xs
xsm
sm
md
lg

นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 13

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 13

ไมตรีกับปรีดาตรงเข้ามารายงานสิงหาที่กองปราบ

“สารวัตรครับเราได้รับแจ้งว่าเกิดเหตุยิงกันที่โรงงานร้างแถวนนทบุรีครับ” ไมตรีรายงาน
ปรีดาเสริม
“คนร้ายมีจำนวนมากแถมใช้อาวุธสงคราม สงสัยว่าจะเป็นพรายพิฆาตครับผม”
“มีใครเข้าไปตรวจสอบรึยัง”
ไมตรีรีบตอบ
“โอ้ยยิงกันถล่มทลายครับ สายตรวจเข้าไปสังเกตการณ์แล้วก็เลยวิทยุขอกำลังเสริมจากทางนี้”
ปรีดาหวั่นๆ
“ถ้าเป็นพรายพิฆาตจริงๆพวกเราจะทำยังไงดีครับ ตอนนี้นักสู้มหากาฬก็ไม่อยู่แล้วด้วย”
สิงหานิ่วหน้าอย่างใช้ความคิด

ทางเดินแคบๆสกปรกในอาคารในโรงงานร้าง แห่งหนึ่งได้ยินเสียงปืนแว่วมาและเห็นประกายไฟใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สักครู่ก็มีนักรบพรายพิฆาตเดนตายสี่ถึงห้าคนวิ่งหนีมา พวกมันช่วยกันสาดกระสุนใส่ผู้ล่าที่กำลังตามสังหารพวกมัน
“เดี๋ยวก่อน มันหายไปแล้ว”
นักรบพรายพิฆาตทั้งหมดหยุดยิง ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบได้ยินเพียงเสียงหายใจ และเสียงน้ำที่หยดลงมาจากท่อน้ำทิ้งบนเพดาน สักครู่ก็มีเสียงเดินมาอย่างใจเย็น เอมี่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมยักษ์และวัฒน์ เอมี่แสยะยิ้ม
“โอกาสสุดท้าย ใครก็ตามที่ยอมแปรพักตร์ เราจะไว้ชีวิต”
พวกนักรบพรายพิฆาตมองหน้ากัน ก่อนที่หัวโจกของกลุ่มจะตะโกนออกมา
“พรายพิฆาตจงเจริญ”
เหล่านักรบพรายพิฆาตสาดกระสุนเข้าใส่ เอมี่กับยักษ์และวัฒน์ใช้พลังพิเศษหลบกระสุนก่อนจะฆ่าพวกมันจนเหี้ยน เลือดกระเซ็นเปรอะข้างฝา

ไอริณเดินออกมาหน้าบ้านร้างอย่างสังหรณ์ใจ ก่อนจะหลับตาลงเพ่งกระแสจิต ราเมศตามออกมา
“เกิดอะไรขึ้นท่านพรายพิฆาต”
“ฐานของเราถูกโจมตี คนของกรณ์…พวกมันทำลายกองทัพของเรา”

นักรบพรายพิฆาตอีก 4 – 5 คนโผล่มากราดยิงใส่พวกเอมี่ ยักษ์ วัฒน์เพื่อช่วยเพื่อนที่เหลือ วัฒน์ใช้ดาบปัดกระสุนปกป้องเอมี่กับยักษ์ ขณะที่ยักษ์คว้าปืนกลมาถือสองมือแล้วกระหน่ำยิงพวกนักรบพรายพิฆาตจนตายเกลี้ยง เอมี่หันมาบอกวัฒน์และยักษ์
“ให้คนของเราพานักรบที่รอดตายกลับไปที่ฐาน เราต้องรู้ให้ได้ว่าพรายพิฆาตกบดานอยู่ที่ไหน”

เอมี่ ยักษ์และวัฒน์ เดินกลับออกมา ระหว่างนั้นเอมี่ก็โทรรายงานกรณ์
“หัวหน้า…พวกที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ ตอนนี้ถูกเก็บหมดแล้ว”
“ยังไม่แน่ อาจมีพวกมันหลงเหลืออีกก็ได้”
“ถึงมีก็แค่พวกเดนตาย พรายพิฆาตไม่มีกองทัพอีกแล้ว”
“ถ้างั้นตอนนี้ ว่าที่ผู้นำของโลกใหม่ ก็คือพวกเรา ฮ่าๆ”

ประตูโรงงานเปิดออก เอมี่ ยักษ์ และวัฒน์ต้องชะงักไปเมื่อพบตำรวจมากมาย ตั้งแถวดักรออยู่ โดยมีสิงหา ไมตรี ปรีดาเป็นคนคุมทีม สิงหายกโทรโข่งขึ้นมาแจ้งเตือน
“ทุกคนฟังให้ดี ตอนนี้พวกแกถูกล้อมไว้หมดแล้ว วางอาวุธแล้วมอบตัวซะ จะได้ไม่ต้องสูญเสียเลือดเนื้อ”
วัฒน์มองรอบๆ
“จัดหนักเลยนะเนี่ย สงสัยคงเกณฑ์มาหมดกองปราบ”
ยักษ์แสยะยิ้ม
“ก็ดี จะได้จัดการไปเลยทีเดียว”
เอมี่ยิ้มหยัน
“คืนนี้สนุกแน่”
เอมี่ ยักษ์ วัฒน์เดินหน้าเข้าหาพวกตำรวจอย่างไม่สะทกสะท้าน ไมตรีหวาดๆ
“สารวัตรมันตรงมาแล้ว เอาไงดีครับ”
ปรีดาหน้าตื่น
“เย้ย มันไม่กลัวตายหรือไงวะเนี่ย”
สิงหาสั่ง
“ทุกคนเตรียมพร้อม”
สิงหารอจนพวกของเอมี่เข้ามาอยู่ในระยะยิงหวังผลก็สั่งการทันที
“ยิง”
การปะทะเปิดฉากขึ้นอย่างดุเดือด ทั้งยักษ์ เอมี่ และวัฒน์ต่างใช้พลังพิเศษเล่นงานพวกตำรวจ เอมี่ถือมีดสองมือวิ่งฝ่าเข้าไปในกลุ่มตำรวจ แล้วลงมือเชือดพวกตำรวจอย่างรวดเร็วโดยไม่มีใครสามารถตั้งรับได้ทัน ยักษ์ใช้พละกำลังของมันจับร่างตำรวจนายหนึ่งเหวี่ยงทุ่มไปจนกระเด็น
วัฒน์กระโจนตัวข้ามแนวตั้งรับของตำรวจเข้าไปกลางวง ก่อนจะใช้ดาบซามูไรสังหารพวกตำรวจด้วยความไวที่เหนือธรรมชาติ สิงหาได้แต่ตกตะลึงกับภาพที่เห็นเขามารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ไมตรีกับปรีดาช่วยกันลากตัวหนีขึ้นรถ ก่อนที่จะต้องพลีชีพที่นั่น

ทีวีจอยักษ์ฉายภาพข่าว ประชาชนจำนวนมากกำลังยืนดูด้วยความวิตกกังวล
“เกิดเหตุปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและสมาชิกองค์กรพรายพิฆาตขึ้นเมื่อช่วงหัวค่ำ ส่งผลให้มีเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 8 นาย และบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก เชื่อว่าในขณะนี้พราย
พิฆาตกำลังมีการผลัดเปลี่ยนผู้นำ โดยกลุ่มพรายพิฆาตใหม่ที่ถือกำเนิดขึ้น พยายามแสดงแสนยานุภาพเพื่อให้ทั่วโลกตกอยู่ในความหวาดกลัว”

โซเฟียสวมหมวกแก๊ปแต่งตัวเหมือนผู้ชาย ขับรถบรรทุกฝ่าความมืดในยามราตรีไปอย่างมุ่งมั่น คำพูดของมาดามหลิวดังก้องในหัว
“อาวุธอย่างเดียวที่เรามีอยู่ก็คือไวรัสที่มันใช้ทำลายนักสู้มหากาฬ ถ้าเพาะไวรัสในปริมาณมาก และสามารถทำให้มันแพร่กระจายไปในอากาศ นักรบของพรายพิฆาตต่อให้มีมากแค่ไหนก็จะต้องหมดฤทธิ์”
โซเฟียขับรถพลางรำพึงออกมา
“พรายพิฆาต ฉันจะล้างแค้นพวกแกให้ได้”

วันต่อมา...ซากศพของนักรบพรายพิฆาตยังกองเกลื่อนตามทางเดิน สักครู่ก็มีแสงสว่างปรากฏขึ้น ไอริณพาราเมศเดินทางด้วยพลังจิตมาถึงที่นั่น
“ไม่เลว พวกมันพัฒนาฝีมือไปอีกขั้น ตอนนี้พลังของแต่ละคนแทบไม่น้อยกว่านักสู้มหากาฬ”
“ที่สำคัญก็คือพวกมันทำงานเป็นทีม ถ้าปะทะกันซึ่งๆหน้าเมื่อไหร่ เราอาจเป็นฝ่ายแพ้ก็ได้”
“ถ้างั้นก็ให้นักสู้มหากาฬวัดดวงแทนเรา พอรู้ผลแล้วค่อยเดิน เกมต่อทีหลัง”
“แต่เขาคงไม่ยอมถูกหลอกใช้แน่ ยกเว้นแต่จะมีข้อแลกเปลี่ยน”
ไอริณนิ่งคิดว่าจะต่อรองกับนักสู้มหากาฬด้วยสิ่งใด ระหว่างนั้นเองก็มีเสียงคนแว่วมา
“หัวหน้า...หัวหน้า”
ราเมศเห็นนักรบคนหนึ่งยังไม่ตายก็รีบเข้าไปดูอาการ
“มันจับพวกเราไป มันต้องการรู้ที่อยู่ของพรายพิฆาต”
ราเมศอึ้งก่อนจะหันไปมองที่ไอริณ แววตาของไอริณเปี่ยมล้นด้วยความแค้น

นักรบพรายพิฆาตถูกขึงพืดอยู่ในสภาพเลือดกบปาก แผดร้องโหยหวนเมื่อถูกวัฒน์ทรมาน
“บอกที่อยู่ของพรายพิฆาตมาเดี๋ยวนี้ แล้วฉันจะอนุญาตให้แกตาย บอกมา” วัฒจิกหัว “ถ้าแกไม่ยอมเปิดปากล่ะก็ แกจะต้องทรมานแบบนี้ไปชั่วชีวิต”
กรณ์ เอมี่ ยักษ์ และลุงโจยืนรออย่างใจเย็น วัฒน์ยังคงทรมานเหยื่อต่อไป

ฤทธิ์ยังนอนไม่สติเพราะอาการป่วย ขณะที่ณัฐชากำลังใช้เศษลวดหยิบได้แถวนั้นมาจะสะเดาะกุญแจมือ เธอบ่นกับตัวเอง
“ไม่เอาน่า เรื่องหมูๆแค่นี้ เธอต้องทำได้สิยัยณัฐชา อีกนิดเดียว”
กุญแจหลุดออก เธอมองข้อมือตัวเองอย่างลิงโลด
“เยส”
ณัฐชาคว้าปืนของตนที่โดนริบไว้ก่อนหน้านี้ แล้วถลาเข้ามาหาฤทธิ์
“คุณโทมัส เราต้องไปกันแล้ว”
ฤทธิ์ฟื้นในสภาพอ่อนแรง
“ณัฐชา”
“แข็งใจเอาไว้ ฉันจะพาคุณไปหาหมอ พวกเขาต้องมีทางช่วยคุณแน่”
ณัฐชาประคองฤทธิ์ลุกขึ้น อีกฝ่ายอ่อนล้าเกินกว่าจะโต้แย้งหรือออกความเห็นใดๆ

ณัฐชาประคองฤทธิ์มาที่หน้าบ้านและเห็นนักรบพรายพิฆาตสองนายยืนเฝ้าอยู่ ก็รีบหลบซุ่ม
“ทำไมวันนี้มียามด้วยล่ะเนี่ย ทุกทีไม่มีนี่นา...รอก่อนนะ ฉันจัดการพวกมันเอง”
ณัฐชาประคองฤทธิ์ให้ยืนพิงผนังออกไป ก่อนจะสูดลมหายใจเตรียมพร้อมแล้วโผล่หน้าไปจะย่องไปจัดการทหารยาม แต่แล้วเท้าก็ดันเหยียบเศษกระเบื้องเข้าเสียก่อน นักรบพรายพิฆาตได้ยินเสียงก็หันมาเล็งปืนใส่
“เฮ้ย แกออกมาได้ยังไง”
ณัฐชาไม่ทันพูดอะไร ก็มีเงาดำพุ่งผ่านนักรบพรายพิฆาตทั้งสองนาย พวกมันถูกฆ่าอย่างรวดเร็วก่อนจะล้มไปกับพื้น เผยให้เห็นร่างของกรณ์กับเอมี่ที่ยืนอยู่เบื้องหลัง กรณ์ยิ้มเย็น
“เจอกันอีกแล้วคุณตำรวจ”
“กรณ์ เอมี่”
เอมี่ยิ้มให้ณัฐชาซึ่งเป็นคู่ปรับของเธออย่างเหี้ยมเกรียม
“แล้วเพื่อนเก่าของผมอยู่ที่ไหน”
“แกหมายถึงใคร”
เอมี่จ้องหน้า
“อย่าแกล้งเซ่อน่าผู้หมวด เรามานี่ก็เพราะต้องการชีวิตของ ฤทธิ์ ราวี ไม่ใช่คุณ”
ฤทธิ์ที่ยืนซุ่มอยู่ข้างในได้ยินเช่นนั้นก็ตัดสินใจเดินโผเผออกมาอย่างอ่อนล้า
“ฉันอยู่นี่”
ณัฐชาตกใจที่ฤทธิ์ยอมโผล่ออกมาง่ายๆ ขณะที่กรณ์กับเอมี่ยิ้มออกมาอย่างสะใจ
เมื่อฤทธิ์แสดงตัวต่อหน้ากรณ์ เอมี่ และณัฐชาพากันอึ้ง
“โทมัส”
“คุณไปซะ ทางนี้ผมจัดการเอง”
กรณ์มองหยัน
“จัดการเหรอ เฮอะ สภาพแกตอนนี้จะยืนยังไม่ไหวเลยด้วยซ้ำ”
เอมี่ยิ้มเหยียด
“ผู้หมวด คุณนี่มันห้าวไม่ยอมเลิกจริงๆ ไม่เจียมสังขาร”
ฤทธิ์มองหน้ากรณ์
“นี่เป็นเรื่องระหว่างแกกับฉัน คนอื่นไม่เกี่ยว”
ฤทธิ์จ้องกรณ์อย่างท้าทาย ขณะที่ณัฐชามองปืนพกของตัวเอง ปืนธรรมดาคงเล่นงานสองคนนี่ไม่ไหวแน่ เธอเหลือบมองไปที่ปืนกลของนักรบพรายพิฆาตที่นอนตายอยู่
“เอมี่จัดการ” กรณ์ออกคำสั่ง
“โทมัสหลบ”

ณัฐชาฉุดแขนฤทธิ์หลบไปและพลิกตัวถีบเอมี่จนเซไปหลายก้าว ก่อนที่ตัวเธอจะใช้เท้าเตะปืนกลขึ้นมาถือไว้และกราดยิงใส่กรณ์กับเอมี่ทันที ทั้งสองคนรีบหลบเป็นพัลวัน เพราะต่อให้ร่างกายเป็นอมตะแต่การยืนรับกระสุนชุดใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องสมควร ณัฐชาตวัดปืนกลสาดกระสุนเหมือนตวัดดาบ กรณ์กับเอมี่ต่างพลิกตัวหลบ ณัฐชาสาดจนกระสุนหมด
“มาทางนี้”
ณัฐชาโยนปืนทิ้ง ฤทธิ์พาเธอหนีไปข้างใน

ศพนักรบพรายพิฆาตนายหนึ่งนอนตายอยู่คารถที่จอดด้านหลังบ้าน ศีรษะซบกับพวงมาลัยมีเลือดไหลโกรก ณัฐชาเมื่อพาฤทธิ์มาถึงก็รีบเปิดประตูแล้วกระชากศพมันออกมาทันที กรณ์กับเอมี่เพิ่งตามมาถึงและเห็นณัฐชาขับรถพาฤทธิ์หนีไปแล้ว เอมี่รีบคว้าวิทยุขึ้นมาส่งข่าว
“มันกำลังออกไป”
ณัฐชากำลังขับรถพาฤทธิ์หนีมา เมื่อเหลียวมองกลับไปก็เห็นถนนว่างเปล่า
“พวกมันไม่ได้ตามเรามา เรารอดตายแล้ว”
ฤทธิ์มองหน้าณัฐชาด้วยความสังหรณ์ใจ ทันใดนั้นวัฒน์ที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ก็โดดลงมาบนหลังคารถโครม
“มันอยู่ข้างบน”
วัฒน์ชักดาบซามูไรแทงทะลุหลังคารถลงไปข้างล่าง คมดาบเฉี่ยวแขนณัฐชาจนร้องกรี๊ดลั่น
“ณัฐชา”
ฤทธิ์ชักปืนพกของณัฐชากระหน่ำยิงใส่หลังคารถ จนถูกวัฒน์กลิ้งตกไปฝุ่นตลบ แต่จังหวะนั้นเองยักษ์ก็โผล่มาขวางกลางถนนแล้วใช้ปืนกลกราดยิงใส่รถของณัฐชาจนพรุน ฤทธิ์รีบโผเข้ากอดบังร่างณัฐชาเอาไว้
“หมอบลง”
รถถูกยิงจนยางระเบิดเสียหลักตกลงข้างทาง ยักษ์เปิดประตูรถแล้วกระชากร่างของฤทธิ์พรวดเดียวออกมากลิ้งกับพื้น มันส่องปืนเตรียมระเบิดสมองของเขาทิ้ง แต่แล้ววัฒน์ก็ตามมาเห็นเข้าเสียก่อน
“เดี๋ยวก่อน”
“ทำไม”
วัฒน์ย่อตัวลงดูบาดแผลถูกยิงที่หลังของฤทธิ์ ซึ่งเกิดจากการเอาตัวบังร่างณัฐชาเอาไว้
“ก็ไหนว่ามันป่วยอยู่ แล้วนี่อะไร”
ยักษ์มองสักพัก
“มันรักษาตัวเองได้ พลังของมันกลับมาแล้ว”
ณัฐชาจวนเจียนหมดสติ ภาพสุดท้ายที่เห็นคือยักษ์แบกฤทธิ์ขึ้นบ่า แล้วพาเดินจากไปพร้อมกรณ์ โดยไม่ได้สนใจเธอเลย

กรณ์กับเอมี่กลับมาถึงฐานทัพก่อนล่วงหน้า
“ตอนนี้นักสู้มหากาฬอยู่ในมือเราแล้ว ศัตรูที่เหลือก็มีแต่พรายพิฆาตเท่านั้น”
ลุงโจเข้ามารายงาน
“หัวหน้า เราได้ข่าวของพวกมาดามหลิว”
เอมี่แปลกใจ
“ใคร”
“นังเด็กโคลนนิ่ง ยังไม่ตาย มันขนเครื่องไม้เครื่องมือไปเพียบ ท่าทางเหมือนจะค้นคว้าอะไรบางอย่าง”
“คู่ปรับของลุงอยู่แล้วนี่ จัดการซะสิ”
กรณ์ว่าแล้วปลีกตัวนำเอมี่ไปอีกทางหนึ่ง ลุงโจยิ้มสะใจ
“ย่อมได้”

ในสุสานรถ มีรถบรรทุกของบริษัทมาดามหลิวจอดซ่อนอยู่ ที่ตู้คอนเทรนเนอร์ท้ายรถ โซเฟียเปิดกล้องบันทึกภาพผ่านทางคอมพิวเตอร์ เธอสวมหน้ากากป้องกันเชื้อโรค สวมถุงมือและแว่นกันเปื้อนขณะทดลองเติมสารใส่หลอดทดลอง
“21 มีนาคม 2556 การเพาะเชื้อไวรัสจากเลือดของฤทธิ์ราวีผ่านพ้นไปด้วยดี ฉันตัดแต่งพันธุกรรมของมันให้ออกฤทธิ์รุนแรงกว่าเดิมหลายเท่า และกำลังหาทางแปรสภาพของมันเพื่อใช้
เป็นอาวุธสังหาร”
โซเฟียหยดสารในมือลงในหลอดทดลอง
“ถ้าทำให้เป็นผงแบบเดียวกับเชื้อแอนแทรกซ์ แล้วใช้ร่วมกับระเบิดได้เมื่อไหร่ พวกมนุษย์กลายพันธุ์จะต้องล้มตายกันหมด ในขณะที่มนุษย์ปกติทุกคนจะปลอดภัย”
โซเฟียมัวแต่สนใจหลอดทดลองโดยไม่ทันสังเกตภาพจากกล้องวงจรปิดเลยว่ามีรถกระบะของลุงโจขับเข้ามาในบริเวณสุสานรถ
ลุงโจกับบรรดาสมุนถือปืนลงจากรถแล้วพุ่งเข้าที่กำบัง ทั้งหมดมองไปที่รถบรรทุกของบลูฟินิกซ์
“รถของบริษัทมาดามหลิว นังโง่เอ๊ย ซ่อนแค่นี้คิดเหรอว่าจะหนีพ้น...เปิดประตู แล้วยิงถล่มมันเลย”

พวกสมุนรีบทำตามคำสั่ง กรูกันไปที่รถบรรทุกทันที

โซเฟียง่วนอยู่กับการดูหลอดทดลอง ส่องกล้องจุลทรรศน์โดยไม่รู้ว่าสมุนลุงโจได้บุกมาแล้ว จู่ๆไฟก็หรี่แสงลง เครื่องฉายภาพได้ฉายภาพจำลองเสมือนจริงของมาดามหลิวออกมา
“โซเฟีย ระวัง มีผู้บุกรุก”
โซเฟียหันขวับมองไป

พวกสมุนชุดหนึ่งซุ่มซ้ายขวาคอยทำหน้าที่เปิดประตู ส่วนอีกชุดถือปืนพร้อมยิงถล่ม ลุงโจเข่นเขี้ยวมองอย่างรอลุ้น ชูมือขึ้นเพื่อเตรียมให้สัญญาณ...โซเฟียเปิดตู้คว้าอาวุธปืนและเครื่องกระสุนออกมาเตรียมพร้อม ลุงโจฟันมือฉับให้สัญญาณ พวกสมุนเปิดประตูผาง…และเจอโซเฟียถือปืนรออยู่ โซเฟียแผดร้องก่อนจะกระหน่ำยิงใส่พวกมันไม่ยั้ง ลุงโจหน้าตื่น
“เฮ้ย มันรู้ตัว”
พวกสมุนพยายามยิงตอบโต้ แต่ด้วยอานุภาพของน้ำตามัจจุราชทำให้โซเฟียยังคงปักหลักยิงได้อย่างกล้าแกร่ง ขณะที่พวกมันโดนยิงเข้าที่หัวล้มไปทีละคน ลุงโจแปลกใจ
“ทำไมมันอึดแบบนี้วะ หรือว่า…”
ลุงโจจำได้ว่าเคยฆ่าโซเฟียไปครั้งหนึ่งแล้วเขาพึมพำออกมา
“น้ำตามัจจุราช แบบนี้มันต้องเจอไม้ตาย”
ลุงโจงัดระเบิดไปป์บอมบ์ออกมาปลดสลัก
“ทุกคนหลบไป”
พวกสมุนรีบกระจายกันหนี ลุงโจปาระเบิดมาตกที่ท้ายรถพอดี แรงระเบิดอัดตูมจนร่างโซเฟียกระเด็นลอยละลิ่วไปชนโต๊ะทดลอง และมันคงเป็นคราวเคราะห์ของเธอที่หลอดทดลองซึ่งวางอยู่บนที่ตั้งดันล้มลงมาจนไวรัสในหลอดหกกระจาย ไวรัสแค่หยดเดียว…หยดเดียวเท่านั้น…หยดใส่ตาโซเฟียพอดี โซเฟียกรีดร้องโหยหวนดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวด ขณะที่ลุงโจกับพวกสมุนรีบขึ้นมาบนรถ
“เสร็จข้าจนได้ นังเด็กหลอดแก้ว ตายซะเถอะ”
โซเฟียแข็งใจคว้าปืนหันมายิงแลกกระสุนกับลุงโจและสมุน ลุงโจโดนยิงเข้าเต็มๆแต่ยังแข็งใจยิงสวน ฝ่ายโซเฟียก็ถูกยิงเช่นกันแต่ยังตะเบ็งเสียงร้องและกระหน่ำยิงจนกระสุนหมดเกลี้ยง กระทั่งลุงโจโดนยิงแสกหน้าตายคาที่ โซเฟียลดปืนลง ตาข้างหนึ่งของโซเฟียที่ถูกไวรัสได้เปลี่ยนสีไปแล้ว ผิวเนื้อรอบๆดวงตาเริ่มมีอาการอักเสบอย่างรุนแรง

ห้องว่างในโรงงานชำแหละเนื้อ ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นห้องผ่าตัด ร่างของฤทธิ์ถูกพันธนาการอยู่บนเตียงโดยสมุนของกรณ์ ขณะที่เอมี่และกรณ์กำลังจับตาดูอยู่
“บอกฉันสิว่าแกไม่กลัวตาย” กรณ์กระชากเสื้อฤทธิ์แล้วเงื้อมีดขึ้น
“ไม่...ฉันกลัวอย่างเดียว ก็คือก่อนตานยังฆ่าแกไม่สำเร็จ”
“งั้นเหรอ”
กรณ์กรีดมีดใส่อกจนฤทธิ์ต้องกัดฟันคำรามในคออย่างดุดัน แผลของฤทธิ์หายเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เอมี่เข้ามาดูด้วยความประหลาดใจ
“น่าสนใจมาก ใช้การกลายพันธุ์เอาชนะไวรัสของพรายพิฆาต นี่ถ้าพวกเราทำได้แบบมัน ไวรัสนั่นก็หมดพิษสง”
“มันเสี่ยงเกินไป อย่าลืมสิว่าไอ้หมอนี่ มันแตกต่างจากพวกเรามันเกิดมาเพื่อน้ำตามัจจุราชโดยเฉพาะ”
“ต้องขอบใจพวกแกที่ทำให้ฉันเป็นแบบนี้”
กรณ์ยิ้มให้ฤทธิ์เหี้ยมๆ เอมี่รีบทักท้วงก่อนที่จะเลยเถิดกว่านี้
“หมอนี่มันตัวอันตราย เราต้องฆ่ามันก่อนแล้วค่อยศึกษาเรื่องนี้ทีหลัง”
กรณ์พยักหน้ารับ
“ชำแหละมัน แล้วเก็บอวัยวะทุกส่วนเอาไว้”
“ค่ะหัวหน้า”
เอมี่มองไปที่ฤทธิ์อย่างเหี้ยมเกรียม ขณะที่ฤทธิ์มองหน้ากรณ์อย่างไม่หวาดหวั่น
กรณ์สบตากับฤทธิ์ อดีตเพื่อนรักทั้งสองมีบางอย่างที่ต้องพูดกัน

รถแท็กซี่แล่นออกไป ณัฐชายืนมองอาคารกองปราบอย่างอ่อนล้า แม้แต่เธอเองก็คิดไม่ถึงว่าจะหายหน้าไปนานขนาดนี้
ในห้องประชุม...เทปข่าวในทีวีเห็นคนที่ติดยาน้ำตาสวรรค์กำลังคลุ้มคลั่ง จับตัวคนเป็นตัวประกันบ้าง กัดกินคนหรือสัตว์บ้าง
“ในช่วงที่ผ่านมายาเสพติดที่มีชื่อว่าน้ำตาสวรรค์ได้แพร่ระบาดอย่างหนัก เพราะมีราคาถูกและออกฤทธิ์แรงกว่ายาเสพติดทั่วไป จนเป็นเหตุให้มีคนใช้ยาตัวนี้จนเกินขนาดและเกิดอาการคลุ้มคลั่งปรากฏให้เห็นทุกสัปดาห์ บางคนถึงขนาดอาละวาดกัดกินสัตว์เลี้ยง ไปจนถึงผู้คนที่อยู่รอบข้าง ในขณะที่ผู้เสพอีกหลายคนหายตัวไปอย่างลึกลับ โดยทางครอบครัวเชื่อว่าถูกชักจูงให้ไปเข้าร่วมกับองค์กรลึกลับที่มีชื่อพรายพิฆาต ซึ่งลือกันว่าเป็นผู้ผลิตยาตัวนี้”
ทีวีดับวูบลง เมธาเป็นคนกดรีโมทปิดภาพเทปข่าว...เขากำลังประชุมกับบรรดาตำรวจที่รับผิดชอบคดีพรายพิฆาตอยู่
“จากข่าวนี้ทุกคนคงเห็นแล้วว่าน้ำตาสวรรค์กำลังแพร่ระบาดอย่างรุนแรงแค่ไหน ปัญหาใหญ่ไม่ได้อยู่ที่คนคลั่งจากการใช้ยา แต่อยู่ที่คนเหล่านั้นกลายไปเป็นแนวร่วมของพรายพิฆาต ซึ่ง
หน่วยข่าวกรองของเราแจ้งว่า พวกมันมีแผนที่จะซื้ออาวุธสงครามจำนวนมหาศาลเพื่อมาใช้ในการก่อการร้าย”
ระหว่างนั้นสิงหาก็เข้ามากระซิบเตือนเมธาให้ดูอะไรบางอย่าง
“ท่านครับ”
เมธามองไป ทำเอาผู้ร่วมประชุมมองตามไปด้วย เห็นณัฐชายืนอยู่ในสภาพมอมแมม
“ผู้หมวด” เมธาอึ้ง

ณัฐชากวาดตามองทุกคน ที่มองเธอราวกับเห็นคนตายกลับมาเดินได้อีกครั้ง

นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 13 (ต่อ)

เมธากับสิงหา หารือและรับฟังข้อมูลจากณัฐชา
“ตกลงคุณจะทำงานให้สำนักงานตำรวจ หรือนักสู้มหากาฬกันแน่ผู้หมวด”
“ได้โปรดเถอะค่ะท่าน ถ้าพวกเราไม่ช่วยนักสู้มหากาฬตอนนี้ ต่อไปเราจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ”
เมธาเหนื่อยใจที่จะเถียง เขามองไปทางสิงหาอย่างขอความช่วยเหลือ สิงหาออกหน้าแทน
“คิดถึงเหตุผลบ้างสิผู้หมวด นักสู้มหากาฬถึงเก่งแค่ไหนก็มีแค่คนเดียว เขาคนเดียวจะช่วยอะไรเราได้ ที่สำคัญคุณเป็นคนพูดเองนะว่าเขายังไม่หายป่วย”
เมธาเสริม
“เขาไม่มีประโยชน์สำหรับงานของเรา”
ณัฐชาพยายามแย้ง
“แต่เขาเคยช่วยพวกเราสู้กับพรายพิฆาตนะคะ เคยช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้”
“นี่มันเรื่องงานนะผู้หมวดไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ที่คุณหายหน้าไปเป็นอาทิตย์ ผมไม่สั่งลงโทษคุณทางวินัยก็บุญเท่าไหร่แล้ว ตอนนี้เรากำลังขาดคนอยู่ ดังนั้นคุณต้องกลับมาทำงาน โดยเร็วที่สุด”
สิงหาจ้องหน้า
“หรือถ้าไม่พอใจ ก็ลาออกไปซะ”
ณัฐชาอึ้งไป

ณัฐชากลับออกมาจากห้องทำงานของเมธาในสภาพเคร่งเครียด ไมตรีกับปรีดายืนดักรออยู่
“ผู้หมวด...ผู้หมวดจะเอายังไงต่อครับ” ไมตรีถาม
“ถ้ามีอะไรให้ช่วยบอกเราได้นะครับผู้หมวด” ปรีดาเสนอตัว
“พวกนายได้ข่าวโซเฟียบ้างรึเปล่า”
“คนสนิทของมาดามหลิวน่ะเหรอครับ” ไมตรีถาม
ณัฐชาพยักหน้า
“ฉันต้องรีบตามหาเธอ มีแต่เธอที่ช่วยฉันได้”
ปรีดารับปาก
“ไม่ต้องห่วงครับหมวดเรื่องนั้นเราจะจัดการให้ ว่าแต่ผู้หมวดจะไม่กลับไปพักหน่อยเหรอครับ”
“ขอเรียนตามตรงครับผู้หมวด ตอนนี้สภาพผู้หมวด...เยินมากครับ” ไมตรีเสริม

ณัฐชากลับมาที่คอนโด เธออาบน้ำเสร็จแล้วนั่งเหม่อเพลียอยู่บนเตียง ทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง
“ไม่มีนักสู้มหากาฬ ก็จะไม่มีคนรับมือพรายพิฆาตสักวัน เมืองนี้จะต้องลุกเป็นไฟแน่”
ณัฐชาเต็มไปด้วยความกังวล

ฤทธิ์ยังถูกมัดอยู่บนเตียง และมีเพียงกรณ์ที่เฝ้าเขาอยู่ตามลำพัง
“ในที่สุดก็มีวันนี้จนได้ บอกตามตรงนะเพื่อน ฉันคิดไม่ถึงเลย ว่าการฆ่าแกมันจะต้องใช้เวลานานขนาดนี้”
“แกคงสะใจมากสิท่า ที่ได้ฆ่าฉันเป็นครั้งที่สอง”
“เรียกว่าโล่งใจจะดีกว่ามั๊ง เพราะสำหรับฉัน แกมันคือตัวอับโชค มีชีวิตอยู่เพื่อสร้างความหายนะให้กับฉัน”
“วันนี้แกอาจชนะฉันได้ไอ้กรณ์ แต่ชัยชนะมันคงอยู่กับแกอีกไม่นาน”
“ทำไม”
“มันเป็นกฎของธรรมชาติ สุดท้ายธรรมะย่อมชนะอธรรมเสมอ พระเจ้าไม่เคยเข้าข้างคนผิด”
“แต่ก่อนคงใช่ แต่ตอนนี้ฉันกำลังจะสร้างโลกใหม่ขึ้นมา โลกที่มีฉันเป็นอมตะอยู่ค้ำฟ้า โลกที่มีฉันเป็นพระเจ้า...โลกที่อธรรมเป็นฝ่ายปกครอง”
ฤทธิ์กับกรณ์มองหน้ากันอย่างไม่พอใจ

ไอริณกับราเมศเดินมาดูศพนักรบพรายพิฆาตที่ถูกฆ่าตาย
“เรามาสายจนได้ ป่านนี้ฤทธิ์ ราวีคงตายไปแล้ว” ราเมศหน้าเครียด
“ยังไม่แน่ เพราะถ้าพวกมันจะฆ่าเขา เราคงต้องเจอศพอยู่แถวนี้”
“หรือนักสู้มหากาฬอาจจะมีประโยชน์สำหรับพวกมัน”
ไอริณหลับตาลงและใช้นิ้วแตะที่ขมับเพื่อเพ่งกระแสจิตมองหาฤทธิ์ ราวี สายตาไอริณที่มองด้วยญาณทิพย์ เธอเห็นฤทธิ์ราวีถูกมัดอยู่ในโรงงานชำแหละเนื้อ รายรอบด้วยอุปกรณ์ผ่าตัด ไอริณลืมตา
“พวกมันกำลังชำแหละเขา”
ราเมศอึ้งไป

ณัฐชานอนหลับอยู่บนเตียงด้วยความอ่อนล้า สภาพยังสวมเสื้อคลุมอาบน้ำอยู่ แต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งดังก้องขึ้นในโสตประสาทของเธอ เป็นเสียงของไอริณนั่นเอง
“ผู้หมวด...ผู้หมวด คุณต้องมากับฉัน ฉันรู้แล้วว่าฤทธิ์ ราวีอยู่ที่ไหน”
ณัฐชาลืมตาขึ้น

ไมตรีกับปรีดานำข่าวจากณัฐชามารายงานสิงหากับเมธา
“แน่ใจรึเปล่าว่าข้อมูลเชื่อถือได้” สิงหาไม่ค่อยวางใจ
“ผู้หมวดณัฐชายืนยันว่าล้านเปอร์เซ็นต์ครับ นักสู้มหากาฬถูกขังอยู่ในรังของพรายพิฆาตรุ่นใหม่” ไมตรีรายงาน
เมธาแปลกใจ
“มีรุ่นใหม่รุ่นเก่าด้วยเหรอ”
“คือพวกมันหักหลังกันเองครับ พวกรุ่นใหม่ตอนนี้กำลังเป็นฝ่ายนำ” ปรีดาอธิบาย
สิงหาคิดตาม
“แปลว่าพรายพิฆาตตัวจริงที่หมดอำนาจไปแล้วเป็นคนให้ข่าวนี้ เพื่อให้เราไปจัดการกับศัตรู แบบนี้มันหลอกใช้กันนี่หว่า”
เมธาเห็นด้วย
“นั่นสิ แล้วนักสู้มหากาฬนั่นก็กำลังป่วยอยู่ เราจะช่วยเขาไปเพื่ออะไร ในเมื่อเขาไม่มีค่าอีกแล้ว”
“เอ่อ”..สรุปจะงอมืองอเท้า จะไม่ทำอะไรเหรอครับท่าน” ไมตรีพูดลอยๆ
สิงหาปราม
“นี่จ่า พูดจาให้ระวังปากหน่อยนะ แล้วไปบอกผู้หมวดณัฐชาด้วย ให้อยู่ห่างๆเรื่องนี้”
เมธาเสริม
“ใช่...ปล่อยให้พวกตัวประหลาดมันสู้กันเอง เราไม่หลงกลหรอก”
ไมตรีกับปรีดามองหน้ากันอย่างหนักใจ

ไมตรีกับปรีดาเดินออกมาปรึกษากัน
“แล้งน้ำใจ ใจจืด ใจดำที่สุด” ปรีดาบ่น
ไมตรีปราม
“ไปว่าเจ้านาย เดี๋ยวก็โดนเด้งหรอกหมู่”
“ก็มันจริงนี่จ่า เอาแต่ได้ ได้แต่เอา เอาแล้วเอาอีก”
“เฮ้ยๆพูดเบาๆ เดี๋ยวชาวบ้านเขาจะเข้าใจผิด เอาอะไร”
“ก็เอาแต่ผลประโยชน์ไงจ่า นักสู้มหากาฬเคยช่วยเราตั้งหลายครั้ง แต่พอเขาเดือดร้อนเรากลับอยู่เฉยๆเอาแต่ได้ ได้แต่เอา เอาแล้วเอาอีก”
ไมตรีส่ายหัว
“เอ่อ...เอาเข้าไป พอเหอะหมู่ ผมว่าเรารีบโทรบอกผู้หมวดก่อนดีกว่าว่าเกิดอะไรขึ้น...เอามั้ย”
ปรีดาพยักหน้า
“เอา”

ณัฐชากระวีกระวาดจะออกไปข้างนอกเพื่อปฏิบัติภารกิจ ระหว่างนั้นก็คุยโทรศัพท์ไปด้วย
“นึกแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ นี่จะรอให้คนร้ายมันฆ่ากันเองก่อนหรือไง ถึงค่อยออกโรง” เธอหยุดทำใจด้วยความหงุดหงิด “ช่างเหอะจ่า เรื่องนี้เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
ณัฐชาวางสายแล้วจะเดินต่อ แต่แล้วก็มีคนส่ง SMS เข้ามา
“อะไรอีกเนี่ย”
ณัฐชาเปิดดูแล้วอึ้งไป
“โซเฟีย”

เอมี่เข้ามาในห้องพยาบาลซึ่งฤทธิ์ถูกพันธนาการอยู่
“ข่าวดีผู้หมวด เราไม่มียาสลบ ไม่มีมอร์ฟีน ไม่มีอะไรบรรเทาความเจ็บปวดให้คุณระหว่างการผ่าตัด แต่เรามีน้ำตามัจจุราชที่ผสมยาเสพติด หรือที่ใครๆเรียกว่าน้ำตาสวรรค์เป็นกระตัก...เราจะฉีดให้คุณ เพื่อไม่ให้คุณทุรนทุรายเกินเหตุระหว่างโดนเจี๋ยน”
ฤทธิ์กลอกตามองเอมี่ ฉับพลันนั้นเอมี่ก็ปักเข็มฉีดยาใส่อกเขาทันทีจนอีกฝ่ายถึงกับผงะ แววตาของฤทธิ์เห็นใบหน้าของมาดามหลิวปรากฏขึ้น
“อดทนไว้โทมัส ถึงพวกมันจะไม่เชื่อ แต่ฉันเชื่อในสิ่งที่เธอพูดธรรมะจะต้องชนะอธรรม เธอจะต้องยืนหยัดอีกครั้ง”

ศพของลุงโจถูกโซเฟียลากมากองรวมกับนักรบพรายพิฆาตคนอื่นๆ โซเฟียเหลือบเห็นกระเป๋าสะพายของลุงโจก็ลองค้นดูด้วยความสงสัย และพบว่ายังมีระเบิดไปป์บอมบ์เหลืออยู่อีกหลายลูก โซเฟียจึงเก็บกระเป๋านั้นไปด้วย แต่ระหว่างที่เดินกลับไปที่รถ โซเฟียมีอาการอ่อนล้าจนถึงกับทรุดไป เธอก้มดูบาดแผลที่ถูกยิงและพบว่ามันยังมีเลือดไหลอยู่ โซเฟียพึมพำ
“แผลไม่ยอมสมานตัว แสดงว่าไวรัสนั่น…”

โซเฟียส่องดูกระจกและเห็นโฉมหน้าซีกหนึ่งของเธอเริ่มเสียโฉมเพราะพิษของไวรัส ที่กำลังแผ่กระจายอยู่รอบๆดวงตา โซเฟียสะอื้นออกมา ภาพจำลองเสมือนจริงของมาดามหลิวปรากฏขึ้น
“โซเฟีย”
“มาดาม คราวนี้ฉันคงไม่รอดแน่ ไวรัสมันกำลังฆ่าฉัน”
“เธอยังมีโอกาสรอดนะโซเฟีย ถ้าเธอทำแบบเดียวกับโทมัส แค่ใช้น้ำตามัจจุราชซ้ำอีกครั้ง”
โซเฟียส่ายหน้าร้องไห้
“ไม่...ฉันทนรับสภาพนี้ต่อไปไม่ได้แล้วมาดาม ฉันอยากไปอยู่กับคุณ ฉันไม่อยากกลายเป็นอมนุษย์เหมือนสาวกของพรายพิฆาต”
“เธอไม่มีวันเป็นเหมือนพวกนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเธอจะเป็น เหมือนลูกสาวของฉันเสมอ
โซเฟียเงยหน้ามองภาพเสมือนจริงของมาดามหลิว ก่อนจะเดินไปยื่นมือเพื่อสัมผัสมัน แต่ก็คว้าได้เพียงแค่ในจินตนาการ
“มาดาม”

ณัฐชาขี่มอเตอร์ไซด์มาถึงและพบศพของลุงโจกับนักรบพรายพิฆาตนอนตายเกลื่อนกลาด
“คุณพระช่วย...โซเฟีย”

ณัฐชารีบวิ่งไปที่รถบรรทุก

ณัฐชาขึ้นมาบนตู้คอนเทรนเน่อร์ท้ายรถบรรทุกแล้วตะลึงงัน เมื่อเห็นโซเฟียนั่งหมดสภาพอยู่ เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล
“โซเฟีย นี่เธอ...”
“ผู้หมวดมานี่สิ”
โซเฟียหยิบกระเป๋าโลหะแบบมีสายสะพายใบหนึ่งส่งให้ณัฐชา
“นี่เป็นต้นแบบไวรัสที่จะใช้ทำลายพวกนักรบกลายพันธุ์ คุณต้องให้หน่วยงานของคุณแปรรูปมันเป็นอาวุธ”
“โซเฟียแข็งใจไว้ก่อนนะ ฉันจะตามคนมาช่วย”
“ไม่ต้องห่วงฉัน คนที่คุณต้องห่วงคือโทมัสต่างหาก”
ณัฐชาสลดวูบไปเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ โซเฟียแปลกใจ
“เกิดอะไรขึ้น โทมัสอยู่ที่ไหน”
ณัฐชามองโซเฟียอย่างลังเล

เอมี่เห็นฤทธิ์กำลังสะลึมสะลือเพราะฤทธิ์ยา ก็หันไปบอกกับสมุน
“มันนิ่งไปแล้ว เตรียมตัวผ่าได้เลย” เอมี่หันมาหาฤทธิ์ “ไม่ต้องห่วงนะผู้หมวด ศพของคุณฉันจะแช่ฟอร์มาลีนเป็นพิเศษ ตับไตไส้พุงของคุณจะถูกเก็บเป็นอย่างดีเพื่อการค้นคว้า และอีกไม่นานพวกเราจะได้รู้ซะทีว่า ทำไมร่างกายของคุณถึงตอบสนองกับน้ำตามัจจุราชได้ดีกว่าคนอื่นๆ”
ฤทธิ์กัดฟันข่มกลั้นความเจ็บปวด และในเวลานั้นทำให้เขามองเห็นภาพตัวเองในอดีต...ตอนที่เขาเสียชีวิตครั้งแรกนั้น มีคราบน้ำตามัจจุราชแปดเปื้อนบนบาดแผล ขณะที่น้ำซึ่งหยดจากผนังถ้ำหยดลงมามันเป็นตัวทำละลายให้น้ำตามัจจุราชซึมเข้าสู่ร่างกายของเขาเร็วขึ้นและแร่ธาตุจากหินงอกหินย้อยที่ปะปนมาด้วยช่วยให้มันออกฤทธิ์ดีกว่าปกติหลายร้อยเท่า ใบหน้าฤทธิ์ยังได้ยินแต่เสียงของมาดามหลิววนเวียนไปมาแต่ประโยคเดิม
“ธรรมะ ย่อมชนะอธรรม ธรรมะย่อมชนะอธรรม”
ฤทธิ์มองเห็นภาพการต่อสู้ที่ผ่านมาของตน เห็นภาพผู้คนมากมายที่ล้มตายในการต่อสู้เหล่านั้น เห็นภาพวาดบนผนังโบสถ์ที่เขากับณัฐชาเคยไปเที่ยวด้วยกัน เป็นภาพที่พูดถึงการเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์ เสียงมาดามหลิวยังคงดังเข้ามา
“ธรรมะ ย่อมชนะอธรรม...ธรรมะย่อมชนะอธรรม”
เอมี่สวมถุงมือยางเสร็จก็คว้ามีดผ่าตัดขึ้นมาจ่อที่ท้องของฤทธิ์
“อดทนไว้ผู้หมวด มันเจ็บแค่ไม่นานหรอก”
เอมี่แทงมีดลงไปเพื่อเปิดท้องของฤทธิ์ เลือดทะลักออกมาเจิ่งนอง ฉีดกระเซ็นเปื้อนหน้าทั้งฤทธิ์และเอมี่
“เตรียมตัวตายได้แล้ว”
ฤทธิ์แผดร้องด้วยความเจ็บปวด ดวงตาของเขาเรืองแสงวาวโรจน์ขึ้นมาอีกครั้งทำเอาเอมี่และเหล่าสมุนพากันตกตะลึง
“อะไรกันเนี่ย”
ฤทธิ์คำรามก่อนจะกระชากแขนหลุดจากพันธนาการ เขาเหวี่ยงหมัดชกสมุนของเอมี่คนหนึ่งจนร่างของมันกระเด็นลอยละลิ่วไปกระแทกผนังขาดใจตายคาที่ เอมี่ตื่นตะลึง
“แย่แล้ว เผ่นเร็ว”
เอมี่กับสมุนรีบเผ่น ขณะที่ฤทธิ์ลุกขึ้นนั่ง เขากระชากมีดผ่าตัดที่ปักอยู่คาท้องทิ้งไป ก่อนจะคำรามด้วยความโกรธแค้น ผิวกายเแปรสภาพไปอีกครั้งเพราะอำนาจการกลายพันธุ์

รถบรรทุกแล่นมาจอดในระยะที่ห่างจากโรงงานชำแหละเนื้ออยู่หลายกิโลเมตร แต่สามารถมองเห็นได้จากมุมสูง ณัฐชาเป็นคนขับรถ เธอหันมามองโซเฟียที่มีท่าทางอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด
“ที่นี่เหรอ”
ณัฐชาพยักหน้า
“ใช่...พรายพิฆาตบอกว่าพวกมันขังโทมัสไว้ข้างใน”
“แล้วเราจะเชื่อพรายพิฆาตได้ยังไง”
“คราวก่อนเขาเคยช่วยฉันกับโทมัสเอาไว้ เขาบอกว่าเพราะตอนนี้เรามีศัตรูร่วมกัน”
“แล้วเขาจะเอายังไง”
“เราต้องล่อพวกกรณ์เอาไว้ ระหว่างนั้นเขาจะชิงตัวโทมัสออกมา” ณัฐชามองสักพัก “เดี๋ยวฉันไปดูลาดเลาก่อน เธอรออยู่ตรงนี้”
“ตกลง”
ณัฐชาโล่งใจเธอขยับลงจากรถ โซเฟียเรียกไว้
“ผู้หมวด”
ณัฐชาหันไปเห็นโซเฟียโยนกระเป๋าใส่ตัวอย่างไวรัสให้เธอ
“ชีวิตของคุณยังมีค่า แต่สำหรับฉันมันไม่มีความหมายอีกแล้ว”
ณัฐชาตกใจ
“โซเฟียอย่าทำอะไรบ้าๆนะ”
โซเฟียปิดประตูกดล็อก
“คุณต้องอยู่ต่อไปผู้หมวด ถ้ามีใครสักคนต้องพลีชีพ คนคนนั้นก็ควรจะเป็นฉัน”
“ไม่นะโซเฟีย อย่าทำแบบนี้ โซเฟีย”
ณัฐชาพยายามเปิดประตู แต่โซเฟียกลับออกรถจากไปโดยไม่ฟังเสียง
“โซเฟีย”
โซเฟียกัดฟันรวบรวมกำลังพร้อมสู้ตาย
“ขอโทษนะผู้หมวด แต่ฉันตัดสินใจแล้ว”

เท้าโซเฟียเหยียบคันเร่งจนมิด รถบรรทุกมุ่งหน้าไปที่โรงงานชำแหละเนื้ออย่างรวดเร็ว

ไอริณกับราเมศซ่อนตัวอยู่ที่พุ่มไม้แถวหน้าโรงงาน เห็นมีนักรบพรายพิฆาตสองสามนายยืนเวรยามอยู่
“ทำไมจนป่านนี้ณัฐชายังไม่มาหรือว่าเราต้องลงมือกันเอง” ราเมศร้อนใจ
ไอริณหันมองไปทางหนึ่งอย่างสังหรณ์ใจ
“มีคนมาแล้ว แต่ไม่ใช่ณัฐชา”
“แล้วใคร…”
ไอริณหลับตาเพ่งกระแสจิตสักพักก็ลืมตาขึ้น
“โซเฟีย”

ด้วยความสับสนอลหม่าน นักรบพรายพิฆาตโดนฤทธิ์ที่กำลังคลุ้มคลั่งไล่ฆ่าอย่างต่อเนื่อง บางคนพยายามยิงต่อสู้ แต่ฤทธิ์ก็หายตัวมาปรากฏข้างกายพวกมันแล้วลงมือฆ่าอย่างรวดเร็ว เอมี่ถอยร่นมาทางหนึ่งแล้วรีบสั่งการ
“ใช้ตาข่ายไฟฟ้า”
ตาข่ายไฟฟ้าถูกทิ้งคลุมร่างของฤทธิ์ กระแสไฟจำนวนมหาศาลถูกปล่อยออกมา ดวงตาของฤทธิ์ยิ่งเรืองแสงสว่างมากขึ้น เขาแผดร้องออกมาด้วยความโกรธ

ยักษ์วิ่งมารายงานกรณ์ที่อยู่กับวัฒน์อย่างร้อยรน
“หัวหน้า”
“เกิดอะไรขึ้น”
“ไอ้ฤทธิ์ราวี ตอนนี้มันคลั่งใหญ่แล้ว ฆ่าคนของเราเป็นเบือ”
วัฒน์อาสา
“หัวหน้า ผมจัดการมันเอง”
“ระวังตัวด้วย”
วัฒน์พยักหน้าก่อนจะรีบตรงไปจัดการฤทธิ์

ฤทธิ์ออกแรงกระชากตาข่ายไฟฟ้าอย่างบ้าคลั่ง ท่ามกลางสายตาของเอมี่และเหล่าสมุนที่มองอย่างตกตะลึง
“คุณเอมี่ ตาข่ายไฟฟ้าท่าทางจะเอาไม่อยู่แล้วครับ”
“ยิงมัน ถล่มมันตอนนี้เลย”
นักรบพรายพิฆาตพากันยิงใส่ แต่ฤทธิ์ก็กระชากตาข่ายไฟฟ้าจนขาดก่อนจะกระโจนมาทางเอมี่ เธอรีบชักปืนยิงสกัดเอาไว้ ทันใดนั้นร่างของฤทธิ์ราวีก็อันตรธานหายไป
“ฤทธิ์ ราวี แกอยู่ที่ไหน ออกมา” เอมี่อึ้ง
มีบางอย่างเคลื่อนไหวผ่านไป เอมี่รีบหันไปกระหน่ำยิงใส่โดยไม่ต้องมองให้แน่ใจก่อน

กรณ์ ยักษ์ และนักรบพรายพิฆาตอีกส่วนหนึ่งกำลังฟังเสียงปืนอยู่
“ผมว่าไอ้ฤทธิ์มันแปลกๆอยู่นะ พลังของมันดูเหมือนจะมากกว่าเดิมซะอีก” ยักษ์หันมาบอก
“คำตอบอยู่ที่การกลายพันธุ์รอบสองของมัน”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงรถบรรทุกใกล้เข้ามา ยักษ์เงี่ยหูฟัง
“เสียงรถบรรทุก...กำลังมาทางนี้”
กรณ์เอะใจหันไปเตือนสมุน
“ระวัง”
รถบรรทุกของโซเฟียพุ่งทะลวงเข้ามาในโรงงานชำแหละเนื้อ และชนนักรบพรายพิฆาตล้มตายไปหลายคน ขณะที่ทุกคนไม่ทันตั้งตัวนั้นโซเฟียก็ปีนไปบนหลังคารถอย่างรวดเร็ว
“โซเฟีย”
โซเฟียใช้ปืนกลที่สะพายอยู่กราดยิงไปรอบตัว

ณัฐชาวิ่งกระหืดกระหอบมุ่งหน้าไปที่โรงงานชำแหละเนื้อ พอได้ยินเสียงปืนเธอก็หยุดชะงักมองไป
“โซเฟีย”
ไอริณกับราเมศได้ยินเสียงการต่อสู้ของโซเฟียกับพรายพิฆาตดังอยู่ ราเมศมองไป
“เด็กของมาดามหลิว รนหาที่ตายชัดๆ”
“ช่างเถอะ รีบไปช่วยฤทธิ์ราวีก่อน”
ไอริณยกมือคว้าบ่าของราเมศก่อนจะหลับตา ร่างของทั้งคู่หายไปด้วยกัน

เอมี่กับนักรบพรายพิฆาต ถืออาวุธกวาดตามองไปรอบๆอย่างระวังตัว ไม่มีใครรู้ว่าฤทธิ์จะจู่โจมจากมุมไหน แต่แล้วฤทธิ์ก็โดดลงมาจากที่สูงและลงมือฆ่านักรบพรายพิฆาตที่เหลืออยู่อย่างรวดเร็ว เขาปัดอาวุธในมือเอมี่จนกระเด็นก่อนจะตะปบคอเธอเอาไว้
“ฤทธิ์ราวี อย่า…อย่าฆ่าฉัน” เอมี่ตกใจ
จังหวะนั้นเองดาบของวัฒน์ก็ถูกปามาทั้งฝัก ฤทธิ์หันไปคว้าไว้อย่างรวดเร็ว วัฒน์ชักดาบออกจากฝักแล้วฟันฤทธิ์จนเป็นแผล ฤทธิ์ปล่อยมือจากเอมี่
“เอมี่ หนีไป”
“วัฒน์”
วัฒน์ตะโกน
“หนี”
เอมี่ตัดสินใจวิ่งหนีไปทันที บาดแผลของฤทธิ์เริ่มหายเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เขาคำรามแล้วเดินเข้าหา วัฒน์กวัดแกว่งดาบเข้าจู่โจม แต่ฤทธิ์กลับแยกร่างเป็นหลายร่าง ก่อนจะโผล่มาเล่นงานวัฒน์ด้วยการจับทุ่มจนทะลุกำแพง เวลานั้นเองไอริณกับราเมศก็โผล่มาถึง
“อาการกำเริบอีกแล้ว เขากำลังคลุ้มคลั่ง” ราเมศตกใจ
ฤทธิ์หันมาเห็นไอริณกับราเมศเข้าก็พุ่งกระโจนเข้าใส่ทันที ไอริณยกฝ่ามือก่อนจะยิงคลื่นพลังกระแทกใส่ฤทธิ์เต็มๆ

อ่านต่อพรุ่งนี้ เวลา 09.30น.

นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 13 (ต่อ)

โซเฟียกราดยิงใส่พวกนักรบพรายพิฆาต ยักษ์ที่พยายามยิงตอบโต้ก็ถูกยิงสวนไปด้วย แต่โซเฟียเองก็ถูกยิงจนทรุดเช่นกัน ระหว่างที่โซเฟียกำลังทรุดลงกุมแผลนั้นเธอก็เห็นเท้าของกรณ์เดินมาตรงหน้า
“ไม่เลวนี่สาวน้อย จะแก้แค้นให้เจ้านายงั้นเหรอ”
โซเฟียเงยหน้ามองกรณ์ด้วยความอาฆาต พอเธอยกปืนขึ้นเล็งกรณ์ก็รีบหมุนตัวเตะทิ้งก่อนจะหันมาตะปบคอเธอ
“เสียดายที่ทำไม่สำเร็จ”
“แกลอยนวลได้อีกไม่นานหรอกกรณ์ สักวันโทมัสจะต้องฆ่าแก”
“เอาเลย ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันกับฉันใครจะตายก่อน”
กรณ์เหวี่ยงร่างของโซเฟียลอยละลิ่วลงจากหลังคารถ ระหว่างนั้นณัฐชาก็มาเห็นเข้าพอดี
“โซเฟีย”
ณัฐชาชักปืนยิงใส่ทันที กรณ์พลิกตัวหลบไปอย่างรวดเร็ว โซเฟียตะโกนห้ามณัฐชา
“อย่าเข้ามาผู้หมวด”
ณัฐชามองไปที่โซเฟียอย่างประหลาดใจ เห็นเธอหยิบระเบิดไปป์บอมบ์ของลุงโจออกมา
“ฉันฝากคุณโทมัสด้วย”
ณัฐชาตกใจ
“อย่า”
โซเฟียกดชนวนระเบิดจนทำงาน ก่อนที่เธอจะพุ่งไป กรณ์รีบถอยกรูดทันทีระเบิดทำงานตูมร่างของณัฐชาก็กระเด็นไป

ค่ำนั้น ณัฐชารู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งบนรถบรรทุกของโซเฟีย เธอค่อนข้างแปลกใจเมื่อเห็นราเมศกำลังขับรถอยู่
“โทมัสปลอดภัย คุณไม่ต้องเป็นห่วง”
“นี่เรากำลังไปที่ไหน”
“ฐานที่มั่นสุดท้ายของพรายพิฆาต”
ณัฐชามองไปยังเบื้องหน้า ท้องถนนมีแต่ความมืด และแสงไฟจากรถ

ฤทธิ์อยู่ในตู้คอนเทรนเนอร์ท้ายรถบรรทุก สายตาฤทธิ์มองแสงไฟบนเพดานก่อนจะเห็นไอริณเดินเข้ามาดู ฤทธ์แปลกใจเมื่อพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนรถบรรทุก
“ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“ไว้ฉันค่อยอธิบายทีหลัง ตอนนี้ต้องรีบรักษาคุณก่อน”
ไอริณยื่นสองมือจะมาแตะที่ขมับของเขา ฤทธิ์รีบคว้ามือไว้
“จะทำอะไร”
“การกลายพันธุ์ของคุณไม่สมบูรณ์ ฉันจะใช้พลังของฉันจัดระบบต่างๆให้เข้าที่ ก่อนที่คุณจะกลายเป็นบ้า และเป็นอสูรกายไปตลอดชีวิต”
“แต่เราเป็นศัตรูกัน ผมจะไว้ใจคุณได้ยังไง”
“ต้องพิสูจน์ยังไงนายถึงจะยอมเชื่อใจฉัน”
“บอกผมมาก่อน ตัวจริงของคุณ เป็นใครกันแน่”
ไอริณมองฤทธิ์อย่างไม่พอใจนัก คำขอนี้อาจมากเกินไป

รถบรรทุกแล่นมาจอดที่หน้าอาคารร้าง ไอริณเปิดประตูท้ายรถแล้วก้าวลงไป ก่อนจะหันมาพยักพเยิดให้ฤทธิ์
“ลงมาสิ”
“เราจะไปไหน”
“ก็นายอยากเห็นตัวจริงของฉันไม่ใช่เหรอ”
ไอริณเดินนำไป ฤทธิ์ลงจากรถและเห็นราเมศลงมาพร้อมกับณัฐชา
“ณัฐชา”
“โทมัส”
ณัฐชารีบเข้ามาดูอาการของเขา เธอกอดประคองเขาเอาไว้
“คุณปลอดภัยนะ”
ฤทธิ์พยักหน้า มองตัวรถบรรทุกของบริษัทอย่างนึกขึ้นได้
“แล้วโซเฟียล่ะ อยู่ที่ไหน”
ณัฐชาพูดไม่ออก ฤทธิ์เห็นสีหน้าเธอก็พอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาสลดลง

ไอริณกับราเมศเดินลงมายังฉันใต้ดิน โดยมีณัฐชาประคองฤทธิ์ตามมาด้วย ตามเส้นทางมีนักรบพรายพิฆาตยืนยามอยู่ไม่กี่คน พวกมันทำความเคารพเมื่อราเมศกับไอริณเดินผ่านไป
“ขอเตือนไว้ก่อน ถ้าคุณเห็นตัวจริงของฉันเมื่อไหร่ คุณอาจสะเทือนใจก็ได้นะ” ไอริณหันมาบอกกับฤทธิ์
“ผมรับไหว พาผมไปเถอะ”
ไอริณสบตากับราเมศอย่างใคร่ครวญ ก่อนจะชี้นิ้วบอกฤทธิ์
“ร่างที่แท้จริงของฉัน อยู่ในห้องโน้น”
ฤทธิ์กับณัฐชามองตามไปเห็นห้องที่อยู่สุดปลายทางเดิน เขาบอกกับณัฐชา
“คุณรอตรงนี้ ผมจะเข้าไปเอง”
“ระวังตัวด้วยนะ”
ฤทธิ์พยักหน้าก่อนจะเดินตรงไปที่ห้องนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นหลังจากต่อสู้กับพรายพิฆาตมาอย่างยาวนาน วันนี้เขาจะได้เห็นว่าศัตรูของเขามีรูปโฉมที่แท้จริงอย่างไร สมุนที่เฝ้ายามอยู่หน้าประตูเคาะประตูเป็นรหัสก่อนที่สมุนข้างในจะเปิดประตูให้ฤทธิ์

ฤทธิ์เดินเข้ามาในห้อง และพบว่านอกจากองครักษ์แล้วก็ยังมีหมอที่กำลังดูแลคนไข้คนหนึ่งอยู่ คนไข้รายนั้นนอนอยู่บนเตียงที่มีกระโจมปลอดเชื้อเป็นพลาสติกบางคลุมไว้ ไอริณเดินตามเข้ามาแล้วบอกกับทุกคน
“ทุกคนออกไปก่อน”
ทุกคนคำนับไอริณแล้วพากันออกไป เหลือเพียงไอริณที่อยู่กับฤทธิ์ เธอบุ้ยใบ้ให้ฤทธิ์เข้าไปดูที่กระโจม ฤทธิ์ค่อยๆเลิกม่านออกและพบว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงคือ ลูกสาวของพ่อค้ายาเสพติดที่ถูกฤทธิ์ยิงตาย ไอริณพูดขึ้นเรียบนิ่ง
“ไม่แก่ ไม่ตาย จิตวิญญาณของฉันยังคงอยู่ในร่างนี้”
“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้”

“ผู้หมวดฤทธิ์ราวี ฉันคือพรายพิฆาต และคนที่สร้างฉันขึ้นมาก็คือ…คุณ...”

ฤทธิ์นึกถึงในอดีตที่เขาปฏิบัติหน้าที่บุกไปสังหารพ่อค้ายา แต่พลั้งมือยิงลูกสาวพ่อค้ายาจนตาย
“ฉันกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราตั้งแต่วันนั้น จิตของฉันถูกขังอยู่ในร่างกายที่ต้องการเป็นอิสระ อิสระจากความแค้นที่คุณมอบให้ฉัน”

ไอริณเดินเข้ามาหาฤทธิ์ในห้องพัก
“มันเป็นอยู่หลายปี กว่าฉันจะเริ่มจับทางได้ ว่าทุกอย่างในโลกนี้เกิดขึ้นจากพลังงาน ร่างกายก็เป็นแค่แหล่งเก็บกักพลังงานเท่านั้น”
ไอริณชูฝ่ามือขึ้นและใช้พลังดึงมีดผ่าตัดมาลอยหมุนติ้วๆอยู่เหนือฝ่ามือ
“นี่ต่างหากคือตัวตนที่แท้จริงของเรา และจากนั้นฉันก็เริ่มใช้พลังช่วยเหลือคนที่ควรช่วยอย่างราเมศ ฉันสร้างศรัทธา สร้างความฝันของโลกใหม่ที่ปราศจากสงครามและสร้างองค์กรพรายพิฆาตขึ้นมา”
“เธอน่าจะฆ่าฉันแต่แรก”
“เคยคิด แต่ฉันต้องเปลี่ยนใจเมื่อส่งราเมศไปหาคุณ สภาพคุณตอนนั้นก็เหมือนคนที่ตายไปแล้วและญาณทิพย์ของฉันมองเห็นอนาคตของคุณ ฉันเห็นคุณกลายเป็นนักสู้มหากาฬและต่อสู้เพื่อฉันจนถึงวาระสุดท้าย”
“เพราะแบบนี้ตลอดเวลาที่เราสู้กัน คุณถึงได้พยายามเรียกผมให้มาเข้าพวกกับคุณ”
“ถูกต้องและในที่สุด...คำทำนายก็เป็นจริง คุณต้องต่อสู้และกำจัดพวกของกรณ์ เพื่อฉัน”
ราเมศกับณัฐชายืนดูอยู่ที่หน้าประตู ณัฐชาได้แต่หวาดหวั่นว่าสถานการณ์เลวร้ายนี้จะจบลงเช่นไร

ยักษ์ประคองวัฒน์มาสมทบกับเอมี่ที่กำลังดูอาการของกรณ์
“เขาเป็นยังไงบ้าง” วัฒน์ถาม
“โดนระเบิดเข้าไปจังๆ อาการสาหัสมาก” เอมี่บอกเสียงเครียด
ยักษ์เห็นสภาพกรณ์แล้วหนักใจ
“แผลเหวอะขนาดนี้ น้ำตามัจจุราชคงเอาไม่อยู่แน่”
เอมี่ครุ่นคิดก่อนจะบอกกรณ์
“กรณ์ฟังฉันให้ดีนะ คุณจะตายแบบนี้ไม่ได้ ภารกิจของเรายังไม่สำเร็จ”
กรณ์เสียงแผ่ว
“ช...ช…ช่วยฉัน รีบหาทางเอมี่”
เอมี่ครุ่นคิดก่อนจะหันไปทางยักษ์
“ถ้าให้เขาดื่มกินเหมือนพวกเรา บางทีมันอาจจะช่วยเขาได้”

ชาวบ้านคนหนึ่ง สวมไฟฉายคาดหัว ขี่มอเตอร์ไซด์ไปในสวน แต่แล้วก็เห็นยักษ์โผล่พรวดออกมาขวางถนนก็ตกใจรีบจอดรถ
“มีอะไรเหรอคุณ”
ยักษ์มองชาวบ้านตั้งแต่หัวจรดเท้า

ร่างของชาวบ้านถูกยักษ์หิ้วหรือลากเข้ามาในสภาพไร้เรี่ยวแรงขัดขืน วัฒน์รีบเข้ามาถาม
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้”
“ก็แค่หักคอมันนิดหน่อยจะได้หยุดิ้น”
วัฒน์มองหน้าชาวบ้านเห็นว่ายังไม่ตายแต่เป็นอัมพาต แววตาของชาวบ้านเต็มไปด้วยความหวาดกลัว วัฒน์รีบบุ้ยหน้าให้ยักษ์หิ้วร่างชาวบ้านมาหากรณ์ซึ่งมีเอมี่คอยดูอาการอยู่
“หัวหน้า ฉันรู้ว่าคุณไม่ได้กระหายเลือดเหมือนพวกเรา แต่นี่คือโอกาสเดียวที่คุณจะมีชีวิตรอด”
กรณ์พยักหน้าเอาไงเอากัน เอมี่ชักมีดออกมาเชือดข้อมือของชาวบ้านรายนั้นจนเลือดไหลกระฉูด แล้วจับมาจ่อที่ปาก กรณ์มองด้วยความขยะแขยงก่อนจะแข็งใจดูดเลือดเข้าไปเพียงแค่คำแรกเท่านั้น กรณ์ก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เขาเห็นภาพของชาวบ้านคนนี้ที่อยู่กับลูกๆ เห็นชาวบ้านคนนี้ที่กำลังทำงาน
“เป็นยังไงบ้าง” วัฒน์ถาม
กรณ์พึมพำออกมา
“ชีวิต…พลังชีวิตของมัน อยู่ในเลือด”
ยักษ์นิ่วหน้าอย่างงุนงง กรณ์รีบกินเลือดเข้าไปอีกอย่างตะกละตะกลาม เอมี่รู้สึกโล่งใจและคิดว่ากรณ์จะต้องหายดีแน่ ขณะที่ชาวบ้านกำลังมองการตายของตัวเองอย่างสยดสยอง

พรายพิฆาตในร่างของไอริณสั่งกับราเมศ และณัฐชา
“ฉันจะรีบรักษาอาการของฤทธิ์ ราวี นายพาผู้หมวดไปพักก่อน”
ราเมศผายมือให้ณัฐชา
“เชิญ”
ณัฐชามองฤทธิ์ด้วยความเป็นห่วง ก่อนที่ประตูจะปิดลง เธอบอกกับราเมศ
“ถ้าพวกแกหักหลังล่ะก็ ฉันเอาตายแน่”
ราเมศยิ้มอย่างใจเย็นก่อนจะเดินนำณัฐชาไป...ไอริณเดินมาหาฤทธิ์ที่กำลังยืนดูร่างลูกสาวพ่อค้ายาอยู่
“มีข้อหนึ่งที่คุณทายผิด ผมไม่ได้สู้เพื่อคุณ แต่เพื่อโลกใบนี้ต่างหาก โลกใบเดิมที่คุณบอกว่ามันเลวร้าย ไม่มีความหวัง โลกที่พรายพิฆาตอยากจะทำลาย แต่ผมจะกอบกู้มัน”
“ฉันไม่เชื่อหรอก ว่ามันจะเปลี่ยนแปลงได้”
“นั่นคือเงื่อนไขของผม ข้อแรกคุณต้องคืนไอริณให้ผม หลังจากผมฆ่ากรณ์ได้สำเร็จ และข้อสองผมขอเวลาให้กับโลกนี้ ขอเวลาให้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ปรับปรุงตัวของมัน ขอแค่สามปี”
“ไม่นานไปหน่อยเหรอ”
“จะแคร์ทำไม ในเมื่อคุณคิดว่าตัวเองคือพระเจ้า คิดว่าตัวเองเป็นอมตะ”
“ก็ได้ นี่คือสัญญาระหว่างเรา พรายพิฆาตจะหยุดมือจากการสร้างโลกใหม่ จนกว่าสามปีจะผ่านไป”

ไอริณกับฤทธิ์สบตากันอย่างหนักแน่น

ฤทธิ์นอนลงที่เตียงว่างอีกเตียงหนึ่ง ไอริณเดินมายืนที่ด้านศีรษะของเขา
“หลับตา”
ฤทธิ์หลับลง ไอริณยกฝ่ามือทั้งสองของเธอแตะที่ขมับของเขา ฝ่ามือของเธอค่อยๆเรืองแสง นักสู้มหากาฬกับพรายพิฆาตคือแสงสว่างเดียวในห้องมืดๆนั้น และอาจเป็นแสงสว่างเดียวในโลกมืดๆใบนี้...

กรณ์ เอมี่และยักษ์มาถึงสุสาน กรณ์หน้าซีดเซียวไปบ้างแต่แข็งแรงกว่าก่อนหน้านี้ วัฒน์กำลังเฝ้าดูศพของลุงโจและสมุน
“หัวหน้า ลุงโจตายแล้ว”
กรณ์มองศพแล้วถาม
“มีทางชุบชีวิตรึเปล่า”
วัฒน์ส่ายหน้า
“โดนยิงหัวแบะขนาดนี้ สงสัยคงหมดสิทธิ์”
เอมี่เจ็บแค้นมาก
“คราวนี้พวกมันทำเราแสบมาก”
ยักษ์กังวล
“พรายพิฆาตร่วมมือกับนักสู้มหากาฬ แถมมีตำรวจหนุนหลังพวกเราต้านไม่อยู่แน่”
กรณ์ครุ่นคิด
“ถ้าเดาไม่ผิด พรายพิฆาตคงต้องการใช้นักสู้มหากาฬมารับมือกับพวกเรา”
“แต่สภาพของมันยังไม่เข้าที่ เราต้องรีบฉวยโอกาสเก็บมันซะ” วัฒน์แนะ
เอมี่หนักใจ
“มันหายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว จะหาตัวได้ยังไง”
กรณ์มั่นใจ
“ฉันมีวิธี”

วันต่อมา...รถของตำรวจสายตรวจแล่นมาจอดที่ริมถนนใต้ทางด่วน เจ้าหน้าที่สองนายลงจากรถและมุ่งหน้าไปที่รถตู้เก่าๆคันหนึ่งซึ่งจอดอยู่ ข้างตัวรถถูกพ่นสีเป็นโลโก้คล้ายกับพรายพิฆาต
ตำรวจวิทยุ
“แจ้งศูนย์ พบรถตู้ต้องสงสัยจอดอยู่ที่บริเวณใต้ทางด่วน ตัวรถมีตราสัญลักษณ์ของพรายพิฆาตปรากฏอยู่ ขณะนี้กำลังเข้าไปตรวจสอบ”
ตำรวจเปิดประตูรถตู้และเห็นระเบิดเวลาติดตั้งอยู่ ตำรวจตกใจ ระเบิดเวลาระเบิดตูมเปลวไฟพวยพุ่งเข้าเต็มหน้า

สมุนของกรณ์ สวมหมวกแก๊ปสะพายกระเป๋าเดินเข้ามาในเขตลานจอดรถของกองปราบซึ่งมีตำรวจเดินอยู่ประปราย บังเอิญเจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งรู้สึกผิดสังเกตเลยเรียกตัวไว้
“เดี๋ยวก่อนคุณ ไม่ทราบมาติดต่ออะไรครับ”
“มาฆ่าตำรวจ”
ตำรวจอึ้งไป ขณะที่สมุนกรณ์ชักปืนกลสั้นออกมาจ่อยิงอย่างเลือดเย็น ก่อนจะหันไปสาดกระสุนใส่ตำรวจคนอื่นๆอย่างบ้าคลั่ง
“ทุกคนฟังให้ดี ยุคโบราณของพรายพิฆาตได้จบสิ้นลงแล้ว ต่อไปจะเป็นยุคใหม่ของพวกเรา”
ตำรวจหลายคนช่วยกันระดมยิงใส่สมุนของกรณ์ มันพยายามยิงตอบโต้จนหมดแรงล้มลง
พวกตำรวจรีบกรูกันเข้าไปดูเห็นมันชูมือซึ่งชุ่มเลือดข้างหนึ่งขึ้น ปรากฏว่ามีรีโมทบางอย่างอยู่ในมือ
“พรายพิฆาตจงเจริญ”
สิงหาโผล่มาพร้อมปืน
“เฮ้ย”
สมุนกรณ์หันไป โดนสิงหาเหนี่ยวไกยิงหัวนัดเดียวจอด ก่อนที่มันจะได้กดรีโมทระเบิด

ราเมศนำข่าวมาบอกณัฐชา
“ผมได้ข่าวว่าพวกของไอ้กรณ์กำลังเล่นงานตำรวจ”
“มันทำแบบนี้ทำไม”
“ตามแผนเดิมของพรายพิฆาต ถ้าจะทำลายความมั่นคงของประเทศ ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการยุติกฎหมาย”
“โดยการฆ่าผู้รักษากฎหมาย”
ราเมศพยักหน้า ณัฐชาอึ้งไป
“อย่าให้โทมัสรู้เรื่องนี้ ตราบใดที่เขายังไม่ฟื้นตัวเต็มที่”

ร่างของลูกสาวพ่อค้ายายังนอนอยู่บนเตียงตัวหนึ่ง ขณะที่ฤทธิ์กำลังนอนอยู่บนเตียงอีกตัว ไอริณใช้พลังฝ่ามืออังที่ขมับสองข้างของเขา แต่แล้วทุกอย่างก็หยุดชะงักเมื่อไอริณเห็นนิมิตภาพของสมุนกรณ์ที่ฆ่าตำรวจไปก่อนหน้านี้ ฤทธิ์ลืมตา
“มีอะไรเหรอ”
“วันนี้พอแค่นี้ พรุ่งนี้ค่อยรักษาต่อ”
ฤทธิ์ลุกขึ้นนั่ง
“ผมรู้สึกดีขึ้นมาก คุณทำได้ยังไง”
ไอริณปลีกตัวไปล้างมือ
“ก็แค่จัดระบบในร่างกายของคุณซะใหม่ ไม่ต้องขอบใจฉันหรอกเพราะถึงยังไงคุณก็ต้องทำงานตอบแทนฉันอยู่ดี”
“ในเมื่อพลังคุณมีมากขนาดนี้ ทำไมถึงไม่จัดการกรณ์ซะเอง”
ไอริณชะงักไปอึดใจ
“ฉันก็อยากทำอยู่เหมือนกัน แต่ฉันเคยเห็นนิมิตภาพว่าตัวฉันถูกกรณ์ฆ่าตาย”
“เพราะแบบนี้คุณถึงเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับเขา”
ไอริณไม่ตอบอะไรอีก เธอเหลือบไปมองร่างที่แท้จริงของตนเองที่ยังนอนอยู่บนเตียง

ณัฐชาสะพายกระเป๋าของโซเฟีย เดินมาหาฤทธิ์ ขณะที่เขาก็กำลังเดินมาหาเธอเช่นกัน ทั้งสองเจอกันกลางทาง
“ณัฐชา”
ณัฐชาสังเกต
“สีหน้าคุณดีขึ้นนะ”

ณัฐชากับฤทธิ์ปลีกตัวมาหาที่เงียบๆคุยกันตามลำพังบนดาดฟ้าอาคารร้าง
“ฉันคงต้องกลับไปก่อน คุณอยู่ทางนี้ดูแลตัวเองด้วยนะ”
ฤทธิ์เอื้อมมากุมมือณัฐชา
“คุณเองก็เหมือนกัน ระวังตัวด้วย”
ณัฐชายิ้ม
“แต่ก่อนไม่เห็นคุณเป็นห่วงฉันเลยนี่”
“ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว คนที่ผมรู้จักก็เหลือน้อยเต็มทีแล้วที่สำคัญ...ความรู้สึกที่ผมมีต่อคุณ มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว” ฤทธิ์เสยผมให้ณัฐชา “ทุกครั้งที่เราต้องแยกกัน ผมไม่เคยรู้สึกดี
ผมกลัวว่าจะไมได้เห็นหน้าคุณอีก…”
ณัฐชารีบเอานิ้วแตะริมฝีปากเขาไว้ก่อนที่เขาจะพูดอะไรที่เป็นลางร้ายออกมา เธอขยับจุมพิตเขาอย่างนุ่มนวล
“เผื่อว่าโลกจะแตกวันพรุ่งนี้”
ฤทธิ์จูบตอบก่อนจะโอบกอดเธอเอาไว้ ทั้งสองกอดกันท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามใกล้อัศดง

ราเมศยืนรออยู่ที่รถ ขณะที่ฤทธิ์สั่งลากับณัฐชา
“ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะรีบกลับ
“ถ้าผิดคำพูดล่ะก็ ผมไปหาคุณแน่”
ณัฐชายิ้มรับก่อนจะเดินไปที่รถ สมุนคนหนึ่งขับรถให้ สมุนขับรถแล่นจากไปพร้อมกับราเมศและณัฐชา ฤทธิ์มองตามจนลับตาโดยไม่รู้ตัวว่าพรายพิฆาตในร่างของไอริณเดินออกมาดูเขาด้วยแววตาที่เย็นชา แยกไม่ออกว่ากำลังประสงค์ดีหรือร้ายอยู่กันแน่

ไอริณเดินมาดูร่างลูกสาวพ่อค้ายา ก่อนจะมองเงาสะท้อนตัวเองในกระจกแล้วยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าอย่างพอใจ
“น่าเสียดายนะไอริณ ฉันชอบร่างของเธอซะด้วยสิ ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากอยู่ในร่างนี้ตลอดไป”
ไอริณหยุดนิ่งเหมือนคิดแผนการอะไรบางอย่าง

สิงหาเคร่งเครียดหลังจากเกิดเรื่องร้ายๆ...
“นี่มันบ้าบออะไรกันวะ พรายพิฆาตมันมีแผนอะไรกันแน่จะประกาศสงครามหรือไง”
ไมตรีหวาดๆ
“ถ้ามันเอาจริง พวกเราคงลำบากแน่นอนครับสารวัตร”
ปรีดาหน้าเครียด
“นั่นสิครับ มันอยู่ที่ลับ แต่เราอยู่ที่แจ้ง เป็นเป้านิ่งให้พวกมันเต็มๆ”
ไมตรีหนักใจ
“ที่สำคัญ ขนาดตำรวจด้วยกัน เรายังไม่รู้เลยครับว่ามีใครใช้ยาเสพติด หรือเป็นสาวกของพวกมันบ้าง”
สิงหามองไปอย่างหวาดหวั่น ระหว่างนั้นเมธากับตำรวจติดตามก็โผล่มาจากทางหนึ่ง เมธาแต่งเครื่องแบบเต็มยศ สิงหาแปลกใจ
“ผู้การจะไปไหนเหรอครับ”
“ท่านนายกสั่งให้ผมแถลงข่าวชี้แจงสถานการณ์ภายในสามชั่วโมง คุณมีอะไรคืบหน้ารึยัง”
“พรายพิฆาตยังไม่ติดต่อมาเลยครับ”

ในห้อโถงกองปราบ เมธาแถลงข่าวโดยมีนักข่าวมาทำข่าวกันอย่างคับคั่ง โดยมีสิงหา ไมตรี ปรีดากับตำรวจอีกหลายนายคอยรักษาความปลอดภัย
“ขณะนี้เรายังไม่พบว่ามีกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มไหนแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ดังกล่าว แต่เราเชื่อว่าคนที่ลงมือคุกคามเราก็คือองค์กรลึกลับที่มีชื่อว่าพรายพิฆาต ซึ่งหน่วยข่าวกรองของเราได้รับข้อมูลมาว่า พวกมันมีการเปลี่ยนแปลงหัวหน้ากลุ่มคนใหม่ ซึ่งมีความป่าเถื่อน
และกระหายที่จะสร้างความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม”
สาวกของพรายพิฆาตในคราบนักข่าว แอบติดตั้งอุปกรณ์ฉายภาพบางอย่างอยู่มุมหนึ่ง
“อย่างไรก็ดีในนามของผู้รักษากฎหมาย ผมขอยืนยันว่า เราพร้อมแล้วที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องบ้านเมืองของเราและขอเตือนประชาชนทุกท่านให้อยู่ห่างไกลจากยาเสพติดที่ชื่อ น้ำตาสวรรค์ และองค์กรนอกรีตพรายพิฆาต เพราะว่าทั้งหมดคือภัยอย่างใหญ่หลวงต่อแผ่นดินนี้”
ทันใดนั้นกระแสไฟก็ดับวูบลง ทำให้คนในบริเวณแถลงข่าวต่างพากันตื่นตระหนก อุปกรณ์ที่นักข่าวพรายพิฆาตติดตั้งไว้ได้ฉายภาพเสมือนจริงของกรณ์ออกมา
“ทุกท่านไม่ต้องตกใจ ผมคือพรายพิฆาตรุ่นที่สอง ผู้นำโลกใหม่ของพวกคุณ โลกที่ไร้ซึ่งเชื้อชาติ ศาสนา และความแตกต่าง ภายใน 24 ชั่วโมงนี้ผมขอยื่นคำขาดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกคนวางอาวุธและยอมจำนนต่อพวกเรา รวมทั้งจับตัวนักสู้มหากาฬส่งมอบให้พวกเราโดยเร็วที่สุด เพราะมันคืออุปสรรคต่อการสร้างโลกใหม่ที่กำลังจะมีขึ้นเร็วๆนี้ หากทุกอย่างไม่เป็นไปตามคำขอ เราจะถล่มที่นี่ให้ราบเป็นหน้ากลอง”
ขาดคำภาพของกรณ์ก็หายไป ตำรวจและนักข่าวพากันตื่นตระหนก
“สั่งคนของเราเตรียมตัวให้พร้อม งานนี้เราเจอศึกใหญ่แน่” เมธาบอกกับสิงหา

รถแล่นมาจอดบริเวณถนนหน้ากองปราบ ณัฐชามองหน้าราเมศ
“ไม่ต้องอวยพรให้ฉัน เพราะฉันจะไม่อวยพรให้คุณเหมือนกัน”
“ตอนนี้เราอยู่เรือลำเดียวกันนะณัฐชา”
“แต่ไม่ได้แปลว่าเราต้องเป็นเพื่อนกัน”
ณัฐชาลงจากรถไปทันที ราเมศมองตามอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“แน่นอน เสร็จงานนี้เมื่อไหร่ เราได้เห็นดีกันแน่”

ฤทธิ์ใช้เวลาว่างเดินเล่นสำรวจบริเวณฐานที่มั่นของพรายพิฆาต จนมาพบรถบรรทุกของโซเฟีย เขามองพวกสมุนของพรายพิฆาตซึ่งเฝ้าเวรยามอยู่ พวกมันจับตามองเขาอย่างไม่ละสายตา แต่ไม่ได้ทักท้วงอะไร

นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 13 (ต่อ)

ฤทธิ์ขึ้นมาบนท้ายรถบรรทุก ระหว่างนั้นกล้องวงจรปิดก็จับภาพเขา คอมพิวเตอร์ที่ต่อพ่วงอยู่ระบุว่าเขาคือ ฤทธิ์ ราวี เท่านั้นเอง...ภาพเสมือนจริงของมาดามหลิวถูกฉายออกมา
“โทมัส”
ฤทธิ์แปลกใจ
“มาดาม”
“นี่เป็นระบบจำลองที่ถูกสร้างให้เสมือนจริง ไม่ใช่ฉัน”
“โซเฟียตายแล้ว”
“ฉันรู้ มันน่าเศร้า แต่ทุกคนต้องตายทั้งนั้น แม้แต่พรายพิฆาตหรือว่าเธอ”
“พรายพิฆาตให้ผมฆ่ากรณ์ เพื่อแลกกับชีวิตของไอริณ และการยุติความเคลื่อนไหวสามปี”
“อย่าเชื่อใจพรายพิฆาต ถ้าพวกมันเป็นคนซื่อตรงคงไม่อยู่รอดมาจนป่านนี้ ถ้าฉันเดาไม่ผิด เมื่อเธอฆ่ากรณ์ได้เมื่อไหร่พวกมันจะฆ่าเธอทันที”
ฤทธิ์ได้ฟังก็เริ่มหวั่นใจ

เมธานั่งมองโทรศัพท์ และมองนาฬิกาอยู่ด้วยความหนักใจ
“ไอ้พวกพรายพิฆาต นี่มันแค่ขู่หรือว่าเอาจริงกันแน่”
เสียงเคาะประตูจะดังขึ้น
“เชิญ”
สิงหาเปิดประตูเข้ามา
“ท่านครับ ผู้หมวดณัฐชากลับมา...อีกแล้ว”
แค่ได้ยินชื่อดวงตาของเมธาก็ฉายแววโมโหออกมาทันที

เมธาเดินนำสิงหามาต่อว่าณัฐชาที่ยืนรออยู่
“คุณไปมุดหัวอยู่ที่ไหนมาผู้หมวด เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมถึงไม่เปิดโทรศัพท์มือถือ”
ณัฐชาหน้าเสีย
“ขอโทษค่ะท่าน แต่ฉันต้องคอยประสานงานระหว่างนักสู้มหากาฬและพรายพิฆาต”
สิงหามองหน้า
“พรายพิฆาตมันเพิ่งถล่มที่นี่ไปหยกๆ คุณไม่รู้หรือไง”
“นั่นเป็นพวกของกรณ์ค่ะ มันหักหลังพรายพิฆาตและยึดอำนาจอยู่ในตอนนี้”
เมธาสงสัย
“ถ้างั้นพรายพิฆาตตัวจริงอยู่ที่ไหน”
“อยู่กับนักสู้มหากาฬค่ะ พวกเขาวางแผนจะจัดการกับกรณ์เร็วๆนี้” ณัฐชาหยิบหลอดไวรัสจากกระเป๋า “ส่วนนี่เป็นไวรัสที่มาดามหลิวพัฒนาขึ้นเพื่อให้เราใช้ต่อสู้กับพวกนักรบผีดิบค่ะ”
เมธาถอนใจ
“ไม่ทันแล้วผู้หมวด พวกนายกรณ์ที่คุณว่า มันต้องการตัวนักสู้มหากาฬ มันบังคับให้เราส่งมอบตัวใน 24 ชั่วโมง”
สิงหาเสริม
“ถ้าขืนชักช้ามันต้องโจมตีเราอีกแน่”
ณัฐชาชะงัก
“นี่แปลว่าเราจะยอมแพ้เหรอคะ”
เมธาส่ายหน้า
“ไม่ใช่แบบนั้น แต่เราต้องหลีกเลี่ยงความสูญเสีย จนกว่าจะพร้อมรับมือกับพวกมัน”
สิงหาคว้าแขนณัฐชา
“เราต้องซื้อเวลานะผู้หมวด แค่ส่งตัวนักสู้มหากาฬให้พวกมัน ทุกอย่างก็จะดีขึ้น”
ณัฐชาดึงแขนออก และเก็บหลอดไวรัสใส่กระเป๋าตามเดิม
“ขอโทษนะคะท่าน แต่งานนี้ฉันไม่เห็นด้วย”
เมธากับสิงหามองหน้ากัน ณัฐชาเห็นท่าไม่ดีก็รีบหนีไป สิงหารีบออกคำสั่ง
“จับตัวผู้หมวดณัฐชาเอาไว้”
พวกตำรวจในออฟฟิศงุนงงกันสักพัก พอได้สติก็รีบเข้าไปคว้าตัวเธอ ณัฐชาทั้งเหวี่ยงทั้งทุ่มพวกตำรวจเหล่านั้นจนกระเด็นไปคนละทาง เธอรีบมุ่งหน้าไปที่ลิฟต์อย่างรวดเร็วแต่ไมตรีกับปรีดาก็สวนทางออกมาพอดี ปรีดางงๆ
“มีเรื่องอะไรกันอ่ะจ่า”
“จะไปรู้เหรอหมู่ ก็เพิ่งโผล่มาพร้อมกันเนี่ย”
เมธาตวาด
“มัวยืนเซ่ออยู่ทำไม จับตัวหมวดณัฐชาเอาไว้ เร็ว”
ไมตรีกับปรีดาไม่กล้าขัดคำสั่ง ปรีดาตัดสินใจขวางณัฐชาเอาไว้
“ผู้หมวดครับ”
ไมตรีเข้ามาขวางอีกคน
“จ๊ะเอ๋ครับหมวด นี่เล่นบอลลูนกันอยู่เหรอครับ”
ณัฐชาตวาด
“จะบ้าเหรอจ่า หลีกไป”
ไมตรีส่ายหน้า
“บรึย ขืนหลีกก็โดนเด้งสิครับหมวด คำสั่งเจ้านายพวกเราขัดไม่ได้หรอกครับ”
ปรีดายกมือไหว้
“ขออนุญาตล่วงเกินครับผู้หมวด”
“ก็ได้ ฉันก็ขอเหมือนกัน”
ณัฐชาเปิดฉากเล่นงานไมตรีกับปรีดาทันที หมู่กับจ่ากระเด็นไปคนละทาง ณัฐชาจะพุ่งตัวเข้าลิฟต์แต่สิงหาก็ตามมาคว้าสายกระเป๋าสะพายของเธอเอาไว้
“จะหนีไปไหน...มานี่”

สิงหากระชากสุดแรง ร่างของณัฐชาปลิวตามกระเป๋าไปทันที

สิงหากระชากตัวณัฐชาจนล้มไถลไปกับพื้นก่อนที่จะชักปืนออกมาเพื่อขู่เธอ แต่ในวินาทีเดียวกันณัฐชาก็รีบชักปืนออกมาขู่ตอบโต้เช่นกัน
“สารวัตร” ไมตรีตกใจ
ปรีดาหันมาขอร้องเมธา
“รีบห้ามเถอะครับท่าน เดี๋ยวผีผลัก”
“สิงหา ณัฐชา เราพวกเดียวกันนะ ค่อยๆพูดกันก็ได้” เมธาปราม
สิงหาไม่ยอม
“ผมเสียใจด้วยครับท่าน แต่ผมต้องทำเพื่อส่วนรวม”
“คุณทำตามคำสั่งของคนร้าย คิดว่ามันถูกแล้วเหรอ”
“แต่ผมเชื่อว่าตำรวจทุกคนต้องเห็นด้วยกับผม ณัฐชา เราไม่จำเป็นต้องเสี่ยง”
เมธามองณัฐชา
“ณัฐชา วางอาวุธเถอะ ผมขอล่ะ”
ณัฐชายังลังเล สิงหาง้างนกปืนขึ้นช้าๆ อย่างเอาจริง ท่ามกลางความลุ้นระทึกนั้นณัฐชาตัดสินใจค่อยๆลดปืนลง
“ฉันขอถามแค่ประโยคเดียว แล้วใครจะรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าวันนี้คุณยอมทำตามคำขู่ของมัน แล้ววันต่อไปล่ะ…ยอมแพ้งั้นเหรอ”
“หรือว่าคุณมีทางเลือกอื่น ชีวิตของตำรวจทุกคน ทำไมต้องมาเสี่ยงเพื่อคุณ เพื่อนักสู้มหากาฬ”
“เพราะมันคือความหวังเดียวที่เหลืออยู่ตอนนี้”
ณัฐชาหยิบกระบอกโลหะซึ่งบรรจุไวรัสของโซเฟียออกมาชูให้ดู
“ไวรัสนี่จะทำลายพิษสงของน้ำตามัจจุราช พวกพรายพิฆาตจะไม่เป็นอมตะอีกต่อไป ฉันรู้แหล่งกบดานของกรณ์กับสมุน ถ้าคุณให้โอกาสฉัน เราจะโค่นพวกมัน”
“แล้วถ้าผมปฏิเสธล่ะผู้หมวด”
“พวกเราทุกคนจะต้องตายกันหมด”
ทุกคนอึ้งไป ณัฐชาวางปืนลงและเดินมายื่นกระบอกใส่ไวรัสให้สิงหา
“คุณเลือกมาสิสารวัตร”
สิงหามองกระบอกใส่ไวรัสนั้นก่อนจะมองไปเมธา ไมตรี และปรีดา ทุกคนต่างลุ้นรอการตัดสินใจจากเขา

บรรดาตำรวจที่เดินสัญจรอยู่พากันหลีกทางเมื่อเห็นไมตรีกับปรีดาคุมตัวณัฐชาไปยังห้องคุมขัง ณัฐชาหน้านิ่งขรึม
“ใจเย็นๆนะครับผู้หมวด ผมเชื่อว่าสารวัตรต้องมีเหตุผล”
“ยังไงเราก็ต้องทำตามคำสั่งของเจ้านายนะครับ”
ณัฐชาไม่ปริปากโต้แย้ง เมื่อเธอถูกคุมตัวผ่านไป ราเมศที่ซ่อนตัวอยู่แถวนั้นก็โผล่หน้ามามองตามอย่างเครียดๆ

สิงหานั่งมองกระบอกใส่ตัวอย่างไวรัสอยู่อย่างใช้ความคิด ก่อนที่เมธาจะเข้ามาถาม
“ตกลงคุณจะเอายังไงสารวัตร”
สิงหายังเหม่ออยู่
“แล้วท่านล่ะครับ”
“ผมรู้ว่าคุณพยายามหลีกเลี่ยงความสูญเสียของหน่วยงานเรา แต่หน้าที่ของตำรวจ คือการเสียสละเพื่อประชาชน”
สิงหามองมาที่เมธา พลางถอนใจ

ตำรวจสองนายเดินมาทำความเคารพสิงหา
“นี่เป็นตัวอย่างของไวรัสที่จะใช้ต่อกรกับพรายพิฆาต พวกคุณส่งมันไปที่ห้องแล็ปของเรา แล้วให้ทางนั้นเร่งผลิตออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าลืมถามเขาด้วยว่าถ้าจะใช้มันเป็นอาวุธต้องทำยังไง”
“อาวุธเชื้อโรคเหรอครับท่าน”
สิงหาพยักหน้า
“สำหรับพวกอสูรกาย”

ตำรวจเปิดประตูให้ไมตรีกับปรีดาพาณัฐชามาส่งที่ห้องขัง ไมตรีมองจนเห็นว่าปลอดคนจึงบอกกับณัฐชา
“ขอโทษด้วยนะครับผู้หมวด แต่เราต้องเล่นให้สมบทบาท”
ปรีดากระซิบ
“อย่างว่าละครับ หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง เราไม่รู้หรอกครับว่ามีใครบ้างที่เป็นไส้ศึก”
“จะขังฉันไว้ในนี้จริงๆเหรอ”
ไมตรีหน้าเครียด
“ถ้าจำเป็นเราจะใช้ที่นี่เป็นกับดักสำหรับพวกมันครับ”
ณัฐชากวาดตามองไปรอบๆอย่างใช้ความคิด

ไอริณใช้พลังฝ่ามือเรืองแสง แผ่พลังไปทั่วร่างกายของฤทธิ์ที่กำลังนอนอยู่
“การกลายพันธุ์ของคุณตอนนี้อยู่ในขั้นตอนที่สมบูรณ์แล้ว ให้ร่างกายของคุณได้พักฟื้นอีกไม่เกิน 24 ชั่วโมง ทุกอย่างก็จะสมบูรณ์แบบ”
“ต้องรอถึงเมื่อไหร่ คุณถึงจะคืนไอริณให้ผม”
“เมื่อคุณฆ่ากรณ์กับพวกได้สำเร็จ”
“แล้วจะรู้ได้ยังไง ว่าผมจะไม่ถูกหักหลัง”
ไอริณชะงักฝ่ามือก่อนจะมองมาที่ฤทธิ์
“ไม่เชื่อใจฉันเหรอ”
ฤทธิ์ลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปที่ร่างของลูกสาวพ่อค้ายา ซึ่งเป็นร่างที่แท้จริงของพรายพิฆาต
“สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต มันทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น”
ไอริณขยับลูบตัวฤทธิ์อย่างเย้ายวน
“ถ้ากลัวฉันแก้แค้น คุณก็ชดเชยให้ฉันสิ ฉันไม่ใช่เด็กอีกแล้วนะ ฤทธิ์ ราวี สิ่งที่จะดับไฟแค้นให้ฉันได้ก็คือความรัก”
ไอริณยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ฤทธิ์ดันตัวเธอเอาไว้
“วิธีนั้นผมคงชดเชยให้คุณไม่ได้ เพราะผมไม่ได้รักคุณ”
ไอริณมองหน้าฤทธิ์อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แต่แล้วก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะ ทหารยามคนหนึ่งเปิดประตูให้ราเมศก้าวเข้า
“ท่านพรายพิฆาต ผมมีเรื่องสำคัญจะรายงาน”

ห้องโถงอาคารร้างเป็นห้องโล่ง ฤทธิ์แอบอยู่ที่เสาต้นหนึ่งมองราเมศกำลังรายงานข่าวให้ไอริณได้รับทราบ
“ณัฐชาถูกตำรวจควบคุมตัว ผมคิดว่ากรณ์อาจอยู่เบื้องหลัง”
“เธอแน่ใจเหรอ”
“ไม่มีเหตุผลอื่นที่พวกตำรวจจะทำแบบนั้น กรณ์รู้ดีว่าณัฐชาอยู่ข้างเดียวกับเรา”
ไอริณคิดสักครู่
“อย่าให้ฤทธิ์ราวีรู้เรื่องนี้ เราจะให้เขาลงมือเมื่อได้โอกาสที่เหมาะสม...ตามแผนของเรา”
ราเมศพยักหน้ารับทราบ ฤทธิ์เริ่มเป็นห่วงรำพึงในใจ
‘ณัฐชา’

สิงหากับกรณ์เจรจากันทางโทรศัพท์...
“ตอนนี้เรายังไม่ได้ข่าวของนักสู้มหากาฬ แต่เราได้ตัวณัฐชามาแล้ว อีกไม่นานคงรู้ว่านักสู้มหากาฬกบดานอยู่ที่ไหน”
“เมื่อไหร่”
“ก็แล้วแต่ว่าณัฐชาจะเปิดปากตอนไหน เราจะรีบสอบสวนให้เร็วที่สุด”
“ไม่ต้อง เราจะสอบสวนเธอเอง”
“แต่ณัฐชาเป็นคนของเรา”
“ผมไม่สน อีกหนึ่งชั่วโมงผมจะส่งคนไปรับตัวเธอที่กองปราบ เตรียมตัวให้พร้อมละกัน...แล้วอย่าเล่นตุกติกเด็ดขาด ไม่งั้นสถานีของพวกคุณต้องแหลกเป็นจุณแน่”
กรณ์วางสายไป...สิงหาหันมามองหน้าเมธาอย่างหนักใจ...กรณ์เดินมาบอกกับเอมี่ วัฒน์ และยักษ์
“พวกแกเดินทางไปรับตัวณัฐชาที่กองปราบ ฉันจะคอยระวังหลังให้เอง”
เอมี่หนักใจ
“ตำรวจคงไม่ยอมส่งตัวนังนั่นให้เราง่ายๆ”
กรณ์ยิ้มเหี้ยม
“เดี๋ยวก็รู้ ถ้ามันหักหลังเราเมื่อไหร่ รับรองได้ฆ่าล้างบางกันแน่”

เมธากับสิงหาหลบเข้าห้องมาหารือกัน
“ท่านครับ...”
“ทำตามแผนเดิม เตรียมอพยพคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากที่นี่ ส่วนพวกที่เหลือให้เตรียมอาวุธให้พร้อม”
“แต่งานนี้ต้องมีคนล้มตายแน่”
“มันเป็นหน้าที่ของตำรวจ”
สิงหาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

บนตู้คอนเทรนเนอร์ท้ายรถบรรทุก ฤทธิ์ปรึกษากับระบบจำลองเสมือนจริงของมาดามหลิว
“ถ้าให้คุณประเมิน ตอนนี้ผมมีโอกาสชนะแค่ไหน”
“ฉันเชื่อว่าพลังของเธอน่าจะเหนือกว่าพวกของกรณ์ทุกคน ยกเว้นแต่ว่าพวกมันจะบุกเข้ามาพร้อมกัน”
“แปลว่าผมต้องเล่นงานพวกมันแบบหนึ่งต่อหนึ่ง”
“ถูกต้อง”
“แล้วถ้าคู่ต่อสู้ของผมคือพรายพิฆาตล่ะ”
“พลังของเธอไม่มีทางเหนือกว่าพรายพิฆาต แต่เธอก็เคยชนะมันมาแล้ว ถึงจะด้วยกลอุบายแต่เธอก็เป็นฝ่ายชนะ...ถ้าให้ประเมิน ฉันคิดว่าโอกาสชนะมีอยู่ห้าสิบห้าสิบ”
ฤทธิ์ได้ฟังก็ครุ่นคิดอย่างหนักใจ โปรแกรมของมาดามหลิวมองหน้าเขาสักพักก็ให้เหตุผล
“ขอเตือนด้วยความหวังดี การที่เธอมีโอกาสโค่นศัตรู ไม่ได้แปลว่าเธอจะได้รับชัยชนะทุกครั้ง เพราะคนเราย่อมมีโอกาสได้เสมอ และถ้าเธอแพ้เมื่อไหร่ ก็คงไม่มีโอกาสอีกเป็นครั้งที่สอง”
ฤทธิ์ทำใจตัดสินใจ
“ถ้าทำสำเร็จ ต่อให้ต้องตาย ผมก็ยอม”
ภาพจำลองของมาดามหลิวมองหน้าฤทธิ์ราวี ความมุ่งมั่นคือสิ่งที่ล้ำลึกเกินกว่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์จะคำนวณผล
ฤทธิ์ค้นดูช่องอาวุธของโซเฟียและพบชุดเกราะปืนกับมีดคู่มือของเขา ฤทธิ์เช็กความพร้อมของอาวุธเหล่านั้น แล้วขนมันใส่กระเป๋าสะพาย ก่อนกดปุ่มเปิดประตูท้ายรถ

ฤทธิ์ในชุดเกราะของนักสู้มหากาฬ สะพายกระเป๋าอาวุธ เดินไปยังทางออกแต่แล้วนักรบพรายพิฆาตสองนายที่เฝ้าเวรอยู่ก็รีบเข้ามาขวาง
“พรายพิฆาตมีคำสั่ง ห้ามใครผ่านเข้าออกโดยไม่ได้รับอนุญาต”
ฤทธิ์มองหน้ามันก่อนจะใช้พลังย้ายมวลสารพุ่งเข้าเล่นงานมันแบบเดียวกับบอส ชั่วพริบตาเขาโผล่ไปซัดนักรบคนหนึ่งจนสลบ ก่อนโผล่ไปด้านหลังนักรบอีกคนแล้วจัดการมัน เมื่อนักรบทั้งสองหมดสติ ฤทธิ์ก็เดินทางต่อ แต่กลับมีเสียงราเมศดังขึ้น
“คิดจะเบี้ยวหรือไงนักสู้มหากาฬ”
ฤทธิ์หันมา
“หน้าที่ของผมคือกำจัดพวกของกรณ์”
“แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เพราะยังไม่มีคำสั่งจากพรายพิฆาต และที่สำคัญผมคิดว่าเป้าหมายของคุณคือการช่วยณัฐชาซะมากกว่า”
“มันเรื่องของผม”
ฤทธิ์จะจากไป ราเมศใช้พลังย้ายมวลสารมาขวางหน้า
“ไม่...ร่างกายคุณยังไม่สมบูรณ์ พรายพิฆาตต้องการให้คุณรออยู่ที่นี่”
ฤทธิ์เหวี่ยงหมัดใส่ ราเมศย้ายมวลสารหนีไป
“ถึงไม่เป็นอมตะ แต่ผมก็ยังมีพลังเหลืออยู่ พลังที่มากพอจะขัดขวางคุณ”
“คุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผมอีกแล้ว ราเมศ”

ราเมศคำรามด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเปิดฉากต่อสู้กับฤทธิ์ราวี ทั้งคู่ใช้วิธีย้ายมวลสารสู้กัน ร่างของพวกเขาเดี๋ยวหายเดี๋ยวโผล่ไปปรากฏอยู่ตามที่ต่างๆอย่างรวดเร็ว ราเมศกับฤทธิ์แลกกำปั้นใส่กันจนต่างฝ่ายต่างกระเด็น

รถจี๊ปทหารแล่นมาจอดหน้ากองปราบ วัฒน์ ยักษ์ เอมี่ลงมาจากรถ ขณะเดียวกันสิงหาก็พาตำรวจออกมารับหน้า
“ผมสารวัตรสิงหา ได้รับมอบหมายให้ประสานงานกับพวกคุณ”
“ไม่ต้องพูดมาก ณัฐชาอยู่ที่ไหน”
“อยู่ที่ห้องขัง เชิญ”
สิงหาหลีกทางให้ยักษ์ วัฒน์ เอมี่เข้าไปข้างใน เอมี่รู้สึกผิดสังเกตก็เอ่ยเตือนวัฒน์และยักษ์
“ท่าทางไม่ค่อยดี ระวังตัวด้วย”
ตำรวจที่คุมสถานที่เปิดประตูให้ไมตรีกับปรีดาเข้ามาหาณัฐชา ปรีดาหันไปบอกตำรวจ
“ออกไปก่อน ผมกับจ่าจะสอบปากคำนักโทษ”
ทันทีที่คล้อยหลังพลตำรวจ ไมตรีรีบมาหาณัฐชา
“พวกมันมากันแล้วครับผู้หมวด แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ พวกผมจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายผู้หมวดเป็นอันขาด”
“ลูกกรงแค่นี้ต้านมันไม่อยู่หรอกหมู่จ่า จะสู้กับพวกมัน เราต้องเล่นงานที่จุดอ่อน”
ไมตรีกับปรีดาต่างสงสัยว่าณัฐชาหมายถึงอะไร

ราเมศใช้อาวุธจะแทงใส่ แต่ฤทธิ์กลับปัดป้องมันให้พ้นทาง ก่อนจะจับร่างราเมศเหวี่ยงกระแทกเสาอย่างรุนแรง ราเมศถึงกับทรุดไปกระอั่กเลือดกับพื้น ฤทธิ์มองหน้า
“บอกแล้วว่าไม่ใช่...”
ทันใดนั้นแสงสว่างก็ปรากฏขึ้น ไอริณโผล่มา
“กล้าดียังไง ถึงขัดคำสั่งฉัน”
“ผมต้องรีบไปช่วยณัฐชา”
ไอริณยกฝ่ามือขึ้นปล่อยพลังใส่ ฤทธิ์รีบพลิกตัวหลบไปหลังเสา
“อย่าบังคับผม ผมไม่อยากสู้กับคุณ”
ราเมศร้องเตือน
“ท่านพรายพิฆาต ยังมีงานใหญ่รอเขาอยู่”
“ฉันไม่สน ใครก็ตามที่ขัดคำสั่งฉัน มันต้องตาย”
ไอริณปล่อยพลังจิตจากฝ่ามือเล่นงานฤทธิ์ เสาเหมือนถูกยิงด้วยปืนลูกซองยาว ปูนระเบิดออกมาเป็นก้อน ฤทธิ์พลิกตัวออกมาจากที่กำบังพร้อมอาวุธปืนในมือและกระหน่ำยิงใส่ไอริณทันที แต่ไอริณกลับใช้พลังจิตหยุดกระสุนเหล่านั้นเอาไว้ก่อนจะเหวี่ยงมันไปซัดใส่ข้างฝา
“ฉันหวังผลร้อยเปอร์เซ็นต์ในการที่นายจะต่อสู้พวกของกรณ์ ดังนั้นนายต้องอยู่รอที่นี่ จนกว่าร่างกายจะสมบูรณ์”
“ผมรอได้ แต่ชีวิตของณัฐชาอาจมีอันตราย”
“ไม่ใช่เรื่องของฉัน”
ฤทธิ์ถือปืนวิ่งไปหาไอริณ แต่กลับถูกอีกฝ่ายใช้พลังฝ่ามือสกัดไว้จนกระเด็นปืนหลุดมือ ฤทธิ์กระโจนขึ้นไปและใช้พลังย้ายมวลสารหายตัวจากเสาต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่ง ก่อนจะหายวูบไป ไอริณกวาดตามองหา ทันใดนั้นฤทธิ์ก็โผล่วูบมาข้างหลัง ไอริณรีบหันมายกฝ่ามือใส่เขาอย่างทันท่วงที แต่ฤทธิ์กลับเบี่ยงหลบไปได้อย่างฉิวเฉียด พร้อมทั้งยกมีดจ่อไอริณเอาไว้
“พอได้รึยัง”
“เอาสิ ฉันอยู่ในร่างของไอริณ เพื่อนหญิงของแก แกฆ่าเธอลงงั้นเหรอ”
ฤทธิ์อึ้งไปอย่างนึกขึ้นได้ ไอริณฉวยโอกาสนั้นใช้ฝ่ามืออีกข้างซัดพลังอัดร่างของฤทธิ์จนไปกระแทกเสา ก่อนจะหันไปชี้นิ้วที่สะพานเดินสายไฟแล้วกระชากสายไปมากมายหลายเส้นออกมาพันร่างของเขาไว้กับเสา ฤทธิ์สะท้านเฮือกเมื่อถูกพลังไฟฟ้าช๊อตอย่างรุนแรง
“คนที่กลายพันธุ์เพราะน้ำตามัจจุราชต่อให้มีอำนาจแค่ไหนก็สู้พลังกระแสไฟฟ้าไม่ได้ หัดจำซะบ้างสิ”
ฤทธิ์มองไอริณอย่างเจ็บแค้น

พวกตำรวจพร้อมอาวุธและตำรวจนอกเครื่องแบบกำลังยืนรักษาการณ์อยู่ขณะที่สิงหานำเอมี่และพวกเข้ามาข้างใน พวกของเอมี่พากันชะงักเมื่อเห็นการตั้งรับที่แน่นหนา
“ไม่ต้องห่วงครับ เราแค่ป้องกันไว้ก่อน ถ้าคุณรักษาคำพูดกับเรา คุณก็จะปลอดภัย”
“ผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่ไหน” วัฒน์ถามเสียงเข้ม
“ห้องขังด้านใน แต่ถ้าคุณกลัวล่ะก็ เดี๋ยวผมพาออกมาก็ได้”
“ไม่ต้อง เราไม่กลัวใครทั้งนั้น พาเราไป”
ยักษ์ขยับจะเดินตามสิงหาแต่เอมี่ก็คว้าตัวไว้เสียก่อน
“ฉันไปเอง พวกนายคอยตรงนี้ดีกว่า...” เอมี่กระซิบเบาๆ “สิบนาที ถ้าฉันไม่ติดต่อกลับมา แปลว่าเรากำลังเจอปัญหา”
ยักษ์เอะใจมองหน้าวัฒน์ที่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ขณะที่สิงหารู้สึกหวาดหวั่นเมื่อพวกศัตรูทั้งหมดไม่ได้เข้าไปสู่กับดักพร้อมกัน

สิงหาเดินนำเอมี่มายังห้องขังกองปราบ เห็นเงาของณัฐชานั่งคอตกอยู่แต่ไกล เอมี่ถึงกับยิ้มออกเมื่อได้เจอกับศัตรูเก่าอีกครั้ง
“ผู้หมวด สหายเก่าของฉัน ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง”
สิงหาหยุดเดิน จงใจหลีกทางให้เอมี่เดินไปดูที่กรงขัง ตอนนั้นเองเอมี่ถึงพบว่าคนทีนั่งอยู่ในห้องขังเป็นหุ่นตัวหนึ่ง
“พวกแกหักหลัง”
“ลงมือ”
ขาดคำสิงหาวิ่งไปหาที่หลบ ขณะที่หน่วยจู่โจมหลายนายโผล่มากระหน่ำยิงใส่เอมี่จนผงะเซไปชนลูกกรง
“ไอ้พวกโง่ของแค่นี้แกคิดเหรอว่าจะหยุดฉันได้”
เอมี่พุ่งตรงไปเล่นงานพวกตำรวจหน่วยจู่โจมทันที ทั้งด้วยอาวุธและมือเปล่าไม่มีใครต้านเธออยู่ สิงหาพยายามยิงปืนใส่เอมี่ แต่ก็ถูกเอมี่หวดจนกระเด็น ณัฐชาปรากฏตัวขึ้นและวิ่งเข้ามาบริเวณที่กำลังตะลุมบอนกันอยู่
“เอมี่”
เอมี่หันไป
“แก...นังตำรวจตัวแสบ”
เอมี่พยายามเล่นงานณัฐชา แต่ณัฐชาชักกระบองไฟฟ้าออกมาเป็นเครื่องป้องกันตัว เอมี่จะต่อยจะคว้าตรงไหนก็โดนณัฐชาขัดขวางด้วยกระบองไฟฟ้าจนเอมี่เป็นฝ่ายระบมซะเอง
“แก…แก”
“แน่จริงก็ตามมาสิ”
ณัฐชาวิ่งล่อเอมี่ไป เอมี่วิ่งตามไปติดๆ ณัฐชาตะโกน
“หมู่...จ่า...”
ณัฐชากระโจนหลบ ไมตรีปรีดาโผล่มาจากที่ซ่อนและใช้ปืนยิงตาข่ายไฟฟ้าใส่ เอมี่โดนไฟช๊อตจนผงะ ยักษ์จ้องนาฬิกาเรือนใหญ่ที่แขวนบนผนังอย่างกังขา ขณะที่วัฒน์คอยกวาดตามองพวกตำรวจอย่างระวังภัย วัฒน์หันมาหายักษ์
“ว่าไง”
“เลยเวลาแล้ว”
“โทรติดต่อเอมี่”
ยักษ์คว้าโทรศัพท์มากดหมายเลขหาเอมี่ แต่ไม่มีคนรับสาย ยักษ์ลดโทรศัพท์ลงอย่างแค้นใจ
“เราถูกหักหลัง”
“ถ้างั้นก็…” วัฒน์สูดลมหายใจตะโกน “ฆ่ามันให้หมด”

จบตอนที่ 13
กำลังโหลดความคิดเห็น