xs
xsm
sm
md
lg

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 7

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 7

ภายในห้องทำพิธี เสกสรรนั่งอยู่บนเตียงอย่างประหม่า

“วิธีนี้ได้ผลแน่นะซินแส”
ซินแสหันมาพร้อมกับกระเป๋าฝังเข็ม
“ถ้าลื้อสงสัยในวิชาอั้ว ก็ออกไป”
“ไม่สงสัยก็ได้”
“งั้นถอดเสื้อ”
“ห๊า” เสกสรรตกใจ
“งั้นก็ออกไป”
เสกสรรลังเลแต่ก็ยอมถอดเสื้อตามที่ซินแสบอก ซินแสหยิบเข็มมาก่อนจะจับๆ ไปที่หลังแล้วค่อยๆ ฝังเข็มลงไป หน้าเสกสรรบูดเบี้ยวเหมือนทนความเจ็บ
“เป็นไง” ซินแสถาม
“จิ๊บๆ ครับ”
“ดี รับรองหายแน่นอน”
เสกสรรมุ่งมั่นแม้จะเจ็บแต่ถ้าชนะภูวนัยได้ก็ยอม
หลังของเสกสรรเต็มไปด้วยเข็ม
“โห นายครับ ตอนนี้นายเหมือนเม่นมากเลยนาย” สมหมายบอก
“หุบปากไปเลย” เสกสรรพยายามข่มความเจ็บ แต่ก็ยังสงสัย “เอ่อ...ซินแส ไอ้การฝังเข็มอย่างนี้มันจะช่วยทำให้เราชนะศัตรูได้เหรอครับ”
“ชนะศัตรูอะไร นี่มันฝังเข็มรักษาโรค”
“รักษาโรค แต่ผมไม่ได้เป็นอะไร”
“อ้าว แล้วทำไมไม่บอก”
“เฮ้ย นี่เจ็บตัวฟรีเหรอเนี่ย”
“แล้วลื้อมาทำอะไร”
“ผมก็จะมาดูดวงไง พักนี้ไม่รู้เป็นไร ทำอะไรแล้วอุปสรรคมันเยอะเหลือเกิน”
“อ๋อ ถ้าอย่างนั้นก็หายห่วง” ซินแสหยิบพระผงออกมาให้เสกสรร “เอานี่ไป คนที่แล้วอั้วให้ไปปุ้ป พอยัดใส่มือปั้ปแล้วฟันไปที่แขนฉับๆๆ”
“ไม่เป็นไร”
“ขาดตั้งแต่ฉับแรกแล้ว”
“เว้ย แล้วซินแสจะเอามาให้ผมทำไม”
“ถ้าไม่ชอบงั้นเอาไปอีกองค์”
เสกสรรรับมาดู
“สรรพคุณ”
“แก้ท้องอืดท้องเฟ้อเรอเหม็นเปรี้ยว”
“ไอ้บ้า พระนะไม่ใช่ยาธาตุ ไปเว้ย ไอ้หมายแกพาฉันมาหาใครวะ” เสกสรรจะลุกขึ้น แต่ซินแสกลับดึงตัวเสกสรรให้นั่งเหมือนเดิม “พอเลยๆ”
ซินแสมองไปที่หลัง ตาเขม็ง
“ช่วงนี้รู้สึกว่าดวงไม่ค่อยดีละซิ”
“ก็เออเด่ะ บอกแล้วไง แล้วรู้ได้ยังไง”
“ก็ดูซิ เส้นขนที่หลังนี่เป็นมฤตยูโคจรเข้ามาที่รักแร้ โบราณท่านว่ามันคือเส้นวินาศ พักนี้ลื้อมักจะมีเรื่องมีราวทั้งศัตรูในที่ลับแล้วก็ที่แจ้งใช่มั้ย”
สมหมายได้ฟังแล้วก็คิดแทน
“ใช่เลยซินแส” สมหมายหันไปบอกกับเสกสรร “ไอ้ภูไงนาย”
“เออวะ แล้วซินแสพอจะมีวิธีที่ทำให้ศัตรูแพ้ผมได้มั้ย”
“ไม่ต้องห่วง ลื้อก็แค่หาสัตว์สองเท้ามาอยู่ใกล้ๆ ก็พอ”
“สัตว์สองเท้า อ๋อ นกแพนกวินใช่มั้ยซินแส”
“ผู้หญิงเว้ย”
เสกสรรได้ยินอย่างนั้นก็หูผึ่งทันที
“เฮ้ย นี่ซินแสกำลังจะบอกให้ผมมีเมียใหม่หรือไง”
“ใช่ ตอนนี้เท่าที่อั้วเห็น ชะตาของลื้อกำลังมืดมิด ถ้าลื้ออยากให้หมดเรื่องทุกข์ใจ ลื้อต้องหาผู้หญิงคนนั้นให้เจอ” ซินแสจ้องแผ่นหลังเขม็ง “นั่นไง อั้วเห็นแล้ว ผู้หญิงคนนั้นที่เปรียบราวกับตะเกียงที่จะช่วยทำให้ชะตาที่มืดมิดของลื้อสว่างไสวอีกครั้ง”
“ตะเกียง”
เสกสรรครุ่นคิดตามในสิ่งที่ซินแสบอก

พรรษากำลังเดินเลือกซื้อของในตลาดกับสมส่วน
“ก็หนูไม่รู้นี่คะว่าคุณเมฆแอบฟังอยู่ แล้วคุณภูว่ายังไงคะ”
“ก็ไม่ว่ายังไง แต่ระวังเถอะ ฉันเคยเตือนแล้วว่าระวังจะกลายเป็นปลาหมอเข้าซักวัน”
“เกี่ยวกับอะไรกับปลาหมอคะ”
“ตายเพราะปากไง”
สมส่วนจ๋อย พรรษากำลังจะเดินต่อแต่แล้วพรรษาก็ชะงักไปเมื่อหันมาเห็นเสกสรรกับสมหมายเดินเข้ามาพอดี
“อ้าว สวัสดีจ้ะแม่พรรษา มาซื้ออะไรจ้ะ”
“ฉันมาซื้อหลายอย่าง คุณเสกจะฟังจริงๆ หรือเปล่า”
“แหม อย่าทำเสียงเย็นชาเหมือนคนไม่คุ้นเคยกันอย่างนี้ซิ แล้วเธอไม่เปลี่ยนใจรับข้อเสนอของฉันจริงๆ เหรอ”
“ข้อเสนออะไรเหรอป้า” สมส่วนถามอย่างสงสัย
“คุณเสกสรร เขาอยากให้ฉันไปทำงานที่รีสอร์ตเขาน่ะ นี่มันก็นานมาแล้ว ถ้าฉันสนใจจริงๆ คุณเสกสรรคงไม่มาถามฉันตอนนี้มั้งคะ”
เสกสรรได้ยินอย่างนั้นก็ของขึ้น
“นี่ ฉันถามดีๆ ทำไมต้องกวนกันด้วย” เสกสรรจะเอาเรื่อง แต่พรรษานิ่ง ไม่กลัว
“ทำไมคะ เอาชนะคุณภูไม่ได้ก็เลยหาเรื่องกับผู้หญิงแทนเหรอคะ”
“โห โดนเลยนาย นังนี่มันบอกว่านายรังแกผู้หญิงน่ะครับ” สมหมายบอก
“รู้แล้วเว้ย หนอย...ฝากไปบอกไอ้ภูมันด้วยแล้วกัน ว่าคนอย่างเสกสรรไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ”
“แค่นี้ใช่มั้ยคะ ไปเถอะสมส่วน”
พรรษาเดินเชิดหน้าทะนงผ่านเสกสรรกับสมหมายออกไป
“ฮึ่ยย์ ถ้าฉันไม่เห็นว่าเป็นผู้หญิงละก็”
“นายจำที่ซินแสบอกได้มั้ยครับว่าผู้หญิงที่เปรียบเหมือนตะเกียง จะช่วยให้นายชนะไอ้ภูนั่น” เสกสรรชะงักไป
“ทำไม”
“ก็ผู้หญิงคนเมื่อกี้ชื่ออะไรครับ”
“นังพรรษาน่ะเหรอ”
“นั่นไง โห...ซินแสช่างแม่นอะไรอย่างนี้ นายครับผู้หญิงคนนั้นแหละครับคือผู้หญิงที่ซินแสบอก”
“ไม่เข้าใจเว้ย จะบอกอะไรก็บอกมาให้หมดซิวะ”
“เอ้า ก็ซินแสบอกว่าให้หาผู้หญิงที่เหมือนตะเกียง ชีวิตนายจะได้สดใสใช่มั้ยครับ แล้วนั่นเธอชื่อพรรษา ชื่อเต็มผมว่าต้องเป็นเทียนพรรษาแน่นอน แล้วนายคิดดูซิครับเทียนพรรษาน่ะสว่างกว่าตะเกียงตั้งกี่เท่า”

เสกสรรได้ยินอย่างนั้นก็เหมือนถึงบางอ้อทันที

ขณะที่ไผ่พญากำลังหารองเท้าอยู่ที่ชั้นวางรองเท้า

“ไปถอดไว้ไหนวะเรา” ไผ่พญาพยายามนึก “คืนนั้นก็ยังใส่อยู่เลยนี่ คู่เก่งซะด้วย”
“ครู ครูเห็นแม่พรรษามั้ย”
ไผ่พญาหันมาแล้วเผ่าพงศ์ยืนอยู่
“ไม่เห็นเลยคะ คุณลุงจะเอาอะไรคะ” ทันทีที่ไผ่พญาพูดจบก็ไล้ตาลงต่ำแล้วไผ่พญาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเผ่าพงศ์เหลือแต่กางเกงบอกเซอร์ “กรี้ดดดด”
เผ่าพงศ์รู้สึกผิดที่ทำให้ไผ่พญาตกใจ
“ต้องขอโทษครูจริงๆ ฉันไม่ได้อยากทำให้ครูตกใจเลย”
“เอ่อ ไม่เป็นไรคะ”
“แต่ครูว่า ฉันใส่อย่างนี้ดีแล้วใช่มั้ย”
ไผ่พญาเอาผ้าปูโต๊ะมาพันรอบเผ่าพงศ์กันอุจาด
“เอ่อคะ ก็ดีกว่าไม่ใส่แหละคะ”
“ต้องโทษแม่พรรษาคนเดียวเลย เอากางเกงฉันไปเก็บไว้ไหนก็ไม่รู้” ไผ่พญาอมยิ้ม “ขำอะไรน่ะครู”
“คือ ก็คุณลุงกับป้าษาเนี่ยทำตัวเหมือนคู่รักกันเลยไง นี่ถ้าหนูไม่รู้มาก่อนหนูต้องคิดว่าคุณลุงกับป้าษาเป็นแฟนกันแน่ๆ”
เผ่าพงศ์ได้ยินอย่างนั้นก็ทำท่าเขิน แต่เก็บอาการ
“พูดไป ชอบพูดเล่นจริงๆ นะครูเนี่ย มันเหมือนจริงๆ เหรอครู”
เผ่าพงศ์แอบลองถาม ไผ่พญายังไม่ทันตอบ ก็ได้ยินเสียงรถยนต์ขับมาที่หน้าบ้าน

เสกสรรจอดรถแล้วหันไปบอกกับพรรษาที่นั่งอยู่ข้างๆ ที่กำลังจะเปิดประตูรถลง
“โอ้ๆ ไม่ต้องครับ”
ว่าแล้วเสกสรรก็รีบลงจากรถก่อนจะรีบวิ่งมาเปิดประตูให้กับพรรษา พรรษาลงจากรถงงๆ
“ขอบคุณมากนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ คนบ้านใกล้เรือนเคียง ช่วยเหลือกันได้ก็ช่วยกันไป”
“แกมาทำไม”
ทุกคนหันไปก็เห็นเผ่าพงศ์ในชุดผ้าปูโต๊ะเดินออกมากับไผ่พญา
“โอ้โห นี่คอลเลคชั่นของที่ฟาร์มนี่เหรอไง”
“หุบปากไปเลย แม่ษามากับมันได้ยังไง”
พรรษางงที่เผ่าพงศ์ดูท่าทางหงุดหงิดกว่าปกติ
“ษาไปเจอคุณเสกสรรที่ตลาด คุณเสกสรรเขาก็เลยอาสามาส่ง”
“เอ่อ พอดีมันเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ น่ะครับ คุณเผ่าพงศ์ไม่ต้องขอบคุณผมก็ได้ครับ”
“ขอบคุณแกน่ะเหรอ หึ สมส่วน”
“ขา”
“ไปเอาน้ำมนต์ที่หิ้งพระมาซิ”
ทุกคนได้ยินที่เผ่าพงศ์พูดก็แปลกใจ
“คุณลุงจะเอาน้ำมนต์มาทำอะไรคะ” ไผ่พญาถามชึ้นมา
“จะปัดเสนียดจากตัวแม่ษาหน่อย ถ้าเหลือก็เอาไปราดตั้งแต่ทางเข้าเลยจะได้ล้างซวย”
“อ้าว พูดอย่างนี้ก็สวยซิ”
“ก็มาซิ” เผ่าพงศ์กับเสกสรรทำท่าจะวางมวย ทุกคนต้องรีบเข้าห้าม “แม่ษา”
“อะไรคะ”
“จับชายผ้าดีๆ ละ” แล้วเผ่าพงศ์ก็หันไปตั้งการ์ดต่อ “มาๆๆ”
จังหวะที่เผ่าพงศ์ตั้งการ์ด ศอกของเผ่าพงศ์ฟาดเข้าปลายคางพรรษาเต็มๆ พรรษาถึงกับล้มลงจังหวะนั้นพรรษาล้มลงทับแขนตัวเอง
“โอ๊ย”
เผ่าพงศ์หันไปก็เห็นพรรษาลงไปนั่งกับพื้นมือกุมแขนด้วยความเจ็บ
“ป้า เป็นไรมั้ยคะ” ไผ่พญาถามอย่างตกใจ
“มือ ข้อมือป้า”
เผ่าพงศ์กับเสกสรรหน้าซีดเมื่อเห็นพรรษาเจ็บ

รถของมารุตขับมาตามทางระหว่างที่รถของมารุตขับมาอยู่ดีๆ ก็เห็นรถคันนึงขับพ้นซอยออกมารถคันนั้นขับแซงรถของมารุตขึ้นมา รถคันนั้นขับมาปาดหน้าของมารุตแล้วเบรคทันที มารุตเบรกเอี๊ยดจนเกือบจะชน มารุตลงจากรถ แล้วมารุตก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นภูวนัยลงจากรถคันหน้า
“หมวดภู”
ภูวนัยเดินดุ่มๆ ตรงเข้ามาหามารุตแล้วกระชากคอมารุตด้วยความโกรธ
“ทำไมผู้กำกับต้องทำกับผมอย่างนี้”
“เดี๋ยวหมวดภู ผมไปทำอะไรให้คุณ”
“ผู้กำกับยังจะถามอีกเหรอ นี่ไง” ภูวนัยหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดให้มารุต มารุตรับไป ภูวนัยหยิบปืนขึ้นมาแล้วจ่อเอาไว้เพื่อระวังตัว “เพราะอย่างนี้ใช่มั้ย พวกมันถึงรู้ก่อนทุกครั้งเวลาที่ผมวางแผนจับพวกมัน”
“ใครส่งให้หมวด”
“ตอบผมมา ผู้กำกับรู้จักกับลูกน้องของไอ้พายัพได้ยังไง” มารุตนิ่งเงียบ ภูวนัยจับมารุตพลิกแล้วผลักเข้าไปพิงกับรถแล้วเอามือค้ำคอ “แล้วทำไมมีเบอร์ของผู้กำกับโทรหาคุณนายหยาดฟ้า”
“หมวด ผมว่าคุณใจเย็นๆ ก่อนดีกว่า เรื่องนี้มันซับซ้อนคุณไม่เข้าใจหรอก”
“ผู้กำกับจะหลอกอะไรผมอีก ผมจะส่งหลักฐานนี่ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ”
“ส่งไม่ได้นะหมวด”
“ทำไม เรื่องแดงขึ้นมาก็เลยกลัวหรือไง”
มารุตตัดสินใจบอกความจริง
“ลูกน้องของพายัพคนนั้นคือสายของฉัน”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไป ภูวนัยค่อยๆ ลดศอกที่ค้ำคอมารุตลง
“สายของผู้กำกับเหรอ”
“ใช่ ผมสงสัยมานานแล้วว่าจะมีพวกมันแทรกซึมอยู่ในหน่วยงานของเรา ผมเลยส่งสายของเราเข้าไปอยู่กับมัน”
“ผมไม่เชื่อ”
“หมวดภู ผมรู้ว่าคุณบริสุทธ์แล้วผมก็กำลังทำเรื่องขึ้นไป เพื่อขอให้คุณกลับเข้ามาทำงานในหน่วยเหมือนเดิม”
“ผู้กำกับรู้ได้ยังไง”
มารุตสบตาภูวนัยเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
“ผมมีข้อมูลบางอย่างที่อยากให้คุณดู”

ภูวนัยนิ่งงันไป รู้สึกมึนงงไปหมดจนไม่รู้ว่าอะไรจริงไม่จริง

เผ่าพงศ์กับเสกสรรนั่งรออยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน ระหว่างนั้นทั้งเผ่าพงศ์ซึ่งยังอยู่ในชุดผ้าปูโต๊ะและเสกสรรต่างก็รำพันออกมาพร้อมกัน

“คุณษา" / "แม่ษา”
เสกสรรกับเผ่าพงศ์ก็หันมองหน้ากัน
“แกเรียกชื่อแม่ษาทำไม”
“แล้วแกเรียกทำไมละ”
“ก็แล้วทำไมฉันจะเรียกไม่ได้ แม่ษาเป็นคนของฉัน”
“อ๋อ แม่ษาเป็นคนของแก แกก็เลยทำแม่ษาเจ็บได้คนเดียวใช่มั้ย”
“ใช่ อ้าวเฮ้ย พูดดีๆ นะ แกต่างหากที่ทำแม่ษาเจ็บ”
“อะไร แม่ษาเขาโดนศอกแกต่างหาก”
เผ่าพงศ์เถียงไม่ออกแต่แถได้
“ก็ถ้าแกไม่มาที่ฟาร์มฉัน แล้วมันจะเกิดเรื่องมั้ย ไม่รู้แหละถ้าแม่ษาเป็นอะไรไปละก็”
เสกสรรได้ยินเผ่าพงศ์พูดอย่างนั้นก็ของขึ้นเหมือนกัน
“ทำไม แกจะทำไม”
สองคนทำท่าจะปรี่เข้าหากัน จนคนแถวนั้นต้องคอยห้ามกันวุ่นวาย

พรรษาต้องเข้าเฝือกอ่อน พรรษานั่งอยู่กับไผ่พญาและหมอซึ่งกำลังเขียนใบสั่งยาอยู่
“เส้นเอ็นอักเสบเท่านั้นแหละครับ ไปทำอะไรมาครับเนี่ย”
“อ๋อ เกิดศึกชิงนางน่ะคะ” ไผ่พญาบอก หมอทำหน้าแปลกใจ พรรษาตีแขนไผ่พญา
“ชิงนางอะไรคะครู พูดไป แล้วกว่าจะหายนี่อีกนานมั้ยคะ” พรรษาถามหมอ
“สองอาทิตย์ก็น่าจะดีแล้วละครับ แต่ช่วงนี้กินยาตามที่หมอสั่งแล้วก็ห้ามใช้แขนเด็ดขาด”
ไผ่พญากับพรรษานั่งเศร้า

เผ่าพงศ์กับเสกสรร กำลังโดนบุรุษพยาบาลอุ้มมาตามทางเพราะทั้งคู่ยังทะเลาะกันไม่เลิก
“ปล่อยเลย ปล่อยผมเลย เดี๋ยวผมจะสั่งสอนไอ้อ้วนนี่”
“อ้าว ไอ้หน้าลูกชิ้นก็มาดิ”
แม้จะมีบุรุษพยาบาลสี่ห้าคนคอยห้าม แต่ทั้งคู่ก็พยายามวาดเท้าวาดมือใส่กัน ระหว่างนั้นเสียงปลายฟ้าดังขึ้น
“คุณลุง”
เสกสรรกับเผ่าพงศ์หันไปก็เห็นปลายฟ้าเดินเข้ามา
“หนูฟ้า”
“คุณลุงมาทำอะไรคะ แล้วเกิดอะไรขึ้น”
“จะเรื่องอะไร ก็ไอ้หน้าลูกชิ้นนี่มันทำแม่ษาข้อมือเคล็ดน่ะซิ”
“โอ้โห โยนขี้ชัดๆ มาเลย แกมาเลย”
ปลายฟ้าเห็นทั้งคู่วุ่นวายก็เลยเสียงดัง
“หยุด” ทั้งสองชะงักหยุด “หยุดเดี๋ยวนี้แหละทั้งสองคน ที่นี่โรงพยาบาลนะคะ การทะเลาะกันอย่างนี้มันรบกวนคนไข้คนอื่น”
“โน่น ว่ามันโน่น”
“ว่าแกต่างหาก”
“ทั้งสองคนแหละคะ แล้วนี่ป้าษาเป็นไรมากมั้ยคะ”
“ยังไม่เห็นออกจากห้องเลย”
ปลายฟ้าถอนหายใจ ส่ายหน้า แล้วปลายฟ้าก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้
“อ้าว”
“มีอะไรหมอ”
“คนไข้คะ เมื่อกี้ฟ้าพาคนไข้เดินมาด้วย” ปลายฟ้ามองไปรอบๆ “หายไปไหนแล้ว เอ่อ ฟ้าขอตัวก่อนนะคะ” ปลายฟ้ากำลังจะวิ่งออกไป แต่หันมาบอกก่อน “ห้ามทะเลาะกันอีกนะคะ”
ปลายฟ้ารีบวิ่งออกไป เผ่าพงศ์กับเสกสรรมองหน้าแล้วสะบัดหน้าใส่กัน เช๊อะ

ไผ่พญาพยุงพรรษาเดินมาตามทางเดิน
“ไม่เคยเข้าโรงพยาบาลมาสิบปี สงสัยคงต้องไปสะเดาะเคราะห์บ้างแล้ว”
“โอ๊ย ไม่ต้องหรอกป้า แค่ป้าไปบอกให้พวกลุงสองคนนั่นเลิกทะเลาะแย่งตัวป้าก็พอ”
“ครู พูดอย่างนี้อีกแล้ว ใครได้ยินเข้ามันจะไม่ดีนะคะ”
“แหม ก็เห็นป้าเป็นอย่างนี้ก็แหย่เล่นนิดหน่อยน่า”
ระหว่างนั้นมีมือมาสะกิดที่ไหล่ของไผ่พญาพร้อมกับเรียก
“หนู หนู”
ไผ่พญาหันมาตามเสียง
“ค่ะ”
ทันทีที่ไผ่พญาหันมา ไผ่พญาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าคนนั้นคือป้าคนที่อยู่บนรถทัวร์นั่นเอง

ภูวนัยยืนรออยู่ในที่เปลี่ยวแห่งหนึ่ง ภูวนัยดูนาฬิกาข้อมืออย่างร้อนใจ ระหว่างนั้นเห็นรถของมารุตแล่นเข้ามา ก่อนที่มารุตจะจอดรถนิ่งสนิท มารุตลงจากรถพร้อมกับถือซองเอกสารซองหนึ่งลงมาด้วย ภูวนัยโล่งอกที่มารุตไม่ได้หลอกให้เขามารอ
มารุตเดินเข้ามาหาภูวนัยที่รออยู่ ระหว่างนั้นภูวนัยก็ได้ยินเสียงของมอเตอร์ไซค์ดังขึ้น ภูวนัยเพ่งมองไปในความมืดด้านหลังของมารุต แล้วภูวนัยก็ใจหายเมื่อเห็นมอเตอร์ไซค์คนนึงขับออกมาจากความมืด
“ผู้กำกับ”
มารุตกำลังจะหันหลังไปดู แต่แล้วทันใดนั้นชายชุดดำก็ขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาก่อนจะระดมยิงใส่มารุตไม่ยั้ง ปัง..ปัง...ปัง!

ภูวนัยถึงอึ้งไปเมื่อเห็นมารุตโดนยิงต่อหน้าต่อตา

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 7 (ต่อ)

ภูวนัยอึ้งไปเมื่อเห็นมารุตถูกมือปืนกระหน่ำยิง ร่างของมารุตทรุดลงกองเลือดกับพื้น ไวเท่าความคิด ภูวนัยชักปืนออกมาจากเอวก่อนจะยิงใส่มือปืนไม่ยั้ง มือปืนรีบวิ่งหลบหลังรถของมารุต

ภูวนัยเดินยิงเข้ามาอย่างบ้าเลือดก่อนจะเดินเข้ามาที่หลังรถของมารุตแล้วภูวนัยก็ต้องใจหายแวบเมื่อไม่เห็นร่างของมือปืนหลบอยู่ ด้วยสัญชาติญาณ ภูวนัยหันขวับไปอีกด้านทันที แล้วภูวนัยก็เห็นเจ้ามือปืนกำลังถือปืนเล็งมาที่เขาอยู่ ภูวนัยกระโดดหลบพร้อมกับเสียงปืนที่ดังขึ้น ปัง! กระสุนพุ่งเข้าถากที่หัวไหล่ของภูวนัย
“อ้าก”
ปืนของภูวนัยกระเด็นหลุดไป เมื่อมือปืนเห็นภูวนัยทำอะไรไม่ได้แล้วจึงเดินเข้ามาหยิบซองเอกสารที่ตกอยู่ข้างตัวมารุต ก่อนที่มันจะขึ้นมอเตอร์ไซค์แล้วขับออกไปทันที ภูวนัยวิ่งเข้ามาคว้าปืนก่อนจะกระหน่ำยิงไล่หลังจนหมดรังเพลิง ระหว่างนั้นเสียงของมารุตดังขึ้น
“หมวด”
ภูวนัยรีบวิ่งเข้ามาดูอาการของมารุต
“ผู้กำกับ” ภูวนัยรีบเอามืออุดเลือด “อดทนไว้นะครับ”
“ใน...ในซอง”
“ข้อมูลนั่นมันคืออะไรครับผู้กำกับ”
“ราย รายชื่อ” เสียงมารุตเริ่มขาดหาย ภูวนัยก้มลงเพื่อแนบหูให้ใกล้กับปากของมารุตมากที่สุด “รายชื่อตำรวจ”
แต่แล้วจู่ๆ เสียงของชาติกล้าดังขึ้น
“ไอ้ภู” ภูวนัยชะงักหันมาตามเสียง จึงไม่ได้ฟังสิ่งที่มารุตกำลังจะบอก ชาติกล้าวิ่งเข้ามาแล้วตกใจเมื่อเห็นมารุตโดนยิง “เกิดอะไรขึ้นวะไอ้ภู” ชาติกล้าเห็นภูวนัยเลือดออก “แกรีบไปก่อนดีกว่า”
“แต่ว่า...” ภูวนัยจะเข้ามาหามารุต ที่กำลังส่งสายตาเหมือนกำลังต้องการจะบอกบางอย่าง ชาติกล้าดึงภูวนัยเอาไว้
“รีบไปซิวะ ตอนนี้แกถูกพักราชการ ถ้าตำรวจมาเห็นแกอย่างนี้ แกเดือดร้อนแน่” ภูวนัยยังลังเล “แกไปก่อนเดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเอง”
ภูวนัยมองมารุตที่พยายามจะบอกบางอย่างกับภูวนัย ภูวนัยมองมารุตก่อนจะตัดสินใจวิ่งออกไป ชาติกล้ามองตามภูวนัยหน้าเครียด
ชาติกล้าหันมามองที่มารุตแล้วแสยะยิ้มร้าย
“เกือบสำเร็จแล้วนะผู้กำกับ”
มารุตมองชาติกล้าอย่างแค้นเคือง ผิดหวัง ชาติกล้ามองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นปืนของภูวนัยตกอยู่ ชาติกล้าใส่ถุงมือก่อนจะเดินเข้าไปหยิบปืนภูวนัยขึ้นมาแล้วใส่ที่เก็บเสียง เล็งมาที่มารุต ชาติกล้าเหนี่ยวไก เสียงปืนดังขึ้นอย่างแผ่วเบา มารุตถูกยิงกลางหน้าผากตายอย่างอนาถ ชาติกล้ายิ้มร้ายๆ

ไผ่พญาพยายามหันหน้าหนีป้า พรรษาแปลกใจ
“หนู”
ไผ่พญาหันหน้าหนี ก้มหน้าก้มตา
“อะไรคะ”
“นี่หนูรู้จักฉันใช่มั้ย”
ไผ่พญาก้มหน้าก้มตาส่ายหน้า
“ไม่คะ หนูไม่เคยเห็นคุณป้าเลย”
“แต่ฉันว่า ฉันรู้จักหนูนะ”
“คุณป้าคงจำคนผิดแล้วละคะ ไปกันเถอะคะ”
ไผ่พญาจะรีบดึงพรรษาออกไป แต่แล้วป้ากลับมาขวางหน้าเอาไว้
“เดี๋ยวก่อน” ป้าเข้ามาแล้วจับหน้าไผ่พญาเพื่อดูให้ชัดๆ ป้ามองแล้วทำหน้าสงสัย “จริงด้วย ฉันคงไม่รู้จักเธอจริงๆ”
ไผ่พญาทำตาเหล่ปากเบี้ยวเพื่อให้รูปหน้าเปลี่ยน เป็นวิธีเดียวที่ไผ่พญานึกออกตอนนั้น ไผ่พญาพูดทั้งๆ ที่หน้าบิดเบี้ยว
“เห็นมั้ยคะว่าเราไม่รู้จักกัน” แล้วไผ่พญาก็หันมาหาทำหน้าปกติได้ทันที “ไปกันเถอะคะ ไปก่อนนะคะ”
ไผ่พญารีบดึงพรรษาออกไปทันที ป้าคนนั้นมองตามไผ่พญาด้วยสีหน้าสงสัย
ไผ่พญาเดินมากับพรรษาอย่างใจหายใจคว่ำ พรรษามองไผ่พญาอย่างแปลกใจ
“เป็นไรหรือเปล่าครู”
ไผ่พญารีบปฏิเสธทันที
“เปล่า เปล่าคะ”
“แล้วครูไม่รู้จักผู้หญิงคนนั้นเหรอคะ”
“ไม่คะ ฉันไม่เคยเห็นหน้าเลย แต่ฉันเข้าใจนะคะ คนแก่ก็อย่างนี้แหละคะบางทีก็หลงๆ ลืมๆ อย่างนี้แหละคะ”
พรรษาพยักหน้า ไม่ติดใจอะไร มองไปรอบๆ
“แล้วเขารับยาตรงไหนกัน”
ไผ่พญานึกบางอย่างขึ้นมาได้
“เดี๋ยวป้าษารอตรงนี้ก็ได้คะ เดี๋ยวหนูไปเอาให้”
พรรษายังไม่ทันตอบ ไผ่พญาก็รีบเดินออกไป พรรษามองตาม
ป้ายังละล้าละลังไม่รู้จะไปทางไหน ระหว่างนั้นเสียงของปลายฟ้าดังขึ้น
“มาอยู่นี่เองป้า”
ป้าหันไปแล้วก็เห็นปลายฟ้าเดินเข้ามา
“หมอ ฉันว่าเมื่อกี้ฉันเจอคนรู้จักนะ” ปลายฟ้าแปลกใจ
“ป้าจำได้แล้วเหรอคะ” ป้าส่ายหน้า
“ป้าไม่แน่ใจ”
ปลายฟ้ายิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“มาทางนี้ดีกว่าคะ”
ปลายฟ้าพาป้าคนนั้นเดินออกไป ไผ่พญาแอบมองอยู่อีกมุมหนึ่ง ไผ่พญาหวั่นใจกับการปรากฏกายของป้าคน
นั้น

ชาติกล้าเดินเข้เมาที่ริมน้ำแห่งหนึ่ง ชาติกล้ามองไปรอบๆ
“ภู ฉันเอง”
ไม่นานก็เห็นภูวนัยเดินออกจากซอกหลืบที่ซ่อนตัวที่แขนมีเลือดไหลเป็นทาง
“ผู้กำกับเป็นไง”
ชาติกล้าส่ายหน้า ภูวนัยถึงกับช๊อคไป
“แกนัดเจอผู้กำกับเหรอ”
ชาติกล้ามองภูวนัยอย่างสงสัย ภูวนัยเหล่มองชาติกล้า
“หมายความว่าไง ฉันต่างหากต้องถามแก ว่าแกโผล่มาได้ยังไง”
“แกลืมแล้วหรือไง ว่าฉันกำลังสงสัยว่าผู้กำกับกำลังทำสิ่งผิดกฏหมายอยู่”
“แต่ผู้กำกับบอกว่า เขามีข้อมูลสำคัญที่จะเปิดโปงว่ามีตำรวจคนไหนที่ร่วมมือกับไอ้พายัพบ้าง”
“แล้วทำไมแกไม่คิดว่าที่ผู้กำกับเขานัดแกมา เขาอาจต้องการให้แกเป็นตำรวจคนนั้นเหมือนกับเขา” ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไป “ภู...” ภูวนัยหันมาสบตาชาติกล้า “แกรีบไป ฉันสัญญาว่าฉันจะไม่บอกใครว่าแกอยู่ในเหตุการณ์ในวันนี้”

ภูวนัยกัดกรามแน่น ในหัวมีแต่ความสับสน

เผ่าพงศ์ประคองพรรษาเข้ามาในบ้าน ไผ่พญาเดินตามมาข้างหลังสีหน้าเป็นกังวล

“คุณเผ่าใส่ชุดนี้” เผ่าพงศ์ยังใส่ผ้าปูโต๊ะอยู่ “ไปโรงพยาบาลไม่อายเขาเหรอคะ”
“ตอนนั้นใครจะไปคิดเรื่องอายละ”
“แล้วตอนนี้ละคะ”
“ยังจะถามอีก ทั้งหมอฟ้าทั้งคนไข้ที่ฉันเห็นๆ ก็รู้จักกันเกือบหมด สงสัยฉันต้องเก็บตัวอยู่ในบ้านซักปีให้พวกนั้นลืมเรื่องนี้ก่อน คิดแล้วก็ยิ่งแค้น เพราะไอ้หัวลูกชิ้นเน่านั่นคนเดียว”
ไผ่พญาเดินตามมาข้างหลัง ยังกังวลเรื่องป้าคนนั้น
“ทำไมถึงได้ซวยอย่างนี้เนี่ย ยัยป้านั่นจำเราไม่ได้จริงๆ เหรอ” ไผ่พญาคิดแล้วก็ขัดแย้งในตัวเองเพราะความกังวล “แต่ถ้าจำไม่ได้แล้วจะมาทักเราทำไม โอ๊ย จะทำไงดี ถ้ายัยป้านั่นไปบอกคนอื่นว่าเราสวมรอยละก็ ตาย...ต้องตายแน่ๆ”
ไผ่พญาเผลอร้องออกมา เผ่าพงศ์กับพรรษาที่เดินอยู่ข้างหน้าก็ชะงักแล้วหันมามองไผ่พญาด้วยความสงสัย
“ใครตายเหรอครู”
“เอ่อ คือ”
“จะใครซะอีก นี่ครูกำลังจะบอกว่าถ้าไม่มีคนมาห้าม ป่านนี้ไอ้เสกสรรโดนฉัน...” เผ่าพงศ์กระทืบเท้าอย่างมีอารมณ์ “กระทืบๆ ตายแล้วใช่มั้ย”
“ใช่ ใช่เลยคะ แต่ตอนนี้เขายังไม่ตายงั้นหนูไปจัดการให้มั้ยคะ” ไผ่พญาจะเดินออกไป พรรษาเห็นก็ร้องห้าม
“จะบ้าเหรอครู เรื่องมันจบลงก็ดีแล้ว เดี๋ยวก็เป็นเรื่องเป็นราวไม่จบไม่สิ้นอีก”
ไผ่พญาหน้าเจื่อน เพราะกำลังจะหาทางออกไปโรงพยาบาลได้แล้วเชียว
“เหรอคะ อืม ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวหนูไปซื้อสมุนไพรที่ตลาดมาต้มให้ป้ามั้ยคะ จะได้หายเร็วๆ”
“โอ๊ย อย่าลำบากเลยคะครู แค่กินยาก็...อ้าว แล้วยาละคุณเผ่า ตอนกลับฉันให้คุณถือไว้แล้วไปไหนละ”
“เอ่อ ว้า ฉันลืมไว้ที่เคาน์เตอร์น่ะ ตอนนั้นฉันกำลังหงุดหงิดไอ้เสกสรรอยู่น่ะซิ เห็นมั้ยเพราะมันอีกแล้ว”
“ตัวเองลืมยังจะโทษคนอื่นอีก สงสัยต้องกลับไปอีกรอบ”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ได้จังหวะพอดี
“หนูไปเองคะ” เผ่าพงศ์กับพรรษาแปลกใจ “เอ่อ ก็คุณป้าเจ็บอยู่ แล้วคุณลุงก็ยังมีคดีที่โรงพยาบาลเพราะฉะนั้นหนูว่าหนูนี่แหละคะเหมาะที่สุดแล้ว ไปละนะคะ”
ไผ่พญารีบวิ่งจู้ดออกไป เผ่าพงศ์กับพรรษามองตามไผ่พญาด้วยความแปลกใจ

ไผ่พญากำลังเดินเข้ามาในโรงพยาบาล ก่อนจะนึกได้
“แล้วยัยป้านั่นอยู่ห้องไหนละเนี่ย” จังหวะนั้นไผ่พญาเหลือบไปเห็นป้ากำลังนั่งต่อจิ๊กซอว์ที่สวนหย่อม “เฮ้ย”
ไผ่พญารีบหันหลังขวับทันที แล้วทำเป็นมองนกมองไม้เพื่อไม่ให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาสงสัย พอได้จังหวะ ไผ่พญาก็รีบพุ่งเข้าไปหลบหลังพุ่มไม้ที่อยู่ไม่ไกลจากป้าคนนั้น
“เอาไงดี เอาไงดี” ไผ่พญาแอบมองป้าอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจได้ “เอาวะ”
ไผ่พญาตัดสินใจค่อยๆ ย่องเข้าไปด้านหลังของป้า ทันใดนั้นไผ่พญาก็ล๊อคป้าเอาไว้ ก่อนจะยกมีดขึ้น ง้างจนสุดแขน
“ตายซะเถอะ ย้ากกก” ไผ่พญาจ้วงแทงป้าคนนั้น เลือดสาดกระเซ็นเต็มใบหน้าไผ่พญา ไผ่พญาหัวเราะออกมา
“ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า”
ไผ่พญาหัวเราะกับความคิดตัวเอง
“ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า” แล้วนึกได้ “บ้าหรือเรา คิดอะไรไม่เข้าเรื่อง” ไผ่พญาหันไปมองผ่านพุ่มไม้อีกครั้ง “เอาไงดี ถ้าเกิดยัยป้านั่นจำเราได้จริงๆ จะทำยังไงละ”
ระหว่างนั้นเสียงของปลายฟ้าดังขึ้น
“อ้าว ครูไผ่”
ไผ่พญาชะงักด้วยความตกใจก่อนจะค่อยๆ หันกลับไปแล้วเห็นปลายฟ้ายืนอยู่
“อุ้ย”
“มาทำอะไรคะ”
“เอ่อ ป้าษาแกลืมยาไว้นะคะ ฉันเลยกลับมาเอาให้”
“อ๋อ” ปลายฟ้ามองไผ่พญาแล้วมองไปที่ป้า “ครูไผ่รู้จักป้าแกด้วยเหรอคะ”
ไผ่พญาส่ายหน้าอย่างแรงจนปากสั่น
“ไม่คะ เอ่อ แล้วหมอรู้จักเหรอคะ”
ปลายฟ้ามองไปที่ป้าคนนั้น สีหน้าเศร้าลง

ไผ่พญาตกใจกับสิ่งที่ปลายฟ้าบอก
“ความจำเสื่อมเหรอคะ”
ไผ่พญานั่งคุยกับปลายฟ้าที่ร้านกาแฟในโรงพยาบาล
“ใช่คะ”
“ค่อยยังชั่ว” ไผ่พญาโล่งอก
“ค่อยยังชั่วอะไรคะ”
ไผ่พญาตกใจ รีบแก้ตัว
“อ๋อ คือค่อยยังชั่วที่แกไม่ได้บ้าน่ะคะ เมื่อตอนกลางวันแกเข้ามาทักซะจนฉันตกใจเลย”
“มินาล่ะ ครูถึงดูกลัวๆ แก”
“ใช่ ใช่คะ กลัวมาก”
“ไม่มีอะไรหรอกคะ คนที่ความจำเสื่อมก็เป็นอย่างนี้แหละคะพอเห็นใครที่คิดว่าจำตัวเองได้ก็ทักเอาไว้ก่อน”
“เอ่อ แล้วไม่มีหลักฐานอะไรที่พอจะสืบประวัติแกได้เลยเหรอคะ” ไผ่พญาเลียบๆ เคียงๆ ถาม
“ไม่มีเลยคะ จะว่าไปคนที่ความจำเสื่อมนี่น่าสงสารนะคะ ครูว่ามั้ย”
“คะ น่าสงสารมาก”
ไผ่พญาทำหน้าเศร้าก่อนจะแอบยิ้มโล่งอก แล้วปั้นหน้าเศร้าลงอีกครั้ง

คืนนั้นขณะที่ไผ่พญา พรรษา เผ่าพงศ์ ม่านหมอก ม่านเมฆนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร ไผ่พญานั่งยิ้มกริ่มอย่างมีความสุข จนม่านเมฆที่นั่งอยู่ตรงข้ามมองอย่างแปลกใจ
“ครูไผ่ยิ้มอะไรเหรอครับ”
“เอ่อ ครูกำลังมีความสุขน่ะจ้ะ”
“มีความสุขที่ได้นอนบนเตียงพ่อภูน่ะเหรอครับ”
“ใช่จ้ะ เพราะเตียงพ่อภูนุ่มดี” ไผ่พญาบอกอย่างลืมตัวแล้วนึกได้ “เฮ้ย ไม่ใช่ ที่ครูยิ้ม เอ่อ ครูเพิ่งดูตลกคาเฟ่มาน่ะจ้ะ ขำมากเลย”
“เล่าให้ฟังหน่อยซิ”
“เอ่อ”
ดีที่พรรษากับสมส่วนยกกับข้าวมา
“กับข้าวมาแล้วคะ”
“หิวๆ ไหนดูซิวันนี้มีอะไรกินบ้าง” เผ่าพงศ์เอื้อมมือจะตักข้าวแล้วก็แปลกใจ “นี่มันกับข้าวเมื่อตอนกลางวันนี่แม่ษา”
“ก็ใช่ซิครับคุณท่าน แขนป้าเขาเป็นอย่างนั้นแล้วจะทำใหม่ได้ยังไง”
“เอ่อ ทานได้มั้ยคะถ้าไม่ได้เดี๋ยวษาไปทำให้ใหม่”
“โอ๊ย สบาย ดีฉันกำลังจะบอกแม่ษาอยู่พอดีว่าอยากกินข้าวเมื่อตอนกลางวันพอดีเลย”
“แต่ปู่บอกว่าไม่ชอบแกงเลียงไม่ใช่เหรอครับ”
เผ่าพงศ์ที่กำลังจะตักถึงกับชะงักค้าง เผ่าพงศ์มองสายตาทุกคนที่มองมาที่เขาอย่างแปลกใจ
“เหรอ ทำไมปู่จำไม่ได้เลยว่าปู่เคยพูดอย่างนั้น เอาน่า...กินๆ แหม อร่อยจริงๆ แม่ษา” เผ่าพงศ์ถึงกับชะงักไปเมื่อเห็นพรรษาดูไม่ค่อยสบายใจ “มีอะไรเหรอ”
“ษากำลังคิดน่ะคะว่าพรุ่งนี้จะให้ใครทำกับข้าว”
“จะไปยากอะไรก็ขับรถออกไปกินข้างนอกก็ได้”
“ปู่ขับรถเป็นเหรอ” เผ่าพงศ์ชะงักไป ม่านเมฆเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “ครูไผ่ไงครับ”
ไผ่พญาที่พยายามทำตัวลีบที่สุดถึงกับสำลัก
“เอ่อ ว่าอะไรนะ”
“ก็ครูไผ่เป็นครู ก็แสดงว่าต้องทำกับข้าวเป็นด้วย”

ม่านเมฆบอก

ไผ่พญาพยายามไม่ตกใจ แล้วพูดยิ้มๆ

“เมฆจ๊ะ คนเป็นครูไม่จำเป็นต้องทำอาหารเป็นก็ได้จ้ะ”
“คุณทำอาหารไม่เป็นไรเหรอ แล้วสอนคหกรรมได้ยังไง” ม่านหมอกถามขึ้นมา ไผ่พญาถึงกับสะดุ้งเพราะกลัวว่าความลับจะแตกเลยรีบตอบรับ
“เอ่อ เป็นซิ ใครว่าฉันทำอาหารไม่เป็น”
“งั้น ตั้งแต่พรุ่งนี้ให้ครูไผ่ทำกับข้าวให้เราจนกว่าน้าษาจะหายดีมั้ยครับ” ม่านเมฆบอก ไผ่พญาถึงกับอึ้ง
“เอ่อ”
“อย่าเลยคะคุณเมฆ รบกวนครูไผ่เปล่าๆ”
เผ่าพงศ์อยากให้พรรษาสบายใจเลยรีบเห็นด้วย
“ลำบากอะไร ให้ครูเขาทำน่ะดีแล้ว เนอะ”
“เอ่อ อ๋อ ได้เลยคะ โธ่ หนูจะบอกให้ว่าก่อนที่หนูจะมาเป็นครู หนูเคยเป็นเชฟที่โรงแรมมาก่อน”
“จริงเหรอครู โห...เมฆอยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆ จัง จะได้กินฝีมือครูไผ่”
ไผ่พญายิ้ม แต่กัดฟันพูดแบบโกรธ
“แต่ฉันไม่อยาก”
ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับทุกคนประมาณว่าเต็มใจ

ปลายฟ้าเดินออกจากโรงพยาบาลมาที่รถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ ระหว่างนั้นเสียงของภูวนัยดังขึ้น
“ฟ้า”
ปลายฟ้าหันมองไปตามเสียง แล้วก็แปลกใจเมื่อเห็นภูวนัยเดินเข้ามา
“อ้าว ภู มาทำอะไรเนี่ย”
“ช่วยภูหน่อยซิ”
“มีอะไร”
แล้วปลายฟ้าก็ได้คำตอบเมื่อมองไปมือของภูวนัยแล้วเห็นเลือดหยดลงมาตามนิ้ว

ปลายฟ้ากำลังเย็บแผลที่หลังให้กับภูวนัยภายในห้องตรวจส่วนตัว ภูวนัยพยายามสะกดกลั้นความเจ็บ
“เจ็บเหรอ” ภูวนัยพยักหน้า “บอกให้ฉีดยาชาก็ไม่เชื่อ”
“ภูแค่อยากจำความเจ็บนี้เอาไว้”
ปลายฟ้านิ่งไป ก่อนจะหยิบกรรไกรมาตัดไหมออกแล้วเอาผ้าก๊อตมาปิดไว้
“เสร็จแล้ว”
“ขอบใจมากนะฟ้า”
“ไม่เป็นไร แล้วให้ฟ้าไปส่งมั้ย” ภูวนัยมองปลายฟ้าด้วยความสงสัย “มีอะไร”
“ฟ้าจะไม่ถามเหรอว่าภูไปทำอะไรมา”
“แล้วภูเคยบอกความจริงกับฟ้ามั้ยละ ฟ้าถามจนไม่อยากถามแล้ว”
ภูวนัยรู้สึกผิดเหมือนกัน
“ฟ้าไม่ต้องไปส่งหรอก แค่นี้ภูก็เกรงใจแย่แล้ว”
ภูวนัยอยากจะยิ้มให้กับปลายฟ้า แต่เรื่องที่เขาเจอมาทำให้เขายิ้มไม่ออก ภูวนัยจะเดินไป ปลายฟ้ามองตามด้วยความเป็นห่วง เรียกไว้
“ภู” ภูวนัยหันมา “ไม่ว่าภูจะไปทำอะไรมาแต่ฟ้าเชื่อใจภูนะ”
ภูวนัยพยักหน้าก่อนจะเดินออกไป ปลายฟ้ามองตามอย่างเป็นห่วง

ไผ่พญาแอบย่องลงมาจากห้อง ไผ่พญามองซ้ายมองขวาก่อนจะรีบวิ่งแผล่วมาหน้าโทรทัศน์ ไผ่พญาเปิดโทรทัศน์ก่อนจะรีบกดหาบางอย่าง
“ไรเนี่ย ไม่เห็นมีช่องสอนทำอาหารเลย”
ไผ่พญากดเปลี่ยนช่องไปเรื่อย ระหว่างนั้นเหมือนไผ่พญาได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามา ไผ่พญาสงสัยว่าใครจึงชะโงกดูแล้วไผ่พญาก็ตกใจเมื่อเห็นว่าเป็นภูวนัยนั่นเอง
“เฮ้ย”
ไผ่พญาจวนตัวจะวิ่งกลับห้องก็ไม่ทัน เลยรีบปิดโทรทัศน์แล้วทำเป็นแกล้งนอนที่โซฟา ภูวนัยเดินเข้ามาที่ห้องรับแขกแล้วภูวนัยก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นไผ่พญานอนอยู่ที่โซฟา ภูวนัยเดินเข้ามาปลุก
“นี่ นี่” ไผ่พญาทำเสียงงึมงำ แต่ไม่ตื่น “มานอนอะไรตรงนี้ เข้าไปนอนในห้อง”
ไผ่พญางึมงำอีก ภูวนัยจ้องมองหน้าไผ่พญา ก่อนจะค่อยๆ ทรุดตัวลงข้างๆ ไผ่พญาหลับตาปี๋
“ตาบ้า จะทำอะไรเนี่ย” ภูวนัยค่อยก้มลงไปที่หน้าของไผ่พญา ไผ่พญาสัมผัสได้ถึงลมหายใจของภูวนัย “นี่...อย่าบอกนะว่านายชอบฉัน...ไม่นะ”
แต่แล้วภูวนัยก็พูดขึ้นว่า
“ดีนะที่ไม่มีกลิ่นเหล้า”
ภูวนัยพูดจบก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป ไผ่พญาหลับตาปี๋จนแน่ใจว่าภูวนัยไปแล้วจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น หัวใจเต้นแรง
“ตาบ้า หัดมองคนในแง่ดีไม่ได้หรือไง แทนที่จะคิดว่าไม่สบายหรือเปล่า หรือว่าเป็นอะไร...ทำไมใจเราเต้นแรงอย่างนี้เนี่ย” แล้วไผ่พญาก็ลุกขึ้นก่อนจะมองตามภูวนัยด้วยความรู้สึกบางอย่างที่กำลังก่อตัว “อย่าฟุ้งซ่านน่าไอ้ไผ่ตอนนี้แกต้องหาทางทำอาหารให้ได้ก่อน”
ไผ่พญาหันไปจะคว้ารีโมทที่วางอยู่บนนิตยสารที่วางอยู่ที่โซฟา ไผ่พญาคว้าผิดก่อนจะทำหนังสือตกลงกับพื้น
ไผ่พญาหน้าเหวอเพราะกลัวว่าภูวนัยจะได้ยินเสียง ไผ่พญาค่อยๆ เอื้อมมือลงไปหยิบนิตยสาร แต่แล้วไผ่พญาก็เห็นบางอย่างในหน้านิตยสาร ไผ่พญามีความหวังขึ้นมาทันที

เช้าวันรุ่งขึ้นไผ่พญายืนอยู่ในห้องครัวมองนิตยสารฉบับนั่น ไผ่พญากำลังมองที่หน้าการสอนทำอาหารไผ่พญาทำหน้าซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณนะ ที่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องการทำอาหารให้ฉันได้”
ไผ่พญาเบือนหน้าหันไปมองอีกหน้า เห็นเป็นหน้าโฆษณา “ปิ่นโตแม่อุ๊” รับส่งอาหารทั่วราชอาณาจักร
ไผ่พญายืนอยู่พร้อมกับอาหารถุงกองโต ไผ่พญาแกะอาหารเหล่านั้นเทใส่ชาม

เผ่าพงศ์ ม่านหมอก ม่านเมฆและพรรษาถึงกับตกใจเมื่อเห็นอาหารหลากหลายชนิดวางเรียงรายกันอยู่บนโต๊ะ ไผ่พญายืนกอดอกอย่างภาคภูมิใจ
“โห นี่ครูไผ่ทำจริงๆ เหรอเนี่ย”
“อ้าว ถ้าไม่ใช่ครูแล้วจะใครละจ้ะ”
เผ่าพงศ์ตักอาหารเข้าปาก แล้วตาโตตกใจ
“อร่อยด้วย นี่แม่ษาลองดูซิ”
เผ่าพงศ์ลองตักให้พรรษาชิม พรรษาชิมแล้วพยักหน้ายอมรับ
“ษาต้องชิดซ้ายเลยคะ สมกับที่เป็นเชฟของโรงแรมจริงๆ”
ระหว่างนั้นภูวนัยเดินเข้ามา
“ท่าทางคนในนี้คงไม่มีคนคิดถึงอาละมั้ง”
ทุกคนหันไปก็เห็นภูวนัยยืนอยู่ ม่านเมฆดีใจรีบลุกเข้าไปหาภูวนัย
“พ่อ”
ม่านเมฆวิ่งไปกอดภูวนัย ภูวนัยชะงักไปด้วยความเจ็บที่แผลด้านหลัง
“อ้าว แกมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อคืนน่ะครับ ผมมาดึกแล้วเลยไม่อยากปลุก” ภูวนัยมองพรรษาที่ใส่เฝือกอ่อน “แล้วป้าษาไปโดนอะไรมาน่ะครับ”
เผ่าพงศ์ของขึ้นทันที
“จะอะไรซะอีก”
พรรษารีบแทรกขึ้นเพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องเป็นราว
“ไม่มีอะไรหรอกคะ คือป้าลื่นล้มน่ะคะไม่ต้องห่วงคะคุณภู ครูไผ่พาป้าไปหาหมอมาเรียบร้อยแล้วคะ”
ภูวนัยเหล่มองไผ่พญา แล้วแปลกใจเมื่อเห็นอาหารบนจาน
“วันนี้กับข้าวดูน่ากินจังครับ” ภูวนัยนั่งลง ม่านหมอกตักอาหารให้ ภูวนัยอึ้งๆ ไปก่อนจะตักเข้าปาก “อร่อยด้วยนี่ผมไปกรุงเทพไม่กี่วัน ป้าษาทำอาหารอร่อยขึ้นขนาดนี้เลยเหรอครับ”
ม่านหมอกรู้ว่าภูวนัยไม่ชอบไผ่พญาเลยแกล้ง
“ครูไผ่เป็นคนทำ อร่อยใช่มั้ย”
ภูวนัยชะงัก ก่อนจะมองไผ่พญาที่ยิ้มเชิด
“ก็ งั้นๆ แหละ”
“อ้าว เมื่อกี้นายยังบอกอร่อยอยู่เลย”
“เมื่อกี้ก็คือเมื่อกี้ ลิ้นฉันเปลี่ยนไว”
“ลิ้นเปลี่ยนไวหรือกลัวเสียหน้ากันแน่”
“เสียหน้าอะไร”
“จะไปรู้เหรอ บางทีนายอาจมองฉันว่าทำอะไรไม่ค่อยเป็น แต่พอรู้ว่าฉันทำอาหารอร่อยก็เลยกลัวเสียฟอร์มที่จะกินอาหารฝีมือฉันไง”
“นี่เรียกว่าอร่อยแล้วเหรอ ให้ผมไปซื้อแกงถุงกินยังจะดีกว่า” ภูวนัยรวบช้อน “ใครจะกินก็กินละกัน ผมคงไม่กล้ากิน”
“อ้าว ทำไมวะ” เผ่าพงศ์ถามอย่างแปลกใจ
“ผมไม่รู้ว่ากินเข้าไปแล้วจะท้องเสียหรือเป็นอะไรหรือเปล่า”
“โห นี่ ถ้านายจะไม่กินก็เรื่องของนาย ทำไมต้องพูดให้คนอื่นเขาไม่กล้ากินด้วย”
“ที่ผมพูดเพราะผมเป็นห่วงว่าทุกคนจะเข้าโรงพยาบาลเพราะอาหารเป็นพิษต่างหาก”
“เพราะอารมณ์เป็นพิษของนายมากกว่า นายไม่กินก็เรื่องของนายทำไมต้องทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วย”
ภูวนัยถึงกับชะงักไป เพราะคำพูดของไผ่พญาไปกระตุ้นเรื่องของมารุต
“เมื่อกี้คุณว่าอะไร”
ไผ่พญางง ที่อยู่ๆ ภูวนัยก็โกรธขึงขึ้นมา
“ทำไมเหรอ”
“ผมถามว่าเมื่อกี้คุณพูดว่าอะไร”
ทุกคนถึงกับตกใจที่ภูวนัยเสียงดัง
“เอ่อ ฉันก็ว่านายชอบทำให้คนอื่นเดือดร้อนไง”
ทันใดนั้นภูวนัยก็คว้าข้อมือไผ่พญาแล้วดึงออกไป
“เฮ้ย! ไอ้ภู เป็นไรใจเย็นๆ ซิวะ”
“ไม่มีอะไรครับ ทุกคนไม่ต้องตามมาผมแค่ขอคุยกับครูไผ่เท่านั้น”

ภูวนัยดึงไผ่พญาออกไป ทุกคนมองตามด้วยความสงสัย

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 7 (ต่อ)

ครู่ต่อมาภูวนัยดึงไผ่พญาขึ้นบันไดมา ไผ่พญาโวยลั่น

“ปล่อยฉันนะ นายเป็นบ้าอะไรของนาย”
“ผมทนกับคุณมามากแล้วนะ”
“ฉันก็ทนนายมากเหมือนกัน ทำไมนายชอบทำให้คนอื่นเดือดร้อนจริง แล้วฉันพูดผิดตรงไหน ห๊ะ”
ไผ่พญาสะบัดมือให้หลุดจากการจับของภูวนัย ภูวนัยไม่ยอมปล่อย
“จะไปไหน”
ทันใดนั้นภูวนัยก็คว้าไผ่พญาเข้ามาอุ้มเอาไว้
“ปล่อย ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย ฉันบอกให้ปล่อย”
ไผ่พญาดิ้นไปมาในวงแขนของภูวนัย ภูวนัยเกิดเจ็บแปล๊บที่แผลที่หลังขึ้นมาจึงทำให้ภูวนัยเสียหลักล้มลง ไผ่พญาจึงเสียหลักล้มลงตามมาด้วย แล้วไผ่พญาก็ล้มลงจูบกับภูวนัยที่นอนอยู่ด้านล่างโดยไม่ตั้งใจ ชิ้ง! ทั้งสองต่างสบตากับสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ไผ่พญาอึ้งไป แต่แล้วภูวนัยก็ร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บแผล
“โอ้ย”
ไผ่พญาแปลกใจที่เห็นภูวนัยเจ็บ ก่อนที่ไผ่พญาจะลุกขึ้นแล้วเห็นภูวนัยเอามืออีกข้างจับหัวไหล่ ไผ่พญาตกใจอีกเมื่อเห็นเลือดไหลมาที่แขนของภูวนัย

ไผ่พญาเปิดแผลภูวนัยที่อยู่ด้านหลังออกแล้วเธอก็ต้องตกใจ
“นายไปโดนอะไรมาเนี่ย”
“อย่าถามมากน่า ทำไปเถอะ”
ไผ่พญาเอาสำลีเช็ดเลือดออก
“ฉันว่านายไปโรงพยาบาลเถอะ”
“ไม่ต้องหรอก แผลมันไม่ได้แตกนี่” ไผ่พญาค่อยๆ เอาสำลีเช็ดเลือดอย่างแผ่วเบา ภูวนัยเริ่มสงบสติอารมณ์
“คุณว่าผมเป็นตัวซวยหรือเปล่า”
ไผ่พญางงที่อยู่ๆ ภูวนัยก็ถามอย่างนั้น
“หือ”
“ก็ที่คุณบอกว่าผมชอบทำให้คนอื่นเดือดร้อนไง”
“เอ่อ อ๋อ นายอย่าใส่ใจคำพูดฉันเลย ฉันก็พูดไปอย่างนั้นแหละ”
เมื่อทุกอย่างสงบ ทำให้ภูวนัยได้สติ
“ไม่หรอก คุณพูดถูกแล้วละ” ไผ่พญาแปลกใจเมื่อเห็นภูวนัยพูดดีกับเธอจึงทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน “ผมยอมเสี่ยงชีวิต ยอมแลกทุกอย่างเพื่อความถูกต้อง จนคนทุกคนที่อยู่รอบข้างผมต้องตาย”
ไผ่พญารู้สึกผิดที่ทำให้ภูวนัยรู้สึกอย่างนั้น
“เอ่อ ฉันขอโทษ” ภูวนัยมองไผ่พญาด้วยความแปลกใจ “ก็เพราะคำพูดของฉันทำให้นายรู้สึกอย่างนี้ไง”
ภูวนัยพยักหน้ายอมรับ ก่อนจะรู้สึกผิด
“เอ่อ ผมเองก็ต้องขอโทษคุณเหมือนกัน”
ภูวนัยมองไผ่พญา เป็นจังหวะเดียวกับที่ไผ่พญาก็มองภูวนัยเช่นเดียวกัน ไผ่พญาหลบตาไม่พูดอะไร ระหว่างนั้นเผ่าพงศ์เดินเข้ามาพร้อมกับร้องเรียกหาภูวนัย
“ไอ้ภู ไอ้ภูเอ๊ย” แล้วเผ่าพงศ์ก็ชะงักไปเมื่อเห็นภูวนัยถอดเสื้ออยู่กับไผ่พญา เผ่าพงศ์ชะงักแล้วรีบหันหน้าหนี “เอ สงสัยจะไม่อยู่แถวนี้ ไอ้ภู อยู่ไหนวะ”
เผ่าพงศ์รีบเดินชิ่งออกไปเพราะทำตัวไม่ถูก ภูวนัยกับไผ่พญามองหน้ากัน
“สงสัยผมจะทำให้คุณเดือดร้อนอีกคนแล้วละ”

พรรณรายเดินกรีดกรายเข้ามาในบ้านภูวนัย
“ภู ภูขา พั้นซ์มาคะ” พรรณรายกำลังจะเดินพ้นมุมห้องรับแขกก็เจอกับม่านหมอกที่เดินเข้ามาพอดี “อุ้ย สวัสดีจ้ะหมอก”
ม่านหมอกมองสภาพของพรรณราย
“พอหายดี ก็รีบวิ่งตามผู้ชายเหมือนเดิมเลยหรือไง”
“นี่ เป็นเด็กเป็นเล็กน่ะ หัดพูดจากับผู้ใหญ่ให้มันดีๆ หน่อย”
“แล้วทำไมผู้ใหญ่ไม่หัดพูดจาดีๆ กับเด็กบ้างละ”
“ฉันไม่อยากเถียงกับเธอหรอกนะ เสียเวลา” แล้วพรรณรายก็หันไปตะโกนร้องเรียกหาภูวนัยต่อ “ภู ภูอยู่ไหนคะ” เผ่าพงศ์เดินเข้ามาหายิ้มกรุ่มกริ่ม “สวัสดีคะคุณพ่อ”
“อ้าว หวัดดีๆ”
“คุณพ่อเห็นภูมั้ยคะ”
“ไอ้ภูเรอะ โน่น กำลังกระจุ๊งกระจิ๊งกับครูไผ่ที่สวนโน่น”
พรรณรายได้ยินที่เผ่าพงศ์พูดอย่างนั้น สีหน้าเธอเปลี่ยนทันที
“อะไรนะคะ”
เผ่าพงศ์ชะงัก รีบเอามือปิดปากแล้วส่ายหน้า
“อย่างนี้นี่เอง ถึงว่าทำไมอาภูถึงบอกว่าเขาอยากคุยเรื่องส่วนตั้วส่วนตัวกับครูไผ่”
ม่านหมอกบอก พรรณรายได้ยินอย่างนั้น ร่างก็สั่นเทิ้มด้วยความโกรธทันที

ไผ่พญาปิดผ้าก๊อตที่หลังของภูวนัยเรียบร้อย
“เอ้า เสร็จแล้ว”
ภูวนัยลุกขึ้นก่อนจะหันมามองไผ่พญา ไผ่พญาเห็นมัดกล้ามของภูวนัยก็เขิน ไม่รู้จะเอาตาไปวางไปไหน
“ขอบคุณมาก”
“ไม่เป็นไร เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย”
ภูวนัยพยักหน้าก่อนจะหยิบเสื้อขึ้นมาใส่ ไผ่พญาหันหลังเดินออกไป
“อย่าบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้นะ” ภูวนัยบอก ไผ่พญาหันมา ทำหน้าสงสัย
“ทำไมละ”
“ฉันรู้ว่าทุกคนเป็นห่วงฉัน แล้วถ้าพวกเขารู้ว่าฉันเป็นอย่างนี้เพราะไปทำอะไรมา พวกเขาคงไม่สบายใจ”
ภูวนัยยังใส่เสื้อไม่เสร็จขณะเดินเข้ามาหาไผ่พญา
“เอ่อ ได้...ได้ซิ”
“ฉันอยากให้เธอเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ”
ระหว่างนั้นพรรณรายเดินเข้ามา
“ความลับอะไร” ภูวนัยกับไผ่พญาอึ้งไปเมื่อเห็นพรรณราย ขณะที่พรรณรายเองก็ตกใจเมื่อเห็นไผ่พญากับภูวนัยที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ย “กรี้ดดดด”
พรรณรายปาดเข้ามาตบหน้าไผ่พญาอย่างแรง
“โอ๊ย”
“พั้นซ์ เดี๋ยวก่อนพั้นซ์”
พรรณรายไม่ฟังเสียง ผลักไผ่พญาล้มลงแล้วขึ้นคร่อมก่อนจะตบไม่ยั้ง
“โอ๊ย”
“พั้นซ์ หยุดเดี๋ยวนี้”
ภูวนัยเข้ามาจับตัวพรรณราย พรรณรายสะบัดแขนจนภูวนัยต้องปล่อยเพราะภูวนัยเจ็บแขน
“อย่ามายุ่งคะภู พั้นซ์จะทำให้มันรู้ว่าการยุ่งกับผู้ชายของคนอื่นมันเป็นยังไง”
ภูวนัยเห็นไผ่พญาโดนอย่างนั้นก็ต้องทนเจ็บเข้าไปช่วย
“พอได้แล้วพั้นซ์”

ภูวนัยลากตัวพรรณรายออกมาจนได้

ใบหน้าไผ่พญาแดงช้ำและมีเลือดออกที่มุมปาก พรรณรายตะโกนด่าไผ่พญาทั้งที่โดนภูวนัยล็อคตัวเอาไว้

“จำไว้ แล้วทีหลังอย่ามายุ่งกับภูของฉันอีก”
“พั้นซ์ คุณฟังผมก่อนผมกับครูไผ่”
ภูวนัยพยายามอธิบายแต่เสียงของไผ่พญาดังแทรกขึ้นก่อน
“คุณบอกคนของคุณเถอะ เพราะฉันไม่ได้ยุ่งกับคนของคุณ คนของคุณต่างหากที่มายุ่งกับฉันเอง”
“กรี้ดดด! ไม่ ไม่จริง”
“แล้วอยากรู้มั้ยว่าความลับที่ฉันกับคุณภูตกลงกันไว้สองคน มันคืออะไร” ไผ่พญาเข้าไปหาภูวนัย “ภูขา...บอกเขาไปเถอะคะ ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว”
“กรี้ดดด! ภู ไม่จริงใช่มั้ย บอกพั้นซ์ซิว่ามันโกหก”
“ภูขา บอกไปซิคะว่าเมื่อกี้เราเพิ่งจูบกันอย่างเร่าร้อน”
พรรณรายได้ยินอย่างนั้นก็สะบัดจากการจับของภูวนัยเข้าไปจะตบไผ่พญาอีก
“กรี้ดดด! แกตาย”
พรรณรายเข้าไปแล้วตบไผ่พญาไม่ยั้ง ไผ่พญาพยายามปัดป้องเพื่อป้องกันตัว ทันใดนั้นไผ่พญาก็ผลักพรรณรายออก พรรณรายเสียหลักหัวกระแทกกับต้นไม้ พรรณรายล้มลงหมดสติ
“พั้นซ์ พั้นซ์” ภูวนัยเห็นพรรณรายหมดสติก็หันมาต่อว่าไผ่พญา “คุณทำเกินไปแล้วนะ”
ไผ่พญาเห็นภูวนัยเป็นห่วงพรรณรายอย่างนั้นก็รู้สึกเจ็บแปลบในใจขึ้นมาอย่างประหลาด ไผ่พญาเช็ดเลือดที่มุมปากก่อนจะเดินเชิดหน้าออกไปอย่างเข้มแข็ง ภูวนัยมองตามก่อนจะหันมามองพรรณรายด้วยความเป็นห่วง

ไผ่พญาเดินออกจากบ้านอย่างหงุดหงิด
“เชิญเป็นห่วงกันให้พอ โธ่ ฉันนี่ ฉันเป็นคนโดนตบ” ไผ่พญาหันมองเข้าไปในบ้านก็ยิ่งหงุดหงิด “เขาเป็นแฟนกันก็เป็นห่วงกันก็ถูกแล้ว แล้วเราจะหงุดหงิดอะไร โอ๊ย! ทำไมหงุดหงิดอย่างนี้”
“ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนก็ได้ครับ”
เสียงตะวันฉายดังขึ้น ไผ่พญาตกใจหันมามองจึงเห็นตะวันฉายยืนอยู่
“อุ้ย คุณตะวัน มาเมื่อไหร่คะเนี่ย”
“ก็มาตอนที่คุณบอกว่าคุณหงุดหงิดน่ะครับ” ตะวันฉายตกใจเมื่อเห็นหน้าไผ่พญา “ หน้าคุณ”
ไผ่พญาตกใจรีบเอามือกุมหน้า
“อ๋อ ไม่มีอะไรคะ คือ... คือ...เมื่อกี้ยุงมันมาเกาะหน้าฉันน่ะคะ ฉันก็เลย” ไผ่พญาทำท่าตบหน้าตัวเอง “จัดให้ชุดใหญ่ แหม พักนี้ยุงเยอะนะคะ”
“แต่คุณเลือดออก” ไผ่พญารีบเช็ด
“อ้าวเหรอคะ อ๋อ สงสัยจะเป็นเลือดยุงน่ะคะ” ไผ่พญารีบเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากตอบคำถาม “คุณตะวันมาหาคุณภูใช่มั้ยคะ แต่คุณคงต้องรอหน่อยเพราะตอนนี้เขากำลังทำธุระกับแฟนเขาอยู่”
ไผ่พญาพูดเชิงตัดพ้อน้อยใจออกมาโดยไม่รู้ตัว
“เปล่าหรอกครับ ผมมาหาคุณ”
“มาหาฉัน”
ตะวันฉายยิ้มให้ก่อนจะส่งถุงให้กับไผ่พญา
“อะไรน่ะคะ” ไผ่พญาเปิดดูแล้วดีใจเมื่อเห็นว่าเป็นรองเท้า “อยู่นี่เอง คุณไปเจอที่ไหนคะ”
“นี่คุณจำอะไรไม่ได้เลยเหรอครับ” ไผ่พญายิ้มแหยๆ
“คุณแลกรองเท้ากับป้าแล้วก็เดินกลับไงครับ”
“โห นี่ฉันจำไม่ได้เลยนะเนี่ย”
“แล้วจำได้มั้ยครับว่าคุณยืมเงินผมไปหมื่นนึง”
“ห๊า! อย่า อย่า อย่ามาอำฉันให้ยาก เรื่องอื่นฉันอาจจำไม่ได้แต่เรื่องเงินนี่ต่อให้เมายังไงฉันก็ไม่มีทางลืม”ตะวันฉายยิ้มขำ
“ต่อไปคุณอย่าทำอย่างนั้นอีกนะครับ”
“เรื่องลืมรองเท้าน่ะเหรอคะ”
“วันนั้นผมขับรถตามหาคุณจนเกือบเช้า ผมตกใจมากที่คุณหายไปอย่างนั้น” ตะวันฉายมองไผ่พญา ต้องการสื่อความนัย “อย่าไปไหนโดยไม่มีผมอีกนะครับ”
ไผ่พญาทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้ว่าตะวันฉายมายังไง
“เอ่อ คะ”
ไผ่พญายิ้มน้อยๆ ให้ตะวันฉาย ขณะนั้นม่านหมอกยืนมองตะวันฉายกับไผ่พญาอยู่

ม่านหมอกยืนคิดอะไรบางอย่างอยู่ริมน้ำ จนกระทั่งผจญแบกกระสอบรำเดินผ่านมา ผจญเห็นม่านหมอกยืนอยู่ริมน้ำอย่างนั้นก็เป็นห่วง ผจญโยนกระสอบรำลงก่อนจะเดินเข้ามาเมียงมองม่านหมอก
“คุณหมอก” ม่านหมอกหันไปเห็นผจญ แล้วก็หันกลับมาทอดสายตาออกไปเหมือนเดิม “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ทำไม ฉันไม่ฆ่าตัวตายหรอกน่า”
“เอ่อ แต่ผมว่าอย่าไปยืนชิดอย่างนั้นเลยครับ เกิดผีผลักขึ้นมาเดี๋ยวจะยุ่ง”
ม่านหมอกนิ่งเงียบ
“นายเคยมีความรักมั้ย”
“หือ เอ่อ ครับ”
“ครับ นี่มีหรือไม่มี”
“มีครับ”
“ดีจังนะ”
“จะว่าดีก็ดีครับ จะว่าไม่ดีก็ไม่ดีครับ” ม่านหมอกมองมาอย่างแปลกใจ “คือ เธอไม่รู้หรอกครับว่าผมแอบชอบเธออยู่”
ม่านหมอกทำหน้าประหลาดใจ
“จริงเหรอ ถ้าอย่างนั้นเราก็เหมือนกัน” ผจญนิ่งไป “การแอบรักใครสักคนก็ทรมานแล้ว แล้วถ้ารู้เขาไม่ชอบเราอีก มันยิ่งทรมานน่ะ นายว่ามั้ย”
“ครับ เอ่อ คุณหมอกแอบชอบใครเหรอครับ”
ผจญรวบรวมความกล้าถามออกมา ม่านหมอกเจอคำถามแทงใจดำของผจญทำให้ได้สติ
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็บ่นไปอย่างนั้นแหละ”
ม่านหมอกพูดจบก็เดินออกไป ผจญมองตามรู้สึกเป็นห่วงที่ม่านหมอกเป็นอย่างนี้

พรรณรายนอนหมดสติที่โซฟา พรรษาใช้ยาดมปัดไปมาที่จมูก ภูวนัยยืนมองสีหน้าเครียด
“คุณพั้นซ์ไปทำอะไรมาคะ ถึงได้ช๊อคหมดสติอย่างนี้”
พรรษาถามอย่างแปลกใจ ภูวนัยอ้ำอึ้งก่อนจะตอบออกมา
“เอ่อ เธอเห็นผมกับครูไผ่ เอ่อ...”
พรรษาพยักหน้าเข้าใจแล้วว่าทำไมพรรณรายถึงได้ช๊อคหมดสติ พรรณรายค่อยๆ รู้สึกตัว แต่พอรู้สึกตัวได้ก็เรียกหาภูวนัยทันที
“ภู ภู”
ภูวนัยเห็นพรรณรายฟื้นแล้วก็รีบเข้ามาดูทันที
“เป็นยังไงบ้างพั้นซ์ เดี๋ยวผมดูแลเธอเองครับ”
พรรษาพยักหน้าก่อนจะลุกออกไป พรรณรายก็ลุกขึ้นก่อนจะโผกอดภูวนัยแน่นจนภูวนัยเจ็บแผลที่หลัง
“ภู ภูกับยัยครูนั่นมีอะไรกันจริงเหรอคะ”
“มันไม่ใช่อย่างที่พั้นซ์เห็น”
“ใช่ เพราะมันอาจจะมากกว่าที่เห็นก็ได้” ม่านหมอกบอก
“นั่นซิ กระดาษทิชชูเกลื่อนซะขนาดนั้น” เผ่าพงศ์บอก
ภูวนัยหันมองม่านหมอกกับเผ่าพงศ์ ทั้งสองทำเป็นเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
“ภูอยู่กับยัยครูนั่น แล้วภูก็ถอดเสื้อ ภูจะให้พั้นซ์คิดยังไงคะ ภูบอกพั้นซ์มาซิ บอกมา”
“ผมมีเหตุผลที่บอกคุณไม่ได้พั้นซ์ แต่ที่ผมบอกคุณได้ตอนนี้คือผมกับครูไผ่ ไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ”
“พั้นซ์ไม่เชื่อ ภูบอกมานะภูกับนังครูนั่นชอบกันใช่มั้ย”
พรรณรายเข้ามาตีภูวนัย จนภูวนัยเหลืออด
“หยุดนะพั้นซ์ ผมบอกคุณแล้วว่าผมกับครูไผ่ไม่ได้มีอะไรกัน ถ้าคุณไม่เชื่อก็ตามใจ”
ภูวนัยลุกขึ้นแล้วเดินออกไปอย่างหงุดหงิด
“ภู ภู”
พรรณรายได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักก็หันไปแล้วเห็นม่านหมอกกับเผ่าพงศ์กำลังหัวเราะสะใจ

พรรณรายกำหมัดแน่นด้วยความแค้น

ภายในห้องประชุมที่หน่วยปราบปรามยาเสพติด วีระ ราชัยและตำรวจอื่นๆ นั่งกันอยู่ภายในห้องด้วยอาการเซื่องซึม ชาติกล้าเปิดประตูเข้ามา ทุกคนยืนทำความเคารพ

ชาติกล้าเอาแฟ้มมาวางไว้ที่โต๊ะหน้ากระดาน ก่อนจะเห็นกาแฟแก้วนึงวางไว้บนโต๊ะ ชาติกล้าหยิบกาแฟขึ้นมาดู
“ผมกินกาแฟดำ”
“เอ่อ อันนั้นของผู้กำกับน่ะครับหัวหน้า”
ชาติกล้าชะงักไป ก่อนจะเดินถือแก้วกาแฟไปที่ถังขยะแล้วทิ้งลงถัง ทุกคนถึงกับอึ้งไปที่ชาติกล้าทำอย่างนั้น ชาติกล้าหันมา
“คิดว่าทำอย่างนี้แล้วผู้กำกับจะดีใจหรือไง ผมรู้ว่าทุกคนเสียใจแต่จะดีกว่ามั้ยถ้าเราจับไอ้คนที่ฆ่าผู้กำกับได้”
ทุกคนนิ่งเงียบไป
“พวกเราก็อยากทำอย่างนั้นครับ แต่พวกมันไม่ทิ้งร่องรอยหลักฐานให้มัดตัวพวกมันไว้เลย”
“พวกมันทำเหมือนว่าจะฆ่าพวกเราเมื่อไหร่ก็ได้ ขนาดผู้กำกับยังโดนพวกมัน...” ราชัยพูดไม่ออก
“กลัวเหรอ” ทุกคนก้มหน้างุดเพราะขวัญเสียจากการตายของมารุต “เชิญ หน่วยของผมไม่ต้องการคนที่กลัวจะต่อสู้กับคนชั่ว หากใครกลัวตาย เชิญไปเขียนไปลาออกทิ้งไว้ที่โต๊ะผมได้เลย”
“หัวหน้าครับ พวกเราไม่ได้หมายความอย่างนั้นครับ”
“ออกไป” ทุกคนอึ้ง “ออกไปให้หมด”
ทุกคนค่อยๆ ลุกก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ระหว่างนั้นชาติกล้าได้ยินเสียงดังเข้ามาในห้อง
“หัวหน้าแกเป็นไรวะ พวกเราก็แค่เป็นห่วงลูกเมียเท่านั้น ดูอย่างเมียผู้กำกับซิพอผู้กำกับตายไปอย่างนั้นแล้วจะอยู่ยังไง”
“อย่างว่าแหละวะ หัวหน้าแกไม่มีลูกมีเมียกับเขานี่หว่า ขนาดแฟนยังไม่มีเลยตายไปก็ไม่มีคนต้องห่วง”
ชาติกล้าได้ยินที่พวกตำรวจคุยกันก็กัดกรามแน่นคิดถึงเรื่องครอบครัวขึ้นมา

ที่โรงพยาบาล ปลายฟ้ากำลังทำแผลให้คนไข้
“แผลหายสนิทดีแล้ว คงไม่ต้องมาอีกแล้วล่ะค่ะ” คนไข้เดินออกไป สวนทางกับพยาบาลที่ถือช่อดอกไม้เดินเข้ามา “ดอกไม้สวยจัง ใครให้แกมาเหรอ”
“ไม่ใช่ของหนูหรอกคะ แต่เป็นของหมอ”
“ของฉันเหรอ”
“คนฝากเขารอหมออยู่ที่ห้องน่ะคะ”
ปลายฟ้าแปลกใจว่าใคร

ปลายฟ้าเดินถือดอกไม้มาหน้าห้อง ปลายฟ้ายังสงสัยว่าใครให้มาแล้วปลายฟ้าก็ชะงักไปเหมือนนึกออกว่าคงจะมีแค่คนเดียว ปลายฟ้ามองดอกไม้ก่อนจะยิ้มออกมา ปลายฟ้าเปิดประตูเข้ามาในห้อง
“โรแมนติคเหมือนกันนะภู” แต่แล้วปลายฟ้าก็ต้องชะงักไปเพราะคนที่นั่งรออยู่ในห้องเป็นชาติกล้า “ชาติ”
ชาติกล้าได้ยินปลายฟ้าเรียกหาภูวนัยอย่างนั้นก็มีแอบน้อยใจ
“ขอโทษที่ผมไม่ใช่ไอ้ภู”
“เอ่อ ฉันคิดว่าเป็นภูเอาดอกไม้มาขอบคุณฉันเรื่องวันนั้นน่ะ” ปลายฟ้ารีบเปลี่ยนเรื่อง “แล้วนี่ชาติมาหาฟ้ามีอะไรหรือเปล่า”
“เรายังไม่ได้ทานข้าวเย็นด้วยกันเลยนะฟ้า”
ปลายฟ้าได้ยินก็อมยิ้ม
“นึกว่าเรื่องอะไร ได้ซิ ชาติไปรอที่ร้านก่อนแล้วกัน ฟ้ามีตรวจคนไข้อีกสองสามรายเสร็จแล้วเดี๋ยวฟ้าตามไป”
ชาติกล้าพยักหน้านิ่งๆ ซ่อนความดีใจเอาไว้

ชาติกล้านั่งรออยู่ที่ร้านอาหารกำลังนั่งดูแหวนที่อยู่ในกล่อง ระหว่างนั้นปลายฟ้าเดินเข้าในร้าน ชาติกล้าหันไปเห็นจึงรีบเก็บแหวน ปลายฟ้าเดินเข้ามาพอดี
“นี่ อย่าบอกนะว่าไม่ได้กินคราวที่แล้ว วันนี้ก็เลยมากินล้างแค้น”
“หึ เห็นผมเป็นคนอย่างนั้นเหรอ”
“สั่งอาหารยัง” ปลายฟ้าหันไปหาพนักงาน “น้องๆ”
“ผมสั่งแล้ว”
“อ้าวเหรอ”
พนักงานเดินเข้ามาพอดี ชาติกล้าเลยบอก
“เมื่อกี้อาหารที่สั่ง ให้ยกออกมาได้เลย”
พนักงานคร่อมศรีษะก่อนจะเดินออกไป
“วันนี้ฟ้าว่าชาติดูแปลกๆ นะ มีอะไรหรือเปล่า” ปลายฟ้าถามอย่างสงสัย
“ฟ้าได้ยินข่าวที่มีตำรวจถูกยิงมั้ย” ปลายฟ้าพยักหน้า “คนนั้นเขาเป็นหัวหน้าของผมเอง” ปลายฟ้าอึ้งไป
“เอ่อ เสียใจด้วย”
“ไม่เป็นไร ที่จริงแล้วการเป็นตำรวจมันก็อยู่ใกล้ความตายแค่นิดเดียว ผมไม่ได้กลัวความตาย แต่ผมกลัวว่าจะไม่ได้ทำบางอย่างก่อนตายเท่านั้น”
“วันนี้ชาติแปลกจริงๆ นะ”
“ฟ้า ผมมีบางอย่างอยากจะบอกกับคุณ”
ชาติกล้าเอื้อมมือไปหยิบกล่องแหวนที่วางไว้ก่อนจะหยิบมันขึ้นมา ปลายฟ้าเห็นอย่างนั้นก็ชะงัก ชาติกล้าค่อยๆ เปิดกล่องแหวนออก ปลายฟ้าอึ้งไปเมื่อเห็นแหวนวงงามอยู่ภายในกล่อง
“อะไรกันชาติ อย่าล้อเล่นอย่างนี้ซิ”
“ฟ้า ผม...” ชายกล้ารวบรวมความกล้าพูดออกไป “ผมรักคุณนะ”
“ชาติ” ชาติกล้าหยิบแหวนขึ้นมาก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือปลายฟ้าเพื่อจะเอามาใส่แหวน แต่แล้วปลายฟ้ากลับขืนมือเอาไว้ “แต่ฟ้าไม่ได้รักชาติ เอ่อ...ฟ้าขอตัวก่อนนะ”
ปลายฟ้ารีบลุกขึ้นก่อนจะเดินออกไป ชาติกล้ามองแหวนในมือแล้วกำมันด้วยความโกรธ ก่อนที่ชาติกล้าจะลุกขึ้นแล้วตรงไปที่ปลายฟ้าที่กำลังเดินจ้ำออกไป ชาติกล้าคว้ามือปลายฟ้าหันมาแล้วถามตรงๆ ทันที
“ฟ้าชอบไอ้ภูมันใช่มั้ย”
ปลายฟ้าชะงักไปเมื่อชาติกล้าโพล่งออกมาอย่างเหลืออด
“ทำไมฟ้าต้องบอกชาติด้วย”
“เพราะฟ้ากำลังทำตัวน่าสมเพชไง”
“ชาติ”
“ฟ้าก็รู้ว่าไอ้ภูมันไม่ได้ชอบคุณ มันไม่เคยเห็นคุณอยู่ในสายตาเลย”
สิ้นคำพูดของชาติกล้า ปลายฟ้าก็ตบหน้าชาติกล้าดังเผียะ! ปลายฟ้าอึ้งเมื่อโดนชาติกล้าพูดแทงใจดำ
“ถึงภูจะไม่ชอบฉัน แต่อย่างน้อยขอให้ฉันได้ชอบเขาก็พอ”
ปลายฟ้าพูดจบก็ขึ้นมอเตอร์ไซค์ก่อนจะขับออกไป

ชาติกล้ามองตามทั้งเสียใจและแค้นเคือง

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 7 (ต่อ)

ไผ่พญานั่งอยู่มุมหนึ่งด้วยความน้อยใจ

“หึ...คุณทำเกินไปแล้วนะ โธ่เอ๊ย โน่น ยัยนั่นต่างหากทำเกินไป”
“คุณเป็นยังไงบ้าง”
เสียงภูวนัยดังขึ้น ไผ่พญาชะงักก่อนจะหันไปเห็นภูวนัยยืนอยู่
“นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
“ก็ตอนที่คุณกำลังทำเสียงล้อเลียนผมพอดี” ภูวนัยยื่นหลอดยาให้ “ผมเอายามาให้”
ไผ่พญามองยาในมือของภูวนัยแล้วเบ๊ปาก
“เก็บไว้ให้ยัยคุณพั้นซ์สุดที่รักของนายเถอะ”
“ทำไมประชดประชันด้วย”
“ใครประชดประชัน เปล่าซะหน่อย ฉันพูดจริงๆ ต่างหาก คุณพั้นซ์เขาเจ็บมากกว่าฉัน นายไปห่วงคุณพั้นซ์เขาเถอะ”
“คุณไม่ต้องบอกผมหรอก ผมเห็นว่าอะไรเป็นอะไร คุณเป็นฝ่ายโดนพั้นซ์ทำร้ายผมก็เห็น”
“ชิ นึกว่าจะหลงจนหน้ามืดตามัว”
“แต่ที่พั้นซ์เขาทำอย่างนั้นก็เพราะว่าคุณไปยั่วโมโหพั้นซ์เขาก่อนทำไม”
“ใครยั่ว”
“คุณไง ถ้าคุณไม่บอกว่าเราจูบกัน พั้นซ์เขาก็คงไม่โมโหอย่างนั้นหรอก”
“ฉันยั่วที่ไหน ฉันพูดความจริงต่างหาก”
“ความจริงอะไร ผมกับคุณไม่เคยจูบกันซะหน่อย”
“ทำไมจะไม่เคย ก็ตอนที่อยู่ที่สวนไง”
“อันนั้นเขาไม่ได้เรียกว่าจูบ หรือว่าคุณคิดว่านั่นเป็นการจูบกัน”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็สะดุ้ง รีบกลบเกลื่อน
“ใคร ใครคิด ฉันกลัวว่านายจะคิดต่างหาก ก็ดีแล้วที่นายไม่คิด ฉันน่ะกลัวที่สุด กลัวว่านายจะมาหลงชอบฉันแล้วยัยพั้นซ์เน่าจะมาหาเรื่องตบฉันอีก ถ้าอย่างนั้นเรามาทำความเข้าใจให้ตรงกันดีมะ”
“เรื่องอะไร”
“ก็นายกับฉันไม่เคยจูบกันไง”
“แน่นอน”
“ดี”
ไผ่พญาพูดเสร็จก็เดินเชิดหน้าออกไป ภูวนัยมองตามไผ่พญางงๆ กับท่าทางของผู้หญิงคนนี้

ไผ่พญาเปิดประตูเข้ามาในห้องก่อนจะมาลงนั่งที่เตียงแล้วสงบสติอารมณ์
“ฟู่ ฟู่ ฉันเป็นอะไรเนี่ย”
ที่ห้องภูวนัย ภูวนัยกำลังเอาผ้าก๊อตที่ติดเทปแล้ว เล็งไปที่หลังโดยส่องกระจกกะระยะ ภูวนัยวางแหมะไปที่แผลได้พอดี
“เฮ้อ กว่าจะได้”
ภูวนัยหันกลับมาที่โต๊ะเครื่องแป้งเพื่อเก็บอุปกรณ์ทำแผล ก่อนที่อยู่ๆ ภูวนัยก็นึกถึงไผ่พญา ภูวนัยเผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว

ที่งานศพมารุต เหล่าบรรดาตำรวจน้อยใหญ่ต่างมาเคารพศพกันเต็มศาลา ภรรยาและลูกต่างกอดกันร้องไห้ด้วยความเสียใจ ชาติกล้ากำลังจุดธูปเคารพ ชาติกล้ามองไปที่รูปของมารุตก่อนจะเห็นสายตาของเขาเต็มไปด้วยความแค้นเคือง
“ผู้กำกับ ผมสัญญาครับว่าผมจะหาตัวคนที่มันฆ่าผู้กำกับมาลงโทษให้ได้” ชาติกล้าปักธูปก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกมา ระหว่างนั้นชาติกล้าก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นพายัพเดินเข้ามา “ไอ้พายัพ”
ทุกคนหันมองตามชาติกล้า แล้วก็ตกใจเมื่อเห็นพายัพเดินเข้ามาพร้อมกับลูกน้องซ้ายขวา
“ใครให้แกเข้ามาในนี้”
“เอ้า ข้างหน้าเขาไม่ได้เขียนบอกไว้นี่ว่าห้ามคนชื่อพายัพเข้า”
วีระกับราชัยต่างกรูกันเข้ามา
“แกฆ่าผู้กำกับแล้วยังกล้ามาอีกเหรอ”
“นี่ไอ้น้อง พี่จะบอกให้นะจะพูดอะไรน่ะมีหลักฐานมั้ย ไม่ใช่ว่าจะกล่าวหาใครก็ได้เป็นตำรวจน่ะมันต้องรักษากฎหมาย อย่ามาใช้กฏหมู่เพราะเรื่องกฏหมู่น่ะฉันถนัด”
“นี่แกขู่พวกฉันเหรอ”
“หึ แนะนำดีๆ ก็หาว่าขู่ ไปๆ หลบไปดีกว่าฉันจะได้ทำธุระให้เสร็จ”
พายัพผลักอกชาติกล้าก่อนจะเดินเข้าไป ลูกน้องเข้าไปหยิบธูปก่อนจะจุดไฟแล้วส่งมาให้กับพายัพ พายัพรับธูปมาแล้วยืนไหว้ วีระกับราชัยเห็นก็โมโหจะเข้าไปแต่ชาติกล้าห้ามไว้
“อย่าใจร้อน”
“หัวหน้าดูมันซิครับ ขนาดผู้กำกับตายแล้วมันยังไม่ให้เกียรติผู้กำกับเลย”
ชาติกล้าเพ่งมองพายัพที่ปักธูปเสร็จ ก่อนจะเดินออกมา
“ผู้กำกับตายแล้ว ต่อไปแกคงลำบากหน่อย”
พายัพกำลังจะเดินออกไป พอได้ยินที่ชาติกล้าพูดอย่างนั้นก็ชะงัก
“ก็ไม่เท่าไหร่ ชีวิตฉันไม่ค่อยกลัวความลำบาก ไอ้ที่ฉันกลัวน่ะกลัวจะไม่สนุกมากกว่า”
“ถ้าแกแน่ใจว่าจะเล่นเกมส์นี่ต่อ ฉันก็จะเล่นกับแก”
“ไม่มีปัญหา แต่พวกแกรู้แล้วใช่มั้ยว่าคนที่แพ้...ต้องตาย”
พายัพแสยะยิ้ม แล้วเดินอาดๆ ออกไปโดยไม่สนใจ ชาติกล้ากำหมัดแน่นด้วยความโกรธ

วศินนั่งรออยู่ในรถ ไม่นานก็มีคนเปิดประตูรถก่อนจะนั่งลงซึ่งก็คือพายัพนั่นเอง
“แหม ท่านคิดได้ยังไงที่ให้ผมมางานศพ เท่านี้คนก็ไม่สงสัยท่านแล้ว” วศินหยิบซองสีน้ำตาลขึ้นมาให้พายัพดู
“ออเดอร์ใหม่เหรอ”
พายัพยิ้มแล้วหยิบซองจากมือของวศินไปดู แต่ทันทีที่พายัพดู พายัพก็อึ้งไปเพราะมันคือรายชื่อของตำรวจและจำนวน พายัพเปิดเอกสารหลายฉบับออกดูก็เห็นว่าเป็นหลักฐานทั้งนั้น
“ท่านได้มายังไง”
พายัพถามจบก็รู้สึกมีบางอย่างสัมผัสที่เอว พายัพก้มมองลงไปแล้วจึงเห็นวศินกำลังเอาปืนจี้เขาอยู่
“ไหนลื้อบอกว่าเก็บทุกอย่างปลอดภัยไง”
พายัพยิ้ม ไม่ยี่หระ
“ทำไม ท่านจะฆ่าผมเหรอ”
“แล้วลื้อคิดว่าไง”
“ไม่มีผม ท่านก็ไม่มีเงิน”
“แต่ถ้าไอ้ข้อมูลนี่หลุดออกไป ถึงอั้วมีเงินก็ไม่ได้ใช้”
“แล้วท่านคิดว่า ไอ้นี่” พายัพชูซอง “มันเป็นต้นฉบับเหรอ” วศินนิ่งไป “คิดว่าผมจะขี่หลังเสือโดยไม่ระวังอะไรเลยเหรอท่าน ถ้าผมจะตายท่านก็เตรียมดูไอ้ข้อมูลนี่จากโทรทัศน์ทุกช่องได้เลย”
วศินจ้องหน้าพายัพเหมือนกำลังหยั่งเชิงกับสิ่งที่พายัพพูด แล้ววศินก็ค่อยๆ เก็บปืน
“ตอนนี้อั้วหมอบให้ แต่ถ้าอั้วรู้ว่าลื้อลักไก่ละก็...”
“เอาน่าท่าน ผมว่าอย่าเอาเรื่องนี้มาทำให้ความสัมพันธ์ของเราต้องสะดุดดีกว่า ท่านอยู่เฉยๆ ก็มีเงินเข้าบัญชีท่านทุกเดือนๆ อยู่แล้ว”
“ไปได้แล้ว”
“หึ” พายัพจะเปิดประตูออกไป แล้วนึกได้ “ถ้าท่านจะกรุณา ช่วยบอกผมได้มั้ยว่าท่านได้นี่มายังไง”

พายัพหรี่ตาร้ายอย่างเอาเรื่อง

คืนนั้นเมื่อกลับมาบ้านพายัพกำลังดูแฟลชไดรฟ์จำนวนมากที่วางกองกันอยู่บนโต๊ะ มีเข้มซึ่งเป็นมือขวา ยืนอยู่ภายในห้องด้วย ระหว่างนั้นธี ซึ่งเป็นมือซ้ายของพายัพเข้ามา

“พี่ครับ”
พายัพพูดขึ้นโดยไม่มองหน้าธี
“มานี่” ธีเดินเข้ามาหาพายัพ แล้วธีก็แปลกใจเมื่อเห็นพายัพกำลังดูแฟลชไดฟ์จำนวนมากที่วางอยู่บนโต๊ะ “ไอ้ธี แกอยู่กับฉันมานานแค่ไหนแล้ว”
“เกือบสองปีแล้วครับพี่”
“นานขนาดนั้นเลยเหรอ แกรู้มั้ยว่าฉันไว้ใจแกสองคนมาก”
“รู้ครับพี่”
ธีมองพายัพกับเข้ม แอบเก็บซ่อนความหวั่นเกรงเอาไว้ก่อนจะยิ้มใจดีสู้เสือ
“มีเรื่องอะไรกันครับพี่”
“แกรู้ใช่มั้ยว่าทุกวันนี้ที่ตำรวจไม่กล้ายุ่งกับเรา ก็เพราะมีสิ่งที่พวกมันกลัวอยู่”
“ครับ”
“แต่ตอนนี้ มีคนของเราเอาข้อมูลของฉันไปให้ตำรวจ” ธีถึงกับชะงักไป แต่พยายามทำนิ่งไม่ให้สงสัย “แกรู้มั้ยว่าเป็นใคร”
พายัพจ้องหน้าธี ธีสู้ตาไม่ถอย
“ไม่รู้ครับ”
ทันใดนั้นพายัพก็หยิบปืนขึ้นแล้วยิงไปที่ขาของธีทันที ปัง!
“แต่มีคนบอกว่าเป็นแก”
“พี่ ผมไม่รู้เรื่องจริงๆ”
“มีคนเห็นแกอยู่กับไอ้มารุต แกเอาข้อมูลฉันไปให้มันใช่มั้ย”
“เปล่านะพี่ ผมไม่ได้ทำ” พายัพยิ้มก่อนจะเล็งปืนมาที่ธี “ใช่ครับ ผมไปคุยกับมันมา”
“ตกลงแกยอมรับแล้วใช่มั้ยว่าแกเป็นสายตำรวจ”
“เปล่าครับพี่ ไอ้มารุตมันมาจับตัวผมไปแล้วบอกให้ผมหักหลังพี่แต่ผมไม่ทำ”
“แล้วข้อมูลมันหลุดไปได้ยังไง”
“เอ่อ ผู้หญิงคนนั้นไงพี่ มันก็มีข้อมูลเหมือนกันต้องเป็นมันแน่ๆ”
“โอ้โห ฉันคิดไม่ถึงเลยว่า...จริงด้วย อาจจะเป็นนังนั่นก็ได้”
ธียิ้มที่พายัพเชื่อสิ่งที่เขาพูด แต่แล้วทันใดนั้นพายัพก็ยิงปังเข้ากลางแสกหน้าของธี ธีตาค้างแล้วหงายหลังล้มตึง เข้มไม่เข้าใจจึงถามขึ้นมา
“พี่ พี่ไม่เชื่อที่ไอ้ธีมันบอกเหรอครับ”
“ไอ้เข้ม แกก็รู้นี่ว่ารอยรั่วนิดเดียวก็ทำให้เรือจมได้ ไม่ว่ามันจะใช่หรือไม่ใช่ แต่ถ้าฉันสงสัยแล้ว...ก็...โป้ง!” เข้มมองศพธีหน้าเศร้า “ไอ้เข้ม”
“ครับพี่”
“เอาตัวผู้หญิงคนนั้นมาให้ฉัน ถ้าได้เป็นๆ ก็ดี แต่ถ้าไม่ได้...” พายัพนิ่งไป “แกเข้าใจใช่มั้ย”
เข้มพยักหน้า พายัพหน้าเหี้ยมขึ้นมาทันที

ปลายฟ้าขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดที่หน้าบ้านภูวนัย ปลายฟ้าลงจากมอเตอร์ไซค์กำลังจะเดินไป ปลายฟ้าชะงักก่อนจะเดินกลับมาส่องกระจกเพื่อเช็คความงามอีกครั้ง ระหว่างนั้นเสียงของตะวันฉายดังขึ้น

“แฮ่ม”
ปลายฟ้าชะงักเห็นตะวันฉายในกระจกก่อนจะหันไปแล้วเห็นตะวันฉายยืนอยู่
“นายตะวัน”
“แหม เพิ่งรู้นะครับว่าคนเป็นหมอก็ห่วงสวยเหมือนกัน”
“ฉันก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์คงจะอยู่กับสัตว์มาก เลยเอาสัตว์โลกผู้น่ารักไปอยู่ในปาก”
ตะวันฉายถึงกับชะงักไปที่เจอปลายฟ้าสวนกลับ ปลายฟ้าเชิดหน้าท้าทาย ภูวนัยเดินเข้ามา
“ฟ้า คุณตะวัน มาทำอะไรกันครับ”
ตะวันฉายกับปลายฟ้าหันไปก็เห็นภูวนัยเดินเข้ามา
“สวัสดีครับคุณภู พอดีช่วงนี้โรคแอนแทรคระบาดน่ะครับ ผมเลยมาดูเพื่อป้องกันไว้ก่อน เดี๋ยวผมรบกวนให้คุณภูบอกคนงานช่วยจับหมูให้ด้วยแล้วกันครับ”
“อ้าว ได้ไง ฉันจะมาฉีดวัคซีนกันไข้หวัดนกให้พวกคนงานเหมือนกัน”
“ให้ผมทำของผมก่อนแล้วกันครับคุณภู เพราะถ้าจับคนงานฉีดวัคซีนก่อน เดี๋ยวจะเจ็บแขนจนจับหมูให้ผมไม่ได้”
“แต่ฉันมาก่อน”
“เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับก่อนหรือหลัง”
ภูวนัยเห็นทั้งสองคนเริ่มมีปากเสียงจึงแทรกขึ้น
“เอาละๆ ผมตัดสินให้แล้วกัน คุณตะวันจัดการเรื่องคุณได้เลย”
ตะวันฉายยิ้มเยาะปลายฟ้า
“ภู แต่ฟ้ามาก่อนนะ”
“ฟังผมก่อนซิฟ้า ระหว่างที่คุณตะวันเขาอยู่ที่เล้าคุณก็ฉีดวัคซีนให้คนในบ้านก่อนก็ได้นี่”
“แหม คุณภูนี่ ช่างเป็นคนที่มีเหตุผลจริงๆ ครับ”
ตะวันฉายพูดพร้อมกับชำเลืองยิ้มเยาะให้กับปลายฟ้าที่ยี้ปากหมั่นไส้ตะวันฉาย

วนัยเดินมากับปลายฟ้า ปลายฟ้ายังหงุดหงิดตะวันฉายอยู่
“ที่จริงฟ้ามาก่อน ภูน่าจะให้ฟ้าตรวจคนงานก่อนนะ”
“เป็นอะไรฟ้า ดูคุณหงุดหงิดนะ”
“แน่นอน หมอนั่นกวนประสาทจะตาย”
ภูวนัยยิ้มก่อนจะแซวเพื่อให้ปลายฟ้าอารมณ์ดี
“ใครจะไปแสนดีเหมือนไอ้ชาติละ อยู่ถึงกรุงเทพยังขับรถมาพาไปกินข้าวเลย”
ภูวนัยกำลังเดินอยู่แต่ต้องแปลกใจเมื่อเห็นปลายฟ้าหยุดเดิน
“วันนั้นชาติเขาบอกชอบฉัน”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มออกมา
“เหรอ แหมไอ้ปากหนักอย่างมัน ในที่สุดก็พูดออกมาซะที”
“ภูรู้ว่าชาติเขาชอบฟ้าเหรอ” ภูวนัยพยักหน้า
“ชาติน่ะมันชอบฟ้ามานานแล้ว ดีใจด้วยนะฟ้า”
ปลายฟ้านิ่งไป รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจที่ภูวนัยพูดอย่างนั้น เพราะนั่นเท่ากับภูวนัยไม่ได้ชอบเธอเลย
“แต่ฟ้าไม่ได้ชอบชาติ” ภูวนัยชะงัก อึ้งไป
“แล้วชาติว่าไง”
“ก็คงเสียใจแหละ ฟ้าไม่ผิดใช่มั้ยภู”
ภูวนัยนิ่งไป ก่อนจะเห็นสายตาของปลายฟ้ามองมาที่เขาเหมือนต้องการกำลังจะบอกบางอย่าง
“ชาติเป็นคนดี ฟ้าน่าจะลองให้โอกาสมันนะ”
ภูวนัยพูดเสร็จก็เดินเข้าบ้านไป ปลายฟ้ามองตามภูวนัยก่อนจะตัดพ้อออกมา
“แล้วทำไมภูไม่ให้โอกาสฟ้าบ้าง”

ปลายฟ้าดึงเข็มออกจากหัวไหล่ของเผ่าพงศ์ เผ่าพงศ์นั่งเหม่อลอยเหมือนกำลังคิดบางอย่างอยู่
“ฟ้า ฟ้าว่าไอ้อาการอัลไซเมอร์ของพ่อมันแย่ลงมั้ย”
“ทำไมคะ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“เปล่าหรอก ก็ตั้งแต่แม่ไอ้ภูมันจากไป ฉันก็ลืมไปแล้วว่าความรักมันเป็นยังไง”
ปลายฟ้านิ่งไปเพราะเธอเองก็ตกอยู่ในสภาพที่มีความรักเช่นกัน
“รักมิใช่ดวงดาวที่พราวแสง”
เผ่าพงศ์หันมองแล้วพูดต่อ
“ใช่ร้อนแรง...ดังแสงอาทิตย์ส่อง”
“รักมิใช่...ภูผา...สุดจับจอง”
“ใยจึงต้องหารักกันทำไม”
ปลายฟ้ายิ้มให้เผ่าพงศ์
“คุณพ่อไม่ต้องห่วงนะคะ ความรักไม่ได้ใช้สมอง แต่ใช้ความรู้สึก”
“ฟ้าก็พูดให้มันเห็นภาพหน่อยไม่ได้หรือไง”
“เห็นภาพเหรอคะ ก็อย่างเช่นเวลาที่คุณพ่ออยู่ใกล้ใครแล้วรู้สึกว่าหน้าร้อนตัวร้อน หัวใจเต้นแรงนั่นแหละคะเป็นอาการเริ่มแรกของความรัก แล้วทำไมคุณพ่ออยู่ๆ ถึงถามเรื่องความรักละคะ”
“อ๋อ เปล่าไม่มีอะไร”

ปลายฟ้ามองมาที่เผ่าพงศ์อย่างแปลกใจ เผ่าพงศ์หลบตาแอบเขิน

ผจญปล่อยหมูตัวสุดท้ายเข้าเล้าไป ตะวันฉายลุกขึ้นถอดถุงมือเก็บอุปกรณ์

“เสร็จซะที เรียบร้อยแล้ว”
ผจญมองตะวันฉายเหมือนกำลังจะตัดสินใจบางอย่าง
“เอ่อ คุณตะวันครับ”
ตะวันฉายจะเดินออกไปก็หยุดแล้วหันมา
“มีอะไรผจญ”
“ขอผมคุยกับคุณตะวันแป๊ปนึงได้มั้ยครับ”
ตะวันฉายแปลกใจว่าผจญอยากคุยเรื่องอะไร

ตะวันฉายเดินนำมาที่มุมหนึ่ง ผจญเดินตามเข้ามา
“ว่าไง มีอะไรกับฉันหรือไง” ผจญเข้ามายืนไม่กล้าพูด ตะวันฉายเห็นอย่างนั้นก็เข้าไปตบไหล่เพื่อให้ผจญผ่อนคลาย “พูดมาซิ ฉันไม่กัดหรอกน่า”
“คุณตะวันมีแฟนหรือยังครับ”
“ยัง ทำไมเหรอ”
“จริงเหรอครับ”
ผจญดีใจ ด้วยอาการดีใจของผจญ ทำให้ตะวันฉายเริ่มสงสัยถึงกับดึงมือที่โอบไหล่ผจญออก
“เอ่อ มีอะไรหรือไง”
“แล้วคุณตะวันคิดยังไงครับ ถ้ามีคนมาแอบชอบคุณตะวัน”
“ชอบก็ดีกว่าเกลียดนะ”
ผจญดีใจถึงกับเข้าไปจับมือถือแขนตะวันฉาย
“แต่คนนั้นเขาอายุน้อยกว่านะครับ”
“เฮ้ย อย่าบอกนะว่า...”
ผจญคิดว่าตะวันฉายรู้แล้วว่าม่านหมอกแอบชอบ
“ใช่ครับ คุณตะวันรู้เหรอครับ”
ตะวันฉายเห็นท่าทางของผจญรวมถึงคำถามของผจญ ทำให้ตะวันฉายเข้าใจผิดคิดว่าผจญเป็นเกย์ เลยตกใจสะบัดมือออก
“นี่ผจญ ฉันไม่ใช่อย่างที่นายคิดนะ” ตะวันฉายถอยห่าง ผจญรุกต่อ
“คุณตะวันยังไม่บอกผมเลยว่าคุณตะวันคิดยังไงกับคนที่อายุน้อยกว่า”
“เฮ้ย ทำไมฉันต้องบอกด้วย” ตะวันฉายถอยหลังดันไปเหยียบก้อนหินทำให้เสียหลัก “เหวอ”
ผจญกำลังรุกไล่ตะวันฉายพลอยเสียหลักไปด้วย ตะวันฉายกับผจญล้มไปด้วยกัน ทันทีที่ทุกอย่างสงบตะวันฉายก็เห็นผจญฟุบหน้าอยู่เกือบตรงเป้ากางเกง แต่ที่แย่ไปกว่านั้นสายตาของตะวันฉายก็เหลือบไปเห็นปลายฟ้ายืนอยู่
“นายมันโรคจิตจริงๆ ด้วย”
ปลายฟ้าส่ายหน้ารับไม่ได้แล้วรีบเดินออกไป
“โรคจิตอะไรวะ” ตะวันฉายพูดจบก็เหลือบไปเห็นผจญที่ทับอยู่บนตัวเขา “เฮ้ย ไอ้ผจญ ออกไปเลย”
ตะวันฉายรีบตะกุยตะกายออกมาก่อนจะรีบวิ่งออกไป
“เดี๋ยวก่อนซิครับคุณตะวัน คุณตะวัน” ผจญมองตามตะวันฉายงงๆ “นี่คุณตะวันเขารู้แล้วเหรอว่าคุณหมอกแอบชอบ”

ม่านเมฆกับม่านหมอกนั่งอยู่ภายในห้อง ม่านเมฆนั่งมองไผ่พญาแล้วยิ้มขณะที่ม่านหมอกนั่งหน้าเซ็ง
“เอาละ วันนี้ครูจะสอน ครูจะสอน” ไผ่พญานิ่งไปเพราะนึกไม่ออก “เอ่อ พวกเธออยากเรียนอะไร”
“ฉันไม่อยากเรียน”
“ไม่ได้ เดี๋ยวนายนั่น เอ่อ...เดี๋ยวพ่อเธอก็มาว่าครูว่าไม่รู้จักหน้าที่อีกหรอก อ้ะ ถามเมฆก็ได้”
“ผมอยากเรียนพละครับ”
“พละเหรอ ก็ดีนะ”

ไผ่พญาอยู่ในชุดนักบอลกำลังยืดเส้นยืดสาย ม่านหมอกเองก็อยู่ในชุดบอลเหมือนกัน ม่านเมฆกำลังวอร์มอยู่ เพื่อจะรอรับการเตะลูกโทษของไผ่พญา ไผ่พญาเหล่ทั้งสองคนพร้อมกับแผนเจ้าเล่ห์ในหัวก็ผุดขึ้น ไผ่พญายิ้มกรุ่มกริ่มก่อนจะเดินเข้าไปบอกม่านเมฆ
“ครูว่า แค่เตะลูกโทษมันไม่ค่อยเร้าใจ มีเดินพันหน่อยมั้ย” ไผ่พญาลองหยั่งเชิง
“อะไรครับ”
“ถ้าครูชนะ เธอต้องซักผ้าให้ครู”
“โห อย่างนี้เมฆก็แพ้ดิ ครูไผ่แรงเยอะกว่าเมฆนี่”
ไผ่พญาเห็นม่านเมฆทำท่าไม่เล่นด้วยเลยต้องหาอะไรจูงใจ
“แต่ถ้าเมฆชนะ ครูให้หอมแก้มหนึ่งที”
ม่านเมฆได้ยินอย่างนั้นก็ตาโต ก่อนจะทำท่าปัดไม้ปัดมือเตรียมพร้อม ไผ่พญาตั้งลูกบอลอย่างมั่นใจก่อนจะมองไปที่ประตูที่มีม่านเมฆเป็นผู้รักษาประตูอย่างแน่วแน่ ไผ่พญาวิ่งเข้าไปเตะลูก แต่แล้วกลับเห็นลูกลอยละลิ่วยิงนก
“อ้าว”
“เดี๋ยวเมฆไปเก็บเองฮะ”
ม่านเมฆวิ่งออกไป แต่ยังไม่ทันถึงครึ่งทางม่านเมฆก็ล้มลงไผ่พญาเห็นก็คิดว่าหกล้มธรรมดา
“เอ้าๆ ลุกขึ้นๆ เป็นผู้ชายต้องอดทน” ม่านเมฆไม่ลุก ไผ่พญามองด้วยความสงสัยจึงเดินเข้ามาหาแล้วจึงเห็นชักเหมือนคนหายใจไม่ออก “เมฆ...เมฆ” ไผ่พญาตกใจหันไปถามม่านหมอก “เมฆเป็นอะไร”

ไผ่พญาวิ่งเข้ามาในบ้านอย่างร้อนใจ ระหว่างนั้นเจอภูวนัยเดินเข้ามาพอดี
“ช่วย...ช่วย”
“มีอะไร”
“ช่วยเมฆด้วย”
“ทำไม เมฆเป็นอะไร”
ภูวนัยตกใจด้วยความเป็นห่วงม่านเมฆ

ภูวนัยเอายาพ่นให้ม่านเมฆที่นอนอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก ม่านเมฆได้ยาก็ทำให้กลับหายใจได้ปกติ ภูวนัยโล่งใจก่อนจะหันไปมองไผ่พญายืนอยู่ที่ประตู
“เอ่อ เป็นไงมั้งอ่ะ”
ภูวนัยปรี่เข้ามาหาไผ่พญา
“เป็นไง! ต้องให้เมฆตายก่อนใช่มั้ย คุณถึงจะคิดออก”
ไผ่พญาหน้าจ๋อยอย่างรู้สึกผิด
“เอ่อ”
“ใจร้าย ใจร้ายที่สุด”
ม่านเมฆบอกขึ้นมา ภูวนัยหันไปมองจึงเห็นม่านเมฆลุกขึ้นนั่งได้แล้ว
“เมฆ ไม่เป็นไรแล้วนะลูก”
ภูวนัยเดินเข้ามาปลอบ แต่ม่านเมฆปัดมือทิ้งแล้วเดินเข้ามาหาไผ่พญา ภูวนัยอึ้ง ไผ่พญางงว่าม่านเมฆจะทำอะไร ม่านเมฆจับมือไผ่พญาเอาไว้แล้วบอกกับภูวนัย
“พ่อภูอย่าว่าครูไผ่ดิ เมฆอยากวิ่งเอง”
ภูวนัยได้ยินก็อึ้งเพราะไม่คิดว่าม่านเมฆจะรักไผ่พญามากขนาดนี้
“เอ่อ”
“พ่อน่ะเอาแต่ว่าครูไผ่ เมฆเห็นหลายครั้งแล้วนะ...นะพ่อ...พ่อภูห้ามว่าครูไผ่อีกนะ ไม่งั้นเมฆโกรธพ่อจริงๆ ด้วย”
ภูวนัยเดินเข้ามาหาม่านเมฆก่อนจะจับม่านเมฆมากอดเอาไว้
“ได้ ต่อไปพ่อจะไม่ว่าครูไผ่อีกแล้ว”
“งั้นพ่อต้องสัญญาก่อน”
“สัญญา! เอ่อ เดี๋ยวค่อยสัญญาได้มั้ย”
“ไม่ได้ พ่อต้องสัญญากับเมฆก่อน”
ภูวนัยเหล่มองไผ่พญา ทำหน้าลำบากใจ
“ก็ได้ๆ” ภูวนัยหันไปบอกไผ่พญา “คุณไปไหนก่อนก็ได้”
“ไม่เอา เมฆจะให้ครูไผ่อยู่ด้วย เร็วๆ ดิพ่ออ่ะ”
ภูวนัยกัดฟันกระซิบกับม่านเมฆ
“แต่...” ม่านเมฆหน้าบึ้ง ภูวนัยเลยต้องยอม “อ้ะๆ ก็ได้”
“เย้ งั้นก็...เริ่ม”
แล้วภูวนัยกับม่านเมฆก็ทำท่าสัญญากันระหว่างอาหลาน เป็นท่าเต้นน่ารักๆ

ไผ่พญายืนมองภาพภูวนัยเต้นกับม่านเมฆก็อึ้งไปเพราะไม่เคยเห็นมุมที่ภูวนัยเป็นอย่างนี้มาก่อน

ติดตาม "คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ"ตอนที่ 8
กำลังโหลดความคิดเห็น