นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 5
ขณะเดียวกันภายในที่ทำการพรรคเทิดธรรม งานแถลงข่าวของนำชัยกำลังถูกตระเตรียมสถานที่ ราเมศสั่งการกับไมตรีและปรีดา
“สั่งคนตรวจตราให้ทั่วนะ การแถลงข่าวจะเริ่มในอีกสามสิบนาที”
สุชาติผ่านมาเห็นพอดี
“อ้าวผู้กอง วันนี้ผู้หมวดณัฐชาไม่มาด้วยเหรอครับ”
ราเมศหันมา
“คุณสุชาติ ณัฐชาติดธุระนิดหน่อยครับ เอ่อ...แล้วนี่ท่านนำชัย…”
“ท่านกำลังเตรียมตัวอยู่ครับ ดูเหมือนวันนี้นักข่าวจะมากันเยอะมาก”
ราเมศพยักหน้าแล้วมองไปอย่างหนักใจ เจ้าหน้าที่บริเวณหน้าประตูกำลังตรวจตรานักข่าวที่เริ่มทยอยกันเข้ามา
นำชัยลากกรณ์หลบมุม มาสอบถามอย่างไม่พอใจ
“คุณหายไปไหนมา รู้มั้ยว่าอีกเดี๋ยวผมต้องแถลงข่าวเรื่องยาเสพติดบ้าๆของเจ้านายคุณ”
“อย่าลนลานสิครับท่าน วางตัวให้สมกับเป็นผู้นำซะหน่อย เดี๋ยวชาวบ้านเขาจะหมดศรัทธาเอาได้”
"ตอนนี้ก็ใกล้หมดเต็มทีแล้ว มีอย่างที่ไหนยาเสพติดแพร่ระบาดไปทั่ว แต่หน่วยงานของผมกลับไม่มีผลงานอะไรสักอย่าง แบบนี้ผมมีหวังโดนนักข่าวจวกเละแน่ะ”
“เรื่องนั้นเราจะจัดการให้ แต่ตอนนี้เชิญออกไปเล่นละครได้แล้ว”
นำชัยได้แต่หนักใจกับสภาพเหยียบเรือสองแคมของตนเอง
ราเมศรับโทรศัพท์จากณัฐชา
“ผู้กอง ตอนนี้ผู้กองอยู่ที่ไหนคะ”
“พรรคเทิดธรรม มีอะไรเหรอผู้หมวด”
“ข่าวด่วนค่ะ ฉันได้ยินว่าพวกพรายพิฆาตจะส่งคนไปก่อกวนที่นั่น”
“คุณได้ข่าวมาจากไหน”
“เอ่อ คือเรื่องมันอธิบายยากค่ะ แต่มีคนบอกฉัน”
“ใคร เชื่อถือได้รึเปล่า”
“ก็ไม่เชิงค่ะ แต่ว่า…พอฟังได้”
“งานจะเริ่มแล้ว ผมไม่มีเวลาสนใจกับข่าวโคมลอยนะผู้หมวด มีอะไรค่อยว่ากันทีหลัง”
ราเมศวางสาย ณัฐชาได้แต่บ่นอุบ
“โธ่เอ๊ย แล้วจะให้บอกยังไงเนี่ย พูดความจริงก็ไม่ได้”
รถบรรทุกสินค้าของบริษัทมาดามหลิว คันหนึ่งแล่นเข้ามาหน้าบริษัท...ไม่นานนัก ในห้องทดลองของบริษัท ลุงโจถูกสวมเสื้อรัดแขนเหมือนคนบ้า ถูกผลักให้นอนลงบนเตียง
“ที่นี่มันที่ไหนกันวะ”
ชาญตะคอก
“แกไม่จำเป็นต้องรู้”
โซเฟียเข้ามาถาม
“มันเป็นใคร”
“สมาชิกของพรายพิฆาต อดีตเพื่อนร่วมงานของผู้หมวดฤทธิ์ ราวี”
โซเฟียมองไปที่ฤทธิ์ที่กำลังยืนดูลุงโจห่างๆด้วยสีหน้าถมึงทึง ลุงโจโวยวาย
“ปล่อยโว้ย คอยดูนะถ้าพวกแกทำอะไรฉัน พรายพิฆาตจะต้องมาล้างแค้นพวกแก ได้ยินมั้ย ฉันไม่บอกอะไรทั้งนั้น”
“เดี๋ยวก็รู้”
ขาดคำโซเฟียก็หยิบยาหลอดนึงฉีดที่ต้นคอลุงโจ
“นี่เธอ...เธอฉีดอะไรให้ฉัน”
“อีกไม่เกินห้านาทีแกจะบอกทุกอย่างที่แกรู้จนหมด”
ลุงโจหน้าเสีย ขณะที่ฤทธิ์รออยู่อย่างอดทน เขาเหลือบดูนาฬิกาข้อมือ…ตอนนี้ต้องแข่งกับเวลา
ฤทธิ์ขับรถมาอย่างรวดเร็วขณะที่ณัฐชากำลังครุ่นคิดอย่างสับสน
“มันจะเป็นไปได้ยังไง ถ้าท่านนำชัยเป็นพวกเดียวกับพรายพิฆาตแล้วมันจะส่งคนไปป่วนที่งานแถลงข่าวเพื่ออะไร หรือว่าเป้าหมายของมันเป็นคนอื่น”
การแถลงข่าวเริ่มต้นขึ้น นำชัยเปิดการแถลง
“ผมขอยืนยันว่าพรรคเทิดธรรม และตัวผมมีเจตนาอันมุ่งมั่นที่จะต่อต้านอาชญากรรมในทุกรูปแบบ ซึ่งพี่น้องประชาชนจะเห็นได้จากการปราบปรามแก๊งค้ายาเสพติดต่างๆในช่วงที่ผ่านมา...”
ราเมศเชื้อเชิญมิสเตอร์โทคุดะเข้ามาในงาน โดยมีบอดี้การ์ตติดตามมาเพียงแค่สองนาย
“มิสเตอร์โทคุดะ ยินดีต้อนรับ”
“ไม่ต้องมากพิธีนักหรอกผู้กอง ผมแค่มาสังเกตการณ์เงียบๆ”
“เอ๊ะ นี่คุณ…”
“ผมเคยทำงานให้กับสถานทูตมาก่อน พอจะรู้อะไรๆอยู่บ้างคุณไม่ต้องเป็นห่วง”
“แต่นักข่าวอาจจะจำท่านได้นะครับ”
“ผู้ติดตามผมมีแค่นี้ อย่าว่าแต่นักข่าวเลยต่อให้พรายพิฆาตก็คงคิดไม่ถึงแน่ว่าผมเป็นใคร”
ราเมศมองโทคุดะ และมองไปรอบๆอย่างนึกสังหรณ์ใจ
ณัฐชามายืนรอที่รั้วทางเข้าพรรคเทิดธรรม ซึ่งมีไทยมุงๆอยู่ประปรายและมีเจ้าหน้าที่คอยรักษาความปลอดภัย สักครู่ก็เห็นไมตรี ปรีดาออกมาหา ณัฐชาเข้าไปถาม
“หมู่จ่า เป็นยังไงบ้าง”
ไมตรีรายงาน
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับผู้หมวด ไม่มีอะไรผิดปกติ”
ปรีดาเสริม
“ตอนนี้ผู้กองราเมศกำลังคุมเข้มอยู่ข้างในครับ รับรองว่าไม่มีคนร้ายเด็ดขาด”
คำพูดของปรีดาทำให้ณัฐชากวาดมองไปรอบๆตัวเห็นไทยมุงมากมาย ไม่รู้ว่าจะมีใครเป็นคนร้ายหรือไม่
ในห้องทดลองบริษัทมาดามหลิว...ลุงโจดิ้นรนทุรนทุรายอยู่บนเตียง โดยมีชาญกับโซเฟียที่กำลังสอบปากคำ
“ไอ้พวกบ้าเอ็งฉีดยาอะไรให้ข้า ไอ้พวกสารเลว ข้าจะฆ่าเอ็ง”
โซเฟียมองหน้า
“ฉันจะให้ยาแก้ แต่นายต้องบอกฉันมาก่อนว่าพรายพิฆาตมีแผนอะไร”
สายตาลุงโจถูกหลอนด้วยฤทธิ์ยา จนเห็นหน้าโซเฟียกับชาญบิดเบี้ยวสีสันฉูดฉาดเหมือนปีศาจร้าย ชาญตะคอก
“บอกมา”
“ก็บอกไปแล้วไง พรายพิฆาตต้องการแสดงแสนยานุภาพ เพื่อให้สังคมรับรู้ว่ามีตัวตนอยู่จริง”
“ไม่ใช่แค่นั้น บอกมาให้หมด พวกมันจะใช้วิธีไหน” โซเฟียคาดคั้น
“โทคุดะ” ลุงโจพึมพำ
ชาญได้ยินไม่ถนัด
“อะไรนะ”
“หนึ่งในคณะกรรมมาธิการของCTC หน่วยงานต่อต้านการก่อการร้ายของสหประชาชาติ มิสเตอร์ชิเกโอะ โทคุดะ มันจะมาสังเกตการณ์ที่งานแถลงข่าว พรายพิฆาตหลอกให้มันมาตายที่นี่”
ชาญหันไปสบตากับฤทธิ์อย่างตกตะลึง
นำชัยยังคงแถลงข่าวต่อเนื่อง โทคุดะฟังอย่างตั้งใจ
“อย่างไรก็ดี เราได้รับรายงานว่ายาเสพติดตัวใหม่ ยังแพร่ระบาดอยู่แค่ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลเท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของตำรวจ ที่สามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้”
นักข่าวคนหนึ่งถามขึ้น
“ท่านคะ แล้วที่ลือกันว่าพรายพิฆาตอยู่เบื้องหลังยาเสพติดตัวนี้ ท่านมีความคิดเห็นว่ายังไงบ้างคะ”
“พรายพิฆาตมีจริงรึเปล่าก็ยังไม่รู้ เรื่องนี้ผมไม่ขอออกความเห็น”
นักข่าวอีกคนถามบ้า
“แล้วที่มีข่าวลือว่า ที่ท่านไม่สนใจจะกวาดล้างพรายพิฆาต เพราะพรรคการเมืองของท่านได้รับการสนับสนุนจากพวกมัน ท่านจะว่ายังไงครับ”
นำชัยสวนทันที
“เหลวไหล พรรคเทิดธรรมของผม เป็นพรรคน้ำดี ไม่มีทางแปดเปื้อนกับพวกนอกกฎหมายเด็ดขาด”
ระหว่างนั้นณัฐชากับไมตรีปรีดาเพิ่งเบียดผ่านผู้คนเข้ามาในงานและเห็นราเมศที่ยืนอยู่กับมิสเตอร์โทคุดะกับบอดี้การ์ด ณัฐชาหันมาถามไมตรี
“ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร”
“เอ...ไม่ทราบเหมือนกันครับ ดูเหมือนว่าจะเพิ่งบินมาจากต่างประเทศ”
ปรีดาเข้ามาบอก
“คนญี่ปุ่นครับผู้หมวด แต่ผมถามยังไงผู้กองราเมศก็ไม่ยอมบอกว่าหมอนี่เป็นใคร”
ณัฐชาเริ่มเอะใจ คิดอยู่สักพักก็เริ่มคุ้นหน้า
“ฉันเคยเห็นหมอนี่ในข่าว เขาทำงานให้ CTC”
ระหว่างที่ตำรวจกำลังคอยอารักขาทางเข้าออกอยู่นั้น ชายคนหนึ่งถือช่อดอกไม้ตรงมาที่ประตูรั้ว ตำรวจกันไว้
“เดี๋ยว คุณจะไปไหน”
“ผมมีของขวัญมาส่งครับ”
“จากไหน คุณมีเอกสารรึเปล่า”
แทนคำตอบ สาวกทิ้งช่อดอกไม้ลงเผยให้เห็นระเบิดที่ถูกมัดไว้กับหน้าอกพร้อมที่จุดชนวน ตำรวจตกใจ
“เฮ้ย ระเบิด”
สาวกตะโกนลั่น
“พรายพิฆาตจงเจริญ”
นิ้วของสาวกดปุ่มที่จุดชนวน
เสียงระเบิดดังสนั่น นำชัยหยุดชะงักการแถลงข่าวด้วยความตกตะลึงก่อนจะหันไปที่กรณ์ซึ่งยืนยิ้มกริ่มอยู่อย่างใจเย็น ราเมศบอกกรณ์
“รีบพาท่านนำชัยเข้าไปข้างใน...มิสเตอร์โทคุดะ ตามผมมาครับ”
ระหว่างที่ผู้คนกำลังสับสนอลหม่าน ณัฐชาก็ตามไมตรีปรีดาเข้ามาถึงในงาน
“ผู้กอง”
ราเมศหันมา
“ณัฐชา คุณมาได้ยังไง”
“อย่าเพิ่งถามเลยค่ะ รีบคุ้มกันท่านนำชัยเข้าไปก่อน ทางนี้ฉันจัดการเอง”
ราเมศออกคำสั่ง
“หมู่จ่า ช่วยผู้หมวดคุ้มกันทางเข้าออก”
ไมตรีกับปรีดารับคำ
“ครับผู้กอง”
“รับทราบครับ”
กรณ์กับสมุนคุ้มกันนำชัย สุชาติเข้าไปในที่ทำการพรรคขณะที่ราเมศพาโทคุดะและบอดี้การ์ดหลบตามมาทีหลัง ส่วนณัฐชา ไมตรี ปรีดา ประจำที่ทางเข้าอาคาร ทันใดนั้นก็เห็นรถจี๊ปคันหนึ่งแล่นเข้ามาในบริเวณที่ทำการพรรค คนบนรถสี่คนแต่งตัวคล้ายหน่วยคอมมานโดแต่มีสีสันลวดลายที่เตะตากว่า ทั้งหมดลงมาจากรถพร้อมอาวุธครบมือ
“พรายพิฆาตจงเจริญ”
นักรบทั้งสี่กระจายกำลังกราดยิงไปรอบทิศทาง กระสุนฉีกร่างทั้งเจ้าหน้าที่ และนักข่าวจนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง
กรณ์พานำชัย สุชาติเข้ามาด้านใน ขณะที่สุชาติมัวตะลึงมองด้านนอกอยู่ นำชัยก็ถือโอกาสถามกรณ์
“ทำไมคุณถึงทำอย่างนี้ ทำไมคุณไม่บอกผม”
“ขืนบอกท่านก็เล่นไม่สมบทบาทน่ะสิ ใจเย็นครับท่าน เป้าหมายของงานนี้ไม่ใช่ท่าน แต่เป็นเขา”
กรณ์บุ้ยหน้าไปที่มิสเตอร์โทคุดะ ซึ่งกำลังมองสภาพเหตุการณ์ข้างนอกด้วยความหวาดหวั่น
นักรบพรายพิฆาตยังคงกราดยิงผู้คนเป็นว่าเล่น เจ้าหน้าที่พยายามยิงตอบโต้ใส่มันแต่พวกมันก็ไม่ยอมตายโดยง่าย ณัฐชาพยายามยิงต่อสู้กับพวกนักรบพรายพิฆาต ก่อนจะถูกมันยิงเข้าใส่จนต้องก้มหลบ
“ไอ้พวกบ้า นี่มันคนหรือเป็นผีกันแน่”
ไมตรีกับปรีดาคลานมาสมทบกับณัฐชา
“ไม่ไหวแล้วครับผู้กอง มันใส่ชุดเกราะยี่ห้ออะไรไม่รู้ยิงไม่ตายซะที”
“ชุดเกราะที่ไหนจ่า เลือดท่วมขนาดนั้น ผมว่ามันมีของแหงๆ”
“ถ้ามีของก็คงไม่พรุนแบบนี้หรอกหมู่ เรารีบหาทางหยุดมันเถอะ ถ้าขืนมันบุกเข้ามาได้เมื่อไหร่ คนที่อยู่ข้างในตายหมดแน่”
คนที่อยู่ด้านในพากันเคร่งเครียดเพราะเสียงการต่อสู้จากด้านนอก โทคุดะรำพึงออกมาเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้
“นี่มันเป็นกับดักชัดๆ ผมถูกพวกมันหลอก”
ราเมศชะงัก
“ทำไมเหรอครับ”
“มีคนส่งจดหมายลับไปหาผม เรื่องท่านนำชัยเป็นสาวกของพรายพิฆาต ผมถึงได้บินด่วนมาสังเกตการณ์ที่นี่...รนหาที่ตายชัดๆ”
เสียงปืนดังใกล้เข้ามา ณัฐชา ไมตรี ปรีดา หลบเข้ามาข้างใน
“ผู้กอง ข้างนอกต้านไม่อยู่แล้ว”
ไมตรีหน้าเสีย
“กำลังเสริมยังไม่มาเลยครับผู้กอง”
ปรีดาหวาดหวั่น
“ท่าทางมันกำลังจะบุกเข้ามาในนี้ด้วยครับ”
ราเมศมองหน้ากันกับกรณ์อย่างขอความเห็น
“ข้างบนมีห้องนิรภัย ผมจะพาท่านนำชัยไปหลบที่นั่น”
ราเมศขัดขึ้น
“ห้องนิรภัยต้านพวกมันไม่อยู่แน่ ผมพาจะมิสเตอร์โทคุดะหนีออกทางด้านหลัง”
รถบรรทุกของบริษัทมาดามหลิว แล่นมาจอดถนนตรอกเปลี่ยวละแวกที่ทำการพรรคเทิดธรรม ในรถ ชาญผละจากตำแหน่งคนขับมาดูที่ตู้ท้ายรถ ซึ่งฤทธิ์เพิ่งสวมชุดนักสู้มหากาฬแล้วเสร็จ โดยมีโซเฟียคอยเป็นผู้ช่วย
“เรามาช้าเกินไป ตอนนี้เกิดเหตุขึ้นในงานแล้ว”
“ถ้าโทคุดะยังไม่ตาย ก็แปลว่าเรายังมีหวัง”
ท้ายรถเปิดออก นักสู้มหากาฬขี่มอเตอร์ไซด์ออกไปอย่างรวดเร็ว โดยชาญกับโซเฟียมองตามไปอย่างเอาใจช่วย
เสียงระเบิดและกระสุนปืนใกล้เข้ามาทุกขณะ บ่งชัดว่าพวกคนร้ายกำลังผ่านมาถึงด้านใน กรณ์หันมาหาราเมศ
“พวกมันมาแล้ว โชคดีนะผู้กอง” กรณ์บอกนำชัย “เชิญข้างบนครับท่าน”
กรณ์และทีมพานำชัยไปยังชั้นบนของที่ทำการพรรค ราเมศสั่งการ
“พวกเราคุ้มกันมิสเตอร์โทคุดะ ออกทางด้านหลัง”
ราเมศว่าแล้วก็นำทุกคนไป ณัฐชาที่รั้งท้ายมองไปทางด้านนอกที่คนร้ายกำลังอาละวาดเหมือนมีแผนการอะไรบางอย่าง
นักรบของพรายพิฆาตกราดยิงใส่ทุกคนที่พยายามขัดขวางมัน เจ้าหน้าที่คนแล้วคนเล่าถูกยิงล้มตาย ขณะที่พวกพรายพิฆาตยังคงปักหลักสู้ต่อไปแม้จะอยู่ในสภาพบาดเจ็บ
ราเมศกับไมตรี คุ้มกันโทคุดะกับบอดี้การ์ดมาซุ่มที่จุดใดจุดหนึ่งและเห็นรถขนของเก่าๆคันนึงจอดอยู่
“หมู่ ต่อสายตรงเป็นรึเปล่า”
“เป็นครับผู้กอง”
ราเมศบุ้ยหน้าให้ปรีดาไปจัดการสตาร์ทรถ ขณะที่ไมตรีเริ่มสังเกตอะไรบางอย่าง
“เอ...ผู้กอง ผู้หมวดไม่ได้มาด้วยนี่ครับ”
ราเมศตกใจมองกลับไป
“ณัฐชา”
เสียงปืนด้านนอกค่อยๆซาลง เข้าใจว่าพวกเจ้าหน้าที่คงตายหรือไม่ก็หนีกันไปหมด ณัฐชาปลดถังดับเพลิงที่แขวนอยู่ข้างฝาออกมาถือไว้
“อึดนักใช่มั้ยไอ้พวกผีดิบ เดี๋ยวก็รู้ว่าจะทนได้สักแค่ไหน”
นักรบของพรายพิฆาตเดินเข้ามาข้างใน สภาพแต่ละคนมีเลือดท่วมตัว แต่ไม่มีใครเจ็บปวดหรือสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย ณัฐชาซุ่มรอจนได้จังหวะก็โผล่ออกไปเหวี่ยงถังดับเพลิงใส่พวกมัน นักรบของพรายพิฆาตคนนึงยิงใส่ณัฐชาเข้าที่บ่าจนหงาย จังหวะที่กำลังจะล้มนั้นณัฐชาก็เหนี่ยวไกยิงใส่ถังดับเพลิงจนระเบิดตูม ส่งผลให้นักรบที่ยืนอยู่ด้านหน้าตายไปหนึ่งคน ขณะที่เหลืออีกสามคนก็กระเด็นไปคนละทาง ณัฐชาปักหลักลุกขึ้นได้ก็กระหน่ำยิงใส่พวกมันก่อนจะลุกขึ้นมา แต่ทว่ากระสุนก็ดันหมดเสียก่อน
“เวรกรรม”
นักรบพรายพิฆาตตนนึงโผเข้ามาเล่นงานณัฐชาด้วยมือเปล่าทันทีด้วยความแค้น ในขณะที่อีกสองคนคว้าปืนบุกตามโทคุดะไปทางด้านหลัง ณัฐชาโดนตบจนกระเด็น นักรบพรายพิฆาตตัวที่ยังอยู่ตรงเข้ามาบีบคอเธอ
“พรายพิฆาตจงเจริญ”
นักสู้มหากาฬทะลวงผ่านกระจกทางด้านหนึ่งเข้ามา ก่อนจะชักปืนพกกระหน่ำยิงใส่หลังนักรบพรายพิฆาตหลายนัด มันหันมาคำรามก่อนจะวิ่งโผเข้าใส่นักสู้มหากาฬทันที นักสู้มหากาฬควงปืนเก็บก่อนจะชักดาบคู่ออกมาแทงใส่มันหลายแผล แต่มันกลับคว้าข้อมือของเขาไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะปลดดาบทิ้งไปทิ้ง นักรบพรายพิฆาตกับนักสู้มหากาฬต่อสู้กันด้วยเพลงหมัดอย่างดุเดือด ท่ามกลางความลุ้นระทึกของณัฐชา นักรบพรายพิฆาตอัดนักสู้มหากาฬจนกระเด็นก่อนจะตามเข้าไปซ้ำ มันคว้าของหนักใกล้มือมาเงื้อขึ้นหมายจะทุบนักสู้มหากาฬให้ตาย นักสู้มหากาฬพลิกหลบ และฉวยโอกาสคว้าเศษกระจกแทงใส่ท้ายทอยมันอย่างรวดเร็ว นักรบพรายพิฆาตล้มตึงลงกับพื้น นักรบมหากาฬหันไปถามณัฐชา
“มิสเตอร์โทคุดะอยู่ที่ไหน”
ปรีดาต่อสายตรงสตาร์ทรถได้ก็หันมาตะโกนบอกราเมศ
“ผู้กอง รถสตาร์ทติดแล้วครับ”
ราเมศสั่ง
“ไป”
ราเมศ ไมตรีและบอดี้การ์ดคุ้มกันโทคุดะไปที่รถแต่ขณะที่กำลังจะขึ้นรถนั่นเอง ไมตรีก็เหลือบเห็นนักรบพรายพิฆาตตามมาถึง
“ผู้กอง”
ราเมศรีบผลักไมตรี
“หลบไป”
นักรบพรายพิฆาตยิงใส่ขาราเมศจนล้มลง ขณะที่อีกคนกราดยิงใส่บอดี้การ์ดจนตายคาที่ ขณะที่มิสเตอร์โทคุดะก็ถูกยิงจนได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ส่วนหมู่ปรีดารีบคลานลงจากรถอีกฟากเพื่อหลบห่ากระสุน ราเมศตกใจ
“มิสเตอร์โทคุดะ”
นักรบพรายพิฆาตคนหนึ่งกำลังตรงเข้าไปซ้ำมิสเตอร์โทคุดะ ขณะที่อีกคนหันมายิงใส่ราเมศจนต้องกลิ้งตัวหลบ ไมตรีกับหมู่ปรีดาถือโอกาสช่วยกันลากตัวหลบเข้าที่กำบัง ระหว่างนั้นเองที่นักสู้มหากาฬโผล่ออกมาเล่นงานนักรบพรายพิฆาตที่กำลังกราดยิงใส่พวกของราเมศ แล้วจับปืนมันหันไปยิงแสกหน้าพวกเดียวกันจนตาย ราเมศตะลึง
“มือสังหารชุดดำ”
นักสู้มหากาฬปัดปากกระบอกปืนในมือของนักรบพรายพิฆาต จ่อยิงแสกหน้าตัวของมันเองจนล้มไปขาดใจ มิสเตอร์โทคุดะมองนักสู้มหากาฬอย่างตื่นตะลึง ขณะที่ณัฐชาเพิ่งตามมาถึงที่เกิดเหตุ กล้องวงจรปิดบันทึกภาพของนักสู้มหากาฬเอาไว้ได้
วันต่อมา...ภาพที่ทีวีในออฟฟิศกองปราบกำลังฉายรายการข่าว เป็นภาพผู้ประกาศสลับกับภาพเหตุการณ์วุ่นวายในการลอบสังหารมิสเตอร์โทคุดะ
“หลังจากที่ตกเป็นข่าวลืออยู่นาน เมื่อวานนี้องค์กรพรายพิฆาตก็ได้ประกาศตัวอย่างเป็นทางการ โดยบุกสังหารท่านนำชัยหัวหน้าพรรคเทิดธรรม ขณะแถลงข่าวเรื่องการปราบปรามยาเสพติดถึงหน้าที่ทำการพรรคและต่อหน้ากองทัพนักข่าว ผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่าจากวิธีการลงมือดังกล่าวจะทำให้ชื่อของพรายพิฆาตถูกยกระดับจากแก๊งอาชญากร เป็นองค์กรก่อการร้ายโดยสมบูรณ์ในไม่ช้า แต่ในขณะเดียวกันอีกข่าวลือที่เป็นความจริงก็คือ ข่าวของมือสังหารชุดดำที่ออกกวาดล้างพรายพิฆาต ซึ่งหลายๆฝ่ายลงความเห็นว่าเขาอาจทำงานให้กับทางตำรวจ”
ผู้กำกับเมธากับนายตำรวจผู้ติดตามเดินเข้ามาในออฟฟิศ ไมตรีรีบสะกิดให้ปรีดาปิดทีวี ก่อนที่ทั้งหมดจะพากันยืนขึ้นทำความเคารพ ผู้กำกับเมธาเดินลิ่วๆไปที่ห้องประชุมโดยไม่สนใจทักทายผู้ใดปรีดากระซิบ
“ท่าทางงานนี้ผู้กองกับผู้หมวดต้องโดนเล่นแหงๆ”
ในห้องประชุมกองปราบ...ผู้กำกับเมธากับผู้ช่วยกำลังสอบปากคำราเมศ และณัฐชาที่เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บได้ไม่นาน
“CTC ไม่กล่าวโทษเรา เพราะมิสเตอร์โทคุดะเดินทางมาเองโดยพลการ แถมไม่ได้แจ้งก่อนล่วงหน้า เขาคิดไม่ถึงว่าสถานการณ์มันจะเลวร้ายขนาดนี้”
“ครับท่าน”
“ผู้กอง ผมรู้ว่าคุณพยายามเต็มที่แล้ว แต่คดีนี้คุณทำมาเป็นปียังไม่มีความคืบหน้า สมาชิกของพรายพิฆาตสักคนคุณก็จับไม่ได้ แถมนี่ยังปล่อยให้พวกมันค้ายาเสพติดกันโครมๆ นี่ถ้าผมไม่ติดว่าท่านนำชัยหนุนหลังคุณ ผมคงถอดคุณออกจากคดีนี้ไปนานแล้ว”
“ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากจะขอโอกาสแก้มือครับ”
“ผมให้โอกาสคุณได้ แต่ไม่ใช่ในฐานะหัวหน้าทีม คดีนี้ผมจะให้คนอื่นมารับผิดชอบแทน”
ณัฐชาพยายามแย้ง
“ผู้กำกับคะ แต่ว่า...”
เมธาชูมือห้ามณัฐชา แล้วบอกกับราเมศ
“เชิญออกไปได้แล้วผู้กอง”
ราเมศยืนทำความเคารพเศร้าๆก่อนจะออกไปจากห้องประชุม ณัฐชามองตามด้วยความสงสาร
“ทีนี้ก็ถึงตาคุณแล้วผู้หมวด”
ราเมศเดินหน้าหมองออกมาจากห้องประชุม ไมตรีกับปรีดามองตามอย่างเป็นห่วง ปรีดากระซิบไมตรี
“ครึ่งแรกผ่านไปแล้ว หนึ่งศูนย์”
“คาดว่าลูกที่สองจะตามมาเร็วๆนี้”
ผู้กำกับเมธายัคงสอบถามณัฐชาอยู่
“ในรายงานของคุณบอกว่าคุณได้รับการแจ้งเตือน จากใครบางคนว่าจะเกิดเรื่องขึ้นในงานแถลงข่าว”
“ค่ะ”
“ถึงเวลาต้องเฉลยแล้วผู้หมวด...ใคร”
“มือสังหารชุดดำค่ะท่าน”
“คุณสนิทกับเขางั้นเหรอ”
“เปล่าค่ะ แต่เขาติดต่อกับฉัน เพราะต้องการแนวร่วม”
“เพื่อกวาดล้างพรายพิฆาต”
“ค่ะท่าน เขาอยากให้ตำรวจอยู่ข้างเขา”
ราเมศที่กำลังนั่งกลุ้มอยู่ในห้องทำงาน สักครู่ณัฐชาก็ตามมา
“ผู้กองคะ”
“ออกไปก่อน” ราเมศพูดห้วนๆ
“อย่าคิดมากสิคะผู้กอง มันไม่ใช่ความผิดของผู้กองซะหน่อย”
“ไม่ผิดเหรอ ผมห่วยขนาดโดนปลดจากตำแหน่งหัวหน้า คุณยังคิดว่าผมไม่ผิดอีกงั้นเหรอ”
“ผู้กองอย่าพูดแบบนี้สิคะ ถึงยังไงผู้กองก็ยังได้ทำคดีอยู่ ฉันจะช่วยผู้กองแก้มือเองค่ะ”
“ขอบใจมากนะณัฐชา ไหนจะช่วยผมจีบไอริณ ไหนจะเรื่องงาน คุณดีกับผมมาก แต่พอได้แล้ว ผมไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณ ออกไปให้พ้น”
ณัฐชานิ่งอึ้ง ก่อนจะเดินหนีไปเงียบๆ
ไมตรี ปรีดา และตำรวจคนอื่นๆ พากันยืนชะเง้อเพราะได้ยินเสียงเอ็ดตะโรก่อนหน้านี้ ก่อนจะเห็นณัฐชาเดินกลับออกมาด้วยท่าทีเศร้าซึม ปรีดาทำท่าจะเอ่ยถาม แต่ไมตรีรีบสะกิดไว้แล้วส่ายหน้าไม่ให้ไปคุยอะไรด้วยตอนนี้
ณัฐชาหลบมาตั้งสติในลิฟต์ เธอพยายามกลั้นน้ำตาแต่ก็อดซึมออกไม่ได้ด้วยความน้อยใจ
ในห้องสมุดบริษัทมาดามหลิว...ฤทธิ์เปิดภาพในโทรศัพท์มือถือแล้วส่งให้ชาญ
“ตอนค้นห้องทำงานของท่านนำชัย ผมเจอนามบัตรของเมมเบอร์คลับแห่งหนึ่ง ชื่อว่า the devil”
“ผู้ชายกับที่เที่ยวกลางคืน ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน”
“สมุดเก็บนามบัตรทั้งเล่ม แต่มีนามบัตรของสถานบันเทิงอยู่แค่ใบเดียว แล้วที่สำคัญนักการเมืองอย่างท่านนำชัย ไม่ใช่นักเที่ยว”
“เข้าใจแล้ว ผมจะลองสืบเรื่องนี้”
โซเฟียเข้ามา
“คุณโทมัส เพื่อนคุณมารออยู่ข้างล่าง”
ฤทธิ์คิดนิดหนึ่งก็รู้ว่าใคร
ณัฐชานั่งกอดอกเหงาๆอยู่ที่ห้องโถงบริษัทมาดามหลิว เหมือนเด็กหนีออกจากบ้าน ฤทธิ์เดินมาดูเธอก่อนจะถือวิสาสะนั่งกอดอกเลียนแบบข้างๆ
“เครียดอยู่เหรอครับคุณตำรวจ”
“มีเรื่องต้องคิดนิดหน่อย”
“ถ้างั้นผมไม่กวนประสาทคุณละกัน”
“กวนเถอะ เวลาคุณกวนประสาทฉันทีไรฉันเบลอทุกทีจะได้ไม่ต้องคิดมาก”
ฤทธิ์ยิ้มให้ ณัฐชาหันมาสบตาเขา
“วันนี้คุณจะพาฉันไปไหนอีก”
บริเวณใต้สะพานข้ามแม่น้ำ...สามล้อขายกาแฟคันหนึ่งกำลังขายกาแฟให้คนที่มาเดินเล่นแถวนั้น ฤทธิ์ถือกาแฟสองแก้วมาให้ณัฐชาแก้วหนึ่ง ทั้งคู่นั่งด้วยกันที่ขั้นบันไดท่าน้ำ ณัฐชาหน้าเหวอ
“นี่คุณขับรถเป็นล้าน มากินกาแฟข้างทางเนี่ยนะ สร้างภาพรึเปล่า ถามจริง”
“อ้าว...พอไปนั่งร้านหรูๆ คุณก็หาว่าผมไฮโซ แล้วมาข้างทางคุณก็หาว่าผมสร้างภาพ ตกลงคุณจะเอายังไงกันแน่”
“ก็แค่ตั้งข้อสงสัย ฉันเป็นตำรวจนี่”
“ถ้างั้น คุณจะไม่สอบปากคำผมหน่อยเหรอ เรื่องที่ถูกลอบฆ่าเมื่อวาน ณัฐชา”
“โอ้ย ไม่จำเป็น ผู้ชายเพลย์บอยอย่างคุณ ผู้หญิงที่ไหนก็อยากฆ่า เผลอๆคนร้ายเมื่อวานอาจเป็นสามีของเหยื่อรายไหนสักรายละมั้ง”
ฤทธิ์พยักหน้า
“ฮืม...พูดเอง เออเองเลยนะ”
“ก็จริงมั้ยล่ะ หรือต่อให้ฉันถามคุณ แล้วคุณจะบอกความจริงเหรอ อย่างเก่งคุณก็บอกว่า...” เธอล้อเสียงเขา “เอ่อผมไม่รู้ครับ คุณเป็นตำรวจก็ไปสืบเองสิ มาถามผมทำไม....ชิ ไม่อยากให้ความร่วมมือเอง ตายซะได้ก็ดี”
ฤทธิ์หน้าเหวอ
“อ้าว...ผมยังไม่ตายนะคุณ จะรีบแช่งไปไหน”
ท่าทางของฤทธิ์ทำให้ณัฐชายิ้มออกมานิดหนึ่ง ทั้งคู่นั่งเงียบๆจิบกาแฟชมวิวด้วยกันสักพัก ณัฐชาเห็นบรรยากาศแถวนั้นก็รำพึงออกมา
“รู้มั้ย ตอนเด็กๆ ฉันก็เคยมีบ้านอยู่ริมน้ำ พ่อกับแม่ฉันน่ะใจดีที่สุดในโลกเลย”
ณัฐชาเงียบไป ฤทธิ์มองเธออย่างสนใจฟัง ณัฐชาจึงยอมเล่าต่อ
“ฉันเคยมีทุกอย่างเหมือนเด็กคนอื่น จนกระทั่งพ่อกับแม่ของฉันถูกพวกมาเฟียฆ่าตาย ฉันก็เลยต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า”
“เพราะแบบนี้รึเปล่า คุณถึงมาเป็นตำรวจ”
“ฉันต้องการความยุติธรรม ไม่ใช่ล้างแค้น เพราะถึงจะแก้แค้นยังไง ชีวิตฉันก็ไม่มีทางเหมือนเดิม...พูดไปคุณก็ไม่เข้าใจหรอก ในเมื่อคุณไม่เคยเห็นคนที่ตัวเองรักถูกฆ่าตายต่อหน้า”
ฤทธิ์ยิ้มเครียดเมื่อนึกถึงภาพใจทิพย์ถูกจับโยนลงหน้าผา
“ทุกคนต้องเคยผ่านการสูญเสียมาแล้วทั้งนั้น คุณตำรวจชีวิตคนเราหนีเรื่องพวกนี้ไม่พ้น”
แววตาของฤทธิ์มีความเศร้าแฝงอยู่จนณัฐชารู้สึกได้ ทันใดนั้นสายฝนเริ่มโปรยสาย
“ฝนตกแล้ว หาที่หลบเถอะ”
ณัฐชาคว้าแก้วกาแฟให้ฤทธิ์ ขณะที่ฤทธิ์ถอดเสื้อตัวนอกออกบังฝนให้เธอ ทั้งคู่รีบไปหลบที่ใต้สะพานเช่นเดียวกับชาวบ้านคนอื่นๆ...ฝนตกกระหน่ำ ณัฐชากับฤทธิ์ถูกเบียดจนติดกันตัวเปียกๆ แต่อุ่นดี ณัฐชาลูบเนื้อลูบตัวไล่ความเย็นของน้ำฝน ฤทธิ์เห็นเข้าก็เลยสะบัดเสื้อที่ถืออยู่แล้วคลุมกันหนาวให้เธอ ณัฐชาหันมามองหน้าฤทธิ์ที่ยืนใกล้ๆตน เมื่อสบตากับเขาก็อดไม่ได้ที่จะไหวหวั่น ฤทธิ์อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำพูดของไอริณ
“คุณต้องรู้จักณัฐชาให้มากกว่านี้ค่ะ คนที่เคยรู้จักใจทิพย์ส่วนใหญ่จะชอบพูดว่า ณัฐชาคืออีกด้านของใจทิพย์”
ฤทธิ์เริ่มรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เขาเห็นใจทิพย์ยืนอยู่กับเขา ก่อนจะกลายเป็นณัฐชา
นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 5 (ต่อ)
ไมตรีนั่งเล่นเกมโทรศัพท์อยู่ที่โต๊ะทำงาน ปรีดาวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหา
“จ่า ผู้กองราเมศ กับหมวดณัฐชาอยู่มั้ย”
“ออกเวรแล้วทั้งสองคน มีอะไรเหรอหมู่”
“ก็พวกนักข่าวน่ะสิจ่า เขามาขอสัมภาษณ์”
“ก็ไล่ไปก่อนสิ”
ปรีดาไม่รู้จะอธิบายยังไง ทันใดนั้นนักข่าว 2- 3 คนกรูกันเข้ามาถ่ายรูปไมตรีกับปรีดาแล้วยื่นเทปบันทึกเสียงใส่หน้า
“เย้ย...บุกเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้ไม่ดีนะครับคุณนักข่าว สถานที่ราชการนะครับ” ไมตรีโวย
นักข่าวประชิด
“ตอนนี้ประชาชนกำลังสนใจเรื่องมือสังหารชุดดำ รบกวนให้คำตอบด้วยค่ะคุณตำรวจ”
นักข่าวอีกคนเข้ามายิงคำถาม
“จริงรึเปล่าครับที่เขาว่า ชายชุดดำหรือมือสังหารชุดดำเป็นคนของทางการ”
นักข่าวคนที่ 3 เข้าประชิดตัวทั้งสอง
“ตำรวจจงใจตั้งศาลเตี้ยกับพวกคนร้ายรึเปล่าคะ”
ไมตรีกับปรีดา โดนล้อมกรอบจนหมดทางหนี
“เอ่อ คือ เป็นไปไม่ได้หรอกครับ ผู้รักษากฎหมายอย่างพวกเราไม่มีทางทำผิดกฎหมายแน่นอน” ไมตรีหันไปหาปรีดา “จริงป่ะ”
ปรีดาตอบซื่อๆ
“มั้ง”
ไมตรีศอกสะกิดกัดฟันเอ็ดเบาๆ
“อยู่ต่อหน้าสื่อ มั่นใจหน่อย”
ปรีดานึกขึ้นได้
“อ๋อๆ ใช่ครับ ตำรวจอย่างเรา ไม่ทำผิดกฎหมายแน่นอน”
นักข่าวถามต่อ
“ถ้างั้นตำรวจมีแผนจะจัดการยังไงกับมือสังหารคะ ในเมื่อเขาช่วยเหลือประชาชนกับตำรวจเอาไว้จากพรายพิฆาต”
ปรีดาเห็นไมตรีบุ้ยหน้าให้ตอบแทน
“อ่า…อ้า…อ้า...คือ...ผมว่าเรื่องนี้ไว้รอถามผู้กองราเมศ กับผู้หมวดณัฐชาจะดีกว่าครับ พวกผมไม่สามารถให้คำตอบได้จริงๆ”
นักข่าวอีกคนถามบ้าง
“มีคำสั่งไม่ให้พูดเรื่องนี้เหรอครับ”
“เปล่าครับ คือว่าพวกผมไม่รู้อะไรเลย”
“คือ...ไม่มีอะไรจะพูดครับ บอกตรงๆ”
นักข่าวมองหน้ากันอย่างผิดหวัง ขณะที่คนหนึ่งเหลือบไปเห็นรูปภาพสเก็ตซ์ของนักสู้มหากาฬที่โต๊ะของณัฐชาและเห็นชื่อที่ราเมศเขียนไว้ว่า นักสู้มหากาฬ ก็เอะใจคิดอะไรได้รีบยกกล้องขึ้นถ่ายรูปทันที
โซเฟียแต่งชุดนางพยาบาล เดินนวยนาดถือแฟ้มมาจนถึงบริเวณจุดตรวจของสถาบันนิติเวช เธอส่งยิ้มหวานให้เจ้าหน้าที่จนอีกฝ่ายเคลิบเคลิ้ม
“มาใหม่เหรอจ๊ะน้อง”
“ค่ะ รูปหล่อ”
“ขอดูบัตรด้วยจ้ะ”
โซเฟียส่งบัตรให้เจ้าหน้าที่รับไป
“แหม...น่าจะมีเบอร์โทรด้วยเนอะ”
โซเฟียยิ้มหวาน เจ้าหน้าที่เลื่อนสมุดให้เธอเซ็นชื่อ
โซเฟียเข้ามาในห้องเก็บศพ ลงมือลากศพของนักรบพรายพิฆาตออกมาจากลิ้นชักก่อนจะเอาไฟฉายส่องตรวจสอบม่านตา กับชีพจรเพื่อให้แน่ใจว่าตายแล้วจริงๆ ก่อนจะลงมือเก็บตัวอย่าง DNA จากช่องปาก และตัวอย่างเลือดไปตรวจสอบ
รูปถ่ายนักสู้มหากาฬจากภาพสเก็ตซ์ ถูกตีพิมพ์คู่ภาพถ่ายที่ได้จากกล้องวงจรปิดของที่ทำการพรรคเทิดธรรม พาดหัวข่าว
“นักสู้มหากาฬ วีรบุรุษหรือฆาตกร”
มาดามหลิวดูข่าวนั้นผ่านทางแท็บเล็ต ชาญที่เข็นรถให้มาดามหลิวเอ่ยถามอย่างสนใจ
“ข่าวเพิ่งออกมาเมื่อช่วงบ่ายนี้เองครับมาดาม”
“ช่างเถอะ ตอนนี้ประชาชนกำลังเสียขวัญ บางทีเรื่องของนักสู้มหากาฬอาจจะทำให้พวกเขาอุ่นใจขึ้น”
ในห้องทดลองบริษัทมาดามหลิว...โซเฟียยื่นใบรายงานให้มาดามหลิวกับชาญก่อนจะกล่าวสรุป
“ห้องแล็ป ยืนยันว่า DNAของคนร้ายมีการกลายพันธุ์เพราะน้ำตามัจจุราชค่ะ แต่ที่พวกมันไม่ฟื้นคืนชีพขึ้นมา คงเป็นเพราะบาดแผลที่ศีรษะ”
นักรบพรายพิฆาตทุกคนตายเพราะถูกทำร้ายที่ศีรษะ โดนณัฐชาใช้ระเบิดฆ่าไปหนึ่ง โดนนักสู้มหากาฬแทงเข้าทีท้ายทอยอีกหนึ่ง และยิงศีรษะอีกสอง ชาญเข้าใจ
“จุดอ่อนของพวกมันสิท่า”
โซเฟียพยักหน้า
“ถ้าสมองเสียหายเกิน 60% กลไกของการคืนชีพจะหยุดชะงัก แต่ถ้าน้อยกว่านั้นพวกมันถึงจะฟื้นขึ้นมาในสภาพของผีดิบ”
“แล้วมันกินคนได้ยังไง” มาดามหลิวถามอย่างสงสัย
“สัญชาตญาณค่ะมาดาม พวกมันยังต้องการสารเคมีต่างๆ เพื่อยังชีพ ซึ่งร่างกายไม่สามารถผลิตเองได้เหมือนคนปกติ” โซเฟียอธิบาย
“ก็เลยต้องหาจากเลือดเนื้อของคนอื่น” ชาญพูดเป็นเชิงถาม
โซเฟียพยักหน้า มาดามหลิวอดไม่ได้ที่จะพรั่นพรึงต่อข่าวนั้น
ใต้สะพานข้ามแม่น้ำ...ฤทธิ์กับณัฐชาเข้ามาในรถด้วยกันหลังจากฝนซา
“เสียเวลาตั้งนาน ตกบ้าตกบออะไรอยู่ได้ ที่อื่นไม่เห็นตกซะหน่อย” ณัฐชามองฤทธิ์ “นี่คุณแกล้งฉันรึเปล่า จงใจสร้างบรรยากาศใช่มั้ย”
“นี่คุณ…ผมรวยเฉยๆนะ ไม่ได้บ้า ทำไมผมต้องสร้างบรรยากาศเพื่อคุณด้วย ขนาดต้องทำฝนเทียมเนี่ยนะ”
“อ้าว...ก็ฝนตกฟ้าคะนอง ถ้าเกิดรถสตาร์ทไม่ติดขึ้นมา แล้วมีกระท่อมปลายนาแถวนี้ ฉันก็ซวยสิ”
“อ่านนิยายเยอะไปแล้วคุณตำรวจ” ฤทธิ์สตาร์ทรถ “สตาร์ทไม่ติด”
“เฮ้ย”
“รถเสีย” ฤทธิ์มองหา “แถวนี้มีกระท่อมรึเปล่า”
ณัฐชาเงื้อหมัดขู่
“อย่าบ้านะ เดี๋ยวอัดหน้ายุบเลย”
“ล้อเล่นครับคุณตำรวจ แหม แค่นี้ทำเป็นจริงจังไปได้” ฤทธิ์ขำ
ณัฐชามองค้อนๆ ฤทธิ์ยิ้มขำแล้วสตาร์ทรถขับออกไป
ฤทธิ์ขับรถมาส่งณัฐชาหน้าคอนโด
“เพิ่งเจอกันแค่แป๊บเดียว นี่จะแยกวงซะแล้ว ทำแบบนี้มันอู้งานนะคุณ”
“อ้าว ก็คุณไม่มีธุระอะไรนี่ ไม่มีก็กลับไปสิ”
“ไม่กลับ ผมจะไปต่อ และคุณก็ต้องตามไปคุ้มกันผม”
ณัฐชาเซ็ง
“โอย...คุณจะไปไหนอีกไม่ทราบคะ คุณโทมัสขา”
ฤทธิ์คิด
“ห้องคุณ…”
ณัฐชานิ่วหน้า
“มีอะไรทานมั้ย”
ณัฐชาเปิดตู้เก็บของที่มุมทำครัว ก่อนจะหันไปบอกฤทธิ์ที่มุมทำครัว
“ของกินเพียบเลย...บะหมี่ซอง กับปลากระป๋อง” ณัฐชาเขินๆ
“ในตู้เย็นก็เหมือนกัน ผมเจอไข่...ตั้งสองฟองแน่ะ”
“ฉันลวกหมี่ให้คุณละกัน”
“ผมทำเองดีกว่า ผมโปรกว่าคุณแน่เรื่องนี้”
ฤทธิ์จะเดินคว้าบะหมี่ซอง แต่ณัฐชาคว้าข้อมือก่อน
“เดี๋ยว บะหมี่ไฮโซอร่อยสู้บะหมี่จับกังไม่ได้หรอกคุณโทมัส”
“พนันมั้ย ของผมอร่อยกว่าที่คุณคิด”
ณัฐชาแค่นยิ้มแบบเย้ยเยาะสุดๆ ฤทธิ์รู้สึกว่าโดนท้าทาย...ณัฐชากับฤทธิ์ยึดพื้นที่ทำครัวคนละมุม คนหนึ่งยืนหน้าเตาแก๊ส อีกคนยืนหน้าไมโครเวฟ ต่างตระเตรียมบะหมี่แบบของตน เป็นบะหมี่ทรงเครื่อง มีปลากระป๋อง โรยต้นหอมนิดหน่อย ณัฐชาบอกเสียงเข้ม
“ห้ามลอกการบ้านนะขอบอก”
“สูตรใครสูตรมันอยู่แล้ว”
ณัฐชาเริ่มต้มบะหมี่ ฤทธิ์ยัดชามเข้าไมโครเวฟ
“ไม่ได้โม้นะคุณ อาหารทุกอย่างน่ะ ปรุงร้อนๆ จากเตา อร่อยกว่ากันเยอะ”
ฤทธิ์มองหน้า
“เหรอ แล้วคุณจะซื้อไมโครเวฟมาทำไม”
“ไว้อุ่น”
“ก็ไปอุ่นกับเตาสิคุณ นี่ผมก็ไม่ได้โม้นะ จะทำอาหารด้วยไมโครเวฟน่ะมันต้องใช้เทคนิค พวกตาสีตาสายายมายายมีอย่างคุณน่ะ ไม่เข้าใจหรอกครับ”
ณัฐชาพยักหน้าเหี้ยมๆเออ เดี๋ยวก็รู้ว่าใครจะอร่อยกว่ากัน
ในห้องรับแขก...ฤทธิ์กับณัฐชาวางชามบะหมี่แบบมีฝาปิดของตนไว้บนโต๊ะ ก่อนจะผลักแลกกันให้อีกฝ่ายชิมของตน ทั้งคู่ต่างคนต่างเปิดฝาชามแล้วอึ้งไป เพราะบะหมี่ทั้งสองชามนั้นออกมาเหมือนกันเป๊ะๆ แม้แต่การตกแต่งของโรยหน้า ณัฐชะชัก
“บังเอิญจัง สูตรนี้ใจทิพย์เป็นคนสอนฉัน ตอนแรกนึกว่ามีฉันรู้แค่คนเดียวซะอีก”
“สงสัยเพื่อนคุณคงจำมาจากอินเตอร์เน็ต”
ณัฐชาพยักหน้าไม่ว่าอะไร แต่สายตามองฤทธิ์อย่างจับผิด ฤทธิ์พยายามกลบเกลื่อนด้วยการชิมบะหมี่ในชาม ณัฐชาจึงชิมบะหมี่ของฤทธิ์บ้าง
“ขนาดรสชาติยังเหมือนกันอีก”
ฤทธิ์ไม่สนใจ
“บะหมี่ซองนะคุณ ยี่ห้อเดียวกัน ก็ต้องเหมือนกันสิ”
“เอาเถอะ ไล่ให้ตายคุณก็ไม่มีวันจนมุมอยู่แล้วนี่ แต่ถ้าใจทิพย์ยังอยู่ ใจทิพย์ต้องบอกได้แน่ ว่าอะไรคือความจริง”
ฤทธิ์ทานบะหมี่ต่อไปเงียบๆ ไม่ยอมพูดเรื่องใจทิพย์อีกเลย แต่ในใจนึกถึงเธอตลอดเวลา ขณะเดียวกันณัฐชาก็ลอบสังเกตอิริยาบถของเขาเงียบๆในใจ
ฤทธิ์ล้างจาน โดยมีณัฐชาคอยยืนเช็ดให้แห้งระหว่างนั้นเขาส่งจานให้ เธอรับไปแต่เผลอคว้าถูกมือเขาเต็มๆ ฤทธิ์กับณัฐชามองมือแล้วมองหน้ากัน ก่อนที่ต่างฝ่ายจะต่างปล่อยมือ จานหล่นแตก
“ถือดีๆสิคุณ” ฤทธิ์ดุ
“แล้วคุณปล่อยมือทำไม” ณัฐชาเถียง
“อ้าว ก็ผมนึกว่าคุณจะถือนี่”
ฤทธิ์กับณัฐชาย่อตัวลงเก็บจานพร้อมกันอีกหน้าหวิดชนกัน ทั้งคู่สบตากันสักพักอย่างตกอยู่ในภวังค์
“คบกันมาตั้งนาน ผมเพิ่งเห็นตาคุณชัดๆ ก็วันนี้”
“ตาฉันทำไม” เธอรีบเช็ด “มีขี้ตาเหรอ”
ฤทธิ์ยิ้ม
“คุณไม่ได้ก้าวร้าวอย่างที่ผมคิด ไอริณพูดถูก…มีบางอย่างเกี่ยวกับใจทิพย์ในตัวคุณ บางอย่างที่…”
ฤทธิ์ระงับอารมณ์ที่จะไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้
“แล้วคุณจะรู้ได้ยังไง ถ้าคุณไม่เคยรู้จักใจทิพย์”
ฤทธิ์ยิ้มแล้วเก็บเศษจานไปเงียบๆ ณัฐชามองเขาสักพักนึงเหมือนคิดอะไรได้บางอย่าง แล้วเอ่ยลอยๆออกมา
“เคยได้ยินนิทานเรื่องหนึ่งมั้ย ที่เจ้าชายผู้เหี้ยมโหดต้องคำสาปให้กลายเป็นอสูรร้าย ต้องถูกขังอยู่ในปราสาทตามลำพัง รอจนมีหญิงงามมาปลดปล่อยเขาด้วยความรัก”
“คุณพูดถึงโฉมงามกับเจ้าชายอสูรรึเปล่า นิทานไร้สาระ”
ณัฐชามองฤทธิ์
“แต่ดูๆไปก็เหมือนชีวิตคุณนะ”
ฤทธิ์ชะงักมอง เธอปลีกตัวไปทิ้งให้เขาถูกสะกดอยู่ความรู้สึกที่บาดใจ
ฤทธิ์ขับรถไปจากคอนโดณัฐชา โดยมีเจ้าตัวมายืนส่ง…เธอมองตามฤทธิ์ไปด้วยความรู้สึกค้างคา ณัฐชารำพึง
“นายโทมัส” ณัฐชาครุ่นคิด “ฤทธิ์ ราวี…ถ้านายเป็นคนเลวก็ว่าไป แต่ถ้านายมีรักแท้กับใจทิพย์ นายก็คือคนที่น่าสงสาร เพราะนายต้องรออีกนานแสนนาน กว่าจะได้เจอคนรักของนายอีกครั้ง”
ฤทธิ์ขับรถฝ่าความมืดของรัตติกาลไปตามลำพัง ภาพอดีตของใจทิพย์ค่อยๆผุดขึ้นมาในสมอง เขาพยายามตัดใจเพื่อลืมความรู้สึกเหล่านั้น...วินาทีนั้นเองที่จู่ๆ ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งวิ่งตัดหน้ารถของเขาอย่างรวดเร็ว ฤทธิ์รีบเบรกกะทันหันขณะที่ผู้หญิงคนนั้นเสียหลักผงะล้มไป...ฤทธิ์ลงมาดูเหตุการณ์
“คุณ เป็นอะไรรึเปล่า”
“พี่...พี่ช่วยหนูด้วย พวกมันมาแล้ว”
ฤทธิ์มองไปเห็นชายสามคนวิ่งตามมา และพบว่าคนทั้งสามตกอยู่ในสภาพของผีดิบ พวกมันหยุดชะงักมองไปมาระหว่างฤทธิ์และหญิงสาว พวกผีดิบตัดสินใจกรูเข้าหาผู้หญิงที่เหมาะจะเป็นเหยื่อของมัน หญิงสาวกรีดร้องลั่น ขณะที่ฤทธิ์ต้องต่อสู้ขัดขวางพวกผีดิบด้วยมือเปล่าในตอนแรก ก่อนจะใช้ตัวช่วย…ชักมีดสนับออกมาจากหัวเข็มขัดแล้วแทงใส่พวกผีดิบหลายแผล แต่พวกมันก็ไม่ยอมตาย แถมบางตัวทำท่าจะเข้าไปกระชากเสื้อหญิงสาวจนฉีก ฤทธิ์ไม่มีทางเลือกอื่น เขาตัดสินใจใช้มีดสนับเล่นงานที่ศีรษะของพวกมันอย่างรวดเร็ว...ผีดิบตัวสุดท้ายถูกฆ่าก่อนจะถึงตัวเหยื่อสาว มันล้มลงโดยมีหลอดบรรจุน้ำตาสวรรค์กลิ้งออกมาจากกระเป๋า ฤทธิ์หยิบมาดู
“น้ำตาสวรรค์” ฤทธิ์แค้นๆ “พรายพิฆาต”
หน้าอาคารเมมเบอร์คลับพรายพิฆาตยามค่ำคืน...มาวินและแหลมเพิ่งมาถึงเมมเบอร์คลับ เอมี่พาพนักงานหญิงถือถาดออกมาต้อนรับ มาวินพอเห็นสาวๆก็หันมาหลิ่วตากับแหลมอย่างพอใจ
“คุณมาวิน เชิญค่ะ”
เอมี่ผายมือไปที่ของในถาดที่พนักงานต้อนรับถืออยู่เป็นหน้ากากสองอัน มาวินหยิบมาดู
“ชักจะสนุกขึ้นทุกที เอ็งว่ามั้ยไอ้แหลม”
“แหะๆ แต่ผมว่ามันชักจะน่ากลัวแล้วนะครับคุณมาวิน ท่าทางแปลกๆ”
มาวินดุ
“เป็นนักเลงภาษาอะไรวะ แค่นี้ทำปอดแหกไปได้”
มาวินว่าก่อนจะสวมหน้ากาก แหลมสวมตามอย่างลนๆ
เอมี่เดินนำทางมาวินกับแหลมซึ่งสวมหน้ากากอยู่เข้ามาในห้องโถง มีสมาชิกหลายคนซึ่งต่างก็สวมหน้ากาก theme เดียวกันกำลังหาความสำราญจากอบายมุขสารพัดรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเหล้า ยา ผู้หญิง หรือแม้แต่การพนัน มาวินหันมาถาม
“ทำไมทุกคนต้องสวมหน้ากาก”
“เพราะคนพวกนี้เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงค่ะคุณมาวิน พวกเขาไม่ต้องการให้ใครจำได้ เพราะเกรงว่าจะเสียชื่อ” เอมี่อธิบาย
แหลมพยักหน้าใจ
“อ้อ ถ้างั้นก็แปลว่าคุณมาวินมีชื่อเสียงน่ะสิครับ”
มาวินหัวเราะ
“ฮ่าๆ แน่นอน หน้าข่าวอาชญากรรม ใครๆก็รู้จักข้า” มาวินบอกกับเอมี่ “แต่ผมไม่กลัวเสียชื่อหรอกนะคุณ ผมไม่แคร์อยู่แล้ว”
เอมี่ยิ้ม
“แต่เราแคร์ค่ะ”
เอมี่เดินนำไป ทิ้งให้มาวินกับแหลมยืนอึ้ง แหลมเปรยๆ
“สรุปคือ เขากลัวว่าสถานที่ของเขาจะเสียชื่อเพราะคุณมาวินครับ”
มาวินหันมา
“รู้โว้ย ไม่ต้องแปล”
แหลมหน้าจ๋อย มาวินเดินตามเอมี่ไปฉุนๆ แหลมรีบตามไปอีกคน
มาวิน แหลม เอมี่ สนทนากับบอสอยู่บนดาดฟ้าเมมเบอร์คลับ
“สินค้าล็อตใหม่พร้อมแล้ว ที่เราต้องการก็คือวางจำหน่ายไปทั่วประเทศ”
มาวินชะงัก
“ฮึย...เอาอย่างงั้นเลยเหรอหุ้นส่วน”
บอสเสียเข้ม
“แกมีปัญหาหรือไง”
“ก็แหงล่ะ พื้นที่ของฉันมันจำกัดนี่หว่า จะตีตลาดทั่วประเทศน่ะ แกต้องอาศัยพวกเจ้าถิ่น”
“นัดพวกมันมาหาฉัน แล้วฉันจะต่อรองเอง”
มาวินนิ่วหน้า ไม่รู้ว่าบอสจะทำแบบนั้นได้ยังไง
นำชัยอยู่ในห้องทำงาน ต่อว่ากรณ์อย่างดุเดือด ขณะที่อีกฝ่ายนั่งจิบเหล้าอย่างใจเย็น
“นี่น่ะเหรอ...ที่คุณบอกว่าพรายพิฆาตจะช่วยจัดการให้ทุกอย่าง ชื่อเสียงผมป่นปี้ไปหมดแล้ว คุณเห็นรึเปล่า”
นำชัยปาหนังสือพิมพ์ใส่กรณ์แต่ไม่โดน กรณ์ยิ้ม
“ไม่เห็นต้องเครียดเลยนี่ครับท่าน เพราะตอนนี้ใครๆ ก็เชื่อสนิทว่าท่านไม่ได้เกี่ยวพันกับพรายพิฆาต แถมการประกาศศักดาของพรายพิฆาตก็ลุล่วงไปด้วยดี ท่านน่าจะดีใจซะด้วยซ้ำ”
“ดีใจ ที่มีคนตายเป็นเบืองั้นเหรอ นี่เหรอคือความสำเร็จของพวกคุณ”
“เป้าหมายของพรายพิฆาต คือการเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ ซึ่งมัน…ต้องแลกกับการสูญเสียบางอย่าง”
“แต่มันมากเกินไปสำหรับผม ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ผมมีหวังจบเห่แน่...คุณช่วยเจรจากับบอสให้ทีได้มั้ย ว่าผมอยากถอนตัว ถ้าสำเร็จล่ะก็ ผมจะจ่ายให้คุณ…”
นำชัยพูดไม่ทันจบ กรณ์ก็เอาเหล้าสาดหน้าก่อนจะปราดมากระชากคอ
“ใครต้องการเงินของแก ไอ้หมูสกปรก นักการเมืองอย่างแกไม่รู้จักคำว่าอุดมการณ์หรอก...อย่าพูดคำว่าถอนตัวอีกเด็ดขาด ไม่งั้น แกตายแน่”
“ฉันขอโทษ ฉันเข้าใจแล้ว”
“พรายพิฆาตจะกระจายยาเสพติดล็อตใหม่เร็วๆนี้ หน้าที่ของแกคือ อำนวยความสะดวกให้พวกเรา อย่าให้ตำรวจเข้ามายุ่งเด็ดขาด”
นำชัยพยักหน้าลนลาน กล้องสอดแนมซึ่งฤทธิ์ซ่อนไว้ทำงานอยู่
ในห้องสมุดบริษัทมาดามหลิว ชาญเปิดไฟล์ภาพจากคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กให้ทุกคนได้ชมเสียงกรณ์ดังออกมาจากคอม
“พรายพิฆาตจะกระจายยาเสพติดล็อตใหม่เร็วๆนี้ หน้าที่ของแกคือ อำนวยความสะดวกให้พวกเรา อย่าให้ตำรวจเข้ามายุ่งเด็ดขาด”
มาดามหลิวมั่นใจ
“ถ้าพรายพิฆาตมีคำสั่งแบบนี้ ก็แปลว่าท่านนำชัยต้องรู้เห็นเรื่องยาเสพติด”
ชาญเสริม
“และอาจรู้ด้วยว่าโรงงานตั้งอยู่ที่ไหน”
โซเฟียหนักใจ
“เขาไม่มีทางบอกเราแน่ ถ้าไม่ถูกสอบปากคำ”
ฤทธิ์คิดอะไรบางอย่างได้
“แต่ผมมีวิธีอื่น”
ชาญเดินมาส่งฤทธิ์ที่หน้าลิฟต์ ระหว่างนั้นเขาก็ส่งทัมป์ไดรฟ์ ให้กับฤทธิ์
“ผมก๊อบปี้ไฟล์ให้แล้ว”
ฤทธิ์รับไป ชาญถามอย่างสงสัย
“บอกผมหน่อยได้มั้ยว่าคุณมีแผนอะไร”
“ผมจะหาทางให้ท่านนำชัยยอมสารภาพเรื่องนี้”
“แล้วถ้าไม่สำเร็จขึ้นมา”
“ใช้แผนสอง คุณกับโซเฟียหาทางเค้นข้อมูลจากลุงโจให้ได้”
ใต้สะพานข้ามแม่น้ำ...ฤทธิ์กับณัฐชาเข้ามาหลบฝนในรถด้วยกัน
“นี่ฝนตกอีกแล้วเหรอเนี่ย เมื่อวานก็ตกไปทีแล้วนะ”
“คุณจะบอกว่าผมสร้างสถานการณ์อีกสิท่า”
“เปล่าซะหน่อย ทำเป็นร้อนตัวไปได้”
ฤทธิ์มอง
“ตัวคุณเปียก ผมเช็ดให้นะ”
ณัฐชาไม่ทันตอบ ฤทธิ์หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดตัวให้เธออย่างนุ่มนวล
“ทำไมคุณต้องกลัวผมด้วย ผมไม่ใช่คนร้ายซะหน่อย”
“ฉันเชื่อสัญชาตญาณของตัวเอง ฉันเป็นตำรวจ”
“คุณไม่ยอมเปิดใจต่างหาก คุณเชื่อข้อมูล กับสิ่งที่คุณเห็นมากเกินไป”
“ไม่จริง”
“ก็ลองพิสูจน์ดูสิ แค่คุณหลับตา แล้วมองผมด้วยหัวใจของคุณ คุณจะรู้ว่าผมไม่ได้เป็นคนร้าย”
ณัฐชามองฤทธิ์อย่างลังเล เห็นอีกฝ่ายพยักหน้ายืนยันอย่างจริงจัง เธอจึงค่อยๆหลับตาลง
ฤทธิ์มองหน้าเธอสักครู่ และตัดสินใจรวบตัวเข้ามาจูบ
“อือ...คุณจะทำอะไร ปล่อยฉันนะ”
“ก็อยากว่าผมเป็นคนร้ายทำไม ผมจะพิสูจน์ให้ดูว่าคนร้ายจริงๆ เขาต้องทำแบบนี้”
ฤทธิ์ปล้ำณัฐชา ๆพยายามขัดขืนแต่ไม่สำเร็จ ครั้นจะร้องโวยวายก็โดนฤทธิ์จูบปิดปากเอาไว้
“อย่านะ อย่า...อย่า...อืม”
ณัฐชาดิ้นทุรนทุรายเพราะความฝันโดยมีตุ๊กตา หมอน ผ้าห่มโปะหน้าอยู่
“อย่า...อย่าทำแบบนี้ อย่า...”
มือนักสู้มหากาฬเอื้อมมาสะกิด
“ตื่นได้แล้วคุณตำรวจ จะฝันหวานไปถึงไหนกัน คุณตำรวจ”
ณัฐชาชะงัก นิ่งไปพักใหญ่ ก็ดึงของที่ปิดหน้าออก
“เฮ้ย...มือสังหาร”
ณัฐชากลิ้งตกเตียงแล้วรีบควานหาปืนที่หัวเตียง
“ปืน...ปืนฉันหายไปไหน”
ฤทธิ์ชูให้ดูแล้ววางข้างๆ
“ผมหยิบมาแล้ว”
ณัฐชาก้มไปดูใต้เตียง
“ปืนสำรอง แล้วปืนสำรองล่ะ”
ฤทธิ์ชูให้ดูแล้ววางข้างๆ
“ผมก็หยิบมาแล้วเหมือนกัน”
ณัฐชาสุดทน
“โว้ย ให้โอกาสคนอื่นเขาขัดขืนบ้างสิ อะไรจะรู้ทันไปหมด”
“ผมมาดีนะคุณตำรวจ แค่จะมาบอกข่าวคุณ ไม่คิดว่าจะนอนตื่นสาย”
ณัฐชามองสภาพตัวเองอย่างนึกขึ้นได้ ดึงผ้าห่มมาปิด
“ออกไปก่อน เดี๋ยวฉันตามไป”
ณัฐชาแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็ออกมาจากห้องนอน เห็นนักสู้มหากาฬชงกาแฟ
“ยังไม่ใส่น้ำตาล ผมไม่รู้ว่าคุณทานหวานรึเปล่า”
“ขอบใจ แต่คราวหลังไม่ต้อง ฉันชงเองได้” ณัฐชารับกาแฟมาใส่น้ำตาล “แล้วจำไว้ด้วยนะ นี่มันคอนโดของฉันถ้าคุณจะมา คุณต้องแจ้งก่อนล่วงหน้า”
“ขืนบอก คุณก็วางกับดักผมน่ะสิ”
“แล้วคุณมีข่าวอะไร”
“ผมเพิ่งโอนไฟล์เข้ามือถือคุณเมื่อเช้า ลองเปิดดูสิ”
ณัฐชาหยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดดูไฟล์วิดีโอที่ถูกส่งมา
“ส่งมาตอนไหนเนี่ย”
“นอนขี้เซาขนาดนั้น ยังจะถามอีก”
ณัฐชาถลึงตาใส่ดุๆ ก่อนจะดูคลิปวิดีโอต่อไปจนจบ และเห็นภาพที่นำชัยโต้เถียงกับกรณ์
“นี่คุณอาเป็นพรายพิฆาตจริงๆเหรอ”
“ผมอยากให้คุณเอาคลิปวิดีโอนี่ไปต่อรองกับท่านนำชัย ถ้าเขายอมช่วยเรา ก็ค่อยกันเขาเป็นพยานทีหลัง”
ณัฐชานึกขึ้นได้
“ไอริณต้องรู้เรื่องนี้แน่ๆ มิน่าเธอถึงได้หนีหน้าฉัน”
ณัฐชากับไอริณหลบมุมโต้เถียงกันอยู่ ทีมงานกองถ่ายกำลังทำงาน
“ถ้าเธอเห็นฉันเป็นเพื่อน เธอก็ไม่ควรยุ่งกับเรื่องนี้ณัฐชา เธอต้องลืมมันไปซะ”
“แต่ฉันเป็นตำรวจนะ ฉันทำแบบนั้นไม่ได้”
ไอริณเสียใจ
“แต่เขาเป็นพ่อฉันนะ เขาเลี้ยงฉันมา”
ณัฐชาสงสาร
“ยังไม่สายหรอกไอริณ ถ้าเธอพูดกล่อมคุณอาให้ยอมช่วยฉัน ฉันจะหาทางกันคุณอาไว้เป็นพยาน”
ไอริณเริ่มคล้อยตามในสิ่งที่ณัฐชาพูด
นำชัยเดินเข้ามาในห้องทำงานอย่างร้อนรนโดยมีไอริณตามมาด้วย นำชัยมองหาสักครู่และปลดกล้องสอดแนมที่ซ่อนอยู่ออก
“นี่มันบ้าชัดๆ ใครก็ตามที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ มันคือศัตรูของพ่อ”
“พ่อคะ พอเถอะค่ะ ถ้าขืนพ่อยังดื้อต่อไป เรื่องมันอาจเลวร้ายกว่านี้ก็ได้”
“เลวร้ายงั้นเหรอ ลูกไม่เข้าใจความหมายของมันหรอกไอริณ การหักหลังพรายพิฆาตต่างหากคือสิ่งที่เลวร้าย”
“แต่พ่อเคยสัญญานี่คะว่าจะแปรพักตร์จากพวกมัน”
“ไอริณ อำนาจของพรายพิฆาตมีมากเกินกว่าที่ลูกจะคาดถึง งานนี้แม้แต่ณัฐชาเพื่อนของลูกก็คงช่วยพ่อไม่ได้”
ไอริณน้ำตาคลอ
“แล้วเราสองคนจะเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่คะ หรือต้องรอให้หนูเป็นเหมือนแม่ซะก่อน พ่อถึงจะกล้าตัดสินใจ”
นำชัยเห็นไอริณเสียใจแล้วรู้สึกจุกที่อก พูดไม่ออก ไอริณน้ำตาไหล
“ทุกอย่างต้องมีจุดจบค่ะพ่อ แต่สิ่งที่ริณต้องการก็คือเรา…เราได้ตัดสินใจเลือกทางของตัวเอง ไม่ใช่อยู่ใต้ความหวาดกลัวไปตลอดชีวิต”
นำชัยอึ้งไป
กองปราบยามเย็น...ไมตรีกับปรีดาจะออกเวรไปด้วยกัน ณัฐชาเดินสวนเข้ามาอย่างร้อนรน
“อ้าวผู้หมวด มาทำไมอีกครับเนี่ย นี่มันเย็นแล้วนะครับ” ไมตรีทักทาย
ปรีดามองๆ
“อย่าบอกนะครับว่าผู้หมวดเข้ากะดึก”
ไมตรีตบกบาลปรีดา
“อื้อหือ กะดึก ตำรวจนะหมู่ ไม่ใช่สาวโรงงาน”
ณัฐชาอึกอัก
“คือ...ฉันติดต่อผู้กองราเมศไม่ได้ พวกนายพอรู้รึเปล่า ว่าผู้กองอยู่ที่ไหน”
ไมตรีกับปรีดามองหน้ากัน
ราเมศนั่งเมาอยู่ที่บาร์อย่างหมดสภาพเสียงอ้อแอ้
“น้อง ขออีกแก้ว”
บาร์เทนเดอร์ลังเล
“จะไหวเหรอครับผู้กอง คืนนี้จัดหนักตั้งแต่หัวค่ำแล้วนะครับ”
ราเมศมอง
“งั้นเอามาสามแก้วเลย”
บาร์เทนเดอร์ยิ้มเหนื่อยหน่ายเต็มทีก่อนจะปลีกตัวไป ระหว่างนั้นณัฐชาก็เปิดประตูเข้ามาในร้าน มองหาราเมศ เห็นเขากำลังจะดื่มเหล้าชุดใหม่ที่เพิ่งมาเสิร์ฟ แต่ณัฐชาก็ตรงมาคว้าข้อมือไว้เสียก่อน
“ผู้กองคะ”
“ณัฐชา คุณมาได้จังหวะพอดี มาดื่มด้วยกันสิ”
“เรามีงานต้องทำนะคะผู้กอง เดี๋ยวนี้”
“งานเหรอ ก็ไปบอกหัวหน้าทีมคนใหม่สิ คุณมาบอกผมทำไม”
ราเมศดึงข้อมือออกจากณัฐชา เขาคว้าเหล้าดื่มก่อนจะเดินหนีไป
ราเมศเดินมากดรีโมทเปิดประตูรถ แต่กดยังไงก็ไม่มีเสียงตอบรับ
“เออ...อะไรของมันวะ ก็จอดรถไว้ตรงนี้นี่หว่า แล้วนี่มันแอบหนีไปตอนไหนวะ”
ราเมศกดรีโมทมั่ว แต่แล้วก็มีชายฉกรรจ์ขับมอเตอร์ไซค์ผ่านมาเห็นเข้า สภาพเมาแอ๋ของราเมศชวนให้พวกมันตัดสินใจจอดรถแล้วเดินเข้ามาหา
“หารถอยู่เหรอพี่ชาย เดี๋ยวผมช่วยเอง”
ชายคนหนึ่งแย่งกุญแจรถไปจากมือราเมศ ขณะที่อีกคนล้วงค้นปลดทรัพย์สินไปจากตัวเขา
“เมาๆแบบนี้ต้องระวังหน่อย เดี๋ยวข้าวของจะตกหล่นสูญหาย ผมเก็บให้นะพี่”
ราเมศคว้าข้อมือมัน
“เฮ้ย...แค่เมานะโว้ย ไม่ได้โง่”
พวกคนร้ายมองหน้ากันก่อนจะลงมือชกต่อย ราเมศเมาจนป้องกันตัวเองไม่ไหว เขาถูกต่อยล้มลง ปืนกระเด็นออกจากซองพก ชายคนหนึ่งตกใจ
“เฮ้ย...ปืนนี่หว่า”
อีกคนดูบัตรในกระเป๋าเงิน
“ซวยแล้ว ตำรวจ”
ราเมศพยุงตัวจะยืนแต่ไม่สำเร็จ
“ก็เออสิโว้ย คอยดูนะ ถ้าฉันสร่างเมื่อไหร่ ฉันจะตามล่าพวกแก”
“พูดแบบนี้อย่าอยู่เลยมึง”
ชายคนหนึ่งคว้าปืนจะยิงราเมศ แต่ณัฐชาตามมาถึงเสียก่อน เธอลงมือเตะปืนทิ้งไปก่อนจะเล่นงานคนร้ายทั้งสองทันที แล้วชี้หน้าขู่
“จะฆ่าตำรวจงั้นเหรอ ไอ้โจรปลายแถว แกรู้มั้ยว่าโทษหนักแค่ไหน”
สองโจรไม่ยอมสิ้นฤทธิ์ ตัดสินใจบุกเข้าเล่นงานณัฐชาอีก แต่ก็ถูกณัฐชาซัดจนเดี้ยงไปกองรวมกัน พวกโจรขณะกำลังมึนอยู่นั้นก็เห็นแสงแฟลชสว่างวาบ พอมองไปก็เห็นณัฐชาใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปพวกมันเอาไว้
“ภาพชัดแจ๋ว เดี๋ยวขอส่งรูปไปที่ฝ่ายทะเบียนก่อนนะ”
สองโจรนั่งงง
“เอาล่ะ ระหว่างนี้ถ้าคิดว่าหนีพ้นก็เชิญตามสบาย แต่เชื่อเถอะ อย่างเก่ง…ไม่เกินสิบชั่วโมง แกโดนจับแน่”
พวกโจรมองหน้ากันแล้วเผ่นหนีไปทันที ณัฐชาส่ายหน้าตามปลงๆ ก่อนจะหันมาเห็นราเมศที่นอนสลบอยู่ที่พื้นเพราะความเมา
“อ้าว...ผู้กอง”
ราเมศนอนอยู่บนรถที่เปิดประตูทิ้งไว้ ณัฐชาใช้ผ้าเย็นเช็ดหน้าให้
“ผู้หมวด”
ณัฐชาหยิบขวดเครื่องดื่มที่พกไว้
“ดื่มอะไรแก้เมาหน่อยสิคะผู้กอง เดี๋ยวฉันเปิดให้นะ”
ณัฐชาทำท่าจะเปิดขวด ราเมศรีบรั้งมือเธอไว้
“ผมไม่มีอะไรจะพูดกับคุณ คุณไปซะ ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว”
“ฉันรู้ค่ะว่าผู้กองเสียใจ แต่ถ้าผู้กองยอมแพ้ ความรู้สึกนี้มันก็จะติดตัวผู้กองไปตลอดชีวิต”
“แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง คุณบอกมาสิณัฐชา ผมมีทางเลือกอื่นอีกเหรอ นอกจากยอมแพ้”
“ยังมีโอกาสค่ะผู้กอง ถ้าเรารู้ว่าแหล่งผลิตยาของพรายพิฆาตมันอยู่ที่ไหน”
ราเมศได้ยินณัฐชาแล้วถึงกับชะงักไป
ในห้องทดลองบริษัทมาดามหลิว...ลุงโจนอนอยู่บนเตียงในสภาพถูกพันธนาการ โซเฟียใช้สลิงสองเล่มดูดยาขึ้นมาจากขวด
“เอาเลยอีหนู อยากฉีดอะไรก็ใส่เข้ามา ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลงซัดให้เต็มที่ วันนี้ฉันไม่มีทางบอกความลับเด็ดขาด”
ชาญเข้ามา
“ดื้อแบบนี้ไม่กลัวตายหรือไงลุง”
“ถึงฉันจะเป็นแค่ไอ้ขี้เมา แต่ก็มีอุดมการณ์ที่สูงส่ง พรายพิฆาตยอมพลีทุกอย่างเพื่อมวลชน”โซเฟียจ้องหน้า
“โดยการฆ่าคนที่ไม่เห็นด้วยงั้นเหรอ”
ลุงโจประชด ตะโกนใส่หน้าชาญ
“พรายพิฆาตจงเจริญโว้ย”
โซเฟียหมั่นไส้เลยปักเข็มใส่คอลุงโจสองเล่มซ้อน ชาญตกใจ
“โซเฟีย”
“ไม่ตายหรอก แค่เมาหนักกว่าเดิมนิดหน่อยหรือถ้าตาย...ฉันจะทำ Cpr ปลุกเขาขึ้นมาทรมานต่อ”
ยาเริ่มออกฤทธิ์
“เฮ่อ...พรายพิฆาต...พรายพิฆาตจง...เจริญ”
“ไอ้แก่ โรงงานผลิตยาอยู่ที่ไหน”
ลุงโจยิ้ม
“รอหน่อยสิวะนังหนู ยังเมาไม่เต็มที่เว้ย ฮ่าๆ”
“ไอ้แก่บ้า นี่แกดื้อยาหรือไง”
“เห็นคุณโทมัสบอกว่าหมอนี่ดื่มเหล้าจัด สงสัยตับของเขาคงมีภูมิต้านทานเป็นพิเศษละมั้ง”
“ฮี่ๆ สงสัยคงใช่ พูดแล้วเปรี้ยวปากว่ะ มีสักก๊งมั้ยไอ้หนุ่ม”
โซเฟียเริ่มเดือดดาลเธอปลีกตัวไปเลือกคว้าสลิงอันใหญ่ที่สุดมาดูดยาอีกหลอด ชาญรีบเตือน
”โซเฟีย ขืนฉีดให้เขาอีกเข็ม มีหวังเขาตายแน่”
“เดี๋ยวก็รู้”
โซเฟียดูดยาเสร็จก็ถือมาหาลุงโจ ๆเห็นขนาดของสลิงก็ตาเหลือก
“เฮ้ยๆ อย่านะเว้ยนังหนู ไม่ต้องฉีด ฉันยอมแล้ว ฉันบอกแล้ว”
“โรงงานอยู่ที่ไหน”
“ฉันไม่รู้ แต่ฉันเคยเห็น แก้มัดให้ฉันก่อน เดี๋ยวฉันจะเขียนแผนที่ให้เอง โซเฟียชะงักแล้วมองไปที่ชาญ เห็นชาญครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้า เพราะคิดว่าเขาคงจัดการลุงโจได้ไม่ยาก
ชาญแก้มัดให้ลุงโจเสร็จก็ประคองลงจากเตียง ขณะที่โซเฟียเอาสมุดโน้ตกับปากกามาส่งให้
“อ่ะ รีบจัดการซะ”
“ใจเย็นๆก็ได้นังหนู ลุงยังไม่หายมึนเลย...โอย”
ลุงโจกุมขมับเซไป ชาญขยับเข้าประคองไว้
“นี่ลุง ยืนดีๆหน่อย”
จังหวะนั้นเองลุงโจก็ฉกเอาปืนจากซองพกของชาญไปก่อนจะเหนี่ยวไกยิงใส่เขาในระยะเผาขน โซเฟียตกใจ
“ชาญ”
ลุงโจหันมายิงใส่โซเฟียแต่เธอหลบได้ ลุงโจรีบหนีออกไปจากห้องโซเฟียเป็นห่วงชาญ
“คุณเป็นยังไงบ้าง”
“ตามไป ไม่ต้องห่วงผม”
โซเฟียตัดสินใจวิ่งตามลุงโจออกไป ขณะที่ชาญเลิกดูเสื้อเกราะกันกระสุนที่ใส่อยู่ด้านในซึ่งถูกลุงโจยิงเข้าเต็มๆ ก่อนจะแข็งใจหยิบปืนพกสำรองจากซองที่ข้อเท้าออกมา
ลุงโจวิ่งหนีพอรู้สึกว่าโซเฟียวิ่งตามมาก็หันไปยิงสวน แต่โซเฟียชิงหลบไปเสียก่อน ระหว่างนั้นเองมันก็เห็นมาดามหลิวกับร.ป.ภ. ระดับหัวหน้านายหนึ่งสวนทางมา
“นี่แก…” มาดามหลิวตกใจ
“มาดามหลิว” ลุงโจตกใจเช่นกัน
ร.ป.ภ.ทำท่าจะชักปืน แต่ถูกลุงโจยิงล้มไปเสียก่อน โซเฟียเพิ่งตามมาเห็นลุงโจยิงซ้ำใส่ ร.ป.ภ.อีกหลายนัด
“มาดาม”
มาดามหลิวไม่ทันได้ขานตอบ ลุงโจก็รีบกระชากเธอมาเป็นตัวประกัน
“อย่าเข้ามานะโว้ย ถอยไป”
โซเฟียชะงักขณะที่ลุงโจควานหาโทรศัพท์มือถือของ ร.ป.ภ.มากดปุ่มต่อสาย
“แกเสร็จฉันแน่นังง่อย ฉันจะบอกให้ทุกคนรู้ว่าแกกับพวกคือศัตรูของพรายพิฆาต แกอยู่เบื้องหลังนักฆ่าชุดดำ”
หน้าจอโทรศัพท์ปลายสายมีคนรับแล้ว แต่ลุงโจไม่ทันคุยมาดามหลิวก็ชิงกระแทกโทรศัพท์จนกระเด็นไปเสียก่อน ลุงโจกระชากคอจ่อปืน
“นังง่อย แกอยากตายใช่มั้ย”
โซเฟียร้องลั่น
“อย่า”
ชาญเพิ่งมาถึงเขารีบเล็งปืนใส่ลุงโจ
“ทิ้งปืน แล้วปล่อยตัวมาดามเดี๋ยวนี้”
“ฮึ...เอ็งต่างหากที่ต้องฟังคำสั่งของข้า” ลุงโจง้างนกปืน “ทิ้งปืน”
ชาญยังนิ่งอยู่
“ทิ้ง…ปืน…”
โซเฟียมองชาญอย่างกังวล…ดวงตาของชาญฉายแววดุดดัน คาดไม่ถึงว่าชาญจะเหนี่ยวไกยิงใส่ลุงโจจนปืนกระเด็นล้มไป เลือดกระเซ็นเปื้อนหน้ามาดามหลิว
“มาดาม...มาดาม”
โซเฟียเข้าไปดูแล้วหันไปดุชาญ
“คุณจะบ้าหรือไงชาญ ถ้าเกิดโดนมาดามขึ้นมาจะว่ายังไง”
มาดามหลิวมองหน้าชาญ เธอนิ่งจนดูไม่ออกว่าเธอโกรธชาญหรือไม่ ลุงโจนอนกุมแผลหน้าตาเหยเกด้วยความเจ็บปวด โทรศัพท์ที่ต่อสายไว้เมื่อครู่ยังมีสัญญาณค้างอยู่ ได้ยินเสียงกรณ์แว่วมา
“ฮัลโหลลุงโจ ตอนนี้อยู่ที่ไหน ลุงโจ”
ดาดฟ้าเมมเบอร์คลับ...เอมี่กับยักษ์ทราบข่าวเรื่องลุงโจจากกรณ์ ยักษ์คิดๆ
“ถ้างั้นก็แปลว่าลุงโจยังมีชีวิตอยู่”
“คิดว่าคงใช่”
“แล้วค้นหาตำแหน่งได้รึยัง” เอมี่ถาม
“นั่นล่ะคือปัญหา ฉันลองเช็กสัญญาณดูแล้ว เบอร์นั้นมันโทรมาจากอาคารของบลูฟินิกซ์ เอมี่โพล่งออกมา
“บริษัทของมาดามหลิว”
กรณ์แค้น
“นังนั่นคือศัตรูของพวกเรา”
ฤทธิ์มาเยี่ยมอาการของมาดามหลิว
“เป็นความผิดของผมเอง ผมน่าจะอยู่ด้วยตอนที่สอบสวนลุงโจ”
“ไม่หรอก ลุงโจคนนี้รอบจัดมาก เป็นใครก็คงคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่อง”
“แต่ท่าทางชาญคงไม่รู้สึกแบบนั้น”
“ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”
ในห้องสมุดบริษัทมาดามหลิว...ชาญนั่งดื่มอยู่เงียบๆนึกถึงตอนที่เขาเหนี่ยวไกยิงใส่ลุงโจจนปืนกระเด็นล้มไป เลือดกระเซ็นเปื้อนหน้ามาดามหลิว
“มาดาม...มาดาม”
โซเฟียเข้าไปดูแล้วหันไปดุชาญ
“คุณจะบ้าหรือไงชาญ ถ้าเกิดโดนมาดามขึ้นมาจะว่ายังไง”
ชาญจิบเหล้าด้วยความรู้สึกเสียใจที่ทำให้มาดามหลิวเกือบต้องบาดเจ็บ สักครู่ฤทธิ์ก็เข้ามาตบบ่าเขา
“มาดามมีเรื่องจะพูดกับคุณ”
ชาญนิ่งงัน...ไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย
ในห้องนอน มาดามหลิวเอ่ยกับชาญที่นั่งอยู่เบื้องหน้า
“โทมัสบอกฉันว่าเธอไม่สบายใจเรื่องที่เกิดขึ้น”
“มาดามต้องเดือดร้อนเพราะผม มันไม่ควรเป็นแบบนั้น”
“ชาญ…เรารู้จักกันมานานแค่ไหน”
“เกือบสิบปีเห็นจะได้”
“แล้วเธอคิดว่าฉันเป็นคนไร้เหตุผลรึเปล่า”
ชาญส่ายหน้า มาดามหลิวเอื้อมมือมากุมมือเขา
“เธอเป็นคนเด็ดเดี่ยวเสมอ ชาญและฉันก็เชื่อใจเธอ ไม่ใช่ด้วยฐานะเจ้านาย แต่ในฐานะเพื่อน ฉันเชื่อเสมอว่าเธอจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องฉัน”
ชาญสบตามาดามหลิวและยิ้มจางๆอย่างโล่งใจ ไม่มีใครรู้เลยว่าในขณะนั้นโซเฟียแอบมองชาญและมาดามหลิวอย่างไม่สบายใจ ภาพที่คนทั้งคู่เกาะกุมมือกันอยู่ ทำให้โซเฟียรู้สึกเดียวดาย...
บนถนนเปลี่ยวยามค่ำคืน...ชายคนหนึ่งปลอมตัว สวมหมวกมิดชิดขับรถมาจอดที่ริมถนน ณัฐชาซึ่งซุ่มอยู่บนรถของเธอปลีกตัวมานั่งบนรถของชายคนนั้นเป็นนำชัยนั่นเอง
“เธอต้อนอาซะอยู่หมัดเลยนะณัฐชา”
“เรากำลังทำสิ่งที่ถูกต้องอยู่นะคะคุณอา เชื่อหนูเถอะค่ะ”
“แต่อาสาบานได้ อาไม่รู้หรอกว่าโรงงานผลิตยาของพรายพิฆาตมันอยู่ที่ไหน อารู้แค่ว่านายมาวินเป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับพวกมันและมีแผนจะขยายตลาดเร็วๆนี้”
“แล้วอาพอมีวิธีสืบเรื่องนี้รึเปล่าคะ”
นำชัยครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้าอย่างหนักใจ
“เตรียมคนของเธอให้พร้อม ในอาทิตย์นี้อาจะส่งข่าวถึงเธอโดยตรง”
ภัตตาคารดอกบัวขาวยามค่ำคืน...มาเฟียระดับหัวหน้าแก๊งหลายคนมาประชุมกันพร้อมหน้า โดยมีมาวินยืนเท้าแขนเป็นประธานอยู่ที่หัวโต๊ะ แหลมเอาตัวอย่างน้ำตาสวรรค์วางให้มาวินสาธิต
“สหายที่รักทุกท่าน วันนี้ฉันมีสินค้าใหม่มานำเสนอ นั่นก็คือ น้ำตาสวรรค์ ที่กำลังโด่งดังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้”
มาวินเดินไป กรอกคารมใส่หูพวกหัวหน้าแก๊งไปทีละคน
“ต้นทุนต่ำ ระดับความเมาขั้นเทพ เสพทีเดียวติด ขายดีตีตลาดทั่วกรุงเทพและปริมณฑล”
หัวหน้าคนหนึ่งขัดขึ้น
“เฮอะ เห็นมีข่าวว่าเมาแล้วกลายเป็นผีดิบนี่หว่า”
“ฮึย ข่าวลือ ผีดิบมีที่ไหน กะอีแค่คนเมายาเดินโซเซ ไอ้พวกตำรวจมันแกล้งปล่อยข่าว เพราะมันกลัวว่ายาจะขายดีต่างหาก”
หัวหน้าอีกคนพูดขึ้น
“เอ็งอย่าหลอกพวกข้าเลยวะไอ้มาวิน เด็กของข้ามันเคยเห็นโว้ยเมาแล้วคลั่ง ไล่กัดคนอย่างกับหมา ต้องโดนยิงแสกหน้าโน่นถึงจะหยุดมันได้”
มาวินชักไม่พอใจ
“เออ แล้วไงวะ เสพยาเกินขนาด มันก็เพี้ยนแบบนี้แหละ ทีคนเมายาบ้าจับตัวประกัน ไม่เห็นมีใครบอกว่าเป็นผีกระหังเลยนี่หว่า”
“แต่ยาตัวนี้เป็นของพรายพิฆาต มันเป็นพวกก่อการร้าย ข้าไม่เอาด้วยโว้ย”
หัวหน้าคนที่ 3 พูดเสร็จก็เดินไปที่ประตู ทันใดนั้นมือบอสตะปบข้อมือ กดสปริงดีดใบดาบคมกริบออกมาเสียงดังกังวาน หัวหน้าคนที่ 3 ตาเหลือก พร้อมกับเสียงมีดที่แทงทะลุท้องกรีดซี่โครงดังขึ้นแคร่ก หัวหน้าแก๊งคนอื่นพากันตะลึงอ้าปากค้าง ขณะที่มาวินปรบมือให้ แหลมปรบตามอย่างเอาใจ
“โว้วเจ๋งมากหุ้นส่วน ฆ่าคนในร้านกูอีกแล้ว...พรมใหม่เพิ่งเปลี่ยนไปหยกๆ เลือดมันล้างออกยากนะโว้ย”
บอสเก็บดาบ ศพหัวหน้าคนนั้นร่วงโครมไปกับพื้น
“ต้องขออภัย แต่ใครก็ตามที่ปฏิเสธพรายพิฆาต มันต้องตายสถานเดียว”
พวกหัวหน้าแก๊งพากันชักปืนเล็งไปที่บอส มาวินรีบห้าม
“อย่ายิง เชื่อเหอะ เปลืองกระสุนเปล่าๆ”
พวกหัวหน้าไม่ฟังเสียงกระหน่ำยิงใส่บอส แต่กระสุนทะลวงผ่านไปเหมือนยิงใส่เงา ทุกคนพากันตะลึงตาค้าง บอสหัวเราะสะใจ
สุชาตินำทางนำชัยเข้ามาในห้องรับแขก โทคุดะนั่งรออยู่บาดแผลที่บาดเจ็บคราวก่อนยังมีร่องรอยทำแผลอยู่ โดยมีบอดี้การ์ตสองนายคอยคุ้มกัน สุชาติหันมาบอก
“มิสเตอร์โทคุดะจะเดินทางกลับวันพรุ่งนี้ ก่อนไปเขาอยากกล่าวลาท่านด้วยตัวเองครับ”
นำชัยจับมือ
“โทคุดะซัง”
โทคุดะยืนจับมือ
“ผมจะไม่ถามอะไรคุณเรื่องพรายพิฆาต แต่ผมอยากบอกว่ามีนักการเมืองอีกมากที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกับคุณ คุณนำชัย พวกเขามีทางเลือกสองทาง นั่นคืออยู่ต่อไปอย่างอัปยศ หรือตายอย่างมีศักดิ์ศรี”
นำชัยอึกอัก
“คุณพูดเรื่องอะไร ผมไม่เข้าใจ”
โทคุดะจริงจังพูดเป็นภาษาญี่ปุ่น
“พรายพิฆาตยิ่งใหญ่ก็จริง แต่สิ่งที่มันบงการไม่ได้ก็คือความดีงามในหัวใจของมนุษย์ นั่นคือสิ่งที่อยู่เหนือกว่าอำนาจและวิทยาการทั้งปวง”
สุชาติแปล
“โทคุดะซังเชื่อมั่นว่า ความดีของคนเรา ยิ่งใหญ่กว่าอำนาจของพรายพิฆาตครับท่าน”
นำชัยรู้สึกละอายในความผิดของตน เขาพยักหน้าให้โทคุดะซังอย่างยอมรับ
หลังจากนำชัยส่งโทคุดะเดินทางกลับ ระหว่างนั้นเองกรณ์ก็เดินมาจากทางหนึ่งแล้วบอกข่าวนำชัยเบาๆ
“บอสต้องการให้ท่านไปเยี่ยมชมโรงงานของเราวันศุกร์นี้ ท่านกับนายมาวินจะได้หารือกันเรื่องการขนส่งสินค้า”
“ได้...ผมจะไปที่นั่น”
สุชาติเหลียวมาดูนำชัยกับกรณ์ด้วยความสงสัยว่า ทั้งคู่ดูเหมือนจะมีความลับบางอย่างที่ตนไม่รู้
วันต่อมา...หน่วยสวาทเตรียมกำลังอาวุธก่อนจะมาเข้าแถวในสภาพพร้อมเคลื่อนพล หัวหน้าหน่วยเข้ามารายงาน ราเมศที่ยืนอยู่กับไมตรีและปรีดา
“หน่วยจู่โจมพร้อมครับ”
ราเมศพยักหน้า ก่อนที่ไมตรีจะแอบสะกิด
“ผู้กอง...ผู้กำกับมาครับ”
ปรีดาเสริม
“ท่าทางอารมณ์บ่จอยด้วยครับผู้กอง”
ราเมศมองไป เห็นเมธาเดินมาหา
“ถ้าจำไม่ผิด ผมปลดคุณจากตำแหน่งหัวหน้าทีมแล้วไม่ใช่เหรอผู้กอง”
“ครับท่าน แต่นี่เป็นเหตุฉุกเฉิน ขอความกรุณาด้วยเถอะครับ”
“ไม่เกี่ยวกับผม ตอนนี้คนที่รักษาการณ์แทนคือณัฐชา”
ไมตรีพูดขึ้น
“เอ่อ...แผนทั้งหมดผู้หมวดณัฐชาก็เห็นดีเห็นงามด้วยครับผู้กำกับ”
ปรีดาเสริมอีก
“หรือว่าง่ายๆ ปฏิบัติการนี้เป็นการร่วมมือกันระหว่างผู้กอง กับผู้หมวดครับ”
“แล้วตอนนี้ณัฐชาอยู่ที่ไหน” เมธาถามเสียเข้ม
ณัฐชาปลีกตัวมาหามุมสงบโทรคุยกับนักสู้มหากาฬ ที่โดยสารอยู่ในรถบรรทุกสินค้าของบริษัทมาดามหลิว
“ทุกอย่างพร้อมแล้ว ตอนนี้กำลังรอสัญญาณจากท่านนำชัย”
“อย่าให้ใครรู้เด็ดขาดว่าท่านนำชัยเป็นคนบอกข่าว”
“ฉันรู้น่า ท่านนำชัยเป็นพ่อของไอริณนะ ฉันไม่ให้ร้ายเพื่อนตัวเองหรอก ว่าแต่คุณเถอะ จะไปถึงที่หมายทันรึเปล่า”
“ผมอยู่ใกล้กว่าที่คุณคิด คุณตำรวจ เอาเป็นว่าถ้าคุณเริ่มเดินทางเมื่อไหร่ ผมจะตามไปติดๆ”
“โอเค คุณมือสังหาร อ้อ...ต้องเรียกชื่อใหม่สินะ นักสู้มหากาฬ”
ณัฐชาวางสายแล้วหันมาเจอราเมศพอดี
“ผู้กอง”
“ผู้กำกับอยากคุยกับคุณ ท่านอยากทราบรายละเอียดของแผนการวันนี้”
“ได้ค่ะ”
ราเมศคว้าแขน
“เดี๋ยว ขอบคุณนะที่ช่วยเตือนสติผม แล้วก็ขอโทษด้วยที่วันนั้นผมพูดไม่ดีกับคุณ”
“ไม่เป็นไรค่ะผู้กอง ฉันเข้าใจ”
ราเมศยิ้มให้ณัฐชา มือของราเมศกุมต้นแขนของณัฐชาอย่างมีความหมาย
กรณ์เปิดประตูรถเมื่อเห็นนำชัยเดินออกมาจากบ้าน
“เชิญครับท่าน”
สุชาติรีบตามออกมา
“ท่านครับ ไม่ทราบว่าวันนี้ท่านจะไปไหนเหรอครับ ผมเช็กดูในตารางนัดแล้ว ไม่เห็น…”
นำชัยตัดบท
“ไม่มีอะไรหรอกสุชาติ ผมมีธุระส่วนตัวนิดหน่อย คุณกลับไปพักเถอะ”
สุชาติแปลกใจ มองหน้ากรณ์อย่างกังขาด้านหลังสุชาติ ไอริณมองออกมาจากในบ้านด้วยความเป็นห่วง
มาวินโดยสารมาบนรถที่มีแหลมเป็นผู้ขับ
“มาถูกทางแน่นะไอ้แหลม”
“ครับคุณมาวิน หุ้นส่วนของคุณเขาให้แผนที่ GPS มาแบบนี้รับรองไม่มีพลาดครับ”
“เฮ้อ...โรงงานผลิตยา อยู่ห่างจากเมืองหลวงไม่กี่สิบโลนี่ถ้าไม่มีเส้นของไอ้นำชัย ทุกอย่างก็คงไม่ง่ายแบบนี้ร้อก”
กรณ์ขับรถ โดยมีนำชัยโดยสารอยู่ที่เบาะหลัง นำชัยพรางตัวมาในชุดประชาชนธรรมดา นำชัยแอบหยิบโทรศัพท์ออกมาดูแล้วแอบมองกรณ์อย่างระแวดระวัง
รถของราเมศแล่นนำรถของหน่วยสวาทมาตามถนน ณัฐชาที่นั่งอยู่ข้างราเมศดูคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของตนที่ติดตามสัญญาณโทรศัพท์ของนำชัย
“สัญญาณชัดเจนมากค่ะผู้กอง อีกไม่นานสายของเราคงถึงที่หมาย”
ราเมศพยักหน้า ท่าทางเป็นกังวลอยู่ลึกๆ
คนงานซึ่งอยู่ในเครื่องแบบเหมือนชุดช่าง จัดเรียงสินค้าเพื่อเตรียมการสำหรับขนส่ง มาวินกับแหลมเดินเข้ามาในโรงงาน แหลมแปลกใจ
“เอ นี่มันโรงงานธรรมดานี่ครับคุณมาวิน หรือว่าเราจะมาผิดที่”
มาวินไม่ทันตอบ เพราะจู่ๆเสียงอึกทึกรอบตัวก็เงียบกริบลง พวกคนงานพากันหยุดมือมองมาที่เขากับแหลมด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ข้าว่าเรามาถูกว่ะไอ้แหลม หน้าตาแบบนี้ไม่ใช่คนงานธรรมดาแน่”
“แล้วทำไมพวกมันจ้องเราแบบนั้นล่ะครับคุณมาวิน ผ...ผมกลัวครับ”
แหลมหลบไปหลังนาย มาวินนิ่งเงียบ แอบล้วงมือช้าๆไปแตะที่ด้ามปืนอย่างเตรียมพร้อม แต่แล้วเอมี่ก็เดินนำยักษ์ออกมาเสียก่อน
“ใจเย็นๆ ก็ได้ค่ะคุณมาวิน ที่นี่ปลอดภัยสำหรับคุณ รับรองได้”
มาวินคุ้นหน้า
“นี่คุณ…”
“ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการค่ะ ฉันเอมี่ เป็นผู้ช่วยของบอสแล้วนี่ยักษ์ เป็นลูกน้องของฉันเอง”
ยักษ์มองเอมี่เคืองๆ ใครเป็นลูกน้องหล่อน เอมี่ยิ้มกวน
“แล้วท่านนำชัยล่ะ มาถึงรึยัง”
ประตูรั้วเปิดออก กรณ์ขับรถพานำชัยเข้ามาเขตโรงงาน ก่อนที่ประตูรั้วจะปิดลงอัตโนมัติ
คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของณัฐชาเห็นสัญญาณโทรศัพท์ของนำชัยหยุดการเคลื่อนไหว
“สายของเราถึงที่หมายแล้วค่ะผู้กอง”
“ลองเช็กตำแหน่งซิ ว่าเป็นที่ไหน”
ณัฐชาใช้โปรแกรมเช็กตำแหน่งสัญญาณโทรศัพท์ จนได้ภาพถ่ายทางอากาศของโรงงาน
กรณ์พานำชัยเข้ามาในโรงงาน มาวินรีบทักทาย
“ฮัลโหลป๊ะป๋า ไม่เจอกันซะนานเลยนะ”
แหลมไม่เข้าใจ
“ป๊ะป๋า”
“ก็ว่าที่พ่อตาข้าไง”
“อ๋อใช่ คุณไอริณสบายดีเหรอครับ ท่านป๊ะป๋า”
นำชัยระงับโทสะ หันมาบอกกรณ์
“เรารีบคุยธุระกันเถอะ จะได้รีบไปจากที่นี่”
รถของราเมศจอดชิดข้างถนนชานเมืองก่อนถึงโรงงาน ราเมศลงจากรถแล้วโบกมือให้รถของหน่วยจู่โจมที่แล่นตามมาหยุดจอดเช่นกัน ราเมศ ณัฐา ไมตรี ปรีดาและหัวหน้าทีมหน่วยจู่โจมยึดพื้นที่บนฝากระโปรงรถเป็นโต๊ะประชุมชั่วคราว ณัฐชาถอดหน้าจอของโน้ตบุ๊กออกก่อนจะขยายภาพให้ดูทำเลที่ตั้งของโรงงาน
“ที่ตั้งของโรงงานอยู่ห่างจากชุมชน โดยรอบไม่มีที่พักอาศัยหรือสิ่งปลูกสร้างอื่น แต่ทางออกด้านหลังมีถนนเชื่อมไปถึงแม่น้ำ ฉันคิดว่า พวกมันอาจใช้เป็นเส้นทางหลบหนี”
หัวหน้าหน่วยหนักใจ
“โรงงานมันใหญ่กว่าที่เราคิดไว้นะผู้กอง กำลังคนของผมอาจมีไม่พอ”
ราเมศออกคำสั่ง
“แบ่งกำลังส่วนหนึ่งไปดักทางด้านหลัง ส่วนพวกผมจะบุกเข้าไปพร้อมคุณ”
ไมตรีขัดขึ้น
“แต่มันเสี่ยงนะครับผู้กอง”
ราเมศมองหน้า
“ถ้าจ่าไม่สะดวกก็เชิญ ผมเข้าใจ”
ปรีดาหันมาบอก
“ผมสะดวกครับผู้กอง ผู้กองกับผู้หมวดลุยไหน ผมลุยโลด”
“โอ้โหหมู่พูดได้ใจแบบนี้ ผมลุยด้วยครับผู้กอง งานนี้ผมยอมตายครับ” ไมตรีน้ำเสียงจริงจังมาก
ปรีดามองหน้าแล้วถาม
“เพื่อหน้าที่”
“เพื่อสองขั้น”
ราเมศหันมาหาณัฐชา
“ส่งสัญญาณบอกสายของเราได้แล้วผู้หมวด อีกสิบนาทีเราจะบุกเข้าไป”
ในห้องโถงโรงงานผลิตยา...กรณ์อธิบายแผนงานกับมาวินและนำชัย
“สินค้าของเราจะถูกแพ็กอยู่ในรูปของอาหารกระป๋อง เราจะเป็นคนดูแลเรื่องการขนส่ง คุณมาวินมีหน้าที่ประสานงานกับลูกค้า ส่วนท่านนำชัย ท่านต้องใช้เส้นสายของท่านเคลียร์เส้นทางให้กับพวกเรา”
ระหว่างนั้นเองก็มี sms ส่งเข้ามาที่โทรศัพท์ของนำชัย เอมี่หันมาถาม
“ใครส่งข้อความมาเหรอคะท่าน”
“อ๋อ ไอริณน่ะ สงสัยคงมีเรื่องสำคัญ ขอตัวสักครู่นะ”
นำชัยปลีกตัวไปด้านนอก กรณ์มองตามอย่างสงสัยแต่แล้วโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นเช่นกัน กรณ์รับสาย
“ฮัลโหลบอสว่าไงครับ ครับผม” กรณ์ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ใช่ครับ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน”
นำชัยปลีกตัวออกมานอกโรงงานแล้วรีบกดดู sms เห็นข้อความบอกว่า “ไปซ่อนบนรถ อีกสิบนาทีจะบุกเข้าไป ณัฐชา” นำชัยมองไปที่รถของตน แล้วเดินตรงไปทันทีแต่แล้วมือของยักษ์ก็ตะปบเข้าที่บ่าของเขา นำชัยหันไปมองอย่างหวาดผวา เมื่อเห็นยักษ์ยิ้มอยู่อย่างเหี้ยมเกรียม
หน้าอาคารโรงงานเงียบเชียบเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น คนงานที่รับหน้าที่ยามเฝ้าประตู ฟังเพลงจากโทรศัพท์มือถืออยู่ผ่านหูฟัง แต่แล้วก็มีบ่วงเชือกห้อยลงมารัดคอมันแล้วกระชากตัวขึ้นไป ประตูเหล็กถูกเปิดออก หน่วยจู่โจมบุกเข้ามาในโรงงาน โดยมีราเมศ ณัฐชา ไมตรี ปรีดา รั้งท้ายขบวน คนงานคนหนึ่งเพิ่งออกมาจากด้านในโรงงาน แต่แล้วก็โดนหน่วยจู่โจมบุกเข้าชาร์จอย่างรวดเร็ว ภายในชั่วพริบตามันโดนเทปกาวปิดปาก และถูกสวมกุญแจมือไพล่หลังเอาไว้ ขณะเดียวกันณัฐชาก็ปลีกตัวมาเปิดประตูรถก่อนจะชะงักเมื่อพบกับความว่างเปล่า มีเพียงโทรศัพท์ของนำชัยที่วางอยู่บนเบาะหลัง ณัฐชาใจเสีย
“คุณอา”
หัวหน้าหน่วย หันมาส่งสัญญาณมือให้ลูกทีมเพื่อเตรียมบุกเข้าไปด้านใน ก่อนจะมองมาที่ราเมศ เห็นราเมศพยักหน้าอย่างเตรียมพร้อม ก่อนที่ณัฐชาจะเข้ามาสมทบ
“สายข่าวของเราหายไปค่ะ ฉันคิดว่าข้างในอาจมีปัญหา”
หัวหน้าหน่วย ชะงักมองราเมศอย่างขอความเห็น ราเมศหน้าตาจริงจัง
“เรามาถึงนี่แล้ว จะคว้าน้ำเหลวไม่ได้”
ณัฐชาพยายามแย้ง
“แต่ว่า…”
ราเมศตัดบท
“ลงมือตามแผน”
ณัฐชาหวั่นใจ ขณะที่ไมตรีกับปรีดามองหน้ากันอย่างเริ่มรู้สึกใจคอไม่ดี
หน่วยจู่โจมบุกเข้ามาในโรงงานโดยมีทีมของราเมศรั้งท้าย แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า ที่ทำให้ทุกคนต่างอึ้งไปตามๆกัน หัวหน้าสงสัย
“พวกมันหายไปไหน”
ราเมศเอะใจ
“ระวังกับดัก”
ราเมศพูดไม่ทันขาดคำก็เห็นพวกคนงานในโรงงานที่ซ่อนอยู่ด้านบน โผล่ออกมาพร้อมอาวุธครบมือ พวกมันกราดยิงใส่หน่วยจู่โจมอย่างเมามัน หน่วยจู่โจมหลายนายถูกยิงล้มลง ขณะที่อีกหลายนายก็พยายามปักหลักยิงต่อสู้ แต่คนงานเหล่านั้นแม้ถูกยิงก็ไม่แสดงอาการสะทกสะท้าน ณัฐชาตะลึง
“น้ำตามัจจุราช”
ไมตรี กับปรีดาพากันตื่นตะลึง คนงานบางคนยังคงแผดร้องและกระหน่ำยิงใส่หน่วยจู่โจม ทั้งๆที่ตัวเองก็ถูกยิงเข้าไปหลายนัด
หน่วยจู่โจมจำนวนหนึ่ง จับตาดูความเคลื่อนไหวที่ลานจอดรถด้านหลัง แต่แล้วทั้งหมดถูกกราดยิงจนพรุนโดยไม่มีโอกาสตั้งตัว ด้วยฝีมือของกรณ์กับมาวิน
กรณ์ลดปืนลงเมื่อเห็นว่าพื้นที่ดังกล่าวปลอดภัย ขณะที่มาวินฉุนเฉียว
“บ้าเอ๊ย นี่มันเกิดอะไรขึ้น พวกตำรวจมาที่นี่ได้ยังไง”
“เรื่องนั้นผมไม่รู้ แต่บอสสั่งให้คุณหนีไปซะ ทางนี้เราจะจัดการเอง”
แหลมหันมาถาม
“แล้วท่านนำชัยละครับ”
ยักษ์กับเอมี่ช่วยกันลากตัวนำชัยที่ถูกมัดมือไว้ด้านหน้าและถูกอุดปากออกมา
“ฮ่าๆ ไอ้งูสองหัว บอสคิดอยู่แล้วว่าแกต้องมาไม้นี้ คราวนี้แกเสร็จเราแน่”
นำชัยหน้าถอดสีไม่คิดว่าแผนทรยศของตนจะปิดฉากลงเช่นนี้ ขณะที่เอมี่ได้ยินเสียงปืนจากการต่อสู้ระหว่างตำรวจกับนักรบพรายพิฆาตแล้วก็คิดอะไรขึ้นได้บางอย่าง
“ยักษ์ นายพาท่านนำชัยหลบไปก่อน”
“แล้วเธอล่ะ”
“ฉันมีนัดกับเพื่อนเก่า”
ยักษ์นิ่วหน้าไม่เข้าใจว่าเอมี่หมายถึงใคร
ฤทธิ์ในคราบของนักสู้มหากาฬ ขี่มอเตอร์ไซค์มุ่งหน้าไปยังโรงงานอย่าง
ยักษ์ลากตัวนำชัยมาสมทบกับกรณ์ มาวินและแหลมที่ลานจอดรถด้านหลังโรงงานผลิตยา กรณ์ถามอย่างสงสัย
“แล้วเอมี่อยู่ที่ไหน”
“เห็นบ่นว่าจะเข้าไปแจมข้างใน”
“บ้าจริง เวลาแบบนี้ยังมีอารมณ์เล่นอยู่ได้ ทำไมแกไม่ห้ามเขา”
“เคยห้ามอยู่ที่ไหนล่ะหัวหน้า”
“ตกลงจะเอายังไง จะหนีหรือจะสู้”
กรณ์คิดๆ
“ยักษ์ แกพามาวิน กับท่านนำชัยหนีไปก่อน ทางนี้ฉันจัดการเอง”
การยิงปะทะภายในยังคงเป็นไปอย่างดุเดือด หน่วยจู่โจมมีฝีมือที่แม่นฉมังกว่า สามารถยิงพวกนักรบพรายพิฆาตได้อย่างจัง แต่นักรบเหล่านั้นกลับแผดร้องและยิงสวนตอบราวกับไม่รู้จักเจ็บจักตาย ทำให้หน่วยจู่โจมเริ่มเสียชีวิตมากขึ้น หัวหน้าหน่วย เข้ามาสมทบกับราเมศ ณัฐชา ไมตรี ปรีดา
“อยู่ไม่ได้แล้วผู้กอง พวกเราต้องถอย”
ราเมศไม่ยอม
“ไม่ พวกเราต้องสู้ต่อไป”
“สู้กับอะไรล่ะผู้กอง พวกนี้มันผีนรกชัดๆ สู้ไปก็มีแต่ตายลูกเดียว”
หน่วยจู่โจมสองนาย คอยระวังอยู่ที่ทางเข้าด้านนอก ไม่ทันสังเกตเลยว่าคนงานที่ถูกจับหักข้อนิ้วโป้งของตัวเองอย่างเลือดเย็น เพื่อปลดกุญแจมือออกจากข้อมือข้างหนึ่งก่อนจะดึงเทปกาวที่ปิดปากออก หน่วยจู่โจมคนหนึ่งเหลือบเห็น
“เฮ้ย”
คนงานเข้าชาร์จถึงตัว มันยื้อแย่งปืนในมือของหน่วยจู่โจม แล้วเอาหัวโขกจนหงายไป หน่วยจู่โจมอีกคนรีบประทับปืนยิงใส่มันจนพรุน คนงานเซไป ก่อนจะเหวี่ยงปืนที่แย่งมาฟาดใส่หน่วยจู่โจมคนนั้นจนกระอักเลือด
การยิงปะทะดำเนินต่อไป หน่วยจู่โจมได้รับบาดเจ็บล้มตายมากขึ้น ขณะที่นักรบพรายพิฆาตบางคนที่เจ็บหนักจนตายไปก่อนหน้านี้…เริ่มมีอาการกล้ามเนื้อกระตุก ดวงตาที่เคยหลับไปก่อนหน้านี้ เบิกโพลงขึ้นกลอกไปมา…ในสภาพของผีดิบ หัวหน้าหน่วย ยิงพวกนักรบพรายพิฆาต ก่อนจะหันมาบอกกับพวกณัฐชา
“พวกคุณหนีไปก่อน ผมจะคุ้มกันให้เอง”
ณัฐชาเหลือบเห็นข้างหลัง
“ผู้หมวดระวัง”
ผีดิบตัวหนึ่งโผเข้าใส่หัวหน้าหน่วย และลงมือกัดเข้าที่คออย่างดุเดือด ปรีดาตาเหลือก
“เฮ้ย ผีดิบ”
ไมตรีหน้าตื่น
“เง้อ...เจ้าเก่ามาอีกแล้ว”
ราเมศสั่งการ
“รีบช่วยเขา ลากตัวมันออกไป”
ณัฐชาได้สติตรงเข้าไปกระชากคอผีดิบให้เงยหน้าขึ้น มันคำรามใส่ในสภาพเลือดเปรอะปากเกรอะกรัง ณัฐชาจ่อยิงแสกหน้ามันทันที ผีดิบล้มคว่ำไป ขณะที่หัวหน้าหน่วย เนื้อตัวสั่นระริก ลมหายใจขาดห้วงตายตามไปเช่นกัน ณัฐชาอึ้ง
“เราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว”
ไมตรีเข้ามาบอก
“ผู้กอง...ถอนกำลังเถอะครับ”
ราเมศนิ่ง ปรีดาหวาดๆ
“ผู้กองครับ ผู้กองได้ยินรึเปล่า พวกเราต้องหนี”
ราเมศมองศพของ หัวหน้าหน่วย ด้วยอาการของคนที่กำลังช็อก
คนงานขับรถยกของพุ่งเข้าชนประตูโรงงานเพื่อปิดทางเข้าออก
“พรายพิฆาตจงเจริญ”
รถชนประตูจนระเบิดไหม้ทั้งคัน นักสู้มหากาฬเพิ่งมาถึงพอดี เขามองสภาพที่เกิดเหตุแล้วมองหาทางเข้าไปในโรงงานทางอื่น
นักรบพรายพิฆาตรายหนึ่งถูกยิงจนพรุน เกินกว่าที่น้ำตามัจจุราชจะรักษาชีวิตไว้ได้จึงล้มลงขาดใจ แต่ขณะเดียวกันเพื่อนของมันที่ถูกยิงคว่ำไปก่อนหน้านี้ก็ลุกโงนเงนขึ้นมาในสภาพผีดิบ ในเวลานั้นณัฐชากับพวกและหน่วยจู่โจมที่เหลือแค่ 3-4 นาย ปักหลักสู้กับคนร้ายอย่างหมาจนตรอก ปรีดายิงจนกระสุนหมด ก็ควานหาซองกระสุนสำรองในกระเป๋าแต่ไม่เจอ
“จ่า กระสุนผมหมดแล้ว”
“ของผมก็เหมือนกัน”
ณัฐชาคว้าของตัวเองโยนให้
“แม็กสุดท้ายแล้วนะหมู่”
“ขอบคุณครับผู้หมวด”
ราเมศซึ่งอยู่ในอาการช็อกจิตตก หันมามองหน้าณัฐชา
“เพราะคุณคนเดียว พวกเราถึงต้องเป็นแบบนี้”
ณัฐชาอึ้ง
“ผู้กอง”
ไมตรีชะงัก
“อ้าวผู้กอง ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะครับ”
หรือว่าไม่จริง ถ้าคุณไม่ทำตามแผนของไอ้มือสังหารชุดดำพวกเราก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพนี้ แล้วคุณดูสิว่ามันรับผิดชอบอะไรบ้าง เวลาแบบนี้ มันไปมุดหัวอยู่ที่ไหน”
ณัฐชาอ้าปากจะเถียง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงปืนหลายนัดดังขึ้น เห็นนักรบของพรายพิฆาตหลายนายถูกยิงเข้าที่ศีรษะจนล้มไป ก่อนที่นักสู้มหากาฬจะปรากฏตัวขึ้นบนที่สูงมุมหนึ่งของโรงงาน
“เล็งที่หัวของพวกมัน จุดอ่อนอยู่ตรงนั้น”
ณัฐชาตะลึง
“นักสู้มหากาฬ”
ไมตรี กับปรีดากับหน่วยจู่โจมที่เหลือรีบยิงใส่นักรบพรายพิฆาต โดยเล็งที่ศีรษะตามคำแนะนำของนักสู้มหากาฬ ขณะที่ราเมศยังตะลึงมองนักสู้มหากาฬอยู่ เห็นนักสู้มหากาฬยิงใบมีดของเขาไปพันกับโครงเหล็กของหลังคาโรงงานก่อนจะโหนตัวไปหาพวกนักรบพรายพิฆาต แล้วลงมือฆ่าฟันพวกมันอย่างรวดเร็ว แต่แล้วในระหว่างนั้นเองเอมี่ก็ปรากฏตัวขึ้นและเล็งปืนไรเฟิ่ลของเธอใส่นักสู้มหากาฬทางด้านหลัง ก่อนจะรัวยิงกระหน่ำเข้าใส่หลายนัด นักสู้มหากาฬได้ยินเสียงปืนก็หันไปหลบและฟันหัวกระสุนจนขาด แต่ก็ถูกกระสุนนัดหนึ่งยิงเข้าจนได้ เลือดสีฟ้าของเขาสาดกระเซ็นไปทั่ว ร่างของเขาร่วงลงมาที่พื้น ณัฐชาตกใจ
“ระวัง”
ณัฐชายิงใส่เอมี่เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายยิงซ้ำใส่นักสู้มหากาฬ ขณะเดียวกันนักสู้มหากาฬก็ต้องต่อสู้กับนักรบของพรายพิฆาตที่รุมล้อมเข้ามาจากทุกทิศทาง เอมี่ขณะยิงสู้กับณัฐชา พวกผีดิบหลายตัวกรูเข้ามาหาเธอพร้อมส่งเสียงคำราม เอมี่เหวี่ยงพานท้ายปืนจัดการกับพวกมัน แต่ก็ถูกยื้อแย่งจนปืนหลุดมือ เอมี่ตัดสินใจชักปืนพกลูกโม่ออกมากระหน่ำยิงผีดิบเหล่านั้นจนกระสุนหมด ก่อนจะรีบปีนลงไปเก็บปืนไรเฟิ่ลของเธอ ณัฐชากะฉวยโอกาสนั้นยิงใส่เอมี่ แต่กระสุนดันหมดเสียก่อน เธอจึงตัดสินใจวิ่งไปหาเอมี่ทันที ปรีดาตกใจ
“ผู้หมวด อย่าออกไปครับ”
ราเมศพยายามเรียก
“ณัฐชา กลับมานี่ ณัฐชา”
เอมี่จะคว้าปืนไรเฟิ่ลที่หล่นอยู่ แต่แล้วณัฐชาก็โผเข้าเล่นงานอย่างดุเดือด สองสาวเปิดฉากดวลเพลงหมัดกันด้วยฝีมืออันสูสี ถึงฉันเชิงของอดีตทหารหน่วยรบพิเศษอย่างเอมี่จะเหนือกว่า แต่ณัฐชาจอมบ้าพลังก็ดุดันเกินกว่าที่จะพิชิตได้โดยง่าย เอมี่พยายามจะคว้าปืนแต่ณัฐชาก็แย่งไว้ เอมี่จึงชักมีดออกมาแทงใส่ จังหวะหลบมีดพัลวันนั้นเองนิ้วของณัฐชาก็สอดเข้าไปถูกไกปืนจนลั่นเฉี่ยวขาของเอมี่ เธอกรีดร้องก่อนจะทรุดไป ขณะที่กรณ์ก็โผล่มาเห็นเข้าพอดีจึงยิงสกัดณัฐชาจนต้องถอยไปหาทีกำบัง
“เอมี่ มาทางนี้”
เอมี่รีบวิ่งไปหากรณ์แล้วหนีเข้าไปด้านในโรงงานด้วยกัน นักสู้มหากาฬเหลือบเห็นเข้าก็รีบตามไป ณัฐชารีบตามไปด้วย
กรณ์ประคองเอมี่หนีมาตามทางเดิน ก่อนที่นักสู้มหากาฬจะตามมาตะโกนลั่น
“ไอ้กรณ์”
เสียงนั้นสะท้อนก้องยาวนานด้วยอารมณ์แค้น กรณ์กับเอมี่ชะงักกึก เพราะเสียงนั้นเป็นการประกาศชัดว่าคนที่ตามมาคือใคร
“นั่นแกใช่มั้ยเพื่อน…” กรณ์หันมา “ฤทธิ์ ราวี”
ณัฐชาเพิ่งตามมาถึงพอดี พอได้ยินคำพูดของกรณ์ก็ชะงักกึก
“ฉันไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกแล้ว เพราะวันนี้คือวันตายของแก”
เอมี่ยิ้มหยัน
“แกคิดว่าแกชนะงั้นเหรอ ฝันไปเถอะ”
“ไม่มีโรงงาน ไม่มีน้ำตามัจจุราช แผนการของพวกแกล้มเหลว”
กรณ์หัวเราะลั่น
“ฮ่าๆ ใช้หัวคิดหน่อยสิเพื่อน คนของแกตายเป็นเบือ แล้วเราเสียอะไรบ้าง ไอ้นำชัยหนอนบ่อน
ไส้ถูกจับได้ แถมเรายังได้ทดสอบกำลังพลของเราอีกด้วย นักรบพรายพิฆาตที่เราจะสร้างขึ้นมาใหม่ อีกกี่ร้อยกี่พันคนก็ได้”
เอมี่เสริม
“และที่สำคัญ…ที่นี่ไม่ใช่โรงงานผลิตยา แกหลงกลแล้ว”
“อะไรนะ”
ฤทธิ์ขยับเข้าหากรณ์ จังหวะนั้นเองกรณ์รีบทุบปุ่มกลไกที่ผนังทำให้พื้นของทางเปิดออก ร่างของฤทธิ์ร่วงลงไปในโพรงเบื้องล่างทันที ณัฐชาตกใจ
“ระวัง”
ณัฐชารีบตะครุบข้อมือเขาเอาไว้แต่กลับถูกลากลงไปด้วย ฝาของโพรงปิดกลับตามเดิม
แหลมขับรถ พามาวินหนีมาโดยมี ยักษ์ถือปืนคุมตัวนำชัยอยู่ที่เบาะหลัง
“แสบมากนะท่านนำชัย อยู่ดีไม่ว่าดี ดันอยากจะเป็นฮีโร่อยากรู้นักว่าบอสจะลงโทษท่านยังไง”
มาวินยิ้มเย้ย
“ช่วยไม่ได้นะป๊ะป๋า เกือบจะเป็นทองแผนเดียวกันอยู่แล้วไม่น่าเล้ย”
นำชัยฮึดฮัดเหมือนมีอะไรจะพูด ยักษ์ตัดสินใจดึงเทปที่ปิดปากเขาออก
“มีอะไรก็ว่ามา”
“แกคิดว่าฉันจะเสียใจงั้นเหรอกับสิ่งที่ทำลงไป ฉันจะบอกให้ ตอนนี้ฉันโล่งใจ ฉันภูมิใจ ที่ไม่ต้องเป็นทาสของพวกแกอีกแล้ว ไอ้พรายพิฆาต”
“พูดแบบนี้อยากตายใช่มั้ย”
ยักษ์เงื้อปืนขู่ นำชัยมองอย่างดุดันก่อนจะโผเข้าแย่งปืนจนลั่นปัง แหลมตกใจ
“เย้ย อย่าหันปืนมาทางนี้”
“ถ้าจะตาย ก็ตายด้วยกัน”
มาวินหลบจ้าระหวั่น
“เฮ้ยระวัง”
ยักษ์แย่งปืนกับนำชัย มันพยายามชกใส่เขาหลายหมัดเพื่อให้ปล่อยปืน แต่นำชัยก็ฮึดสู้พยายามเหนี่ยวไกยิงแบบเลือดเข้าตา
“พวกแกต้องตายให้หมด”
มาวินเห็นปืนเล็งมาที่ตน
“อย่า”
มาวินพยายามจะกดปากกระบอกปืนให้ชี้ลง แต่ไม่ทันการ กระสุนนัดนึงลั่นทะลุเข้าที่ลิ้นปี่มันอย่างจัง มาวินถึงกับตาเหลือกค้าง แหลมตะลึง
“คุณมาวิน”
นำชัยเบี่ยงปากกระบอกปืนมาที่แหลม
“เย้ย ไม่เอาแล้วโว้ย”
แหลมโดดหนีลงจากรถที่กำลังแล่น ยักษ์ร้องห้าม
“เฮ้ย...อย่าไป”
รถไม่มีคนขับแล่นเป๋เข้าหาต้นไม้ข้างทาง ยักษ์ถึงกับร้องเสียงหลง
เมธากับผู้ติดตามรีบรุดมาที่กองปราบและเจอไมตรีกับปรีดาที่ยืนรอรับหน้าอยู่ในสภาพอิดโรย
“มีอะไรคืบหน้าบ้าง”
ไมตรีรายงานเสียอ่อย
“ผู้หมวดณัฐชาหายสาบสูญไปครับ แล้วใกล้ๆกับที่เกิดเหตุ เราเจอไอ้มาวินในสภาพบาดเจ็บสาหัส”
ปรีดาเสริม
“ดูเหมือนว่ามันจะถูกยิงครับ แล้วรถที่โดยสารมาก็ประสบอุบัติเหตุ”
เมธาถามเสียงเข้ม
“แล้วของกลางล่ะ เจอยาเสพติดบ้างรึยัง”
ไมตรีกับปรีดาส่ายหน้าคอตก เมธาไม่พอใจ
“ฮึ...คว้าน้ำเหลวตามเคย...แล้วตอนนี้ผู้กองราเมศอยู่ที่ไหน”
ในห้องประชุมกองปราบ...ราเมศอยู่ในอาการตึงเครียดอย่างหนัก มือไม้ออกอาการสั่นจนต้องกุมไว้ ขณะนั้นเขาให้การกับเมธาตามลำพัง
“ไม่ใช่ความผิดของผม ณัฐชาต่างหากที่เป็นคนต้นคิด ผมว่าเธอต้องถูกไอ้นักสู้มหากาฬมันหลอกใช้แน่ๆ”
“ดูเหมือนตอนขาไป คุณจะไม่ได้พูดแบบนี้นะผู้กอง”
“ผมขอโทษครับ ผม…ผมสับสนไปหน่อย”
เมธานิ่งมอง..เริ่มดูออกว่าราเมศเครียดจัด
“เอาล่ะ คุณเหนื่อยมาพอแล้วเรื่องอื่นไว้ค่อยว่ากันทีหลัง ตอนนี้คุณไปพักผ่อนเถอะ”
“แล้วเรื่องคดีล่ะครับ”
“หัวหน้าทีมคนใหม่มาถึงแล้ว ผมจะให้เขาจัดการเรื่องนี้ต่อจากคุณ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เมธาบอก
“เชิญ”
ตำรวจผู้ติดตามเข้ามาในห้องแล้วกระซิบบอกบางอย่างกับเมธาๆพยักหน้าอนุญาต
“ให้เขาเข้ามา”
ราเมศมองไปด้วยความสงสัยว่าคนที่มาใหม่เป็นใคร สารวัตรสิงหาก้าวเข้ามาในห้อง
“กระผมร้อยตำรวจเอก สิงหา ประกาศิต ขอรายงานตัวครับ”
ราเมศรีบยืนขึ้นตามธรรมเนียม เมธาแนะนำ
“สารวัตรนี่ผู้กองราเมศ ผู้กองนี่สารวัตรสิงหา ต่อไปนี้เขาคือผู้บังคับบัญชาของคุณ”
สิงหามองมาที่ราเมศด้วยสายตาเย่อหยิ่งในตัวเองและเย้ยหยันต่อคนอื่น ราเมศหดหู่ใจเมื่อพบว่า ขาลงของตนเองมาถึงแล้ว
สุชาติเพิ่งกลับเข้ามาในบ้าน ไอริณรีบเข้าไปถาม
“คุณสุชาติ ได้ข่าวคุณพ่อรึยังคะ”
“ทางตำรวจยังไม่มีเบาะแสเลยครับ แถมดูเหมือนว่าผู้หมวดณัฐชาก็หายตัวไปเหมือนกัน”
ไอริณอึ้ง
“ณัฐชา คุณพ่อ” ไอริณทรุดนั่ง “ไม่จริงนะ ทุกคนจะต้องปลอดภัย ฉันจะไม่ยอมให้ใครทำอะไรพวกเขาเด็ดขาด”
นักสู้มหากาฬใช้ด้ามดาบของเขาเคาะผนังห้องลับ และพบว่ามันถูกก่อสร้างขึ้นอย่างแข็งแรง ณัฐชารีบถาม
“พังออกไปได้มั้ย”
“แน่นอน ถ้าคุณมีปืนใหญ่”
“ฉันถามดีๆ จะกวนประสาททำไมเนี่ย”
“ผนังเหล็กหนาแบบนี้ ยังต้องถามอีกเหรอคุณ”
นักสู้มหากาฬปลีกตัวไปนั่งบนแท่นซึ่งถูกก่อไว้เหมือนที่นอน
“ทั้งหมดนี่เป็นแผนของคุณนะ มันไม่ใช่ความผิดของฉัน”
นักสู้มหากาฬมองดูสภาพห้อง
“ที่นี่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นกับดักโดยเฉพาะ มันจงใจล่อพวกเรามาที่นี่ ก็เพราะแผนการของเรารั่วไหล”
“นี่คุณจะบอกว่ามีตำรวจเป็นสายโจรงั้นเหรอ”
“ผมไม่รู้ เรื่องนี้เราคงต้องสืบกันทีหลัง ส่วนตอนนี้พักเอาแรงก่อนเถอะ”
นักสู้มหากาฬว่าพลางเอนหลังนั่งเอกเขนก
“เฮ้ย คุณจะบ้าเหรอ ฉันอยู่ที่นี่ทั้งคืนไม่ได้นะ”
“ก็เจ้าบ้านเขาอยากให้อยู่ จะทำยังไงได้”
นักสู้มหากาฬว่าพลางมองไปที่กล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่ตรงมุมห้อง ณัฐชาแหงนหน้ามองตามไป
ในห้องบัญชาการโรงงานผลิตยายามค่ำคืน...บอสมองนักสู้มหากาฬและณัฐชาผ่านทางกล้องวงจรปิด กรณ์เข้ามาสมทบเขายิ้มพึงใจในผลงาน
“ในที่สุดเราก็ได้ตัวมันมาจนได้”
บอสหันไปถาม
“ท่านนำชัยเป็นยังไงบ้าง”
“ปลอดภัยครับ ตอนนี้ถูกขังอยู่ในเซฟเฮาส์ แต่นายมาวินท่าทางจะสาหัส”
“ช่างมัน มาเฟียอย่างมัน จะหาใครมาแทนเมื่อไหร่ก็ได้ ตอนนี้ที่เราต้องระวังก็คือพวกของมาดามหลิว...ขุนศึกของมันหายตัวไป มันต้องตามหาแน่”
“ไม่ต้องห่วงครับบอส เราจะเป็นฝ่ายรุกก่อนพวกมัน ตอนนี้ผมส่งคนไปแล้ว”
รถมอเตอร์ไซค์ของวัฒน์แล่นมาตามท้องถนน วัฒน์สวมหมวกกันน็อคปกปิดใบหน้ามิดชิดหลังสะพายกระบอกสำหรับใส่ม้วนเอกสารจริงๆ ใส่ดาบเอาไว้
มอเตอร์ไซค์ของวัฒน์แล่นเข้ามาจอดที่หน้าเมมเบอร์ เอมี่เดินออกมาต้อนรับ
“ไงที่รัก ไม่เจอกันซะนาน”
วัฒน์ถอดหมวกกันน็อคออก วัฒมองเอมี่อย่างเจ็บแค้น อกหักรักคุดจากเอมี่ในอดีต
“หัวหน้าโทร.ไปบอกฉันว่ามีงานด่วน จะให้ฉันฆ่าใคร”
อ่านต่อตอนที่ 6