ่งลงมา เห็นวิไลวรรณกำลังพยายามประคองกานดามณีขึ้นมา
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
ฐิติเข้าไปช่วยวิไลวรรณประคองกานดามณีขึ้นมา กานดามณีกำลังตาลีตาเหลือกลุกขึ้นเพื่อจะวิ่งหนีวสันต์ต่อ หันขวับมาอย่างหงุดหงิดตั้งใจต่อว่า
วินาทีนั้นทั้งฐิติ และกานดามณีสบตากัน กานดามณีตกใจที่เห็นเป็นฐิติ
ฐิติตกใจ แต่ยังเข้าใจว่าเป็นกานดาวสี จึงมองมาอย่างประหลาดใจ
“กานดาวสี!”
กานดามณีเรียกสติกลับคืนมาได้ทันควัน เบิกตากว้างด้วยความยินดี ไม่นึกว่าสวรรค์จะเข้าข้างให้เจอฐิติได้ง่ายขนาดนี้
“ฐิติ ฐิติจริงๆ ด้วย คุณจำฉันฉันได้มั้ยคะ ฉันคิดถึงคุณเหลือเกิน”
ฐิติตะลึงรู้ว่าไม่ใช่กานดาวสีที่ตนแต่งงานด้วย แต่กานดามณีไม่ปล่อยให้ฐิติตั้งตัว โผเข้ากอดรัดแน่น พูดพร่ำรำพัน
“รู้มั้ยคะว่าฉันตามหาคุณแทบพลิกแผ่นดิน จนคิดว่าชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้พบคุณอีกแล้ว คุณอย่าทิ้งฉันไปอีกนะคะ ฉันรักคุณ รักคุณคนเดียว”
ห่างออกไปวสันต์มองอยู่ไกลๆ ไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง
ขณะเดียวกันบุรุษพยาบาลเข็นรถวิเศษมาตามทางเดินเพื่อเข้าห้องผ่าตัด หมอปิ่น พยาบาล และกานดาวสีเดินตามมาด้วย
“ดิฉันฝากคุณพ่อด้วยนะคะคุณหมอ”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะดูแลคุณวิเศษให้ดีที่สุด” หมอบอก
บุรุษพยาบาลเข็นรถวิเศษเข้าไปในห้องผ่าตัด หมอ พยาบาล เดินเร็วรี่ตามเข้าไปในห้อง
กานดาวสีมองตามเข้าไปอย่างเป็นกังวล ได้ยินเสียงท่านหญิงเรียกขัดจังหวะขึ้นมา
“แม่กานดาวสี”
กานดาวสีหันไปเห็นท่านหญิง นมสาย และพุดตานกำลังเดินตรงเข้ามา
“พ่อวิเศษเป็นยังไงบ้าง เห็นว่าหมอนัดผ่าตัดวันนี้”
“เพคะ เพิ่งเข้าไปเมื่อสักครู่นี้เอง”
“หมอบอกหรือเปล่าคะว่าเมื่อไหร่จะเสร็จ ผ่าตัดเสร็จแล้วจะหายเลยหรือเปล่า อิฉันล่ะเป็นห่วงจริงจริ๊ง นี่อุตส่าห์ตั้งใจจะมาส่งคุณวิเศษเข้าห้องผ่าตัด...แต่ก็ไม่ทันจนได้...งั้นเราก็อยู่รอกันจนกว่าจะผ่าตัดเสร็จดีมั้ยเพคะท่านหญิง” นมสายถาม
ท่านหญิงมองไปรอบๆ แปลกใจที่ไม่เห็นฐิติ
“แล้วนี่ตาติหายไปไหน เมื่อเช้าเห็นรีบร้อนออกมา เค้าไม่ได้มาที่นี่หรอกรึ”
ฐิติกับกานดามณีเดินคุยกันอยู่ในสนามหญ้าหน้าบ้าน กานดามณีตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ
“หลังจากคืนสุดท้ายที่เราเจอกันที่ประจวบ ฉันต้องรีบกลับกรุงเทพฯ ด่วน เพราะคุณแม่เสียกระทันหัน ทิ้งภาระหนี้สินไว้มากมาย ฉันต้องระเหเร่ร่อนไปทำงานต่างจังหวัด หาเงินใช้หนี้ให้แม่...”
กานดามณีจับมือฐิติแนบแก้ม มองมาด้วยสายตาน่าสงสาร ฐิติสงสารในชะตากรรมของกานดามณี แต่ก็อึดอัด
“...ฉันไม่กล้ากลับไปหาคุณ เพราะกลัวว่าคุณจะรังเกียจ แต่ไม่นึกเลยว่าในที่สุดพระพรหมก็ดลบันดาลให้เราได้มาพบกันอีก...ติขา ฉันคิดถึงคุณมากเหลือเกิน คุณอย่าจากฉันไปไหนอีกนะคะ สัญญากับฉันนะ ว่าตั้งแต่นี้เราจะไม่พรากจากกัน”
ฐิติไม่ตอบรับ มองกานดามณีอย่างต้องการค้นหาความจริง
“คุณรู้หรือเปล่าว่ามีคนหน้าเหมือนคุณ แล้วก็ยังชื่อกานดาวสีเหมือนกันอีก”
กานดามณีชะงัก หาทางเอาตัวรอด
“รู้ค่ะ ผู้หญิงคนนั้นคือพี่สาวของฉันเอง”
เย็นนั้นสองคนคุยกันอยู่อีกมุมหนึ่ง ในบ้านวิไลวรรณ ฐิติท่าทางว้าวุ่นใจ
“พี่สาวคุณ! แล้วทำไมถึงชื่อเหมือนกัน”
“ฉันชื่อกานดามณีค่ะ”
กานดามณีตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จต่อ
“ฉันขอโทษจริงๆ นะคะที่ฉันโกหกคุณ แต่ฉันเองก็เพิ่งจะมารู้เอาเมื่อตอนที่เรียนจบม.ปลาย ตอนนั้นแม่เริ่มจะไม่สบายแล้ว แม่เลยบอกให้ฉันรู้ว่าพ่อยังมีชีวิตอยู่ และฉันยังมีพี่สาวฝาแฝดอีกคน...”
กานดามณีลอบสังเกตปฏิกิริยาของฐิติที่กำลังตั้งใจฟัง รู้สึกได้ว่าฐิติไม่ได้ดีใจที่ได้พบตน แต่หล่อนก็ไม่ยอมแพ้ เล่าต่อไปด้วยเสียงสะเทือนใจ
“แต่นอกจากหน้าตาแล้ว พี่กานดาวสีแตกต่างกับฉันทุกอย่าง เค้าได้แต่งตัวสวยๆ อยู่ในวงสังคมชั้นสูง ได้ไปเรียนเมืองนอก ในขณะที่ฉัน แทบจะไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ ตั้งแต่วันนั้นฉันก็เลยอยากเป็นอย่าง เค้าบ้าง ฉันก็เลยบอกใครๆ ว่าฉันชื่อกานดาวสี”
ฐิติเดินไปนั่งกุมขมับอย่างรู้สึกผิด และหวั่นใจอยู่ลึกๆ
“ไม่น่าเลย ผมน่าจะเฉลียวใจตั้งแต่ตอนที่พี่สาวคุณปฏิเสธว่าเค้าไม่ใช่คุณแล้ว”
กานดามณีแสร้งทำเป็นแปลกใจ “หมายความว่าคุณเคยเจอพี่กานดาวสีแล้วเหรอคะ”
“ไม่ใช่แค่เจอ...แต่ผม...แต่งงานกับกานดาวสีแล้ว”
คราวนี้กานดามณีแกล้งตะลึง “อะไรนะคะ” สำทับด้วยท่าทางเสียใจมาก “คุณแต่งงานแล้ว...ไม่...ไม่จริง”
กานดามณีแสร้งทำเป็นสะเทือนใจสุดขีด น้ำตาไหลพราก มองหน้าฐิติอย่างผิดหวัง แล้ววิ่งเตลิดออกไปจากบ้านฐิติตกใจ วิ่งตาม
“คุณกาน นั่นคุณจะไปไหน”
กานดามณีวิ่งหนีมาตามทาง ฐิติวิ่งตามพร้อมร้องเรียกอยู่ด้านหลัง
“คุณกาน รอผมด้วย”
กานดามณีมองจากหางตาแล้วยิ้มสะใจออกมา แต่ยังวิ่งต่อมาถึงกลางสะพาน ทำท่าจะกระโดดน้ำตายฐิติวิ่งตามมาทันที่กลางสะพาน คว้าตัวกานดามณีไว้ได้
“คุณกานอย่า...คุณกาน”
กานดามณีดิ้นจนฐิติต้องกอดเอาไว้
กานดามณีพยายามดิ้น “ปล่อยฉันค่ะฐิติ ฉันอยากตาย ปล่อยฉัน”
“ไม่นะคุณกาน ผมขอร้อง คุณอย่าทำแบบนี้เลย”
กานดามณีร้องไห้ครวญคร่ำ “ตั้งแต่ฉันได้พบคุณ ฉันก็รู้แล้วว่าชีวิตฉันจะขาดคุณไม่ได้ฉันไม่มีหัวใจเหลือไว้ให้ใครนอกจากคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น...แต่ตอนนี้ชีวิตฉันไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ปล่อยให้ฉันตายเถอะค่ะ”
ฐิติหนักใจ แต่พยายามปลอบ
“คุณกาน ฟังผมนะ...ผมไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเกิดปัญหาแบบนี้ และมันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะแก้กันได้ง่ายๆ”
กานดามณีฟังเสียงฐิติแล้วไม่แน่ใจว่าฐิติจะเลือกตน จึงยิ่งพยายามพูดให้ฐิติรู้สึกต้องรับผิดชอบ ยิ่งสะอื้นหนัก
“ฉันรู้ค่ะ ฉันถึงยอมที่จะเป็นฝ่ายไปเพื่อจะให้พี่และผู้ชายที่ฉันรักมีความสุข...ลาก่อนนะคะ ลืมสัญญาระหว่างเราซะ ถ้าชาติหน้ามีจริง ฉันก็จะขอรักคุณคนเดียวตลอดไป”
กานดามณีผลักไสฐิติ แล้วกระโดดตูมลงไปในน้ำ
ฐิติตกใจมาก หลงกลนางมารร้ายเช่นเคย
“คุณกาน”
ฐิติไม่มีเวลาคิดอะไรทั้งนั้น รีบกระโดดตูมตามลงไปช่วยกานดามณี
ครู่ต่อมาฐิติอุ้มกานดามณีขึ้นมาวางบนพื้นหญ้า
“คุณกาน...คุณกาน อย่าเป็นอะไรนะ”
กานดามณียังไม่ได้สติ ฐิติรีบก้มลงไปผายปอดให้จนกานดามณีสำลักน้ำออกมา
ฐิติดีใจ “คุณกาน คุณไม่เป็นอะไรใช่มั้ย”
กานดามณีค่อยๆ ลืมตา มองไปรอบๆ ก่อนจะมาหยุดที่หน้าฐิติ น้ำตาไหลออกมา ท่าทีน่าสงสาร
“ฉันอยากตาย ฉันอยากตายจริงๆ คุณมาช่วยฉันไว้ทำไม”
“ไม่ได้นะ คุณกาน...ผมจะยอมให้คุณเป็นอะไรไปไม่ได้”
กานดามณีมองฐิติอย่างตัดพ้อ “แต่ฉันยอมตายดีกว่าที่จะอยู่อย่างคนไร้หัวใจ”
“ผมขอร้อง ขอเวลาผมหน่อยได้มั้ย...ให้ผมมีเวลาได้คิด ผมสัญญาว่าจะพยายามหาทางออกสำหรับเรื่องนี้ให้ดีที่สุด”
ฐิติเครียดหนัก
คืนนั้นฐิติตัดสินใจบอกเรื่องกานดามณีต่อท่านหญิงย่าถึงในห้องบรรทม
“กานดาวสีมีน้องสาวฝาแฝด”
“ครับ”
ท่านหญิงไม่เข้าใจ “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับย่าถึงขนาดจะต้องรีบมาบอก”
ฐิติสีหน้าไม่ดี หันไปมองพุดตานที่นั่งนิ่ง สีหน้าเรียบสนิท
“คือ...ที่จริงแล้วคนรักของผมคือกานดามณี น้องสาวของกานดาวสีครับ”
ท่านหญิงตกใจ
“คุณพระ! ติกำลังจะบอกย่าว่าติแต่งงานผิดคนอย่างงั้นเหรอ”
“ครับ”
“แล้วทีนี้จะทำยังไง”
“ผมต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ครับ ผมเคยสัญญากับกานดามณีไว้ว่าจะ...แต่งงานกับเธอ...”
ฐิติพูดยังไม่ทันจบ ท่านหญิงย่าก็พูดแทรกขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
“แต่ติแต่งงานกับแม่กานดาวสีไปแล้ว แล้วจะไปแต่งงานกับผู้หญิงอีกคนนึงได้ยังไง ย่าไม่มีวันยอมให้เกิดเรื่องบ้าๆอย่างนี้ขึ้นแน่ๆ”
“ผมแค่เรียนให้ท่านย่าทราบ ว่าผมเคยสัญญากับกานดามณีไว้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะแต่งงานกับเธอ...”
“แต่ติบอกว่าติจะต้องรับผิดชอบ...แล้วถ้าไม่ใช่การแต่งงาน ติจะรับผิดชอบเค้าด้วยวิธีไหนล่ะ บอกย่ามาสิ”
ฐิติอึ้งไป เพราะตนยังหาคำตอบไม่ได้เช่นกัน ท่านหญิงส่ายศีรษะ โบกมือไล่
“พวกเธอออกไปก่อนเถอะ”
“แต่ท่านย่าครับ”
“อย่าเพิ่งพูดอะไรอีกเลย ให้เวลาย่าคิดสักหน่อย ออกไปก่อน เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เราต้องคิดให้รอบคอบ...แล้วอีกอย่าง ย่าต้องการจะรอให้พ่อวิเศษหายดีซะก่อน แล้วค่อยมาพูดเรื่องนี้กันใหม่”
ท่านหญิงลักษมีหันหลังให้ทุกคนเป็นการตัดบท ฐิติทำท่าจะพูดอีก พุดตานแตะแขนลูกเป็นการเตือน
“ติ...ฟังท่านย่า”
ฐิติหันไปมองพุดตาน สองคนแม่ลูกค่อยๆ ออกไป
สีหน้าท่านหญิงยามนี้กำลังครุ่นคิดหนัก
ฐิติเข้ามาในห้องอย่างอัดอั้นตันใจ พุดตานเดินตามเข้ามาด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“หมายความว่าผู้หญิงที่ลูกตามหามาตลอดก็คือกานดามณี...ไม่ใช่แม่กานดาวสี”
ฐิติพยักหน้ายอมรับ พุดตานหน้าเสีย รู้สึกผิดที่รังเกียจกานดาวสีมาตลอด
“คุณพระ...แม่ก็หลงไปโกรธแม่กานดาวสีอยู่ตั้งนาน”
ฐิตินิ่งไปก่อนจะพูดอย่างตัดใจ
“ผมตัดสินใจแล้วว่าจะแต่งงานกับกานดามณี ผมเคยสัญญากับเค้าไว้ยังไงผมก็จะต้องทำตามสัญญา”
พุดตานเปรยๆ “แต่คนที่ทำให้ลูกเสียใจก็คือแม่กานดามณี”
“แต่เธอก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้น มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ ครับแม่” ฐิติหลงลม หลุดปากอย่างลืมตัว “กานดาวสีต่างหากที่ทำให้ผมเจ็บปวดยิ่งกว่า”
พุดตานมองฐิติอย่างเข้าใจ
“ติ เพื่อตัวลูกเอง แม่ขอร้อง คิดให้ดีนะลูกก่อนที่จะทำอะไรลงไปถามตัวเองซะก่อนว่าลูกรักใครกันแน่ แม่ไม่อยากให้ลูกใช้อารมณ์ชั่ววูบในการตัดสินใจ”
รำเพยเพื่อนรักแวะมาที่โรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมวิเศษ แต่ต้องคอยปลอบกานดาวสี
“อย่าคิดมากเลยนะกาน ผัวเมียมันก็ต้องมีเข้าใจผิดกันบ้างเป็นธรรมดา”
“คุณฐิติไม่เชื่อใจฉัน...แล้วฉันก็ไม่รู้ว่าจะมีใครมาอ้างว่าเคยมีอะไรกับฉันอีกหรือเปล่า”
“ถึงวันนี้เค้าจะยังไม่เชื่อ แต่ความจริงมันก็ต้องเป็นความจริงวันยังค่ำ...ที่เค้าหลับหูหลับตาหึงเธอขนาดนี้ ก็เพราะเค้ารักเธอ” รำเพย
“ไม่จริง...เธอก็รู้นี่รำเพย ว่าคุณฐิติไม่ได้รักฉัน ฉันเป็นแค่เงาของผู้หญิงที่เค้ารักเท่านั้น เมื่อไหร่ที่ผู้หญิงคนนั้นกลับมา ฉันก็จะไม่มีความสำคัญอะไรกับเค้าอีก...ฉันตัดสินใจแล้วว่าฉันควรจะไป” กานดาวสีเจ็บปวดจนพูดไม่ออก “ก่อนที่เค้าจะบอกว่าเค้าไม่ต้องการฉันอีกแล้ว”
เช้าวันต่อมาวสันต์เดินไปเดินมาอยู่ในบ้านอิ่มใจด้วยท่าทางคิดหนัก หลังฟังวสันต์เล่าว่าวิ่งตามกานดาวสีที่วิ่งเข้าไปในห้องวิเศษที่โรงพยาบาล แล้วหันไปเห็นกานดามณีกำลังวิ่งหนี
“นี่มันเป็นไปได้จริงๆเหรอวะ”
ชายโฉดวสันต์คิดๆแล้วหัวเราะขึ้นมาอย่างพอใจ
“แต่ก็ดี เรากำลังต้องการเงินซะด้วยสิ ฟ้าก็ช่างเข้าข้างส่งพวกมันมาได้ทันเวลา ยังไงเราก็ต้องได้เงินจากพวกมันคนใดคนหนึ่งแน่ๆ”
เสียงวิทย์ดังขัดขึ้น “งั้นก็หมายความว่า แกก็จะมีเงินใช้หนี้ฉันแล้วน่ะสิ”
วสันต์ตกใจหันไปตามเสียง เห็นวิทย์ยิ้มเหี้ยม เดินเข้ามาอย่างเอาเรื่อง
วสันต์รีบพูดด้วยท่าทางประนีประนอมเต็มที่ “เฮ้ย ฉันไม่ลืมหรอกน่า เงินล้านนั้นน่ะ แกไม่สูญแน่ๆ
วสันต์มองวิทย์อย่างวัดใจ ก่อนจะตัดสินใจพูดกับวิทย์อย่างใจดีสู้เสือ
“แต่ว่าตอนนี้ฉันกำลังลำบากว่ะ ฉัน...ขอยืมแกอีกล้านนึงก่อนได้มั้ยวะ”
วิทย์มองวสันต์อย่างทึ่งในความหน้าด้าน พูดขำๆ
“แกนี่หน้าด้านจริงๆว่ะ” แล้วเปลี่ยนอารมณ์เป็นเหี้ยม “เห็นเขาบนหัวฉันหรือไง ถึงคิดว่าฉันจะเชื่อแก”
“ไม่ใช่นะโว้ย แต่ฉันมีทางหาเงินมาให้แกได้จริงๆ ขอเวลาฉันหน่อยรับรอง คราวนี้ไม่พลาดแน่ๆ”
วิทย์มองเยาะๆ ไม่เชื่อถือ “อย่างแกจะมีปัญญาไปหาเงินจากไหน ถ้าไม่ไปโกงเค้ามา”
วสันต์ยิ้มร้ายอย่างมีแผน “ก็เอามาจากนังกานดาวสีไง แล้วยิ่งตอนนี้มีกานดาวสีให้เลือกตั้ง 2 คน...ยังไงเราก็มีแต่ทางได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง”
“มีกานดาวสี 2 คน นี่แกหมายความว่าไงวะ”
หม่อมหลวงวิทย์ อัศวไกร ผู้กำกับเซ็กซ์จัดจอมซาดิสต์มองวสันต์อย่างงวยงง
อ่านต่อตอนต่อที่ 8