นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 4
ภายในห้องทดลองบริษัทมาดามหลิว เห็นโซเฟียยืนลุ้นรอ ขณะที่เจ้าหน้าที่ในห้องแล็บกำลังวิเคราะห์ผลการตรวจเลือดของคนร้าย ในเหตุการณ์กราดยิงตำรวจและต่อสู้กับนักสู้มหากาฬ
ห้องสมุดบริษัทมาดามหลิว...โซเฟียรายงานมาดามหลิวที่กำลังนั่งอ่านเอกสารจากห้องแล็บมีรูปถ่ายศพของคนร้ายสามคน
“ทางห้องแล็บยืนยันว่าตัวอย่างเลือดของคนร้าย มีน้ำตามัจจุราชกับสารเสพติดเจือปนอยู่”
ชาญขัดขึ้น
“ไม่เห็นแปลกตรงไหน พวกคนร้ายคงย้อมใจก่อนลงมือ”
“แต่เราวิเคราะห์ดูแล้วยาเสพติดกับน้ำตามัจจุราชถูกผสมเข้าด้วยกันซึ่งเชื่อว่านี่เป็นส่วนนึงในแผนการทดลอง”
“มันจะทำไปเพื่ออะไร”
มาดามหลิวเดา
“ลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตของเหยื่อทดลอง คนที่ติดยาจะรับสารตัวนี้ทีละน้อยโดยสมัครใจ และค่อยๆกลายพันธุ์ในที่สุด”
โซเฟียเห็นด้วย
“ถูกต้องค่ะมาดาม เราต้องรีบหยุดการแพร่กระจายของยาเสพติดตัวนี้ ก่อนที่จะสายเกินแก้”
ในออฟฟิศภัตตาคารจีน...บอสส่งยาเสพติดชนิดใหม่ให้ มาวินรับไปมันเป็นหลอดพลาสติกใสขนาดเท่าหลอดกาว เมื่อเปิดฝาออกก็จะเห็นเข็มสำเร็จรูปแบบพร้อมใช้งาน
“นี่เป็นยาเสพติดชนิดใหม่ของเรา มันมีชื่อว่า น้ำตาสวรรค์”
“ไม่ไหวมั้งหุ้นส่วน สมัยนี้เขาฮิตยาบ้ายาไอซ์กัน นายเอาของแบบนี้มาขาย ลูกค้าเขาไม่สนหรอก”
“มันต้องสนแน่ ถ้ารู้ว่าสินค้าตัวนี้ ราคาถูกกว่า แถมออกฤทธิ์แรงกว่า”
“ห๊ะ...เมากว่า แต่ถูกกว่า นี่ขายไม่เอากำไรหรือไง”
“ฮึๆๆๆ สิ่งที่พรายพิฆาตต้องการไม่ใช่เงิน แต่เป็นอำนาจต่างหาก”
มาวินมองบอส และมองยาเสพติดชนิดใหม่นั้นด้วยความกังขา
ณัฐชาขับรถมาส่งฤทธิ์ที่หน้าบริษัทมาดามหลิว
“อย่าลืมที่ตกลงกันไว้ คุณแพ้พนันผม ต่อไปห้ามยุ่งเรื่องระหว่างผมกับไอริณ”
ก่อนที่ฤทธิ์จะเดินไปณัฐชารียกไว้
“เดี๋ยว”
ฤทธิ์หันมา
“ว่าแล้ว”
“ฉันมีเรื่องจะพูดแค่สองเรื่อง เรื่องแรกฉันขอบใจมากที่ช่วยชีวิตฉันเอาไว้”
“แล้วเรื่องที่สอง”
“กระสุนเพ้นท์บอล ฉันไม่หลงกลนายหรอกนะ”
ฤทธิ์ชะงัก
“อะไรนะ”
“ฉันรู้น่า ทั้งหมดเป็นแผนของนาย นายสร้างสถานการณ์ขึ้นเพื่อขู่ฉัน หรือไม่ก็เพื่อให้ไอริณประทับใจ”
ฤทธิ์อึ้ง
“เฮ้ย”
“ไม่รู้ล่ะ ในเมื่อนายใช้วิธีสกปรกกับฉัน เรื่องที่เราตกลงกันก็ถือเป็นอันโมฆะ”
“สรุปจะเบี้ยวว่างั้นเถอะ”
“ก็แล้วแต่นายจะคิด อย่าให้ฉันจับได้ละกันว่านายสร้างสถานการณ์...นายเจ็บแน่”
ณัฐชาเหยียบคันเร่งออกรถไปราวกับพายุ ฤทธิ์ยืนอึ้ง
“อุตส่าห์ช่วยไว้แท้ๆ คนแบบนี้ก็มีด้วย”
ฤทธิ์ต้องชะงักเมื่อออกมาจากลิฟต์ แล้วพบมาดามหลิวกับโซเฟียดักรออยู่ที่ทางเดิน
“เจอศึกหนักมาสิท่า คุณโทมัส”
ฤทธิ์พยักหน้า
“เพื่อนเก่าของผมพยายามทดสอบว่าผมใช่ฤทธิ์ ราวีรึเปล่า”
“แล้วพวกมันทำสำเร็จมั้ย” โซเฟียถามอย่างร้อนใจ
“พวกมันคว้าน้ำเหลว แต่ผมทำสำเร็จ”
ฤทธิ์ชูโทรศัพท์มือถือของเขาขึ้นแล้วกดปุ่ม หน้าจอเป็นโปรแกรมแจ้งตำแหน่งที่ได้รับจากเครื่องส่งสัญญาณ GPS
“ผมแอบติด GPS ไว้บนตัวของพวกมัน”
ณัฐชาขับรถด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“กระสุนเพ้นท์บอล คนร้ายที่ไหนมันจะใช้กระสุนแบบนั้น คอยดูนะนายโทมัส ฉันต้องหาทางกระชากหน้ากากของนายให้ได้”
ขณะเดียวกันนั้นมีโทรศัพท์เข้ามา ณัฐชาเห็นเบอร์ที่โทรอยู่ก็อุทานทันที
“ไอริณ”
ค่ำนั้น สุชาติพาณัฐชามาส่งบริเวณสระน้ำที่ไอริณกำลังรออยู่
“เชิญครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
ไอริณรอจนสุชาติปลีกตัวไป ก็รีบมากอดณัฐชา
“ไอริณนี่มันเกิดอะไรขึ้น ตอนเกิดเรื่องเธอหายไปไหนมา”
“ณัฐชา ฉันมีเรื่องอยากจะให้เธอช่วย”
ไอริณมองซ้ายขวา แล้วดึงณัฐชาหลบมุมมาคุยกัน
“คดีของแม่ฉันที่ฆ่าตัวตาย ฉันอยากได้ข้อมูล”
ณัฐชาอึ้ง
“ไอริณ คดีมันปิดไปตั้งนานแล้วนะ จิตแพทย์ของแม่เธอก็ยืนยัน ว่าแม่เธอมีอาการประสาทหลอน”
“ฉันรู้ ฉันอยากเจอจิตแพทย์คนนั้น เธอช่วยฉันหน่อยได้มั้ย”
“ไอริณ เธอต้องบอกเหตุผลฉันมาก่อน”
“แล้วฉันจะเล่าให้ฟังทีหลัง ถ้าเธอเห็นฉันเป็นเพื่อน เธอต้องช่วยฉัน”
เจอไม้นี้…ณัฐชาก็ได้แต่อึ้งไป
ในห้องครัวภัตตาคารจีน...พ่อครัวและพนักงานเร่งทำอาหาร คนส่งของสองคนแบกกล่องกระดาษเข้ามาทางหลังร้าน แต่กลับเลยออกไปแทนที่จะเก็บไว้ในห้องเก็บของในครัว
กล่องกระดาษหลายใบถูกขนมาวางในห้องมาวิน แหลมเปิดกล่องใบหนึ่งให้มาวินดูยาเสพติดที่ซ่อนอยู่จำนวนมาก มาวินอึดอัด
“เอ่อหุ้นส่วน สินค้าล๊อตแรก จะปล่อยเยอะขนาดนี้เลยเหรอ คือไม่ใช่อะไรหรอกนะ กลัวขายไม่หมดว่ะ ฮ่าๆๆ”
บอสคำรามในคอ และมองไปที่มาวินอย่างไม่พอใจ มาวินหุบยิ้ม
“เออ ๆ ไม่ต้องขู่ก็ได้ เดี๋ยวฉันจะสั่งพวกเด็กๆให้รีบระบายสินค้า พอใจรึยัง”
“ยังมีอีกเรื่องนึง” บอสรอจนมาวินตั้งใจฟัง “ต่อไปนี้ ห้ามแกไปยุ่งกับลูกสาวของท่านนำชัยเด็ดขาด”
มาวินชะงัก
“อะไรวะ อย่าบอกนะว่าแกจะขวางทางรักของฉัน ไม่มีเหตุผลเลยนี่หว่า”
บอสเสียงเข้ม
“ท่านนำชัยเป็นพวกเดียวกับเรา...ทีนี้มีเหตุผลรึยัง”
มาวินกับแหลมอึ้งไป
กรณ์ขับรถมารับบอสไปจากภัตตาคารจีน...แหลมกับมาวินแอบซุ่มมองแล้วหารือกัน
“ขนาดท่านนำชัยยังต้องร่วมมือกับพวกมัน ท่าทางคงไม่ธรรมดาแล้วครับคุณมาวิน แบบนี้เท่ากับเราขี่หลังเสือชัดๆ”
“จะเสือหรือสางข้าไม่สนหรอก อย่ามาลองดีกับข้าก็แล้วกัน ไม่อย่างงั้นได้เปิดศึกกันแน่” มาวินบอกเครียดๆ
โซเฟียใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ค้นหาตำแหน่ง GPS ของยักษ์ ในห้องสมุดบริษัทมาดามหลิว...
“เป้าหมายของโทมัส มีการเคลื่อนไหวแล้วค่ะมาดาม”
“มุ่งหน้าไปที่ไหน” มาดามหลิวถามเสียงเข้ม
เอมี่กับยักษ์รายงานผลให้ บอสและกรณ์รับฟังอยู่ในอาคารร้าง
“ผมว่าไอ้โทมัสอะไรนั่น มันไม่ใช่ฤทธิ์ ราวีหรอกบอส วันนี้ผมเกือบจะฆ่ามันไปแล้ว” ยักษ์ยืนยัน
“ใช่...ถ้าไม่เสียท่าซะก่อน” เอมี่แขวะ
ยักษ์มองเอมี่อย่างไม่พอใจ
“อย่าเพิ่งด่วนสรุป เรื่องนี้เราต้องตรวจสอบให้แน่ชัด” บอสหันมาสั่งกรณ์ “กรณ์ ในระหว่างนี้แกต้องดูแลความปลอดภัยของท่านนำชัยกับนายมาวินเป็นพิเศษ”
“ทำไมเหรอครับบอส” กรณ์ถามอย่างไม่เข้าใจ
“เราต้องใช้เส้นสายของท่านนำชัย กับเครือข่ายของนายมาวินในการค้ายาเสพติดของพวกเรา ซึ่งฉันเชื่อว่าอีกไม่นานมือสังหารชุดดำจะต้องรู้เรื่องนี้”
“บอสคิดว่าท่านนำชัย กับนายมาวินกำลังจะถูกฆ่าเหรอคะ”
ในระหว่างนั้นฤทธิ์ในคราบของนักสู้มหากาฬ โผล่หน้ามาลอบฟังการสนทนาของพวกมัน บอสรู้สึกได้
“นั่นใคร”
กรณ์รีบชักปืนหันไปยิงใส่ นักสู้มหากาฬรีบหลบไปอย่างรวดเร็ว
กรณ์ เอมี่ ยักษ์ตามออกมาหน้าอาคารร้าง เอมี่เห็นนักสู้มหากาฬกำลังหนีไปทางหนึ่ง
“มันอยู่ทางนั้น”
เอมี่ กรณ์ ยักษ์ กระหน่ำยิงใส่นักสู้มหากาฬ ทำให้นักสู้มหากาฬต้องชักดาบออกมาปัดป้องกระสุน ก่อนจะกดปุ่มสปริงยิงใบดาบขึ้นไปเจาะเข้าเสาบนยอดอาคารร้าง นักสู้มหากาฬกดปุ่มอีกครั้งเพื่อดึงตัวเองขึ้นไปยังด้านบน
นักสู้มหากาฬกระโจนขึ้นมาดาดฟ้า เขาคิดว่าตัวเองคงหนีศัตรูพ้นแล้ว แต่ผิดถนัด เมื่อบอสที่ยืนดักรออยู่ด้านหลังของเขาได้ตะปบที่ข้อมือตัวเอง ทำให้ดาบกลที่ซ่อนอยู่ดีดผึงออกมา นักสู้มหากาฬรีบชักดาบคู่ของตนแล้วหันไปรับมือกับบอสอย่างรวดเร็ว แรงกระทบของอาวุธก่อให้เกิดเสียงดังกึกก้องและประกายไฟแปลบปลาบน่ากลัว ทั้งคู่เบียดอาวุธใส่กันด้วยพละกำลังที่เหนือมนุษย์ทั่วไป
“พรายพิฆาต”
“แกทายผิดแล้วมือสังหาร ฉันเป็นแค่หัวหน้าสาขาคนนึงเท่านั้น พรายพิฆาตตัวจริงยิ่งใหญ่เกินกว่าที่แกจะเอ่ยถึง”
“ใหญ่แค่ไหนก็เป็นแค่อาชญากร”
บอสคำรามด้วยความโกรธ และอาศัยกำลังที่เหนือกว่ายันนักสู้มหากาฬจนถอยไปชิดผนัง แต่นักสู้มหากาฬก็อาศัยชั้นเชิงของเพลงดาบที่คล่องแคล่วกว่าเล่นงานบอสจนเซไป คมดาบของบอสเฉี่ยวแขนนักสู้มหากาฬจนเป็นแผลเล็กๆ แต่มันก็สมานตัวอย่างรวดเร็ว บอสชะงักไปนิด
“น้ำตามัจจุราช...ฮ่าๆวิเศษ มีมนุษย์ไม่กี่คนหรอกที่ได้รับน้ำตามัจจุราชเข้าไปแล้ว ยังมีสภาพเหมือนคนปกติ เหมือนแกกับฉัน ฮ่าๆ”
คำพูดของบอส ทำให้นักสู้มหากาฬอึ้งไปนิด ก่อนที่บอสจะแสดงพลังพิเศษของตนออกมาด้วยการหายตัวไปอย่างรวดเร็ว เสียงบอสดังก้อง
“น้ำตามัจจุราช มีอำนาจมากกว่าที่แกคิด”
บอสเคลื่อนย้ายมวลสารของตนอย่างรวดเร็ว ปรากฏที่ซ้ายขวาหน้าหลังของนักสู้มหากาฬและจ้วงแทงใส่จนนักสู้มหากาฬตั้งรับไม่ทัน รวดเดียว เขาโดนแทงและฟันโดนส่วนต่างๆหลายแห่ง และมีแผลหนึ่งที่แทงทะลุเกราะเขาอีกด้วย
“แกสู้ฉันไม่ได้หรอก ไอ้มือสังหาร”
บอสเตรียมแทงใส่อีก นักสู้มหากาฬตัดสินใจใช้วิธีกดปุ่มสปริงยิงดาบใส่ แต่บอสก็หายตัวหลบไปได้ ก่อนจะพุ่งเข้าใส่นักสู้มหากาฬอย่างต่อเนื่องโดยไม่รู้ว่านั่นเป็นกลอุบาย นักสู้มหากาฬกระตุกด้ามดาบ ทำให้ใบดาบที่ถูกยิงออกไปพุ่งกลับเข้ามา แล้วปักใส่กลางหลังของบอสเข้าเต็มเหนี่ยว บอสคำรามด้วยเสียงที่เหมือนอสูรร้าย มันใช้มือจับคอนักสู้มหากาฬเหวี่ยงออกไปนอกอาคาร
นักสู้มหากาฬกดปุ่มสปริงยิงใบดาบอีกเล่มไปเจาะผนัง เพื่อใช้เส้นเอ็นที่ยึดดาบเป็นตัวผ่อนแรงในการหล่นสู่พื้น ดาบที่ตรึงผนังถูกน้ำหนักของนักสู้มหากาฬกระชากจนหลุด ร่างของนักสู้มหากาฬร่วงกระแทกฟื้นอย่างแรงพอสมควรในเวลานั้นเองที่กรณ์ ยักษ์ เอมี่ ตามมาถึง ยักษ์ชี้ไป
“มันอยู่นั่น”
“ฉันจัดการเอง”
เอมี่ถือปืนวิ่งแซงคนอื่นเข้าไปหานักสู้มหากาฬ ที่ยังตั้งหลักไม่ได้เพราะอาการบาดเจ็บแต่แล้วโซเฟียก็ขับมอเตอร์ไซด์สวนเข้ามาอีกทาง โดยมีหมวกกันน็อกอำพรางโฉมหน้าเธอควักปืนยิงใส่เอมี่โดยไม่ต้องจอดรถ ยักษ์ชะงัก
“ใครวะ”
กรณ์ตะโกนลั่น
“เอมี่ ระวัง”
เอมี่แผดร้องด้วยความแค้น เธอวิ่งตรงไปและยิงใส่โซเฟียอย่างไม่ยอมถอยเช่นกัน สองสาวสาดกระสุนเข้าหากันอย่างดุเดือด โซเฟียถูกยิงที่ไหล่ เอมี่ก็ถูกยิงที่บ่าเช่นกัน กรณ์เห็นท่าไม่ดีก็กระชากตัวเอมี่หลบเข้าที่กำบัง
“เอมี่หลบไปก่อน”
โซเฟียจอดรถข้างๆนักสู้มหากาฬแล้วบอกเขา
“ขึ้นรถ”
ทันทีที่นักสู้มหากาฬขึ้นซ้อนท้าย โซเฟียก็ขับรถหนีจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้พวกกรณ์ เอมี่ และยักษ์มองตามอย่างเจ็บแค้น
รถบรรทุกคันหนึ่งจอดอยู่ที่ริมถนนเปลี่ยว ชาญอยู่ในชุดพนักงานของบริษัทมาดามหลิว กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รอฤทธิ์เช่นเคย ก่อนจะพบสิ่งผิดสังเกตเมื่อได้ยินเสียงมอเตอร์ไซด์แล่นมา แต่เมื่อมองไปที่กระจกกลับเห็นคนขับคือโซเฟีย
“โซเฟีย”
รถมอเตอร์ไซด์จอดบนตู้คอนเทรนเนอร์ท้ายรถเรียบร้อย นักสู้มหากาฬร่วงลงมากับพื้นในสภาพบาดเจ็บสาหัส ส่วนโซเฟียกุมแผลเซไปพิงผนังอย่างอ่อนล้าเช่นกัน ชาญขึ้นมาดูด้วยความเป็นห่วง
“คุณโทมัส โซเฟีย”
“รีบพาเขากลับไปที่ห้องแล็บ ไม่งั้นคราวนี้เขาตายจริงๆแน่”
ชาญตกใจ เพราะนักสู้มหากาฬไม่เคยตกอยู่ในสภาพแบบนี้มาก่อน
กรณ์ เอมี่ ยักษ์กลับเข้ามาในอาคารร้างอีกครั้ง เอมี่กุมแผลที่ถูกยิง ขณะนั้นบอสกำลังนั่งคอตกอยู่ ย่างเหนื่อยล้าพอสมควร แผลที่หลังของบอสมีเลือดสีเดียวกับของนักสู้มหากาฬ เลือดนั้นเรืองแสงได้ในที่มืด กรณ์เข้ามาบอก
“บอส มันหนีไปได้ มีคนมาช่วยมัน”
“พวกมันตามมาได้ยังไง”
กรณ์เอะใจคว้าโทรศัพท์มือถือออกมา และใช้โปรแกรมเช็คสัญญาณ GPS ก่อนจะหันมาที่ยักษ์
“แกมีโทรศัพท์กี่เครื่อง”
“เครื่องเดียว อยู่นี่ไง”
ยักษ์ล้วงกระเป๋าซ้ายขวาหาโทรศัพท์ก่อนจะชะงักไปค่อยๆชักสองมือออกมา มือข้างนึงถือโทรศัพท์ แต่อีกข้างถือเครื่องส่งสัญญาณ GPS ยักษ์งงๆ
“มาได้ยังไงวะ”
กรณ์รี่เข้าชกยักษ์เปรี้ยงจนคว่ำไปกับพื้น
“ไอ้โง่ ถ้าคราวหน้าแกทำพลาดแบบนี้อีก ฉันจะฆ่าแก”
เอมี่มองยักษ์อย่างสุดเซ็ง ขณะที่บอสคำรามออกมาเบาๆ
“มือสังหารชุดดำ มันเป็นใครกันแน่”
ในห้องทดลองบริษัทมาดามหลิว...ฤทธิ์รู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งและพบว่าเขากำลังแช่ตัวอยู่ในกล่องกรรแสง โดยมีมาดามหลิวคอยเฝ้าอาการ และมีเจ้าหน้าที่เทคนิคคนนึงคอยดูแลอุปกรณ์อยู่ห่างๆ ฤทธิ์พูดขึ้นเบาๆ
“มาดาม”
“โซเฟียบอกฉันว่า เธอเกือบตาย”
“ผมเจอกับมัน หัวหน้าสาขาของพรายพิฆาต”
“บอสน่ะเหรอ ฉันเคยเจอกับมันมาแล้วครั้งนึง ก่อนที่ครอบครัวของฉันจะถูกสังหารหมู่”
“คุณทายถูกเรื่องยาเสพติด กับเรื่องท่านนำชัย เขาเป็นสมาชิกของพรายพิฆาต”
มาดามหลิวพยักหน้า
ชาญบรรจงเย็บแผลให้โซเฟียอย่างระมัดระวัง โซเฟียนั่งนิ่งไม่ได้แสดงความรู้สึกเจ็บปวด
“ไม่เจ็บบ้างหรือไง”
“มาดามเคยบอกว่าคนเราถ้าควบคุมสติได้ ก็จะควบคุมความรู้สึกได้ทั้งหมด ฉันไม่เจ็บ”
ชาญยิ้มขำ
“ทฤษฎีบางอย่างมันก็สวยหรูแค่ในตำรา เธอไม่จำเป็นต้องเชื่อไปหมดทุกอย่างหรอกนะโซเฟีย”
“ฉันเชื่อมาดาม”
ชาญมองโซเฟียอย่างอึ้งๆ แกมเอ็นดูเด็กดื้อจริงๆ
วันต่อมา บรรดาตำรวจตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ ราเมศยืนดูสัญลักษณ์ของพรายพิฆาตบนกำแพงอย่างใช้ความคิด ณัฐชาเดินเข้ามาสมทบ
“ใช่พวกมันรึเปล่าคะ”
ราเมศพยักหน้า
“พรายพิฆาต ปะทะกับเพื่อนเก่าของเรา”
ราเมศส่งซองพลาสติกบรรจุหลักฐานให้ณัฐชารับไปดู เห็นเศษหัวกระสุนที่ถูกตัดด้วยคมดาบ
“หัวกระสุนถูกตัดด้วยของมีคม”
“มือสังหารชุดดำเหรอคะ”
“ดูเหมือนว่าเขาจะสืบเจอพรายพิฆาต เร็วกว่าเราซะอีก”
ปรีดาโผล่มา
“ผู้กอง...ผู้หมวดครับ จ่าขอเชิญทางนี้หน่อยครับ”
หลังอาคารร้าง...ปรีดาพาราเมศกับณัฐชามาหาไมตรีที่กำลังยืนดูคราบของเหลวบางอย่างซึ่งเป็นสีฟ้า ราเมศถามอย่างสงสัย
“อะไรจ่า สารเคมีเหรอ”
“ตอนแรกผมก็คิดแบบนั้นครับสารวัตร แต่มันมีกลิ่นคาวเลือด”
ณัฐชาส่ายหน้า
“พูดเป็นเล่น เลือดที่ไหนจะสีแบบนี้”
ปรีดาหันมาบอก
“ถ้าผู้หมวดไม่เชื่อก็ลองพิสูจน์ดูสิครับ”
“ผมเอง”
ราเมศลองเอานิ้วแตะคราบสีฟ้านั้นมายีๆและดมดูก่อนจะหันไปบอกณัฐชา
“เลือดคน”
ณัฐชาถึงกับอึ้งไป เมื่อนึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง...ตอนที่ฤทธิ์โดนยิงนอนเจ็บอยู่เบาะหลังเธอเลือดเขามีสีฟ้า เธอเหยียบเบรก จอดรถพรืดแล้วหันมาดูฤทธิ์อย่างไม่เชื่อสายตาตกใจจนพูดไม่ออก ได้แต่ชี้ๆๆ
“นี่คุณ…คุณ…คุณ…คุณ…”
“อะไร”
“ก็คุณถูกยิงนี่ แล้วลุกขึ้นมาได้ยังไง แล้วนั่นแผลคุณ...ทำไมเลือดคุณถึงเป็นสีฟ้าล่ะ”
ฤทธิ์ลุกขึ้นจากกล่องกรรแสง ชาญหาเสื้อคลุมให้เขาสวมและเตรียมพากลับที่พัก แต่แล้วโซเฟียก็เข้ามาพอดี
“ตำรวจหญิงคนนั้นต้องการพบคุณ ท่าทางมีเรื่องสำคัญมาก”
ชาญขัดขึ้น
“แต่อาการบาดเจ็บของโทมัสยังไม่หายดีเลยนะ”
โซเฟียมองหน้าฤทธิ์
“ขืนชักช้า ฉันว่าเธอต้องบุกขึ้นมาแน่”
“ไม่เป็นไร บอกให้เธอรอสักครู่ เดี๋ยวผมจะออกไป” ฤทธิ์ตัดสินใจ
ในห้องสมุดบนบริษัทมาดามหลิว...ณัฐชาเหลือบดูโลโก้ของบลูฟินิกซ์ที่ปรากฏอยู่บนเฟอร์นิเจอร์บางอย่าง แล้วจึงหันไปถามมาดามหลิวที่นั่งอยู่เป็นเพื่อน
“บลูฟินิกซ์ฟาร์ม่า บริษัทของมาดามชื่อเพราะดีนะคะ ไม่ทราบว่ามีความหมายอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า”
“สีน้ำเงินเป็นสีโปรดของสามีฉันเองค่ะ ส่วนนกฟินิกซ์ใครๆก็รู้ว่ามันคือสัญลักษณ์ของการเป็นอมตะ”
“นกฟินิกซ์คืนชีพจากความตาย…ให้ความรู้สึกดีเหมือนกันนะคะ สำหรับบริษัทยา”
มาดามหลิวยิ้มรับก่อนที่โซเฟียจะพาฤทธิ์เข้ามา
“มาดามคะ คุณโทมัสมาถึงแล้วค่ะ”
มาดามหลิวกับณัฐชามองไปเห็นฤทธิ์อยู่ในสภาพปกติ ไม่มีวี่แววของการเจ็บป่วย มาดามหลิวหันไปบอกณัฐชา
“ถ้ายังไงฉันขอตัวก่อนนะคะ พวกคุณจะได้สนทนากันตามลำพัง”
โซเฟียพามาดามหลิวออกไป ณัฐชานั่งคุยกับฤทธิ์อย่างจับพิรุธเรื่องคนร้ายเมื่อวาน
“ผมว่าเป้าหมายของมันคือคุณมากกว่านะ ไม่น่ามาสอบถามอะไรผมเลย”
“ตกลงเมื่อวานคุณบาดเจ็บรึเปล่า”
ฤทธิ์ยักไหล่
“ผมบอกคุณแล้วไง มันก็แค่กระสุนเพ้นท์บอล”
“ฉันขอดูแผลคุณหน่อยได้มั้ย”
ฤทธิ์ชะงัก
“ผมไม่มีแผล กระสุนเพ้นท์บอลทำได้อย่างมากก็แค่รอยช้ำ”
“แต่ฉันสงสัยว่าคุณอาจจะบาดเจ็บมากกว่านั้น จากเหตุการณ์อื่น”
บรรยากาศเริ่มตึงเครียด ฤทธิ์พยายามเลี่ยงการตรวจสอบ เขาพูดจริงจัง
“ตามกฎหมาย คุณไม่มีสิทธิ์บังคับผม”
“ฉันรู้...แต่เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ คุณก็น่าจะพิสูจน์ตัวเองบ้าง”
ฤทธิ์ยืนขึ้น
“ก็ได้…เชิญ”
ณัฐชาชะงัก
“หือ”
“ถ้าคุณอยากดูก็เข้ามาถอดเองสิ ผมอนุญาต”
“อ้าว...คุณก็ถอดสิ”
“ไม่ใช่หน้าที่ของผม ถ้าคุณไม่กล้า ธุระของเราก็จบแค่นี้”
ฤทธิ์ทำท่าจะเดินหนี ณัฐชารีบยืนขึ้น
“เดี๋ยว ใครบอกว่าฉันไม่กล้า”
ณัฐชาเดินมาตรงหน้าฤทธิ์แล้วบ่นพึมพำกับตัวเอง
“ทำไมเราต้องทำแบบนี้ด้วยวะ”
ฤทธิ์ยิ้มขำ ขณะที่ณัฐชาปลดกระดุมเสื้อเขาออกเขินๆ ฤทธิ์ชักรำคาญก็เลยถอดให้
“เอาดูซะ ว่าผมบาดเจ็บรึเปล่า”
ณัฐชากวาดสายตามองจนทั่ว แถมเดินอ้อมไปดูด้านหลังก็ไม่เจอแผลเลยสักแผล แต่มีรอยคล้ายๆรอยช้ำหลายแห่ง
“มีแต่รอยช้ำจริงๆด้วย แล้วรอยอื่นมันมาจากไหน”
“ผมชอบเล่นกีฬา คุณก็รู้นี่”
“กีฬาในร่มผ้าน่ะสิ” ณัฐชาประชดแล้วบุ้ยหน้า ”ใส่เสื้อได้แล้ว...อุจาด”
ณัฐชาขยับจะเดินหนี ฤทธิ์ขวาง
“เดี๋ยวผู้หมวด ถอดแล้ว กรุณาใส่คืนให้ด้วย”
“เฮ้ย...มันจะมากไปแล้วนะ เห็นฉันเป็นเมียคุณหรือไง เดี๋ยวให้ถอดเดี๋ยวให้ใส่”
“คุณเป็นคนขอร้องผมเองนะ อย่าลืมสิ”
“ไม่รู้ ไม่สน ฉันจะไปแล้ว ใส่เองก็แล้วกัน”
ณัฐชาเตรียมเผ่น พอเห็นฤทธิ์ขยับจะขวางอีก เธอก็ชักปืนออกจากซองทันที แต่ฤทธิ์ก็รีบกดมันกลับเข้าที่เดิมก่อนจะล็อกตัวเธอเอาไว้ในอ้อมกอดณัฐชาตกใจ
“อย่าทำอะไรบ้าๆนะคุณโทมัส ฉันเอาเรื่องคุณจริงๆด้วย”
“บอกผมมาก่อนผู้หมวด ว่าคุณตามหาอะไรอยู่กันแน่”
“มันเรื่องของฉัน งานของฉัน คุณไม่ต้องมายุ่ง”
“หรือว่า…ความจริงคุณชอบผม ก็เลยใช้ไอริณกับเรื่องงานมาบังหน้า”
“พูดดีๆนะคุณโทมัส กล่าวหากันแบบนี้ฉันถือว่าดูหมิ่นเจ้าพนักงานนะจะบอกให้”
“ก็ทีคุณยังดูหมิ่นผมได้เลยนี่ กล่าวหาผมสารพัด แถมยังบังคับให้ผมถอดเสื้อผ้าอีก แบบนี้คุณว่านักข่าวจะสงสัยใครมากกว่ากัน ระหว่างตำรวจหญิงใจร้าย กับเศรษฐีหนุ่มรูปงาม”
ณัฐชาทำท่าอ้วก
“แหวะ...หลงตัวเอง”
ฤทธิ์ยิ้มขำ ณัฐชาฉวยโอกาสนั้นกระทืบเท้าจนเขาเผลอปล่อยมือ
“อู้ย...เอาจริงเหรอคุณตำรวจ แบบนี้มันทำร้ายประชาชนนะคุณ”
“ฝากไว้ก่อนเถอะนายโทมัส งานนี้ฉันต้องเอาคืนแน่”
ณัฐชาเดินออกมาที่ล็อบบี้บริษัทมาดามหลิว เธอเกาหัวมาอย่างงุนงง ขณะที่ไมตรีปรีดายืนรออยู่
“ฮึย...เป็นไปได้ยังไง ปกติเซ้นส์เราทำงานไม่เคยพลาดนี่หว่า”
ไมตรีเข้ามาถาม
“ผู้หมวด...ว่ายังไงครับ ได้เรื่องรึเปล่า”
“ตกลงผู้หมวดสงสัยว่าคุณโทมัสจะเป็นนักฆ่าชุดดำเหรอครับ” ปรีดาถามอย่างสงสัย
ณัฐชาหน้าตามุ่งมั่น
“ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐาน แต่อีกหน่อยต้องมีแน่”
ไมตรีไม่เข้าใจ
“ยังไงเหรอครับ”
“สองวันนี้ จ่ากับหมู่คอยจับตาดูหมอนี่เอาไว้ ถ้ามีความเคลื่อนไหวอะไรให้รายงานฉัน”
ฤทธิ์กำลังแอบจับตาณัฐชาอยู่มุมหนึ่งเงียบๆ ก่อนที่โซเฟียจะพามาดามหลิวมาสมทบ
“ตำรวจหญิงคนนี้ สงสัยคงกัดเธอไม่ปล่อยแน่โทมัส”
โซเฟียมองณัฐชาอย่างไม่ไว้ใจ
“ฉันว่าเราควรจัดการกับเธอซะ ก่อนที่จะเกิดเรื่อง”
ฤทธิ์ขัดขึ้น
“แต่ผมมีวิธีอื่น...ผมจะทำให้ณัฐชากลายเป็นพวกเดียวกับเรา”
มาดามหลิวกับโซเฟียต่างสงสัยว่าฤทธิ์จะทำแบบนั้นได้อย่างไร
อาคารจอดรถกองปราบบรรยากาศวังเวง ณัฐชาเพิ่งลงจากรถและโทรศัพท์หาไอริณ
“ฮัลโหลไอริณ ที่อยู่ของจิตแพทย์คนนั้นฉันส่งไปทางอีเมลแล้วนะ แต่วันนี้คงไปกับเธอไม่ได้...ฮืม มีงานต้องเคลียร์น่ะ เอางี้สิ วันนี้ผู้กองราเมศเขาลาหยุด เธอลองโทรไปชวนเขาดูสิ...จ้ะ แล้วได้ผลยังไง โทรรบอกฉันด้วยนะ”
ณัฐชาเพิ่งวางสายแต่แล้วก็เห็นเงาคนพุ่งผ่านไปแวบๆ
“นั่นใครน่ะ”
ไม่มีเสียงตอบณัฐชารีบชักปืนเล็งไปทันที เงาคนนั้นพุ่งผ่านไปทางซ้ายทีขวาทีอย่างรวดเร็วจนเธอต้องเล็งปืนตามด้วยความสับสนครั้งแล้วครั้งเล่า...ณัฐชาเล็งปืนตามเงาดำนั้นก่อนที่นักสู้มหากาฬจะโผล่มาตะปบปืนไปจากมือเธออย่างรวดเร็ว
“ใจเย็นๆผู้หมวด นี่ผมเอง”
“นาย...นายกล้าดียังไงถึงบุกมาที่กองปราบ”
“ผมแค่มาทวงคำตอบจากคุณ เรื่องข้อเสนอ”
“ฉันจะรู้ได้ยังไง ว่านายเชื่อใจได้”
“ผมมีข่าวสำคัญจะบอกคุณ และถ้าข่าวของผมเป็นความจริงมันจะเป็นเครื่องยืนยันตัวผม”
“ข่าวอะไร”
“ท่านนำชัย เป็นสมาชิกของพรายพิฆาต”
ณัฐชาถึงกับตะลึงเมื่อได้ยินข่าวนี้
ไอริณจะออกไปข้างนอก แต่ไม่ทันถึงประตูกรณ์ก็โผล่มาทัก
“จะไปไหนเหรอครับคุณไอริณ”
ไอริณหันมาเซ็งๆ
“จะไปไหนมันก็เรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับนาย”
“ผมก็แค่ถามไปตามหน้าที่ของบอดี้การ์ด”
“บอดี้การ์ดหรือผู้คุมกันแน่ บอกไว้ก่อนนะ ถ้านายแตะต้องฉันอีกละก็ ฉันเอาเรื่องนายแน่”
กรณ์เข้ามาใกล้ เหมือนคุกคาม
“คุณคิดว่าคุณจะทำอะไรผมได้งั้นเหรอ”
ทันใดนั้นเสียงราเมศดังขึ้น
“อะแฮ่ม คุณไอริณครับ”
กรณ์ชะงักมองไปและเจอราเมศยืนอยู่ ไอริณรีบผละหนีจากกรณ์ไปหาเขา
“ผู้กองมาพอดีเลย เราไปกันเถอะค่ะ”
ราเมศมองหน้ากรณ์อย่างเอาเรื่อง กรณ์ยิ้มไม่รู้ไม่ชี้
ราเมศขับรถมาส่งไอริณที่หน้าคลีนิคนายแพทย์ประชา สภาพคลีนิคค่อนข้างเก่าและปิดกิจการไปแล้ว ทว่าเมื่อก่อนคงเคยรุ่งเรืองประมาณหนึ่ง ราเมศหันมาถามอย่างสงสัย
“คลีนิคนายแพทย์ประชา เรามาที่นี่ทำไมเหรอครับคุณไอริณ”
“เอ่อ...คุณหมอท่านเป็นเพื่อนเก่าของคุณแม่ค่ะ ฉันตั้งใจว่าจะแวะมาเยี่ยม”
“ถ้างั้นผมเข้าไปเป็นเพื่อนนะครับ”
“อุ้ย ไม่ต้องหรอกค่ะผู้กอง รอตรงนี้ดีกว่า ฉันเข้าไปไม่นานหรอกค่ะ”
ราเมศดูออกว่าไอริณมีเรื่องปิดบังตน เขาได้แต่ฝืนยิ้มไม่ว่าอะไร
ไอริณกดกริ่งหลายครั้ง คลีนิคของนายแพทย์ประชาว่างเปล่ามีเพียงขวดเหล้าที่ดื่มพร่องไปมากแล้วกับแก้วเหล้าวางอยู่ สักครู่เงาคนเดินลงมา...หมอประชาเปิดประตูออกมาดู เขาเป็นชายสูงวัยท่าทางเก็บตัว
“ต้องการอะไร”
“ฉันเป็นลูกสาวบุญธรรมของคุณสุดาค่ะ ฉันมีเรื่องสงสัยบางอย่าง อยากจะให้หมอช่วย”
หมอประชามองไอริณอย่างลังเล
ไอริณกำลังนั่งอยู่ในคลีนิคอย่างแหยงๆ ลึกๆเพราะว่าค่อนข้างอับและสกปรกพอสมควร หมอประชาเอาน้ำมาให้ก่อนที่จะสนทนากับเธอ
“คุณสุดาเธอเป็นคนไข้ของผมก็จริง แต่เธอไม่ได้มีอาการจิตหลอน เธอมาที่นี่ก็เพราะมีอาการเครียด เครียดจนนอนไม่หลับ”
“เกี่ยวกับอะไรเหรอคะ”
หมอประชาลังเล
“ท่านนำชัยขอร้องให้ผมบอกตำรวจไปว่า ภรรยาของท่านมีอาการทางประสาท เรื่องนี้มัน…มันค่อนข้างอันตราย”
“คุณหมอคะ ฉันสัญญาค่ะว่าจะปิดความลับ ฉันแค่อยากรู้เท่านั้นเองว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณแม่”
“ผมมีบันทึกประวัติของเธอ กับเทปตอนที่เธอให้ข้อมูล บางทีคุณน่าจะฟังด้วยตัวเอง”
หมอประชาปลีกตัวจะเข้าไปด้านหลัง เขาชะงักหันมาถามไอริณ
“คุณไอริณ คุณรู้จักพ่อคุณดีแค่ไหน แล้วรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับพรายพิฆาต”
ไอริณตอบไม่ถูกเพราะเธอไม่รู้เลย หมอประชายิ้มสลด
“ฮึ...ถ้างั้นก็เตรียมช็อกได้เลย ช็อกเหมือนกับที่ผมเคยเจอมาก่อนหน้านี้”
หมอประชาเดินหายไป
ราเมศนั่งรออยู่บนรถอย่างเซ็งๆ จนแล้วจนรอดไอริณก็ไม่ออกมาซะที เขาตัดสินใจเปิดประตูลงจากรถเพื่อเข้าไปตามเธอ
ไอริณเดินสำรวจดูสภาพของคลีนิคระหว่างรอหมอประชาทำให้เธออดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา แต่แล้วในระหว่างนั้นเองเธอก็เห็นรอยสีไหลหรือหยดมาเอื่อยๆ เมื่อมองขึ้นไปจึงเห็นโลโก้ของพรายพิฆาตถูกวาดทิ้งเอาไว้
“คุณหมอ...คุณหมอคะ”
ไอริณวิ่งเข้ามาในห้องทำงานหมอประชาซึ่งเปิดประตูแง้มไว้ และมีแสงสว่างอยู่
“คุณหมอคะ ตะกี๊ฉันเห็น…”
ไอริณชะงักเมื่อเห็นหมอประชานั่งคอตก หันหน้าเข้าหาตู้เก็บเอกสาร เธอจึงค่อยๆดึงให้หันกลับมาและพบว่าเขาถูกฆ่าตายเสียแล้ว ไอริณตกใจแต่ยังคุมสติได้ เธอค่อยๆก้าวถอยออกมาจากห้อง
แต่ที่ทางเดินหน้าห้องนั่นเอง บอสตะปบที่ข้อมือตนเองดาบที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อพุ่งออกมา ไอริณหันไปเห็นบอสยืนอยู่ในเงามืดก็ตกใจยิ่งกว่าเห็นผี คราวนี้เธอร้องกรี๊ดดังลั้น ขณะที่บอสเดินตรงดิ่งมาหาเธอ ด้วยทางที่บังคับทำให้ไอริณหนีออกด้านหน้าไม่ได้เลยต้องหนีขึ้นบันไดไปข้างบนแทน บอสเดินตามมาติดๆ ขณะที่ไอริณล้มลุกคลุกคลานแข้งขาอ่อนด้วยความกลัวสุดขีด บอสเอื้อมมือมากระชากขาเธอไว้ ไอริณหันมาถีบใส่บ่าของบอสจนหงาย ก่อนที่จะหนีต่อไป
ไอริณหนีเข้ามาในห้องๆหนึ่ง แล้วรีบล็อกประตูก่อนจะดึงเก้าอี้มากีดขวางเอาไว้ เมื่อบอสตามมาถึงมันก็พยายามพังประตูเข้ามา ขณะที่ไอริณพยายามหนีออกไปทางหน้าต่าง แต่ติดตรงที่มีแม่กุญแจเล็กๆล็อกอยู่
“มีใครอยู่มั้ย ช่วยฉันด้วย ผู้กอง คุณได้ยินฉันรึเปล่า ผู้กอง”
บอสเริ่มพังประตูเข้ามาแล้ว ไอริณคว้าของแข็งที่หาได้แถวนั้นมาทุบแม่กุญแจอย่างเร่งรีบ
“พังซะทีไอ้กุญแจบ้า พังซะที”
บอสถีบประตูจนเปิดออก ขณะที่ไอริณพังกุญแจได้สำเร็จและปีนออกไปนอกหน้าต่าง มือบอสกระชากผมของไอริณจนหงายหลังกลับเข้ามาในห้อง ก่อนที่มันจะชูดาบขู่ตรงหน้าเธอ
“นี่เป็นคำเตือนสุดท้าย เลิกยุ่งกับเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่ปรานีเธอเด็ดขาด”
ไอริณกลัวจนแทบจะลืมหายใจ
ราเมศเพิ่งแง้มประตูเข้ามามองหาไอริณ
“คุณไอริณ คุณยังอยู่ในนี้รึเปล่า คุณไอริณ”
ไอริณนั่งกอดเข่าอยู่ที่บันไดด้วยอาการหวาดผวาจนช็อก ราเมศเห็นอาการของเธอก็รีบเข้าไปดู
“ไอริณ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“ฉันเห็น…ฉันเห็นมัน…”
“อะไรนะ”
ไอริณร้องไห้
“มันบอกว่าจะฆ่าฉัน”
ไอริณกอดราเมศแล้วร้องไห้โฮ จังหวะนั้นเองที่ราเมศเหลือบไปเห็นสัญลักษณ์ของพรายพิฆาต จึงเริ่มเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น
นำชัยคุยโทรศัพท์กับราเมศอยู่ในห้องทำงาน
“ใช่ จิตแพทย์คนนั้นเคยเป็นแพทย์ประจำตัวของเมียผม แล้วไอริณปลอดภัยรึเปล่า รีบพาเธอกลับมาบ้านเดี๋ยวนี้ ผู้กอง ผมจะรอ”
นำชัยวางสายก่อนจะมองไปที่กรณ์ซึ่งนั่งเต๊ะจุ๊ยจิบเหล้าอยู่
“ถ้าเกิดความแตกขึ้นมาจริงๆ ท่านจะทำยังไง หมายถึงถ้าไอริณรู้เรื่องของพรายพิฆาต”
“ลูกสาวฉัน ฉันจัดการเองได้”
“เชิญตามสบายครับท่าน ภาวนาอย่าให้ผมต้องลงมือก็แล้วกัน เพราะถ้าเป็นแบบนั้น คงจบไม่สวยแน่”
นำชัยมองกรณ์ด้วยความไม่พอใจ
ค่ำนั้น ที่ออฟฟิศกองปราบ...เจ้าหน้าที่ทยอยกันกลับบ้าน เหลือแต่ไฟบริเวณห้อทำงานของณัฐชาเท่านั้นที่ยังเปิดอยู่ ณัฐชานั่งครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด เพราะคำบอกเล่าของนักสู้มหากาฬก่อนหน้านี้
“นายโกหก คุณอานำชัยไม่มีทางเป็นพรายพิฆาต”
“คอยดูก็แล้วกัน อีกไม่นานพรายพิฆาตจะให้ไอ้มาวินค้ายาเสพติด ซึ่งเจือปนสารพิษของพวกมัน โดยมีท่านนำชัยคอยอำนวยความสะดวกอยู่เบื้องหลัง”
“สารพิษแบบไหน”
“น้ำตามัจจุราช”
ณัฐชาอึ้ง…
“อย่ารายงานความเคลื่อนไหวของพวกคุณกับท่านนำชัย เพราะทุกข่าวจะรั่วไหลไปถึงศัตรูในไม่ช้า”
ณัฐชาคิดมาถึงตรงนี้ก็หนักใจ
“ถ้าคุณอานำชัยเป็นพรายพิฆาต...แล้วไอริณล่ะ จะรู้เห็นด้วยรึเปล่า”
ไอริณนั่งจับเจ่าอยู่ในห้องมืดๆ ได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆดังขึ้น เธอไม่สนใจจะขานตอบ นำชัยเปิดประตูเข้ามา
“เห็นเด็กรับใช้ บอกว่าลูกไม่ยอมทานข้าว ยังไม่หายตกใจอีกเหรอลูก”
ไอริณทำใจสักพัก
“พ่อจะไม่ถามไอริณเหรอคะ ว่าไอริณไปที่คลินิกทำไม”
“ไม่จำเป็นต้องถามตอนนี้หรอก”
“มันจำเป็นค่ะพ่อ ไอริณไปเพราะอยากรู้ว่าแม่ตายยังไง”
นำชัยหน้าถอดสี
“หมอบอกว่าแม่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคประสาทหลอน แต่พ่อเป็นคนสั่งให้หมอบอกตำรวจแบบนั้น”
“พอเถอะไอริณ”
“แม่ทำอะไรผิดคะพ่อ ทำไมพ่อต้องทำร้ายแม่ ทำไมคะ”
นำชัยหน้าสลดลง
“ไอริณ ลูกยังไม่เข้าใจ ที่พ่อทำลงไป พ่อจำเป็นต้องปกป้องตัวเอง เรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้น…มันเป็นเพราะแม่กำลังทรยศพ่อ”
ในอดีต...หลายปีก่อน สุดาทะเลาะกับนำชัยอย่างหนัก
“คุณเป็นบ้าไปแล้วเหรอนำชัย คุณเคยเป็นนักการเมืองที่ดี เป็นคนใจซื่อมือสะอาด แล้วทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้”
“คุณไม่มีวันเข้าใจผมหรอก พวกเสือสิงห์กระทิงแรดไอ้พวกคดโกงพวกนั้น มันใช้เล่ห์เหลี่ยมเอาเปรียบผมสารพัด ผมต้องมีคนหนุนหลัง”
“แต่คนที่หนุนหลังคุณมันเป็นพวกนอกรีต มันเป็นพวกวิปริต ถ้านักข่าวเกิดรู้เรื่องนี้ขึ้นมาคุณจะว่ายังไง”
“ไม่...เรื่องนี้ต้องเป็นความลับ”
นำชัยเดินไปหาสุดา
“ถ้าคุณเอาเรื่องนี้ไปบอกใครล่ะก็ คุณเจอดีแน่...”
สุดายกปืนขึ้น
“ถอยไป”
นำชัยตกใจ
“สุดานี่คุณ”
“ฉันไม่รู้จักคุณ ฉันไม่เชื่อใจคุณอีกแล้วนำชัย คุณเป็นพวกพรายพิฆาต”
นำชัยพยายามห้าม
“อย่าทำบ้าๆนะสุดา เอาปืนลง”
“คุณเป็นพวกเดียวกับมัน”
นำชัยยื่นมือไป
“สุดา ส่งปืนมาให้ผม”
“ฉันจะฟ้องนักข่าว ฉันจะแฉให้หมด”
“เอาปืนมานี่”
นำชัยตรงเข้ายื้อแย่งปืนกับสุดาจนปืนเกิดลั่น เลือดของสุดาเปื้อนมือและเสื้อผ้าของนำชัย
ไอริณตะลึงไปเมื่อทราบความจริงที่เกิดขึ้น นำชัยหันมาสารภาพ
“พ่อเสียใจที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น แต่ถ้าพวกมันรู้ว่าเราหักหลังล่ะก็ เราจะต้องตายกันหมด” นำชัยจับมือไอริณ “เชื่อพ่อนะไอริณ ปิดทุกอย่างไว้เป็นความลับต่อไปอย่าให้ใครรู้เรื่องนี้”
ไอริณมองนำชัยอย่างสับสน และตกตะลึง
วันใหม่...ฤทธิ์หลีกทางให้ชาญมาดูภาพจากกล้องวงจรปิดที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เห็นไมตรีปรีดาจอดรถดักรออยู่ที่หน้าบริษัท
“วันนี้มาดามให้ผมออกไปสืบความเคลื่อนไหวของท่านนำชัย แต่ว่าตำรวจสองคนนี่ดูเหมือนจะคอยจับตาผมอยู่”
ชาญหันมาถาม
“จะให้จัดการแบบไหน”
“ขั้นเด็ดขาด”
ชาญพยักหน้ายิ้มๆ เขารู้ว่าจะแก้สถานการณ์นี้ได้ยังไง
ปรีดานั่งงีบอยู่ในรถ ไมตรีนั่งกินขนมเมื่อยๆ เซ็งๆสักพักก็ทนไม่ไหวลงไปจากรถ ปรีดาตื่น
“อ้าว...จะไปไหนละจ่า”
“เดินยืดเส้นยืดสายหน่อย เมื่อย”
“โธ่จ่า อย่าทำแบบนี้สิ ตอนนี้ถึงคิวผมงีบนะ ถ้าจ่าไม่อยู่ แล้วเป้าหมายเคลื่อนไหวขึ้นมา จ่าจะรายงานผู้หมวดว่ายังไง”
“โฮ่ย หมู่อย่าซีเรียสน่า ผมว่ามันยังไม่ไปไหนตอนนี้หรอก”
เสียงแตรรถดังขึ้น ชาญขับรถพาฤทธิ์ออกไปข้างนอก สองหนุ่มชูมือทักทายสองตำรวจก่อนจะจากไป ปรีดาหน้าตื่น
“นั่นไงไปแล้ว”
“เออใช่ ตอนแรกนึกว่าไม่ไปซะอีก...ยังจะคุยทำไมล่ะหมู่สตาร์ทรถเร็ว รีบตาม”
ชาญขับรถ ฤทธิ์มองเห็นรถของไมตรีปรีดาแล่นตามมาบุ้ยหน้าบอก
“มาแล้ว”
“ไม่ต้องห่วง มือมันคนละชั้น”
ชาญเร่งเครื่องหนีรถของสองตำรวจ...ปรีดาเข่นเขี้ยวอย่างเอาเรื่อง
“เฮอะ คิดเหรอว่าจะหนีพ้น รู้จักหมู่ปรีดาน้อยไปแล้ว”
ปรีดาเหยียบคันเร่งเร่งความเร็ว ไมตรีหวาดๆ
“เอ่อ...เฮ้ยๆ ใจเย็นๆหมู่ ตายในหน้าที่ก็จริง แต่ตายตอนซิ่งมันไม่เท่นะหมู่ คิดยาวๆเข้าไว้ อย่าคิดสั้น”
“ไม่ต้องห่วงครับจ่า ผมมืออาชีพอยู่แล้ว จ่าอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร”
“แน่นะ”
“แค่สวดมนต์ นึกถึงพ่อถึงแม่เข้าไว้”
ไมตรีพนมมือกลัวๆ
“ตกลง” ไมตรีนึกขึ้นได้ “เง้อ จะไปเกิดใหม่กันเลยเหรอหมู่”
ชาญเห็นซอยทางด้านซ้ายมือก็บอกกับฤทธิ์
“จับแน่นๆนะครับคุณโทมัส”
ฤทธิ์ขยับสายเข็มขัดนิรภัยอย่างเตรียมพร้อม ชาญเลี้ยวพวงมาลัยเลี้ยวรถกะทันหันก่อนจะพุ่งเข้าไปในซอย ขณะที่รถของสองตำรวจที่แล่นตามมาก็พุ่งเลยไปอย่างตั้งตัวไม่ทัน ไมตรีชี้
“อ้าวเฮ้ย มันเลี้ยวไปแล้วหมู่ เลี้ยวตามเร็ว”
ไมตรีแย่งพวงมาลัยปรีดาตกใจ
“เฮ้ยจ่า อย่าเลี้ยวตรงนี้...อย่า”
ไมตรีเลี้ยวยูเทิร์นกะทันหัน รถที่ตามมาแล่นเข้าชนเต็มๆ ไมตรีกับปรีดาร้องลั่น
ชาญจอดรถในซอยก่อนจะหันมาบอกฤทธิ์
“โอเค ที่เหลือคุณจัดการเองนะ”
“ขอบใจมากนะชาญ”
“ด้วยความยินดีครับเจ้านาย”
ชาญลงจากรถไป ฤทธิ์ขยับไปนั่งที่คนขับ
ราเมศเพิ่งลงจากรถ เห็นณัฐชาที่ตามลงมารีบหยิบช่อดอกไม้ให้ราเมศ
“ผู้กองอย่าลืมนี่ด้วยค่ะ”
“มันจะดีเหรอผู้หมวด เวลาแบบนี้คุณจะให้ผมจีบคุณไอริณ เนี่ยนะ”
“เขาเรียกว่าพบรักกันในยามยากไงคะผู้กอง ใช้โอกาสที่ทำคดีนี่แหละเผด็จศึกหัวใจซะเลย”
“ถามจริงๆเหอะ ทำไมคุณถึงรีบร้อนจะให้ผมจีบไอริณขึ้นมา”
“แหม ก็ผู้กองกับไอริณเหมาะสมกันดีนี่คะ ให้ไอริณเป็นแฟนกับผู้กอง ยังดีกว่าไปยุ่งกับคนไม่ดี อย่างเช่น…”
ณัฐชาชะงักเมื่อมองไปเห็นรถของโทมัสแล่นเข้ามาในบ้าน เธอรำพึง
“นายโทมัส”
ฤทธิ์ถือช่อดอกไม้ลงมาจากรถ และมองราเมศอย่างแปลกใจ ทั้งคู่ถือช่อดอกไม้ที่เหมือนกันเป๊ะ
นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 4 (ต่อ)
ฤทธิ์ทักทายณัฐชา กับราเมศ
“สวัสดีครับผู้กองราเมศ...ผู้หมวดณัฐชา มาเยี่ยมคุณไอริณเหมือนกันเหรอครับ”
“ใช่ครับ บังเอิญจริงๆ”
“ค่ะ คนโบราณเขาถึงว่าไงคะผู้กอง เกลียดอะไรก็เจอแบบนั้น” ณัฐชาแดกดัน
ราเมศเตือนเบาๆ
“ณัฐชา”
ฤทธิ์มองหน้าณัฐชา
“ไม่อ้อมค้อมเลยนะครับคุณตำรวจ”
“อ๋อ...พอดีฉันเป็นคนจริงใจค่ะ ก็เลยตีสองหน้าไม่เป็น”
ณัฐชาลอยหน้าลอยตาท้าทาย ขณะที่ราเมศเริ่มหนักใจกับสถานการณ์ระหว่างคนทั้งคู่ที่ชักจะหนักขึ้นทุกที
ไอริณมองออกมาทางหน้าต่างและเห็นฤทธิ์ ณัฐชา ราเมศที่กำลังคุยกัน ไอริณนิ่วหน้าอย่างใช้ความคิด เธอนึกถึงคำพูดของนำชัยที่บอกกับเธอ
“เชื่อพ่อนะไอริณ ปิดทุกอย่างไว้เป็นความลับต่อไปอย่าให้ใครรู้เรื่องนี้”
นำชัยให้การต้อนรับราเมศ ณัฐชา และฤทธิ์ก่อนจะกล่าวกับทุกคน
“ต้องขอบใจทุกคนมากนะที่อุตส่าห์มาเยี่ยมไอริณ แต่เสียดายที่ไอริณยังไม่พร้อมจะเจอกับใครตอนนี้”
ณัฐชาเป็นห่วงเพื่อน
“ไอริณไม่สบายมากเหรอคะคุณอา”
“เปล่าหรอก ไอริณก็แค่อยากพักผ่อน”
“แต่เรามีคดีสำคัญที่ต้องการข้อมูลด่วนจากคุณไอริณ” ราเมศเน้น “ถ้าท่านไม่ขัดข้อง”
นำชัยมองราเมศอย่างอึดอัดใจ จนแม้แต่ฤทธิ์ก็ดูออก
นำชัยพาณัฐชามาส่งที่ห้องไอริณ
“ไอริณ ลูกดูสิว่าใครมาเยี่ยม”
ไอริณดีใจ
“ณัฐชา”
ณัฐชายิ้มรับ นำชัยถือโอกาสออกตัวกับเธอ
“ถ้ายังไงอาขอตัวก่อนนะ หนูกับไอริณจะได้คุยกันตามสบาย”
“ขอบคุณค่ะคุณอา”
นำชัยลูบบ่าไอริณ
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเยอะนะไอริณ หมอสั่งว่าหนูต้องพักผ่อนมากๆ”
นำชัยลูบบ่าไอริณและจงใจบีบเบาๆเพื่อเป็นการเตือนสติ ซึ่งไอริณก็รับรู้เป็นอย่างดี
ณัฐชาพอเห็นนำชัยออกไปจากห้องก็เริ่มสอบถาม
“ทีนี้เธอบอกฉันได้รึยังไอริณ ว่าเรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่”
“เธอหมายถึงเรื่องไหนเหรอณัฐชา”
“ก็เรื่องที่จู่ๆ เธออยากพบจิตแพทย์ของแม่เธอ แถมเขายังถูกฆ่าในวันเดียวกันอีก เธออย่าบอกนะว่ามันเป็นบังเอิญ”
“แต่ไม่ฉันไม่รู้จริงๆนะ ฉันไม่รู้ว่าพรายพิฆาตมันโผล่มาตอนนั้นทำไม ที่ฉันแค่ไปหาจิตแพทย์คนนั้นก็เพราะฉันคิดถึงแม่ มันก็แค่นั้นเอง”
ณัฐชาจับผิด
“เราเป็นเพื่อนกันนะไอริณ เธอแน่ใจนะว่าไม่ได้ปิดบังอะไรฉัน”
ไอริณอึ้งไปด้วยความลังเล ณัฐชายิ่งรู้สึกผิดสังเกต...นำชัยยังคงแอบฟังการสนทนาที่หน้าห้องด้วยความหวาดวิตกว่าไอริณจะแพร่งพรายความลับ
ไมตรีกับปรีดา เดินเซ็งมาด้วยกันในซอย
“ซวยเลยเห็นมั้ยจ่า บอกว่าอย่าเพิ่งเลี้ยวๆ จ่าก็ไม่ฟังผมดูซิ แล้วทีนี้จะรายงานผู้หมวดว่ายังไง แล้วใครจะจ่ายค่าซ่อมรถ” ปรีดาบ่นอุบ
“เอาเหอะน่าหมู่ อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้ทุกเวลา กลับไปถึงกองปราบแล้วค่อยว่ากัน”
ระหว่างนั้นเอง ไมตรีก็เหลือบเห็นชาญเดินอยู่ที่ถนนฝั่งตรงข้าม
“หมู่ นั่นใช่คนขับรถของมาดามหลิวรึเปล่า”
“ใช่เลยจ่า นายชาญ หมอนี่แหละที่ซิ่งหนีพวกเราจนเกิดเรื่อง”
“อ้าว เจ๋งดิ เจอตัวแบบนี้ มันต้องคิดบัญชีกันหน่อย”
ไมตรีรีบเดินข้ามถนนไปหาชาญอย่างเจ็บแค้น แล้วจงใจเดินเบียดกระแทกแรงๆจนชาญหันมา
“ไงคุณสารถี ท่าทางคงสะใจมากสิท่า ที่เล่นงานพวกผม”
ชาญยิ้ม
“คุณตำรวจ คุณพูดเรื่องอะไร”
ปรีดาเข้ามา
“ฮั่นแน่ รู้ทั้งรู้อย่ามาทำไก๋หน่อยเลยครับคุณชาญ ซิ่งรถหนีตำรวจแบบนั้นมันมีพิรุธนะครับ”
ไมตรีเสริม
“ใช่ แสดงว่าต้องทำเรื่องผิดกฎหมายมาแน่ๆ”
“ก็ผมไม่รู้นี่ว่าเป็นพวกคุณ ไม่เห็นรถคุณติดเครื่องหมายของตำรวจซะหน่อย”
“นั่น ต่อล้อต่อเถียงเจ้าพนักงาน ดื้อแบบนี้อย่าเสียเวลาเลยหมู่เราอุ้ม…เอ้ย...เชิญตัวคุณชาญไปสอบสวนที่กองปราบกันดีกว่า”
ปรีดาชักกุญแจมือออกมาจะสับใส่ข้อมือชาญ แต่ชาญกลับจับข้อมือปรีดาใส่กุญแจมือซะเอง แล้วล็อกปลายอีกข้างไว้กับราวเหล็กแถวนั้น ไมตรีตกใจรีบชักปืนออกมาขู่
“เฮ้ย จะลองดีหรือไงวะ”
ชาญตะปบปืนจากไมตรีมา แล้วถอดเป็นชิ้นๆอย่างรวดเร็วๆ ปรีดามองชิ้นส่วนปืนที่ถูกชาญโปรยลงพื้น
“โอ้โห ไวสุดยอด”
ชาญบอกกับไมตรีอย่างขู่ๆ
“ขอโทษนะคุณตำรวจ ถ้าคุณจะเชิญตัวผมไปสอบปากคำ ก็ควรพูดจาให้นุ่มนวลกว่านี้ แต่ถ้าจะใช้กำลัง แค่นี้คุณเอาผมไม่อยู่หรอก”
ไมตรีได้แต่อึ้งไป เมื่อพบว่าชาญไม่ได้เป็นแค่คนขับรถธรรมดา
ฤทธิ์กำลังจิบเครื่องดื่มเงียบๆระหว่างรอคนอื่น แต่เขาพบว่ากำลังถูกจับตามองโดยราเมศ
“สงสัยอะไรผมอยู่เหรอครับผู้กอง”
ราเมศยิ้ม
“ก็ไม่เชิง ผมแค่กำลังนึกว่าทำไมณัฐชา ถึงชอบมองคุณว่าเป็นคนร้าย”
“แล้วผมเหมือนคนร้ายรึเปล่า”
“ไม่เหมือน แต่ก็แปลกนะ พอคุณโผล่ไปที่ไหนเมื่อไหร่เรื่องร้ายๆต้องเกิดขึ้นทุกที นี่ถ้าผมหัวโบราณกว่านี้ซะหน่อยคงคิดว่าคุณเป็นตัวนำโชค”
ฤทธิ์ถอนใจ
“สงสัยหมวดณัฐชากับคุณไอริณ คงมีเรื่องต้องคุยกันอีกนาน ถ้าไงผมขอตัวสักครู่นะครับ”
ฤทธิ์ปลีกตัวไปจากวงสนทนา สุชาติรีบช่วยนำทางให้ ราเมศมองตามไปอย่างจับผิด
สุชาติเดินมาส่งฤทธิ์ที่บริเวณหนึ่ง
“ห้องน้ำอยู่ตรงทางเดินด้านขวามือ เชิญตามสบายนะครับ”
“ขอบคุณครับ”
ฤทธิ์รอจนสุชาติปลีกตัวไป เขาลงมือเปิดประตูห้องต่างๆ เพื่อหาห้องทำงานของนำชัยทันที
ฤทธิ์เปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานนำชัย ก่อนจะติดตั้งกล้องสอดแนมไว้ที่เฟอร์นิเจอร์บางอย่างในห้อง ฤทธิ์เดินไปดูที่โต๊ะทำงานแล้วเริ่มรื้อค้นหาสิ่งที่ผิดสังเกต จนกระทั่งเจอสมุดเก็บนามบัตร เขารีบพลิกดูผ่านๆก็ไม่พบอะไรผิดสังเกต แต่แล้วก็พลิกกลับมา…มีนามบัตรของ the devil เมมเบอร์คลับ ฤทธิ์รู้สึกเอะใจจึงหยิบโทรศัพท์มือถือมาถ่ายรูปนามบัตรนั้นเก็บไว้ ทันใดนั้นเสียงราเมศดังขึ้น
“หาอะไรอยู่เหรอครับ คุณโทมัส”
ฤทธิ์ชะงักค่อยๆเก็บโทรศัพท์มือถือแล้วหันไป
“ผู้กอง ผมเดินหลงทาง ว่าจะกลับออกไปอยู่พอดี”
ฤทธิ์เดินหนีไปดื้อๆ แต่ราเมศขวางไว้
“เดี๋ยวก่อน คุณถ่ายรูปอะไรเอาไว้ ขอผมดูหน่อยได้มั้ย”
“อย่าระแวงสิครับผู้กอง ผมเป็นพลเมืองดีนะครับ”
ฤทธิ์ทำท่าจะเดินหนีออกไปข้างนอก ราเมศฉวยโอกาสกระชากตัวฤทธิ์เอาไว้เพื่อแย่งโทรศัพท์แต่ก็ถูกฤทธิ์ปัดป้องแล้วล็อกตัวราเมศเอาไว้
“คุณไม่มีสิทธิ์มาค้นตัวผม”
“ผมเป็นตำรวจ แล้วคุณไอริณก็เป็นเพื่อนของผม”
“แสดงว่าคุณหึงไอริณ ก็เลยใช้หน้าที่บังหน้า”
ราเมศบันดาลโทสะ พยายามจะเล่นงานแต่ฤทธิ์ก็จัดการล็อกราเมศไว้ได้อีก ณัฐชามาเห็นพอดี
“ผู้กอง มีเรื่องอะไรกันรึเปล่าคะ”
ราเมศกับฤทธิ์มองหน้ากัน ฤทธิ์เลิกคิ้วให้กวนๆ ราเมศสะบัดหนีไป
“ไม่มีอะไรครับผู้หมวด พอดีผู้กองเกิดซุ่มซ่ามหกล้ม ผมก็เลยช่วยประคอง”
ณัฐชามองอย่างไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก
ราเมศและณัฐชา เดินกลับมาที่รถด้วยกัน
“จริงอย่างที่คุณบอก นายโทมัสคนนี้ไม่ธรรมดาแน่”
“แล้วเราจะทำยังไงดีคะ”
ราเมศไม่ทันตอบ โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ฮัลโหล ราเมศพูด...แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน”
รถของราเมศแล่นมาจอดลานจอดรถกองปราบ พอลงจากรถราเมศก็หันมาบ่นกับณัฐชาทันที
“ไม่น่าเลยผู้หมวด คุณน่าจะบอกผมก่อนว่าจะส่งหมู่จ่าไปทำเรื่องแบบนี้”
“ก็ฉันไม่รู้นี่คะผู้กอง ว่าสองคนนั่นจะก่อเรื่อง”
ระหว่างนั้นเองที่รถของฤทธิ์ตามมา เขาลงมาจากรถอย่างอารมณ์ดี
“คราวนี้ เราโดนยำเละแน่”
ราเมศว่าแล้วเดินเข้ากองปราบไป ณัฐชามองฤทธิ์อย่างไม่พอใจก่อนจะเดินหนีไปอีกคน
ราเมศเดินจ้ำๆนำณัฐชาเข้ามาในออฟฟิศ ก็เจอมาดามหลิวที่รออยู่ก่อนกับโซเฟีย
“หลานชายของฉันเป็นพลเมืองดี แต่กลับถูกสะกดรอยตามจนเกิดอุบัติเหตุ แถมคนขับรถของเขายังถูกจับมาแบบนี้ ผู้กองพอมีคำอธิบายรึเปล่าคะ”
“มาดาม เชิญที่ห้องประชุมดีกว่าครับ”
“ฉันไม่มีอะไรต้องปิดเป็นความลับค่ะผู้กอง ฉันต้องการคุยที่นี่ เดี๋ยวนี้”
ราเมศกวาดตามองเจ้าหน้าที่คนอื่น ซึ่งทุกคนก็ค่อยๆสะกิดกันออกไปที่อื่นอย่างรู้งาน และสวนทางกับฤทธิ์เพิ่งตามขึ้นมาถึง โซเฟียหยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดรูปถ่ายจากกล้องวงจรปิดและเห็นภาพไมตรีกับปรีดาที่กำลังดักซุ่มอยู่บนรถที่จอดหน้าบริษัทมาดามหลิว
“คนของคุณมาดักเฝ้าคุณโทมัสโดยไม่มีสาเหตุ แบบนี้ถือเป็นการคุกคามนะคะผู้กอง”
ราเมศหน้าเสีย
“ผมเสียใจด้วยครับ”
“เป็นความผิดของดิฉันเองค่ะมาดามหลิว ดิฉันเป็นคนสั่งให้จ่าไมตรีกับหมู่ปรีดาสะกดรอยตามคุณโทมัส” ณัฐชายอมรับตรงๆ
มาดามหลิวมองหน้าณัฐชา
“ด้วยเหตุผลอะไรไม่ทราบคะผู้หมวด”
“เอ่อ...คือว่าหมู่นี้เกิดเรื่องกับคุณโทมัสบ่อยครั้ง ฉันเกรงว่าเขาจะถูกปองร้ายค่ะ”
ฤทธิ์ปั้นหน้าล้อใส่ ณัฐชาทำเป็นเมินไม่เห็นว่าเขากำลังยั่วประสาทเธอ ราเมศหันมาหามาดามหลิว
“ไม่ต้องห่วงครับมาดาม ในเมื่อลูกน้องของผมเป็นฝ่ายผิด พวกเขาก็สมควรถูกลงโทษ”
ฤทธิ์ขัดขึ้น
“แต่ผมว่าอย่าให้ถึงขนาดนั้นเลยครับผู้กอง ในเมื่อผู้หมวดณัฐชาทำไปเพราะเป็นห่วงผม ถ้าไงผมว่า…เรามาตกลงกันดีกว่า”
ราเมศมองหน้า
“ตกลงยังไง”
“ก็ในเมื่อผู้หมวดณัฐชาต้องการดูแลผม ผมก็จะเปิดโอกาสให้เขาทำงานอย่างเต็มที่…ด้วยการมาเป็นบอดี้การ์ดให้ผมสักหนึ่งสัปดาห์”
ณัฐชาหน้าเหวอ
“ให้ฉันไปอยู่กับนายเหรอ ฝันไปเถอะ”
ราเมศปราม
“ณัฐชา”
“ผู้กองคะ แต่ว่า...”
ราเมศตัดบท
“ตกลงตามนี้ครับคุณโทมัส ถ้าข้อเรียกร้องของคุณจะทำให้ปัญหานี้ยุติ”
ณัฐชามองมาที่ราเมศด้วยสีหน้าไม่เห็นด้วย ขณะที่มาดามหลิวกับโซเฟียมองฤทธิ์อย่างไม่เข้าใจ
โซเฟียจอดรถรออยู่ ชาญเดินอารมณ์ดีมาที่รถโดยมีไมตรีกับปรีดาตามมาส่ง
“ขอบคุณที่มาส่งครับคุณตำรวจ แล้วเจอกันใหม่”
ไมตรีกัดฟัน
“ครับ ได้เจอกันอีกแน่”
ปรีดาแค้นๆ
“ทีใครทีมันครับคุณชาญ วันพระไม่ได้มีหนเดียวครับ”
ชาญยิ้มรับก่อนจะขึ้นรถจากไป ไมตรีกับปรีดามองตามอย่างไม่พอใจ
“ผมบอกจ่าแล้วว่าอย่าไปมีเรื่องกับมัน เส้นมันใหญ่”
“บอกตอนไหนวะหมู่ ไม่เห็นได้ยิน”
“บอกด้วยสายตาไงจ่า จ่าไม่สังเกตเอง เนี่ยผมมองตาจ่าแบบเนี้ย...แต่จ่าไม่สน”
ไมตรีหน้าเหวอ
“โอ้โห แล้วผมจะรู้มั้ยหมู่ ว่าหมู่บอกอะไรผม อย่างผมมองอยู่”
“เนี่ย...หมู่รู้รึเปล่าว่าผมคิดอะไร”
ปรีดามองสักครู่
“รู้...จ่ากำลังอยากเตะผม”
“เออถูก”
ไมตรีเงื้อแข้ง ปรีดารีบฉากหลบไปอย่างรวดเร็ว
“หนอย…เตือนด้วยสายตา เดี๋ยวก็สะกิดด้วยบาทาซะนี่...นั่น ยังจะส่งสายตาด่าอีก เดี๊ยะๆ”
ราเมศกำลังเดินจากห้องประชุมกลับไปที่ห้องทำงานตัวเอง โดยมีณัฐชาเซ้าซี้ตามหลัง
“ผู้กองคะ ไล่ฉันออกเถอะค่ะ ฉันยอมตายดีกว่าไปเป็นขี้ข้าให้หมอนั่น”
“ขี้ข้าที่ไหนกันผู้หมวด บอดี้การ์ดต่างหาก”
“จะอะไรก็ช่างเถอะค่ะ แต่ฉันไม่ยอมอยู่ใกล้นายโทมัสเด็ดขาด คิดดูสิคะเจอกันทีไรต้องมีเรื่องทุกที ถ้าให้อยู่ด้วยกัน มีหวังต้องฆ่ากันตายแน่”
ราเมศทำใจ
“ณัฐชา เกมนี้คุณต้องเล่นตามน้ำ ไม่งั้นถ้าเขาเกิดเอาเรื่องขึ้นมา คุณอาจถูกพักงานก็ได้”
“แต่ว่า…”
“พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสหน่อยสิ ไหนๆคุณก็อยากสืบเบื้องหลังของนายโทมัสอยู่แล้วนี่”
ณัฐชาอึ้งไปอย่างนึกขึ้นได้
ในห้องสมุดบริษัทมาดามหลิว...มาดามหลิวต่อว่าฤทธิ์ด้วยความไม่พอใจเมื่อกลับมาถึงบริษัท
“ฉันไม่เข้าใจเลยโทมัส รู้ทั้งรู้ว่าตำรวจหญิงคนนั้นกำลังจับผิดเธอแล้วทำไมเธอถึงยอมให้เขามาอยู่ใกล้ๆ”
“เธอสงสัยเรื่องอดีตของผม แถมยังสงสัยว่าผมเป็นมือสังหาร ผมต้องหาทางเคลียร์เรื่องนี้”
“แน่ใจนะว่าไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่น”
ฤทธิ์เหลือบมองมาดามหลิวอย่างไม่เข้าใจ
“ระวังนะโทมัส ฉันรู้ว่าเธอผูกพันกับณัฐชาเพราะเขาเป็นเพื่อนของใจทิพย์ แต่เขาไม่ใช่ใจทิพย์ และเธอก็มีชีวิตอยู่เพื่อล้างแค้น ไม่ใช่ผูกพันกับใครอีก”
มาดามหลิวมองฤทธิ์อย่างไม่พอใจ ขณะที่ชาญกับโซเฟียก็กลับมาเห็นเข้าพอดี
ค่ำนั้น ไอริณยืนกอดอกเหม่อเหงาๆอยู่ที่ริมสระน้ำ นำชัยเข้ามาถาม
“วันนี้ลูกไม่ได้บอกอะไรกับณัฐชาใช่มั้ย”
“แค่นั้นเหรอคะที่พ่อเป็นห่วง”
“ความปลอดภัยของพวกเรา ขึ้นอยู่กับเรื่องนี้นะลูก”
“แล้วไงคะ เราต้องปิดบังไปถึงเมื่อไหร่ หรือว่าพ่อต้องหลบๆซ่อนๆเพื่อคอยรับใช้พวกคนร้ายไปตลอดชีวิต”
“ไอริณ ลูกฟังพ่ออธิบายก่อน...ความจริงพ่อคิดไม่ถึงเลย ว่าเรื่องราวมันจะบานปลาย
ขนาดนี้ สมัยนั้นพ่อยังเป็นแค่นักการเมืองหน้าใหม่ ที่ถูกคู่แข่งเล่นงานจนหมดอำนาจ”
นำชัยเล่าเรื่องราวในอดีตเมื่อหลายสิบปีก่อน ค่ำนั้นรถนำชัยเข้ามาจอดที่หน้าอาคารเมมเบอร์คลับ กรณ์ที่เป็นคนขับรถขณะนั้นยังอยู่ในวัยหนุ่มน้อย เขาลงจากรถมาเปิดประตูให้นำชัย
“เชิญครับ ท่านนำชัย”
กรณ์ยื่นหน้ากากอันหนึ่งให้ มันเป็นหน้ากากแบบที่นิยมใส่ตามงานเลี้ยงแฟนซี นำชัยรับหน้ากากนั้นมาอย่างลังเลก่อนจะลงมือสวม
กรณ์เดินพานำชัยเข้ามาในเมมเบอร์คลับ ลูกค้าทั้งหมดล้วนสวมหน้ากาก ทุกคนล้วนหาความสำราญจากอบายมุขสารพัดรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเหล้า ยา ผู้หญิง หรือแม้แต่การพนัน ท่ามกลางบรรยากาศของสถานที่ที่หรูหราราวกับฮาเร็มในตำนาน
นำชัยเล่าต่อ
“พ่อได้รับคำเชิญจากพรายพิฆาต ที่สัญญาว่าจะสร้างความสำเร็จให้กับพ่อ ภายในไม่กี่สัปดาห์ และด้วยความคับแค้นใจพ่อถึงได้รับปากที่จะเจอกับหัวหน้าสาขาของพวกมัน”
กรณ์และนำชัยยืนอยู่เบื้องหน้าของบอส บนดาดฟ้าของเมมเบอร์คลับพรายพิฆาต
“แกจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่แกอยากได้ ถ้าแกยอมสาบานว่าจะภักดีต่อพรายพิฆาตไปชั่วชีวิต”
กรณ์มองมาที่นำชัย เห็นนำชัยลังเลชั่วขณะก่อนจะยอมคุกเข่าลงช้าๆ ด้วยความแค้น
“ฉันขอสาบานว่าจะรับใช้พรายพิฆาตไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่”
“ดี ดีมาก ฮ่าๆ”
นำชัยรู้สึกละอายแต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น
นำชัยบอกเล่าเรื่องราวในอดีตให้ไอริณฟัง แล้วถอนใจ
“นับจากนั้นเป็นต้นมา คู่แข่งทางการเมืองของพ่อก็ถูกกำจัดไปทีละคน ในขณะที่พ่อก็ถูกผลักดันให้ขึ้นมามีอำนาจ พ่อรู้ว่าพ่อเลือกทางผิด สักวันนึงพ่อจะถอนตัวจากพวกมัน”
“พ่อแน่ใจเหรอคะ ว่าพ่อจะทำได้”
“พ่อมีแผนอยู่แล้ว พ่อคิดว่า…”
นำชัยชะงักไป เมื่อเหลือบไปเห็นกรณ์ซึ่งยืนจ้องมาจากมุมหนึ่ง ท่าทางกระด้างกระเดื่องของกรณ์ที่มีต่อนำชัยทำให้ไอริณเริ่มเดาออกว่ากรณ์คือพรายพิฆาต
ฤทธิ์อยู่ในห้องออกกำลังกายบนบริษัท ซ้อมควงมีดอย่างคล่องแคล่ว และแทงเป้าหมายที่ตั้งอยู่รอบตัว ฤทธิ์ค่อนข้างหนักมือเป็นพิเศษเพราะต้องการระบายอารมณ์โกรธ ที่มีปากเสียงกับมาดามหลิว เขาแทงมีดครั้งสุดท้ายและปล่อยให้มันปักอยู่คาเป้าหมาย เขาทำท่าจะผละออกไปแต่แล้วก็มีคนโยนไม้พลองให้ ฤทธิ์มองไป
“โซเฟีย”
โซเฟียคว้าไม้พลองของตัวเองขึ้นมาควง
“ไม่ซ้อมต่ออีกหน่อยเหรอคุณโทมัส หรือว่ามีน้ำยาแค่นี้”
“ผมไม่มีอารมณ์”
ฤทธิ์จะเดินหนีแต่โซเฟียก็หวดพลองขวางไว้
“ฉันจะเป็นคู่ซ้อมให้เอง”
ขาดคำโซเฟียก็ฟาดพลองใส่อย่างดุเดือด ฤทธิ์ยกไม้พลองในมือปัดป้องอย่างรวดเร็วไม่แพ้กัน ฤทธิ์แปลกใจ
“โซเฟีย”
“จำไว้ ว่ามาดามหลิวเป็นเจ้าชีวิตของทุกคนที่นี่ คุณไม่มีสิทธ์โต้เถียงกับเธอ”
โซเฟียควงพลองเข้าจู่โจม ฤทธิ์ปัดป้อง
“พอได้แล้ว”
“ถ้ามาดามหลิวไม่ช่วยคุณเอาไว้ นึกเหรอว่าคุณจะมีวันนี้”
โซเฟียควงพลองเข้าจู่โจม ฤทธิ์ปัดป้องอีก
“ความอดทนของผมมีจำกัด”
“ถ้าไม่มีน้ำตามัจจุราช ป่านนี้คุณตายไปแล้ว ตายเหมือนกับใจทิพย์คนรักของคุณ”
โซเฟียควงพลองเข้าจู่โจมอีก และซัดไม้พลองของฤทธิ์กระเด็นไป ฤทธิ์บันดาลโทสะชกใส่ไม้พลองของโซเฟียจนหักกระจาย โซเฟียถึงกับตะลึงงัน
“มาดามหลิวกับผมมีเป้าหมายเดียวกันคือล้างแค้น แต่เธอไม่ใช่เจ้านายของผม เพราะฉะนั้น…เลิกวุ่นวายกับผมซะที”
ฤทธิ์เดินหนี โซเฟียทำท่าจะไม่ยอมเลิก
“เดี๋ยวก่อน”
เสียงชาญดังขัดขึ้น
“พอได้แล้วโซเฟีย”
โซเฟียมองไปเห็นชาญเดินมาบอกกับเธอ
“คุณโทมัสพูดถูกแล้ว เขามีสิทธิ์ที่จะทำแบบนั้น”
“ฉันไม่ยอม”
“ถ้างั้น เธอก็ต้องสู้กับฉัน เพราะฉันก็ไม่ยอมเหมือนกัน”
โซเฟียมองชาญและฤทธิ์ด้วยความโกรธ ก่อนจะเดินหนีไป
“ผมจะพูดกับเธอเอง”
ชาญตามโซเฟียไปอีกคน ฤทธิ์ได้แต่หนักใจ
โซเฟียเดินหนีมาอย่างฉุนเฉียว ก่อนที่ชาญจะคว้าตัวเอาไว้
“รอก่อน”
“คุณปกป้องเขาทำไม”
“ฉันปกป้องเธอต่างหาก ไม่เอาน่าโซเฟีย มาดามหลิวต้องโกรธแน่ ถ้าเธอมีเรื่องกับคุณโทมัส” ชาญจับบ่า “อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เลยนะ”
การสัมผัสจากชาญทำให้โซเฟียรู้สึกคลายความโกรธลงอย่างรวดเร็ว เธอทำใจอีกนิดหนึ่งก็ยอมพยักหน้าให้เขา ชาญยิ้มให้เธอด้วยความเอ็นดู
แหลมกับสมุนพามาวินมาที่ห้องเก็บของในภัตตาคารจีน
“มีสมุนของเราคนนึงมันเสพยาตัวใหม่จนเกินขนาดครับคุณมาวิน ผมเห็นท่าทางมันคงไม่รอด ก็เลยเอาตัวมาซ่อนไว้ในห้องเก็บของ”
“ไอ้เลวเอ๊ย อยู่ดีไม่ว่าดี ไหนวะ ไปลากตัวมันออกมา”
สมุนคนนึงปลีกตัวไปเปิดประตูห้องเก็บของที่ล็อกไว้
“เฮ้ยไอ้เจิด เป็นยังไงบ้างวะ ตายรึยัง”
ทันทีที่เปิดสวิทซ์ไฟไอ้เจิดก็โผล่พรวดออกมาในสภาพที่มีเลือดเปื้อนกบหน้า มันคำรามก่อนจะโผเข้ากัดกินสมุนคนนั้นอย่างไม่ปรานี ทำเอามาวิน แหลมกับสมุนพากันตกตะลึง
“นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นมาวะ” มาวินถามอย่างตกใจ
แหลมหน้าตื่น
“คุณมาวินครับ ไอ้เจิดมันกลายเป็นผีดิบไปแล้ว”
ไอ้เจิดคำรามก่อนจะวิ่งพุ่งเข้ามาหาพวกมาวินอย่างรวดเร็วน่ากลัว มาวินชักปืนยิงใส่หลายนัดแต่มันไม่ยอมตายโดยง่าย เขาต้องยิงซ้ำอีกจนมันล้มไปกับพื้น มาวินเดินมาดูไอ้เจิดที่นอนจมกองเลือดอยู่ เห็นบาดแผลของมันบางส่วนเริ่มสมานตัวอย่างช้าๆ ขณะที่เจ้าของร่างยังอ้าปากค้างหันไปหันมาเหมือนจ้องหาอะไรกินไม่สิ้นสุด
“เนี่ยเหรอวะน้ำตาสวรรค์ ยานรกชัดๆ”
แหลมและพวกสมุนมองดูสภาพครึ่งผีครึ่งคนของไอ้เจิดอย่างหวาดผวา ขณะที่มาวินตัดสินใจยิงไอ้เจิดทิ้งเพื่อหยุดความทรมานของมัน
ค่ำคืนนั้น บนดาดฟ้าเมมเบอร์คลับ ท้องฟ้ามีประกายแลบแปลบปลาบฝนใกล้ตกเต็มที กรณ์เดินตรงมาหาบอส
“น้ำตามัจจุราชสูตรใหม่ให้ผลลัพธ์ที่เชื่อถือได้ คนที่เสพยาของเราเข้าไปจะมีสภาพเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ สามารถทนทานต่ออาการบาดเจ็บได้เหนือกว่าคนปกติ”
“แต่มันยังมีปัญหาอยู่นะบอส เพราะคนที่เสพยาจนเกินขนาดจะกลายสภาพเป็นผีดิบ”
“เรื่องนั้นเรามีทางแก้ ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะประกาศแสนยานุภาพตามแผนที่วางไว้”
“เร็วๆ นี้ท่านนำชัยจะจัดงานแถลงข่าวเรื่องยาเสพติดของเรา ผมคิดว่าโอกาสนั้นเหมาะที่จะลงมือมากที่สุด”
วันต่อมา...สุชาติเคาะประตูแล้วเข้ามาเตือนนำชัยที่กำลังจัดกระเป๋าเอกสารอยู่
“ท่านครับ...วันนี้ท่านมีประชุมแกนนำพรรคตอนสิบโมงเช้าแล้วช่วงบ่ายก็มีนัดแถลงข่าวกับสื่อมวลชนที่หน้าที่ทำการพรรค” สุชาติยื่นเอกสารให้ “นี่ครับรายละเอียด”
นำชัยพลิกดูข้อมูลคร่าวๆ
“ยาเสพติดตัวใหม่…”
“น้ำตาสวรรค์ครับท่าน ตอนนี้กำลังฮือฮามากเลยครับ ว่าคนที่เสพเข้าไปแล้วจะกลายเป็นผีดิบ แล้วที่สำคัญวันนี้มีแขกพิเศษจะมาร่วมรับฟังด้วยนะครับ”
นำชัยชะงักแปลกใจ
“แขกพิเศษ ทำไมผมไม่ทราบมาก่อน”
“รายละเอียดอยู่ในเอกสารครับท่าน”
นำชัยพลิกดูเอกสารหน้าต่อไปและเห็นรูปชายชาวญี่ปุ่นท่าทางภูมิฐานท่านหนึ่ง...กล้องสอดแนมที่ฤทธิ์แอบติดตั้งไว้เมื่อวานกำลังเริ่มทำงาน
ในห้องสมุดบริษัทมาดามหลิว...โซเฟียดูแลการทำงานของกล้องสอดแนมผ่านทางคอมพิวเตอร์ โดยมีฤทธิ์กับชาญร่วมวง
“สัญญาณภาพชัดเจนมาก ไม่มีคลื่นรบกวนอีกไม่นานเราคงได้รู้ไต๋ของพวกมัน”
ฤทธิ์หันมาบอกกับชาญ
“งานแถลงข่าวของท่านนำชัย นายคิดว่าจะมีปัญหาอะไรรึเปล่า”
“ในเมื่อท่านนำชัยเป็นพวกเดียวกับพรายพิฆาต ผมว่าคงไม่” ชาญบอกอย่างมั่นใจ
ฤทธิ์จะออกไปข้างนอก ชาญมาส่งเขาที่หน้าลิฟต์
“เดี๋ยววันนี้ฉันจะออกไปข้างนอก ทางนี้ฝากนายกับโซเฟียด้วยนะ”
“เอ่อ...คุณโทมัส ผมมีเรื่องสำคัญต้องพูดกับคุณ”
ฤทธิ์ชะงัก
“ว่ามาสิ”
“ที่มาดามหลิวไม่สบายใจเรื่องคุณกับผู้หมวดณัฐชา เพราะเธอเกรงว่าคุณจะสนใจเรื่องส่วนตัวมากกว่าเรื่องงาน คุณก็รู้ว่าชีวิตของมาดาม ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว นอกจากการแก้แค้น”
“ผมก็เหมือนกัน คุณวางใจเถอะชาญ ผมจะไม่ทำให้มาดามผิดหวัง”
ชาญพยักหน้าอย่างเบาใจ ฤทธิ์เริ่มสังเกตอะไรบางอย่าง
“ท่าทางคุณเป็นห่วงมาดามมากเลยนะ”
“ผมติดตามรับใช้ครอบครัวของมาดามหลิวมานาน จะว่าไปแล้วนอกจากผม เธอก็ไม่เหลือใครอีก”
“เอาล่ะ ถ้างั้นผมจะรีบจัดการตามแผน แต่ว่ามีเรื่องนึงที่คุณต้องช่วยผม”
ชาญสงสัยว่าฤทธิ์จะให้เขาทำอะไร
ทีวีเครื่องเล็กๆ ในป้อมยามบริษัทมาดามหลิวกำลังรายงานข่าว
“มีรายงานว่าเกิดการแพร่ระบาดของยาเสพติดชนิดใหม่ไปทั่วกรุงเทพ และปริมณฑลในขณะนี้ โดยยาดังกล่าวมีชื่อเรียกกันในหมู่นักเสพว่า น้ำตาสวรรค์ ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นประสาทอย่างรุนแรง ทำให้ผู้ที่เสพยาจนเกิดขนาด เกิดอาการคลุ้มคลั่งและทำร้ายผู้คนโดยไม่มีสาเหตุ ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสืบหาต้นตอของแหล่งผลิตอยู่ค่ะ”
ณัฐชาโผล่มาเคาะกระจก เรียกยามที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่
“ติดต่อใครครับ”
ณัฐชาชูบัตร
“ฉันนัดคุณโทมัสเอาไว้ค่ะ”
“อ๋อ ผู้หมวดณัฐชา รอสักครู่นะครับ คุณโทมัสกำลังลงมาพอดี”
พูดไม่ทันขาดคำเสียงแตรรถก็ดังขึ้น ณัฐชาหันไปเห็นฤทธิ์ขับรถมาจอดเทียบ
“เชิญครับคุณตำรวจ”
“นี่เราจะไปไหน”
“ถามแบบนี้แสดงว่าคุณกลัวผมสิท่า”
“ฉันก็แค่อยากรู้ ใครบอกว่าฉันกลัว”
ณัฐชาขึ้นไปนั่งบนรถด้วยมาดห้าวสุดๆ ฤทธิ์ยิ้มขำก่อนจะออกรถ
กรณ์เดินหนีบนิตยสารฉบับหนึ่งมายังแฟลตลุงโจ ที่มีสภาพคล้ายๆแหล่งเสื่อมโทรม มีพวกวัยรุ่นขี้ยาจับกลุ่มสุมหัวซ่อมรถมอเตอร์ไซด์กัน ท่าทางไม่เป็นมิตร กรณ์เดินผ่านพวกนั้นแล้วขึ้นบันไดไปอย่างใจเย็น
กรณ์เคาะประตูห้อง เห็นสาวขายบริการท่าทางโชกโชนรายหนึ่งเปิดประตูออกมา
“ลุงโจอยู่มั้ย”
สาวบริการมองกรณ์หัวจรดเท้าก่อนหันไปเรียก
“ป๋า เพื่อนมาเยี่ยม”
กรณ์มองเข้าไปในห้องที่รกและเกลื่อนไปด้วยผลงานการผลิต บวกกับความสกปรกของลุงโจ ลุงโจที่เพิ่งสร่างเมาเดินงัวเงียออกมาดู
“หัวหน้า”
สาวขายบริการเดินนวยนาดลงบันไดแล้วผ่านพวกวัยรุ่นไป พวกวัยรุ่นผิวปากนินทาตามหลังอย่างคึกคะนอง
กรณ์พลิกนิตยสารหาหน้าที่ต้องการก่อนจะส่งให้ลุงโจรับไปดู ลุงโจยื่นศีรษะออกห่างจากหนังสือเล็กน้อย สายตาเริ่มมีปัญหา
“สายตายาวเหรอลุง”
ลุงโจตายังมองหนังสือ
“ผมมันใกล้วัยทองแล้วหัวหน้า ทำไงได้”
ลุงโจเอียงคอดูรูปในนิตยสารปรากฏว่าเป็นภาพข่าวของโทมัส หลิว
“เหมือน เหมือนมาก แต่ไม่น่าจะใช่”
“ทำไม”
“ท่าทางมันผิดกัน แล้วคนที่แฟนเพิ่งถูกฆ่าตายอย่างผู้หมวดฤทธิ์ ราวี มีเหรอจะมายืนยิ้มแฉ่งแบบนี้”
“มันอาจเล่นละครตบตาเราอยู่ก็ได้”
“เคยตรวจสอบมันรึยัง”
“เอมี่กับไอ้ยักษ์ลองเช็คดูแล้ว แต่ยังไม่แน่ใจ บอสก็เลยสั่งให้ตัดบทเก็บมันซะเลย”
“นั่นงานของผมสิท่า”
“ใช่ แต่มีอีกงานนึงที่ต้องมาก่อน”
ลุงโจเหลียวมองอย่างแปลกใจ
ฤทธ์ขับรถอย่างอารมณ์ดี ณัฐชาสังเกตป้ายบอกทางกำลังจะไป ชลบุรี
“ชลบุรี...นี่คุณจะพาฉันออกต่างจังหวัดเหรอ”
“ครับ”
“ไปทำไม อย่าบอกนะว่าจะค้างคืน ฉันไม่เอาด้วยนะ”
“ใจเย็นๆก็ได้คุณตำรวจ ผมไม่ได้วางแผนจะปล้ำคุณซะหน่อย แค่อยากจะให้พบกับใครคนนึง”
“ใคร” ณัฐชาแปลกใจ
เพื่อนของใจทิพย์เข้ามาในร้านอาหารแห่งหนึ่ง มองหาจนเห็นฤทธิ์ที่นั่งกับณัฐชาอยู่ก่อน จึงรีบเข้ามาร่วมโต๊ะ เพื่อนยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะคุณโทมัส สวัสดีค่ะคุณตำรวจ”
ณัฐชารับไหว้
“เอ๊ะ พี่...พี่ที่เป็นเพื่อนร่วมงานของใจทิพย์นี่คะ”
“ค่ะใช่”
“พี่รู้จักกับหมอนี่ เอ้ย คุณโทมัสด้วยเหรอคะ”
“ค่ะ แหมก็ต้องรู้จักสิคะ ในเมื่อคุณโทมัสเป็นผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดของมูลนิธิแสงอรุณ”
ณัฐชามองฤทธิ์อย่างไม่เชื่อสายตา
“ผู้บริจาค อย่างคุณเนี่ยนะทำบุญ”
ฤทธิ์ยักไหล่ยิ้มๆ ณัฐชาเบ้หน้าแบบไม่อยากเชื่อ
“พอดีเลยค่ะคุณโทมัส คุณมาก็ดีแล้ว ดิฉันว่าจะส่งใบประกาศเกียรติคุณไปให้ที่กรุงเทพอยู่เชียว ถ้าไงถือโอกาสนี้ ส่งให้ถึงมือเลยนะคะ”
เพื่อนของใจทิพย์มอบซองเอกสารให้ฤทธิ์รับไป
“ขอบคุณครับ แต่อันที่จริงไม่ต้องลำบากก็ได้ เพราะที่ผมช่วยเหลือพวกเด็กๆ ผมทำโดยไม่หวังผลตอบแทน”
ณัฐชาแอบบ่น
“สร้างภาพสุดๆ”
ฤทธิ์หันมามองณัฐชาได้ยินนะ
“ค่ะดิฉันทราบ แต่ยังไงก็ถือว่าเป็นที่ระลึกละกันค่ะ”
เพื่อนของใจทิพย์ยิ้มให้ฤทธิ์อย่างประจบประแจง ณัฐชามองอย่างไม่เชื่อสายตา
เพื่อนของใจทิพย์กำลังเดินทางกลับ แต่ณัฐชารีบตามมาสะกิด
“เดี๋ยวก่อนค่ะคุณพี่ ฉันมีเรื่องจะถามหน่อย”
“เรื่องอะไรเหรอคะ”
“คือว่าคุณพี่ไม่รู้สึกคุ้นหน้าหมอนั่นบ้างเลยเหรอคะ”
“หมอนั่น...คุณโทมัสน่ะเหรอคะ”
“ค่ะ...หน้าเขาเหมือนกับแฟนของใจทิพย์”
“โอ้ยเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะคุณตำรวจ แฟนของน้องใจทิพย์น่ะหน้าดำคร่ำเคร่ง ไม่มีสง่าราศีเลยสักนิด แต่คุณโทมัสน่ะอารมณ์ดีแถมเป็นสุภาพบุรุษอีกต่างหาก ไม่ใช่คนเดียวกันหรอกค่ะ”
“แต่คล้ายกันมากนะคะ”
“เอ ก็ไม่เห็นแปลกนี่คะ คนหน้าเหมือนดารายังออกทีวีกันโครมๆไม่ได้แปลว่าต้องเป็นคนเดียวกันซะหน่อย” เพื่อนใจทิพย์เห็นณัฐชาจะถามอีกเลยรีบตัดบท “เอ่อ ถ้าไงฉันขอตัวก่อนนะคะ จะรีบเอาเช็คไปเข้าแบงก์”
เพื่อนของใจทิพย์จากไป ทิ้งให้ณัฐชายืนอึ้งก่อนที่ฤทธิ์จะเดินตามออกมา
“ขอโทษด้วยนะที่ทำให้คุณต้องผิดหวัง ดูเหมือนตอนนี้เหลือคุณแค่คนเดียวที่คิดว่าผมคือนายฤทธิ์ ราวี”
“นายจงใจสร้างสถานการณ์ คิดเหรอว่าฉันจะเชื่อ”
“ไม่เอาน่าคุณตำรวจ หัดยอมรับความจริงซะบ้างสิ ขี้แพ้ชวนตี ทำเป็นเด็กๆไปได้”
ฤทธิ์ตบบ่าปลอบใจณัฐชาก่อนจะเดินหนี
“เด็กบ้านนายสิ ฉันเป็นตำรวจนะ”
ฤทธิ์เดินลิ่วไม่สนใจ
“นี่ แล้วนายจะเดินไปไหน รถจอดอยู่ทางโน้น...ฮึย อะไรของเขาอีกวะ”
ฤทธิ์เดินมาที่ชายหาดซึ่งเขากับใจทิพย์เคยเดินเล่นด้วยกัน ณัฐชาตามมาอย่างจับผิด
“แค่นี้ตบตาฉันไม่สำเร็จหรอกนะคุณโทมัส คิดจะสร้างสถานการณ์ให้ฉันเลิกสงสัยคุณงั้นเหรอ ฝันไปเถอะ”
“ผมสร้างสถานการณ์ตรงไหน”
“ก็คุณเล่นบริจาคเงินซะเยอะแยะขนาดนั้น ใครหน้าไหนจะกล้าพูดล่ะว่าคุณเหมือนคนร้าย ต่อให้คุณผายลม เขายังบอกว่าหอมเลย”
“ก็แล้วแต่คุณเถอะ ผมเองก็ไม่รู้จะพิสูจน์ยังไงแล้ว...ผมไม่รู้หรอกนะว่านายฤทธิ์ ราวีที่คุณพูดถึงเป็นคนยังไง แต่ไอริณเคยเล่าให้ผมฟังว่าใจทิพย์เป็นผู้หญิงที่ดีมาก”
“แล้วไง”
“เธอเป็นคนมีเหตุผล แล้วในเมื่อเธอเลือกที่คบกับฤทธิ์ ราวี ทำไมคุณถึงต้องคิดว่าเธอเลือกผิด ทำไมคุณไม่คิดบ้างว่าหมอนั่นอาจจะเป็นคนดี”
“คนดีประเภทไหนที่ทำให้เพื่อนของฉันต้องตาย คนดีประเภทไหนเหรอ คุณโทมัส ที่หนีไปโดยไม่รับผิดชอบอะไรสักอย่าง”
“ตอนนี้เขาอาจจะเสียใจอยู่ก็ได้”
“คุณจะรู้ได้ยังไงในเมื่อคุณไม่ใช่เขา”
“แล้วคุณล่ะ คุณรู้ได้ยังไง ว่าเขาจะไม่เสียใจ”
ณัฐชากับฤทธิ์เถียงกันจนของขึ้นทั้งคู่ โทรศัพท์ของณัฐชาก็ดังขึ้น ชาญเป็นคนที่โทรมาโดยใช้อุปกรณ์ปลอมแปลงเสียงให้เหมือนกับนักสู้มหากาฬ ณัฐชากดรับสาย
“ฮัลโหล”
“ผู้หมวด นี่ผมเอง”
“มือสังหารชุดดำ”
ณัฐชารีบปลีกตัวออกมา ฤทธิ์มองตามเหมือนอยากรู้ว่าณัฐชาจะหลงกลหรือไม่
“ผมมีธุระสำคัญต้องการพบคุณ”
“ไม่ได้หรอก ตอนนี้ฉันอยู่ต่างจังหวัด”
“ผมรู้ แต่ผมอยู่ใกล้ๆคุณ”
“อะไรนะ คุณอยู่แถวนี้เหรอ”
ณัฐชามองไปที่ฤทธิ์ อย่างงุนงง เพราะเธอเคยสงสัยว่าฤทธิ์คือนักสู้มหากาฬ
ลุงโจพรางตัวเป็นศิลปินซอมซ่อ สวมหมวกปีกกว้าง หิ้วกล่องกีตาร์กับข้าวของพะรุงพะรังมาแถวหน้าร้านอาหาร แกจัดแจงตั้งเก้าอี้แล้วเปิดกล่องหยิบกีตาร์ออกมา ลุงโจเลียนิ้วตัวเองแล้วถูๆเพิ่มความหล่อลื่น ก่อนจะลงมือแกะโน้ตแบบวอร์มเครื่อง
ณัฐชาคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว หันมาบอกฤทธิ์
“คุณรอฉันแถวนี้ก่อนนะเดี๋ยวฉันไปหาเพื่อน”
“เพื่อนที่ไหนเหรอคุณ คุณนัดเขาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เอาเหอะน่า อย่าถามซ่อกถามแซ่กนักเลย เดี๋ยวฉันมา”
ฤทธิ์ทำเป็นแปลกใจ แต่พอเห็นณัฐชาเดินไปแล้วจึงแค่นยิ้มออกมา
ณัฐชาเดินเข้ามายังจุดนัดซึ่งเป็นอู่เรือเล็กๆค่อนข้างอับทืบและขาดแสงสว่าง ก่อนจะเห็นนักสู้มหากาฬยืนอยู่ที่มุมหนึ่ง เธอไม่สังเกตเลยว่าเขาติดตั้งอุปกรณ์แปลงเสียงไว้ที่คอ ชาญที่ใส่ชุดนักสู้มหากาฬพูดขึ้น
“ผมอยู่ทางนี้”
“คุณเรียกฉันออกมาทำไม”
“ผมมีข่าวจะบอกคุณเรื่องยาของพรายพิฆาต ตอนนี้ผมกำลังสืบหาแหล่งผลิตของมันอยู่”
“คุณแน่ใจเหรอว่าทำได้”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่ผมอยากขอความร่วมมือจากตำรวจในการบุกถล่มรังพวกมัน”““ฉันตัดสินใจเองไม่ได้ เรื่องนี้ฉันต้องขออนุญาตจากผู้กองราเมศ”
“ก็ได้...ถ้างั้นคุณบอกเขา แต่ห้ามบอกคนอื่นอีกเด็ดขาด”
ฤทธิ์เดินกลับมารอณัฐชาที่รถและเห็นลุงโจที่กำลังเล่นกีตาร์อยู่แม้จะสวมหมวกอำพรางโฉมหน้าแต่ฤทธิ์ก็ยังจำได้ เขาเดินไปดูลุงโจที่ก้มหน้าก้มตาดีดกีตาร์ร้องเพลงอย่างใจเย็น โดยทิ้งระยะห่างพอสมควรเพื่อความปลอดภัย
“ขอเพลงได้นะหลานชาย เพลงไทยเพลงฝรั่งลุงเล่นได้หมด”
“ช่วยเงยหน้าหน่อยได้มั้ย”
ลุงโจหยุดเล่นกีตาร์แล้วเงยหน้าสบตากับฤทธิ์
“คุ้นๆสิท่า”
ฤทธิ์ไม่ทันตอบ ลุงโจก็สวิทซ์จุดชนวนระเบิดที่ซ่อนอยู่ด้านหลังกีตาร์ แต่ขณะนั้นเองณัฐชาก็เดินกลับออกมาและเห็นไฟที่กระพริบอยู่เข้าพอดี
“คุณโทมัสระวัง”
ลุงโจเหวี่ยงกีตาร์ใส่ฤทธิ์ ก่อนที่ระเบิดจะทำงานตูมเกิดเปลวควันม่านฝุ่นตลบไปทั่วบริเวณ ณัฐชารีบชักปืนออกมา แต่ลุงโจไวกว่ามันคว้าระเบิด pipe bomb คู่ชีพออกมาจากกระเป๋าทีเดียวสองลูก แล้วโยนกลิ้งไปตรงหน้าณัฐชา
“เฮ้ย”
ณัฐชากระโจนหลบ ขณะที่ระเบิดทำงานตูม ลุงโจฉวยโอกาสนั้นชักปืนออกมายิงใส่ณัฐชาเพื่อเปิดทางก่อนจะหนีไปอย่างรวดเร็ว ณัฐชาพยายามยิงตามหลังแต่ก็ไม่ทันการ
“โธ่เว้ย” เธอนึกขึ้นได้ “คุณโทมัส คุณเป็นยังไงบ้าง”
ไม่มีเสียงตอบ ณัฐชารีบลุยฝ่าฝุ่นควันไปหาฤทธิ์
“คุณโทมัส คุณยังอยู่รึเปล่า คุณโทมัส”
ณัฐชาพบกับความว่างเปล่า รอยเลือดสักหยดก็ไม่เห็น
“อ้าว” เธอแหงนมองหา “กระเด็นไปไหนแล้ววะ”
ลุงโจวิ่งหนีกระหืดกระหอบมาตามทางแคบๆ ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นฤทธิ์ยืนขวางทางอยู่
“แก”
ลุงโจยิงใส่ ฤทธิ์หลบทางกระสุนด้วยพลังพิเศษ ก่อนจะซัดลุงโจจนปืนหลุดมือแล้วจับล็อกไว้ ระหว่างนั้นชาญก็เพิ่งถือปืนตามมาถึง
“คุณโทมัส คุณปลอดภัยรึเปล่า”
“ผมได้ตัวมันแล้ว”
“โทมัส หึๆ อย่าอำน่าผู้หมวด ผมจำคุณได้”
ฤทธิ์จ้องหน้า
“ฉันไม่ใช่ผู้หมวดอะไรของแก”
“ฮะๆ หลอกคนอื่นมันง่ายผู้หมวด แต่คุณหลอกคนแก่อย่างผมไม่ได้หรอก อย่าว่าแต่บุคลิกคุณเปลี่ยนเลย ต่อให้คุณทำศัลยกรรม ผมก็จำคุณได้อยู่ดี”
“โกหก”
“รังสีอำมหิต มันฉาบที่แววตาของคุณ ชาตินี้ทั้งชาติผมไม่มีวันลืมแน่”
ชาญเข้ามาสมทบ
“ใครส่งแกมา”
“รู้ทั้งรู้ ไม่ต้องเสียเวลาถามหรอก ถามเรื่องที่พวกแกไม่รู้ดีกว่ามั้ง”
“เรื่องอะไร”
“วันนี้ฤกษ์ดี พรายพิฆาตจะใช้เป็นวันดีเดย์ ประกาศสถานะให้คนทั้งประเทศได้รับรู้ มันเตรียมแผนเอาไว้สองแผนด้วยกัน แผนแรกคือฆ่าแก ส่วนแผนสอง…ฉันไม่บอก จนกว่าแกจะยอมปล่อยฉัน ฮ่าๆ”
ฤทธิ์กับชาญมองหน้ากัน ชาญตัดสินใจซัดลุงโจด้วยด้ามปืนจนสลบ
ณัฐชาเข้ามาสอบถามเด็กในร้านที่ยืนปะปนอยู่กับกลุ่มไทยมุง
“ตำรวจท้องที่ยังไม่มาอีกเหรอน้อง”
“เพิ่งโทรไปแค่ห้านาทีเองพี่ เดี๋ยวมามั้ง”
ณัฐชาหันมาบ่น
“เวรๆ มาอารักขาให้วันแรกก็ตายเลยเหรอเนี่ย นายโทมัส”
ขณะเดียวกันนั้นโทรศัพท์ดังขึ้นเธอรับสาย
“ฮัลโหล”
ฤทธิ์พูดด้วยเสียงนักสู้มหากาฬ
“โทมัสปลอดภัย แต่คุณต้องรีบไปจากที่นี่”
“มือสังหารนั่นคุณอีกแล้วเหรอ”
“เชื่อผม รีบไปที่ทำการพรรคเทิดธรรมเดี๋ยวนี้”
ณัฐชาสงสัย
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“พรายพิฆาตมีแผนร้าย ไปถึงก็รู้เอง”
ฤทธิ์กดวางสาย ชาญที่กำลังประคองร่างอันไร้สติของลุงโจอยู่หันมาถาม
“ทำไมถึงให้ผู้หมวดณัฐชาไปที่พรรคเทิดธรรม”
“ที่ลุงโจพูดว่าวันนี้เป็นวันประกาศสถานะของพรายพิฆาต แต่ดันบังเอิญ ตรงกับวันที่ท่านนำชัยแถลงข่าว ผมว่ามันต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันแน่”
“แต่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีแผนอะไร”
ฤทธิ์มองที่ลุงโจ
“เดี๋ยวก็รู้”
ฤทธิ์ว่าพลางกดโทรศัพท์มือถืออีกครั้ง
ณัฐชายืนงงอยู่แถวๆรถของฤทธิ์
“นายโทมัส ตกลงหายไปไหนของเขาเนี่ย คนยิ่งรีบๆอยู่มีข้อความ sms ถูกส่งเข้ามา ณัฐชารีบเปิดดู
“มีเรื่องต้องเคลียร์ คุณกลับไปก่อนได้เลย โทมัส” ณัฐชาเซ็งๆ
“ชิ แล้วจะกลับยังไง กุญแจรถไม่ได้อยู่ที่ฉันซะหน่อย”
ทันใดนั้น ระบบกลไกของรถเริ่มสตาร์ทโดยโทรศัพท์มือถือของฤทธิ์ ประตูปลดล็อกโดยอัตโนมัติ ณัฐชาหันมาเมื่อได้ยินเสียงสตาร์ท
“ฮึ่ย อะไรเนี่ย”
ณัฐชาเปิดประตูรถและพบว่าที่แผงควบคุม มีข้อความแจ้งว่าระบบออนไลน์ทำงาน
“ว้าว เจ๋งเป้ง”
ณัชชาดีใจมาก
อ่านต่อตอนต่อไป