xs
xsm
sm
md
lg

สาปพระเพ็ง ตอนที่ 3

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สาปพระเพ็ง ตอนที่ 3
ในบ้านอภิมุข เพชรดากอดหลานแน่น พัทธยาจะเดินเข้ามาใกล้ อภิชาติส่งเสียงร้องอื๊ออ๊า "ไม่ต้องกลัว นิ่งซะ ตาหนึ่ง... อาอยู่ตรงนี้นะครับ"
พัทธยาจะเดินมาใกล้ อภิชาติซุกตัวหลบด้วยความกลัว เพชรดาเสียงกระด้างใส่พัทธยาทันที
"อย่าเข้ามานะ ออกไป"
"ผมขอโทษ"
"ก็สมควรแล้วที่จะต้องขอโทษ ถึงจะเป็นตำรวจแต่ถ้าไม่มีหมายค้น ไม่มีคำอนุญาตจากเจ้าของบ้าน ก็อย่าละเมิดสิทธิ์ด้วยการบุกรุก นี่เป็นการกระทำของคนมารยาททราม"
พัทธยายังไม่ทันจะเอ่ยอะไร เพชรดาก็พูดสวนขึ้นมาอีก
"ที่นี่ไม่มีผู้ต้องสงสัยของคุณ... นั่นประตู"
สีหน้าน้ำเสียงเพชรดาไม่พอใจมาก

บริเวณสวน นรสิงห์ยืนนิ่ง มองทุกคนด้วยใบหน้าและแววตาทรงอำนาจ รัดเกล้าเห็นหน้านรสิงห์ ก็ใจหวิวจนทรงตัวไม่อยู่ เข่าอ่อน สถบดีหันมาเห็นพอดี
"รัดเกล้า"
สถบดีรับร่างรัดเกล้าไว้ก่อนจะร่วงลงไปกองกับพื้น คทารัตน์เหมือนได้สติขึ้นมาทันที
"ตายแล้ว ยายเกล้า มาเป็นลมอะไรตรงนี้"
"รัดเกล้า รัดเกล้า"
สถบดีก้มลงจะอุ้มรัดเกล้า คทารัตน์เห็นก็แหวขึ้นทันที
"ผู้กองไผ่"
"เก็บเขี้ยวไว้ก่อน เจ๊ หรือจะปล่อยให้คุณเกล้ากองอยู่ที่นี่" วิวรรธน์บอก
คทารัตน์เห็นสถบดีอุ้มน้องขึ้นมาก็หวงและห่วง เธอพูดพร้อมกับหันไปทางนรสิงห์เพื่อขออนุญาต
"ขอพาน้องเข้าไปนั่งพักในบ้านหน่อยนะ...คะ"
นรสิงห์หายไปจากตรงนั้นแล้ว
"เอ๊ะ ฉันตาฝาด หรือว่า... เค้าหายตัวได้"
ทุกคนมองหานรสิงห์ แต่ไม่มีใครเห็นตรงนั้น คทารัตน์หันไปเห็นประตูบ้านซึ่งเมื่อครู่ซึ่งยังปิดสนิท ถูกเปิดออกจากภายในโดยนรสิงห์
"ต๊าย ... แว๊บเข้าบ้านไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เปิดประตูรอเลยเอ้า"
ทุกคนมองตาม เห็นนรสิงห์ยืนอยู่ตรงหน้าประตูบ้านชั้นใน
"เชิญ"
นรสิงห์เอ่ยออกมาเพียงแค่นั้น แต่หัวใจของสถบดีกลับรู้สึกถึงอำนาจคุกคามของชายผู้นี้ ด้วยความเป็นห่วงรัดเกล้าต้องการให้ใกล้ผู้ชายลึกลับ แววตาประหลาดตรงหน้า สถบดีตัดสินใจปฏิเสธทันที
"ผมจะพารัดเกล้ากลับไปที่รถ"
"จะบ้าเหรอ เอายายเกล้าพักที่นี่ แล้วผู้กองนั่นแหละขับรถมารับน้องชั้น" คทารัตน์บอก
นรสิงห์ยืนมองมา วิวรรธน์ช่วยพูดอีกคน
"พาคุณเกล้าไปด้านในก่อนดีกว่าครับ เผื่อจะดีขึ้น"
สถบดีมองรัดเกล้าที่เขาอุ้มไว้แนบอก แล้วมองนรสิงห์ เห็นแววตาของชายลึกลับผู้นั้นไม่ได้บ่งบอกความรู้สึกใดๆ ยิ่งทำให้สถบดีไม่อยากเข้าไป
"จะอุ้มน้องฉันอีกนานมั้ย ผู้กองไผ่"
คทารัตน์เดินนำไป สถบดีจำใจเดินตาม วิวรรธน์ตามหลัง นรสิงห์ก้าวเดินตาม แล้วประตูบานนั้นก็ปิดลงช้าๆด้วยตัวของมันเอง

ภายในบ้านนรสิงห์กว้างโล่ง ปราศจากเครื่องประดับประดาเช่นบ้านทั่วไป เก้าอี้ที่นั่งดูหนา หนักทะมึน สิ่งที่เด่นที่สุดในสถานที่นี้คือรูปปั้นสุริยะเทพตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ภาพเขียนดวงอาทิตย์
สีแดงจัดบานใหญ่ที่ติดผนัง ทุกบานหน้าต่างที่ปิดอยู่มีม่าน ดูลึกลับและมีอำนาจ
สถบดีมองแล้วรู้สึกอึดอัด ตรงข้ามกับคทารัตน์และวิวรรธน์ที่มองอย่างคุ้นเคยในความรู้สึก เขาวางรัดเกล้าลงที่เตียงไม้ยาวที่ลวดลายของเตียงเป็นของเก่า
นรสิงห์ยืนมองมาที่รัดเกล้า สถบดีไม่ชอบสายตาคู่นั้น ต่างจากคทารัตน์ที่ยิ้มให้กับนรสิงห์
"บ้านแต่งเรียบง่ายนะคะ ดูขลังมากเลย"
"ผมจะไปเอารถมารับรัดเกล้า"
"เดี๋ยวก็ตื่น" นรสิงห์บอก
"คะ... ว่าไงนะคะ เดี๋ยวยายเกล้าก็ตื่นเหรอคะ"
นรสิงห์มองด้วยสายตาว่าใช่ คทารัตน์เห็นแล้วรีบออกตัว
"ที่จริงวิกกี้ก็เกรงใจนะคะต้องรบกวนคุณ...เอ่อ... โทษนะคะ คุณชื่ออะไร"
"นรสิงห์"
คทารัตน์กับวิวรรธน์ทวนชื่อพร้อมกันอย่างอัตโนมัติ
"นรสิงห์"
ตรงข้ามกับสถบดีที่สีหน้าไม่ชอบชื่อนี้ขึ้นมาทันที โดยไม่มีสาเหตุ
"นรสิงห์ สีหบดี"
สิ้นคำของนรสิงห์ที่เอ่ยชื่อของตัวเองออกมา เหมือนเป็นเสียงกระตุกให้ร่างทั้งร่างของรัดเกล้าฟื้นขึ้น
"รัดเกล้า" สถบดีเรียก
"ฟื้นแล้ว" คทารัตน์บอก
รัดเกล้าลืมตาตื่นขึ้นมา ทุกคนมองเป็นห่วง นรสิงห์จ้องมองดวงหน้าของรัดเกล้า ราวกับจะเร้นเข้าไปให้ถึงก้นบึ้งของหัวใจ สถบดีอึดอัดไม่ชอบใจกับแววตาของนรสิงห์ คทารัตน์ก้มลงดูน้อง แต่เสียงรอดไรฟัน
"ลุกไหวมั้ย ไม่ไหวก็ต้องลุก แกกำลังทำฉันขายหน้า"
รัดเกล้าเห็นสายตานรสิงห์ ทั้งกลัวเกรง อึดอัดไปทั้งร่าง รีบลุกขึ้น เขยิบตัวไปเบียดชิดพี่สาว
หลบตาอีกฝ่ายที่มองมา
"เกล้าไม่เป็นอะไรแล้ว กลับ กลับกันเถอะค่ะ"
"ไปเลยครับ" สถบดีขานรับทันที
"จะรีบไปไหน ตั้งใจมาหาเราไม่ใช่หรือ"
ทุกคนแปลกใจกับคำพูดของนรสิงห์ เขานั่งลงในเก้าอี้กว้างสีดำทะมึน มองมาที่ทุกคน

ในบ้านอภิมุข พัทธยาเดินลงมา ยอดชายกับมุรธารออยู่แล้ว อภิวัตน์มองแล้วเอ่ยถาม
"เพชรดาร้ายไม่ผิดจงอางหวงไข่ หน้าผู้กองเหมือนถูกฉกมาแล้ว"
พัทธยาเห็นสายตาและรอยยิ้มเหมือนเยาะของอภิวัตน์
"เด็กคนนั้น"
"ไอ้หนึ่ง ลูกชายคนเดียวของพี่ดำ สภาพ.. .. ก็อย่างที่ผู้กองเห็น เหนื่อยหน่อยนะ ถ้าคิดจะสอบปากคำเด็กดาวน์"
อภิวัฒน์หัวเราะหยันๆในน้ำเสียง พัทธยาเงยมองขึ้นไปชั้นบน เห็นเพชรดามองลงมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งแต่แววตาแสดงออกชัดจนว่าไม่พอใจที่เขาเข้ามาวุ่นวายกับหลาน

คทารัตน์ยิ้มให้กับนรสิงห์
"ก็ไม่ถึงกับสอบปากคำหรอกนะคะ มันเป็นหน้าที่ของพวกดิฉันที่จะต้องสืบหาคำตอบเรื่อง..."
"ฆาตกรรม"
ทุกคนมองนรสิงห์อย่างอึ้งๆ คทารัตน์กำลังจะถามต่อ แต่นรสิงห์กลับไม่สนใจ หันไปทางรัดเกล้า
สถบดีอึดอัด ไม่อยากทนอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อเลยสักนาที
"ผมจะพารัดเกล้าไปโรงพยาบาล"
แล้วนรสิงห์ก็ดึงความสนใจของทุกคนกลับมาอีกครั้ง
"อยากรู้อะไรเกี่ยวกับบ้านหลังนั้นล่ะ"
สายตาท่าทางของคทารัตน์อยากรู้ขึ้นมาทันที จนลืมเรื่องน้องสาวป่วยไปเลย
"คุณมีอะไรที่อยากบอกเราบ้างมั้ยคะ เช่นได้ยินอะไร หรือว่าใครกันที่น่าจะเป็น ..."
"ฆาตกร"
"ใช่ค่ะ ...หรือเรื่องคนในบ้านที่คุณรู้จัก"
"ไม่รู้จัก เพราะ...ไม่เคยก่อกรรมร่วมกัน"
นรสิงห์พูดพลางมองรัดเกล้ากับสถบดี
คทารัตน์เถียงทันที
"วิกกี้ว่าเรื่องเวรเรื่องกรรมนี่ไม่น่าจะเกี่ยวกับคดี"
วิกกี้เถียงอย่างคนไม่เชื่อเรื่องกรรม แต่นรสิงห์กลับมองจ้องแต่คนทั้งคู่
"เกี่ยวสิ... ต้องเกี่ยว เพราะเลือดต้องล้างด้วยเลือด ต้องตามชำระให้ถึงที่สุด"
ขาดคำนรสิงห์ รัดเกล้ารู้สึกใจหวิวๆ สถบดีก็รู้สึกกระอักกระอ่วนมากขึ้นอย่างบอกไม่ถูก รัดเกล้าแข็งใจพูดขึ้นก่อนจะเป็นลมอีกครั้ง
"พี่วิกกี้... เกล้าขอไปรอข้างนอกนะคะ"
รัดเกล้าไม่รอให้ใครอนุญาต รีบวิ่งออกไป สถบดีตามออกไปอีกคนทันที คทารัตน์สีหน้าเข่นเขี้ยวแบบขัดใจเต็มทีที่เสียจังหวะ
"ไปเถอะ...เราต้องได้เจอกันอีก" นรสิงห์บอก
คทารัตน์กับวิวรรธน์หันมามองนรสิงห์ด้วยสายตาเกรงใจ
"เอ่อ...ขอบคุณมากนะครับ" วิวรรธน์ว่า
"อย่าเพิ่งหนีไปไหนนะคะ วิกกี้จะมาใหม่ ชอบคุยกับคุณนรสิงห์จังเลยค่ะ แปลกนะคะ รู้สึกสนิทชิดเชื้อขึ้นมาซะหยั่งงั้น เหมือนรู้จักกันมานานเป็นพันปี ลาละค่ะ"
คทารัตน์ยิ้มให้นรสิงห์ สิงห์จ้องลึกลงในสายตาวิวรรธน์ ทั้งคู่รีบตามออกไป
นรสิงห์มองตามทั้ง 4 คน คลี่รอยยิ้มลึกลับและแววตาน่ากลัว

รัดเกล้าออกมานอกบ้านนรสิงห์ สถบดีวิ่งตามมา
"รัดเกล้า"
"เกล้าไม่อยากเข้าไปในบ้านนั้น"
"ผมก็เหมือนกัน"
รัดเกล้ามองหน้า นึกไม่ถึงว่า สถบดีจะบอกสิ่งที่ตัวเองรู้สึก
"ผมไม่ชอบหน้านรสิงห์ อย่าถามนะว่าทำไม... ไม่รู้... คุณเป็นเหมือนผมหรือเปล่า"
รัดเกล้ายังไม่ทันตอบ สถบดีเดินเข้ามาใกล้
"เมื่อกี๊ผมยังไม่ได้แตะตัวคุณเลย... คุณก็เป็นลมไปแล้ว รัดเกล้า คุณเกลียดผม ผมรู้ แต่ผมเป็นห่วงนะ ผมต้องรับผิดชอบคุณ"
สถบดีส่งสายตาห่วงใย รัดเกล้ายังไม่ทันตอบอะไร คทารัตน์กับวิวรรธน์เดินออกมาพอดี
"ให้หน้าที่ดูแลรัดเกล้าเป็นของคนในครอบครัวดีกว่า ผู้กองไผ่"
คทารัตน์เข้ามายืนข้างน้องสาว จ้องเขาด้วยสายตาดุ ไม่วางใจ
"ต้นเหตุของโรคประหลาด มันก็อยู่แถวนี้ .. รู้ตัวแล้วก็ถอยออกไป ออกไปห่างๆ กระเด็นไปจากชีวิตน้องสาวฉันเลยยิ่งดี"
คทารัตน์กระชากน้องสาวออกไป สถบดีมองอย่างหงุดหงิด วิวรรธน์เห็นก็เตือน
"เจ๊แกก็ห่วงน้องในแบบของแกนะครับ"
"เออ...เห็นแล้ว มีเขี้ยวน้ำลายไหลหางตกอีกหน่อย ฉันคงเชื่อว่าเป็นหมาบ้า"
สถบดีสีหน้าหงุดหงิด หันมองกลับไปมองในบ้าน ยิ่งหงุดหงิดบอกไม่ถูก
"คุณนรสิงห์ ท่าทางแกจะช่วยเราได้" วิวรรธน์บอก
"ถ้าช่วยได้จริง ทำไมเพิ่งมาโผล่เอาป่านนี้ ทำตัวลึกลับ เรียกร้องความสนใจมากกว่า"
"ความสนใจจากใครครับ เจ๊วิกกี้หรือว่ารัดเกล้า"
สถบดีฟังแล้วยิ่งอารมณ์ขึ้น หันหลังเดินออกไป วิวรรธน์มองกลับไปที่บ้านนรสิงห์อีกครั้งแล้วเดินตามออกไปเช่นกัน
บริเวณประตูบ้าน นรสิงห์ยืนมอง 4 คนที่ห่างออกไป แล้วเอ่ยขึ้น
"ในที่สุด เราทั้งหมดก็ได้พบกันอีกครั้ง ใกล้ถึงจุดจบแล้วซินะ ...แค้นที่ต้องชำระ บาปที่ต้องชดใช้ จะได้หมดเวรหมดกรรมกันในชาตินี้"

เวลาต่อมา รัดเกล้ายืนหน้าเซียวๆอยู่ในห้อง ภายในสนง. สืบฯ คทารัตน์กำลังรายงานพัทธยาอย่างกระฉับกระเฉง
"คุณนรสิงห์นี่แหละค่ะ วิกกี้มั่นใจว่าจะต้องเอาข้อมูลเด็ดๆออกมาจากคนๆนี้"
"ถ้าเด็ดจริง ตำรวจชุดก่อน ก็เอาไปหมดแล้ว ไอ้ที่จะเหลือมาถึงป่านนี้ ก็คงเป็นซากๆ ไม่เด็ดสมราคาคุยหรอกเจ๊" วิวรรธน์บอก
"นั่นปากหรือชักโครกคะ น้องวิว"
"ลองมามาดมใกล้ๆสิครับ...จะได้รู้ซึ้งถึงกลิ่นเร้าใจของน้องวิว"
"ลาม .... ไอ้กลิ่นโสโครกเหม็นเน่าของแก คงไม่ต้องเข้าไปพิสูจน์ใกล้ๆ แค่ปรายตามองก็อยากอาเจียน"
"ถ้าจะลับฝีปากกัน ก็ขอให้เป็นเวลานอกราชการ นาทีนี้ .... ผมขอให้เราพูดแต่เรื่องคดีนะครับ" พัทธยาบอก
คทารัตน์สีหน้ารู้สึกผิดมากที่พัทธยาโกรธ ทุกคนเงียบไป เขาเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง
"ผมสงสัยคุณเพชรดา ใครมีความเห็นยังไงบ้าง"
"ที่แกเล่า ฉันว่าเธอแค่พยายามปกป้องหลานที่เป็นเด็กพิเศษ" สถบดีบอก
"นั่นแหละ ทำไมถึงต้องปกป้องมากขนาดนั้น ในเมื่อหลานก็ไม่รับรู้เรื่องพ่อตัวเอง"
"ผู้กองพัทธ์สงสัยว่าจะมีเรื่องผลประโยชน์ที่เกี่ยวกับเด็กหรือครับ" วิวรรธน์ถาม
"หน้าที่ผม คือสงสัยทุกอย่าง... แล้วก็หาคำตอบ รัดเกล้า... หาข้อมูลประวัติภรรยาเก่าของส.ส.อภิมุขมาให้ผม"
"ค่ะ"
สถบดีจะมองตามรัดเกล้าเดินออกไปแต่หันมาเจอสายตาคทารัตน์ก็หยุด
พัทธยาถามคทารัตน์
"เรามีข้อมูลของเพชรดามั้ย ว่าทำไมเธอถึงไม่ไปจากบ้านหลังนั้น"

บริเวณสวนในบ้านอภิมุข เวลาเย็น เพชรดากำลังป้อนข้าวอภิชาติอยู่ในห้อง สิริรัตน์เดินเข้ามากระชากช้อนและถ้วยข้าวจากมือเพชรดา เธอตกใจ สิริรัตน์ก็ใส่เป็นชุด
"แกไล่ตำรวจไปทำไม"
เพชรดายังไม่ทันตอบ สิริรัตน์ใส่ต่อด้วยความโมโห
"แทนที่ผู้กองไผ่เค้าจะได้กลับมาหาฉัน แกดันไล่ตำรวจออกไปหมด"
"ฉันไม่ชอบให้ตำรวจมาวุ่นวายกับตาหนึ่ง"
"รักนักนะ หลานคนนี้"
"ตาหนึ่งเป็นลูกพี่สาวเธอกับพี่ดำนะ สิริรัตน์"
"พี่สาวฉันมันตายไปแล้ว...แล้วหลานสภาพอย่างนี้ ใครอยากจะนับว่ามันเป็นหลาน"
อภิชาติเห็นสิริรัตน์ตวาดเพชรดาก็โกรธ ลุกขึ้นมาทุบสิริรัตน์
"ตาหนึ่ง...อย่า"
เพชรดาลุกมาจะดึงหลานชาย แต่ไม่ทัน สิริรัตน์เหวี่ยงอภิชาติล้มลง
"แกสอนมันให้เกลียดฉัน นังเพชร...แกสอนมัน"
สิริรัตน์หันไปคว้าชามข้าว ปาใส่เพชรดาที่กำลังจะเข้าไปพยุงหลานชาย จานข้าวกระแทกหัวเพชรดาอย่างแรง ข้าวกระเด็นเลอะเทอะทั้งเสื้อผ้ากับใบหน้า ฝ่ายหลานชายรีบวิ่งไปซุกมุมด้วยความกลัว สิริรัตน์กราดเกรี้ยวใส่เพชรดา
"แกมันคนโปรด แม่พระ .. พี่ดำก็ไม่อยู่แล้ว ทำไมไม่ออกไปบวชชี หรือจะรอตายตามพี่ดำ"
"ต้องรู้ก่อนว่าใครฆ่าพี่ดำ... ฉันถึงจะไปจากที่นี่"
"นังบ้า... แกไม่มีวันรู้หรอก หรือถ้าอยากรู้มาก ฉันจะแนะนำให้ รีบตามไปถามพี่ดำในนรกสิ"
สิริรัตน์สะบัดหันหลังออกไป เพชรดามองไปเห็นหลานชายอยู่ในอาการตื่นกลัว ก็รีบเข้าไปหา ดึงมากอดปลอบไว้
"ไม่มีอะไรนะ ไม่ต้องกลัว อาจะปกป้องหนู อาจะไม่ให้ใครทำร้ายหลานอา"
เพชรดากอดหลานไว้ พยายามกลั้นสะอื้นด้วยความเสียใจ แต่ก็ทำไม่ได้ น้ำตาไหลพรั่งพรู

ห้องสำราญในบ้านอภิมุข อภิวัฒน์ที่เดินเข้าหาสิริรัตน์ที่หน้าบูดบึ้งอารมณ์หงุดหงิด
"อย่าเผลอไปอาละวาดเพชรต่อหน้าตำรวจเข้าล่ะ"
สิริรัตน์หันหน้ามาหา หน้าตาแง่งอนทันที
"ทำไม ห่วงมันอีกคนหรือไง"
อภิวัฒน์ยิ้มไม่ถือสา เดินเข้าหาอย่างอารมณ์ดี
"ฉันจะห่วงเพชรมันทำไม...ห่วงเราสองคนดีกว่า"
"แน่ใจนะว่าฉันจะไม่โดนตำรวจสงสัยไปด้วย"
"แน่นอน ตราบใดที่เธอเชื่อฉัน ทำ พูด ตามที่ฉันสั่ง"
เขาดึงร่างเธอเข้ามา สิริรัตน์ยังถามต่อ
"แล้วเมื่อไหร่จะแบ่งมรดกแม่คุณได้สักที"
"ก็รู้อยู่นี่นา รื้อคดีใหม่ เงินก็ต้องชะงัก อดทนหน่อย ตำรวจมันจะทำคดีนี้ไปได้สักแค่ไหน ร่องรอย หลักฐานถูกเก็บกวาดเกลี้ยงหมดแล้ว"
อภิวัฒน์ก้มลงซุกไซร้ สิริรัตน์โอบประคองไว้แน่น ทอดน้ำเสียงวาบหวาม
"ถึงตอนนั้นคุณวัฒน์อย่าลืมสิริรัตน์นะคะ อย่าลืมว่าสิริรัตน์รับใช้คุณวัฒน์ ... เต็มที่ขนาดไหน"
อภิวัฒน์ยิ่งซุกไซร้ สิริรัตน์แนบเบียดชิดร่างอภิวัฒน์ แววตาหยาดเยิ้ม

ภายในบ้าน รัดเกล้าที่นั่งหน้าจ๋อยสุดขีด คทารัตน์เดินกลับไปกลับมาทางด้านหลัง เสียงรองเท้ากระทบพื้นดังเป็นจังหวะ บรรยากาศน่าอึดอัด สายตาเธอจ้องมองถามน้องสาว
"บอกฉันสิ แกเป็นโรคอะไรกันแน่ ถึงอ่อนระทวยได้ตลอดเวลา"
"เกล้าไม่รู้จริงๆค่ะ มันเจ็บเหมือนโดนแทง...หายใจไม่ออก"
"อย่าบอกนะว่าพอเจอผู้ชายแปลกหน้า โรคประหลาดก็กำเริบ"
"เกล้าไม่ได้อยากเป็นแบบนี้นะคะ พี่วิกกี้ เกล้าเพิ่งไม่สบาย ตั้งแต่... เกล้าฝันเห็นอดีต"
"งั้นแกก็ห้ามฝันถึงอดีต"
"เกล้าบังคับตัวเองไม่ได้"
"ตัวแกเองทำไมจะบังคับไม่ได้ ฉันให้เวลาแกอาทิตย์เดียว รักษาตัวให้หาย อย่าให้ใครมาดูถูกได้ว่า แกอ่อนแอ ไม่ได้เรื่อง"
คทารัตน์จ้องหน้าน้องสาว แววตาสั่งสอน
"จำไว้นะ รัดเกล้า... ความเป็นผู้หญิงมันไม่มีสิทธิ์ทำให้เราอ่อนแอต่อหน้าทุกคน แกต้องเข้มแข็งให้สมกับที่เป็นน้องสาวคุณวิกกี้ จำไว้"
คทารัตน์จ้องรัดเกล้า สายตาเข้ม หยิ่ง เชื่อมั่นในตัวเองที่สุด

ในห้องนอน เวลาเย็นใกล้ค่ำ รัดเกล้าที่ทิ้งตัวลงนอน สีหน้าครุ่นคิด เห็นแสงแดดสุดท้ายสาดทอบนใบหน้า เธอหลับตาลง ผ่อนลมหายใจช้าๆ หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย แดดวิ่งหายไปในเวิ้งฟ้า กลายเป็นความมืดเข้าปกคลุม

เวลาเดียวกัน ในบ้านนรสิงห์ที่ปิดม่านทึบ ไม่มีแสงใดๆรอดผ่านมาได้ นรสิงห์นั่งอยู่ลำพังในความมืด แสงจากไฟเทียนสีดำปิดด้วยทองคำเปลววับแวมในห้อง ส่องทาบทับเสี้ยวหน้านรสิงห์ให้ดูน่ากลัว
เสียงสวดมนต์จากตำราโบราณค่อยๆดังแว่วมา

รัดเกล้าที่นอนหลับอยู่ เริ่มดิ้นอึกอัก สีหน้าราวคนกำลังกลัว ในความฝัน ที่วิหารอมรปุระ นรสิงห์ยกดาบ ติสสากอดมรันมาไว้ในอก

ภายในห้องรับแขกบ้านสถบดี เวลาเดียวกัน เขานอนหลับอยู่บนโซฟายาว เหงื่อแตกเต็มหน้า พลิกตัวไปมาเหมือนกำลังฝันร้าย ... สิงห์แทงดาบลงที่อกติสสาทะลุอกมรันมา

ทั้งรัดเกล้า และสถบดี ต่างสะดุ้งเฮือก ลุกขึ้น ร้องออกมาด้วยความตกใจ
"น้องน้อย / พี่ชาย"
สถบดีก้มมองหน้าอกตัวเอง ไม่เห็นร่องรอยแผลใดๆ
"นี่มันอะไรกันวะเนี่ยะ"
เขาแววตากังวล เมื่อคิดถึงภาพในฝันที่ผู้หญิงคนนั้นหน้าเหมือนรัดเกล้า
"รัดเกล้า"
รัดเกล้า น้ำตาไหลพราก สะอื้นบนเตียง เจ็บร้าวตรงหน้าอกอยู่ภายในจิตวิญญาณที่ไม่มีวันสลัดออกไปได้

สิงห์ในความมืด มืดสนิท ไร้แสงจันทร์ลอดเข้ามาได้ มีเพียงแสงเทียนที่ส่องเป็นเงาทาบทับใบหน้า
แววตานรสิงห์ดูลึกลับ น่ากลัว เสียงสวดมนต์โบราณเงียบลง... เขาก้าวเดิน ร่างกลืนไปในความมืดที่ปกคลุมรอบห้อง เสมือนกายเป็นเนื้อเดียวกับรัตติกาล

เช้าวันใหม่ บริเวณสวนด้านหน้าบ้านนรสิงห์ที่มีต้นไม้ทรงแปลก กิ่งโค้งงอคด ต่างจากพรรณไม้ทั่วไป คทารัตน์ก้าวยาวเดินเร็วเข้ามา มีวิวรรธน์เดินตามมาทางด้านหลัง
"เดินยังกับบ้านตัวเองเลยนะ เจ๊ ไม่รอเจ้าของบ้านเค้ามาเปิดประตูให้ก่อนล่ะ"
"นี่ ไอ้วิว แหกตาดูบ้างก็ได้ ประตูรั้วเปิดอยู่ ...ถ้าปิดฉันจะกล้าเข้ามามั้ย"
"ก็เห็นกล้าทุกเรื่อง" วิวรรธน์บ่นพึมพำ
"ฉันได้ยินนะแก อย่ามา..."
"แล้วเจ๊จะลุยเข้าไปถึงในบ้านเลยเหรอ ทำยังกะเป็นศรีภรรยา เดินเข้าออกเวลาไหนก็ได้ คุณนรสิงห์ เค้าก็ไว้ตัว แปลกๆเหมือนกันนะเจ๊"
"แปลกกว่านี้มีอีกหรือเปล่าล่ะ"
คทารัตน์มองท้าทาย วิวรรธน์อ่อนใจ นรสิงห์ยืนอยู่หน้าประตูบ้าน
"สวัสดีค่ะ"
วิวรรธน์หันไป แต่เธอดันรุ่นน้องพ้นทาง เดินไปหานรสิงห์ด้วยรอยยิ้ม
"วิกกี้มาตามสัญญาแล้วค่ะ"
"หายไปไหน"
"คะ... ใครคะ ใครหายคะ"
"ผู้หญิงอีกคน... รัดเกล้า ทำไมไม่มา"
คทารัตน์กับวิวรรธน์อึ้งไปที่นรสิงห์ถามถึงรัดเกล้า

ในห้องพัทธยา เวลาเช้ารัดเกล้าวางแฟ้มข้อมูลลงบนโต๊ะ สถบดียื่นมือมารับ รัดเกล้ารีบดึงมือออกไม่ยอมให้เขาแตะต้องตัว
"นี่กลัวหรือรังเกียจ"
"ถ้าไม่มีอะไร เกล้าขอตัวค่ะ"
รัดเกล้าจะรีบออก สถบดีเดินเร็วมาขวางหน้าประตู
"รัดเกล้า มองผม"
เธอไม่ยอมหัน เขาทอดเสียง เรียกซ้ำ
"มองผมสิ กลัวผมทำไม"
เธอไม่ยอมหันหน้ามามอง สถบดีประคองหน้าเธอหันมาจ้อง รัดเกล้าหน้าตื่นตกใจ
"มองผม อย่าหนีหน้าผม อย่ากลัวผม รัดเกล้า...ผมไม่มีวันทำร้ายคุณ"
รัดเกล้าส่ายหน้าที่อยู่ในอุ้งมือของเขา แสงสีขาวเริ่มเปล่งประกายระหว่างมือของเขากับหน้ารัดเกล้า
อาการเจ็บเริ่มมา รัดเกล้าส่ายหน้า
"ปล่อย เกล้าไม่ไป... เกล้าไม่อยากฝัน ไม่อยาก เกล้าไม่ไปที่นั่นอีก"

นรสิงห์เดินนำคทารัตน์กับวิวรรธน์ ทั้งคู่เดินเร็วจ้ำแค่ไหนก็ยังอยู่ห่าง
"ถ้าจะถามเรื่องบ้านอภิมุข ... ฉันตอบได้แค่ว่า ต้นเหตุคือ ผู้หญิง"
"ผู้หญิงคนไหนครับ"
นรสิงห์ไม่ตอบ มองจ้องเหมือนจะให้วิวรรธน์นึกเองจากสิ่งที่ตัวเองถามออกมา

หน้าบ้านอภิมุขเพชรดาเดินเข้ามา
"ผู้หญิงที่คุณต้องการตัวตรงนี้ ก็คงเป็นฉัน"
พัทธยานำยอดชาย มุรธา และเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้ามา 2 คน เพชรดามองพัทธยาด้วยสีหน้าเย็นชา อภิวัฒน์เดินตามออกมาพร้อมมาริษา
"นี่พูดกันไม่รู้เรื่องเลยใช่มั้ย บอกแล้วว่าบ้านผมเป็นสถานที่ส่วนตัว"
กลุ่มพัทธยายืนเผชิญหน้ากับเพชรดา อภิวัฒน์ มาริษา
พัทธยาจ้อง ประสานสายตากับเพชรดา
"ผมมีหมายศาลมาด้วย ผมขอค้นทุกห้อง และจะคุยกับทุกคนในบ้านหลังนี้"
เพชรดาหน้าตึงเรียบ แต่แววตาวาบความไม่พอใจ รู้ดีกว่าพัทธ์หมายถึงการสอบปากคำอภิชาติ ผู้เป็นหลานชาย

อ่านต่อหน้าที่ 2


สาปพระเพ็ง ตอนที่ 3 (ต่อ)

นรสิงห์นิ่ง ต่างกับคทารัตน์ที่ร้อนรน ถามด้วยเสียงอยากรู้มาก
"ผู้หญิงคนไหน คนไหนคือฆาตกร"

ฝ่ายรัดเกล้าส่ายหน้าอาการเจ็บ แสงระหว่างมือของสถบดีกับรัดเกล้าสว่างมากขึ้น
"ไม่ เกล้าไม่ไป พอกันที... เกล้าไม่ไป"
"ไปไหน รัดเกล้า คุณจะไปไหน"
"บอกว่าไม่ไป"
เธอรวบรวมกำลัง ปัดมือเขาออก แสงขาววาบพุ่งแรงแล้วอ่อนแสงหายไป เธอบิดหน้าหนี มือเธอฟาดไปโดนหน้าเขาอย่างเต็มแรงจนหน้าสะบัด รัดเกล้าตกใจ
"เกล้า ...เกล้าไม่ได้ตั้งใจ"
เขามองถามอย่างไม่ห่วงตัวเอง
"คุณเป็นอะไรหรือเปล่า รัดเกล้า คุณจะไปไหน"
สถบดีจะเดินเข้าหา รัดเกล้ารีบถอย
"อย่าเข้ามา... คุณอย่ามายุ่งกับเกล้าเลยนะ ใกล้คุณ เกล้าเจ็บ เกล้าทรมาน"
เขาชะงักมองเธอที่ขอร้องด้วยเสียงวิงวอน น้ำตาคลอ ก่อนวิ่งออกไป สถบดีสีหน้าเศร้าลง

พัทธยายืนอยู่ในห้องทำงานของอภิมุขที่ทุกอย่างดูเรียบร้อย ยอดชายกับมุรธากำลังถ่ายรูปในห้อง
เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานใส่ถุงมือกำลังใช้น้ำยาเก็บคราบดีเอ็นเอที่โต๊ะ เพชรดายืนดูการทำงานของเจ้าหน้าที่ อภิวัฒน์กับมาริษายืนใกล้พัทธยา
"ผมอยากถามเรื่องลูกชายคุณอภิมุข" พัทธยาถามขึ้น
"คุณมองไม่ออกเหรอว่าเพชรมันเอาเด็กเป็นตัวประกัน" อภิวัฒน์ว่า
พัทธยามองอภิวัฒน์ด้วยสายตาสงสัย
"เด็กคนนั้นมีส่วนในมรดก"
"มีสิคะ ลูกพี่ดำทั้งคน ต่อให้นอนนิ่งเป็นเจ้าชายนิทรา ก็ยังถือว่าเป็นทายาทย่อมมีส่วนแบ่ง แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลบริหารเงินของผู้จัดการมรดก" มาริษาบอก
พัทธยามองทั้งมาริษาและอภิวัฒน์
"ทีนี้เข้าใจหรือยังว่าทำไมเพชรมันถึงเกาะหลานไม่ยอมปล่อย ได้เป็นผู้จัดการมรดกของตาหนึ่งเมื่อไหร่ เท่ากับมันจะได้สมบัติของหลานไปตั้งตัว"
เพชรดาหันมาเห็นพัทธยายืนอยู่ข้างอภิวัฒน์กับมาริษาที่ยิ้มมองจ้องมาที่ตัวเอง เธอรู้แล้วว่า ตัวเองกำลังกลายเป็นผู้ต้องสงสัยในสายตาพัทธยา เธอเดินออกไปจากห้อง เขาขยับเดินตามไป อภิวัฒน์กับมาริษาหันมายิ้มกันอย่างสมใจ

เพชรดาเดินเร็วมาเปิดประตูห้อง หลานชายวิ่งออกมา ทางด้านหลัง พัทธยาขึ้นบันไดมา เพชรดารีบดันหลานกลับเข้าไปในห้อง
"เข้าห้องไปก่อน ตาหนึ่ง"
เพชรดาดันหลานชายเข้าห้องไปแล้วปิดประตู พัทธยาวิ่งมา เพชรดาขวาง
"คุณไม่มีสิทธิ์กักขังเด็กคนนั้น"
"ฉันไม่ได้กักขัง ฉันไม่ต้องให้เค้าต้องกระทบกระเทือนใจเรื่องพ่อ"
"คุณจะปิดไปได้นานแค่ไหน เค้าพ่อลูกกัน หรือว่าที่ไม่อยากให้เด็กรู้เพราะเหตุผลอื่น"
"คิดได้เท่านี้เองหรือ ผู้กองพัทธยา .. ฉันมองผิดไปจริงๆ ที่คิดว่าคุณจะฉลาด"
อภิวัฒน์ มาริษาตามหลังขึ้นมา ยอดชายกับมุรธารั้งท้าย พัทธยาโมโห ดันเพชรดาออก แล้วทุบประตู
"เปิด... เปิดให้พี่เข้าไปหน่อยครับ หนึ่ง"
"อย่าเปิดนะ ตาหนึ่ง อย่าเปิดออกมา"
มาริษาส่งเสียงเตือน
"เพชร ในเมื่อเธออยากเปิดคดีนี้ขึ้นมาใหม่ เธอก็ควรจะให้ตำรวจทำงานของเค้าสิ"
"งานของเค้าคือตรวจห้องทำงานพี่ดำค่ะ ไม่ใช่มายุ่งกับตาหนึ่งในห้องนี้"
เพชรดาจ้องพัทธยาอย่างไม่กลัว เขาทุบประตูห้อง
"หนึ่ง...ขอพี่เข้าไปหน่อยครับ"
ยอดชายกับมุรธาเดินมาข้างพัทธยา อภิวัฒน์ช่วยตะโกน
"ตาหนึ่ง เปิดประตู อาสั่งให้เปิดประตู"
ด้านในเงียบ อภิวัฒน์ยิ่งทุบ
"ตาหนึ่ง เปิด...เปิดประตูเดี๋ยวนี้"
ด้านในก็ยังเงียบ ยอดชายเอ่ยบอกพัทธยา
"เด็กคงฟังแต่คุณเพชรครับ"
พัทธยาหันไปใส่เพชรดาทันที
"คุณทำแบบนี้ บังคับเด็กไว้กับตัวเอง มันไม่ดีกับใครเลยนะ คุณเพชร"
"คุณมีหน้าที่สอบสวน ไม่ได้มีหน้าที่สั่งสอน ทำหน้าที่ของคุณให้ดีก่อนสิคะ ผู้กอง ในบ้านนี้มีฉันคนเดียวหรือเปล่าที่น่าสงสัย"
เพชรดาหันไปทางอภิวัฒน์กับมาริษา พัทธยาเห็นสายตาเพชรดาก็สวนขึ้น
"ผมสอบสวนทุกคน"
"แต่ฉันคงพิเศษกว่าคนอื่น เพราะเห็นคุณเอาแต่ตามฉัน"
พัทธยาหน้าชากับสายตาเพชรดาที่พูดตรงๆ
"แกมันบ้า เพชร หาเรื่องใส่ทุกคนในบ้านนี้จริงๆ"
อภิวัฒน์มองเพชรดาด้วยสายตารังเกียจ หันหลังเดินออกไปแบบไม่อยากยุ่งด้วย มาริษาปรายตามองเพชรดาก่อนเดินตามสามีออกไป
ยอดชาย มุรธามองพัทธยาว่า จะเอายังไง
"ผมอยากคุยกับตาหนึ่ง"
"ไม่ได้ ... คุณจะทำให้เด็กตกใจ" เพชรดายืนยัน
เธอขวางประตูเต็มที่ พัทธยาเห็นแววตาแล้วก็ตัดสินใจถอย มุรธากับยอดชายตามลงไป จนข้างบนไม่เหลือใคร
เพชรดาสีหน้าเศร้ายืนพิงประตู ประตูค่อยๆเปิดออก อภิชาติโผล่หน้าออกมา เธอดึงหลานมากอดไว้
"อาเพชร ไปเล่น ไปเล่น"
"ครับ...ไปเล่นในห้องกันครับ"
เพชรดากอดหลาน พยายามยิ้มให้ทั้งที่หัวใจแห้งแล้งเหนื่อยล้าเต็มที่

ภายในสนง.สืบฯ รัดเกล้านั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ คทารัตน์เดินเร็วมา วิวรรธน์ตามติดมาทางด้านหลัง
คทารัตน์เดินมาดึงข้อมือรัดเกล้า ทุกคนมองอย่างตกใจ
"ไปกับฉัน"
รัดเกล้าตั้งท่าจะถาม แต่ไม่ทัน พี่สาวเธอพูดเร็ว
"ฉันกลับมารับแกไปบ้านคุณนรสิงห์ เค้าบอกว่าแกต้องอยู่ด้วย ถึงจะยอมเล่า"
สถบดียืนมองอยู่ เดินเร็วเข้ามา
"ไม่ได้ รัดเกล้าไปบ้านนั้นไม่ได้ รัดเกล้ายังไม่หายดี"
"นี่คืองานของชั้น หน้าที่ความรับผิดชอบของชั้น แล้วนี่ก็น้องสาวชั้น หน้าไหน...ก็อย่าคิดจะขวาง"
"นี่คุณจะห่วงงานมากกว่าชีวิตน้อง"
"รู้ไว้ด้วยนะ ผู้กองไผ่ ยายเกล้ามันป่วยเพราะมีคนหื่น ห่ามอย่างคุณมาป้วนเปี้ยน มันสะอิดสะเอียนขี้หน้าจนทนไม่ไหว ถึงได้เป็นลมซ้ำซาก"
"แล้วทำไมต้องเป็นรัดเกล้า แค่คุณกับวิวก็พอแล้ว ถ้านรสิงห์จะเล่า"
"ฉันไม่ได้มีสนิมมาเกาะสมอง ถึงจะคิดอะไรไม่เป็น ฉันสงสัย นรสิงห์เค้าบอกว่า ผู้หญิงคือฆาตกร ทำไมเค้ารู้ เพราะฉะนั้นอะไรที่จะทำให้เปิดปากเค้าได้ ฉันต้องทำ"
คทารัตน์ดึงรัดเกล้าออกไป สถบดีมองฮึดฮัด วิวรรธน์เสนอขึ้น
"ห่วงมากก็ไปด้วยกันสิครับ ผู้กอง...ง่ายนิดเดียว"
วิวรรธน์ตามคทารัตน์ออกไป สถบดีมองแล้วตามออกไปอีกคน

พัทธยายืนรอบริเวณสวนบ้านอภิมุขมองไปด้านนอกกระวนกระวาย ยอดชายเข้ามาถาม
"แน่ใจเหรอครับ ว่าวิธีนี้จะเวิร์ก ผมกลัวว่า..."
พัทธยาหันมามอง ยอดชายเงียบลงทันที มุรธามองไปหน้าบ้าน
"มาแล้วค่ะ... เจ้าหน้าที่มาแล้วค่ะ"
พัทธยามองเห็นเจ้าหน้าที่จากกรมประชาสงเคราะห์ที่ดูแลด้านเด็กเดินข้ามา
"ขอบคุณนะครับที่มาช่วย เด็กอยู่ด้านบนครับ"
พัทธยาเดินนำไปอย่างเร็ว

ความโกลาหลเกิดขึ้น เมื่อเพชรดากำลังดึงอภิชาติไว้ แต่สิริรัตน์เข้าไปกระชากออกมาให้ได้
"ปล่อย ฉันบอกให้ปล่อยตาหนึ่ง ปล่อยเดี๋ยวนี้" สิริรัตน์บอก
พัทธยาลำบากใจที่เห็นการยื้อแย่งเกิดขึ้น ฝ่ายมาริษากับอภิวัฒน์ได้แต่ยืนมอง หน้าตาเฉยๆ ติดจะมีรอยยิ้มด้วยซ้ำเมื่อเห็นเพชรดาทุรนทุราย
"คุณเพชร เห็นแก่หลานเถอะ ปล่อยหลานคุณก่อน เราแค่ขอตัวไปให้หมอตรวจ" พัทธยาบอก
"ตาหนึ่งไม่ได้เป็นอะไร" เพชรดาบอก
"ตาหนึ่งมันจะเป็นบ้าเหมือนแกแล้ว ปล่อยหลาน เพชร" อภิวัฒน์บอก
มาริษาหันไปสั่งมุรธา
"เข้าไปช่วยสิ เอาออกมาให้ได้"
มุรธาเข้าไปช่วยสิริรัตน์ดึง เพชรดาไม่ยอม ดึงหลานไว้สุดแรง
"อยู่กับผู้หญิงประสาทเพี้ยนอย่างแก อีกหน่อยลูกพี่ดำก็ต้องเป็นบ้า" สิริรัตน์บอก
สิริรัตน์ผลัก เพชรดาไม่ยอม มุรธาเข้ามารวบตัวเพชรดา สิริรัตน์ได้โอกาส ผลักเพชรดาจนล้มกันไปทั้งเพชรดาทั้งสิริรัตน์
ยอดชายรีบเข้ามารับเด็กไว้ แล้วส่งให้เจ้าหน้าที่สงเคราะห์ที่เข้ามาปลอบ อภิวัฒน์รีบเร่ง
"เอาไปเลยครับ หลานผม เอาตัวไปรักษาเลย ผมอนุญาต"
เจ้าหน้าที่กับยอดชายพาเด็กออกไป เพชรดาวิ่งตาม แต่สิริรัตน์ยื้อเพชรดาไว้
"ไม่ต้องตาม" สิริรัตน์บอก
พัทธยาเข้ามาดึงมือสิริรัตน์ออกจากเพชรดา
"พอแล้ว"
สิริรัตน์สะบัดมอง เพชรดาวิ่งตามออกไปทันที
"ตาหนึ่ง"
พัทธยามองตกใจ วิ่งตาม สิริรัตน์ มุรธาวิ่งตามไปด้วย อภิวัฒน์ มาริษายิ้มสะใจ เดินตามไปอย่างใจเย็น

ยอดชายกับเจ้าหน้าที่กำลังพาอภิชาติขึ้นรถตู้ คนรับใช้ช่วยเปิดประตู รถตู้วิ่งออกไป เพชรดาวิ่งตามมา
"ตาหนึ่ง"
รถตู้วิ่งออกพ้นบ้าน เพชรดาวิ่งตาม สิริรัตน์ตามมากระชากรั้งไว้
"ตาหนึ่ง"
เพชรดาร่วงลงกองที่หน้าประตู อย่างคนหมดทางที่จะรั้งหลานไว้ ทุกคนมองสภาพของเพชรดาด้วยอารมณ์ต่างกัน
พัทธยาสีหน้าไม่ดี สิริรัตน์ยิ้มเยาะเหมือนอภิวัฒน์ กับมาริษา มุรธาหน้าตาเซ็งๆ ที่เมื่อกี้ต้องเจ็บตัวไปด้วย เพชรดาที่ล้มยังลุกไม่ขึ้น พัทธยารีบเข้ามาดึงแขน เธอหันขวับมามอง น้ำตาเต็มหน้า แต่แววตากลับแข็งกร้าว เธอปัดมือของพัทธยาออกทันที
เพชรดายืนขึ้นตัวตรงเหมือนหุ่นยนต์ ตัดทุกอย่างรอบตัว ไม่สนใจใครทันที
"ดูตามัน มันบ้าแล้ว ... ฉันไปก่อนดีกว่า เกิดมันบ้าไล่กระซวกนับแผลไม่ถูก"
สิริรัตน์รีบเดินหนีไปทางด้านหลัง มุรธาหลบหลังต้นไม้
"ผู้กองเค้าทำถูกแล้วนะ เพชร...ตาหนึ่งหลานเราต้องการรักษา ไม่ใช่แกจะเก็บเอาไว้หาประโยชน์ใส่ตัว"
เพชรดาหันขวับมามองอภิวัฒน์ กับมาริษา
มาริษาที่ใจเย็นและรักษาอาการได้ดีกว่า เอ่ยน้ำเสียงเหมือนเห็นใจ
"ให้เวลาเพชรเค้าทำใจหน่อยเถอะค่ะ อยู่ๆก็ต้องหมดสิ้นทุกอย่างในคราวเดียว... ไม่เหลืออะไรให้หวังต่อ..."
เพชรดาจ้องทั้งคู่ แล้วหันหน้ากลับมาก้มหน้านิ่ง
"เอาไงครับ ผู้กอง ท่าทางคุณเพชรเธอจะคุยไม่รู้เรื่องแล้ว" ยอดชายว่า
พัทธยาเดินเข้ามาเพชรดา เอ่ยอธิบาย
"เราไม่ได้แย่งหลานไปจากคุณ ผมแค่ขอให้หมอตรวจยืนยันว่า ตาหนึ่งแกป่วยเป็นอะไรบ้าง แล้วผมจะรีบพาเค้ากลับมา"
เพชรดาเงยมองพัทธยา เธอจ้องจนเขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังทำผิดมหันต์ เธอลุกขึ้น ไม่พูดอะไร หันหลังเดินผ่านทุกคนเข้าบ้าน เหมือนหุ่นยนต์ที่ไร้ชีวิตจิตใจ พัทธยามองตามด้วยสีหน้าหนักใจ
เพชรดาเข้ามาในบ้าน นั่งลงแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาด้วยความอัดอั้น สะอื้นออกมาจนตัวโยน แต่ไม่มีเสียงร้อง ที่ด้านนอก พัทธยาหลบมอง เห็นสภาพเพชรดาที่เหมือนคนหัวใจสลาย เมื่อถูกพรากเอาของรักไปจากอก

ในบ้านนรสิงห์ รัดเกล้านั่งลงหน้านรสิงห์ สถบดีจะตามมานั่งใกล้ แต่คทารัตน์นั่งขวางลงเสียก่อน
เธอส่งสายตาให้วิวรรธน์นั่งข้างรัดเกล้า วิวรรธน์มองสถบดีแบบจำใจก่อนนั่งลงข้างรัดเกล้า
รัดเกล้าชุ่มเหงื่อมือ ไม่อยากมองหน้านรสิงห์ ขณะที่เจ้าบ้านไล่สายตาตามองทีละคนแล้วพูดขึ้น
"มากันครบแล้ว"
"ตกลงว่าใครคะ เป็นฆาตกร" คทารัตน์ถาม
นรสิงห์ไม่ตอบ เอาแต่มองรัดเกล้า จนทุกคนอึดอัด รัดเกล้าไม่อยากมองหน้า ก้มลงเปิดสมุด หยิบปากกาจะจด มือก็สั่น
"จะเขียนอะไรลงไป รัดเกล้า...ชื่อฉันหรือเปล่า"
สถบดีจะลุกมาที่นรสิงห์ แต่นรสิงห์แค่ตวัดสายตามามอง สถบดีก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ต้องนั่งลงราวถูกบังคับ
"คุณเจอคุณอภิมุขกับพี่น้องเค้าบ่อยมั้ยคะ"
นรสิงห์มอง คทารัตน์เหมือนโดนสะกดให้หยุดคิด หยุดทุกอย่าง เธอค้างอยู่ในท่าที่มองนรสิงห์
"บ้านนั้นมีใครเข้าออก แปลกหน้าบ้างมั้ยครับ" วิววรรธน์ถาม
นรสิงห์มองวิวรรธน์ที่ถามขึ้น สายตานรสิงห์สะกดให้นิ่งไปอีกคน
สถาบดีเห็นทั้งคู่นิ่งไปก็ท้วงขึ้น
"เงียบทำไม...ถามต่อสิ"
นรสิงห์มองลึกลง ส่งพลังสะกดสถบดีให้หยุดนิ่งไปอีกคน แล้วมองไล่มาที่รัดเกล้าที่มัวแต่กำปากกาแน่นด้วยความเกร็งและกลัว เลยไม่เห็นว่าทุกคนในที่นั้น นั่งนิ่งถูกสะกดไปหมดแล้ว
เสียงนรสิงห์ดังเหมือนกระซิบอยู่ข้างใบหน้ารัดเกล้า
"เงยหน้ามองฉันสิ รัดเกล้า"
รัดเกล้าเนื้อตัวสั่นไปด้วยความกลัว
" มองฉันสิ รัดเกล้า"
รัดเกล้าไม่ยอมเงยหน้า แต่นรสิงห์บังคับด้วยสายตาให้เชยคางเธอขึ้นทีละน้อย เขาแทบไม่ต้องแตะต้องตัว สายตาที่สั่งทุกอย่างได้ของนรสิงห์ ทำให้เธอต้องเผชิญหน้า
"รู้มั้ยว่าฉันรอมานานแค่ไหน... กว่าเราจะได้เจอกันอีกครั้ง"
รัดเกล้าเห็นเปลวไฟที่ลุกวาบในดวงตานรสิงห์ ก็ยิ่งกลัวจนต้องเบือนหน้าหนี สติขาดดับวูบไปทันที

ในวิหารปุระอมร องค์นรสิงห์ที่อยู่บนบัลลังก์กำลังสั่งสีหสา
"เจ้ากับคนของเจ้าต้องหาให้เจอว่าหญิงสองนางที่จะห้ำหั่นกันด้วยความริษยา จนช่วยให้เราทำลายศรีพิสยาลงโดยง่ายคือใคร"
"ทำไมไม่ใช้วิธีของข้า ยกทัพไปบดขยี้มัน แทนที่จะมาใช้วิธีเยี่ยงคนขลาดอย่างสุเลวิน"
"ทุกครั้งที่ข้าสั่ง เจ้าไม่เคยมีคำถามเลย สีหสา"
เสียงของนรสิงห์ดังก้อง สีหสารู้ได้ทันทีว่า นรสิงห์กำลังโกรธ
"ข้าใจร้อนอยากเอาหัวของทุกคนในราชวงศ์ศรีพิสยามาถวายแทบบาทท่าน"
"ไปกับคนของเจ้า เอาคำตอบมา แล้วข้าจะเป็นคนสั่งเองว่า เมื่อไหร่ที่กองทัพอันแข็งแกร่งของข้าจะเหยียบศรีพิสยา"

ในลานฝึกอาวุธปุระอมรดาบคู่ของสีหสาฟันลงบนดาบของวาเรคู่ซ้อมที่ยันไว้สุดกำลัง แม่ทัพหญิงไล่ตะลุยดาบคู่ด้วยความโมโหใส่วาเรอย่างไม่ยั้งมือ เมื่อวาเรพุ่งเข้าไปบ้าง แต่เจอสีหสาตวัดดาบหลอก แล้วถีบเข้ากลางอกจนวาเรกระเด็นออกไปนอกวง
คชาควงดาบเข้ามา สีหสาฟันไม่เลี้ยง คชาเองก็ทานไม่ไหว โดนเตะกระเด็นออกนอกวงไปอีกคน
"ใคร...มีใครอีก... เข้ามา"
ทหารทุกคนมองไม่กล้าเสี่ยงกับอารมณ์โมโหของสีหสา
ไพลิน นักรบหญิงน้องสาวของสีหสา หน้าตาท่าทางห้าวหาญพุ่งเข้ามา สีหสาหันไปรับดาบไพลินไว้ทัน สองหญิงนักรบที่ต่างรุกต่างรับ ประดาบกันไม่ถอย วาเร คชาและทหารทุกคนต่างมองลุ้น
ไพลินเหนื่อยหอบ ขณะที่สีหสายังเฉยๆ ไพลินพุ่งเข้าไปหมายจะฟัน แต่ถูกสีหสาเตะขาสูง ตวัดเข้าสีข้างไพลินจนจุก ดาบร่วง สีหสาเอาดาบมาจ่อถึงคอไพลิน
ทหารทุกคนปรบมือโห่ร้องที่สีหสาเป็นผู้ชนะอีกหน นางรวบดาบไปไว้ในมือเดียว อีกมือดึงไพลินขึ้น
"ข้าต้านแรงดาบของพี่ไม่ได้จริงๆ"
"ไปเตรียมตัว ... ไพลิน เจ้ากับข้า เราจะไปศรีพิสยา"
สีหสาควงดาบคู่ตรงหน้าด้วยแววตากรุ่นไปด้วยความไม่พอใจ ที่นรสิงห์สั่งให้ทำตามคำแนะนำของสุลเวิน ทหารของสีหสา นักรบแต่ละคนเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ต่างหันหน้าเข้าซ้อมการต่อสู้กันต่อ สีหสาเดินผ่าน เสียงดาบกระทบ เสียงคำรามของนักรบ เหล่าทหารปุระอมรเต็มไปด้วยความดุดัน ดุเดือด

ในเขตพระราชฐานชั้นใน ติสสาที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าปรันมา
"ข้ารู้ว่าไม่ควรรีบพูดเรื่องนี้ มันผิดประเพณี แต่ข้าอยากขอแต่งงานกับมรันมา"
"ลุกขึ้น ติสสา"
ติสสาไม่แน่ใจว่าปรันมาจะรู้สึกเช่นไร
"ทำไมถึงคิดว่าข้าจะไม่อนุญาตในเรื่องน่ายินดี"
ติสสามองแววตาที่เปี่ยมเมตตาของปรันมา
"ข้าเห็นความรักที่เจ้าซุกซ่อนไว้ในใจมาตั้งแต่เด็ก แล้วยิ่งถ้าเป็นการพาตัวมรันมาออกมาจากตำหนักเจ้านางอินยาได้ ข้าก็ยินดีมาก ในงานฉลองบูชาพระเพ็ง ข้าจะสถาปนามรันมาให้เป็นน้องนางแห่งศรีพิสยา แล้วหลังจากนั้นข้าจะจัดงานแต่งงานให้เจ้าเอง"
ปรันมายิ้ม จับแขนติสสา
"สิ่งใดที่จะทำให้คนสำคัญคนนี้ของศรีพิสยามีความสุข ข้าสมควรต้องทำ"
ติสสาก้มคำนับขอบคุณแล้วเงยมองยิ้มกับปรันมาที่แววตามีแต่ความยินดี

บริเวณบึงมรกต ... บึงใหญ่ของศรีพิสยา เงาแดดสะท้อนลงมาเห็นเป็นสีเขียวมรกตไปทั้งผืนน้ำ เรือลำน้อยลอยอยู่กลางบึงงาม ติสสาและมรันมานั่งอยู่บนเรือ
"เจ้าปรันมาอนุญาตให้น้องน้อยเป็นเจ้าสาวของพี่"
มรันมายิ้มเอียงอาย เหนือบึงนั้นเป็นหน้าผา อสุนีที่ซุ่มมองอยู่รีบหลบวูบออกไป ติสสายื่นมือไปกุมมือมรันมาไว้
"น้องน้อย ... ขอให้พี่ชายเป็นคนปกป้องน้องน้อยตลอดชีวิต"
"พี่ชายดีกับน้องน้อยมาตั้งแต่วันแรกของชีวิต... ไม่เคยมีวันไหนเลยที่พี่ชายทำให้น้องน้อยต้องร้องไห้ อยู่กับพี่ชาย หัวใจน้องน้อยมีแต่รอยยิ้ม"
ติสสาดึงร่างเธอเข้ามาใกล้ กุมมือแตะลงที่หัวใจ
"เป็นยิ้มที่พี่ชายยอมตาย เพื่อให้ได้เห็นทุกคืนทุกวัน ขอให้น้องน้อยได้รู้... อกของพี่ชายจะเป็นความอบอุ่นสำหรับน้องน้อยตลอดไป"
"ไม่ว่าเกิดกี่ร้อยกี่พันชาติ... หัวใจของน้องน้อยก็จะเป็นของพี่ชายคนเดียว"
ติสสาจูบแก้มมรันมาอย่างแผ่วเบา กอดร่างบางกระชับไว้ในอก
"พี่ชายขอสัญญา พี่ชายจะไม่ยอมให้ความเศร้า ความทุกข์ใดใด เข้ามาใกล้น้องน้อยของพี่ชายได้อีก"
มรันมายิ้มอุ่นใจในอกกว้างของติสสา รอยยิ้มแห่งความหวังของทั้งคู่ระบายเต็มใบหน้าในบรรยากาศสวยงาม

ในตำหนักเจ้านาง มรันมาถูกอุตลาลากมาเหวี่ยงลงไปที่หน้าแทบเท้าเจ้านางอินยา แม้เธอจะเจ็บแต่ไม่ร้องออกมา
"คิดว่าการแต่งงานจะทำให้เจ้าพ้นความทรมานไปจากที่นี่ได้ใช่มั้ย มรันมา"
"ข้าไม่เคยหาวิธีหนี ถ้ามันเป็นชะตากรรมของข้า"
อุตลารีบหันไปหยิบแส้ส่งให้เจ้านางอินยา
"มันกล้าเถียงเจ้านาง คงคิดว่ามีผัวแล้วจะช่วยได้ทุกสิ่ง"
อินยารับแส้มาถือไว้ เงื้อจะฟาด มรันมาไม่หลบสายตา อินยากำแส้ไว้
"แววตาของเจ้า แววตาของแม่... นังอเลยา"
อินยาปาแส้ลงพื้น อุตลารีบไปเก็บ
"ข้าเฆี่ยนให้เอง"
"หยุด"
อุตลารีบถอยห่างแส้ อินยามองมรันมา
"เจ้าอยากให้ข้าเป็นเจ้านางที่โหดร้ายในสายตาทุกคน แล้วเจ้าจะเอาแผลที่หลังไปอวดอ้อนระริกกับติสสา เหมือนกับที่แม่เจ้าเคยออดอ้อนจนเจ้าศรีพิสยาให้หลงใหล แล้วก็ทอดทิ้งตำหนักนี้ ทอดทิ้งข้าไป"
อินยาคว้าร่างมรันมาเหวี่ยงออกไปกระแทกผนัง
"เจ้าจะไม่ได้ออกไปจากที่นี่ มรันมา เจ้าจะไม่ได้ออกไปจากตำหนักของข้าจนวันตาย"

ในเวลาต่อมา มรันมาทรุดนั่งลงที่ต้นไม้ในบริเวณอุทยานหิน ผีเสื้อสวยบินวนเวียนไปรอบๆดูน่าเบิกบาน แต่มรันมากลับหลั่งน้ำตา ร่ำไห้กับความทุกข์ในใจของตัวเอง ร่างสูงเดินมาจากก้านหลัง เธอดีใจคิดว่าติสสามา
"พี่ชาย"
มรันมาหันไป เห็นปันแสงเดินเข้ามา เธอยิ้มเก้อ รีบลุกจะเดินหนี
"จะร้องเรียกให้ติสสามันมาช่วย... คงจะไม่ทันนะเจ้าสาว"
ปันแสงคว้ามือเธอ มรันมาดิ้นรน
"เจ้าเป็นทาสของตำหนักเจ้านางอินยา ยังไงก็ต้องเป็นสมบัติของข้า ก่อนจะถูกส่งตัวไปให้คนอื่น"
ปันแสงกระชากมรันมาที่ไม่ยอม เธอจิกเล็บลงที่แขน ปันแสงเจ็บ
"แก !"
ปันแสงกระชากเธอเข้ามาแล้วตบจนล้มคว่ำ ติสสาพุ่งเข้ามาด้านหลังเธอล้มคว่ำอยู่ที่พื้น
"น้องน้อย"
ปันแสงหันมาเผชิญหน้ากับติสสา ทั้งคู่ต่างชักดาบ ปันแสงแทงไปก่อน ติสสาหลบ ปันแสงแทงอีก อีกฝ่ายสู้ ชั่วครู่... ปันแสงก็ล้มลุกคลุกคลานเพราะสู้ติสสาไม่ได้ แต่ก็พยายามจะสู้
"พี่ชายระวัง"
ปันแสงยิ้มร้ายเจ้าเล่ห์ จะพุ่งเข้าไปคว้าตัวมรันมาเป็นตัวประกัน
"นังทาสชั่ว"
ติสสาโมโหสุดขีด กระชากปันแสงไว้ได้ก่อนถึงตัวมรันมา คว่ำปันแสงจนล้มลง ปันแสงแกล้งขยับดาบขึ้นเหมือนจะแทงติสสา แต่ติสสาไวกว่า เอาดาบจ่อไปที่อกปันแสง
ทันใด อสุนี ทหารคนสนิทของปันแสงก็พลิ้วร่างเข้าประชิดเอาปลายหอกตีเสยดาบติสสาให้เบี่ยงไป
พลันทหารอินยาที่ซุ่มอยู่ออกมาล้อมไว้ทันที
"ปลายดาบของแกกำลังจะตัดคอตัวเองแล้ว ติสสา"
ปันแสงยิ้มร้าย ติสสารู้ตัวว่าพลาด

ในท้องพระโรงในเวลาต่อมา ปรันมามองติสสา กับ มรันมาที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า อีกด้านคือปันแสง
เมฆา มารุต ยืนตรงข้ามกับอสุนี ต่างอยู่ด้านนายของตัวเอง
"โทษของทหารที่กล้าเอาดาบแตะต้องราชวงศ์ คือบั่นคอเสียบประจาน" ปันแสงบอก
มรันมาทนไมได้ รีบพูดขึ้นกับเจ้าปรันมา
"แม่ทัพติสสาช่วยข้าจากเจ้าปันแสง"
"เงียบไป มรันมา... ติสสาเป็นคนรักของเจ้า เจ้าจะพูดยังไงก็ได้" ปันแสงพูดก่อนหันไปถามติสสา
"หรือว่าจะไม่ยอมรับ ติสสา ว่าเอาดาบจ่ออกข้า"
"ปันแสง เจ้าเริ่มก่อน... เจ้าทำร้ายมรันมา" ปรันมาบอก
"มันเป็นทาสของแม่ข้า"
"มรันมาไม่ใช่ทาส งานฉลองบูชาพระเพ็งคราวนี้ ข้ากำลังจะสถาปนามรันมาเป็นน้องนางคนใหม่แห่งศรีพิสยา"
"ไม่อายเลยหรือ พี่ปรันมา คิดสถาปนาลูกชายชู้หญิงชั่วขึ้นเป็นน้องนาง"
มรันมาหน้าชา น้ำตาคลอเมื่อถูกกระทบเรื่องอดีตของแม่
"เรื่องสนมอเลยากับชายชู้ เป็นแค่ข้อกล่าวหาของเจ้านางอินยา ไม่เคยมีการสอบสวนอย่างจริงจัง" ปรันมาบอก
"ไม่ต้องสอบสวนเพราะแม่ข้าไม่เคยโกหก เชิญเลย ถ้าจะเอาใจแม่ทัพด้วยการอุ้มชูลูกหญิงชั่วให้คนกราบไหว้ ทำลายเกียรติศรีพิสยา... แต่ช่วยให้ความยุติธรรมกับข้า น้องคนนึงด้วย ผู้คนจะได้ไม่กล่าวหาว่าเจ้าปรันมาเห็นแก่คนสนิทจนลืมความเป็นพี่เป็นน้อง"
ปันแสงกราดสายตาจ้องปรันมา และมาจ้องที่ติสสาด้วยความเกลียดชัง ปรันมาตัดสินใจ สั่งด้วยเสียงทรงอำนาจ
"ลงโทษติสสา เอาไปขังจนกว่าจะพ้นคืนบูชาพระเพ็ง"
"แค่ขังไม่ได้ โทษมันคือตาย"
"ข้าจะไม่ยอมเสียแม่ทัพที่สละชีวิตปกป้องดินแดน เพราะเหตุที่เค้าไม่ได้ก่อ ปันแสง สำหรับเจ้า ...ห้ามเข้าใกล้มรันมาอีก ห้ามคนของตำหนักเจ้านางอินยาทำร้ายมรันมา"
ปันแสงได้แต่มอง ติสสาก้มหน้ารับการลงโทษ ปรันมามองด้วยทุกคนด้วยสายตาเป็นคำสั่งอันเด็ดขาด

อ่านต่อหน้าที่ 3


สาปพระเพ็ง ตอนที่ 3 (ต่อ)

ในเวลาต่อมา เจ้านางอินยาเชิดหน้ามองเจ้าปรันมาที่เดินเข้ามา เจ้านางก้าวขึ้นไปยืนบนขั้นที่สูงกว่าเจ้าปรันมาอย่างจงใจ ด้านล่างคืออุตลาและข้าหลวงทุกคนที่ยืนรอรับเสด็จอยู่ อินยาเอ่ยขึ้นเบาๆด้วยสีหน้าเรียบสนิท
"แม้แต่เจ้านางของตำหนักยังไม่อาจเอื้อมลงโทษนางทาสที่ต้องคดี ช่างมีความยุติธรรมเสีเหลือเกิน
สมกับที่จะเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคต" อินยาแย้มเยื้อน
"และความยุติธรรมต่อมาที่ข้าจะมอบให้คนอีกคน คนที่สมควรจะได้รับมานานแล้ว"
อินยามองจ้องปรันมา แววตาวาบด้วยความหวัง
"ปันแสงลูกข้า"
"ข้าจะสถาปนามรันมา ให้เป็นน้องนางคนใหม่แห่งศรีพิสยา แต่ก่อนจะถึงงานสถาปนา... ห้ามคนของตำหนักเจ้านางอินยาทำร้ายมรันมาแม้แต่ปลายผม"
เสียงปรันมาดังอย่างจงใจสั่งให้ทุกคนตรงนั้นได้ยิน นอกเหนือไปจากเจ้านางอินยาที่กำลังผิดหวัง
"และหลังจากงานสถาปนา..."
ปรันมาหันมาจ้องสบตากับเจ้านางอินยา...
"ข้า เจ้าปรันมา เจ้าเหนือชีวิตแห่งศรีพิสยา จะจัดงานแต่งงานให้ น้องนางมรันมากับแม่ทัพติสสา"
เจ้านางอินยาเหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางหัวใจเมื่อสิ้นเสียงคำสั่งของปรันมาที่ตั้งใจเน้นทุกคำ

ในตำหนักเวลาต่อเนื่องมา สีหน้าเจ้านางอินยาที่เต็มไปด้วยความคั่งแค้น
"จะไม่มีงานแต่งงาน ไม่มีงานฉลองน้องนางองค์ใหม่ เพราะข้าจะให้มรันมามันตายก่อนงานฉลองบูชาพระเพ็ง"
"ข้าได้ยินว่า มีพ่อค้าต่างเมืองมาขายของ"
อินยามอง อุตลาพูดใกล้ขึ้น
"เค้าว่ามันไม่ได้ขายแค่น้ำหอมอย่างเดียว... มันขาย... ความตาย"
อินยามองอย่างสงสัย

ในตลาดศรีพิสยา อุตลาปิดหน้าเดินเข้ามาที่แผงขายของเล็ก ๆ บนแผงมีขวดน้ำหอมสกัดจากดอกไม้มากมาย หลากหลายสีวางเรียงราย อุตลามองซ้ายมองขวา เอาผ้าบังหน้าแล้วก้มลงถามแม่ค้า
"ข้าอยากได้น้ำหอมจากดอกเทียนแดง"
ไพลินที่ปลอมตัวเป็นแม่ค้าเงยหน้าขึ้นมอง อุตลาถามเร่ง
"ว่าไงล่ะ มีมั้ย น้ำหอมจากดอกเทียนแดง"
"ยาพิษร้ายแรงอย่างงั้น เราไม่ปรุง"
"ยาพิษเหรอ ตายจริง ข้าไม่รู้"
อุตลาทำเป็นอ้อยอิ่งลุกขึ้น ไพลินยื่นขวดเล็กๆให้
"มีแต่ที่คล้ายๆกัน"
อุตลามองเห็นขวดในมือจะคว้า ไพลินดึงกลับ อุตลามองแล้วหยิบเหรียญทองออกมาวางตรงหน้าไพลินรับเหรียญมา ที่ด้านหลัง สีหสาปลอมตัวเป็นพ่อค้าชาย ลอบมองและยิ้มสมใจ

บริเวณกระโจมริมน้ำในอุทยานอุตลาหมอบอยู่ใกล้ๆ เจ้านางอินยาถือขวดแก้วสวยที่ภายในเป็นน้ำสีแดง พระนางยื่นไปให้ข้าหลวง 2 คนที่คลานเข้ามา
"เจ้าว่าน้ำหอมกลิ่นนี้เป็นยังไง ดมแล้วบอกข้า"
อินยายื่นขวดน้ำหอมไปให้ ข้าหลวงสองคนเปิดจุกแล้วดม อินยาและอุตลามองลุ้น ข้าหลวง 2 คน ดมสูดกลิ่นแล้วรู้สึกร้อนวาบ ลำคอแห้งผาก
"หอมมั้ย" อุตลาถาม
"หอม แต่ดมแล้วคอแห้งๆ"
อินยาฟังแล้วมองสังเกต ข้าหลวง 2 คนหายใจขัดเพราะแสบคอ อินยาเห็นแล้วก็เอ่ยบอก
"น้ำอยู่ตรงนั้น"
ข้าหลวง 2 คนย่อตัวถวายความเคารพ เดินไปที่ริมน้ำ แล้ววักน้ำขึ้นมาดื่ม ทันทีที่น้ำแตะลิ้น ใบหน้าสองข้าหลวงสดชื่นเหมือนดีขึ้น อุตลามอง เจ้านางอินยามองจ้องอย่างสังเกต
นาทีต่อมา ข้าหลวงสองคนเกร็งไปทั้งร่าง น้ำเข้าไปเร่งพิษ สองร่างชัก เกร็ง มือกำแน่น
แล้วล้มตึงลงไปนอนสิ้นลมหายใจ เจ้านางอินยาลุกขึ้นมองช้าๆ ไม่ได้มีท่าทีตกใจจนเกินคาด แตกต่างกับอุตลาที่วิ่งไปดู และอังลมหายใจที่จมูกนางข้าหลวง แล้วรีบหันมารายงาน
"ไม่หายใจแล้ว"
อุตลามองสยอง ต่างจากสายตาที่เปล่งประกายยินดีของเจ้านางอินยา
"รีบไปเอาน้ำหอมวิเศษนี่มาให้ข้า... ข้าจะให้ของขวัญแต่งงานแก่มรันมา ทาสที่ข้ารักที่สุด"
อินยายิ้มหวาน แต่เป็นยิ้มที่แฝงความโหดเหี้ยมไว้เต็มที่

ด้านในเขตพระราชฐาน เวลาเย็นต่อเนื่อง ติสสาที่ยืนอยู่กับมรันมา ทางด้านหลังมีทหารวังรอคุมตัว
เขามองเธอด้วยแววตาห่วงใยมาก
"น้องน้อยระวังตัวด้วย ถึงจะมีคำสั่งเจ้าปรันมาคุ้มครอง ก็อย่าไว้ใจใครที่ตำหนักเจ้านางอินยาเด็ดขาด"
"โธ่... พี่ชาย ไม่ห่วงตัวเองเลย"
" ห่วงสิ ... พี่ชายน่ะห่วงหัวใจตัวเองที่สุด"
เธอยิ้มอาย เขามองใบหน้าสวยกุมมือเธอไว้
"สัญญานะ น้องน้อยจะรอวันที่พี่ชายไปรับออกมาจากตำหนักเจ้านางอินยา"
ติสสามองใบหน้าของมรันมาด้วยแววตาทั้งรักทั้งห่วง
"อย่ายอมให้ใครมาแยกเราจากกัน"
มรันมายิ้มหวานเป็นคำตอบ ติสสายิ้มมองชื่นใจ

ในตำหนัก ปันแสงเดินวุ่นวายใจต่อหน้าเจ้านางอินยาที่สีหน้าสบายใจมาก
"โทษติสสามันต้องตาย ไม่ใช่แค่ขัง เจ้านางยอมง่ายๆเหมือนเห็นแก่คนอื่นดีกว่าข้า"
"ข้าไม่เคยเห็นใครดีกว่าเจ้า ปันแสง ข้าย่อมมีหนทางที่ดีกว่าให้เจ้าเสมอ"
"ทางไหน...ติสสากำลังจะเป็นเจ้าบ่าวมรันมาน้องนางองค์ใหม่ มันกำลังจะก้าวมายืนข้างๆข้า"
ปันแสงไม่พอใจชัดเจน อินยาแค่ยิ้ม ไม่ได้เดือดร้อนใจไปด้วยเลย
"ไม่ต้องร้อนรน ปันแสง... นั่นมันสิ่งที่เจ้ากลัวไปเอง"
"ไม่ใช่ความกลัวของข้า ปรันมากำลังทำให้เป็นเรื่องจริง"
"อย่าห่วงไปเลย ไม่มีใครทำให้เจ้าต่ำต้อยได้ ตราบใดที่ข้ายังมีลมหายใจ"
อินยาระบายยิ้มเต็มหน้า อุตลาเองก็ตามออกไปพร้อมรอยยิ้ม ปันแสงมองรอยยิ้มและความใจเย็นของแม่ด้วยสีหน้าสงสัย

ในห้องนอนปันแสง เวลากลางคืน อุตลากำลังถอดเสื้อให้ปันแสง
"เจ้านางกำลังจะทำอะไร"
"ทำอะไร... เจ้าถามถึงอะไร ข้าไม่เข้าใจ"
ปันแสงหันมามองจ้องคาดคั้นอุตลา
"สงสัยเจ้าจะอยากถูกตัดลิ้นนะ อุตลา"
"ข้าไม่รู้จริงๆ เจ้าปันแสง"
อุตลารีบลูบไล้อกปันแสงเพื่อเอาใจ
"ยังไงเจ้านางอินยาก็สัญญาแล้วว่า เจ้าจะได้ทุกอย่าง ระหว่างรอ..เจ้าน่าจะหาความเพลิดเพลินใจ"
อุตลาลูบไล้ โน้มตัวเข้าหา จูบไซร้อย่างเอาใจ แต่ปันแสงดันอุตลาออก แล้วเดินห่าง
"เจ้านางจะทำอะไรติสสาก็ได้ แต่ต้อง..ไม่ใช่มรันมา"
อุตลาลอบยิ้มเหยียด ปันแสงหันมา อุตลารีบทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ปันแสงมองอย่างสงสัย

เวลากลางคืน ติสสานั่งอยู่ในหอขวัญเมือง เจ้าปรันมายืนอยู่ตรงหน้า ด้านหลังคือเมืองมาส โหรหญิง และนักบวชอีก 4 คน
"เจ้าจะถูกคุมตัวอยู่ที่หอขวัญเมือง สวดมนต์ทั้งวันทั้งคืน จนกว่าจะพ้นคืนบูชาเพ็ง"
ติสสาสีหน้ากระวนกระวายใจ จนปรันมาสังเกตเห็น
"ทำไมถึงไม่ดีใจที่ข้าลงโทษแค่นี้ โทษของเจ้าคือความตายนะ ติสสา"
"แม่ทัพติสสาคงไม่ได้ว้าวุ่นใจเรื่องถูกลงโทษ" เมืองมาสบอก
เมืองมาสรู้ความกังวลในใจของติสสา
"การได้สวดมนต์ที่หอขวัญเมือง คือเมตตาที่สุดของท่าน แต่ที่ข้าเป็นห่วงคือ มรันมา"
"เจ้าควรจะทำใจให้สงบ ข้าสั่งไปแล้วว่าห้ามใครแตะต้องมรันมา"
ติสสาเงียบ ไม่เอ่ยอะไรอีก ทั้งๆที่ในใจแสนจะร้อนรุ่น

ในห้องข้าหลวง เวลากลางคืน ประตูห้องนอนข้าหลวงถูกอสุนีผลักออก เหล่าข้าหลวงตื่นตกใจ ร้องวี๊ดว๊ายตื่น กาหลงและน้ำค้างรีบเอาผ้าคลุมกายให้มิดชิด
ปันแสงก้าวเข้ามามองหา มรันมาเห็นแววตาปันแสงก็รู้ว่าเป้าหมายคือตัวเอง!
"มรันมา ทำไมไม่เข้าไปรับใช้ข้า"
"ข้าไม่มีหน้าที่ในนั้น"
"คำสั่งของข้าอยู่เหนือคำว่าหน้าที่"
ปันแสงโมโห ก้าวพรวดจะเข้าไปคว้าข้อมือ มรันมาพูดขึ้นทันที
"เจ้าปรันมาบอกว่าจะไม่มีใครทำร้ายข้าได้... จนกว่าจะถึงวันแต่งงาน"
ปันแสงชะงัก สายตากราดเกรี้ยว ข้าหลวงทุกคนก้มหน้าต่ำทันที
"ไม่ทันไร ก็อ้างคำสั่งพี่ชายคุ้มกะลาหัว"
"ไม่ได้อ้าง แต่ข้าถือว่าเป็นคำสั่งของเจ้าเหนือชีวิตแห่งศรีพิสยา"
มรันมามองปันแสง
"คำสั่งที่ทุกคนต้องทำตาม ห้ามผู้ใดฝ่าฝืน"
ปันแสงจ้องมรันมาที่ไม่หลบตา เธอเชื่อมั่นในคำสั่งของปรันมาว่าจะคุ้มครองตนเองได้ ปันแสงยื่นหน้าเข้าใกล้
"อย่าคิดว่าคำสั่งของเจ้าปรันมา กับอ้อมอกติสสาจะเป็นเกราะคุ้มเจ้าได้ อะไรที่คนอย่างเจ้าปันแสงต้องการ ต่อให้นานชั่วฟ้าดินดับ มันก็ต้องเป็นของข้า"
ปันแสงจ้องมรันมาด้วยแววตาดุกร้าวก่อนหันหลังเดินออกไป เธอข่มความกลัวไว้ อสุนีปิดประตูลงมรันมาพิงผนัง กาหลงกับน้ำค้างมองอย่างเห็นใจ เธอมองจันทร์ที่ใกล้เต็มดวงด้วยใบหน้าเศร้าเต็มที

แสงจันทร์ส่องเข้ามาในหอขวัญเมือง ติสสาสีหน้าไม่คลายความทุกข์ เมืองมาสเอ่ยขึ้น
"มรันมาจะปลอดภัย จนกว่า..." เมืองมาสเอ่ยขึ้น
ติสสามองลุ้น แล้วฟังเมืองมาสเอ่ยต่อไป
"...วันแห่งความสุขจะมาถึง ..."
ติสสาผ่อนลมหายใจอย่างโล่งใจ ปรันมามองแล้วยิ้ม
"กลัวจะไม่มีเจ้าสาวหรือ ติสสา"
"ตั้งแต่เด็กมรันมา ขาดทั้งแม่ ทั้งความอบอุ่น ต้องอยู่ในที่ๆถูกหยามหยัน ไร้ความปรานี หากข้าพอทำได้ แค่ความสุขหรือรอยยิ้มเพียงนิดเดียว ข้าก็อยากจะทำให้มรันมา"
"ขอบใจที่เจ้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้น้องหญิงอีกคนของเราเสียใจ... จะมีสิ่งใดที่น่ายินดีกับศรีพิสยามากไปกว่าความเป็นปึกแผ่นในครอบครัว"
ติสสายิ้ม ปรันมาเอ่ยสั่ง
"ติสสา... หลังงานบูชาพระเพ็ง เจ้าจงทำสิ่งหนึ่งให้ข้า ค้นหาความลับเรื่องสนมอเลยากับชายชู้มาให้ได้ ข้าไม่ต้องการให้มีคนคัดค้านเรื่องการสถาปนามรันมา"
ติสสาก้มหัวเป็นการรับคำสั่งด้วยความยินดีอย่างยิ่ง

เช้าวันใหม่ อุตลาเดินเร็ว ดึงผ้าคลุมมาปิดหน้าออกไปจากตำหนักเจ้านางอินยา ด้านบนที่หน้าต่างห้อง เจ้าปันแสงมองลงมาด้วยสายตาสงสัย
ในตลาดศรีพิสยา อุตลานั่งลงตรงหน้าไพลินที่แผงขายน้ำหอม
"ข้ามาซื้อน้ำหอมแบบเมื่อวาน"
"ขายไปหมดแล้ว" ไพลินบอก
อุตลาวางเหรียญทองลงตรงหน้าไพลิน
"มีเท่าไหร่ เอามาให้ข้า"
ไพลินทำเป็นหน้าตาจริงจัง
"ไม่เหลือสักหยด"
อุตลาวางเหรียญทองลงหน้าไพลินอีก 3 เหรียญ
"มีหรือยัง"
ขวดแก้วใสบรรจุน้ำหอมสีแดงยื่นมาตรงหน้า อุตลาจะคว้า สีหสาที่ปลอมเป็นพ่อค้าชายยิ้ม
"น้ำหอมขวดนี้สกัดจากดอกไม้พิเศษ ดมแล้วกลิ่นจะตราตรึง เหมือนเข็มร้อยพันเล่มวิ่งเข้าสู่หัวใจ"
สีหสาพูดพลางจงใจชูขวดอ้อยอิ่ง
"ดูเจ้าไม่น่าจะมีเงินทองมากมาย หรือว่าเจ้าขโมยของคนอื่นมา"
"ตาต่ำ... นี่เงินของข้า"
อุตลาคว้าขวดมา สีหสาแกล้งปล่อยให้ขวดน้ำหอมไปอยู่ในมืออุตลาง่ายๆ ทางด้านหลัง อสุนีลอบมองอุตลาที่มีขวดน้ำหอมในมือ
สีหสายิ้มมองอุตลา
"ถ้าข้ามีน้ำหอมดีดีอย่างนี้อีก จะเอาไปให้เจ้าที่ใด"
"ข้าไม่ต้องใช้แล้ว ถ้าขวดนี้ของเจ้ามันดีสมราคา... ขวดเดียวก็เกินพอ"
อุตลารีบเดินห่างไป อสุนีหลบหายไป สีหสามองตาม ไพลินเอ่ยขึ้น
"มันเองก็ระวังตัว ไม่ยอมให้เรารู้ว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหน"
"ทองมากมายขนาดนี้ ต้องเป็นข้ารับใช้คนใดคนนึงในวังศรีพิสยา ไพลินตามมันไป ดูสิว่ามันเป็นคนของตำหนักไหน"
ไพลินลุกออกไปทันที สีหสามองตามด้วยสายตาคมกริบ

เวลาต่อมา เจ้านางอินยามองขวดน้ำหอมพิษที่อุตลาวางลงในพานทองตรงหน้า
"ข้าไม่ใช่เจ้านางผู้โหดเหี้ยมหรอก จิตใจเปี่ยมด้วยเมตตาปรานีต่อสัตว์ผู้ยากไร้เสมอ เพราะเช่นนั้น คืนนี้ต้องเป็นเจ้าที่จะต้องเอาน้ำหอมพิษขวดนี้ให้มรันมามันไปดมนอกตำหนักข้า"
"ข้า" อุตลาทวนคำน้ำเสียงหวั่นๆ
"ที่นี่ยังมีใครอีกหรือนอกจากเจ้า อุตลา นี่ข้าให้โอกาสเจ้าทำความดีแล้วนะ"
อุตลาเสียงเบาลง
"ความดีก็ความดี..."
อุตลายิ้มแบบเลี่ยงไม่ได้ สายตาอินยามองขวดน้ำหอมพิษอย่างวาดหวัง

สวนเจ้านางอินยา ปันแสงที่ยืนสั่งอสุนี
"คอยดูนังอุตลาไว้... อย่าให้มันเข้าใกล้มรันมา"
อสุนีเดินเร็วออกไปทันที ปันแสงมีสีหน้าเป็นกังวล

อุตลามองขวดน้ำหอมพิษในมือ มรันมาเดินถือถาดดอกไม้มายังทางเดินในตำหนักเจ้านาง อุตลากำลังจะก้าวเข้าไปเรียก กาหลงกับน้ำค้างเดินเร็วมาจากด้านหลัง
"มรันมา รอด้วย"
อุตลาหลบมอง น้ำค้าง กาหลงเดินมากับมรันมา
"มัวชักช้าอยู่ได้น้ำค้าง เดี๋ยวจัดห้องอาบน้ำเจ้านางไม่ทันบูชาพระเพ็งคืนนี้...หลังขาด" กาหลงบอก
"อย่าพูดสิ... กาหลง เจ้านางอินยาคงไม่เฆี่ยนใครคืนนี้หรอก มันเป็นลางไม่ดีใช่มั้ย มรันมา"
"ใช่จ้ะ คืนบูชาพระเพ็ง ต้องทำแต่สิ่งดี สิ่งเป็นมงคล เพื่อให้พระเพ็งพอใจ แล้วก็ประทานความสุขให้กับเรา"
มรันมายิ้มสดใส เดินไปกับน้ำค้าง กาหลง อุตลามองน้ำหอมพิษในมือ แล้วเหลือบตามองฟ้าอย่างหวาดกลัว
"ไม่ใช่ข้านะพระเพ็ง ไม่ใช่ข้า เจ้านางอินยาต่างหากที่กล้าทำบาปในคืนศักดิ์สิทธิ์"

มุมหนึ่งในตลาดศรีพิสยา สีหสาที่ฟังไพลินกลับมารายงาน
"เป็นคนของเจ้านางอินยา ชายาฝ่ายซ้ายของเจ้าศรีพิสยาองค์ก่อนเองหรือ" สีหสาถาม
"ข้าตามจนเห็นมันเข้าไปในตำหนัก ถึงจะอยู่ห่างจากพระราชฐานชั้นใน แต่ที่นั่นก็มีทหารมากมาย ยากที่ข้าจะฝ่าเข้าไป"
"เจ้ายังไม่ต้องเข้าไป ไพลิน"
สีหสาสีหน้าใช้ความคิด ไพลินมอง คอยฟัง
"คิดลอบวางยาพิษในเวลาศักดิ์สิทธิ์ของพวกมัน คนที่จะถูกพิษ ต้องเป็นคนสำคัญ เราจะรออยู่ที่นี่ บูชาพระเพ็งครั้งนี้ ศรีพิสยาอาจจะมีเรื่องตื่นเต้น"
สีหสายิ้มอย่างมั่นใจว่าจะหาคำตอบเรื่องทำลายศรีพิสยากลับไปให้นรสิงห์

เวลาเย็น อินยาเห็นปันแสงเดินเข้ามาหา
"เตรียมตัวบูชาพระเพ็งคืนนี้หรือยัง ปันแสง ข้าจะขอให้พระเพ็งท่านประทานบัลลังก์ศรีพิสยาแก่เจ้า"
"อะไรก็พระเพ็ง พระเพ็งน่ะเหรอที่จะลากเอาบัลลังก์มาประเคนให้ง่ายๆ ปรันมาคงไม่ยอม ไหนจะยังติสสาที่พร้อมจะเอาดาบฟันคอข้าทุกนาที"
อินยาฟังแล้วยิ้มใจเย็นมาก
"ข้ากำลังเปลี่ยนให้คมดาบนั่นหันไปหาปรันมา"
"เจ้านางจะเปลี่ยนใจติสสาได้ยังไง ในเมื่อปรันมาเพิ่งประทานเจ้าสาวให้ติสสา นอกเสียจากว่า...ไม่มีมรันมา"
อินยาหันขวับมาเห็นแววตาปันแสงที่มองจ้องก็รู้แล้วว่า ลูกชายอาจจะรู้เรื่อง ฆ่ามรันมา
"ปันแสง... อย่าหลงผู้หญิงคนเดียวจนเสียเรื่อง"
"ไม่เลย ข้าไม่ได้เห็นแก่ผู้หญิงอย่างมรันมา แต่ถ้ามรันมาคือหัวใจของติสสา ข้าก็จะแทงลงที่ใจมันช้าๆ"
อินยามองปันแสงที่แววตาเต็มไปด้วยความแค้น
"ความทรมานต่างหากที่ข้าจะให้ศัตรู"
"อย่ายุ่ง ปันแสง เรื่องมรันมา ข้าจัดการเอง ... ติสสามีประโยชน์กับเรา"
"แม่ทัพอย่างติสสาจงรักภักดีกับปรันมาจนวันตาย... ไม่มีอะไรเปลี่ยนใจติสสาได้"
"มีสิ...ข้าจะทำให้เจ้าเห็นเองว่า หัวใจที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กของชาย มันจะถูกหลอมละลายได้ด้วยเสน่ห์แห่งหญิง"
อินยามองจ้องลูกด้วยสายตามีอำนาจ มั่นใจและเชื่อในความคิดตัวเอง ปันแสงหันหน้าไปมองทางอื่น สีหน้าหงุดหงิดที่ขัดขวางแม่เรื่องมรันมาไม่ได้

ติสสาที่นั่งสวดมนต์อยู่ในหอขวัญเมือง จิตใจโดนรบกวนด้วยความเป็นห่วงเรื่องมรันมา จนทำสมาธิต่อไปไม่ไหว ลืมตาและลุกขึ้น นักบวชที่เติมน้ำมันในตะเกียงรอบวิหาร หันมามองติสสาป็นตาเดียว
เมืองมาสก้าวมายืนขวางตรงหน้า
"ทำใจให้นิ่งกว่านี้ แม่ทัพติสสา มรันมาจะปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง"
จู่ๆเกิดลมพัดแรงเข้าทางหน้าต่าง ตะเกียงดวงหนึ่งหล่นลง ไฟลุกวาบบนพื้น
"น้องน้อย"
นักบวชรีบเข้ามาดับไฟ ดึงตะเกียงขึ้น ติสสาน้ำเสียงยิ่งกังวลมาก
"เจ้านางอินยาจะไม่ปล่อยมรันมาง่ายๆ"
"อย่าให้ดวงจิตของท่านหวั่นไหว แล้วพระเพ็งจะคุ้มครองพวกเรา"
ติสสาได้ยินคำเตือนของเมืองมาสก็หันไปมองด้านนอกหน้าต่าง แดดสีทองสุดท้ายของวันกำลังลดลงไปสู่ความมืด พระจันทร์ลอยขึ้นเหนือบนฟ้า เขาแตะมือลงที่หัวใจ แล้วเอ่ยขอด้วยสายตาวิงวอน
"มรันมาคือหัวใจของข้า... พระเพ็งโปรดคุ้มครองหัวใจดวงนี้ด้วย"

ในตำหนักเจ้านาง มรันมากำลังถือเดินดอกไม้หลากสีในถาดมา อุตลามายืนขวางหน้า
"คืนนี้ไม่ต้องเข้าไปรับใช้เจ้านาง"
มรันมามอง อุตลากระชากเสียงสั่ง
"เจ้านางอนุญาตให้เจ้าไปร่วมงานฉลองบูชาพระเพ็งที่วังหลวง"
"แปลก เจ้านางใจดีกับข้าเป็นพิเศษ"
อุตลาเดินเข้าใกล้ มรันมามองไม่ถอย
"เพราะเจ้านางรังเกียจหน้าเจ้าน่ะสิ เลี้ยงไม่เชื่อง เจ้านางอุตส่าห์ชุบเลี้ยงให้ข้าวให้น้ำมาแต่เด็ก แต่เจ้ามันใฝ่สูง"
"ข้าสำนึกบุญคุณเจ้านางเสมอ แต่คงไม่เท่าเจ้าที่อยากจะอยู่รับใช้เจ้านางไปจนชีวิตจะหาไม่"
"ปากดี"

อุตลาเงื้อมือ ปันแสงก้าวออกมา
"อุตลา"
อุตลาลดมือถอยออกห่างมรันมา ปันแสงมองมรันมาที่ไม่ยอมสบสายตา
"มานี่"
"ไปสิ มรันมา...เจ้าปันแสงเรียก"
"ข้าเรียกเจ้า อุตลา"
อุตลาหน้าตาตกใจ มรันมาเองก็มองปันแสงอย่างไม่แน่ใจ

ในห้องนอนปันแสง อสุนีค้นตัวอุตลา ปันแสงยืนมองอยู่ด้วย
"ไม่เจออะไรเลย"
อสุนีถอยออกไป อุตลาหันมาทางปันแสง
"อะไรกัน เจ้าปันแสง ทำยังกับข้าจะไปฆ่าคน"
"น้ำหอมนั่นอยู่ไหน" ปันแสงถาม
"น้ำหอม... น้ำหอมอะไร"
ปันแสงเหวี่ยงอุตลาลงไปกองกับพื้น ชักดาบออกมา
"เจ้านางกำลังจะฆ่ามรันมา"
"ข้าไม่รู้จริงๆ ไม่รู้เรื่องนี้เลย อสุนีก็ค้นตัวข้าแล้ว ท่านก็เห็น ไม่มีน้ำหอมอะไรเลย"
ปันแสงมองอุตลาที่ลนลานด้วยความกลัว ก่อนเก็บดาบหันหลังออกไปทันที อุตลายิ้มร้ายมองตาม

เจ้านางอินยากำลังอาบน้ำมันหอมดอกจันทน์กะพ้อ ปันแสงเดินเข้ามา กวาดตาไปทั่วห้อง
"มรันมาอยู่ที่ไหน"
เจ้านางอินยาหันมามองสบตาลูกชาย
"ข้าเตือนเจ้าแล้ว ปันแสง... ชีวิตมรันมาเป็นของข้า ข้าจะสั่งให้มันอยู่หรือตาย... ต่อให้เป็นเจ้า ก็เปลี่ยนใจข้าไม่ได้"
ปันแสงมองรอยยิ้มเย็นเยียบของแม่ก็รู้แก่ใจแล้วว่า มรันมาคงไม่รอดแน่ๆ

มรันมาที่เดินเร็วมาที่อุทยานหิน น้ำค้างวิ่งตามมาด้านหลังเรียก
"มรันมา"
มรันมาหันไป น้ำค้างถือขวดน้ำหอมมาอวด
"เจ้านางประทานน้ำหอมให้ข้า อีกขวดนึง ฝากให้เจ้า"
มรันมารับขวดน้ำหอมสีแดงมาจากมือน้ำค้าง
"ข้าว่าน้ำหอมของเจ้านางอินยาต้องหอมชื่นใจที่สุด"
น้ำค้างเปิดขวดดมของตัวเอง
"อืมม ... หอมมาก"
มรันมาเปิดขวดน้ำหอมบ้าง
"มรันมา...น้ำหอมของเจ้ากลิ่นอะไร"
มรันมาเปิดขวด ยกขึ้นมาใกล้จมูก

ในหอขวัญเมืองเวลากลางคืน ติสสากำลังนั่งสวดมนต์ ควันกำยานลอยอ้อยอิ่งอบอวลรอบร่างทั้ง ติสสา เมืองมาสและนักบวช แสงจันทร์ส่องเข้ามา แสงนวลกระจ่างตา รอบๆ หอขวัญเมืองเต็มไปด้วยความสว่างไสว พลันเห็นเมฆดำผ่านเข้าบดบังแสงจันทร์ ทั้งห้องแสงมืดลง
ติสสาลืมตาขึ้นโดยพลัน หันมองแสงจันทร์ที่ถูกบดบัง

ตลาดเมืองศรีพิสยา ท่ามกลางบรรยากาศที่ตกแต่งประดับประดาไปด้วยดอกไม้ และแสงเทียนวับแวมรอบๆบ้านเมือง ชาวบ้านเด็กๆพากันออกมาชมจันทร์ด้วยสีหน้าเบิกบาน สีหสาเดินมากับไพลิน เงยมองเห็นเมฆดำที่กำลังเคลื่อนผ่านพระจันทร์
"ข้าเกลียดพระเพ็ง แสงอาทิตย์เจิดจ้าต่างหากที่จะมอบความสุข ความยิ่งใหญ่ให้เรา อีกไม่นาน ข้าจะสั่งสอนให้ชาวศรีพิสยารู้ว่า แผ่นดินนี้ต้องมีเจ้าชีวิตเพียงหนึ่งเดียวคือ นรสิงห์สีหบดี"
สีหสามองบรรยากาศบูชาพระเพ็งของชาวบ้านศรีพิสยาด้วยสายตาเกลียดชัง

อ่านต่อหน้าที่ 4


สาปพระเพ็ง ตอนที่ 3 (ต่อ)

ในวิหารปุระอมร องค์นรสิงห์ที่กำลังมองจันทร์กระจ่าง แล้วหันกลับมาทางสุเลวินที่อยู่ด้านหลัง
"ป่านนี้แล้วสีหสายังบอกไม่ได้ว่า หญิงคนไหนที่จะช่วยให้เราห้ำหั่นศรีพิสยา"
"คืนบูชาพระเพ็งเช่นนี้ ฟ้าอาจจะไม่เป็นใจสำหรับเรา"
"ถ้าอยากจะให้ฟ้าประจักษ์ความยิ่งใหญ่ เราต้องสำแดงพระเดชไม่ใช่พระคุณ ไม่ใช่เมตตา นั่นคือความอ่อนแอ"
"จะทำสิ่งใด... ขอให้รอหลังวันบูชาเพ็งเถิด กษัตริย์ของข้า ชะตาฟ้าดินจะถูกกำหนดด้วยพลังแห่งดวงอาทิตย์"
นรสิงห์มองไปบนฟ้า แล้วยิ้มเหยียด
"สำหรับข้า สิ่งที่อยากจะใช้บูชาพระเพ็งคืนนี้ ควรจะเป็นหญิงนางนั้นและความตาย"

มรันมากำลังก้มลงดมน้ำหอมจากขวด น้ำค้างยิ้มมองอยู่ข้างๆ พอได้กลิ่นหอม มรันมาคลี่ยิ้ม
"หอมเหมือนดอกไม้จากแดนไกล"
มรันมาพูดได้แค่นั้น อยู่ๆ ก็เจ็บแปลบตั้งแต่ปลายนิ้ว ความเจ็บแผ่ซ่าน
"มรันมาเป็นอะไร"
มรันมาตอบไม่ไหว หมดแรง เจ็บร้าวทั้งร่าง ขวดน้ำหอมหลุดจากมือตกลงพื้น
"ช่วยด้วย"
เธอทรุดลง น้ำค้างเข้ามาประคอง
"มรันมา มรันมา"
เธอครางออกมาด้วยสำนึกที่จวนเจียนจะดับเต็มที
"ช่วยด้วย... พี่ชายช่วยน้องน้อยด้วย พี่ชาย"

ติสสากำลังจะออกไปที่ประตู ด้านหลังเมืองมาสและนักบวชยังคงหลับตาสวดมนต์ เสียงของเมืองมาสดังก้องขึ้นรอบๆหอ เหมือนจะเตือนสติติสสา
"อย่าให้ดวงจิตของท่านหวั่นไหว แล้วพระเพ็งจะคุ้มครองพวกเรา"
ติสสามองประตูที่ปิดสนิท ก่อนหันกลับมามองแท่นบูชาด้วยสีหน้าตัดสินใจลำบาก
"พี่ชายช่วยน้องน้อยด้วย ... พี่ชาย"

ภายในบ้านนรสิงห์ รัดเกล้าที่สะดุ้งขึ้นสุดตัว
"โอ๊ย ...ปวด ... ปวดเหลือเกิน"
รัดเกล้ามองเห็นนรสิงห์ที่อยู่ตรงหน้า
"ปวดจากอะไรรึ" - นรสิงห์เอ่ยถาม
"ไม่รู้ ... รู้แต่ว่าปวด ปวดเหมือนจะตาย"
นรสิงห์กล่าวออกมาด้วยเสียงขื่นขม
"เหมือนตาย ... แต่กลับไม่ตาย ราวกับวิญญาณล่องลอยไร้จุดหมาย ทรมานยิ่งนัก"
รัดเกล้ามองนรสิงห์ด้วยสายตาสงสัย แต่ไม่ทันถาม
นรสิงห์มองไปที่คทารัตน์ วิวรรธน์ สถบดี ปลุกทุกคนขึ้นจากมนต์สะกด และขยับร่างทันที
คทารัตน์ถามต่อ เหมือนเหตุการณ์ในโลกปัจจุบันเพิ่งผ่านไปแค่นาทีเดียว
"เมื่อกี้นี้เราคุยถึงไหนคะ อ้อ...ตกลงว่าในบ้านคุณอภิมุข คุณนรสิงห์คุยกับใครบ่อยที่สุดคะ"
ทุกคนกลับมาถามเรื่องคดีต่อ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่างจากรัดเกล้าที่มองนรสิงห์ด้วยสายตาหวั่นๆ
"ไม่เคยคุยกัน"
"งั้นคุณมั่นใจจากอะไร ที่บอกว่าฆาตกรคือผู้หญิง"
"ผู้หญิง... อารมณ์ซับซ้อน แปรปรวน เข้าใจยาก"
นรสิงห์ตอบสั้นๆ คทารัตน์ถึงกับชะงัก สถบดีอารมณ์ขึ้น
"คุณนรสิงห์ เราไม่มีเวลาให้คุณมาพูดล้อเล่น แค่นี้ก็เริ่มกวนประสาทแล้ว"
"ผู้กองไผ่ อย่าทำเสียเรื่อง ฉันกำลังจะได้ข้อมูลจากคุณนรสิงห์"
"ถ้าจิตใจไม่เปิดรับ...ก็เชิญกลับ"
ขาดคำ ประตูบ้านก็เปิดออกเองทันที ทุกคนหันไปมองประตูอย่างอึ้งๆ คทารัตน์หันกลับมาก่อน แต่ไม่มีนรสิงห์อยู่ในห้องแล้ว
"คุณนรสิงห์ คุณนรสิงห์ขา เรายังคุยกันไม่จบเลย วิกกี้รบกวนอีกนิดเดียวค่ะ"
คทารัตน์ขยับเดินหา แต่ไม่พบแม้แต่เงา
"วันนี้คงไม่ได้เรื่องแล้วล่ะ เจ๊" วิวรรธน์บอก
"มันเสียเรื่องเพราะมีตัวป่วน"
"ไม่ใช่ผมหรอกที่ป่วน คุณนรสิงห์ขาของคุณต่างหาก เค้าอยากดัง อยากให้คนมาสนใจ... กลับเถอะ รัดเกล้า"
คทารัตน์เดินเข้ามาดึงประกบรัดเกล้าไว้ข้างตัว พูดดังๆ
"วันหลังเจอกันอีกนะคะ คุณนรสิงห์"
คทารัตน์พูดเหมือนจะบอกนรสิงห์ให้รับรู้ เธอดึงรัดเกล้าเดินออกไป สถบดีเดินตาม วิวรรธน์รู้สึกแปลกๆ กับบรรยากาศรอบๆ บ้าน ที่มีแต่เงียบเชียบเข้าปกคลุม
นรสิงห์ยืนตระหง่านอยู่ชั้นบน มองลงมาเห็นทั้ง 4 คนที่กำลังเดินออกจากบ้านไป

สถบดีเดินนำออกมาจากบ้านนรสิงห์ โวยด้วยความหัวเสีย
"ไม่มีวันหลัง วันไหนๆอีกแล้ว นรสิงห์มันลูกเล่น มันไม่ได้รู้อะไรหรอก แต่พยายามหลอกปั่นหัวพวกเรา แล้วก็ดันมีคนเชื่อซะด้วย"
คทารัตน์ก้าวมาประจันหน้า
"จะด่า ก็ออกชื่อฉันได้เลย ผู้กองไผ่"
"โอเค งั้นถามหน่อย เจ๊วิกกี้ ที่ดันทุรังลากน้องสาวกำลังป่วยไปให้คนเพี้ยนๆ ท่าทางประหลาดนั่นจ้องหน้า มันได้ข้อมูลอะไรคืบหน้ากับคดีบ้าง"
"นรสิงห์รู้จักตระกูลนี้ตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่"
"ช่วยได้มาก ไม่ต้องให้นรสิงห์บอก ผมคลิกกูเกิ้ลสามวิ ประวัติตระกูลนี้ก็ขึ้นหราแล้ว เอาตั้งแต่ตอนไหน รุ่นอาม่าอากงเพิ่งมาตั้งรกรากที่เมืองไทยเลยมั้ย"
“คุณหาว่าฉันเชื่อคนง่าย”
“ใช่สิครับ ต้องให้ย้ำด้วยมั้ยว่า หูเบา ไร้สติ ไม่มีวิจารณญาณ”
“แรงไปมั้ยครับ ผู้กอง เจ๊แกก็ทำเพื่องาน” วิวรรธน์บอก
“ไม่ต้องมาปกป้องฉัน วิว คำพูดของคนขี้อิจฉาอย่างผู้กองไผ่ มันไม่ระคายฉันเลย”
“ขอโทษ ลืมไป อย่างเจ๊วิกกี้ ต้องใจกล้าหน้าฉาบซีเมนต์” สถบดีบอก

ภายในสนง.สืบฯ เวลาเย็นต่อเนื่อง พัทธยากระแทกมือลงบนโต๊ะ เสียงดัง
“พอได้แล้ว อะไร ทะเลาะกันเหมือนเด็กแย่งของเล่น”
ทุกคนมองไปที่พัทธยา
“ผู้กองพัทธ์คะ วิกกี้ขอเปลี่ยนทีม” คทารัตน์ว่า
“ต่อให้ผมไม่ไปวันนี้ คุณก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มจากนรสิงห์ แค่บอกว่าฆาตกรเป็นผู้หญิง ก็แน่ล่ะ บ้านคุณอภิมุขมีผู้หญิง 3 ชาย 1 ความน่าจะเป็น 3 ต่อ 1 ประทานโทษ... อันนี้เด็กอนุบาลแถวบ้านผมก็คิดได้”
“แต่เด็กอนุบาลแถวบ้านนายบอกหรือเปล่าว่าคุณอภิมุขมีประวัติเรื่องผู้หญิงยังไง”
คทารัตน์โยนแฟ้มลงตรงหน้าสถบดี
“เมียเก่าตายปริศนา ไม่มีอาการของโรค ไม่เจ็บ ไม่ป่วย หลับตายไปเฉยๆ มรดกส่วนที่เป็นของเมีย ถูกยกมาให้ลูกชายคนเดียวทันที น้องเมีย..คนที่นายจะให้เบอร์แลกสัดส่วนน่ะ ถึงพี่สาวจะตายไปแล้วก็ยังวนเวียนอยู่ที่นั่น ยิ่งกว่าสัมภเวสีไม่ยอมออกไปไหน เพราะอะไร”
“สิริรัตน์ไม่ได้ช่วยเลี้ยงหลาน คุณเพชรเป็นคนดูแลหลานอยู่คนเดียว” พัทธยาบอก
“เพราะมรดกของเด็ก”
“คุณอภิวัฒน์บอกผมเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ผมคิดว่าคุณเพชรเลี้ยงหลานเพราะความรักจริงๆ”
ยอดชายยกมือบอก
“ผมเห็นด้วยครับ เห็นกับตาสี่ตาเลยเลย เด็กน่ะใครรักเค้า เค้าก็จะอยู่กับคนนั้น คุณสิริรัตน์น่ะคงเกลียดหลานเต็มที่ แค่เห็นหน้า หลานก็แทบจะฉี่ราด”
“แทนที่จะรักหลานมากๆ เพราะสิริรัตน์เป็นคนที่จะไม่ได้อะไรเลย ถ้าเปิดมรดกของตระกูลนี้ เห็นมั้ยคะ... ยังไงผู้ต้องสงสัยก็ยังเป็นผู้หญิง” คทารัตน์บอก
“จะแถก็อย่าให้มันน่าเกลียดนักสิครับเจ๊ สีข้างเกรียมแล้ว” สถบดีบอก
พัทธยาขยับตัว คทารัตน์กับสถบดีเงียบ หยุด รู้ว่าเพื่อนไม่พอใจ
“พรุ่งนี้แยกกันสอบปากคำ”
“เดี๋ยวค่ะ กลับมาประโยคแรกที่วิกกี้พูดก่อนนะคะ วิกกี้ขอเปลี่ยนทีม”
“ไม่ต้องห่วงเล้ย ผมไม่ไปกับเจ๊แน่นอน” สถบดีบอก
“ที่เปลี่ยนทีมน่ะ ไม่ใช่ฉัน แต่เป็นยายเกล้า”
ไผ่มองวิกกี้อย่างอึ้งๆ
“ผู้กองพัทธ์ช่วยเอายายเกล้าไปทำงานแทนน้องมุมานะหน่อยนะคะ”
“ดีค่ะ มุไม่เป็นลมขี้โรคเหมือนเกล้านะคะ มุลุยได้ทุกที่” มุรธาบอก
“น้องอยากลุย ก็ออกไปวิ่งไล่จับโจรสิคะ ไปสอบปากคำ ต้องการคนหัวไว ช่างสังเกต... ดูรายงานการประชุมของน้องที่ส่งมา”
คทารัตน์หันไปพลิกเอกสารรายงานที่มุรธาพิมพ์มีแต่ปากกาแดงขีดแก้ทุกบรรทัด กางลงตรงหน้าทุกคน
“คำว่าประชุม สะกดให้ถูกก่อนดีมั้ย ประชุม ไม่ใช่ปาชุม ปาอย่างนี้ มันปาหัวสุนัข โดยเฉพาะชื่อฉัน คทารัตน์หรือคุณวิกกี้ ใส่คุณนำหน้าทุกครั้งค่ะ”
คทารัตน์เสียงหวานใส่พัทธยา
“ให้ยายเกล้าไปช่วยผู้กองนะคะ วิกกี้อยากให้น้องได้ทำงานกับคนเก่งๆ”
คทารัตน์เลื่อนสายตาและรอยยิ้มเยาะไปทางสถบดี แล้วพูดย้ำ
“เก่งจริงๆ ไม่ใช่เก่งแต่ตีฝีปาก คิดจะโชว์หญิงไปวันๆ”
สถบดีตั้งท่าจะเถียง พัทธยารีบชิงพูดขึ้นทันที
“โอเคครับ รัดเกล้าไปช่วยผม”
มุรธาค้อนรัดเกล้าทันที
“แยกกันสอบปากคำผู้ต้องสงสัยทุกคน รู้ให้ได้ว่าใครมีแรงจูงใจที่จะลงมือฆ่ามากที่สุด”

ภายในบ้านอภิมุข เวลากลางคืน สิริรัตน์เกี่ยวแขนเดินเข้ามากับอภิวัฒน์
“อย่าลืมนะคะ คุณวัฒน์ .... สิริรัตน์อยากได้รถใหม่”
“รู้แล้ว...ย้ำบ่อยๆเดี๋ยวจะลืม”
สิริรัตน์จูบแก้มเอาใจ อภิวัฒน์ยิ้มแล้วถอยออกไป ปิดประตู เธอเปลี่ยนสีหน้าทันที
“ไอ้งก ทีเมียหลวงเซ็นเช็คให้ยังกับฉีกทิชชู่”
สิริรัตน์หันกลับมา เห็นร่างเพชรดายืนอยู่บนบ้าน
“มายืนเฝ้าเป็นผีบ้านผีเรือนทำไม หรือว่ากำลังฝึกจิตติดต่อวิญญาณพี่ดำให้มาช่วยหาคนยิง”
สิริรัตน์ทิ้งตัวลงนอนที่โซฟา
“เธอจะมาจากที่ไหน ไม่มีใครว่าเธอหรอกนะ สิริรัตน์ แต่เมื่ออยู่ในบ้านนี้แล้ว อย่าทำอะไรที่จะลากชื่อเสียงครอบครัวของเราตกต่ำตามเธอไปด้วย” เพชรดาพูดขึ้น
“ใช้คำซะดูดีเลยนะ ... ครอบครัวเรา ฆ่ากัน เลือดสาดเนี่ยะนะ อบอุ๊นอบอุ่น”
สิริรัตน์เด้งตัวขึ้นมาจ้องเพชรดา
“คุณอภิวัฒน์เค้าบอกว่าแกมันก็แค่ลูกต้นห้องนายแม่ โชคดีที่พี่ดำไปรับมาเลี้ยง”
เพชรดามองจ้องสิริรัตน์
“พี่ดำเค้าก็รับเลี้ยงทุกคน... หมาแมวตกยาก มาอาศัยแล้วไม่มีที่ไป เค้าก็เมตตาให้ข้าวให้น้ำต่อ”
สิริรัตน์ร้อนตัว ทนสายตาเพชรดาไม่ไหว เดินรี่เข้าไป
“แกไม่มีสิทธิ์มาสั่งหรือไล่ฉันออกจากบ้านนี้ พี่ดำยังไม่เคยออกปากไล่ คุณอภิวัฒน์... ก็คงไม่มีวันไล่ คนเดียวที่เป็นหมาหัวเน่า เข้ากับใครไมได้ รอยด่างๆ ดำๆ ของครอบครัว ไม่มีหลักให้เกาะคือแกต่างหาก นังเพชร”
สิริรัตน์วิ่งสวนกระแทกไหล่เพชรดาอย่างแรง พร้อมกับสาดใส่ทันที
“ทำไม จ้องหน้าฉันเหรอ แกจ้องหน้า อยากมีเรื่องนักใช่มั้ย .. ได้ นังเพชร”
เพชรดายังไม่ทันตั้งตัว สิริรัตน์พุ่งเข้าตบจนหน้าสะบัด แล้วตามมาตบซ้ำรัวอีกสองฉาด ก่อนกรีดเสียงหัวเราะใส่อย่างสะใจ
“นี่แค่สั่งสอนบ้างไรบ้าง...เบาเบา”
สิริรัตน์วิ่งเข้าห้องไป เพชรดามองตามกำราวบันไดแน่น แววตาเต็มไปด้วยความกดดัน

เวลากลางคืน ในทาวน์เฮาส์หลังเล็ก ตกแต่งเรียบง่าย ดูสะอาดตา พัทธยาเปิดตู้เย็น โยนเครื่องดื่มกระป๋องให้สถบดี
“คุณเพชรเธอดูเก็บตัว ไม่สังคมกับใคร ดูแลบ้าน ดูแลหลาน แล้วก็รักพี่ชายมาก แต่ก็เป็นแค่ลูกของแม่บ้าน อาจจะไม่มีส่วนได้ในมรดก”
“ผู้หญิงกับเงิน... แรงจูงใจอันดับต้นๆที่ทำให้ผู้ชายตายมานับไม่ถ้วน” สถบดีบอก
“รวมแกด้วยหรือเปล่า”
“ไอ้บ้า ถามเหมือนเพิ่งรู้จักกันเมื่อวาน”
“วิกกี้บอกว่าแกห่วงน้องสาวเค้าเกินเหตุ ไม่ยอมให้เข้าใกล้คุณนรสิงห์อะไรนั่น แกเลยพาลหาเรื่องไปหมด”
“แกรู้เรื่องฉันกับรัดเกล้ามาตั้งแต่ต้นนะ ไอ้พัทธ์ ยายเจ๊วิกกี้ต่างหาก อะไรบังตาอยู่วะ ถึงดูไม่ออกว่า นรสิงห์จ้องรัดเกล้าด้วยสายตาอันตราย”
“พอแกพูดแบบนี้ ฉันเชื่อวิกกี้เลยว่ะ”
“หยุดเลย... ฉันไม่เคยเสียเรื่องผู้หญิง ต่อให้มาเปลือยตรงหน้า ถ้าใจฉันบอกว่าไม่ใช่...จนตายก็คือไม่”
“แล้วถ้ารัดเกล้า เป็นคนที่แกใช่ตั้งแต่แรกเห็นล่ะ”
สถบดีเงียบไป ตอบไม่ถูก พัทธยาจ้องหน้าเพื่อนแล้วหัวเราะ
“เฮ้ย ซีเรียสไรวะ ฉันไม่ได้สอบปากคำแกสักหน่อย”
พัทธยายกน้ำอัดลมขึ้นดื่ม เปิดทีวีดูข่าว สถบดีหลบสายตาเพื่อน ไม่กล้าเปิดเผยความในใจที่รู้สึกกับรัดเกล้าตั้งแต่วันแรกจริงๆ

เวลาเดียวกัน ภายในร้านกาแฟ รัดเกล้าเท้าคาง แสงสีจากถนนด้านนอกเป็นเส้นสายสะท้อนบนใบหน้าสวยแต่ดูกังวล ยอดชายกำลังตักเค้กเข้าปาก เธอดึงมาทั้งช้อนแล้ววางลง เพื่อนมีสีหน้าเสียดาย
“ฉันไม่อยากฝันแล้วจริงๆนะ ยอด มันเป็นอดีตที่น่ากลัว มีแต่เลือด แล้วก็ความตาย”
“ไปรดน้ำมนต์มั้ย”
“แกก็เห็นความทุกข์เพื่อนเป็นเรื่องล้อเล่นทุกที”
“เล่นอะไรล่ะ ไอ้เกล้า... นี่ฉันก็ซีเรียสนะ จะให้ช่วยไงวะ แกฝันของแกคนเดียว ฉันก็ตามไปช่วยในฝันไม่ได้ เอ๊ะ ... หรือว่าจะได้...”
รัดเกล้าจ้องหน้ายอดชายที่พูดไม่หยุด
“ถ้าเกิดเรามีวิธีขโมยความฝันของแกล่ะ เหมือนในหนัง ทีนี้ฉันก็หลุดเข้าไปช่วยแกได้ ฉันจะช่วยแกเมมว่า ใครทำอะไร อยู่ที่ไหน หรือ ใครจะฆ่าใคร”
รัดเกล้าสีหน้า แววตาเซ็ง ยอดชายเพิ่งรู้ตัว
“ขอโทษว่ะ... อยากช่วย แต่ดูไร้สาระไปหน่อย”
“ขอบใจ ... ยอด อย่างน้อยฉันก็เล่าให้แกฟังได้ตลอด”
“ฉันว่าแกคงผูกพันอะไรกับอดีตพวกนั้นมา”
“ผูกพันอะไร ตรงไหนล่ะ กลับไปเห็น แต่ฉันก็จำไม่ได้ แก้ไขไม่ได้ มีแค่ความรู้สึกโกรธ เกลียด กลัวที่ติดอยู่ในใจ ยิ่งมาเจอคุณนรสิงห์ ความรู้สึกมัน โอ๊ย...บอกไม่ถูก อยากจะบ้า” รัดเกล้าพูดด้วยสีหน้าสับสน
ยอดชายรีบลุกมานั่งข้างเพื่อน
“ฉันเห็นแกก็บ้าอยู่แล้วนะ... จะบ้าได้มากกว่านี้อีกเหรอ”
รัดเกล้าฟังแล้วหันขวับแกล้งทำตาขวาง ยอดชายทำท่ากรี๊ดแตกใส่ เธอถึงกับหัวเราะออกมาได้
เธอผ่อนลมหายใจ ยิ้มคลายเครียดออกมาได้บ้าง ทั้งคู่คุยกัน ท่ามกลางแสงสีในเมืองใหญ่ที่ดูเหมือนไม่มีวันหลับ

ในบ้านรัดเกล้า เช้าวันใหม่ คทารัตน์แต่งตัวครบเครื่อง สีสันแสบตา พร้อมเข็มขัดรัดหน้าท้อง กำลังวิ่งบนเครื่องออกกำลัง รัดเกล้าเอาน้ำมาวาง รอให้
“ไปทำงานกับผู้กองพัทธ์ให้ได้เรื่องได้ราวนะ ยายเกล้า”
“ค่ะ เกล้าจะจดทุกอย่างไม่ว่าผู้กองจะกินอะไร ชอบอะไร พูดถึงพี่วิกกี้ว่ายังไง”
“นี่แกกำลังหาว่าพี่ใช้งานมาบังหน้า”
“เกล้าว่าใช่นะคะ”
“ฉันไม่ได้เห็นแก่ตัวขนาดนั้นสักหน่อย แค่ให้แกอยู่ข้างๆผู้กองพัทธ์ ก็ดีกว่าให้ผู้กองไผ่มันคอยตามติดแก”
รัดเกล้าลากเสียงล้อๆ
“อ๋อ... ไม่เกี่ยวกับมุ”
“เพื่อนแกน่ะ ขี้เล็บขบของชั้นย่ะ แกเองก็ไม่อยากจะไปบ้านคุณนรสิงห์ไม่ใช่เหรอ เห็นแจ้นอยากจะกลับตลอด”
“ทำไมพี่วิกกี้ชอบไปบ้านหลังนั้นคะ”
“ไม่รู้สิ ฉันว่าบ้านเค้าน่าอยู่”
“นึกว่าชอบเจ้าของบ้าน”
“บ้า ฉันรักเดียวใจเดียว ไม่เกี่ยวไว้หลายๆคน ถ้าไม่จำเป็น.. ชั่วโมงนี้ นาทีนี้ มีแค่ผู้กองพัทธ์คนเดียวที่เหนี่ยวหัวใจวิกกี้จนดิ้นไม่หลุด”
รัดเกล้ายิ้มมองพี่สาวที่ยิ้มหวานตาเพ้อๆ

ในบ้านอภิมุข พัทธยา รัดเกล้า ยอดชายเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าเพชรดา คนรับใช้ที่พาเข้ามาเดินออกไป เพชรดามองไปที่รัดเกล้าที่ไหว้ตามมารยาท เพชรดารับไหว้นิ่งๆ แล้วหันมามองพัทธยา
“คืนตาหนึ่งให้ฉันได้หรือยัง”
“คุณอภิวัฒน์โทรไปแจ้งกับหมอ ขอให้หลานคุณอยู่ที่โรงพยาบาลก่อน”
“หลานฉันไม่ชอบอยู่โรงพยาบาล ฉันจะไปรับตาหนึ่ง”
เพชรดาทำท่าจะออกไป พัทธยาเรียกไว้
“ผมอยากรู้เหตุการณ์ช่วงก่อนที่คุณอภิมุขจะถูกยิง”
เพชรดาสีหน้านิ่งลง ริ้วรอยสะเทือนใจปรากฏขึ้นในแววตา

สวนบ้านนรสิงห์ เวลากลางวัน คทารัตน์เดินเข้ามา วิวรรธน์เดินตามหลัง
“เจ๊ เราควรจะไปตามสืบเรื่องคุณสิริรัตน์ ไม่ก็เรื่องคุณเพชรไม่ใช่เหรอ”
“เออ...ไปแน่ แต่แวะมานี่ก่อน ยายสิริรัตน์ขาวอึ๋มนั่น กว่าจะตื่นก็บ่ายสาม ออกไปร่อนตอนค่ำๆ เรายังมีเวลาอีกตั้งหลายชั่วโมง”
“มีเวลา แต่ก็ไม่น่าจะแวะมาบ้านนี้ มันนอกเส้นทาง”
คทารัตน์หันมามองวิวรรธน์แบบรำคาญใจมาก
“แกคิดว่าฉันมาแบบไร้สติ”
วิวรรธน์พยักหน้า คทารัตน์ตบผัวะเข้ากลางหลัง
“ฉันจะสอนให้นะ ไอ้วิว สมองมีไว้คิด ไม่ใช่ไว้ใส่ขี้เลื่อยหรือฟองอากาศ แกมาบ้านนี้หลายครั้ง แกไม่สงสัยหรือไงว่าใครอยู่กับคุณนรสิงห์”
“ก็เห็นอยู่ว่าคุณนรสิงห์เค้าอยู่คนเดียว มาทุกทีก็เห็นแต่เค้า”
“นั่นสิ ผู้ชายอยู่คนเดียว บ้านช่องเรียบร้อย เรียบกริ๊บ ..ทุกอย่างมันลงตัวเกินไปเหมือนมีใครอีกคน”
“นี่เรามาทำคดีฆาตกรรมหรือคดีเด็ดตามล่าหากิ๊ก”
วิวรรธน์โดนตีอีกผัวะ
“ล้อเล่นขำขำอ่ะ เจ๊”
“ชั้นก็ตบขำขำ”
“เจ๊กำลังคิดว่า ...คุณนรสิงห์กำลังปิดบังอะไรเราเหมือนกัน”
“ฉลาด แต่ยังไม่มากเท่าไหร่”
คทารัตน์เดินมอง แล้วนำไปทางหลังบ้าน วิวรรธน์ตามติด เธอมองไปรอบๆ บนบ้านเห็นหน้าต่างปิดสนิท
“เค้าปิดบ้านเหมือนไม่อยากต้อนรับใคร ไม่ยุ่งกับใคร แล้วทำไมเค้ารู้ว่าฆาตกรเป็นผู้หญิง”
วิวรรธน์รู้สึกประหลาดเห็นมีใครจ้องมองทางด้านหลัง เขาเรียกเธอ
“เจ๊ๆ”
ทั้งคู่หันขวับแต่ไม่เห็นใคร
“อะไรของแก”
“คุณนรสิงห์อยู่ตรงนั้น”
“จิกตก ประสาทอ่อน ก็ไปรอข้างนอกเลย เกะกะ”
คทารัตน์เห็นประตูหลัง จึงลองเดินไปบิดลูกบิด ประตูยังปิดอยู่ เธอลองดึงประตูแรงๆ วิวรรธน์มาช่วยดึง เขาทาบทับลงบนมือวิกกี้
“ไม่ต้องจับแน่นมากก็ได้ไอ้วิว”
วิวรรธน์ทำหน้าตาย
“มือสากมากเลยเจ๊ วันหลังทาครีมมั่งนะ”
คทารัตน์โมโหดึงแรง ประตูเปิดออก เธอหันมายกมือ
“เคยเจอสากตบปากมั้ย”
เธอเดินเข้าไป เขารีบตาม พอพ้นร่างทั้งสอง ประตูก็ปิดลงเองแผ่วเบาอย่างเงียบงัน

ในบ้านอภิมุข เพชรดานั่งลงมองจ้องพัทธยา ด้านหลังคือรัดเกล้ากับยอดชาย
“ถ้าคุณเล่าเรื่องเกี่ยวกับพี่ชายให้ผมฟังทั้งหมด ผมจะให้รถโรงพยาบาลพาหลานคุณกลับมา”
“คนที่กำลังใช้เด็กเป็นเครื่องมือต่อรอง ไม่ใช่ฉันหรอกนะ ผู้กอง”
“ผมจำเป็นต้องทำ ถ้าคุณให้ความร่วมมือ รับรองว่าตาหนึ่งจะได้กลับบ้าน”
รัดเกล้าขยับนั่งใกล้ยอดชาย รู้สึกเกรงและกลัวไม่อยากเข้าใกล้เพชรดา เธอก้มลงเปิดสมุดเตรียมจด ผู้กองหนุ่มมีสีหน้าจับสังเกต
“ตอนนั้นพี่ดำมีความสุขมาก เพราะกำลังจะแต่งงาน”
เพชรดากำลังนึกถึงเหตุการณ์ทั้งหมด

เช้าวันหนึ่งในอดีต ที่ห้องกินข้าวบ้าน ท่านส.ส. อภิมุขท่าทางภูมิฐาน นั่งอยู่หัวโต๊ะ อภิวัฒน์ มาริษานั่งอยู่คนละข้าง เขารวบช้อนกินข้าว จิบน้ำ เตรียมตัวไปทำงาน เพชรดาที่ถือกระเป๋ากับเสื้อสูทรออยู่แล้ว ขยับตัว
อภิมุขลุกขึ้น เพชรดาขยับเดินตาม
“บ่ายนี้ส่งดอกไม้ไปงานว่าที่เจ้าสาวพี่เดินแบบด้วยนะ เพชร”
“ค่ะ พี่ดำ”
“ฝากษาไปก็ได้ค่ะ ษาจะไปงานแฟชั่นโชว์นั่นอยู่แล้ว” มาริษาบอก
“ขอบใจมาก มาริษา”
อภิมุขหันมาทางอภิวัฒน์
“อย่าลืมที่เราจะประชุมเรื่องหุ้นส่วนใหม่ด้วยนะ วัฒน์”
อภิวัฒน์วางช้อนดัง สีหน้าไม่พอใจ
“พี่จะขายหุ้นส่วนของผมไปเป็นกระสุนซื้อเสียงชาวบ้านตอนเลือกตั้งคราวหน้าอีกล่ะสิ”
“ฉันกำลังช่วยให้แกมีเงิน เอาไปใช้หนี้ที่บริษัทส่งออกของแกลงทุนผิดพลาดต่างหาก”
“อย่ามาเอาบุญคุณกับผมเลย พี่ดำ”
อภิวัฒน์สีหน้าไม่พอใจลุกขึ้น หยิบสูทที่พาดอยู่มาถือ
“ถ้าพี่จะช่วยผมจริงๆ ก็เอาเงินมาให้ผมเลยสิ ไม่ต้องบีบให้ผมขายหุ้นถูกๆ ให้พวกเพื่อนนักการเมืองของพี่ อาบริษัทเราไว้ฟอกเงิน”
“อภิวัฒน์ !”

จบตอนที่ 3

กำลังโหลดความคิดเห็น