นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 3
ค่ำนั้น มาดามหลิวอยู่ในห้องนอน โซเฟียกำลังช่วยแต่งตัวติดเครื่องประดับอย่างเอาอกเอาใจ
“สวยที่สุดเลยค่ะมาดาม”
“ปากหวานนะเรา เดี๋ยวนี้รู้จักโกหกด้วยเหรอ”
“เปล่านี่คะ ฉันพูดความจริงต่างหาก”
มาดามหลิวยิ้มให้โซเฟีย ก่อนที่เสียงเคาะประตูจะดังขึ้น
“เข้ามา”
ชาญเข้ามา
“ทุกอย่างพร้อมแล้วครับมาดาม”
“แล้วโทมัสล่ะ” มาดามหลิวถามทันที
โซเฟียกับชาญ เข็นรถพามาดามหลิวไปยังห้องจัดเลี้ยง พบฤทธิ์ที่ยืนรออยู่ตรงทางเดินในชุดสูทหล่อเต็มยศ มาดามหลิวพอใจ
“พร้อมรึยังคุณโทมัส”
“ครับมาดาม”
“ดี...ถ้างั้นก็ลงมือตามแผน”
แขกเหรื่อทยอยเข้าไปในงานผ่านทางห้องโถงของบริษัท โดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยใช้เครื่องแสกนอาวุธอย่างคุมเข้ม ไมตรี ปรีดารีบเข้ามาทักทายเมื่อเห็นนำชัย ไอริณ กรณ์ ราเมศ และณัฐชาเพิ่งผ่านด่านตรวจเข้ามาในงาน
“สวัสดีครับท่านนำชัย สวัสดีครับไอริณ” ไมตรียืนตรงทำความเคารพ
ปรีดาทำความเคารพตาม
“พวกผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ ที่ได้อารักขาท่านในวันนี้”
นำชัยยิ้มรับ
“ขอบใจมากคุณตำรวจ ตามสบาย”
ไมตรีหันมาเห็นณัฐชาถนัดๆ
“อุ้ย ตะลึงตึ่งโป๊ะ ผู้หมวดเหรอครับ เนี่ย ตอนแรกผมนึกว่าเป็นเพื่อนดาราของคุณไอริณซะอีก”
ปรีดาตาโต
“โอ้โหจริงด้วยครับผู้หมวด สวยจนจำแทบไม่ได้ น่าจะแต่งแบบนี้ไปทำงานทุกวันนะครับ”
ณัฐชาดุแก้เขิน
“พูดมากน่าหมู่จ่า แล้วในงานเป็นยังไงบ้าง”
ไมตรียิ้มแย้มรายงาน
“เรียบร้อยครับ เวรยามแน่นหนา”
ปรีดาเสริม
“ที่สำคัญไม่มีวี่แววของไอ้มาวินครับ”
“อย่าประมาทนะคุณตำรวจ หมาบ้าอย่างไอ้มาวิน เวลามันอยากฟัดใครขึ้นมา มันไม่คิดเรื่องเวลาหรือสถานที่หรอก” กรณ์เตือน
ราเมศมองหน้ากรณ์ ไม่พอใจนักที่เขามาวุ่นวายกับลูกน้อง กรณ์ยิ้มอย่างรู้ทัน
“ขอโทษทีผู้กอง ผมก็แค่อยากออกความเห็น”
“ขอบคุณ แต่ลูกน้องผม ผมแนะนำเองได้” ราเมศบอกกับนำชัย “ผมว่าเราเข้าไปงานกันดีกว่าครับท่าน”
นำชัยและคณะพากันเดินทางไปยังห้องจัดเลี้ยง ระหว่างทางณัฐชาแอบถามไอริณ
“นี่...ถามจริงๆเถอะไอริณ คุณอาไปได้บอดี้การ์ดคนนี้มาจากไหน”
“ไม่รู้สิ อยู่ๆก็โผล่มา ขนาดฉันยังไม่รู้มาก่อนเลยนะว่าพ่อจะมีหัวหน้าองครักษ์คนใหม่...แต่บอกตามตรงนะ ฉันไม่ชอบหมอนี่เลย ท่าทางเจ้าเล่ห์ยังไงชอบกล”
กรณ์ซึ่งเดินนำหน้าสองสาวอยู่เหลือบมองมาอย่างได้ยินเสียงคนทั้งคู่ แต่ก็ยิ้มๆไม่ว่าอะไร ไอริณกับณัฐชายิ่งรู้สึกไม่ดี
แขกที่มาร่วมงาน ปรบมือด้วยความตื่นตากับภาพจำลองของมาดามหลิวที่ถูกเนรมิตขึ้นด้วยการฉายแสงเลเซ่อร์ ในภาพนั้นเธอกำลังยืนเหมือนคนปกติทุกอย่าง
“ขอต้อนรับเข้าสู่อาณาจักรของบลูฟินิกซ์ฟาร์ม่า บริษัทผลิตยาชั้นนำที่ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี ด้วยปณิธานที่มุ่งมั่นและคำนึงถึงคุณค่าแห่งชีวิต บริษัทของเราจึงได้คิดค้น และพัฒนาสูตรยาต่างๆด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค จนสามารถยกระดับอุตสาหกรรมการผลิตยาภายในประเทศให้ได้มาตรฐานสากล”
ราเมศซึ่งยืนรวมกลุ่มกับท่านนำชัย หันไปถามณัฐชาที่อยู่ใกล้ๆ
“คุณจำเธอได้รึเปล่า”
ณัฐชานิ่งคิด แล้วตอบ...
“เหยื่อของพรายพิฆาต”
ราเมศพยักหน้า
“ฆ่าล้างตระกูล”
ณัฐชาอดสลดใจไม่ได้เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น
“นี่แปลว่าพรายพิฆาตไว้ชีวิตเธองั้นเหรอคะ”
“พวกมันไม่เคยให้บทลงโทษใครซ้ำสอง โดยเฉพาะกับเหยื่อที่เป็นผู้หญิง”
กรณ์ ยืนมองมาดามหลิวพลางจิบเครื่องดื่มในมืออย่างเฉยชา...มาดามหลิวกล่าวสรุปของการเปิดงาน
“ท่านผู้มีเกียรติคะ ดิฉันขอสัญญาว่า บลูฟินิกซ์ ฟาร์ม่าและดิฉันจะอยู่รับใช้สังคมนี้ด้วยความซื่อสัตย์ไปอีกนานเท่านาน หรือจนกว่า โลกใบนี้จะไม่รู้จักกับการป่วยไข้และความตายอีกต่อไป”
ภาพจำลองของมาดามหลิวยิ้มให้กับแขกเหรื่อในงาน เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่ภาพจำลองของมาดามหลิวจะหายไป มาดามหลิวตัวจริงปรากฏขึ้นโดยมีฤทธิ์ทำหน้าที่เข็นรถเข็นให้เธอ มาดามหลิวพูดกับไมโครโฟน
“และเนื่องในโอกาสที่บริษัทครบรอบ 30 ปี ดิฉัน จึงมีความยินดีที่จะแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จักกับรองประธานกรรมการบริหารคนใหม่ของเรา หลานชายบุญธรรมของดิฉัน มิสเตอร์โทมัสหลิวค่ะ”
เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้งอย่างต่อเนื่อง ฤทธิ์ก้มศีรษะคำนับและยิ้มให้กับทุกคนท่ามกลางแสงแฟลชวูบวาบจากกล้องถ่ายรูปของนักข่าว กรณ์อดไม่ได้ที่มองฤทธิ์อย่างตื่นตะลึง เขารู้มาก่อนว่ามีคนหน้าเหมือนฤทธิ์ แต่ไม่คิดว่าเหมือนขนาดนี้
“คนนี้ไงคะพ่อที่ช่วยไอริณกับณัฐชาเอาไว้” ไอริณบอกกับนำชัย
“หน้าตาไม่เลว แต่แปลกนะพ่อไม่รู้มาก่อนเลยว่า มาดามหลิวมีหลานชาย”
รถมอเตอร์ไซด์สี่คัน แล่นมาอย่างรวดเร็วบนท้องถนน ใกล้ๆบริษัทมาดามหลิว คนขับใส่หน้ากากยางเป็นตัวตลกต่างๆ ส่งเสียงโห่ร้องด้วยความคึกคะนอง ทุกคนมุ่งหน้าไปยังอาคารบริษัทของมาดามหลิว
โซเฟียเข็นรถเข็นพามาดามหลิวทักทายแขกในงาน โดยมาดามหลิวคอยแนะนำฤทธิ์ในฐานะของนายโทมัส มาตลอดทาง นำชัยยิ้มแย้มทักทาย
“ขอแสดงความยินดีด้วยครับมาดาม ได้ยินว่าบริษัทของคุณตอนนี้ใหญ่ติดอันดับหนึ่งในห้าของเอเชีย น่าภูมิใจจริงๆ”
“ดิฉันก็อยากให้คนไทยทุกคนรู้สึกเช่นนั้นค่ะท่าน เอ่อแล้วนี่...”
มาดามหลิวกำลังจะแนะนำฤทธิ์ แต่นำชัยก็ชิงดักคอซะก่อน
“โทมัส หลิว” นำชัยยื่นมือไปให้ฤทธิ์ “ทายาทคนเก่งของบลูฟินิกซ์ฟาร์ม่า แถมเป็นฮีโร่
ที่ช่วยลูกสาวของผมไว้อีกด้วย”
ฤทธิ์จับมือ
“ด้วยความยินดีครับท่าน รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้เจอครับ”
“ผมต่างหากที่ต้องพูดประโยคนั้น ไอริณชื่นชมคุณมาก”
ฤทธิ์ยิ้มรับก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินเสียงของกรณ์
“ผมก็เช่นกันครับคุณโทมัส”
ฤทธิ์ตะลึงเพราะไม่คิดว่าจะเจอกับกรณ์ที่นี่ กรณ์ก้มศีรษะพอเป็นพิธี
“มาดาม...คุณโทมัส”
ไอริณเห็นฤทธิ์มองกรณ์ จึงแนะนำ
“นี่คุณกรณ์ องครักษ์คนใหม่ของคุณพ่อค่ะ เพิ่งมารับหน้าที่สดๆร้อนๆหลังจากเกิดเรื่อง”กรณ์มองหน้าฤทธิ์
“เรื่องของคุณผมฟังแล้วรู้สึกทึ่งมาก คุณคนเดียว สู้กับคนร้ายตั้งเกือบสิบคนได้ยังไง”
ฤทธิ์แสร้งยิ้ม
“ผมโชคดี ไม่อย่างนั้นผมคงตายไปแล้ว”
“เก่งขนาดนี้ ตอนแรกผมนึกว่าคุณเป็นพวกหน่วยรบพิเศษซะอีก”
“เปล่า แต่ผมเคยเรียนการต่อสู้มานิดหน่อยตอนอยู่เมืองนอก”
กรณ์มองฤทธิ์อย่างจับผิด ขณะที่ฤทธิ์ยิ้มรับอย่างใจเย็น ส่วนมาดามหลิวก็เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของฤทธิ์
อีกมุมหนึ่ง ราเมศบอกกับณัฐชายืนอยู่ด้วยกัน ณัฐชาที่กำลังหิว สนุกสนานกับการเลือกจิ้มอาหารเข้าปาก
“เตรียมตัวให้พร้อมนะผู้หมวด”
ณัฐชาเคี้ยวตุ้ยๆ
“มีอะไรเหรอคะผู้กอง”
“เดี๋ยวพอคุณโทมัสทักทายแขกเสร็จเมื่อไหร่ คุณต้องไปขอโทษเขาเรื่องคราวก่อน”
ณัฐชาติดคอ
“เอาจริงเหรอคะผู้กอง”
“อุตส่าห์ถ่อมาถึงนี่ คุณคิดว่าผมล้อเล่นหรือไง”
ณัฐชาหน้าสลด กลืนอาหารลงคออย่างยากเย็น
รถส่งสินค้าคันหนึ่งแล่นมาจอดที่ป้อมยาม คนขับบอกกับยาม
“ส่งห้องจัดเลี้ยงครับ”
ยามย่นหน้าเมื่อเห็นว่าทั้งคนขับรถและเด็กส่งของ แต่งชุดคอสเพลย์เหมือนตัวตลก
“ฮึย แต่งอะไรกันเนี่ย”
“มันเป็นนโยบายของทางบริษัทครับพี่ ร.ป.ภ.”
เด็กส่งของเสริม
“ความสุขของท่านคือบริการของเรา”
ยามส่ายหน้าเซ็งๆ ก่อนจะลงมือตรวจท้ายรถและพบว่ามีกล่องหลายใบ คนขับรถกับเด็กส่งของมองหน้ากันอย่างมีพิรุธ ยามตรวจเช็กของในกล่องเมื่อเปิดดูก็พบว่าเป็นของกิน จึงเคาะรถเบาๆ แล้วโบกมือให้คนขับนำรถเข้าไป
ฤทธิ์ปลีกตัวออกมายืนพักสติตามลำพัง บริเวณระเบียงชมวิวของห้องจัดเลี้ยง การเผชิญหน้ากับกรณ์ทำให้จิตใจของเขาปั่นป่วนไปด้วยความแค้น ทั้งเรื่องที่เขาถูกหักหลัง และเรื่องที่ใจทิพย์ถูกฆ่า สิ่งที่เขาได้คุยกับมาดามหลิวก่อนหน้านี้แว่บเข้ามา
“ฟังฉันให้ดีนะโทมัส แขกที่ฉันเชิญมาวันนี้ มีหลายคนที่ฉันสงสัยว่าเป็นพรายพิฆาต ดังนั้นเธออาจจะได้เจอกับศัตรูเก่าบางคน แต่งานนี้สิ่งที่เราต้องการก็คือสอดแนม ไม่ใช่ล้างแค้น”
“แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง”
“อดทน เธอต้องอดทนเข้าไว้”
ทันใดนั้นใครบางคนเอาแก้วเครื่องดื่มมาชนกับแก้วที่ฤทธิ์ถืออยู่ในมือ จนทำให้เขาได้สติก่อนจะพบว่าคนๆนั้นคือไอริณ
“ไอริณ”
“เห็นคุณยืนคิดอะไรอยู่ตั้งนาน มีเรื่องไม่สบายใจเหรอคะ”
“ครับ ผมกำลังเสียดายที่งานนี้ไม่มีฟลอร์ให้เต้นรำไม่งั้นคงต้องขอโอกาสจากคุณสักเพลง”
“คุณชอบเต้นรำเหรอ”
ฤทธิ์ยิ้ม
“ผมก็แค่อยากอยู่ใกล้ๆคุณ แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง”
ไอริณยิ้มก่อนจะขยับมาท่ายืนมาใกล้ฤทธิ์มากขึ้น ท่าทางดูยั่วเย้าสมกับที่เป็นดาราชื่อดัง
“ฉันให้โอกาสคนดีๆเสมอค่ะคุณโทมัส โดยเฉพาะคนที่ช่วยชีวิตฉันเอาไว้”
“ขอเตือนไว้ก่อนนะ ผมช่วยคุณก็จริง แต่ผมอาจไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่”
“งั้นเหรอคะ”
“คนดี ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน แต่นี่ผม…” ฤทธิ์มองริมฝีปากไอริณ “ผมต้องการ”
ฤทธิ์สบตากับไอริณอย่างมีความหมาย บรรยากาศชวนให้ไอริณเตรียมมอบจุมพิตเป็นรางวัลแก่ชายหนุ่ม ก่อนที่เสียงกระแอมของณัฐชาจะดังขึ้นแบบจงใจขัดจังหวะ
“อะแฮ่ม”
ไอริณชะงัก
“ณัฐชา”
“ผู้กองให้ฉันมาคุยธุระกับคุณโทมัส”
ไอริณยิ้มขำเพราะรู้ว่าเรื่องอะไร
“อ้อ...ถ้างั้น ฉันขอตัวสักครู่นะคะ ณัฐชาจะได้ไม่เขิน ตอนคุยธุระสำคัญ”
ไอริณปลีกตัวไปขำๆ ทิ้งให้ฤทธิ์อยู่กับณัฐชาตามลำพัง
“เรื่องที่ฉันเข้าใจคุณผิด ฉันขอโทษ”
ฤทธิ์ชะเง้อ
“นี่มีใครเอาปืนจ่อหลังคุณอยู่รึเปล่า”
“ทำไมล่ะ”
“ก็หน้าตาคุณ ดูเต็มใจมากเลยนะ”
ณัฐชาจะไป
“เอาเหอะน่า สรุปว่าฉันขอโทษแล้วละกัน”
“แต่คุณไม่เชื่อ ว่าผมผู้บริสุทธิ์"
ณัฐชาหันมา
“ใช่ ฉันไม่เชื่อคุณ ฉันมั่นใจว่าคุณต้องรู้จักกับใจทิพย์และคุณก็ไม่ใช่คนดี”
“คุณมีหลักฐานอะไร นอกจากหน้าผมที่เหมือนกับคนชื่อฤทธิ์”
“ฉันเป็นตำรวจ สัญชาติญาณมันบอกฉัน” เธอเข้ามาใกล้เขา “ขอเตือนคุณไว้ก่อน อยู่ห่างๆไอริณเข้าไว้ ฉันเสียใจทิพย์ไปคนนึงแล้ว และฉันจะไม่ยอมเสียไอริณไปอีกคนแน่”
ท่าทางเอาจริงของณัฐชา ทำให้ฤทธิ์รู้สึกประทับใจว่าหญิงสาวคนนี้แกร่งกล้ากว่าที่คิด เขายิ้มชูแก้วเครื่องดื่มในมือ และดื่มให้กับความห้าวของเธอ มาดของเขากวนประสาทณัฐชาเป็นอย่างยิ่ง
รถส่งสินค้ามาจอดที่อาคารจอดรถ เด็กส่งของรีบปีนขึ้นไปหยิบกล่องสินค้าที่อยู่ท้ายรถมาสองกล่อง โดยเลือกกล่องที่หลบมุมอยู่ด้านใน คนขับรถกับเด็กส่งของถือกล่องเข้าไปในอาคารมุ่งหน้าไปยังห้องจัดเลี้ยง
ยามตรงป้อมถึงกับแตกตื่นเมื่อเห็นแก๊งรถมอเตอร์ไซด์สวมหน้ากากบุกเข้ามาในบริษัท และขับรถวนเวียนอยู่ที่ลานหน้าอาคารด้วยความคึกคะนอง ยามวิ่งออกมา
“เฮ้ยอะไรกันวะ”
มอเตอร์ไซด์คันที่รั้งท้ายขบวนแล่นโฉบมาคว้าหมวกของยามไป ยามเริ่มเห็นท่าไม่ดีก็คว้าวิทยุมาแจ้งเหตุ
“ฉุกเฉิน ขอกำลังเสริมที่ทางเข้าหมายเลขหนึ่งขอย้ำ เกิดเหตุฉุกเฉิน”
ชาญนำทีม ร.ป.ภ.ลงลิฟต์ไปยังชั้นล่างเพื่อระงับเหตุร้าย คล้อยหลังได้ไม่นาน คนขับรถส่งของกับเด็กส่งของก็หอบลังสินค้าโผล่มาทางลิฟต์อีกตัว และมุ่งหน้าไปยังห้องจัดเลี้ยง
มาดามหลิวรู้สึกผิดสังเกตจึงหันมาถามโซเฟีย
“มีเรื่องอะไรกันรึเปล่าโซเฟีย”
“พวกป่วนเมืองค่ะ ชาญลงไปจัดการแล้ว คงไม่มีปัญหาอะไร”
โซเฟียพูดไม่ทันขาดคำ คนขับรถส่งของกับเด็กส่งของก็หอบลังมาถึง ทั้งสองหยิบปืนกลเล็กออกจากลัง
“พรายพิฆาตจงเจริญ”
ทั้งคู่กราดยิงปืนกลเข้าในงานเลี้ยง ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นความโกลาหลไปทันที ราเมศ รีบชักปืนแล้วหันไปสั่งไมตรี กับปรีดา
“คุ้มกันท่านนำชัยกับคุณไอริณ”
ไมตรีกับปรีดาพาไอริณกับนำชัยหลบเข้าที่กำบัง ขณะที่กรณ์ปักหลักช่วยราเมศยิงคุ้มกัน ไอริณหันไปถามนำชัย
“พรายพิฆาต พวกมันทำแบบนี้ทำไมคะพ่อ”
กรณ์พูดขึ้น
“พวกมันไม่ใช่พรายพิฆาต มันเป็นตัวปลอม”
ราเมศสงสัย
“คุณรู้ได้ยังไง”
“พวกมันกราดยิงเปะปะ แสดงว่าต้องการแค่ก่อกวน คุณคิดว่าพรายพิฆาตจะเสียเวลามาทำเรื่องแบบนี้เหรอ”
ราเมศชะงักอย่างเอะใจตามคำพูดกรณ์ เห็นคนร้ายมีเจตนากราดยิงแบบไม่หวังชีวิตใคร ฤทธิ์และณัฐชาเพิ่งกลับเข้ามาในงานและเห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้น โดยขณะนั้นราเมศ ไมตรี ปรีดากำลังยิงตอบโต้กับคนร้าย ราเมศตะโกนบอก
“ณัฐชา ระวัง”
ณัฐชาหน้าตื่น
“อะไรกันเนี่ย”
“พรายพิฆาตจงเจริญ”
เด็กส่งของกราดยิงใส่ฤทธิ์กับณัฐชาเพราะคิดว่าจะโดนจู่โจม
“ผู้หมวดหลบ”
ฤทธิ์รวบตัวณัฐชาหลบทางกระสุนไปฉิวเฉียด ณัฐชาควักปืนพกออกมายิงถูกเด็กส่งของจนบาดเจ็บ คนขับรถส่งของเห็นเข้าก็กราดยิงไปรอบๆ ก่อนจะสั่งการ
“ถอย”
คนขับรถหิ้วปีกเด็กส่งของ แล้วช่วยกันกราดยิงไปรอบๆเพื่อข่มขู่และเปิดทางหลบหนี ราเมศฉวยโอกาสนั้นยิงใส่เด็กส่งของจนตาย คนขับรถจึงต้องวิ่งหนีไปตามลำพัง มันกราดยิงขึ้นฟ้าเป็นระยะขณะหลบหนี ณัฐชาโกรธจัด
“ไอ้พวกสารเลว”
พวกคนร้ายขี่มอเตอร์ไซด์วนเวียนอยู่ที่ลานหน้าบริษัท โดยไม่ได้ทำอันตรายใคร คล้ายพวกวัยรุ่นอยากโชว์ลีลายกล้อ อวดกำลังเครื่องยนต์ให้ชาวบ้านเห็น ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มกลบเสียงอื่นจนหมด ชาญ ยาม และทีม ร.ป.ภ. ได้แต่ยืนพร้อมรอรับมือ
“นี่พวกมันจะเอายังไงกันแน่ กวนประสาทอยู่ได้”
เสียงปืนกลดังขึ้น ชาญกับทุกคนผงะหาที่กำบัง คนขับรถวิ่งออกมาจากอาคาร ชาญได้สติรีบชักปืนยิงใส่คนขับรถเข้าที่ขา มันหันมายิงตอบโต้ก่อนจะโดดซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งหนีไปทันที
“ไป...ไป”
แก๊งมอเตอร์ไซด์หนีจากไป ณัฐชาตามออกมาที่หน้าอาคารแล้วยกปืนเล็งไล่หลัง ทว่าก็หาจังหวะยิงไม่ได้
“โธ่เว้ย”
ณัฐชาเหลือบไปเห็นรถกระบะเก่าๆคันนึง ติดป้ายมูลนิธิเพื่อคนยากไร้ รับบริจาคเสื้อผ้า อาหาร และยารักษาโรค คนขับรถเป็นคนแก่กำลังนั่งตะลึงอยู่ ณัฐชาชูบัตร
“ลุง ฉันเป็นตำรวจ ขอยืมรถหน่อย”
ราเมศเพิ่งตามออกมาและเห็นณัฐชากำลังขับรถส่งสินค้าตามคนร้ายไป
“ณัฐชา...ณัฐชา”
ฤทธิ์มาส่งโซเฟีย ชาญ และมาดามหลิวที่หน้าลิฟต์
“พามาดามหลิวไปข้างบน”
ชาญหันมาถาม
“แล้วคุณจะไปไหน”
“ผมต้องจัดการพวกมัน”
โซเฟียขัดขึ้น
“พวกมันไม่ใช่พรายพิฆาต ให้ตำรวจจัดการเถอะ”
ฤทธิ์สบตากับมาดามหลิว อีกฝ่ายเหมือนจะพยักหน้านิดนึงอย่างจำยอม ฤทธิ์รีบผละไปทันที ประตูลิฟต์ปิดลง แต่แล้วเขาก็เจอกับกรณ์ที่จับตาดูอยู่ ฤทธิ์ปลีกตัว กรณ์มองตาม
ณัฐชาขับรถไล่ตามขบวนรถมอเตอร์ไซด์เข้าไปใกล้มากขึ้นทุกขณะ
“เดี๋ยวก็รู้ว่าพรายพิฆาตของจริงหรือว่าของเก๊”
ขณะเดียวกันพวกคนร้ายก็เริ่มรู้ตัวว่ามีคนขับรถตามมา สักพักก็เห็นรถของณัฐชาแล่นมาตีขนาบ ณัฐชาเล็งปืนใส่พวกมัน
“นี่ตำรวจ จอดรถ”
มอเตอร์ไซด์คันที่อยู่ใกล้ณัฐชาเหวี่ยงไม้เบสบอลใส่กระจกหน้ารถเธอจนร้าว อารามตกใจรถของณัฐชาแล่นเป๋ไป เธอรีบคว้าพวงมาลัยจนปืนหลุดจากมือ
“ฮึย ให้มันได้แบบนี้สิ”
พวกคนร้ายเริ่มกระจายกำลังกันล้อมรถของณัฐชาเอาไว้ ก่อนจะระดมหวดไม้เบสบอลใส่รถเป็นการใหญ่ กระจกซ้ายขวาหน้าหลังกระจกหูช้างพังยับ ณัฐชาโกรธมาก
“ไอ้พวกหมาหมู่ อย่าอยู่เลย”
ณัฐชาเหวี่ยงพวงมาลัยพยายามเบียดรถใส่รถคนร้าย มันโดนกระแทกเสียจังหวะนิดหนึ่งก่อนจะฉากหนีไปราวกับแมลง ฝูงรถมอเตอร์ไซด์ของคนร้ายแล่นฉวัดเฉวียนมากขึ้นเพื่อให้ณัฐชายิ่งลำบากในการรับมือ พวกมันบางคนฟาดไม้เบสบอลใส่รถของณัฐชาโครมๆ ขณะที่บางคนก็แทงไม้เข้ามาในรถจนเกือบถูกณัฐชา
“ไอ้พวกบ้า”
ณัฐชาพยายามปาดรถซ้ายขวาไปมา แต่ก็ทำอะไรพวกมันไม่ได้ สักครู่มอเตอร์โซด์คันจ่าฝูงก็โบกมือให้สมุนแล่นแซงณัฐชาไป
“กลับมาก่อนสิวะ อย่าเพิ่งหนี”
คนขับรถที่นั่งซ้อนมอเตอร์ไซด์อยู่เหลียวมามองรถณัฐชา ก่อนจะหันมากราดยิงปืนกลเล็กเข้าใส่อย่างจัง ณัฐชากรีดร้องด้วยความตกใจรถของเธอเสียจังหวะแล่นไปชนกับต้นไม้ข้างทางกลุ่มคนร้ายพากันจอดรถมอเตอร์ไซด์ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างแน่นิ่งก็ย่ามใจ
“นังตำรวจนี่ฆ่าพวกเราไปคนนึง”
สมุนแค้นมาก
“ถ้างั้นต้องเอาคืนโว้ย”
กลุ่มคนร้ายออกรถย้อนกลับมาหาณัฐชาที่กำลังสะลึมสะลือใกล้หมดสติ เธอควานหาปืนที่หล่นอยู่ก่อนจะกระเสือกกระสนลงจากรถอย่างยากเย็น มอเตอร์ไซด์คันนึงแล่นนำหน้าเพื่อน ก่อนจะเงื้อไม้เบสบอลขึ้นหมายฟาด ณัฐชานั่งพิงรถพยายามเล็งปืนใส่มัน แต่แรงกระแทกทำให้ตาเธอพร่าเลือน เลือดจากแผลที่หน้าผากไหลเปื้อนบังสายตา จนไม่สามารถมองเห็นเป้าหมายได้ถนัด
ทันใดนั้นเองเสียงมอเตอร์ไซด์อีกคันก็แว่วมา เสียงดังกระหึ่มราวกับเสียงคำรามของมัจจุราช มันกระโจนข้ามหัวณัฐชาไป มุ่งหน้าไปปะทะกับเหล่าร้าย ดาบถูกชักจากซองพก ปุ่มสปริงถูกกดเพื่อยิงใบดาบออกจากด้าม ใบดาบพุ่งไปทะลวงอกคนร้ายที่กำลังเงื้อไม้เบสบอลอย่างรวดเร็ว ณัฐชาตะลึง
“มือสังหารชุดดำ”
นักสู้มหากาฬกระชากข้อมือ ร่างคนร้ายที่ถูกดาบทะลวงอกโดนเหวี่ยงไปชนกับรถของเพื่อนในกลุ่มจนล้มไปด้วยกัน แก๊งค์มอเตอร์ไซด์หันมาถามคนขับรถ
“มันเป็นใครวะ”
คนขับรถหวาดๆ
“มันตรงมาแล้ว”
“มันไม่กล้าชนหรอก ไม่มีทาง”
หัวโจกของกลุ่มพูดเสร็จก็เร่งเครื่องพุ่งเข้าหาอีกฝ่าย ขณะที่นักสู้มหากาฬก็เร่งเครื่องไม่คิดหลบเช่นกัน คนขับรถกราดยิงปืนใส่นักสู้มหากาฬอย่างบ้าคลั่ง นักสู้มหากาฬ เห็นลูกไฟจากกระสุนที่พุ่งเข้ามาและสามารถโยกหลบไปได้อย่างรวดเร็ว รถของคนร้ายกับนักสู้มหากาฬแล่นสวนกัน ฤทธิ์ในคาบนักสู้มหาการตวัดดาบปาดใส่คนร้ายคันที่สามอย่างรวดเร็ว เลือดกระเซ็นสาดจึงเหลือเพียงรถคันสุดท้ายที่มีคนขับรถซ้อนท้ายอยู่ คนขับรถหน้าตื่น
“อยู่ไม่ได้แล้วโว้ย เผ่นเร็ว”
รถมอเตอร์ไซด์แล่นจากไปอย่างรวดเร็ว นักสู้มหากาฬเก็บดาบก่อนจะคว้าปืนพกออกมาเล็งตามหลัง รถมอเตอร์ไซด์คนร้ายเร่งเครื่องหนีสุดชีวิต ขณะที่นักสู้มหากาฬเล็งปืนอย่างใจเย็น ระยะห่างร่วมๆ เกือบร้อยเมตร นักสู้มหากาฬเหนี่ยวไกยิงไปสองนัด ก่อนจะควงปืนเก็บเข้าซองโดยไม่สนใจอะไรอีก สักครู่ก็ได้ยินเสียงระเบิดดังตูมจากทิศทางที่คนร้ายหนีไป
นักสู้มหากาฬขับรถมาจอด แล้วเดินมาตรงหน้าณัฐชาที่เล็งปืนส่ายไปมาด้วยความอ่อนแรง
“นาย…นาย…”
ฤทธิ์คว้าปืนของณัฐชา
“พักผ่อนซะผู้หมวด แล้วผมจะพาคุณไปส่ง”
ณัฐชาอ่อนแรงเต็มที เธอค่อยๆหมดสติไป
ภัตตาคารจีนยามดึกปราศจากลูกค้า มาวินหัวเราะสะใจเมื่อทราบรายงานข่าวจากแหลม
“ฮ่าๆ สุดยอดโว้ยไอ้แหลม เอ็งนี่มันแน่จริงๆ สั่งอะไรได้ตามนั้นทุกอย่าง งานนี้พวกเราลอยชายส่วนพรายพิฆาตกลายเป็นแพะรับบาป”
“แหะๆ ระดับผมไม่เคยพลาดอยู่แล้วครับคุณมาวิน เอ่อ...แต่ว่ามันจะดีเหรอครับ ที่พวกเราสวมรอยเป็นพรายพิฆาตแบบนี้ ถ้าเกิดพวกมันเอาเรื่องขึ้นมา...”
แหลมยังพูดไม่จบ มาวินแทรกขึ้น
“เฮ้ย เหลวไหล พรายพิฆาตมีจริงที่ไหนกันวะ มันก็แค่นิทานหลอกเด็กเท่านั้นเอง เอ็งอย่าปอดแหกไปหน่อยเลย”
มาวินพูดไม่ทันขาดคำระบบไฟในภัตตาคารก็ดับวูบลง ก่อนที่ไฟฉุกเฉินจะทำงานพร้อมกับเสียงหัวเราะของบอส
“ฮ่าๆ นิทานหลอกเด็กส่วนใหญ่ ก็มีเขาโครงมาจากเรื่องจริง ไม่เคยรู้หรือไง คุณมาวิน”
มาวินหน้าตื่น
“ใครวะ นั่นใคร”
“พรายพิฆาต...ฮ่าๆ”
เสียงหัวเราะของบอสสั่นสะเทือนราวกับภูตผี แหลมตื่นกลัว
“คุณมาวิน พวกเราซวยแว้ว”
“ฮึย...จะกลัวทำไมวะ มันเป็นคน ไม่ใช่ผี”
มาวินตะโกน
“แน่จริงก็โผล่หัวออกมาสิโว้ย ไอ้พรายพิฆาต”
เสียงหัวเราะยังคงกึกก้องต่อไป มาวินมองไปทางไหนก็ไม่เจอตัวมันซักที จนมันเริ่มหวาดหวั่น
“ไอ้แหลม”
“ครับคุณมาวิน”
“เอ็งกับสมุนคอยเฝ้าข้างล่าง ข้าจะไปตั้งหลักที่ออฟฟิศ”
“อ้าว...แล้วไหนบอกไม่กลัว”
“ไม่กลัว แต่ไม่เสี่ยงโว้ย”
มาวินผลุนผลันเข้ามาในออฟฟิศแล้วรีบล็อกประตูอย่างแน่นหนา ก่อนจะคว้าปืนลูกซองที่ซ่อนไว้ขึ้นมาบรรจุกระสุนจนเต็มพิกัด
“ไอ้พรายพิฆาต แน่จริงก็บุกเข้ามาสิวะ เข้ามาเลย”
มาวินเล็งปืนไปที่ประตูอย่างลุ้นรอ บอสตะปบกลไกที่ข้อมือ ดาบซึ่งซ่อนอยู่ดีดผึงออกมา
มาวินสะดุ้งจะหันไปทางด้านหลัง แต่แล้วมือของบอสข้างนึงก็คว้าปืนมันเอาไว้ ส่วนอีกข้างก็จ่อดาบเข้าที่คอ บอสยื่นหน้ามาข้างๆหู มาวินตะลึง
“พ...พ…พรายพิฆาต”
“ไม่เคยมีใครกล้าลองดีกับพรายพิฆาตแบบนี้มาก่อน แกบังอาจมาก ไอ้มาวิน”
มาวินกลัวรนราน
“ช...ฉันผิดไปแล้ว ยกโทษให้ฉันด้วย”
“พรายพิฆาต ไม่เคยไว้ชีวิตใครนอกจากสาวก กับสหาย”
“ได้ๆ ฉันเป็น…เป็นได้ทุกอย่างเป็นเพื่อน เป็นสาวก เป็นทาสของพวกแกก็ได้ แต่อย่าฆ่าฉันเลย”
“ฉันมีข้อเสนอที่ดีกว่านั้น ถ้าแกยอมรับ แกจะได้ทุกอย่าง แม้แต่ความเป็นนายใหญ่ในองค์กรของแก”
มาวินกลอกตามองบอสอย่างสนใจ ภายใต้เสื้อแจ็คเก็ตที่มีฮู้ดคลุมศีรษะนั้น ดวงตาของบอสเรืองแสงวาววับอยู่ในความมืดราวกับปีศาจ ที่จริงแล้วบอสสวมหน้ากาก แสงที่เห็นเกิดจากระบบอินฟาเรดที่สามารถมองเห็นในที่มืด
ถนนซึ่งนักสู้มหากาฬปะทะกับแก๊งมอเตอร์ไซด์ มีซากชิ้นส่วนมอเตอร์ไซด์บางคันยังมีไฟลุกอยู่ ราเมศยืนกวาดตามองที่เกิดเหตุอย่างเคร่งเครียด ก่อนที่ไมตรีจะเข้ามารายงาน
“พวกคนร้ายตายเกลี้ยงครับผู้กอง แต่ไม่พบเบาะแสของผู้หมวดณัฐชา”
ปรีดาเข้ามารายงานอีกคน
“โทรศัพท์มือถือก็เช็กตำแหน่งไม่ได้ครับ ดูเหมือนจะว่าจะปิดเครื่อง”
ราเมศกังวล
“ณัฐชา”
ในห้องนอนที่คอนโดของณัฐชา กรอบรูปถ่ายที่ณัฐชาถ่ายกับไอริณและใจทิพย์แขวนอยู่ที่ผนังห้อง ณัฐชานอนหลับอยู่บนเตียงเริ่มรู้สึกตัว เธอปรือตาขึ้นมองเห็นโทรศัพท์มือถือของเธอถูกถอดซิมการ์ดออก มันวางอยู่ข้างๆปืนของเธอบนโต๊ะ และเมื่อมองไล่ถัดมาก็เห็นนักสู้มหากาฬนั่งเฝ้าอาการเธออยู่ ณัฐชาตกใจรีบพุ่งไปคว้าปืน แต่ทว่ากลับคว้าไม่ถึงเพราะข้อมืออีกข้างของเธอถูกกุญแจมือล่ามไว้กับเตียง
“โธ่เว้ย”
“คุณก็รู้ว่าปืนทำอะไรผมไม่ได้”
“ฉันเป็นตำรวจ หน้าที่ของฉันคือการจับคนร้าย”
“ผมช่วยชีวิตคุณ พรายพิฆาตต่างหากที่เป็นคนร้าย”
ณัฐชาจ้องหน้าเขา
“นายต้องการอะไรกันแน่”
ฤทธิ์หันมา
“แนวร่วม ใครสักคนที่มีความสามารถ ใครสักคนที่ผมไว้ใจ คนที่ยอมช่วยผมกวาดล้างพวกมัน”
“แล้วนายรู้ได้ยังไง ว่าฉันไว้ใจได้”
“ผมรู้จักคุณ ผมเคยได้ยินเรื่องของคุณมาก่อน”
“จากไหน”
“คุณไม่จำเป็นต้องรู้”
นักสู้มหากาฬเดินมาหยิบซิมใส่เข้าโทรศัพท์ของณัฐชาตามเดิม ก่อนจะกดปุ่มเปิดเครื่องแล้วส่งคืนให้
“ผมเมมเบอร์ไว้ในเครื่องของคุณ ติดต่อผมทันทีที่พร้อมแต่จำไว้ ห้ามบอกตำรวจคนอื่นเด็ดขาด”
“ทำไม”
“พรายพิฆาตมีอยู่ทุกที่ ยิ่งรู้น้อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งปลอดภัย”
ณัฐชาครุ่นคิด วินาทีนั้นนักสู้มหากาฬก็ผละจากไป
“เดี๋ยวก่อน...เดี๋ยว”
นักสู้มหากาฬออกไปจากห้อง ณัฐชายื้อยุดกับกุญแจมืออึดใจหนึ่ง ก็นึกอะไรขึ้นได้ เธอควานมือลงไปที่ใต้เตียงแล้วชักปืนสำรองที่ซ่อนไว้ออกมายิงใส่กุญแจมือจนขาด
ณัฐชาถือปืนวิ่งตามนักสู้มหากาฬมาถึงหน้าลิฟต์ แต่พอมาถึงก็เห็นประตูลิฟต์เพิ่งปิดไปไว เธอเจ็บใจ
“ฮึย”
ณัฐชามองไปที่บันไดหนีไฟ
ณัฐชาทั้งวิ่ง ทั้งโดดลงจากบันไดทั้งๆที่ไม่ได้สวมรองเท้า เธอเสียหลักหน้าเบ้ไปในจังหวะหนึ่งด้วยความระบม
“อูย...ขาฉัน โอ้ย”
ณัฐชากัดฟันวิ่งกะโผลกกะเผลกต่อไป
ณัฐชาถือปืนวิ่งออกมาหน้าอาคาร เมื่อมองลงไปก็เห็นนักสู้มหากาฬขับรถมอเตอร์ไซด์แล่นไปจากคอนโดแล้ว เธอถอนใจเซ็ง
“ไม่ทันจนได้”
ณัฐชาได้แต่หายใจหอบด้วยความเหนื่อยอ่อน
กรณ์ยืนจิบเครื่องดื่มอยู่อย่างใช้ความคิดที่สระว่ายน้ำบ้านนำชัย ก่อนที่ท่านนำชัยจะตามออกมาต่อว่า
“ทำไมถึงไม่บอกผมก่อนว่าพรายพิฆาตจะลงมือ ทำแบบนี้ผมกับลูกต้องเสี่ยงแค่ไหน คุณรู้รึเปล่า”
“ใจเย็นๆ ท่านนำชัย พวกมันไม่ใช่พรายพิฆาต”
“แล้วพวกมันเป็นใคร”
“ผมไม่สน เพราะบอสบอกว่าพวกมันตายหมดแล้วแต่ปัญหาก็คือคนที่ฆ่ามัน เป็นศัตรูของเรา”
นำชัยพึมพำ
“มือสังหาร”
กรณ์พยักหน้า
“อีกไม่นาน มันต้องมาที่นี่ เราต้องเตรียมรับมือ”
นำชัยใจหายเมื่อรู้ว่าตนอาจเป็นเหยื่อรายต่อไป ในเวลานั้นเองไอริณก็แอบฟังอยู่จากในบ้าน เธอรู้สึกว่านายกรณ์คนนี้ กับพ่อของเธอมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
ราเมศแปลกใจ เมื่อทราบเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนจากณัฐชา
“นี่คุณจะบอกผมว่า มือสังหารชุดดำช่วยคุณเอาไว้ แถมยังพาไปส่งที่คอนโดงั้นเหรอ”
“ค่ะผู้กอง”
“เขาบอกเหตุผลรึเปล่า”
“แหม สาวสวยนี่คะ ชายโสดที่ไหนก็อยากเทคแคร์”
ราเมศกอดอกปั้นหน้าดุ
“เอ่อ ไม่ได้บอกค่ะ”
“แล้วเขาคุยอะไรกับคุณบ้าง”
“เขาต้องการ...”
ณัฐชาเกือบหลุดปากเล่าเรื่องเงื่อนไขของนักสู้มหากาฬ แต่แล้วก็ชะงักหยุดนิ่งนึกถึงคำพูดของฤทธิ์
“พรายพิฆาตมีอยู่ทุกที่ ยิ่งรู้น้อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งปลอดภัย”
ราเมศเห็นณัฐชานิ่งไปก็ขัดใจ
“ว่าไงล่ะผู้หมวด เขาต้องการอะไร”
“อ๋อ...เปล่าค่ะ พอดีฉันเบลอไปหน่อยก็เลยสับสน”
ราเมศส่ายหน้าระอา ไมตรีกับปรีดาเดินมาถึง
“ผู้กอง รถพร้อมแล้วครับ” ไมตรีรายงาน
ณัฐชาหันมาหาราเมศ
“เราจะไปไหนกันเหรอคะ”
“วันนี้เราจะแยกเป็นสองทีม ผมจะไปที่รังของไอ้มาวิน คุยกับพวกหัวหน้าของมันเรื่องป่วนงานเลี้ยงเมื่อวาน ดูซิว่ามันอยู่เบื้องหลังรึเปล่า”
“แล้วฉันล่ะคะ”
“คุณไปสอบปากคำมาดามหลิว ผมอยากรู้ว่านอกจากพรายพิฆาตแล้ว เธอยังมีศัตรูที่ไหนอีกบ้าง”
“เอ่อ ไปกับหมู่กับจ่าเนี่ยเหรอคะ”
“อย่าทำหน้าเซ็งสิครับผู้หมวด ไปทำงานกับพวกผมมันไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกครับ” ไมตรีบอก
“ใช่แล้วครับผู้หมวด พวกผมสัญญาว่าจะเป็นเด็กดี จะเชื่อฟังคำสั่งผู้หมวดทุกอย่างเลยครับ” ปรีดาบอกอย่างจริงจัง
ไมตรีหน้าตามุ่งมั่นมาก
“รับรองคราวนี้ไม่มีผิดพลาด”
“คราวก่อนก็พูดแบบนี้”
ณัฐชาเซ็งๆ
มาดามหลิวให้ปากคำแก่ณัฐชาอยู่ในห้องสมุด โดยมีโซเฟีย ไมตรี ปรีดาร่วมวงอยู่ด้วย
“ตกลงพวกคนร้ายเมื่อคืน ไม่ใช่พรายพิฆาตเหรอคะคุณตำรวจ”
“ตรวจสอบเบื้องต้นแล้วคิดว่าคงไม่ใช่ค่ะ เพราะถ้าเป็นพรายพิฆาตจริงพวกมันจะต้องทิ้งสัญลักษณ์เอาไว้ และก็คงไม่เลือกใช้วิธีบุ่มบ่ามแบบนี้”
ปรีดาแทรกขึ้น
“น่าเสียดายครับที่พวกมันถูกฆ่าตายหมด พวกผมก็เลยไม่รู้จะสอบปากคำกับใคร”
“เอ่อ...แล้วไม่ทราบว่ามาดามมีศัตรูที่ไหน หรือสงสัยใครบ้างรึเปล่าครับ พวกผมจะได้ช่วยตรวจสอบ” ไมตรีถาม
“ไม่มีหรอกค่ะ เพราะตัวฉันเองก็อยู่แต่ในนี้ไม่ค่อยได้ออกไปไหน ส่วนเรื่องธุรกิจก็ไม่ได้แข่งขันกับใครเป็นพิเศษ” มาดามหลิวบอกหน้านิ่ง
“แล้วคุณโทมัสล่ะคะ มีศัตรูบ้างรึเปล่า” ณัฐชาถามขึ้น
“คุณโทมัสเพิ่งกลับมาจากเมืองนอกได้ไม่นาน คงไม่มีเรื่องบาดหมางกับใครขนาดนี้หรอกค่ะ” โซเฟียตอบแทน
“ก็ไม่แน่หรอกค่ะ เห็นออกข่าวทีวีว่าควงสาวไม่ซ้ำหน้า ไม่แน่อาจจะเผลอไปควงแฟนใครก็ได้นะคะ”
มาดามหลิวกับโซเฟียมองหน้ากันอย่างดูออกว่า ณัฐชาไม่ชอบโทมัสเท่าไหร่นัก
ในห้องควบคุมความปลอดภัยบริษัทมาดามหลิว...มอนิเตอร์ฉายภาพจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพในคืนวันเกิดเหตุจนถึงตอนที่ทีมคนร้ายขับมอเตอร์ไซด์หนีไป
“มีภาพแค่นี้เหรอคะ” ณัฐชาถาม
" ครับ...พวกมันอาละวาดอยู่แค่หกนาที เสร็จแล้วก็เผ่นแนบ” ชาญบอก
ณัฐชามองชาญ
“คุณสงสัยใครบ้างรึเปล่า”
“ปกติพวกเราไม่เคยมีปัญหากับใคร ยกเว้นแต่เมื่อเร็วๆนี้ที่คุณโทมัสเข้าไปช่วยคุณไอริณ”
“คุณหมายถึงนายมาวินงั้นเหรอ”
“ก็มีแต่มาเฟียอย่างหมอนั่น ที่กล้าคิดแผนการณ์บ้าระห่ำ แบบนี้”
ณัฐชาครุ่นคิด
“ก็อาจเป็นไปได้...ถ้าไงฉันขอสำเนาภาพด้วยนะคะแล้วก็...ถ้าไม่รังเกียจฉันอยากจะชมสถานที่ของคุณสักนิดนึง”
ชาญชะงัก
“เกี่ยวกับคดีรึเปล่าครับ”
“ค่ะ เผื่อจะมีเบาะแสเพิ่มเติม”
ชาญมองณัฐชาอย่างลังเล
ในล็อบบี้บริษัทมาดามหลิว พนักงานเดินกันขวั่กไขว่ ณัฐชา ไมตรี ปรีดายืนรอกันอยู่อย่างกระวนกระวาย ไมตรีดูนาฬิกาข้อมือ
“โอ้โห ผ่านไปสิบห้านาที นี่ตกลงเขาไปขออนุญาตหรือไปทำเรื่องเข้าที่ประชุมกันแน่ครับผู้หมวด”
ปรีดาสงสัย
“นั่นสิครับ หรือว่าข้างในเขาจะรกมาก ก็เลยต้องเก็บกวาดก่อนพาเราเข้าไป”
ณัฐชานิ่งคิด
“หรือไม่ก็อาจมีอะไรที่ผิดกฎหมายซ่อนอยู่ ฉันต้องหาทางเข้าไปดูให้ได้”
“ถ้างั้น….”
ไมตรีพูดได้แค่นั้น ณัฐชาตัดสินใจพูดแทรกทันที
“บอกว่าฉันไปห้องน้ำ เดี๋ยวฉันมา”
ณัฐชาปลีกตัวไป ปรีดามองตามงงๆ
“ผู้หมวดเขาจะทำอะไรเหรอจ่า”
ไมตรีเอานิ้วแตะริมฝีปาก
“ชู่ว”
ปรีดายังไม่เข้าใจ
“ไปฉี่เหรอ”
ไมตรีเอานิ้วแตะริมฝีปากเน้นๆ
“ชูว”
“เอ้า ก็อยากรู้อ่ะ”
ไมตรีเน้นอีก
“ชูว”
“พวกเดียวกัน มีความลับด้วยเหรอจ่า”
“โอ้ย...ไปสอดแนมโว้ย ไปสอดแนม สมองน่ะคิดเองบ้างสิวะต้องให้พูดเดี๋ยวคนเขาก็รู้หมด”
“จะรู้ก็ตอนจ่าเสียงดังนี่แหละ”
ไมตรีตะครุบปากตัวเอง แล้วมองซ้ายมองขวาอย่างนึกขึ้นได้
ในห้องควบคุมความปลอดภัยบริษัทมาดามหลิว...ณัฐชาแอบแง้มประตูมองเข้ามาเห็นชาญกำลังคุยโทรศัพท์ภายใน
“ครับมาดาม ตำรวจคนนั้นกับพวกยังรออยู่ครับ ผมกะว่าเดี๋ยวจะพาไปดูที่โรงงานสักหน่อยแล้วค่อยเชิญกลับ...ครับ ได้ครับ”
ณัฐชาฉวยโอกาสนั้นแอบฉกเครื่องแบบ ร.ป.ภ.จากราวแขวนไปชุดหนึ่ง
ณัฐชาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุด ร.ป.ภ. สวมหมวกอำพรางโฉม แล้วเดินผ่านกลับมาที่ล็อบบี้อีกครั้งเพื่อขึ้นลิฟต์ เมื่อไมตรีกับปรีดาหันมาเห็นเข้าเธอก็ยักคิ้วให้กวนๆ ปรีดาชูมือทัก
“อ้าว ผู้…”
ปรีดายังพูดไม่ทันจบประโยค ไมตรีตะครุบปากดุเบาๆ
“อย่าทัก หมวดเขาปลอมตัวอยู่”
ปรีดาโดนอุดปากแต่ยังพูดอู้อี้
“ปลอมทำไม ทำไมต้องปลอมด้วย อ่ะจ่า”
“โฮ่ย...คิดเองบ้างก็ได้นะหมู่ ใจคอจะเอาแต่ถามลูกเดียวเลยเหรอ”
ปรีดาโดนอุดปากแต่ยังพูดอู้อี้
“ก็คิดไม่ออกไงถึงได้ถาม”
ชาญมาถึงพอดี
“พร้อมจะเดินชมบริษัทของเรารึยังครับคุณตำรวจ”
ไมตรีหันไปยิ้มแหยๆ
“อ๋อ...พร้อมครับพร้อม เชิญพาไปได้เลยครับ”
“แล้วนี่ผู้หมวดณัฐชา หายไปไหนเหรอครับ”
“ผู้หมวดท้องเสียกะทันหันครับ เลยขอตัวเข้าห้องน้ำ เธอบอกให้พวกเราไปชมกันได้เลย ใช่มั้ยหมู่”
ปรีดารีบรับคำ
“ครับ ใช่ครับ”
ชาญรู้สึกผิดสังเกต
มาวินกับแหลมเดินจ้ำๆ มาถึงหน้าภัตตาคาร ผู้จัดการรีบออกมารายงาน
“คุณมาวิน พวกเถ้าแก่กำลังรออยู่ข้างใน ท่าทางหัวเสียมากเลยครับ”
“เออ...รู้แล้ว เดี๋ยวฉันจัดการเอง” มาวินจะเดินเข้าไปแล้วชะงักหันมาอีกครั้ง “อ้อ ถ้าได้ยินเสียงอะไรบอกทุกคนให้อยู่เฉยๆ ห้ามเข้าไปเด็ดขาด”
มาวินเดินนำแหลมเข้าไปข้างใน ทิ้งให้ผู้จัดการยืนงง
สี่ผู้เฒ่ากำลังจับกลุ่มกินน้ำชากันอยู่ โดยมีสมุนอารักขามากกว่าปกติ เมื่อเห็นมาวินเดินนำแหลมเข้ามา ทั้งหมดก็เปิดฉากพิพากษาทันที เสือขาวเริ่มต้นเป็นคนแรก
“ไอ้มาวิน ไอ้หมาวัด เรื่องเมื่อวานเป็นฝีมือของลื้อใช่มั้ย”
หงส์ต่อทันที
“รู้รึเปล่าว่าผู้กองราเมศกำลังจะมาที่นี่ อีสงสัยว่าลื้อเป็นคนจ้างแก๊งมอเตอร์ไซด์พวกนั้น”
มาวินไม่สน
“แล้วไงอาแปะ”
เต่าดำไม่พอใจ
“แล้วไง...นี่ลื้อชักจะกำแหงใหญ่แล้ว กล้าพูดกับพวกอั้วแบบนี้เหรอ”
หงส์โกรธมาก
“วันนี้ ถึงคราวต้องคิดบัญชีกันซะที อั้วขอเสนอให้ปลดมันจากตำแหน่ง”
เสือขาวพยักหน้า
“อั้วเห็นด้วย”
มังกรขัดขึ้น
“แต่อั้วขอค้าน” มังกรมองมาวิน “ที่เกิดเรื่องทั้งหมด ก็เพราะไอ้หัวดื้อตัวนี้ มันยอม
แพ้ไม่เป็น ถ้าเราไล่มันออกเฉยๆ ก็เท่ากับปล่อยเสือเข้าป่า”
หงส์คิดตาม
“ถ้าอย่างนั้น…”
มังกรประกาศก้อง
“ฆ่ามันซะ”
บรรดาสมุนพากันชักปืนเล็งใส่มาวิน
“เดี๋ยวก่อนอาเจ๊ก อาแปะทุกท่าน ก่อนที่อั้วจะตาย อั้วอยากแนะนำให้พวกลื้อ รู้จักกับเพื่อนใหม่คนนึงของอั้ว”
“ใครวะ” เต่าดำถามเสียเข้ม
มาวินมองมาที่แหลม...ทำให้สี่ผู้เฒ่าแปลกใจเพราะรู้จักแหลมดีอยู่แล้ว แต่ทว่าจู่ๆสิ่งไม่คาดฝันก็บังเกิดขึ้น เมื่อแหลมกลายร่างเป็นบอสไปต่อหน้าต่อตาทุกคน ไม่ใช่แค่ร่างกายเท่านั้นที่เปลี่ยนเป็นบอส แม้แต่เสื้อผ้าก็กลายเป็นบอสเช่นกัน บอสตะปบปุ่มกลไกที่ข้อมือ ส่งให้มีดดาบที่ซ่อนอยู่ดีดผึงออกมา วินาทีนั้นร่างกายของมันสลายกลายเป็นธุลี จากที่หนึ่งไปปรากฏอีกที่หนึ่งอย่างรวดเร็วจนแทบมองไม่ทัน สมุนของสี่ผู้เฒ่าถูกบอสฆ่าฟันราวกับไม้ใบร่วง พวกมันพยายามยิงใส่บอสแต่กระสุนก็ผ่านร่างบอสไปราวกับอากาศธาตุ หนำซ้ำยังพาลไปถูกพวกเดียวกันเองอีกด้วย หงส์หน้าตื่น
“ผี...ผีหลอก”
หงส์เป็นคนแรกที่วิ่งหนีและถูกบอสฆ่า ตามด้วยเต่าดำที่ยังนั่งตะลึงอยู่ที่ต้องจบชีวิตคาเก้าอี้ เสือขาวคว้ากระถางต้นไม้จะทุ่มใส่บอสแต่บอสหายตัวไปโผล่ข้างหลังแล้วแทงใส่เสือขาวจนตาย มีเพียงมังกรคนสุดท้ายที่ยังนั่งตะลึงมองหน้ามาวินที่ยักไหล่ให้ยิ้มๆอย่างกวนประสาท ชั่วอึดใจต่อมาสมุนและพวกพ้องของมังกรก็โดนฆ่าตายจนหมด มาวินยิ้มกวน
“ตกใจเหรออาแปะ ฉี่จะราดรึเปล่า อั้วไปซื้อผ้าอ้อมให้ดีมั้ย”
มังกรจ้องหน้าอย่าแค้นจัด
“มาวิน ลื้อมันเนรคุณ”
“แล้วลื้อล่ะอาแปะ ได้ดีแล้วถีบหัวเรือส่ง ลื้อต่างอะไรจากอั้ว ลื้อต่างจากอั้วตรงไหน ไอ้คนเห็นแก่ตัว”
“ไอ้ลูกหมา เอ็งตาย”
มังกรชักปืนออกมายิงใส่แต่มาวินชักปืนออกมายิงสวนแสกหน้าเสียก่อนจนมังกรล้มลงขาดใจต่อหน้าบอส มาวินตามมายิงศพซ้ำด้วยความแค้นที่สะสมมานาน
“ใครเป็นลูกหมาวะไอ้แก่ ใครเป็นหมาของเอ็ง ใครเป็นหมาของเอ็ง”
บอสรอจนมาวินยิงหมดแม็ก
“พอใจรึยัง”
“ขอบใจมากสหาย ต่อไปนี้ธุระของแกก็คือธุระของฉัน เราคือพันธมิตรกัน”
“เราคือพรายพิฆาต”
“ฮ่าๆ ถูกต้องพรายพิฆาต ฮ่าๆ”
มาวินหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง หัวเราะใส่ศพของมังกรด้วยความสะใจ
ณัฐชาซึ่งปลอมตัวเป็นยาม ขึ้นมาสอดแนมยังชั้นบน
“เอ ก็ปกติดีนี่หว่า ไม่เห็นมีอะไรผิดกฎหมาย แล้วทำไมต้องทำให้มันลึกลับซับซ้อนด้วยวะ เก็บตัวกันโอเว่อร์จริงๆ”
ณัฐชาเหลือบไปเห็นฤทธิ์เดินเข้าไปในห้องพัก ก็รีบหลบซุ่มดู
“แจ็คพอต”
ฤทธิ์เข้ามาในห้องนอนเขาตรงไปเข้าห้องน้ำ และเปิดน้ำร้อนในอ่างอาบน้ำ ณัฐชาแอบแง้มประตูห้องนอนของเขา พอเห็นว่าเจ้าของอยู่ในห้องน้ำ ก็เลยย่องเข้ามา เธอตื่นตาตื่นใจ
“ว้าว ใหญ่โตรโหฐานสมกับเป็นห้องนอนเศรษฐีเพลย์บอย สงสัยที่นี่แหงๆ ที่หลอกพวกสาวๆมาปรนเปรอสวาท” เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา “ต้องหาหลักฐานไปอวดไอริณ”
ณัฐชาใช้โทรศัพท์แทนกล้องวีดีโอ เพื่อบันทึกภาพขณะรื้อตู้เสื้อผ้าของฤทธิ์
“อะไรกันเนี่ย มีแต่เสื้อผ้า นึกว่าจะเก็บพวกโซ่แส้กุญแจ อุปกรณ์อย่างว่าไว้ในนี้ซะอีก”
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น ณัฐชาตกใจรีบโดดไปซ่อนหลังโซฟา ขณะที่ฤทธิ์สวมเสื้อคลุมออกจากห้องน้ำมาเปิดประตู คนที่มาคือชาญกับ ร.ป.ภ.นายหนึ่ง
“มีอะไรเหรอชาญ”
“ตำรวจหญิงที่มาสอบปากคำมาดามหลิวหายตัวไปครับ เราสงสัยว่าเธออาจจะเดินหลงขึ้นมาบนนี้”
ฤทธิ์แปลกใจ
“ตำรวจหญิงคนไหน”
“เอ่อ...ผมจำชื่อไม่ได้ครับ ที่ตัวเล็กๆขาวๆ”
“อ๋อ...ตัวเล็กที่ไหน เตี้ยต่างหาก ที่หน้าซีดๆจืดๆเหมือนผีญี่ปุ่นใช่มั้ย”
ณัฐชาได้ยินแล้วหูผึ่ง หันไปขมุบขมิบปากด่าด้วยความหงุดหงิด
“ครับๆ คนนั้นละครับ”
“ผู้หมวดณัฐชา เขาไม่อยู่ในนี้หรอก”
“ผมทราบครับ แต่มาดามหลิวสั่งให้ผมค้นให้ทั่ว ถ้าคุณไม่ว่าอะไร”
ณัฐชาตกใจเธอรีบกลิ้งแล้วย้ายที่ซ่อนไปหลบในห้องน้ำ
“เอาสิตามสบาย ฉันขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะ”
ชาญกับยามลงมือตรวจค้นในห้องฤทธิ์ ขณะที่เขาปลีกตัวเข้าห้องน้ำไปปิดประตูก่อนทำท่าจะถอดเสื้อคลุมออก แต่พอหันมาก็ต้องตกใจเมื่อณัฐชายืนอยู่ ณัฐชาเห็นอะไรเข้าเต็มๆ ก็ยกมืออุดปากตัวเอง ขณะที่ฤทธิ์รีบรวบชายเสื้อคลุมตามเดิม
“เฮ้ย”
ชาญตกใจ
“คุณโทมัส ข้างในมีอะไรรึเปล่าครับ คุณโทมัส”
ณัฐชาผลักฤทธิ์ จะหนีออกไปข้างนอก
ฤทธิ์กระซิบเบาๆ
“อย่าออกไป”
ฤทธิ์คว้าตัวเธอ ณัฐชานึกว่าเขาจะจับเธอเลยต่อสู้สุดความสามารถ ชาญเห็นท่าไม่ดีก็ชักปืน
“คุณโทมัส คุณโอเคมั้ย”
ฤทธิ์รวบตัวเธอมากอดไว้เพื่อยุติการต่อสู้ ณัฐชาสะบัดออกแต่ก็ถูกดึงมากอดอีก ณัฐชาด่าเบาๆ
“คนผีทะเล แกจะทำอะไรฉัน”
“ผมไม่อยากมีเมียเป็นตำรวจหรอกคุณ อยู่เฉยๆเถอะ”
ไม่มีเสียงตอบ ชาญกับ ร.ป.ภ.รีบผลักประตูห้องน้ำเข้าไปแล้วเจอฤทธิ์แช่ตัวอยู่ในอ่างน้ำ ทั้งๆที่สวมเสื้อคลุม ชาญงง
“คุณโทมัส นี่คุณ…”
“โทษที ตะกี๊ฉันลื่นล้มน่ะ แต่ตอนนี้โอเคแล้ว”
“แล้วไป ถ้างั้นผมไม่รบกวนนะครับ”
“ช่วยปิดประตูให้ด้วยนะ”
ชาญกับ ร.ป.ภ.กลับออกไปจากห้องน้ำ ฤทธิ์หันมามองที่ในอ่างแล้วเอามือล้วงไปคว้าคอณัฐชาที่ดำน้ำอยู่ขึ้นมา ณัฐชาสำลักหายใจพ่นน้ำใส่หน้าฤทธิ์เต็มๆ
“หืด...แค่กๆ”
ฤทธิ์ลูบหน้า
“นี่ถ้าชาญเจอเข้า เขาคงไม่ใจดีแบบผมแน่...เพราะมาดามหลิวเด็ดขาดกับผู้บุกรุกเสมอ”
“ฉันไม่ได้บุกรุก ฉันหลงทางต่างหาก”
“ใส่ชุดยามเนี่ยนะ จงใจหลงมากกว่ามั้ง”
“รู้แล้วถามทำไมล่ะ ก็ฉันเป็นตำรวจนี่ เจออะไรน่าสงสัยก็ต้องสืบสิ”
“แล้วในห้องผมมีอะไรน่าสงสัย”
“ฉันไม่จำเป็นต้องบอกนาย”
ณัฐชาจะลุกไปจากอ่าง แต่ก็ถูกฤทธิ์กระชากกลับมาในอ้อมกอด แววตาของเขาคมเข้มมีอำนาจ ณัฐชาเริ่มรู้สึกหนาวสะท้านเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนกำลังอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายคนหนึ่งตามลำพัง
“ปล่อย” เธอเห็นเขายังนิ่ง “ฉันบอกให้ปล่อยฉัน”
ฤทธ์ยื่นหน้ามาใกล้ซอกหู ซอกคอณัฐชาอย่างจงใจแกล้ง
“คุณกลัวเป็นด้วยเหรอคุณตำรวจ บอกหน่อยได้มั้ยว่าคุณกลัวอะไรในตัวผม”
ณัฐชาไม่กล้าตอบเธอพยายามดิ้นหนี
“คุณ…ไม่เคยเจอแบบนี้ใช่มั้ย”
ณัฐชาโดนใจดำฮึดสู้
“ชิ”
ณัฐชาสะบัดลุกหนีไปจากอ่าง ฤทธิ์มองตามขำๆ
ไมตรีกับปรีดามาชะเง้อรอณัฐชาด้วยกันอยู่ที่ทางออกฉุกเฉินบริษัท ปรีดากังวล
“ทำไมจนป่านนี้ผู้หมวดยังไม่ออกมาอีก หรือว่าจะเกิดเรื่อง”
“ไม่หรอกมั้ง ผู้หมวดแกเก่งจะตาย ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้หรอก”
ประตูเปิดออกณัฐชาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วถูกฤทธิ์หิ้วปีกออกมาในสภาพหัวเปียกโชก ปรีดามองงงๆ
“อุ้ย สงสัยจะตกน้ำมาจริงๆ”
ฤทธิ์บอกกับณัฐชา
“คราวหลังถ้าอยากค้นบ้านใคร ก็ไปเอาหมายค้นมาก่อน ขืนบุ่มบ่ามแบบนี้ มีหวังคงได้ดวงกุดเข้าสักวัน”
ณัฐชาพยักหน้าขอไปที
“ฮือ”
“จะไม่ขอบใจผมสักคำเหรอที่ช่วยคุณเอาไว้”
ณัฐชามองหน้าพูดขอไปที
“ขอบใจ”
ฤทธิ์เซ็ง หันไปบอกหมู่กับจ่า
“ช่วยดูแลเจ้านายด้วยนะ ไม่งั้น คราวหน้าตำรวจคงได้ติดคุกซะเอง”
ไมตรีกับปรีดายิ้มรับกร่อยๆ ก่อนที่ฤทธิ์จะกลับเข้าอาคารไปณัฐชาเบ้หน้าหมั่นไส้
“ชิ...ฝากไว้ก่อนเหอะ วันพระไม่ได้มีหนเดียวหรอก นายโทมัส” เธอหันไปโม้กับไมตรีปรีดา “ฉันไม่ได้แพ้เขานะ ฉันแกล้งอ่อยให้เขายอมปล่อยฉันต่างหาก”
ไมตรีกับปรีดาพยักหน้าแบบ เชื่อก็ได้
ตำรวจและเจ้าหน้าที่มูลนิธิ ช่วยกันลำเลียงศพผู้ตายออกจากภัตตาคาร ผู้จัดการภัตตาคารให้ปากคำตำรวจท้องที่อยู่ที่มุมหนึ่ง รอบๆบริเวณมีไทยมุงอยู่ประปราย ราเมศเพิ่งมาถึง เขารีบตรงดิ่งไปคว้าคอเสื้อของมาวินที่ยืนเต๊ะจุ๊ยดูเหตุการณ์อยู่อย่างใจเย็น
“ฝีมือแกใช่มั้ยมาวิน แกฆ่าพวกเขา”
“ผมเปล่านะผู้กอง ผู้กองก็รู้ว่าคนที่นี่ส่วนใหญ่เป็นเด็กของพวกเถ้าแก่ทั้งนั้น ผมคนเดียวจะไปทำอะไรได้”
“ถ้างั้นนายก็ต้องรู้ว่าเป็นฝีมือของใคร”
“ฆาตกรน่ะเหรอ รู้สิ...ผมเห็นมันด้วยนะ มันสวมหน้ากากสีดำใส่เสื้อสีดำ อ้อ แล้วก็…มันใช้ดาบคู่เป็นอาวุธ”
“ดาบคู่ เหมือนดาบปลายปืนรึเปล่า”
“ใช่เลย ถูกต้อง ดาบปลายปืน เหมือนดาบปลายปืนเป๊ะเลย”
ราเมศรำพึง
“ไอ้มือสังหาร”
ระหว่างนั้นเองมาวินก็มองไปที่บอสที่ยืนปะปนกับไทยมุงแล้วพยักหน้าให้เป็นสัญญาณว่าตนได้พูดตามแผนแล้ว บอสปลีกตัวไปเงียบๆ
ยามค่ำคืนของถนนในย่านเริงรมย์แห่งนึ่ง ผู้คนเริ่มหนาตาตั้งแต่หัวค่ำ กรณ์สวมแว่นดำแต่งตัวสบายๆ เดินเตร็ดเตร่มาตามถนน
บาร์อโกโก้ยังไม่เปิดบริการ กรณ์เดินมาดูที่หน้าเวที ซึ่งเอมี่กำลังซ้อมเต้นก่อนเปิดร้าน แต่ดูเผินๆเหมือนเดินเกาะเสาไปมาเรื่อยเปื่อยมากกว่าจะซ้อมเต้นจริงๆ
“มาทำงานแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ สนุกเหรอ”
“แก้เบื่อน่ะหัวหน้า อยู่ว่างๆไม่มีคนให้ฆ่า เซ็งจะตายชัก”
“ตอนนี้มีแล้วคนนึง”
“แค่คนเดียวเองเหรอ”
“ไม่ใช่คนธรรมดา มันเป็นมือสังหารเหมือนกับเรา”
เอมี่ตาวาว ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความตื่นเต้น
เอมี่ขี่มอเตอร์ไซด์คันใหญ่โดยมีกรณ์ซ้อนท้ายมาจอดที่แถวเวทีมวย เอมี่บุ้ยหน้า
“ไอ้ยักษ์อยู่โน่น”
กรณ์มองไปบนเวที เห็นยักษ์กำลังชกมวยกับฝรั่ง ทั้งคู่แลกหมัดกันอย่างดุเดือด ยักษ์ยิ่งโดนชกก็ยิ่งโกรธ พอได้ทีมันก็อัดฝรั่งจนยับ จับหัวโขกกับเสาเวที แถมยังผลักกรรมการออกไปอย่างไม่สนใจ คนดูพากันโห่ร้องด้วยความไม่พอใจ แต่ยักษ์ไม่สน…มันกระทืบฝรั่งซ้ำจนกระอั่กเลือด เอมี่ขำ
“มันเขาล่ะ”
กรณ์ส่ายหน้า
“ไอ้บ้านี่ ซาดิสม์ไม่เลิกจริงๆ”
กรณ์ ยักษ์ เอมี่กินเบียร์กันอยู่เงียบๆที่บาร์เบียร์แถวเวทีมวย ยักษ์หน้าปูดมีผ้าก๊อซแปะแผล
“แน่ใจรึเปล่าว่าเป็นมัน” เอมี่ถามอย่างสงสัย
กรณ์เองก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่
“ยังไม่แน่...คนที่ชื่อโทมัสหน้าตาเหมือนไอ้ฤทธิ์มาก แต่ว่าไม่มีแผลเป็น ส่วนไอ้มือสังหารก็มีวิธีการลงมือคล้ายๆไอ้ฤทธิ์ แต่ว่ามันเก่งกว่าไอ้ฤทธิ์สักสิบเท่าเห็นจะได้”
“มันอาจเป็นคนเดียวกัน” ยักษ์พูดลอยๆ
เอมี่คิดๆ
“หรืออาจเป็นแค่เรื่องบังเอิญ”
กรณ์มอหน้าทั้งสอง
“ที่ฉันมาหาพวกแกก็เพราะอยากพิสูจน์เรื่องนี้ ว่าแต่พวกแกพร้อมรึเปล่า”
เอมี่ยิ้ม
“ถ้าเงินถึงเหมือนคราวก่อนก็พร้อมเสมอ”
ยักษ์หน้าตาจริงจังมาก
“ถ้าเป็นบัญชาของพรายพิฆาต เราไม่เคยเกี่ยงอยู่แล้ว”
“งั้นก็...” กรณ์ชูขวด “พรายพิฆาตจงเจริญ”
เอมี่ กรณ์ ยักษ์ชนขวดกัน
ไอริณว่ายน้ำอยู่ในสระที่บ้านอย่างเอาเป็นเอาตาย เธอนึกถึงเมื่อในอดีตหลายปีก่อน...ค่ำนั้นไอริณเดินมาหยุดที่หัวบันได เธอได้ยินเสียงนำชัยกับสุดากำลังมีปากเสียงกันจากข้างล่าง
“คุณเป็นบ้าไปแล้วเหรอนำชัย...คุณเคยเป็นนักการเมืองที่ดี เป็นคนใจซื่อมือสะอาด แล้วทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้”
“คุณไม่มีวันเข้าใจผมหรอก พวกเสือสิงห์กระทิงแรดไอ้พวกคดโกงพวกนั้น มันใช้เล่ห์เหลี่ยมเอาเปรียบผมสารพัด ผมต้องมีคนหนุนหลัง”
“แต่คนที่หนุนหลังคุณมันเป็นพวกนอกรีต มันเป็นพวกวิปริต ถ้านักข่าวเกิดรู้เรื่องนี้ขึ้นมาคุณจะว่ายังไง”
“ไม่...เรื่องนี้ต้องเป็นความลับ”
ไอริณยังคงว่ายน้ำอยู่ในสระ หูก็ได้ยินแต่เสียงนำชัยก้องอยู่ซ้ำๆไปมาแถมภาพที่กรณ์ลับๆล่อๆคุยกับนำชัยแว่บเข้ามา...ไอริณพยายามว่ายอย่างจะหนีความทรงจำเหล่านั้น จนกระทั่งเสียงปืนดังขึ้น ไอริณผวาไปเกาะขอบสระและสำลักน้ำจนเกือบอ้วก เมื่อครู่เธอว่ายจนลืมไปเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองต้องหายใจ ไอริณซบหน้าร้องไห้กับฝ่ามือ เรื่องราวบางเรื่องในอดีตยังคงตามหลอกหลอนเธอ
ในอดีต...ไอริณผลักประตูเข้ามาเห็นแม่ของเธอกำลังถือปืนนอนจมกองเลือดอยู่ โดยที่มีนำชัยยืนช็อกอยู่ใกล้ๆ ในสภาพมือเปื้อนเลือด ไอริณผวากอด
“แม่...แม่ ใครก็ได้เรียกรถพยาบาลให้ที”
นำชัยสติแตก
“มันสายไปแล้วไอริณ มันสายไปแล้ว”
ไอริณร้องไห้
“พ่อคะ นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมแม่ถึงทำแบบนี้”
นำชัยไม่ยอมตอบ
“พ่อ”
นำชัยยืนนิ่งไม่ยอมตอบคำถาม ไอริณมองมือที่เปื้อนเลือดของนำชัยอย่างสังหรณ์ใจ
วันต่อมา...มาดามหลิวนั่งเล่นหมากรุก กับฤทธิ์ในห้องสมุด
“เธอต้องระวังตำรวจหญิงคนนั้นให้มากนะโทมัส ท่าทางเขากำลังจับผิดเธออยู่”
“ไม่มีปัญหาหรอกครับมาดาม ณัฐชาเป็นคนซื่อ เธอไม่มีพิษสงอะไร”
“เพราะเขาเป็นเพื่อนรักของใจทิพย์งั้นเหรอ เธอถึงได้เชื่อแบบนั้น ระวังให้ดีนะโทมัส เธอไม่วันรู้หรอกว่าใครเป็นศัตรูตัวฉกาจ จนกว่าเธอพลาดท่าให้มัน”
ฤทธิ์ไม่ทันตอบ โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เขาดูเบอร์ที่โชว์อยู่หน้าจอก่อนจะบอกมาดามหลิว
“คุณไอริณ”
ไมตรีกับราเมศดูรูปถ่ายสภาพที่เกิดเหตุในภัตตาคารจีนจากคอมพิวเตอร์ โดยมีณัฐชาร่วมวงอยู่ด้านหลัง ก่อนที่ปรีดาจะเอาแฟ้มรายงานมาส่งให้
“ได้ผลการชัณสูตรแล้วครับผู้กอง หมอยืนยันว่าทุกศพในภัตตาคารเสียชีวิตด้วยของมีคม แต่ว่าเป็นคนละชนิดกับที่มือสังหารเคยใช้ครับ”
“แน่ใจเหรอหมู่” ไมตรีถาม
“ครับ...รูปทรงมันไม่เหมือนดาบปลายปืน ใบมีดค่อนข้างจะใหญ่กว่า บาดแผลก็เลยใหญ่ตามไปด้วยครับ”
ไมตรีแย้ง
“แต่รูปแบบการฆ่าเหมือนกันนี่ครับผู้กอง”
ราเมศเห็นด้วย
“นั่นสิ คนเราจะเปลี่ยนอาวุธคู่มือกันบ้างก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน ขนาดตำรวจยังมีปืนพกสำรองเลยนี่”
ณัฐชามองหน้าราเมศ
“ตกลงสารวัตรมั่นใจว่า เป็นมือสังหารคนเดียวกันเหรอคะ”
ราเมศพยักหน้า
“เสียดายที่ไม่มีภาพจากกล้องวงจรปิด ไม่อย่างนั้นคงมั่นใจมากกว่านี้”
ณัฐชาปลีกตัวจากออฟฟิศ แล้วหลบมุมคว้าโทรศัพท์ออกมาดู เธอนึกถึงนักสู้มหากาฬที่ส่งโทรศัพท์คืนให้เธอ
“ผมเมมเบอร์ไว้ในเครื่องของคุณ ติดต่อผมทันทีที่พร้อมแต่จำไว้ ห้ามบอกตำรวจคนอื่นเด็ดขาด”
ณัฐชารีบกดปุ่มค้นหาเบอร์ใหม่ในเครื่องและเจอเบอร์โทรที่ลงชื่อว่า “fighter” ณัฐชาครุ่นคิด
“fighter นักสู้…นักสู้หรือนักฆ่ากันแน่”
ณัฐชาตัดสินใจลองกดดู
ฤทธิ์ซึ่งกำลังขับรถอยู่ปรากฏว่าโทรศัพท์เครื่องพิเศษ ที่ณัฐชาโทรเข้ามาก็คือกำไลสีดำเล็กที่เขาสวมอยู่กับนาฬิกา เขาออกคำสั่ง
“รับสาย...ฮัลโหล”
เสียงของฤทธิ์ที่พูดผ่านกำไลโทรศัพท์นั้น ถูกแปลงจนจำเสียงเดิมแทบไม่ได้
“ฮัลโหล นี่ฉันเองหมวดณัฐชา
“รีบถาม รีบคุย ผมไม่อยากถูกเช็กตำแหน่ง”
“ฉันไม่มีแผนแบบนั้นหรอกน่า แค่จะโทรมาถามว่าตกลงใช่นายรึเปล่าที่ฆ่าพวกมาเฟียเมื่อวาน”
“เปล่า แต่พวกพรายพิฆาตมันต้องการกดดันผม”
“จริงเหรอ”
“ตอนนี้ตำรวจกับนักข่าวสนใจเรื่องของผมมากกว่าพวกมันซะอีก ไม่แน่มันอาจจะยืมมือตำรวจมาเล่นงานผมก็ได้ และถ้าเดาไม่ผิดอีกไม่นาน มันจะต้องวางกับดักเพื่อล่อให้ผมออกไปเผชิญหน้ากับพวกมัน”
“นายรู้ได้ยังไง”
“มันเป็นเทคนิคในการรบ คุณไม่เข้าใจหรอก”
“แปลว่านายเคยรบ นายเคยเป็นทหาร เพราะแบบนี้ใช่มั้ย นายถึงได้เมมชื่อในมือถือฉันว่า นักสู้”
“ผมตอบคำถามคุณได้แค่นี้ ขอตัวก่อน แล้วจะติดต่อไปทีหลัง” ฤทธิ์สั่งกำไลข้อมือ “วางสาย”
ณัฐชาครุ่นคิดอย่างมีความหวัง
“นักสู้...ชุดดำ…ฉันต้องรู้ให้ได้ว่านายเป็นใคร”
ราเมศเดินถือถ้วยกาแฟมาดูที่โต๊ะทำงานของณัฐชาอย่างประหลาดใจ เห็นเธอวาดรูปนักสู้มหากาฬไว้บกระดาษ A4 รูปนั้นวาดคร่าวๆ แบบไม่ได้สัดส่วนเท่าไหร่นัก ใต้ภาพเขียนว่า “นักสู้ชุดดำ” สักครู่ไมตรีกับปรีดาก็ถือแก้วกาแฟเข้ามาสมทบ ไมตรีมองยิ้มๆ
“คดีนี้ท่าทางหมวดณัฐชาจะสนใจมากนะครับ ดูเหมือนจะสนใจมากกว่าคดีพรายพิฆาตซะอีก”
ปรีดากระเซ้า
“เขาถึงว่าไงครับผู้กอง ผู้หญิงอ่ะชอบผู้ชายสวมเครื่องแบบ”
“เอาจริงดิ งั้นตั้งแต่พรุ่งนี้ผมสวมเครื่องแบบมาทำงานทุกวันเลยนะหมู่” ไมตรีพูดขำๆ
“ในวงเล็บ หล่อ รวย และต้องเป็นคนดีด้วยนะโว้ย”
“อื้อหือ ผู้ชายคนนี้ตอบได้ทุกข้อ”
“ผิดตั้งแต่ข้อแรกยันข้อสุดท้าย”
“เดี๋ยวปั๊ดศอกให้เลยหมู่”
ไมตรีกับปรีดาหยอกล้อกันไป ขณะที่ราเมศมองรูปอย่างนึกสนุก เขาหยิบปากกามาแก้ชื่อ“นักสู้ชุดดำ” เป็น “นักสู้มหากาฬ”
“เอาให้มันเก๋หน่อย นักข่าวจะได้สนใจ”
ปรีดาหันมาถาม
“เอ่อ มีผลต่อคดีของเราด้วยเหรอครับผู้กอง”
“มี…มีแน่…ทีนี้ชาวบ้านจะได้รู้กันซะที ว่าพวกเราเป็นบ้า คดีเรามีทั้งลัทธิปริศนา ซอมบี้คืนชีพ แถมนี่ยังมีซุปเปอร์ฮีโร่สวมหน้ากากโผล่มาแจมอีก...เฮ้อ”
ราเมศถอนใจเครียดๆก่อนจะจิบกาแฟ ไมตรีกับปรีดาได้แต่มองหน้ากัน
ณัฐชาขับรถมาจอดหน้าบ้านนำชัย เธอลงมาจากรถอย่างอารมณ์ดีและเจอกับสุชาติกำลังหอบแฟ้มเตรียมกลับบ้าน
“อ้าวคุณสุชาติ จะกลับแล้วเหรอคะ”
“ครับผม เอ๊ะนี่ผู้หมวดมาหาท่านนำชัยหรือมาหาคุณไอริณครับเนี่ย”
“หาไอริณค่ะ”
“แหมคุณน่าจะโทรนัดเธอก่อน”
ณัฐชาแปลกใจ
“อ้าว ไอริณไม่อยู่เหรอคะ แล้วบอกรึเปล่าคะว่าไปไหน”
ฤทธิ์เดินเข้ามาในร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง มองหาและพบไอริณที่นั่งรออยู่ ท่าทางของเธอดูเศร้า ฤทธิ์ยิ้มทักทายเข้ามานั่งร่วมโต๊ะ
“ถ้าเดาไม่ผิดวันนี้คุณคงอยากเลี้ยง ตอบแทนที่ผมช่วยคุณไว้คราวก่อน”
“อันที่จริงอยากมีเพื่อนคุยมากกว่าค่ะ แต่ตอนโทรไปที่กองปราบเขาบอกว่าณัฐชากำลังประชุมอยู่”
“ไม่เป็นไรครับ ถึงเป็นตัวสำรองผมก็ไม่เกี่ยง”
“ก็แปลกดีนะคะ เพื่อนฉันในวงการก็มีตั้งหลายคน แต่ฉันกลับคิดถึงคุณ” ไอริณนึกขึ้นได้ “หมายถึงในฐานะเพื่อนนะคะ ไม่ใช่อย่างอื่น”
“ก็แสดงว่าคุณเชื่อใจผม ผมดูน่าไว้ใจ”
“ค่ะ ฉันรู้สึกแบบนั้น”
ฤทธิ์กับไอริณยิ้มให้กันอย่างเป็นมิตร
เอมี่ กรณ์ ยักษ์กำลังซุ่มอยู่บนรถคันหนึ่งเพื่อส่องกล้องดูฤทธิ์ เอมี่ส่งกล้องให้ยักษ์
“เหมือน...เหมือนมาก ถ้าไม่มีใครบอก ฉันต้องคิดว่าเป็นฤทธิ์ ราวีแน่ๆ”
ยักษ์ส่อดูแล้วชะงัก
“ถ้าเห็นตอนกลางคืนคงนึกว่าผีหลอก”
กรณ์บอกทั้งสองคน
“ตำรวจเคยเช็กประวัติกับลายนิ้วมือของมันแล้ว แต่ไม่ตรงกับไอ้ฤทธิ์”
เอมี่แย้ง
“ฐานข้อมูลในคอมพิวเตอร์อาจถูกแฮ็คก็ได้”
กรณ์คิดๆ
“ถ้างั้นเราก็ต้องใช้วิธีอื่น เพื่อทดสอบว่ามันเป็นใครกันแน่”
เอมี่ กรณ์ และยักษ์มองไปที่ฤทธิ์อย่างประสงค์ร้าย
นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 3 (ต่อ)
ในร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง...บริกรเก็บจานของคาวไปเรียบร้อย ไอริณกับฤทธิ์กำลังทานของหวานขณะสนทนากันไปด้วย
“สมัยอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้า ฉันกับณัฐชาแล้วก็ใจทิพย์จะสนิทกันมากค่ะจนใครๆนึกว่าเราเป็นพี่น้องกัน ยิ่งณัฐชากับใจทิพย์คู่นี้จะมีอะไรที่เหมือนกันหลายอย่าง”
ฤทธิ์ชะงักแปลกใจ
“เหมือนกัน...ตำรวจจอมบู๊ กับคุณครูใจดี มีอะไรเหมือนกันเหรอครับ”
“ถึงนิสัยจะต่าง แต่คู่นี้เขาชอบคิดอะไรเหมือนกันค่ะ” ไอริณ นึกถึงความหลังอย่างมีความสุข “รักความยุติธรรมเหมือนกันชอบปกป้องคนอื่นเหมือนกัน แต่อีกคนชอบใช้สมอง ส่วนอีกคนชอบใช้กำลัง”
“ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครที่ชอบใช้กำลัง”
“คุณต้องรู้จักณัฐชาให้มากกว่านี้ค่ะ คนที่เคยรู้จักใจทิพย์ส่วนใหญ่จะชอบพูดว่า ณัฐชาคืออีกด้านของใจทิพย์”
ฤทธิ์ฝืนยิ้มทำทีเป็นไม่สนใจแต่คำพูดของไอริณทำให้เขารู้สึกคิดถึงใจทิพย์ขึ้นมา
ฤทธิ์เดินมาเปิดประตูรถให้ไอริณ ที่จอดอยู่ถนนหน้าร้านอาหาร
“น่าเสียดายนะคะที่คุณต้องรีบกลับ ไม่อย่างนั้นเราคงได้คุยกันมากกว่านี้”
“ที่ผมพาคุณออกมา ไม่ได้แปลว่าผมจะรีบกลับนะครับ”
“อ้าวแล้ว...”
“คุณไม่สบายใจแบบนี้ ผมว่าเราน่าจะไปยืดเส้นยืดสายซะหน่อย” ฤทิ์บอกยิ้มๆ
ฤทธิ์งขับเจ๊ตสกีฉวัดเฉวียนอยู่ที่บึงแห่งหนึ่ง โดยมีไอริณซ้อนหลังอย่างสนิทสนม ไอริณรู้สึกสดชื่นขึ้นเพราะความตื่นเต้น ฤทธิ์โชว์ลีลาเล่นเจ๊ตสกีผาดโผน ไอริณหวีดร้องออกมาอย่างสนุกสนาน...เวลาผ่านไปเจ๊ตสกีจอดเทียบริมบึง ฤทธิ์ประคองไอริณขึ้นมาบนฝั่ง
“ระวังนะครับ”
ไอริณเสียหลักลื่นๆ ตอนลงจากเจ๊ตสกี และเซไปกอดเขาเข้าเต็มๆ
“ขอโทษค่ะ”
ฤทธิ์ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ประคองให้เธอยืนจนตั้งหลักได้
“รู้สึกดีขึ้นรึยังครับ”
“ค่ะ มิน่าคุณถึงได้ชอบกีฬา”
“มีคนเคยบอกว่า เวลาที่เราใช้สมาธิกับกีฬา เราจะลืมเรื่องที่ไม่สบายใจ แถมหลังจากนั้นเราจะรู้สึกผ่อนคลายกับมันอีกด้วย”
“ริณเห็นด้วยค่ะ ตอนนี้ริณรู้สึกแบบนั้น แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสนุก หรือเพราะได้อยู่ใกล้คุณกันแน่”
ฤทธิ์กับไอริณสบตากัน มือยังกุมกันอยู่ ก่อนจะถูกขัดจังหวะด้วยเสียงตะโกนเรียกของณัฐชา
“ไอริณ”
ไอริณรีบปล่อยมือฤทธิ์ หันไปถามณัฐชาที่เดินเข้ามา
“มาได้ยังไงเนี่ย”
“ฉันเป็นตำรวจนะเธอ แค่เพื่อนคนเดียวทำไมจะหาไม่พบ”
ฤทธิ์ตะเบ๊ะเท่ๆกวนๆ
“สวัสดีครับผู้หมวด”
ณัฐชามองฤทธิ์อย่างไม่กินเส้น
ในร้านขายเครื่องดื่มในบึงเช่าเจ๊ตสกี...ไอริณรับเครื่องดื่มและเงินทอนจากพนักงานขาย
“ขอบคุณค่ะ”
เธอหันไปด้านนอกแล้วชะงักนิด เมื่อเห็นฤทธิ์กับณัฐชากำลังพูดจากันอยู่อย่างเคร่งเครียดที่ด้านนอก ไอริณถอนใจรำพึง
“เฮ้อ...ยัยณัฐชา จะวุ่นวายไปถึงไหนกันเนี่ย น่าเบื่อจริงๆ”
ณัฐชากำลังเจรจากับฤทธิ์
“ถ้าจำไม่ผิดฉันเคยเตือนคุณไปแล้วนะ ว่าห้ามยุ่งกับไอริณ”
“แต่ผมจำไม่ได้นะ ว่าเคยรับปากคุณตอนไหน”
ณัฐชาจ้องหน้าอย่างคุกคามขยับเข้าใกล้
“คุณกำลังกดดันฉันอยู่นะคุณโทมัส อยากเจอมาตรการขั้นเด็ดขาดหรือไง”
“ก็ได้ ถ้าคุณอยากรวบรัดตัดความละก็ ผมมีวิธีอื่น” ฤทธิ์มองอย่างท้าทาย
ไอริณตกใจเมื่อเห็นณัฐชาเตรียมแข่งเจ๊ตสกีกับฤทธิ์ เธอส่งเสื้อชูชีพให้อย่างกังวล
“ณัฐชา นี่เธอเอาจริงเหรอ”
ณัฐชาดันเสื้อชูชีพกลับไป ไม่ยอมใส่
“ไม่ต้องห่วงเพื่อนรัก แค่นี้ฉันเอาอยู่”
“แต่ว่าเธอไม่เคยขับเจ๊ตสกีนะ”
“มันก็เหมือนมอเตอร์ไซด์นั่นแหละ แค่ไม่มีล้อเท่านั้นเอง” เธอหันไปมองฤทธิ์ “และที่สำคัญ คุณโทมัสเขาต่อให้ฉันก่อนครึ่งรอบ งานนี้ฉันชนะขาด”
ฤทธิ์ยิ้มเย้ย
“ให้ชนะก่อนแล้วค่อยโม้ก็ได้ครับผู้หมวด”
ณัฐชายื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆพูดเบาๆ
“อย่าลืมนะ ถ้านายแพ้ นายต้องเลิกยุ่งกับเพื่อนฉัน”
“แล้วถ้าคุณแพ้ คุณก็ต้องเลิกวุ่นวายกับผมเหมือนกัน”
ณัฐชาเชิดหน้าปลีกตัวไปที่เจ๊ตสกี แต่ปีนไม่ขึ้น เก้ๆ กังๆ เพราะมันลอยอยู่ในน้ำที่สูงกว่าเอวเธอ ฤทธิ์กับไอริณต้องมองกันปลงๆอยู่สักพัก
“ให้ผมช่วยมั้ยคุณตำรวจ”
“ไม่ต้อง”
“แต่เราแข่งกันวันนี้นะ ผมไม่อยากเสียเวลากับเรื่องส่วนสูงของคุณ”
ไอริณแอบกลั้นหัวเราะ ณัฐชาหันมามองตาขวาง เธอกัดฟัน
“ช่วยหน่อยก็ดี”
ฤทธิ์ส่ายหน้าเอือมๆ ก่อนจะช่วยประคองเธอขึ้นเจ๊ตสกี แล้วผละไปที่เจ๊ตสกีของตน
“ชิ...ทำเก๊กไปเหอะ เดี๋ยวได้สลดใจแน่ นายโทมัส” ณัฐชารำพึง
เครื่องเจ๊ตสกีพ่นน้ำออกมาด้วยกำลังแรงสุดของมัน ณัฐชาขี่เจ๊ตสกีนำหน้าฤทธิ์ไปไกลลิบ ไอริณหันมาถามฤทธิ์อย่างหนักใจ
“ต่อขนาดนี้จะไหวเหรอคะ”
ฤทธิ์ยิ้ม
“เดี๋ยวก็รู้ครับ”
ฤทธิ์รอจนณัฐชาแล่นนำไประยะนึง ก็ออกเครื่องเจ๊ตสกีตามหลังไป...การแข่งขันดำเนินไปอย่างดุเดือด ณัฐชาพยายามขี่เจ๊ตสกีดักทางไม่ให้ฤทธิ์ขึ้นแซงหน้า ขณะที่ไอริณเฝ้ามองการแข่งขันด้วยความลุ้นระทึก ในระหว่างนั้นไม่มีใครสังเกตเลยว่ากรณ์ได้เดินนำยักษ์กับเอมี่เข้ามาซุ่มดูห่างๆ เอมี่มองณัฐชาแล้วถาม
“ผู้หญิงอีกคนเป็นใคร”
“ตำรวจ” กรณ์ตอบเรียบๆ
ยักษ์กับเอมี่มองหน้ากัน เริ่มรู้สึกว่างานนี้ออกจะยากขึ้นมาอีกเล็กน้อย...ณัฐชากับฤทธิ์ยังคงแข่งขันกันอย่างดุเดือด ณัฐชายังคงใช้วิธีสลับฟันปลาเพื่อไม่เปิดทางให้ฤทธิ์แซงขึ้นมาได้
“รอบสุดท้าย นายเสร็จแน่ นายโทมัส”
“ใครเสร็จใครกันแน่”
ว่าแล้วฤทธิ์ก็เร่งเครื่องสุดกำลังแล้วใช้เทคนิคพุ่งเจ๊ตสกีดำหายลงไปในน้ำ ณัฐชาหันมาแล้วชะงักด้วยความแปลกใจ
“อ้าว...หายไปไหนเนี่ย”
ฤทธิ์พุ่งเจ๊ตสกีขึ้นมาเหนือน้ำตรงเบื้องหน้า ณัฐชาตะลึงงัน
“นายโทมัส”
ฤทธิ์หันมาตะเบ๊ะให้ไอริณ ก่อนจะเร่งเครื่องแซงนำโด่งไปเห็น ๆ ณัฐชากัดฟันด้วยความแค้นแล้วเร่งตาม
“ฉันไม่ยอมแพ้แค่นี้หรอก นายเบื๊อก”
ณัฐชามัวห่วงแต่การเร่งเครื่องไล่ตามฤทธิ์จนลืมสังเกตทุ่นที่ที่กีดขวาง ทำให้เครื่องเกิดการกระโจนไปในอากาศ เจ๊ตสกีพุ่งลอยละลิ่วไปในขณะที่ร่างของณัฐชาร่วงจมหายไปในน้ำ ไอริณที่ยืนมองการแข่ขันอยู่ตกใจมาก
“ณัฐชา”
ฤทธิ์ตกใจหันมองกลับไปแล้วไม่พบวี่แววของณัฐชา ไอริณตะโกนลั่น
“คุณโทมัส ณัฐชาจมน้ำ”
ฤทธิ์รีบเร่งเครื่องกลับไปใกล้จุดเกิดเหตุ ก่อนจะดับเครื่องแล้วถอดเสื้อชูชีพของตนออก เขารีบดำน้ำลงไปหาเธอ ไอริณมองด้วยความลุ้นระทึก เพราะฤทธิ์ดำหายไปนานพอสมควรแต่แล้วเขาก็โผล่ขึ้นมาเกาะเครื่องเจ๊ตสกีเอาไว้ พร้อมด้วยร่างที่หมดสติของณัฐชา ไอริณตะโกนถาม
“ณัฐชาเป็นยังไงบ้างคะ”
ฤทธิ์เขย่าตัว
“ณัฐชา คุณตำรวจ คุณตำรวจ”
ร่างของณัฐชาถูกวางลงที่ริมฝั่ง โดยมีไอริณและไทยมุงจำนวนหนึ่งคอยดูด้วยความเป็นห่วง ฤทธิ์จัดการผายปอดให้เธออย่างจริงจังเคร่งเครียด ไอริณลุ้นระทึก ขณะที่พวกไทยมุงเริ่มพูดคุยกัน
“จมไปตั้งนาน สงสัยคงไม่รอด”
“รถพยาบาลยังมาไม่ถึงอีกเหรอ”
ไทยมุงคนหนึ่งเข้ามาบอกไอริณ
“คุณ...พาไปหาหมอเถอะ ช่วยเองไม่ไหวหรอก”
ไอริณหน้าเสียเป็นห่วงเพื่อน
“คุณโทมัสคะ”
ฤทธิ์ไม่สนใจยังคงมุ่งมั่นจะช่วยณัฐชา ภาพของใจทิพย์จมน้ำโดยที่เขาไม่สามารถช่วยได้แว่บเข้ามา ฤทธิ์รำพึงเบาๆ
“ใจทิพย์ ฟื้นสิ ฟื้น”
ไอริณได้ยินไม่ถนัดว่าฤทธิ์พูดอะไร แต่สังเกตเห็นว่าแววตาของเขาค่อนข้างหวาดวิตกกับอาการของณัฐชา ภาพของณัฐชาที่หมดสติ กับภาพของใจทิพย์ที่กำลังขาดใจสลับกันแว่บเข้ามา ใจทิพย์สิ้นใจ ขณะที่ณัฐชาแน่นิ่ง ฤทธิ์ตัดสินใจก้มลงประกบปากผายปอดให้เธออีกครั้ง จังหวะนั้นเองที่ณัฐชาก็ฟื้นขึ้นมาเห็นเข้าพอดี เธอดันเขาออก
“เฮ้ย...ไอ้ลามก”
“เดี๋ยวก่อน ผมแค่…”
ณัฐชาชกฤทธิ์จนหน้าหัน ไอริณตกใจรีบเข้ามาอธิบาย
“ณัฐชา...เธอทำอะไรของเธอ คุณโทมัสช่วยเธอเอาไว้นะ”
ณัฐชาชะงักเหมือนเพิ่งได้สติ พอมองไปก็เห็นไทยมุงจ้องอยู่เต็มไปหมด ถึงนึกได้ว่าตัวเองจมน้ำ ด้วยความเสียหน้าและทำอะไรไม่ถูกเธอจึงได้ปลีกตัวหนีไป ไอริณหน้าเหวอ
“อ้าวณัฐชา เธอจะไปไหน ณัฐชา”
กรณ์ซึ่งยังซุ่มอยู่กับเอมี่และยักษ์ พอเห็นสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นก็ได้ไอเดีย กรณ์สั่งการ
“ยักษ์ แกจัดการเป้าหมาย เอมี่เธอล่อยัยตำรวจนั่นไปที่อื่น ส่วนฉันจะคอยกันคุณไอริณ”
ณัฐชาเข้ามาในห้องห้องล็อกเกอร์หญิง เปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างฉุนเฉียว ขณะที่ไอริณตามเข้ามาเตือนสติ
“ณัฐชา”
“เธอควรอยู่ห่างๆหมอนั่นไอริณ ฉันดูออก หมอนั่นต้องมีปัญหาแน่”
“แต่ฉันว่าเธอต่างหากที่มีปัญหา คุณโทมัสเขาช่วยเธอเอาไว้นะ เธอต้องไปขอโทษเขา”
ณัฐชาอึกอัก เสียฟอร์ม
“ไม่จำเป็น เขาเป็นคนร้าย”
“มีเหตุผลหน่อยได้มั้ย เขาคือโทมัส ไม่ใช่ฤทธิ์ ราวี”
ณัฐชาจ้องหน้า
“แปลว่าเธอไม่เชื่อฉัน”
ไอริณ พยักหน้า
“ใช่...จนกว่าเธอจะสำนึกผิด”
ไอริณปลีกตัวออกมา ทิ้งให้ณัฐชามองตามด้วยความสับสน
ไอริณเดินหงุดหงิดจะกลับไปที่บึง แต่แล้วกรณ์ที่ซุ่มอยู่ก็โผล่มาคว้าแขนเธอเอาไว้
“คุณไอริณ”
ไอริณตกใจ
“นี่นาย...”
“มีเหตุฉุกเฉิน คุณต้องไปกับผม”
ไอริณงุนงงกับท่าทีของกรณ์
ฤทธิ์อยู่ในห้องล็อกเกอร์ชาย เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วกำลังมองหน้าตัวเองในกระจก
“ยัยตำรวจตัวแสบ อุตส่าห์ช่วยไว้แท้ๆ รู้งี้ปล่อยให้ขึ้นอืดซะก็ดี”
ระหว่างนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงประตู…ใครคนหนึ่งเข้ามาในห้องล็อกเกอร์ ก่อนจะกดล็อกประตูเอาไว้ ฤทธิ์หันไปและพบว่าคนๆนั้นคือ ยักษ์
“สบายดีเหรอผู้หมวด ไม่เจอกันซะนาน”
ฤทธิ์อึ้งไป ขณะที่ยักษ์หักข้อนิ้วตัวเองกร๊อบๆ เตรียมตัวใช้กำลัง
กรณ์ฉุดกระชากลากตัวไอริณมาที่ลานจอดรถ
“นี่นาย...นายจะพาฉันไปไหน นายไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้นะ”
“ก็ผมบอกแล้วไงว่านี่เป็นเหตุฉุกเฉิน คุณต้องขึ้นรถแล้วไปกับผมเดี๋ยวนี้”
ไอริณรวบรวมความกล้าอึดใจหนึ่ง
“ฉันไม่ไป”
ไอริณเดินหนี กรณ์ตัดสินใจใช้ฝ่ามือฟันก้านคอเธอจนสลบ แล้วรีบรับร่างเธอไว้ก่อนจะล้มไป
ณัฐชาเดินเซ็งออกมาจากห้องล็อกเกอร์และเตรียมตัวจะกลับบ้าน โดยเธอไม่รู้ตัวเลยว่าขณะนั้นเอมี่กำลังติดที่เก็บเสียงใส่ปากกระบอกปืนอย่างใจเย็น เอมี่ตั้งหลักเล็งปืนใส่ณัฐชา แต่เท้าดันเหยียบถูกกิ่งไม้แห้งเข้าจนหัก ณัฐชาชะงัก
“ไอริณ นั่นเธอรึเปล่า”
เอมี่ยิงปืนใส่เพื่อเป็นการข่มขู่ ณัฐชารีบหลบหาที่กำบังพอหันมาก็เห็นแค่หลังเอมี่ที่กำลังวิ่งหนีไปไวๆ
“นั่นใครน่ะ หยุดนะ”
เอมี่ไม่หยุด ณัฐชารีบชักปืนและวิ่งตามไป
ฤทธิ์ถูกยักษ์อัดจนกระเด็นมาที่มุมหนึ่ง สีหน้าของฤทธิ์ไม่ได้อ่อนล้าจริงจัง เขาคอยชำเลืองมองยักษ์รอจังหวะ
“อย่าฟอร์มน่าผู้หมวด คุณก็รู้ว่าผมเป็นใคร” ยักษ์เดินตามมากระชากคอ
“ฉันไม่รู้จักแก แกต้องการอะไร”
“ปากแข็งสิท่า...ก็ได้ ดูซิว่าคุณจะอึดซักแค่ไหน”
ยักษ์ลงมือซ้อมอย่างหนัก ฤทธิ์พยายามแค่ปัดป้องไม่ได้ตอบโต้แต่ประการใดเลยถูกยักษ์ซ้อมอย่างหนักหน่วง ข้าวของในห้องน้ำพังพินาศหลายรายการ ฤทธิ์ทรุดไปกับพื้น เขามองแสงไฟนีออนบนเพดานพร่าเลือน ขณะที่ยักษ์เดินมาค้ำหัว
“อย่าเพิ่งสลบ นี่เพิ่งยกแรก”
ฤทธิ์อยู่ในอาการเบลอเพราะพิษบาดแผล แต่มีอย่างหนึ่งที่เขายังจำได้…
ก่อนหน้านี้ คืนงานเลี้ยง ก่อนที่ฤทธิ์จะลงมาที่งานเลี้ยง มาดามหลิวได้กล่าวเตือน
“แขกที่ฉันเชิญมาวันนี้ มีหลายคนที่ฉันสงสัยว่าเป็นพรายพิฆาต ดังนั้นเธออาจจะได้เจอกับศัตรูเก่าบางคน แต่งานนี้สิ่งที่เราต้องการก็คือสอดแนม ไม่ใช่ล้างแค้น”
“แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง”
“อดทน เธอต้องอดทนเข้าไว้”
ฤทธิ์โดนชกจนล้มอีกครั้ง เขาตะเกียกตะกายไปกอดกระถางที่มุมห้องเพื่อประคองตัวให้ลุกขึ้นนั่ง ยักษ์ตามมาอย่างชะล่าใจ
“เปล่าประโยชน์น่าผู้หมวด จะตายอยู่แล้วยังคิดหนีอีกเหรอ ถ้าแน่จริงก็แสดงฝีมือออกมาเลย ไม่งั้นคุณเสร็จผมแน่…”
ยักษ์มัวฝอยไม่ทันจบ ฤทธิ์ก็ลุกขึ้นคว้ากระถางหวดฟาดใส่จนแตกกระจาย ยักษ์ต่อให้แกร่งแค่ไหน พอเจอฟาดเข้าไปเต็มๆแบบนั้นก็สลบไปในชั่วพริบตา ฤทธิ์ทิ้งเศษกระเบื้องที่แตกคามือไป ก่อนจะเดินโงนเงนไปมองยักษ์
“ฆ่าแก มันไม่ยากหรอกเพื่อน แต่เป้าหมายของฉันตอนนี้คือคนที่อยู่เบื้องหลังของแกต่างหาก”
ฤทธิ์หยิบเครื่องส่งสัญญาณ GPS ขนาดเล็กออกมา แล้วใส่ไปในกระเป๋ากางเกงของยักษ์ เสียงปืนดังขึ้น ฤทธิ์หันมองไปอย่างเอะใจ
“ณัฐชา...ไอริณ”
ในป่าละแวกบึงเช่าเจ๊ตสกี...ณัฐชาวิ่งไล่ตามเอมี่มาอย่างไม่ลดละ
“หยุด นี่ตำรวจ ฉันบอกให้หยุดเดี๋ยวนี้”
ณัฐชายิงปืนขู่ เอมี่รีบหลบเข้าที่กำบัง
“นังตำรวจบ้า...อย่าอยู่เลย”
เอมี่โผล่ออกมายิงใส่หลายนัด จนณัฐชาต้องรีบโผหลบ พอตั้งหลักได้ก็ไม่เห็นเอมี่เสียแล้ว เธอรีบมุ่งหน้าเข้าไปดูขณะที่ณัฐชากำลังมุ่งหน้าไปยังจุดที่เอมี่เคยหลบอยู่ เอมี่ก็แอบย่องมาด้านข้าง หมายจะลอบยิง แต่แล้วฤทธิ์ก็ตามมาเห็นเข้าเสียก่อน
“ผู้หมวดระวัง”
ฤทธิ์กระโดดรวบตัวณัฐชาให้พ้นทางปืน
“คุณ”
“ตามผมมา”
“ไม่...ฉันจะจัดการกับมัน”
“คุณสู้เธอไม่ได้หรอก หนีเถอะ”
ฤทธิ์กระชากณัฐชาหนีไปกับตน เอมี่ยิงตามหลายนัด
ฤทธิ์จูงณัฐชาวิ่งหนีมา เอมี่ตามมาไล่ยิงด้วยความแค้น ณัฐชาสะบัดมือจากฤทธิ์แล้วหันไปยิงตอบโต้ ฤทธิ์ต้องตามไปลากมาอีก
“พอได้แล้ว เผ่นซะทีเถอะ”
ฤทธิ์พาณัฐชากลับมาที่ลานจอดรถ ตรงไปที่รถของณัฐชา
“ขึ้นรถ แล้วหนีไปซะ”
ณัฐชาชะงักนึกได้
“เดี๋ยวก่อน แล้วไอริณล่ะ”
“ไอริณปลอดภัย พวกมันไม่ทำร้ายเธอหรอก”
“คุณรู้ได้ยังไง อ้อ...นี่คิดจะหนีลูกเดียวสิท่า”
“ผมชักจะเหลืออดแล้วนะคุณตำรวจ คุณจะระแวงผมไปถึงไหนกัน เชื่อผมสักเรื่องไม่ได้หรือไง”
“ไม่มีทาง ก็นายมัน…”
ณัฐชาพูดไม่ทันขาดคำ เอมี่ที่อยู่ในระยะไกลก็โผล่มายิงที่ยอดอกของฤทธิ์จนเซ ณัฐชารีบประคอง
“นายโทมัส”
ฤทธิ์กัดฟัน
“หนีไป”
“แข็งใจไว้ก่อนนะ ฉันจะรีบพาคุณไปหาหมอ”
ณัฐชาหันไปยิงสกัดเอมี่ ก่อนจะพาฤทธิ์ขึ้นไปนอนที่เบาะหลัง แล้วขึ้นขับรถออกไปอย่างเร็วล้อรถหมุนพรืดฝุ่นตลบ เอมี่เจ็บใจ
“ฮึย ไอ้หมอนั่นมันหลุดมาได้ยังไง...” เอมี่เอะใจ “หรือว่านายยักษ์”
เอมี่ผลักประตูห้องน้ำเข้ามา แล้วตรงไปเขย่าตัวยักษ์ที่นอนหมดสติอยู่
“ยักษ์...ยักษ์”
ยักษ์ฟื้น
“เอมี่”
“อย่าบอกนะว่านายถูกหมอนั่นเล่นงาน มันคือฤทธิ์ ราวีใช่รึเปล่า”
“ใช่ที่ไหน ฉันซัดมันซะหมอบ...แต่ดันเผลอไปหน่อยก็เลย…”
เอมี่เจ็บใจ
“ชิ...ไม่ได้เรื่อง”
เอมี่ผละไป ทิ้งให้ยักษ์มองตามอย่างเสียหน้า
ณัฐชาขับรถหนีโดยมีฤทธิ์นอนบาดเจ็บอยู่ที่เบาะหลัง ระหว่างนั้นณัฐชารีบคว้าโทรศัพท์มือถือมาต่อสายหาไอริณแต่ติดต่อไม่ได้ ณัฐชากังวลเป็นห่วงเพื่อน เธอฝากข้อความ
“ไอริณ ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ถ้าได้ข้อความแล้วโทรหาฉันด่วนจี๋เลยนะ นายโทมัสของเธอเขาถูกยิง” ณัฐชาวางสาย คุยกับฤทธิ์ผ่านกระจกหน้า “นี่คุณ อย่าเพิ่งตายนะ จวนจะถึงโรงบาลแล้ว อดทนอีกนิดเดียว”
บาดแผลของฤทธิ์สมานตัวอย่างรวดเร็วด้วยพลังของน้ำตามัจจุราช ฤทธิ์ลืมตาขึ้นอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นนั่ง
“ไม่เป็นไร ผมหายแล้ว”
ณัฐชาตกใจ
“เย้ย”
ณัฐชาเหยียบเบรก จอดรถพรืดแล้วหันมาดูฤทธิ์อย่างไม่เชื่อสายตา เธอตกใจจนพูดไม่ออก ได้แต่ชี้ๆๆ
“นี่คุณ…คุณ…คุณ…คุณ…”
“อะไร”
“ก็คุณถูกยิงนี่ แล้วลุกขึ้นมาได้ยังไง แล้วนั่นแผลคุณ...ทำไมเลือดคุณถึงเป็นสีฟ้าล่ะ”
ณัฐชามองรอยเลือดของฤทธิ์ที่เป็นสีฟ้า
“เลือดที่ไหน กระสุนเพ้นท์บอลต่างหาก”
“อะไรนะ ไอ้ที่ยิงกันโป้งป้างตะกี๊ กระสุนปลอมเหรอ”
ฤทธิ์ยักไหล่เหมือนไม่แน่ใจ ณัฐชาได้แต่อึ้งไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น
นำชัยดูอาการของไอริณที่นอนหมดสติอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขก ก่อนจะหันไปต่อว่ากรณ์ที่ยืนจิบเครื่องดื่มอยู่อย่างใจเย็น
“นายมีสิทธิ์อะไรถึงมาทำกับลูกสาวฉันแบบนี้ ตกลงนายจะเป็นเจ้านายหรือเป็นลูกน้องฉันกันแน่”
“อย่าเพิ่งโมโหสิครับ ที่ผมต้องทำแบบนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของคุณไอริณ”
“จากอะไร”
“มิสเตอร์โทมัส หลิว ผมสงสัยว่าเขาจะเป็นศัตรูของพรายพิฆาตและที่มาตีสนิทกับคุณไอริณ ก็เพื่อล้วงความลับจากท่าน”
“ไม่จริง นายอย่าลืมสิว่าหมอนั่นช่วยไอริณเอาไว้”
“แค่นั้นยังไม่พอหรอกครับสำหรับความไว้ใจ ก็ขนาดภรรยาของท่านยังเคยหักหลังท่านมาแล้ว จนท่านต้อง…”
นำชัยถลึงตามองกรณ์ด้วยความโกรธ กรณ์ทำตกใจ รีบเอามือปิดปากล้อเลียนขำๆ
“อุ๊บ...ลืมไป เรื่องนี้ต้องปิดเป็นความลับ”
ไอริณซึ่งนอนอยู่บนโซฟา ขณะนั้นเธอตื่นอยู่ก่อนแล้วและได้ยินการสนทนาเกือบทั้งหมด
เธอเริ่มสงสัยจุดเชื่อมโยงระหว่างพ่อของเธอ กรณ์ พรายพิฆาต และการตายของแม่
อ่านต่อตอนที่ 4