xs
xsm
sm
md
lg

สุดสายป่าน ตอนที่ 3

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สุดสายป่าน ตอนที่ 3

อุไรเสียพนันมาตามเคย คราวนี้กำลังค้นตู้เซฟ หยิบกล่องใส่เครื่องประดับกล่องโน้นกล่องนี้ขึ้นมาเปิดดู แล้วปิดกระแทกๆ เมื่อไม่ได้อย่างใจ

“มีอะไรเหลือบ้างเนี่ย อันนี้ก็ปลอม...อันนั้นก็ปลอม โอ๊ย...”
สายตาอุไรไปสะดุดที่โฉนดที่ดินที่วางเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ ตาเป็นประกายวาบขึ้นมา เอื้อมมือไปหยิบมาดู
“ทำอะไรน่ะคุณอุไร” เสียงวิเศษดังขึ้น
อุไรสะดุ้ง หันไปตามเสียง เห็นวิเศษยืนอยู่ข้างหลัง อุไรลนลานยัดโฉนดที่ดินเข้าไปและรีบปิดตู้เซฟ
“ปะ ปะ เปล่าค่ะ..ก็...เอ่อ..คือก็แค่เอาแหวนที่ใส่เมื่อวานมาเก็บน่ะค่ะ”
วิเศษเดินมาเปิดตู้ พยายามหาของบางอย่างในเซฟแต่หาเท่าไรก็หาไม่เจอ อุไรลุ้น ตื่นเต้น คิดว่าวิเศษต้องหาอะไรบางอย่างที่ตนเอาไปขายแล้วแน่ๆ
“นี่คุณเห็น...”
อุไรตกใจ สันหลังหวะ รีบโพล่งขึ้นมา “มะ มะ ไม่เห็นค่ะ ไม่เห็นตั้งนานแล้ว”
วิเศษงง “คุณรู้เหรอว่าผมหาอะไร”
อุไรรู้ตัวว่าพลาด รีบหาทางออก
“เอ่อ...นาฬิกา ใช่มั้ยคะ”
วิเศษแปลกใจทำไมอุไรรู้
อุไรแก้ตัว “เอ่อ...คือฉันเดาเอานะค่ะ ฉันเห็นมันหายไปซักพักแล้วว่าจะบอกคุณอยู่พอดี” เริ่มมั่นใจขึ้น “....ต้องเป็นนังสมใจแน่ๆ มันต้องเป็นคนขโมยไป มันขึ้นมาถูบ้านทุกวัน นี่มันคงรู้ว่าเราเก็บ...”
วิเศษขัดขึ้น “ตู้เซฟเนี่ยล็อกตลอดเวลา สมใจมันมีกุญแจซะที่ไหน”
อุไรร้อนรน “งั้นก็ต้องเป็นไอ้ผู้ชายคนนั้น ที่มาหาแม่กานดาวสีวันก่อน ดิฉันเห็นมันมาทำลับๆล่อๆอยู่หน้าบ้าน มันต้องขโมยไปแน่ๆ ค่ะ”
“หยุดพูดเรื่อยเจื้อยซะทีคุณอุไร รอยงัดอะไรก็ไม่มี...คุณแน่ใจนะว่ามันหายไปจริงๆ” วิเศษจดสายตาจ้อง “ไม่ได้เอาไปไว้ที่อื่น”
เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะขึ้น อุไรท่าทางดีใจ รีบลุกขึ้นจะไปเปิดประตู ส่งเสียงถามออกไปด้วยกันไม่ให้วิเศษถามต่อ
“ใครน่ะ”
สาวใช้เปิดประตูสวนเข้ามา
“คุณฐิติ มาขอพบคุณผู้ชายค่ะ”
อุไรถอนใจอย่างโล่งอก

ฐิติรออยู่ในห้องรับแขก วางตะกร้าขนมลงบนโต๊ะด้านหน้าวิเศษ
“ท่านย่าฝากมาขอบคุณคุณวิเศษ ที่ไปช่วยงานพระศพท่านปู่ทุกวันครับ”
วิเศษมองตะกร้าใส่ขนมไทยๆบนโต๊ะ
“ขนมน่าทานทั้งนั้น...คงจะเป็นฝีมือคุณพุดตาน” วิเศษเกรงใจ “แต่คุณฐิติไม่น่าต้องลำบาก”
“ไม่ลำบากอะไรหรอกครับ ผมก็แค่ขับรถเอามาให้ตามพระประสงค์ของท่านย่า”
“แหม...ขอบคุณมากเลยนะคะ ท่านหญิงทรงพระเมตตาจริงๆ” อุไรว่า
ฐิติลังเลอยู่ชั่วขณะ อดใจไม่ได้ ถามถึงกานดาวสีขึ้นมา

“ไม่ทราบคุณกานดาวสีอยู่มั้ยครับ”

ฐิติเดินคู่มากับอุไรที่พยายามชวนคุยอย่างอยากรู้อยากเห็น
“เอ...ไม่ทราบว่าคุณฐิติรู้จักสนิทสนมกับแม่เอ๊ยหนูกานดาวสีมานานแล้วหรือคะ”
ฐิติอึ้งไม่แน่ใจว่าจะตอบยังไงดี อุไรรีบอธิบาย
“ที่ดิฉันถามนะไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ คือเห็นหนูกานดาวสีแกมีเพื่อนผู้ชายเยอะแต่ดิฉันไม่เคยเห็นหน้าคุณฐิติเลย”
ฐิติหน้าตึงตัดสินใจตอบ “ผมเพิ่งรู้จักเธอตอนที่งานพระศพท่านปู่ครับ”
อุไรโล่งอก “อ๋อ...”
ฐิติอยากรู้ข้อมูลอีก “คุณกานดาวสีคงมีเพื่อน...ผู้ชายมาหาที่บ้านบ่อยกระมังครับ”
อุไรใส่ไฟทันที “โอ๊ย..นับไม่ถ้วนค่ะ...คือดิฉันหมายถึงว่าหนูกานดานะแกเป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดี เพื่อนก็เลยเยอะน่ะค่ะ อู๊ย...ผิดกับลูกรัตน์ ขานั้นไม่มีเพื่อนผู้ชายเลยสักคน เพราะวันๆ เอาแต่ท่องหนังสือ”
ระหว่างนั้นกานดาวสีพอดีเดินมาพอดี อุไรชักสีหน้าไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะ ฝืนยิ้มเรียก “หนูกาน คุณฐิติมาหาจ้ะ” หันมาบอกฐิติ “ตามสบายนะคะ”
อุไรมองค้อนกานดาวสีก่อนเดินกลับเข้าบ้านไป
กานดาวสีรอจนอุไรเดินลับสายตาไป ก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง

ระหว่างทางเดินในสวนสวย ฐิติเดินตามมากระชากแขนไว้ กานดาวสีหันมามองอย่างตกใจ
“คุณ ปล่อยนะ จะตามมาหาเรื่องอะไรฉันอีกล่ะ”
“ก็ชอบไม่ใช่เหรอ ถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้ ถ้ารู้ จะได้ทำให้ถูกใจซะตั้งแต่แรก”
ฐิตินึกถึงภาพที่กานดาวสียื้อยุดฉุดกระชากกับประพันธ์แล้วก็ยิ่งโกรธ กระชากกานดาวสีมากอดไว้
“ปล่อยฉัน อย่ามาทำรุ่มร่ามที่นี่นะ”
กานดาวสีมองไปรอบๆอย่างไม่สบายใจ
“ทำไม ต้องลับตาคนอย่างที่ประจวบใช่มั้ย ถึงจะทำได้....เอ๊ะ แต่ก็ไม่ใช่นี่ ข้างถนนเมื่อกี้ก็ยังฉุดกระชากลากถูกกันได้อยู่เลย”
กานดาวสีอึ้ง คิดว่าฐิติกำลังพูดถึงเรื่องอะไร แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า ฐิติพูดถึงเรื่องประพันธ์
“ไม่ใช่นะ คุณกำลังเข้าใจผิด...ฉันไม่ใช่”
“เลิกพูดว่าผมเข้าใจผิดซะที ตอนนี้ผมเข้าใจคุณเป็นอย่างดีเลยล่ะ คนอย่างคุณน่ะชอบหว่านเสน่ห์ไว้เผื่อเลือก นี่คงจะมีเก็บไว้หลายคนล่ะสิ ถึงได้ลืมกันได้ง่ายๆ” ฐิติแดกดัน
กานดาวสีพยายามดิ้นรนออกจากอ้อมกอดของฐิติ
“หยุดกล่าวหาฉันพล่อยๆซะที ฉันไม่เข้าใจว่าคุณต้องการอะไรจากฉันกันแน่”
“ก็ต้องการให้คุณรู้น่ะสิ ว่าผู้ชายไม่ได้โง่ทุกคนเหมือนที่คุณคิด เลิกตีสองหน้าได้แล้ว กานดาวสี และเวลาจะทำอะไรน่ะ คิดถึงหน้าพ่อคุณบ้าง”
กานดาวสีตบหน้าฐิติฉาดใหญ่พูดเน้นเสียง
“ฉันอยู่เฉยๆในบ้านของฉัน มีแต่คุณที่เข้ามาทำหยาบคายกับฉันถึงในบ้าน ถ้าเกลียดฉันนัก ก็น่าจะอยู่ห่างๆ แล้วก็เลิกตามราวีฉันซะที”
ฐิติมองกานดาวสีอย่างรังเกียจ หันหลังเดินจากไป
กานดาวสีมองตามอย่างเสียใจ แต่ก็ไม่ต้องการจะแก้ตัวหรืออธิบายอะไรให้ฐิติฟังอีก คิดว่าทุกอย่างควรจะจบลงตรงนี้

คืนนั้นที่โรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งย่านกลางพระนคร มีการจัดงานเปิดฉายภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์ ในบริเวณโถงด้านล่างของโรงภาพยนตร์ ผู้คนเดินกันขวักไขว่ เสียงพูดคุย แสงแฟลชจากกล้องนักข่าววูบวาบอยู่ในงาน
แลเห็นหม่อมหลวงวิทย์ อัศวไกร ผู้กำกับหนุ่มอนาคตไกล ยืนเด่นอยู่ในงาน กำลังคุยกับแขกผู้ใหญ่สองสามคน ชายหนุ่ม-หญิงสาว พระเอก-นางเอกของเรื่อง ยืนประกบอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ยืนห้อมล้อม
อีกมุมหนึ่ง กานดามณีสวยเฉิดฉายในชุดที่ดึงดูดความสนใจสุดๆ เดินควงวสันต์เข้ามาในงาน วางมาดนางพญา ผู้คนชี้ชวนกันดูกานดามณีว่าสวยเหลือเกิน
“ดูผู้หญิงคนนั้นสิ สวยจังเลย”
“ดาราหรือเปล่าเนี่ย”
ตากล้องกรูกันเข้ามาถ่ายรูปกานดามณีพรึบพรับ วสันต์มองอย่างภูมิใจ กานดามณียิ้มแย้ม โพสต์ท่าเก๋ให้ถ่ายรูปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน วิทย์เดินออกมารับวสันต์ทักทายอย่างสนิทสนม ยังไม่เห็นกานดามณีที่วสันต์ยืนบังอยู่
“สันต์...ขอบใจนะโว้ยที่มา”
วสันต์จับมือแสดงความยินดีกับวิทย์
วสันต์สัพยอก “ยินดีด้วยนะขอรับ หม่อมหลวงวิทย์ อัศวไกร ผู้กำกับหนุ่มอนาคตไกลที่สุดคนหนึ่งของใต้ฟ้าเมืองไทย”
วิทย์หัวเราะอย่างพอใจ ตบไหล่วสันต์อย่างเป็นกันเอง
“ขนาดนั้นเชียว”
วิทย์เพิ่งเห็นกานดามณีที่ก้าวออกมายืนเกาะแขนวสันต์ เหมือนรอการแนะนำ วิทย์ถึงกับตกตะลึงในความสวยของกานดามณี
“แล้วสุภาพสตรีผู้นี้คือ...”
วสันต์โอบเอวกานดามณีไว้อย่างแสดงความเป็นเจ้าของแนะนำอย่างภูมิใจ
“คุณกานดาวสี กิริเนศวร แฟนฉันเอง”
กานดามณียื่นมือให้วิทย์
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณวิทย์”
วิทย์จุมพิตหลังมือกานดามณีเบาๆ
“เช่นกันครับ คุณกานดาวสี”

กานดามณีกับวิทย์สบตากันอย่างพึงพอใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย

ตรงมุมรับรองแขกพิเศษในบริเวณงาน กานดามณี วสันต์ และวิทย์ นั่งดื่มเครื่องดื่มอยู่ด้วยกันที่โต๊ะในมุมนั้น กานดามณีนั่งข้างวสันต์ตรงข้ามกับวิทย์ซึ่งมองกานดามณีตรงๆ เหมือนบริสุทธิ์ใจ แต่คำพูดมีความนัยแฝงอยู่

“เสียดายที่เรารู้จักกันช้าไป ไม่งั้นนางเอกภาพยนตร์ของผมเรื่องนี้อาจจะชื่อกานดาวสี กิริเนศวรก็ได้”
“ถึงจะช้า แต่ก็คงไม่ได้สายเกินไปใช่มั้ยคะ”
กานดามณีทิ้งสายตาให้วิทย์อย่างมีความหมาย
“ไม่มีคำว่าสายเกินไปแน่นอนครับ...ตอนนี้ผมกำลังเตรียมงานสำหรับหนังเรื่องใหม่อยู่พอดี...ถ้าคุณกานดาวสีพอมีเวลาจะแวะไปหาผมที่บริษัทอาทิตย์หน้าผมอยากจะให้คุณลองแสดงตามบทให้ดูสักหน่อย”
วสันต์เอ่ยขึ้น “อาทิตย์หน้าเชียวเหรอวะ”
“เออ...อาทิตย์นี้ฉันยุ่งมาก ขนาดงานพระศพท่านลุงวิสุทธิเทพ ยังปลีกตัวไปได้แค่คืนเดียวเอง”
“ท่านลุงที่แกเล่าให้ฟังว่าเพิ่งเจอทายาทน่ะเหรอ”
“อือ...พอเจอหลานชาย ท่านลุงก็สิ้น มรดกทุกอย่างยกหลานชายหมด” วิทย์บอก
ส่วนอีกมุมหนึ่ง แลเห็นชายหนุ่มกลุ่มใหญ่โบกมือทักทายวสันต์อย่างคุ้นเคย ในจังหวะที่วสันต์หันไปโบกมือให้ชายหนุ่มกลุ่มนั้น ใต้โต๊ะ แลเห็นกานดามณีเอาเท้าไล้ขาวิทย์อย่างจงใจ
วิทย์รู้สึกตัว ชำเลืองมองที่ขาตัวเอง ก่อนจะแอบสบตากานดามณีอย่างมีความหมาย กานดามณีส่งสายตาให้วิทย์อย่างมีนัย
“ถ้าคุณวิทย์ยุ่ง เป็นอาทิตย์หน้าก็ได้ค่ะ แล้วดิฉันจะแสดงให้ดูอย่างสุดฝีมือเลย”

เช้าวันต่อมา วิไลวรรณกำลังซ้อมสเต็ปเต้นรำตามเพลงจากวิทยุอย่างเพลิดเพลิน
เสียงกานดามณีทักขึ้น “อะแฮ่ม มีความสุขจริงนะ”
วิไลวรรณหันมาตามเสียง เห็นกานดามณีเดินยิ้มสวยเข้ามา วางถุงหลายใบลงบนโต๊ะ
วิไลวรรณวิ่งปรู๊ดมากอดกานดามณีไว้อย่างดีใจ กานดามณีก็กอดวิไลวรรณไว้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“โอ้ย...ยัยณี หายไปเลยนะ ฉันคิดว่าเธอจะมีความสุขจนลืมเพื่อนซะแล้ว”
“จะลืมได้ไง ฉันก็มีเพื่อนอยู่คนเดียวนี่แหละ”
วิไลวรรณจูงมือกานดามณีไปนั่งคุยกันที่โซฟา
“แล้ววันนี้ทำไมถึงลงมาจากสวรรค์ชั้น 7 ของหล่อนได้ล่ะยะ”
กานดามณียังวางท่าสวย เริด เชิด หยิ่งอยู่เหมือนเดิม
“ก็คิดถึงเธอน่ะสิ...นั่นไง ฉันซื้อขนมที่เธอชอบมาฝากเยอะแยะเลย “ หน้าตากานดามณีดูมีเลศนัยนิดหนึ่ง “แล้วว่าจะชวนเธอไปเอาของที่บ้านเป็นเพื่อนหน่อย”
วิไลวรรณรู้ทัน “นึกแล้วว่าจะต้องมีอะไรมากกว่าคิดถึงฉันแน่ๆ”
“ใครว่าไม่มีล่ะ”
กานดามณีดวงตาเป็นประกายวิบวับด้วยความสุขใจและตื่นเต้น
วิไลวรรณตื่นเต้นไปด้วย “มีอะไรอีกเหรอยัยณี”
“ฉันกำลังจะได้เป็นดาราน่ะสิ”
“อะไรนะ ! กับใคร ที่ไหน ยังไงฮะ...” อุไรวรรณนึกได้ ตาโตขึ้นมา “เอ้ย...งั้นให้ฉันไปเล่นเป็นเพื่อนนางเอกด้วยนะ...”
กานดามณีมั่นใจ “ได้สิ เพราะในอนาคตอันใกล้ ฉันอาจจะได้เป็นศรีภรรยาของหม่อมหลวงวิทย์ อัศวไกร ผู้กำกับหนุ่ม..รูปหล่อ..เชื้อพระวงศ์คนนี้ก็ได้”
ดวงตากานดามณีมีแววฝันไปไกล

วิไลวรรณเบรครถดังเอี๊ยด จนกานดามณีเกือบจะพุ่งไปชนกระจก
“อะไรนะ แน่ใจเหรอยัยณี ว่าจะเอางั้นจริงๆ”
“ก็ใช่น่ะสิ เป็นนางเอกทั้งทีมันก็ต้องมีเครื่องแต่งตัว จะให้ตัวเปล่าเล่าเปลือยอยู่ได้ยังไง...เอ้า ขับต่อไปสิ เดี๋ยวรถข้างหลังก็ชนตายหรอก...”
กานดามณีบ่นไป จัดทรงผม เสื้อผ้าไปอย่างหงุดหงิด วิไลวรรณขับรถไปด้วย คิดตามคำพูดของกานดามณีไปด้วย

“เออ ก็จริงนะ...ยิ่งนางเอกที่กำลังจะมีผั...เอ้ย...สวามีเป็นเจ้า แล้วยังเป็นผู้กำกับด้วย...อ๊าย...” อุไรวรรณหันขวับมามองกานดามณีอย่างออดอ้อน ประจบประแจง “เฮ้ยแก...แกต้องสัญญานะว่าจะไม่ลืมฉัน แกต้องเอาฉันไปเป็นเพื่อนนางเอกจริงๆ นะ”
“ไม่ลืมหรอกน่า แกอยากจะเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ” กานดามณีพูดอย่างหมายมั่นปั้นมือ “คอยดูสิ ฉันจะทำให้คนอย่างหม่อมหลวงวิทย์ อัศวไกร หลงฉันจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้นเลยละ”
วิไลวรรณกับกานดามณีมองหน้ากันร้องกรี๊ดออกมา แล้วหัวเราะกิ๊กกั๊กกันอย่างถูกอกถูกใจ

รถวิไลวรรณปราดเข้าจอดเทียบหน้าประตูบ้านกานดามณี
“ดูต้นทางด้วยนะ มีอะไรก็รีบวิ่งขึ้นไปบอกล่ะ”
“ไม่ต้องห่วงเพคะ องค์หญิง”
กานดามณีลงจากรถ รีบวิ่งเข้าไปในบ้าน วิไลวรรณพลิกซ้ายพลิกขวา หาท่านั่งสบายๆ ฝันหวาน
“คอยดูสิ พอฉันได้เป็นดารานะ ฉันจะแต่งตัวสวยๆ ขับรถโก้ๆ ฉุยฉายไปให้ทั่วพระนครเลย”
วิไลวรรณหัวเราะดี๊ด๊าสุดๆ โดยไม่เห็นมือวิสูตรที่ยื่นมาจับแขนวิไลวรรณที่พาดอยู่ที่ขอบหน้าต่าง
“ยัยวรรณ...”
วิไลวรรณสะดุ้งโหยง หันมามอง เห็นเป็นวิสูตรก็ยิ่งตกใจ
“พ..พ..พ..พ่อ”
“มาทำอะไรตรงนี้” วิสูตรมองซ้ายมองขวา “แล้วยัยณีล่ะ...หรือว่าหนูมารอยัยณี”
วิไลวรรณยิ้มแหยๆ ไปต่อไม่ถูก
“ค่ะ คือ...ยัยณี”
วิสูตรดีใจ “หรือว่ายัยณีกลับมาบ้าน หนูวรรณ นี่ยัยณีอยู่ในบ้านใช่มั้ย”
เสียงประตูปิดหรือของอะไรซักอย่างตก ดังออกมาจากบ้าน วิสูตรยิ้มดีใจ รีบเดินเข้าบ้าน
วิไลวรรณรีบเปิดประตูลงมาร้องเรียก
“เดี๋ยวค่ะพ่อ”
วิสูตรไม่ฟัง เดินหายเข้าไปในบ้าน วิไลวรรณเกาหัวอย่างกลุ้มใจ ทำอะไรไม่ถูก
“ซวยแล้วยัยณี ทำไงล่ะเนี่ย...” วิไลวรรณกระวนกระวายใจ “ไม่เอาแล้วโว้ย เผ่นก่อนดีกว่า
เดี๋ยวจะถูกหมายหัวไปด้วย”
วิไลวรรณรีบขึ้นรถ ขับปรู๊ดออกไป

ด้านกานดามณีกำลังเปิดลิ้นชักตู้หัวเตียง เห็นเงิน ถุง และกล่องกำมะหยี่ใส่เครื่องประดับ สร้อยทองวางอยู่ กานดามณีเปิดดูให้แน่ใจ เห็นพวกสร้อยทอง เครื่องประดับที่เป็นพวกเพชรพลอยกระจุกกระจิก กานดามณีกำลังจะกวาดใส่กระเป๋า
เสียงวิสูตรดังขึ้น “ยัยณี ทำอะไรน่ะ”
กานดามณีตกใจ สะดุ้งหันมามอง
“พ่อ”
วิสูตรเดินเข้ามาใกล้ๆ เห็นกานดามณีจะหยิบเงินทองเครื่องประดับ
“ลูกจะเอาของพวกนี้ไปไหน...นั่นมันของแม่แกนะ”
กานดามณีไม่ฟัง กวาดของใส่กระเป๋า
“ของแม่ก็เหมือนของฉันน่ะแหละ แม่ตายไปแล้ว ของพวกนี้ก็ต้องเป็นของฉันอยู่ดี”
“แต่ฉันเป็นพ่อแก และฉันก็ยังไม่ตาย”
กานดามณีลอยหน้าลอยตา กวนโมโห “หมายความว่าพ่อต้องตายก่อนใช่มั้ย ฉันถึงจะเอาไปได้”
“ยัยณี!”
กานดามณีมองท้าทายวิสูตร
“ถ้างั้นฉันไม่เอาของพ่อฟรีๆก็ได้ ถือว่าเป็นค่าตัวฉันละกัน”
กานดามณีกระชากเสื้อตัวเองออก
“ยัยณี แกคิดจะทำอะไร”
กานดามณีผวาเข้าไปกอดวิสูตรอย่างพร้อมจะขึ้นเตียงด้วยวิสูตรพยายามผลักกานดามณีออกจากตัว
“ไม่ต้องอายหรอกน่า...เร็วๆ ด้วยนะ วันนี้ฉันรีบ”
“ยัยณี หยุดนะ พ่อบอกให้หยุดเดี๋ยวนี้”
วิสูตรพยายามผลักกานดามณีออกจากตัว แต่กานดามณีไม่ยอม สองคนยื้อกันไปมาจนวิเศษเสียหลักล้ม หัวกระแทกโต๊ะสลบคาที่ กานดามณีชะงัก มองอย่างตกใจกลัว ลนลานคว้าเสื้อมาใส่ หยิบกระเป๋า แล้วตัดสินใจรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

ทิ้งร่างวิเศษให้นอนจมกองเลือดอยู่ โดยไม่รู้เป็นหรือตาย

 
อ่านต่อหน้า 2

สุดสายป่าน ตอนที่ 3 (ต่อ)

ที่ศาลานั่งเล่นในสวนสวยของวังสูรยกานต์ ตอนสายของวันใหม่ พุดตานกำลังสอนคุณหญิงไขนภาพับขนมชั้นเป็นกลีบกุหลาบอยู่ในบริเวณนั้น มีไขศรีนั่งอยู่ด้วย

ไขนภาค่อยๆ ทำอย่างใจเย็น เวลาไขนภาทำผิด พุดตานจะจับมือสอน ท่าทางพุดตานดูออกว่าเอ็นดูไขนภามาก อย่างเห็นได้ชัด
“ค่อยๆ ม้วนนะคะ อย่าใจร้อน...พอแล้วค่ะ แล้วก็พับให้เป็นกลีบ...นั่นล่ะค่ะ”
พุดตานมองไขนภาพับขนมชั้นอย่างพึงพอใจ ไขนภาดูสวยงาม อ่อนหวาน เหลือเกิน ขณะค่อยๆ พับขนมชั้นเป็นดอกไม้อย่างนุ่มนวล พอคุณหญิงไขนภาทำเสร็จ ก็วางขนมลงบนจาน
พุดตาน และไขศรี มองอย่างภูมิใจและชื่นชม
“สวยมากเลยค่ะคุณหญิง นี่ขนาดเพิ่งจะหัดทำครั้งแรกนะคะ ยังสวยขนาดนี้”
ไขศรีฉอเลาะ “ก็ต้องยกความดีให้คนสอนน่ะแหละค่ะ ปกติหญิงนภาก็มัวแต่เรียนหนังสือ การบ้านการเรือนยังไม่ค่อยจะได้เรื่องนัก คงต้องรบกวนคุณพุดตานช่วยสอนให้ด้วย”
พุดตานพูดกับไขศรี “ไม่ต้องห่วงค่ะหม่อม” พลางเหลียวไปมองไขนภาอย่างเอ็นดู “รับรองว่าดิฉันจะถ่ายทอดให้อย่างสุดฝีมือเลยทีเดียว”
ไขนภายิ้มบางๆ กับพุดตาน เป็นเชิงฝากเนื้อฝากตัว รู้สึกกระดากเล็กน้อย เพราะรู้ว่าไขศรีมีจุดประสงค์บางอย่างแอบแฝงอยู่
ไขศรีบอกกับพุดตาน “ขอบคุณค่ะ ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ ถือซะว่าดิฉันยกหญิงนภาให้เป็นลูกสาวคุณพุดตานแล้ว จะดุจะว่าอะไรก็ตามสบาย ไม่ต้องเกรงใจ”
พุดตานกับไขศรีสบตา ยิ้มให้กันอย่างรู้ความนัยซึ่งกันและกัน

ท่านหญิงลักษมีกับนมสายยืนสังเกตการณ์อยู่ในสวน นอกศาลานมสายค้อนลมค้อนแล้งตามประสา
“ท่าทางหม่อมไขศรีเธอคงจะอยากได้คุณติไปเป็นเขยเต็มทีแล้วนะเพคะ...คุณพุดตานก็พลอยเออออห่อหมกไปด้วย”
ท่านหญิงยิ้มขำ “แล้วหล่อนจะไปหมั่นไส้เค้าทำไม ฉันเองก็ยังอยากได้หญิงนภามาเป็นหลานสะใภ้เหมือนกัน...ผู้หญิงดีๆอย่างนี้น่ะ หาไม่ได้ง่ายๆ หรอกนะ”
“คุณหญิงนภาเธอก็ดีอยู่หรอกเพคะ แต่หม่อมแม่ของเธอน่ะออกจะจุ้นจ้านอยู่ อะไร้ แทนที่จะปล่อยให้หนุ่มสาวเค้าทำความรู้จักกันก่อน...กลับทำราวกับจะจับผู้ชายให้ลูก”
“ก็ไม่เห็นจะแปลก พ่อแม่ที่ไหนเค้าก็อยากให้ลูกตัวเองแต่งงานกับคนที่คู่ควรทั้งนั้น”

นมสายท่าทางไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่อยากจะขัดคอ

ไม่นานนัก ที่ระเบียงด้านหลังวังสูรยกานต์ ท่านหญิงพูดกับฐิติอย่างจริงจัง
“ย่าอยากมีหลาน และสูรกานต์ก็ต้องมีผู้สืบสกุล ย่าอยากให้ติลองคิดดู หญิงนภาเองก็เป็นคนดี สมศักดิ์สมตระกูลกันทุกอย่าง...ที่สำคัญ แม่ของหลานก็ดูจะรักใคร่เอ็นดูเค้าอยู่ไม่น้อย”
ท่านหญิงมองฐิติอย่างคาดคั้น
“หรือหลานมีใครที่ถูกอกถูกใจอยู่แล้ว”
ฐิติอึ้งไป นึกถึงกานดาวสี มองไปทางอื่นเพื่อปิดบังความรู้สึกจากท่านหญิง
“ว่ายังไงล่ะ”
ฐิติตัดใจตอบอย่างหนักแน่น แต่แววตาหวั่นไหว “ไม่มีครับ...ผมยังไม่มีใคร”

ขณะเดียวกันในสวนข้างบ้านกิริเนศวร กานดาวสีตอบประพันธ์ที่แวะมาหานารีรัตน์ถึงบ้านด้วยท่าทางลำบากใจ
“ยัยรัตน์กำลังท่องหนังสือสอบน่ะค่ะ...ถ้าแกรู้ว่าคุณกำลังจะไปต่างจังหวัด แกต้องไม่สบายใจแน่ๆ”
ประพันธ์หน้าสลดลง “คุณกานดาวสีคิดว่าผมยังไม่ควรพบนารีรัตน์ใช่มั้ยครับ”
“ค่ะ...ดิฉันไม่อยากให้แกเสียสมาธิ หวังว่าคุณประพันธ์คงเข้าใจนะคะ”
ประพันธ์อึ้งไป เข้าใจแต่ก็เศร้า “ผมเข้าใจครับ”
ประพันธ์ถอดแหวนจากนิ้วส่งให้กานดาวสี
“งั้น...ผมขอฝากแหวนวงนี้ให้คุณรัตน์ด้วยนะครับ...เพื่อแทนความคิดถึงและหัวใจรักของผมที่มีต่อเธอ”
กานดาวสีรับแหวนมา “ค่ะ ดิฉันจะให้แกทันทีที่แกสอบเสร็จ”
ประพันธ์มองกานดาวสีอย่างขอบคุณ
“ขอบคุณมากนะครับ ผมดีใจแทนคุณรัตน์จริงๆ ที่มีพี่สาวดีๆและรักเขามากอย่างคุณกานดาวสี”
ประพันธ์เดินจากไป
กานดาวสีก้มลงมองแหวนในมือ ก่อนจะหันกลับเดินไปในทางตรงกันข้ามกับประพันธ์ แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นนารีรัตน์ยืนมองมาอย่างเจ็บใจสุดๆ
“ยัยรัตน์!”
นารีรัตน์มองกานดาวสีอย่างโกรธแค้น ก่อนจะสะบัดหน้าวิ่งหนีไป
“ยัยรัตน์ ฟังพี่ก่อน” กานดาวสีวิ่งตามไป

นารีรัตน์วิ่งมาถึงหน้าตึก กานดาวสีวิ่งตามมาทัน คว้าตัวนารีรัตน์ไว้ ให้หันมาพูดกัน
“ยัยรัตน์ เดี๋ยวก่อน เธอกำลังเข้าใจผิดนะ”
นารีรัตน์มองหน้ากานดาวสีอย่างรู้ทัน กระชากแหวนมาจากมือกานดาวสี
“เข้าใจผิดยังไง...ในเมื่อรัตน์เห็นกับตาว่าเค้าถอดแหวนวงนี้ให้พี่กาน”
“คุณประพันธ์เค้าไม่ได้ให้พี่ เค้าตั้งใจจะฝากไว้ให้เธอ”
“โกหก ทำไมจะต้องฝาก ในเมื่อรัตน์ก็อยู่บ้าน...”
“ก็เธอกำลังอ่านหนังสือสอบอยู่”
นารีรัตน์มองกานดาวสีอย่างผิดหวัง
“ก็เลยใช้เป็นข้ออ้างกีดกันรัตน์กับคุณประพันธ์ใช่มั้ยล่ะ...พี่กานทำอย่างนี้ได้ยังไง ในเมื่อพี่ก็รู้ว่ารัตน์รักเค้า...อยากพบหน้าเค้าทุกลมหายใจ” เด็กสาวเริ่มระแวง “หรือว่าพี่อยากจะได้เค้าซะเอง”
“หยุดนะยัยรัตน์ หยุดก้าวร้าวพี่ได้แล้ว”
“ไม่หยุด คนอย่างพี่กานก็มีแต่ชอบแย่งของคนอื่น รัตน์ไม่มีวันเชื่อพี่อีกแล้ว นี่คงยอมเสียอะไรต่อมิอะไรให้เค้าไปล่ะซิ เค้าถึงได้ยอมเปลี่ยนใจจากรัตน์ไปหาพี่ง่ายๆ...เพียงเวลาแค่ไม่กี่วัน”
กานดาวสีโกรธจัด ลืมตัวตบหน้านารีรัตน์อย่างแรง นารีรัตน์ทั้งโกรธทั้งเจ็บเอามือกุมแก้มไว้
“รัตน์เกลียดพี่กาน ได้ยินมั้ย รัตน์เกลียดพี่”
นารีรัตน์ยิ่งแค้น ขว้างแหวนลงไปที่พื้น วิ่งร้องไห้ออกไป กานดาวสีอึ้ง มองตามนารีรัตน์เสียใจที่ทำรุนแรงกับน้อง รีบหยิบแหวน แล้ววิ่งตามนารีรัตน์ไป
“ยัยรัตน์”
กานดาวสีวิ่งตามนารีรัตน์มาถึงหน้าบ้าน
“ยัยรัตน์...พี่ขอโทษ”
นารีรัตน์ไม่ฟัง วิ่งเตลิดออกจากบ้านไป กานดาวสีมองตามอย่างเสียใจ
เสียงฐิติดังขึ้น “คุณนี่เหี้ยมกว่าที่ผมคิดนะ ไม่เหนื่อยบ้างหรือไง ที่ต้องคอยตีสองหน้า ตลบตะแลงอยู่ทุกวัน”
กานดาวสีสะดุ้ง หันไปตามเสียง เห็นฐิติยืนมองมาที่ตนอย่างเกลียดชัง

ขณะเดียวกันนมสายแต่งตัวงดงามสมวัย ลงจากรถที่จอดอยู่หน้ารั้วบ้านกิริเนศวร มีเด็กถือตะกร้าขนมเดินตามลงมาด้วย
“ถือดีๆล่ะนวล อย่าให้หกนะ เดี๋ยวก็ไม่ถึงคุณวิเศษกันพอดี คุณหญิงนภาเธออุตส่าห์นั่งหลังขดหลังแข็งทำอยู่ตั้งหลายชั่วโมง”
“ค่ะ คุณนม”

ส่วนในบริเวณริมรั้วบ้านกิริเนศวร กานดาวสีมองฐิติอย่างพยายามข่มอารมณ์
“ถ้าคุณจะมาพูดเรื่องเดิมๆ ก็เชิญกลับไปเถอะค่ะ”
“ผมก็ไม่ได้อยากยุ่งกับคุณหรอกนะ ที่มาวันนี้ ก็แค่จะบอกว่าผมกำลังจะแต่งงาน”
กานดาวสีอึ้งไป สะเทือนใจวูบขึ้นมา แล้วรีบพูดกลบเกลื่อนความรู้สึก
“แล้วมาบอกฉันทำไม ฉันไม่ได้อยากรู้ซะหน่อย”
“ก็บอกเพื่อที่คุณจะได้สบายใจไงล่ะ ว่าต่อไปนี้ ผมจะไม่มายุ่งกับคุณอีก”
ฐิติหันหลังเดินกลับออกไป
กานดาวสีพึมพำ “คุณฐิติ” น้ำตารื้น มองตามฐิติเดินจากไป
ฐิติตัดใจเดินจากไป แต่อดหันมามองอีกครั้งไม่ได้ เห็นกานดาวสีเศร้า
ด้านกานดาวสีไม่คิดว่าฐิติจะหันกลับมาอีก เปลี่ยนสีหน้าไม่ทัน ฐิติแทบจะตัดใจเดินจากไปไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของกานดาวสี โกรธตัวเองที่ใจอ่อน เดินกลับไปหากานดาวสี เอาอารมณ์โกรธบังหน้า
“เลิกทำท่าไร้เดียงสาซะทีเถอะกานดาวสี ผู้หญิงอย่างคุณ แย่งได้แม้กระทั่งคนรักของน้อง ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณถึงทำหน้าซื่อเล่นละครตบตาว่าไม่เคยรู้จักผมได้ เพราะคุณก็ทำแบบนี้กับทุกคน”
กานดาวสียกมือจะตบใส่หน้าฐิติอย่างโกรธมาก ฐิติจับไว้ได้ทันดึงเข้ามองเข้าไปในตาของกานดาวสีอย่างน่ากลัว
“เสียดายเหลือเกินที่ครั้งหนึ่งผมเคยรักคุณหมดหัวใจ กานดาวสี”
ฐิติปล่อยมือจากกานดาวสีแรงๆ แล้วเดินออกไปทันที
2คนไม่เห็นว่านมสายยืนตะลึงอยู่ที่ประตูเล็ก รีบถอยหลังกลับออกมาทันที ฐิติชะงัก เดินกลับไปหากานดาวสี
“ยังมีอีกเรื่องนึง...ท่านย่ารับสั่งให้ผมมาเชิญคุณกับคุณวิเศษไปร่วมงานเลี้ยงน้ำชาที่วังพรุ่งนี้ หวังว่าคุณคงจะให้เกียรติไปร่วมงานด้วยนะครับ”

คืนนั้น นมสายกำลังทูลท่านหญิงในห้องบรรทมอย่างตื่นเต้น
ท่านหญิงตกใจ “อะไรนะ พ่อฐิติรักอยู่กับลูกสาวคุณวิเศษงั้นรึ”
“ก็ใช่น่ะสิเพคะ อิฉันน่ะเห็นมากับตาเลยว่าคุณฐิติเธอไปหาหนูกานดาวสีถึงที่บ้าน”
ท่านหญิงฟังอย่างโล่งใจ
“โธ่เอ๊ยนม นึกว่าอะไร...ฉันเองน่ะแหละที่เป็นคนสั่งให้ตาติไปเชิญพ่อวิเศษกับหนูกานดาวสีมาดื่มน้ำชาด้วยกันพรุ่งนี้”
“แต่ถ้าไปเชิญอย่างเดียว ทำไมจะต้องถึงกับฉุดไม้ฉุดมือกันขนาดนั้นด้วยล่ะเพคะ...อิฉันแน่ใจว่าคุณติกับหนูกานดาวสีจะต้องเคยมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกันแน่ๆ”
ท่านหญิงถึงกับตะลึงไป
“ถึงขนาดฉุดไม้ฉุดมือเชียวรึ”
นมสายยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น จินตนาการไปไกลใหญ่โต
“ก็ใช่น่ะสิเพคะ...จากสายตาที่ร้าวราน จากคำตัดพ้อ และท่าทางอาลัยอาวรณ์ที่มีต่อกัน” นมสายเอามือปิดปากเหมือนไม่อยากจะพูดต่อ “โอ๊ย มันไม่ธรรมดาจริงๆนะเพคะ”

ท่านหญิงลักษมีมีสีหน้าท่าทางคิดหนัก

เย็นนั้นกองถ่ายทำภาพยนตร์ ปักหลักอยู่ที่วังอัศวไกร ซึ่งเป็น Studio ถ่ายภาพยนตร์ของวิทย์

ลิซ่าดาราสาวสวย กำลังยั่วยวนพระเอกอยู่ในฉาก วิทย์อยู่ที่หลังกล้อง 35 ม.ม.ขนาดยักษ์ โดยมีผู้ช่วยกล้องคนหนึ่งประคองวิทย์ และผู้ช่วยอีกคนคุมกล้องอย่างตั้งใจ
“ยิ้มอีก...ยั่วเข้าไป ดีมาก...คัท”
วิทย์เดินออกมา สั่งเสียงดังอย่างมีอำนาจ
“เตรียมเซ็ตฉากสุดท้ายได้แล้ว เร็วๆเข้า”
ลิซ่าวิ่งมาเกาะแขนอย่างออดอ้อน
“ลิซ่าเล่นเป็นไงบ้างคะ”
“ก็เหมือนเดิม ไม่ทำให้ฉันผิดหวัง”
ลิซ่าพูดแฝงความนัย “แต่ลิซ่าว่ามันยังไม่ดีพอนะคะ มีบางฉากที่ลิซ่ายังไม่เข้าใจ” ลิซ่าพูดยั่ว “ไม่รู้ว่าคืนนี้คุณวิทย์จะว่างต่อบทให้ลิซ่าหน่อยได้มั้ยคะ”
วิทย์ยิ้มกรุ้มกริ่มรู้กัน “ได้สิจ๊ะ”
ลิซ่าเบียดตัวเข้าแนบชิดวิทย์อย่างจงใจ
เสียงวสันต์ดังขึ้น “ไม่ทราบมาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่าครับ ท่านผู้กำกับใหญ่”
วิทย์หันกลับมาเห็นวสันต์กับกานดามณียืนยิ้มมองอยู่ จึงรีบสะบัดแขนลิซ่าให้ออกห่าง
ลิซ่าหน้ามุ่ย เดินแยกตัวออกไปแบบไม่พอใจ
“อ้าว.. ไอ้สันต์ มาได้ไงวะ”
วิทย์หันไปยิ้มให้กานดามณี มองด้วยสายตาชื่นชมอย่างเห็นได้ชัด
“นี่ถ้ารู้คุณกานดาวสีจะมาด้วย ผมจะยกกองวันนี้เพื่อรอต้อนรับคุณคนเดียวเลยนะครับ”
กานดามณีวางท่าเป็นผู้หญิงพราวเสน่ห์ ทำหัวเราะแบบมีจริต
วสันต์พอใจแกล้งทำเป็นหึง “เฮ้ย ให้มันน้อยๆ หน่อยไอ้วิทย์ แฟนเพื่อนนะโว้ย”
ระหว่างที่วสันต์กับวิทย์คุยกัน สายตาวิทย์ชำเลืองมองกานดามณีตลอดเวลา

กานดามณีมองไปรอบๆ วังอัศวไกรของหม่อมหลวงวิทย์อย่างทึ่ง เห็นบริเวณบ้านกว้างสุดลูกหูลูกตา ตึกรูปทรงแบบยุโรปหลายตึกตั้งอยู่ห่างๆ กัน ดูก็รู้ว่าได้รับการออกแบบและวางผังไว้
เป็นอย่างดี อีกด้านหนึ่งมองเห็นสระว่ายน้ำอยู่ไกลๆ

วิทย์เดินนำกานดามณีกับวสันต์มาที่ห้องรับแขกที่ดูหรูหรา ตกแต่งด้วยของมี
ราคาเหมือนกับวังสูรยกานต์ กานดามณีมองไปรอบๆอย่างพอใจมาก
“วังคุณวิทย์นี่ใหญ่โตหรูหราจังเลยนะคะ”
“นี่ขนาดแกเปิดบริษัทกับสตูดิโอในบ้าน ก็ยังเหลือที่อีกตั้งเยอะเลยนะโว้ย” วสันต์มองไปรอบๆ ราวกับจะประเมินค่า “นี่ถ้าเทียบกับวังสูรยกานต์ ที่ไหนจะใหญ่กว่ากันวะ”
“ที่โน่นสิวะ ราชสกุลสูรยกานต์น่ะสืบเชื้อสายตรงจากวังหน้า แค่ที่ดินพระราชทานก็มากกว่าตั้งไม่รู้เท่าไหร่แล้ว”
กานดามณีตื่นเต้น “ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าจะมีที่ไหนใหญ่กว่าวังอัศวไกรอีก”
“ถ้าคุณกานดาวสีอยากเห็น ผมจะหาโอกาสพาคุณเข้าไปร่วมงานที่วังสูรยกานต์ในฐานะ...ดาราในสังกัดของผม”
กานดามณีตาวาวด้วยความตื่นเต้น “จริงเหรอคะ”
“แน่นอนสิครับ”
คนรับใช้ถือผ้าเช็ดตัวใส่ถาดมายอบตัวให้วสันต์กับกานดามณี

“เชิญคุณกานดาวสีตามสบายเลยครับ ขาดเหลืออะไรก็บอกเด็กได้เลย...ผมขอทำงานอีกครู่เดียว”
กานดามณียิ้มหวานให้วิทย์ หว่านเสน่ห์เต็มที่
“งั้นเดี๋ยวพบกันค่ะ”
กานดาวสีคล้องแขนวสันต์เดินลับไป วิทย์มองตามบั้นท้ายกานดาวสีด้วยอารมณ์พิศสวาท
ลิซ่าเดินเข้ามาคลอเคลียวิทย์ มองตามกานดามณีอย่างหมั่นไส้
“มองตาไม่กระพริบเชียวนะคะ ลิซ่าหึงนะ”
“อย่ายุ่งน่ะลิซ่า ไปเตรียมเข้าฉากสุดท้ายได้แล้ว”
ลิซ่าโมโห สะบัดเดินไป วิทย์หันไปมองฉุนๆ

ไม่นานต่อมากานดามณีใส่ชุดว่ายน้ำ ลงว่ายน้ำอยู่ในสระน้ำของวังอัศวไกร กวักมือเรียกวสันต์ แต่วสันต์ส่ายหน้าแกล้งไม่ลงไป
กานดามณีวิ่งขึ้นมา ลากวสันต์ลงไป เล่นน้ำกันก่อนจะกอดจูบกับวสันต์อย่างไม่กลัวใครเห็น
โดยเวลานั้นที่ระเบียงห้องนอนด้านบน วิทย์ยืนมองรำพึงด้วยความปรารถนา
“ผู้หญิงอะไรมีเสน่ห์ไปทั้งเนื้อทั้งตัว”

กานดามณีจูบกับวสันต์อยู่ในสระว่ายน้ำ แต่ก็ยังช้อนสายตาขึ้นมาสบตากับวิทย์ ที่ยืนมองอยู่ที่ระเบียงด้านบน แล้วยิ่งจูบวสันต์อย่างดูดดื่มเหมือนจะยั่วให้วิทย์เกิดความต้องการยิ่งขึ้น
วสันต์มองด้วยหางตา เห็นวิทย์ยืนมองมาจากระเบียงชั้นบน วสันต์มองกานดามณีอย่างรู้ทันและมีเลศนัย
“ผมหึงนะ” วสันต์ว่า
กานดามณีหัวเราะระรื่น “อะไรกันคะ อยู่ดีๆ จะมาหึงฉันเรื่องอะไร”
“ก็คุณทั้งสวย ทั้งมีเสน่ห์ขนาดนี้ ผู้ชายคนไหนก็อยากได้ทั้งนั้น...” วสันต์ชำเลืองมองไปที่วิทย์ “แม้กระทั่ง เพื่อนผม”
กานดามณีแกล้งงอน “ที่ฉันมาที่นี่ก็เพราะฉันอยากเป็นนางเอก...ไม่ได้คิดจะมาหว่านเสน่ห์ให้ใครซะหน่อย”
“จริงเหรอ”
“ก็จริงน่ะสิคะ ทีหลังถ้าคุณพูดอย่างนี้อีก ฉันจะโกรธจริงๆด้วย”
วสันต์ทำเป็นรู้ไม่ทัน “ไม่พูดก็ได้ อย่างอนสิจ๊ะที่รัก...ผมเชื่อคุณอยู่แล้ว”
วสันต์ดึงตัวกานดามณีเข้ามาจูบ

ส่วนที่ระเบียง วิทย์เห็นกานดามณีจูบตอบวสันต์แต่เบี่ยงตัวอย่างแนบเนียนเพื่อจะ
สบตาวิทย์อย่างยั่วยวน
วิทย์ร้อนผ่าวไปทั้งตัวด้วยแรงปรารถนา เสียงเปิดประตูห้อง ลิซ่าเดินเข้ามาท่าทางสงสัย
“มองอะไรอยู่เหรอคะ”
วิทย์หันกลับมา เดินตรงไปที่ลิซ่า เสียงกระเส่า
“มาได้จังหวะพอดีเลยนะ ลิซ่า”
วิทย์ดึงลิซ่าเข้ามาประชิดตัว ก้มลงจูบอย่างดูดดื่ม ก่อนจะล้มลงไปบนเตียงด้วยกัน

งานเลี้ยงน้ำชาในสวนสวยวังสูรยกานต์ เป็นงานเลี้ยงเล็กๆ ในหมู่ญาติสนิท บรรยากาศสดใส เป็นกันเอง พุดตานที่กำลังเดินเข้ามาในงาน เห็นกานดาวสีกับวิเศษกำลังจะเดินเข้ามาอีกทาง หนึ่งพุดตานชะงัก ท่าทางไม่พอใจพึมพำกับตัวเอง
“นั่นแม่กานดาวสีนี่”
นมสายเดินถือถาดสวนออกมา
“เอ๊ะ คุณนมคะ เห็นท่านหญิงรับสั่งว่างานนี้จะเชิญเฉพาะพระญาติสนิทไม่ใช่เหรอคะ แล้วทำไมถึงต้องเชิญคุณวิเศษกับลูกสาวมาด้วย”
นมสายยิ้มอย่างอมภูมิ “ท่านก็คงจะนับว่าคุณวิเศษกับหนูกานดาวสีเป็นพระญาติสนิทด้วยน่ะสิคะ คุณพุดตาน”
จากนั้นนมสายเดินยิ้มๆ ออกไป ทำท่าเป็นผู้กุมความลับ พุดตานถอนใจ ไม่สบายใจที่เห็นกานดาวสีมาร่วมงานด้วย วิเศษกับกานดาวสีเดินมาเจอพุดตานพอดี ต่างฝ่ายต่างไหว้กัน
“สวัสดีครับคุณพุดตาน” วิเศษทักชวนคุยเป็นมารยาท “คุณฐิติล่ะครับ”
พุดตานยิ้มไม่สนิทใจ “คงจะอยู่กับคุณหญิงไขนภาทางโน้นค่ะ”
พุดตานมองกานดาวสีอย่างไม่ชอบนัก แต่ฝืนยิ้มให้
“ตามสบายนะคะ หนูกานดาวสี งานนี้มีแต่คนกันเอง ไม่ได้มีพิธีรีตรองอะไร ท่านหญิงก็แค่อยากจะให้ตาติกับคุณหญิงไขนภาได้คุ้นเคยกันมากขึ้น” พุดตานพูดเน้นคำ “ก่อนจะแต่งงานกันเท่านั้นเองล่ะค่ะ” ก่อนจะหันมาทางวิเศษ “ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”

งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นในบริเวณสวนสวยของวังสูรยกานต์ เป็นปาร์ตี้ยามบ่าย
ฐิติกับไขนภากำลังตักอาหารด้วยกันอย่างสนิทสนม ไขนภาดูสดชื่นและมีความสุขมาก ตักปั้นสิบปลาสองสามชิ้นใส่ในจาน
“อายจังค่ะ หญิงทานไปตั้งหลายชิ้นแล้ว” หญิงไขนภามองอย่างชื่นชม “ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าคุณฐิติจะทำอาหารเก่งขนาดนี้”
ฐิติตอบอย่างอารมณ์ดี ไม่รู้สึกว่าเป็นปมด้อย
“ไม่เก่งก็ต้องเก่งล่ะครับ เมื่อก่อนนี้ผมต้องช่วยแม่ทำกับข้าว แล้วก็ทำขนมขายด้วย...”
ไขนภามองฐิติด้วยแววตาชื่นชมพูดอย่างจริงใจ “คุณพี่พุดตานเป็นผู้หญิงที่เก่งมากเลยนะคะ ที่เลี้ยงลูกมาด้วยตัวคนเดียว ได้ดีขนาดนี้...หญิงชื่นชมจริงๆ ทั้งคุณพี่พุดตาน แล้วก็คุณฐิติด้วย”
ฐิติเขินๆ “เรื่องปกติ ไม่เห็นจะต้องชื่นชมเลยครับ”
“ไม่ปกติหรอกค่ะ ผู้ชายน้อยคนนะคะ ที่จะยอมช่วยแม่ทำขนมขาย” ไขนภาพูดขำๆ “เค้าอาจจะอายสาวๆ ก็ได้”
ฐิติชะงักนิดหนึ่ง เมื่อมองไปเห็นกานดาวสีกำลังจะเดินเข้ามาในงาน และกานดาวสีหันมาสบตาเขาพอดี
ฐิติจดสายตามองที่กานดาวสีตลอดเวลา ขณะพูดเค้นคำ “ผู้หญิงบางคนก็อาจจะรังเกียจว่าเค้าเป็นแค่ลูกแม่ค้าจนๆก็ได้นี่ครับ” พลางแตะแขนไขนภาเบาๆ “ผมว่า เราไปทางโน้นกันดีกว่า”
ฐิติกับไขนภาเดินมาด้วยกัน ท่าทีสนิทสนม ตรงไปหาวิเศษกับกานดาวสีในสวน ฐิติกับไขนภาไหว้ ขณะที่วิเศษรับไหว้
“ขอบคุณนะครับที่มา ท่านย่าอยู่ทางโน้น เชิญครับ”
“ขอบคุณครับ
วิเศษเดินนำไป กานดาวสีกำลังจะเดินตาม ฐิติก้าวเข้ามาดักหน้าพูดกับกานดาวสี
“ตามสบาย ดูแลตัวเองนะครับ...ต้องขอโทษด้วยที่วันนี้ผมคงไม่มีเวลาจะเอาใจใส่ใคร นอกจากคุณหญิงไขนภา”
ไขนภาที่กำลังยิ้มอย่างมีไมตรีให้กานดาวสีชะงักนิดหนึ่ง ด้วยสะดุดใจ ปรายตาชำเลืองมองฐิติแวบเดียวก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติระหว่างสองหนุ่มสาว
ไขนภาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ยิ้มให้อย่างเป็นปกติ กานดาวสียืนนิ่ง พยายามฝืนยิ้มตอบ สะกดความน้อยใจเอาไว้
“ดิฉันทราบแล้วล่ะค่ะว่าคุณฐิติกับคุณหญิงไขนภาคงจะมีข่าวดีเร็วๆ นี้...ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าเลยนะคะ และถ้าในวันงานมีอะไรที่ดิฉันพอจะช่วยได้ ก็บอกมาได้เลยค่ะ ดิฉันจะยินดีและเต็มใจอย่างที่สุด”
ฐิติอึ้ง หงุดหงิดและผิดหวังที่ไม่เห็นอาการเศร้าสะเทือนใจจากอีกฝ่ายดังคาด ไขนภาอมยิ้มรับคำแสดงความยินดีของกานดาวสี แต่ดวงตาเป็นประกายวิบวับด้วยความขบขัน

ท่านหญิงอยู่อีกมุมหนึ่งในสวน มองไปเห็นฐิติกับไขนภาที่กำลังชี้ชวนกันดูของว่างหลายอย่างบนโต๊ะวางอาหารอย่างสนิทสนม ไขศรีมองตามสายตาท่านหญิง ยิ้มอย่างพอใจ
ไขศรีเปิดทางเต็มที่ “เด็กสองคนนี่สมกันดีนะคะ น้องว่าดูจะสนิทกันเกินญาติด้วยซ้ำ ดูสายตาที่เค้ามองกันสิ...นะคะคุณวิเศษ”
วิเศษมองตามยิ้มๆ ไม่ออกความเห็น คิดว่าตนเป็นคนนอก
นมสายที่กำลังจัดแจงยกจานอาหารเข้ามา ได้ยินพอดี อดพูดกัดไม่ได้
“อยู่ไกลขนาดนี้ ยังอุตส่าห์จะมองเห็นถึงสายตาเลยหรือคะหม่อม”
ไขศรีค้อนขวับ “แหม...คุณนมก็...ดิฉันหมายถึงดูกริยาท่าทางประกอบกันไปด้วยน่ะค่ะ ใช่มั้ยคะ คุณพุดตาน”
พุดตานยิ้มแย้มเต็มใจ “ใช่ค่ะ”
กานดาวสีเผลอมองไปที่ฐิติ ที่กำลังยิ้มกับไขนภา แล้วรู้สึกน้อยใจขึ้นมา เพราะรู้สึกถึงท่าทางฐิติที่ดูให้เกียรติไขนภามาก ผิดกับที่แสดงกับตน น้ำตารื้นขึ้นมา
ท่านหญิงกับนมสายมองกานดาวสีอย่างจับสังเกต พูดยิ้มๆ
“ปั้นสิบปลาฝีมือพ่อตินี่อร่อยจริง แม่กานดาวสีช่วยไปตักให้ฉันอีกหน่อยซิ”
นมสายมองกานดาวสีอย่างเป็นห่วง “ดิฉันไปเอาให้เองค่ะ”
“ไม่ต้องหรอกนม...เธอช่วยขึ้นไปหยิบพัดมาให้ฉันดีกว่า”
ท่านหญิงมองนมสายเป็นเชิงบังคับ นมสายรับรู้ เดินเลี่ยงไป
กานดาวสีมองไปที่โต๊ะวางอาหารที่ฐิติกับไขนภายืนอยู่อย่างอึดอัด จำใจรับปาก
“เพคะ”
กานดาวสีเดินออกไป

พุดตานเห็นกานดาวสีเดินเข้าไปใกล้ฐิติกับไขนภามากขึ้นเรื่อยๆ มองตามอย่างไม่สบายใจ ตัดสินใจหันมาพูดกับท่านหญิง
“เห็นเด็กๆ เค้ารักกันอย่างนี้ ดิฉันว่าเราน่าจะไปดูฤกษ์ยามกันซะเลย นะเพคะท่านหญิง ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ขัดข้องอยู่แล้ว”
ไขศรีตาโตด้วยความดีใจ รีบกิ๊กกั๊กสนับสนุน
“นั่นสิคะพี่หญิง”
ท่านหญิงพูดนิ่งๆ แต่หนักแน่น “มันก็อยู่ที่เจ้าตัวเค้า ถ้าเค้าไม่ได้รักกัน ฉันก็จะไม่บังคับหรอกนะ...” ท่านหญิงปรายตามองพุดตาน “แม่พุดตานเองก็น่าจะเข้าใจดีว่าเรื่องแบบเนี้ย ปลูกเรือนก็ต้องตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ก็ต้องตามใจผู้นอน”

พุดตานหน้าม้าน ด้วยรู้ว่าท่านหญิงตั้งใจจะพูดตำหนิตน
 
อ่านต่อหน้า 3

สุดสายป่าน ตอนที่ 3 (ต่อ)

งานเลี้ยงในสวนสวนสวยของวังสูรยกานต์ดำเนินไป กานดาวสีเดินมาถึงโต๊ะวางอาหารที่ฐิติกับไขนภากำลังตักอาหารกันอยู่

หญิงนภาเดินเข้ามาจูงมือกานดาวสีมาที่โต๊ะอาหารอย่างเป็นกันเอง
“คุณกานดาวสีทานอะไรดีคะ หญิงยังไม่เห็นคุณกานดาวสีทานอะไรเลยตั้งแต่มาถึง”
“ท่านหญิงให้ดิฉันมาตักปั้นสิบปลาให้น่ะค่ะ”
“ตายจริง หญิงก็มัวแต่คุย เลยไม่ได้ดูแลท่านป้าเลย...ไม่เป็นไรค่ะเดี๋ยวหญิงเอาไปให้ท่านป้าเอง”
“เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ”
ไขนภาไม่ฟังเสียงหยิบจานขึ้นมาตักขนม ของว่าง
“คุณฐิติกับคุณกานดาวสีคุยกันไปก่อนนะคะ หญิงขอตัวเอาของว่างไปให้ท่านป้าก่อน”
ไขนภาถือจานขนมไปหาท่านหญิง กานดาวสีเดินเลี่ยงไปอีกทาง ฐิติเดินตามเธอไป
ไขนภาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เดินทิ้งระยะห่างออกไป แล้วหันกลับมามองฐิติกับกานดาวสีอย่างจับสังเก ยิ้มนิดๆ อย่างเข้าใจ

กานดาวสีเดินเลี่ยงออกมาจากบริเวณที่จัดงาน หยุดอยู่ตรงมุมลับตาข้างตึก ฐิติเดินตามมา
“ไม่น่าเชื่อเลยนะ ว่าครั้งหนึ่งผมเคยโง่ที่คิดว่าจะหาผู้หญิงดีๆที่เพียบพร้อมอย่างกานดาวสี กิริเนศวรไม่ได้อีกแล้ว”
กานดาวสียังเงียบเหมือนไม่ได้ยิน ฐิติเหลือบมองพูดต่อ
“แต่พอผมได้รู้จักคุณหญิงไขนภา พลาวุธ ผมก็รู้ว่าผมมันโง่ไปถนัดใจ เพราะถ้าจะเปรียบกันแล้วก็เหมือนเพชรกับก้อนกรวดเลยทีเดียว”
กานดาวสีข่มใจยังนิ่งเงียบ ฐิติชักฉุนถามห้วนๆ
“นี่คุณไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ”
“ทำไมฉันต้องรู้สึก ในเมื่อผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ฉัน แต่ถ้าจะรู้สึกอะไรอยู่บ้าง ก็คงจะเป็นแค่ความสงสารที่คุณถูกผู้หญิงคนหนึ่งหลอกยังไม่พอ... แต่ยังมากล่าวหาผู้หญิงอีกคนที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย”
ฐิติหันขวับมา กระชากข้อมือกานดาวสีเข้ามาอย่างลืมตัว พูดอย่างโกรธมาก
“ถึงขนาดนี้ คุณยังคิดจะโกหกผมอีกเหรอ”
กานดาวสีรีบดึงมือออกจากฐิติก่อนที่ใครจะเห็น
“ฉันไม่ได้โกหก ฉันจะพิสูจน์ให้คุณรู้ว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น”
“คุณไม่ต้องพิสูจน์อะไรแล้วกานดาวสี เพราะผมจะไม่มีวันเชื่อผู้หญิงอย่างคุณ อ้อ..แล้วก็ไม่ต้องห่วงด้วยว่าผมจะมาตอแยคุณอีก เพราะผมไม่อยากเกลือกกลั้วกับอาจม”
กานดาวสีเจ็บใจจนน้ำตาแทบไหล แต่พยายามกลั้นไว้ เชิดหน้าอย่างทระนง พูดเสียงเรียบ
“ขอบคุณมากค่ะ และฉันก็หวังว่าคุณคงจะทำได้อย่างที่พูด”
กานดาวสีเดินเลี่ยงออกมา ฐิติมองตามอย่างตัดใจ
ที่หน้าต่างชั้นบนที่อยู่ใกล้กับบริเวณที่ฐิติกับกานดาวสีคุยกัน แลเห็นท่านหญิงยืนมองมาที่สองคนอย่างครุ่นคิด

ตกตอนกลางคืน ห้องโถงวังอัศวไกร มีวงดนตรีสตริงคอมโบกำลังบรรเลงเพลง เพื่อนๆและทีมงานของวิทย์กิน ดื่ม เต้นรำ และพูดคุยเฮฮากันอย่างสนุกสนาน
วิทย์เดินออกมาด้านหน้า เอาส้อมเคาะแก้วน้ำเพื่อดึงความสนใจของทุกคนในงาน
เสียงดนตรีเงียบ ทุกคนหันมามองที่วิทย์เป็นตาเดียว
“ก่อนอื่นผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่เชิญพวกเรามาร่วมงานในวันนี้อย่างค่อนข้างจะกะทันหันไปซักหน่อย”
เพื่อนคนหนึ่งแซว “งานตอนกลางคืน แต่เพิ่งจะบอกเมื่อเย็นนี้เนี่ยนะ อย่างนี้ไม่ใช่ค่อนข้างหรอกไอ้หม่อม...เค้าเรียกว่ากะทันหันเลยทีเดียว”
มีเสียงหัวเราะเฮฮาดังขรม วิทย์ยิ้มแย้มอารมณ์ดี
“พอดีวันนี้ผมมีใครบางคนให้เกียรติมาเยี่ยมถึงวังอัศวไกร ก็เลยอยากจะถือโอกาสแนะนำให้พวกเราได้รู้จักกับเธอด้วย...”
วิทย์เดินเข้าไปหากานดามณี ผายมือมาที่กานดามณี
“สุภาพสตรีผู้นี้คือคุณกานดาวสีครับ...ผมกำลังทาบทามเธอให้มาเป็นนางเอกหนังเรื่องใหม่ของเรา”
กานดามณีวางท่าสวย ยิ้มโปรยเสน่ห์ให้ทุกคน
“นี่ก็ทีมงานของผมครับ คุณธนพ...คนเขียนบท คุณประสาน ช่างกล้อง...”
วิทย์กำลังแนะนำกานดามณีให้ทีมงานทุกคนรู้จัก
“ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนค่ะ ดิฉันต้องขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
ทีมงานของวิทย์ต่างทึ่งในความสวยของกานดามณีไปตามๆกัน
“มิน่าล่ะ ไอ้เราก็สงสัยว่าทำไมถึงได้จัดงานเลี้ยงกันกะทันหันแบบนี้ที่แท้ หม่อมก็จะฉลองให้ดาวดวงใหม่นี่เอง”
“หม่อมไปเจอดาวดวงนี้จากที่ไหนไม่เห็นบอกกันบ้าง”
วิทย์ยิ้มๆ ไม่ตอบ มองกานดามณีอย่างหมายมาด

อีกมุมหนึ่งลิซ่ามองมาที่กานดามณีอย่างริษยา เสียงชื่นชม กระเซ้าเย้าแหย่กานดามณีดังแว่วออกมา
กานดามณียืนเด่น สวยงามอยู่ในกลุ่มชายหนุ่มราวกับดาวล้อมเดือน
“โธ่เอ๊ย...จะซักแค่ไหนเชียว ไม่รู้จะชื่นชมอะไรกันนักหนา”
ลิซ่ากระฟัดกระเฟียดกระแทกโน่นนี่ใกล้มืออย่างหงุดหงิด
“ผู้หญิงสวยก็เหมือนดอกไม้หอม ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ก็ย่อมจะมีหมู่ภุมรินบินมาชื่นชมดมดอม”
ลิซ่าหันกลับมา เห็นวสันต์ยืนเท่ห์มองมาที่ตนอย่างมีความหมาย
ลิซ่าค้อน พูดประชด “เหมือนกับคนรักของคุณวสันต์ใช่มั้ยคะ”
วสันต์เข้าไปใกล้ๆ มองลิซ่าด้วยสายตาเจ้าชู้
“เหมือนกับผู้หญิงคนที่อยู่ตรงหน้าผมมากกว่า”
ลิซ่าสะเทิ้น รู้สึกวาบหวามกับสายตาวสันต์
“อุ๊ยตาย นักธุรกิจอย่างคุณวสันต์น่ะเหรอคะ จะมาชื่นชมนักแสดง เต้นกินรำกินอย่างดิฉัน”
วสันต์ยิ่งขยับเข้าไปจนชิด จดสายตาจ้องลิซ่าเหมือนงูสะกดเหยื่อ
“ไม่ใช่แค่ชื่นชมอย่างเดียว แต่ผมอยากจะรู้จักคุณ...ให้มากยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก”

ส่วนในห้องโถง ขณะที่ทุกคนกำลังสนุกสนานกินดื่มอยู่ในงาน วิทย์กำลังจะเดินเลี่ยงเข้าไปในห้องด้านหลัง แต่สายตาจับจ้องอยู่ที่กานดามณี ที่กำลังยืนคุยกับแขกคนอื่นๆ
กานดามณีเหมือนมีรับรู้ หันไปสบตาวิทย์ที่มองมาด้วยสายตาท้าทาย และเชิญชวน
กานดามณีค่อยๆ เดินเลี่ยงออกมาจากกลุ่มคน ไปทางเดียวกับวิทย์ที่เดินหายเข้าไปด้านในระหว่างทางก็ทักทายยิ้มแย้มกับคนโน้นคนนี้ไปด้วยอย่างมีเสน่ห์

กานดามณีเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น หันซ้ายหันขวามองหาวิทย์ แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อรู้สึกว่ามีคนมายืนอยู่ข้างหลังในระยะประชิด กานดามณีหันขวับมาดู
“คุณวิทย์นี่เอง นึกว่าใคร”
วิทย์ยิ้มๆ “แล้วคุณกานดามณีมองหาใครอยู่เหรอครับ”
“ไม่ได้มองหาใครซะหน่อย ก็แค่จะเข้ามาล้างมือน่ะค่ะ”
วิทย์ยิ้มๆอย่างรู้ทัน แต่แกล้งทำเสียงผิดหวัง
“โธ่ ผมก็นึกว่าคุณเดินตามผมเข้ามาซะอีก”
“ทำไมต้องตามด้วยล่ะคะ ฉันไม่ได้มีธุระอะไรกับคุณวิทย์นี่คะ”
วิทย์เอามือไล้แขนแก้มกานดามณีเบาๆ ไล่ลงมาเรื่อยๆ จนถึงเหนือทรวงอก
“ก็ผมคิดว่าคุณอาจจะอยากอยู่กับผมตามลำพัง...เหมือนที่ผมอยากอยู่กับคุณนี่นา”
กานดามณีจับที่สาบเสื้อของวิทย์ ดึงตัววิทย์ให้เข้ามาเบียดแนบชิด
“ฉันไม่ได้อยาก” กานดามณีเน้นคำ “อยู่กับคุณค่ะ แต่ฉันอยาก...”
กานดามณีพูดยังไม่ทันจบ วิทย์ก็ก้มลงจูบกานดามณี กอดรัดฟัดเหวี่ยงอย่างกระหาย เหมือนคนที่เฝ้ารอมานาน จนล้มลงไปที่โซฟาทั้งคู่

ลิซ่าเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น วสันต์เดินตามมากอดลิซ่าจากข้างหลัง
ลิซ่าทำสะบัดสะบิ้ง “อย่าค่ะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
“เค้าอยู่ข้างนอกกันหมด ใครจะมาเห็น”
“ไม่เอาหรอกค่ะ ลิซ่าไม่ชอบทำอะไรประเจิดประเจ้อ”
ลิซ่าเบี่ยงตัวออกจากวสันต์เดินออกไป แต่ทิ้งสายตาให้วสันต์รู้ว่าให้ตามไป

วสันต์ยิ้มย่องอย่างรู้ทันกัน  เดินตามลิซ่าเข้าไป

พอลิซ่าก้าวเข้ามาในห้องนั่งเล่น แล้วก็ต้องชะงักอย่างตกใจกรี๊ดสุดเสียง

“อ๊าย...ทำอะไรกันน่ะ หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
กานดามณีกับวิทย์ผงะออกจากกันอย่างตกใจ รีบลุกขึ้นมาจากโซฟา
วสันต์โผล่พรวดตามเข้ามาอย่างตกใจในเสียงกรี๊ดของลิซ่า ลิซ่าเข้ามากระชากกานดามณีออกมาจากวิทย์แล้วตบหน้ากานดามณีฉาดใหญ่
“นังแพศยา...แกมายุ่งอะไรกับผัวฉัน”
กานดามณีเอามือกุมแก้มไว้อย่างเจ็บปวด แต่ดวงตาวาวเป็นประกายอย่างสู้คน ถลาเข้าไปตบลิซ่าจนหน้าหัน
“นี่แน่ะ คิดว่าแกตบเป็นคนเดียวหรือไง”
ลิซ่ากำลังจะผวาเข้าไปเอาคืนกานดามณีวิทย์รู้สึกตัว รีบกระชากลิซ่าออกมา
“หยุดทำอะไรบ้าๆ ได้แล้วลิซ่า”
ลิซ่าไม่ฟัง ดิ้นรนอาละวาดจะเข้าไปเล่นงานกานดามณีให้ได้
“อีกานดาวสี อีหน้าด้าน อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่าแกกำลังจะทำอะไร แกให้ท่าผัวฉัน นี่แกคิดจะเอาตัวเข้าแลก เพราะอยากจะเป็นดาราใช่มั้ย”
“แกคงจะเคยทำล่ะสิ ถึงได้คิดว่าคนอื่นเค้าจะทำอย่าแก”
“ใช่ ฉันเคยทำ แล้วฉันก็เคยตบคนที่คิดจะแย่งผัวฉันมาแล้วด้วย...อย่างนี้ไงล่ะ”
ลิซ่าสะบัดตัวหลุดจากวิทย์ เข้าไปตบกานดามณีอีก กานดามณีไม่ยอมจิกหัวลิซ่าไว้
“ไม่เห็นต้องแย่ง...ไม่มีใครเค้าเอาแกแล้ว ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ”
สองสาวตบกันนัวเนีย ลิซ่าได้เปรียบขึ้นไปนั่งคร่อมอยู่บนตัวกานดามณี ตบไม่ยั้ง กานดามณีดิ้นสู้
“คิดจะแรง จะร่าน กลับไปเรียนอนุบาลให้จบซะก่อนเถอะ อย่างแกน่ะอย่าหวังนะแทนที่ฉันได้...ไม่ว่าจะบนเตียง หรือบนจอ”
วิทย์เข้ามากระชากลิซ่าออกจากตัวกานดามณี วสันต์เข้าไปประคองกานดามณีให้ลุกขึ้น
“หยุดนะลิซ่า”
“ไม่...ยังไงลิซ่าก็ไม่ยอมให้คุณวิทย์เอานังผู้หญิงร่านๆ คนนี้ขึ้นมาแทนที่ลิซ่า” ลิซ่าด่า
วิทย์ตบลิซ่าอย่างแรงจนกระเด็นล้มลงไป และเดินเข้าไปหาอย่างเอาเรื่อง
ลิซ่าร้อง “โอ๊ย”
“จะหยุดได้หรือยัง”
“นี่คุณวิทย์เข้าข้างมัน เห็นมันดีกว่าลิซ่าใช่มั้ย” ลิซ่าอึ้ง
“ใช่...เธอมันก็แค่ดาวยั่ว...ที่กำลังจะตกลงจากฟ้าอยู่วันนี้พรุ่งนี้แล้ว คิดดูให้ดีว่าเธอมีอะไรไปเทียบคุณกานดาวสีเค้าได้”
กานดามณียิ้มเยาะ มองลิซ่าอย่างสมน้ำหน้า
“คุณวิทย์!” ลิซ่าอุทานสีหน้าตระหนก
วิทย์ตวาด “ออกไปได้แล้ว ถ้ายังอยากจะเล่นหนังของฉัน ก็ไสหัวออกไปแล้วอย่ามาก่อความวุ่นวายอะไรที่นี่อีก”
ตลอดเวลา วสันต์ยืนมองเงียบๆ แต่ดวงตาแสดงว่าเจ็บแค้นในใจ

คืนนั้นวสันต์กับวิทย์เล่นไพ่กันอยู่ในห้องรับแขกวังอัศวไกร วสันต์ยิ้มในสีหน้า เห็นชัดถึงความฉลาดแกมโกง
“ในห้องรับแขกเมื่อกี้ ฉันเห็นนะโว้ย”
วิทย์ระแวง “แกเห็นอะไร ว่ามาซิ”
“อย่าให้ฉันพูดเลย เรารู้จักกันมานานแค่ไหนแล้ว แค่มอง ฉันก็รู้แล้วว่าแกอยากได้อะไร”
วิทย์มองหน้าวสันต์อย่างวัดใจ
“แล้วแกล่ะ อยากได้อะไร”
วสันต์เล่นไพ่ด้วยท่าทางสบายๆ อาการเป็นปกติ
“ตอนนี้ฉันกำลังมีปัญหากับเจ้านายฝรั่ง...ท่าทางมันจะรู้ว่าฉันเอาเงินบริษัทไปหมุน”
วิทย์สบตาอย่างรู้กัน “ห้าแสนตกลงมั้ย”
วสันต์หัวเราะเหมือนวิทย์กำลังพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
“น้อยไปหน่อยมั้ย สำหรับ...นางเอกคนใหม่ของผู้กำกับชื่อดัง”
“...หกแสน” วิทย์บอก
“ไม่...ล้านนึง ขาดตัว Take it or Leave it” วสันต์บอกพร้อมกับตบไพ่ 5 ใบลงที่โต๊ะอย่างแรง “State Flush!

เช้าวันใหม่ ฐิติประคองท่านหญิงเดินออกมาจากตึก พุดตานเดินตามออกมาด้วย รถหรูประจำวังสูรยกานต์เคลื่อนเข้ามาจอดที่หน้าตึก คนขับรถลงจากรถมาเปิดประตูด้านหลังให้แล้วยืนรออย่างสำรวม
“นี่เราจะไปไหนกันเหรอครับท่านย่า” ฐิติสงสัย
ท่านหญิงหันมายิ้มให้ฐิติอย่างสดใสประกาศชัยชนะ
“ก็กำลังจะไปสู่ขอเจ้าสาวให้ฐิติไงล่ะลูก”
ท่านหญิงเข้าไปในรถ คนขับปิดประตูให้ท่านหญิงแล้วเดินไปเปิดประตูอีกด้านรอ ฐิติอึ้งหน้าเสีย เข้าใจว่าเจ้าสาวที่ท่านย่าหมายมั่นต้องเป็นคุณหญิงไขนภาแน่ๆ พุดตานดีใจจนออกนอกหน้า
“ติ เชื่อแม่เถอะลูก ท่านย่าตัดสินใจไม่ผิดแน่ๆ คุณหญิงไขนภาเหมาะสมที่สุดแล้ว...ที่จะเป็นคุณผู้หญิงแห่งสูรยกานต์”
ฐิติใจหายวับ เมื่อคิดว่าความสัมพันธ์ของตนกับกานดาวสีกำลังจะต้องจบลงจริงๆ

อุไรเดินไปเดินเข้ามาในห้องนอน บ่นพึมพำอย่างกลัดกลุ้มคนเดียว
“ทำไมดวงฉันถึงเป็นแบบนี้ กำลังได้อยู่แท้ๆ พอว่าจะเสียก็เสียจนหมดตัว โอ๊ยนี่ทั้งโฉนด ทั้งสร้อยเพชรฉันจะเอาเงินที่ไหนไปไถ่ออกมา”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น อุไรชะงักหันไปถามเสียงดัง
“ใคร...ก็บอกแล้วไงว่าอย่าเพิ่งมากวน”
“ผมเองคุณอุไร” เป็นเสียงวิเศษ
อุไรสะดุ้งลนลานรีบวิ่งไปที่กระจกเงาดูหน้าตาตัวเองปรับให้ยิ้มแย้ม ทั้งๆ ที่เหยเกเต็มที่
รีบวิ่งมาเปิดประตู ถามเสียงอ่อน
“มีอะไรหรือเปล่าคะ หรือว่าจะรับกาแฟ ดิฉันจะไปเอามาให้” อุไรรีบเดินจะเลี่ยงออกไป วิเศษจับแขนไว้
“ไม่ต้องหรอก ผมมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับคุณ”
อุไรหน้าซีด สีหน้ามีพิรุธ อึกอัก
“เรื่อง..เรื่องอะไรคะ”

รถท่านหญิงมาจอดหน้าประตูบ้านกิริเนศวรของวิเศษ ฐิตินั่งเงียบมาตลอดทางไม่ทันมอง
เสียงพุดตานถามขึ้น
“ถึงแล้วหรือเพคะบ้านว่าที่เจ้าสาวของฐิติ”
“ใช่...”
เด็กรับใช้วิ่งมาเปิดประตู
ฐิติได้สติมองแล้วสะดุ้งตกใจ หันไปมองท่านหญิง
“เอ๊ะ...นี่มันบ้านของคุณวิเศษนี่ครับท่านย่า”
พุดตานตกใจเช่นกัน “อะไรนะบ้านคุณวิเศษเหรอ หมายความว่าผู้หญิงที่ท่านหญิงจะมาขอก็คือ...”
ท่านหญิงยิ้มอย่างมั่นใจว่าตนทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
“ใช่..กานดาวสี กิริเนศวรไงจ๊ะ”
ทั้งพุดตานและฐิติ อึ้ง ตะลึง พูดไม่ออกทั้งคู่ ท่านหญิงมองพุดตานอย่างตำหนิและจับผิด
ท่านหญิงเสียงเข้ม “ทำไมต้องตกใจด้วยล่ะแม่พุดตาน หรือว่าหล่อนไม่รู้...ว่าลูกชายตัวน่ะรักแม่กานดาวสี ไม่ใช่หญิงไขนภา”

สองคนยังอยู่ในห้องนอน อุไรตกใจมากพอฟังสามีเล่าจบ
“อะไรนะ ท่านหญิงจะขอแม่กานดาวสีไปเป็นหลานสะใภ้เหรอคะ เป็นไปได้ยังไง เจอหน้ากันแค่ไม่กี่ครั้ง
“ผมเองก็แปลกใจ ถึงจะรู้ว่าท่านเมตตาลูกกาน แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขนาดขอไปเป็นหลานสะใภ้”
“แล้วคุณตอบท่านไปว่ายังไงคะ”
“ผมจะบอกว่ายังไง ผมก็ต้องรอถามความสมัครใจของลูกก่อน ว่าจะตกลงหรือปฏิเสธ”
“โอ๊ย ไม่ต้องถามก็รู้ใครปฏิเสธก็โง่แล้วล่ะคะ ราชรถมาเกยถึงที่ ไม่ขึ้นก็บ้าเต็มที่”
เสียงกานดาวสีดังขัดขึ้น “นี่มันเรื่องอะไรกันคะคุณพ่อ”
วิเศษกับอุไรตกใจ หันไปมอง เห็นกานดาวสียืนอยู่ที่ประตู วิเศษบอกลูกสาวเสียงอ่อนโยน
“ท่านหญิงมีพระประสงค์จะสู่ขอลูกให้กับคุณฐิติ ลูกจะว่ายังไง”

ไม่นานนัก ท่านหญิงลักษมี พร้อมพุดตานและฐิติอยู่ในห้องรับแขกบ้านกิริเนศวร ท่านหญิงถามวิเศษขึ้น
“แม่กานดาวสีเค้าว่ายังไงบ้างล่ะ เรื่องที่ฉันคุยกับพ่อวิเศษไว้เมื่อคืน”
วิเศษมีท่าทางอึดอัด ไม่สบายใจขณะบอก
“เอ่อ...กระหม่อมได้บอกลูกไปแล้ว แต่เขา...ปฏิเสธกระหม่อม”
ฐิติกึ่งโล่งใจ กึ่งผิดหวัง
พุดตานแอบยิ้มพอใจ ท่านหญิงยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ตกพระทัย
“ฉันว่า...เราน่าจะให้ตาติกับหนูกานดาวสีเค้าได้คุยกันเป็นการส่วนตัวก่อน ดีมั้ยพ่อวิเศษ”
“เอ่อ...ก็ดีกระหม่อม”
พุดตานหน้าเสีย
“ไปสิตาติ ไปคุยกับแม่กานดาวสีเค้า” ท่านหญิงหันมาทางวิเศษ “เอ้า พ่อวิเศษ...ไปตามตัวมาสิ ฉันยิ่งใจร้อนอยู่”
“กระหม่อม”

ฐิติยืนหันหลังนิ่งอยู่ในสวนสีหน้าเคร่งขรึม กานดาวสีเข้ามาด้านหลังไม่พูดไม่จา ฐิติหันกลับมาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย ในท่าทีหยามหยัน
“คุณนี่เหนือชั้นกว่าที่ผมคิดจริงๆ
“ดิฉันไม่เข้าใจว่าคุณหมายถึงอะไร”
“ก็ที่ทำให้ท่านย่าหลงกลคิดว่าคุณเป็นคนดีจนถึงกับขอมาเป็นหลานสะใภ้น่ะสิ แล้วยังแกล้งทำเป็นเล่นตัวเพื่อให้ตัวเองดูมีค่าขึ้นมายังไงล่ะ”
“ฉันไม่จำเป็นต้องใช้แผนต่ำๆอย่างที่คุณพูด เพราะฉันไม่เคยคิดจะเกี่ยวดองกับคนอย่างคุณ คุณเองน่ะแหละ ทำไมไม่บอกท่านหญิงไปว่าไม่ต้องการจะแต่งงานกับดิฉัน ท่านจะได้ยกเลิกเรื่องทั้งหมด ดีกว่าที่คุณจะมาประชดประชันดิฉันแบบนี้”
“เพราะผมรับปากท่านไปแล้วว่าจะแต่งงานกับผู้หญิงทุกคนที่ท่านเลือกให้ แต่ผมบอกตรงๆ พอรู้เป็นคุณผมก็ไม่สามารถจะทำตัวเป็นหลานกตัญญูได้ เพราะอะไรคุณก็คงรู้ดี”
“ฉันรู้ดีค่ะ..และฉันจะไปทูลท่านหญิงเดี๋ยวนี้ว่า ดิฉันยืนยันที่จะปฏิเสธการแต่งงานกับคุณ คุณจะได้พอใจและเลิกกล่าวหาฉันซะที”

กานดาวสีพูดจบก็เดินออกไปทันที

อ่านต่อหน้า 4

สุดสายป่าน ตอนที่ 3 (ต่อ)

ฐิติกับกานดาวสีเดินเข้ามาในห้องรับแขกของบ้านกิริเนศวรอย่างเฉยเมยด้วยกันทั้งคู่ ท่านหญิงลักษมีซึ่งคอยจับสังเกตอยู่แล้ว พอเห็นหน้าสองหนุ่มสาว ก็รู้ทันทีว่าผลลัพธ์ออกมาไม่ดีแน่จัดแจงรีบคว้ากระเป๋าลุกขึ้นตัดบททันที

“คุยกันเสร็จแล้วใช่มั้ย...งั้นเราก็กลับกันเถอะ”
“แล้วคำตอบ...” พุดตานงงๆ
ท่านหญิงบอกกับกานดาวสี “ฉันมานึกดูอีกที ฉันคงจะใจร้อนไปหน่อย ที่มาเร่งรัดเอาคำตอบจากเธอ โดยที่ไม่ได้ให้เวลาเธอไตร่ตรองให้มากกว่านี้”
กานดาวสีเอ่ยขึ้นจะบอกการตัดสินใจ “แต่ดิฉันตัดสินใจแล้วว่า...”
ท่านหญิงขัดขึ้น มองกานดาวสีด้วยแววตาเปี่ยมเมตตา
“ไม่ต้องรีบร้อนไปหรอกน่ะแม่กานดาวสี ระหว่างนี้ฉันอยากให้เธอคิดให้ดีซะก่อน แล้วค่อยให้คำตอบฉัน”
“ท่านย่าครับ...”
ท่านหญิงตัดบทอีกครั้ง “ไป แม่พุดตาน ตาติ เรากลับกันได้แล้ว”
ท่านหญิงเดินออกไปทันที ฐิติกับพุดตานจำใจลุกตามไป กานดาวสีกับวิเศษมองหน้ากันอย่างงุนงง ไม่เข้าใจ

กานดาวสีเปิดประตูเข้ามาในห้องอย่างใจลอย แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวที่เห็นนารีรัตน์นั่งนิ่งอยู่
“ยัยรัตน์...เธอเข้ามาในห้องพี่ทำไม”
นารีรัตน์แขวะ “เนื้อหอมจริงนะ ไหนจะคุณประพันธ์ ไหนจะคุณฐิติ”
“บอกแล้วไงว่าพี่ไม่ได้มีอะไรกับคุณประพันธ์”
“แล้วทำไมพี่ถึงไม่แต่งงานกับคุณฐิติ เค้าทั้งหล่อ ทั้งรวยซะขนาดนั้น” นารีรัตน์คาใจ
“มันเป็นเรื่องส่วนตัวของพี่”

นารีรัตน์อย่าให้รู้นะ ว่าที่พี่กานปฏิเสธก็เพราะคิดจะแย่งคุณประพันธ์ไปจากรัตน์...ไม่งั้นรัตน์จะทำให้พี่เสียใจอย่างที่สุดกับสิ่งที่พี่ทำลงไป
นารีรัตน์วิ่งออกไป
กานดาวสีตกใจแกมกังวล “ยัยรัตน์”

ภายในวังสูรยกานต์ ท่านหญิงเดินคุยกับพุดตาน
“ดิฉันไม่เข้าใจ ว่าทำไมถึงกลายมาเป็นแม่กานดาวสีไปได้ล่ะเพคะ ทั้งๆ ที่คุณหญิงไขนภาเธอก็งามพร้อม สมศักดิ์สมตระกูล คู่ควรกับสูรยกานต์ทุกอย่าง”
“สมศักดิ์สมตระกูลไม่ได้หมายความว่าเค้าจะอยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข...นี่แม่พุดตานยังไม่รู้จักลูกชายตัวเองอีกรึว่าเค้าต้องการอะไร”
“แต่ตาติก็เต็มใจจะแต่งงานกับคุณหญิงไขนภานี่เพคะ”
ท่านหญิงจ้องหน้าจ้องตาถาม “แล้วตาติเค้าบอกหล่อนรึว่าเค้าไม่เต็มใจจะแต่งงานกับแม่กานดาวสี”
พุดตานอึ้งหน้าเสีย รู้ว่าท่านหญิงไม่พอใจตน
ท่านหญิงเสียงแข็ง “ฉันมีหลานคนเดียว ถึงฉันจะไม่ได้เลี้ยงเค้ามา แต่ฉันก็รักเค้ามากที่สุด...และความสุขของหลานฉันก็สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เข้าใจมั้ย แม่พุดตาน”

ด้านสองแม่ลูกอยู่ด้วยกันในรถที่ไขนภาเป็นคนขับ ไขศรีกระแทกเสียงหงุดหงิด
“แม่ไม่เข้าใจเลยว่าท่านป้าของลูกคิดอะไรอยู่ ถึงได้ไปทาบทามแม่กานดาวสีให้กับตาติ”
“ท่านป้าก็คงทราบน่ะสิคะแม่ ว่าคุณฐิติกับคุณกานดาวสีเค้ารักกัน”
“จะรักกันได้ยังไง แม่ไม่เห็นว่าตาติจะมีทีท่าอะไรกับแม่กานดาวสี หญิงน่ะแหละมัวแต่ชักช้า มีแต่ความฉลาดแต่ไม่เฉลียวเอาซะเลย อุตส่าห์เรียนจบมาจากฝรั่งเศส แต่กลับมาเป็นครูต๊อกต๋อยเงินเดือนไม่กี่ร้อยกี่ชั่ง แทนที่จะแต่งงานเป็นคุณผู้หญิงของสูรยกานต์”
ไขนภาขำท่าทีมารดา “โธ่ ก็เพราะหญิงอุตส่าห์เรียนจบมาไงคะ หญิงถึงอยากจะใช้ความรู้ที่เรียนมาให้เป็นประโยชน์มากกว่าจะนั่งเป็นคุณผู้หญิงหายใจทิ้งไปวันๆ อย่างที่แม่ต้องการ...”
รถจอดเทียบที่ทางเท้า เห็นป้ายโรงเรียนคอนแวนต์ข้างหน้า

ไขนภาไหว้วิสูตรที่อยู่ในห้องพักครูใหญ่อย่างสวยงาม
“สวัสดีค่ะ ดิฉันหม่อมราชวงศ์ไขนภา ดำรงศักดิ์ ที่จะมาสอนภาษาฝรั่งเศสแทนมาดมัวแซลมิแชลล์ แวงซองค่ะ”
วิสูตรหน้าตาซีดเซียวเหมือนคนป่วย หลังเหตุการณ์ที่ถูกลูกเลี้ยงผลักในครั้งนั้น พยายามฝืนยิ้ม
“ยินดีต้อนรับคุณครูคนใหม่ครับคุณหญิง ผมวิสูตร เป็นครูใหญ่ของที่นี่...และนี่เป็นรายละเอียดของรายวิชาที่คุณหญิงจะต้องสอนในเทอมนี้”
วิสูตรกำลังจะเอื้อมมือมาหยิบแฟ้มที่วางอยู่บนโต๊ะส่งให้ไขนภา แต่กรอบรูปที่ตั้งทับอยู่ตะแคงเกือบจะล้มลง
ไขนภาจับไว้ได้ ตั้งใจจะเอาไปวางไว้ที่เดิม แต่สายตามองไปที่รูปโดยไม่ได้ตั้งใจ สายตาแลเห็น
เป็นรูปกานดามณีตอนวัยรุ่น ไขนภาชะงัก มองรูปในมืออย่างพิจารณา

“เอ๊ะ เด็กผู้หญิงคนนี้...ทำไมดิฉันรู้สึกคุ้นหน้า เหมือนว่าเคยเห็นที่ไหน”
วิสูตรตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น ร้อนใจ
“คุณหญิงเคยเจอลูกสาวผมที่ไหน เมื่อไหร่เหรอครับ”
ไขนภาคิดทบทวน “ดิฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ” พลางมองวิเศษอย่างแปลกใจ “ครูใหญ่มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“กานดามณี ลูกสาวผมหนีออกไปจากบ้านครับ นี่ผมก็พยายามตามหาแกทุกที่ แต่ก็ไม่มีวี่แววอะไรเลย...โอ้ย”
ขณะพูดวิสูตรเกิดอาการปวดเสียดบริเวณลิ้นปี่ด้านซ้ายใต้ราวนม งอตัวลงไปไขนภารีบเข้าไปประคองไว้อย่างตกใจ
“ตายแล้ว...ครูใหญ่ไม่สบายนี่คะ มือเย็นเฉียบเลย”
วิสูตรปวดจนเหงื่อแตกพลั่ก
“ครูใหญ่ ครูใหญ่คะ”
ไขนภารีบวิ่งไปที่ประตูห้อง
“ใครก็ได้ช่วยด้วยค่ะ ครูใหญ่ไม่สบายมาก...”
ในความเจ็บปวดเจียนตาย วิสูตรพะวงคร่ำครวญถึงแต่กานดามณี
“ยัยณี...ลูกอยู่ที่ไหน เมื่อไหร่จะกลับมาหาพ่อซะที”

ที่ห้องนั่งเล่น วังอัศวไกรตอนสาย มือของวิทย์ค่อยๆ เอื้อมมาลูบไล้ที่ขากานดามณี สูงขึ้นเรื่อยๆเรื่อยๆ กานดามณีสยิว ลืมตาขึ้นมาเห็นสายตาวิทย์มองมาด้วยความปรารถนา กานดามณีตกใจ พรวดพราดลุกขึ้น
“อุ๊ย...นี่อะไรกันคะ” พลางมองไปรอบๆห้อง “แล้วคุณวสันต์ล่ะ”
“ไอ้สันต์มันไม่อยู่แล้ว”
“คุณวสันต์ไม่อยู่..หมายความว่ายังไง เค้าไปไหนคะ แล้วทิ้งให้ฉันนอนอยู่ได้ยังไง”
วิทย์มองกานดามณีด้วยสายตากรุ้มกริ่มเจ้าชู้
“ใจเย็นๆ น่า...ผมบอกมันว่าวันนี้ผมจะให้คุณเทสต์หน้ากล้อง ไอ้สันต์มันก็เลยกลับไปก่อน”
กานดามณีชะงัก มองวิทย์อย่างรู้ทัน ยิ้มพอใจ
“งั้นเหรอคะ...แล้วเราจะเริ่มเทสต์หน้ากล้องกันเมื่อไหร่ล่ะ”
วิทย์โน้มตัวเข้ามาหากานดามณี
“แล้วคุณพร้อมหรือยังล่ะ”
กานดามณีไม่ตอบ ยิ้มยั่วยวน โน้มคอวิทย์ให้ลงมาซบที่อก เห็นกานดามณีหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข
วิทย์อุ้มกานดามณีไปที่เตียง และวางกานดามณีลงบนเตียงอย่างทะนุถนอมกานดามณีหลับตาพริ้ม จัดท่านอนตัวเองให้ดูยั่วยวนมากขึ้นอีก เผยอปากรอ คงจะมโนภาพว่าวิทย์กำลังถอดเสื้อผ้า
จนกระทั่งมีเสียงกริ๊กของกุญแจมือดังขึ้น กานดามณีลืมตา เห็นข้อมือตัวเองข้างหนึ่งถูกล็อกไว้กับเสาเตียง กานดามณีตกใจ
“นี่มันอะไรกันคะ”
วิทย์มองกานดามณีอย่างออดอ้อน
“น่า...นะ...นิดเดียว แล้วคุณจะติดใจ”
กานดามณีหน้าเสีย
“ไม่เอา...ฉันไม่เคย”
“ลองดูน่า...อยากจะเป็นดารา ก็ต้องกล้าลองอะไรใหม่ๆ”
กานดามณีอึ้งไปอย่างตัดสินใจ “หมายความว่า ถ้าฉันยอม ฉันจะได้เป็นดาราแน่ๆใช่มั้ย...แล้วจะได้เป็นนางเอกหรือเปล่า”
“ได้สิ...คุณจะกลายเป็นนางเอกชื่อดัง แล้วผมก็จะพาคุณออกงานสังคมชั้นสูง และอีกหน่อย ทั่วฟ้าเมืองไทยก็จะไม่มีใครที่ไม่รู้จักกานดาวสี กิริเนศวร”
กานดามณีตัดสินใจได้ทันที “งั้น...ก็ได้ค่ะ”
กานดามณีพยายามยิ้มด้วยสายตายั่วยวน แต่ใจก็ยังกลัวอยู่ ยกแขนอีกข้างหนึ่งให้วิทย์ใส่กุญแจมือ วิทย์มองกานดามณีอย่างสมความปรารถนา ขึ้นคร่อมกานดามณี ใช้กุญแจล็อกแขนอีกข้างของกานดามณีไว้ที่เสาเตียงอีกข้าง

เวลาผ่านไปจากสายจนล่วงเข้าสู่ตอนบ่าย กานดามณีรู้สึกตัว ยิ้มอย่างอิ่มเอมในความสุขแบบใหม่ที่เพิ่งเคยลองเป็นครั้งแรก เสียงดนตรีเพลง Classic ดังแผ่วๆ
กานดามณีขยับจะพลิกตัวนอนให้สบาย จึงรู้ตัวว่ายังถูกใส่กุญแจมืออยู่ กานดามณีลืมตาขึ้น แล้วก็ยิ่งตกใจเมื่อเห็นว่าทั้งมือทั้งเท้าถูกล่ามโซ่ไว้
“คุณวิทย์...อะไรกันเนี่ย นี่คุณยังไม่ปล่อยฉันอีกเหรอ”
กานดามณีมองหา เห็นวิทย์กำลังจุดเทียนวางไว้ตามที่ต่างๆ วิทย์หันมายิ้ม
“จะปล่อยได้ยังไง เรายังสนุกกันไม่เสร็จเลย”
วิทย์เดินถือเทียนเข้ามาใกล้ ขึ้นไปนั่งคร่อมกานดามณี แล้วหยดน้ำตาเทียนลงไปบนตัวกานดามณี เสียงกานดามณีร้องกรี๊ดอย่างเจ็บปวด ปนไปกับเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของวิทย์
กานดามณีร้องกรี๊ดดดๆๆ

ด้านอุไรกับนารีรัตน์เดินมาด้วยกันถึงหัวมุมถนน ท่าทางอุไรเคร่งเครียดและดูร้อนรน
“แกเข้าไปรอแม่ในร้านหนังสือก่อนนะ”
“อ้าว แล้วคุณแม่จะไปไหนล่ะคะ”
“แม่มีธุระ เสร็จแล้วจะกลับมารับแกที่นี่ละกัน”
อุไรพูดจบก็รีบเดินไปด้วยท่าทางเป็นกังวล นารีรัตน์มองตามอุไรอย่างไม่เข้าใจ เดินตรงไปที่ร้านหนังสืออย่างเซ็งๆ

สองคนอยู่ในห้องหนังสือที่บ้านราศรี
“อะไรนะคะ นี่ดิฉันฟังผิดหรือเปล่า คุณอุไรจะมาขอนาฬิกาคืน...แล้วเงินต้นล่ะคะ”
“คือ ดิฉันอยากได้นาฬิกา Patek Phillipe คืนไปก่อนน่ะค่ะ แต่จะให้ดอกคุณราศรีไปเรื่อยๆเหมือนเดิมจนกว่าจะหาเงินต้นมาคืนให้ครบ”
ราศีหัวเราะ ราวกับได้ยินอุไรพูดเรื่องตลกๆ ออกมา
“แหม...คุณอุไรนี่มุกเยอะจังเลยนะคะ มิน่าล่ะ ถึงไม่ค่อยเครียด...แต่เรื่องเนี้ย ดิฉันคงจะรับมุขไม่ทัน...มีที่ไหนคะ เงินยังไม่มา แต่จะมาเอาของที่จำนำไว้คืนไป”
“แต่ดิฉันจำเป็นจริงๆ นะคะ”
ราศรีเดินไปเปิดลิ้นชักที่โต๊ะทำงาน
“เฮ้อ...ดิฉันนี่ก็เป็นอะไรไม่รู้ คุณอุไรเอ่ยปากทีไร ก็อดใจอ่อนไม่ได้ซะที”
อุไรตาโต ดีใจ คิดว่าราศรีจะหยิบนาฬิกามาคืนให้
“ขอบคุ...”
ราศรีหยิบเงินส่งให้อุไรปึกหนึ่ง
“เอาเป็นว่าดิฉันเพิ่มราคาจำนำให้อีกละกันนะคะ แต่จะเอาคืนไปก่อนน่ะ คงไม่ได้หรอกค่ะ มันเสียระบบ อีกหน่อยถ้าคนอื่นมาขอบ้าง ดิฉันก็แย่สิคะ”
อุไรท้วง “แต่...”
ราศรียิ้มหวาน
“ปกติแล้วดิฉันจะไม่เชื่อถือคำพูดของนักพนันนะคะ แต่ที่มีข้อยกเว้นสำหรับคุณอุไร ก็เพราะเห็นว่าเป็น ภรรยาคุณวิเศษ กิริเนศวร หรอกค่ะ”

ด้านนารีรัตน์เดินไปที่ชั้นหนังสือที่เคยเจอประพันธ์ คิดถึงอดีตอันหวานชื่นระหว่างประพันธ์และตน พอภาพเลือนหายไป นารีรัตน์ยืนน้ำตารื้นมองไปที่ๆประพันธ์เคยยืนอยู่ด้วยความคิดถึง
“คุณประพันธ์ คุณอยู่ที่ไหนคะ รัตน์คิดถึงคุณค่ะ”
นารีรัตน์ปาดน้ำตา หันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างกระจกบานใหญ่อย่างตัดใจ แล้วก็ตาเบิกกว้างขึ้นอย่างตื่นเต้น

นารีรัตน์พุ่งไปที่หน้าต่าง เพ่งมองออกไปให้แน่ใจอีกครั้ง

เวลาขณะนั้นประพันธ์กำลังนั่งคุยงานอยู่กับแขกในร้านน้ำชาแห่งหนึ่ง ที่โต๊ะมีเอกสารวางอยู่ 2-3 ปึก

“คุณประพันธ์คะ” เสียงเรียกดังมาจากทางหนึ่ง
ประพันธ์ชะงัก หันขวับไปตามเสียงเรียก เห็นนารีรัตน์ยืนอยู่ สีหน้าดีใจมาก
“คุณรัตน์”

สองคนมาคุยกันที่มุมตึกเงียบๆ ประพันธ์ยืนยันเรื่องแหวนที่ฝากกานดาวสีไว้ให้
“ผมฝากแหวนคุณกานดาวสีไว้ให้คุณรัตน์จริงๆ ครับ ตอนนั้นผมกำลังจะไปต่างจังหวัด แล้วคุณรัตน์ก็กำลังสอบ ผมเลยไม่อยากให้คุณรัตน์เสียสมาธิ”
“คุณประพันธ์กลับมาจากต่างจังหวัดเมื่อไหร่ ทำไมไม่รีบไปหารัตน์ล่ะคะ”
“สองสามวันแล้วล่ะครับ แต่พอดีผมกำลังยุ่งๆอยู่...”
ท่าทางประพันธ์รีบร้อน เหมือนไม่ได้จดจ่ออยู่ที่นารีรัตน์อย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อน นารีรัตน์มองอย่างตัดพ้อ
“ใช่สิ เดี๋ยวนี้รัตน์คงไม่ได้มีความสำคัญอะไรสำหรับคุณประพันธ์อีกแล้ว”
“ไม่ใช่อย่างงั้นนะครับ แต่ผมเพิ่งได้รับมอบหมายงานใหม่ก็เลยยุ่ง...”
นารีรัตน์พาล “แล้วเมื่อก่อนล่ะคะ ถึงจะยุ่งยังไงคุณประพันธ์ก็ยังมีเวลาให้รัตน์ กลับจากราชการต่างจังหวัดก็ต้องรีบมาหา...จะมีอะไรซะอีก นอกจากคุณประพันธ์จะหมดรักรัตน์แล้ว”
ประพันธ์พะว้าพะวัง ห่วงทั้งนารีรัตน์ ทั้งงานที่กำลังคุยค้างอยู่
“คุณรัตน์ เราอย่าเพิ่งคุยเรื่องนี้กันตอนนี้เลยนะครับ ผมต้องรีบไปคุยงานต่อกับผู้ใหญ่ก่อน...”
นารีรัตน์มองประพันธ์อย่างผิดหวัง
“ถ้าคุณไม่พูดกับรัตน์ให้รู้เรื่องวันนี้ เราก็ไม่ควรจะต้องคุยกันอีกเลยค่ะ”
นารีรัตน์วิ่งร้องไห้ออกไปทันที

นารีรัตน์เปิดประตูผางเข้ามาในห้องกานดาวสี สภาพน้ำตานองหน้า สายตาที่มองกานดาวสีเต็มไปด้วยความเกลียดชัง กานดาวสีหันมามองอย่างตกใจ
“ยัยรัตน์...”
นารีรัตน์พูดออกมาด้วยความเจ็บช้ำ “เป็นเพราะพี่กานคนเดียว คุณประพันธ์เค้าถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้”
“เธอเป็นอะไรไปอีกล่ะ พี่บอกเธอแล้วไงว่าพี่ไม่ได้คิดจะแย่งคุณประพันธ์ไปจากเธอ”
“รัตน์ไม่เชื่อ ถ้าพี่ไม่ได้คิดจะแย่งรัตน์จริงๆ พี่ก็ต้องยอมแต่งงานกับคุณฐิติ”
“ยังไงพี่ก็จะไม่แต่งงานกับคุณฐิติ...เธอไม่มีสิทธิ์จะมาบังคับพี่”
เสียงเลื่อนคัตเตอร์ดังแก๊ก กานดาวสีสะดุ้งหันกลับมาตกใจ เมื่อเห็นนารีรัตน์ถือคัตเตอร์ไว้ใน
มือทำท่าจะกรีดข้อมือตัวเอง
“รัตน์..นั่นเธอจะทำอะไร”
“ทำให้พี่รู้น่ะสิ ว่ารัตน์รักคุณประพันธ์แค่ไหน ถ้ารัตน์ต้องเสียเขาให้พี่สาวตัวเอง รัตน์ตายเสียดีกว่า”
กานดาวสีร้องห้าม “อย่านะรัตน์ จะทำอะไรคิดถึงคุณพ่อกับคุณอาอุไรบ้าง”
“รัตน์ไม่คิดถึงใครทั้งนั้น ไม่มีกะจิตกะใจจะเรียนหรือจะทำอะไรทั้งนั้น ถ้ารัตน์ไม่มีคุณประพันธ์”
นารีรัตน์กดใบมีดที่ข้อมือไปได้นิดนึง กานดาวสีตกใจสุดขีด รีบเข้าไปจับมือนารีรัตน์ไว้อย่างตกใจ
“ยัยรัตน์! อย่านะ”
กานดาวสีกับนารีรีตน์แย่งมีดกัน กานดาวสีแย่งมีดได้ ปามีดทิ้งออกไปไกลนารีรัตน์มองตามอย่างเจ็บใจ แล้วหันกลับมาจ้องหน้ากานดาวสีอย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนจะวิ่งออกไป
“ยัยรัตน์”
นารีรัตน์วิ่งหนีไปที่ระเบียงชั้น3 ร้องไห้ฟูมฟายน้ำตานองหน้า เสียใจมาก กานดาวสีวิ่งตามมา
“หยุดเดี๋ยวนี้นะยัยรัตน์”
“ไม่ต้องมาห้ามเลยนะ ในเมื่อพี่แย่งคุณประพันธ์ไปจากรัตน์ รัตน์ก็จะไม่ขอมีชีวิตอยู่อีกต่อไป”
“แต่พี่ไม่เคยมีอะไรกับคุณประพันธ์จริงๆ นะ จะให้พี่ทำยังไงเธอถึงจะเชื่อ”
“แต่งงานกับคุณฐิติสิ” นารีรัตน์บอก
“พี่แต่งงานกับเค้าไม่ได้”
นารีรัตน์พุ่งไปที่ระเบียง ทำท่าจะกระโจนลงไปจริงๆ กานดาวสีกรี๊ด ถลาเข้าไปคว้านารีรัตน์ไว้ได้
“อ๊าย...อย่านะ อย่าทำอย่างนี้”
นารีรัตน์มองกานดาวสีอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า

เช้าวันต่อมา รถวิเศษแล่นเข้ามาในวังสูรยกานต์ ภายในรถวิเศษหันมาทางนารีรัตน์ที่ขอมาด้วย
“ธุระของผู้ใหญ่ ไม่รู้ว่าแกจะตามมาทำไม ยัยรัตน์”
นารีรัตน์รัตน์ก็อยากได้ยินเหมือนกันนี่คะ ว่าพี่กานจะตอบว่ายังไง
นารีรัตน์หันไปมองกานดาวสี ที่นั่งนิ่งสีหน้าดูเศร้าๆ
“อย่าว่ายัยรัตน์เลยค่ะ กานเป็นคนชวนน้องมาเอง”

ขณะนั้นท่านหญิงลักษมี พุดตาน ฐิติ และนมสายนั่งอยู่ที่ห้องโถงของวัง สักครู่หนึ่งวิเศษ กานดาวสี และนารีรัตน์ คลานเข่าเข้ามากราบท่านหญิง
“ตัดสินใจได้แล้วรึ หนูกานดาวสี”
“เพคะ”
นารีรัตน์จดสายตาจ้องกานดาวสีแกมบังคับให้ตอบตกลง
“ดิฉัน…”
ทุกคนมองกานดาวสีลุ้นกับคำตอบเป็นสายตาเดียว
“ดิฉันยอมแต่งงานกับคุณฐิติเพคะ”
ท่านหญิง วิเศษ และนมสายยิ้มดีใจ ฐิติอึ้งกับคำตอบของกานดาวสีที่ตอบตกลง แต่ลึกๆ ก็ดีใจ พุตตานมองกานดาวสีด้วยสายตาไม่พอใจ
นารีรัตน์ยิ้มดีใจกับการตอบตกลงของพี่สาว
“ดีล่ะ...นมสาย เธอไปเอาของที่ฉันเตรียมไว้ให้แม่กานดาวสีมาให้ฉันทีซิ”

ครู่ต่อมา ท่านหญิงส่งแหวนให้กานดาวสี
“รับไปสิ..นี่ไม่ใช่ของหมั้นหรือของแต่งนะจ๊ะ ฉันให้ไว้ใส่เล่นๆ แค่นั้น”
กานดาวสีอึกอัก
“ไม่ต้องคิดมากอะไรหรอกน่ะ ฉันให้ในฐานะที่เป็นว่าที่หลานสะใภ้ของฉัน ...เอ้ารับไป”
ท่านหญิงคะยั้นคะยอ กานดาวสีลังเล นมสายรีบเสริม
“หนูกานดาวสี...ผู้ใหญ่ให้ของ ก็ต้องรับสิคะ”
กานดาวสีกราบขอบคุณท่านหญิง จำใจต้องรับมาท่าทางอึดอัด ท่านหญิงเข้าใจพูดปลอบ
“ไม่ต้องอึดอัดใจอะไรทั้งนั้น ตอนนี้เธอก็เป็นเสมือนหลานสาวของฉัน...เดือนหน้านี่ก็จะต้องมาอยู่ด้วยกันแล้ว”
ฐิติและกานดาวสีตกใจ อุทานพร้อมๆกัน “อะไรนะครับ” / “อะไรนะเพคะ”
สองคนหันมองหน้ากัน นมสายเย้า
“แหมใจตรงกันเชียวนะคะ”
“แบบนี้สิดี ฉันจะได้อุ้มเหลนไวๆ ไงนม ฟังให้ดีๆ นะทั้งสองคน ย่าจะให้เธอสองคนแต่งงานกันเดือนหน้านี้”

ฐิติเดินเข้ามาในห้องนอน พุดตานเดินตามเข้ามาด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์
“ลูกเห็นแล้วใช่มั้ย ว่าผู้หญิงที่ลูกรักแทบเป็นแทบตายน่ะ ร้ายกาจขนาดไหน”
“ผมก็คิดไม่ถึงจริงๆ” ฐิติหลับตาข่มความรู้สึก “ทั้งๆ ที่เธอพูดเองด้วยซ้ำ ว่าเธอไม่ต้องการจะแต่งงานกับผม”

“ใช่จ้ะ กานดาวสีไม่ได้ต้องการแต่งงานกับลูก แต่เธอต้องการแต่งงานกับสมบัติของลูก”
ฐิติสะเทือนใจ แต่พุดตานมัวแต่โกรธไม่ทันมองพูดต่อ
“ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวเหลือเกิน สูรยกานต์ต้องวุ่นวายแน่ๆ ถ้าเธอเข้ามาเป็นนายหญิง” พุดตาลกังวลมาก “แม่ล่ะเป็นห่วงแทนท่านย่าจริงๆ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับแม่ ในเมื่อเค้าเลือกแล้วว่าจะแต่งงานกับเงิน ผมก็จะทำให้เค้ารู้ให้ได้ว่าการแต่งงานโดยที่ไม่มีความรัก มันทรมานแค่ไหน”

ขณะพูดกับมารดา นัยน์ตาราชนิกุลรูปงามวาวโรจน์
 
อ่านต่อตอนที่ 4 
กำลังโหลดความคิดเห็น