เลือดเจ้าพระยา ตอนที่ 3
ศรีนวลเปิดประตูห้อง เดินถือถาดอาหารเข้ามา เลอสรรซึ่งถูกทำแผลเสร็จเรียบร้อยแล้วนอนหลับอยู่บนเตียง ข้างเตียงลุงมหานั่งหลับเฝ้าไข้อยู่ การเข้ามาของศรีนวลทำให้ลุงมหาสะดุ้งตื่น เช่นเดียวกับเลอสรรซึ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ศรีนวลดีใจที่เลอสรรฟื้นขึ้นมา
“คุณเลอสรรฟื้นแล้ว”
ลุงมหารีบเข้าไปดูเลอสรร
“เป็นไงบ้างครับ เจ็บแผลหรือเปล่า”
“ก็นิดหน่อยครับ”
“ตอนผ่าตัด คุณเลอสรรเสียเลือดไปเยอะมากจนศรีนวล อดเป็นห่วงไม่ได้”
“มีอะไรกินบ้างครับ ผมหิว”
“ศรีนวลทำข้าวต้ม ไข่เจียว ผัดไชโป้ แล้วก็ตับผัดกุยช่ายไว้บำรุงเลือดค่ะ”
ศรีนวลเอาถาดอาหารมาให้ ลุงมหาเข้ามาช่วย
“มา เดี๋ยวลุงช่วย”
“ลุงมหาเฝ้าคุณเลอสรรมาทั้งคืนแล้ว ไปพักผ่อนเถอะค่ะ ทางนี้ศรีนวลจัดการเอง”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวลุง...”
“ลุงมหา ลุงไปพักก่อนเถอะครับ”
เลอสรรอ้อนลุงมหาด้วยสายตาทำให้ลุงมหารู้ว่าเลอสรรอยากอยู่กับศรีนวลมากกว่า
“ได้ งั้นลุงไปก่อนนะ”
ลุงมหาเดินเลี่ยงออกไป ปล่อยให้ศรีนวลปรนนิบัติเลอสรรตามลำพัง
“ศรีนวลต้องขอโทษคุณเลอสรรที่ต้องมาบาดเจ็บเพราะศรีนวล”
“จะมีสามีคนไหนที่ปล่อยให้เมียตัวเองโดนยิงต่อหน้าต่อตาล่ะ”
“ศรีนวลขอร้องอย่าพูดแบบนี้อีกเลยค่ะ ศรีนวลไม่อยากให้พ่อรู้”
“ก็ได้จ้ะ ผมจะไม่พูดให้ศรีนวลไม่สบายใจอีก เพียงแต่ผมแค่อยากจะบอกให้ศรีนวลรู้ว่าชีวิตของผมทั้งชีวิต ยอมสละได้เพื่อศรีนวลของผม ทีนี้เชื่อหรือยังว่าผมรักศรีนวลจริงๆ”
“ค่ะ ศรีนวลเชื่อแล้ว ทานข้าวก่อนเถอะค่ะ คุณจะได้หายเร็วๆ”
ศรีนวลป้อนข้าวให้เลอสรร
ลุงมหาและกำนันธงกำลังนั่งคุยกันอยู่ที่มุมหนึ่ง
“ถ้าท่านผู้ว่าฯ รู้ว่าคุณเลอสรรโดนยิง ชั้นคงโดนเล่นงานแน่เลย”
“มันไม่ใช่ความผิดของกำนัน เรื่องนี้ท่านผู้ว่าฯ คงเข้าใจดี กำนันอย่าโกรธชั้นนะ ชั้นมันบ่าวท่านเกิดเหตุใหญ่กับลูกชายท่านอย่างงี้ ชั้นก็ต้องรีบรายงานให้ท่านทราบด่วนที่สุด”
“แล้วมหา กะว่าจะไปเมื่อไหร่”
“ก็คงวันนี้เลย เอาเรือเร็วไปบ่ายคงถึง”
ศรีนวลยกถาดอาหารที่เลอสรรกินเสร็จแล้วออกมาจากห้อง แล้วเดินเข้ามาหากำนันธงและลุงมหา
“ลุงมหาจะเข้าบางกอกเหรอจ้ะ”
“เออ...แต่คงไปไม่นานหรอก เกิดเรื่องอย่างงี้ ท่านผู้ว่าฯคงจะรีบส่งหมอส่งเรือมารับลูกชายท่านไปดูแลต่อที่บางกอกเป็นแน่” ศรีนวลถึงกับเศร้า
“ทำไมต้องรีบถึงขนาดนั้นด้วย”
“ลูกชายท่านถูกยิงทั้งคน ท่านคงไม่ปล่อยให้ไกลหูไกลตาท่านหรอกพ่อที่ไหนจะปล่อยทิ้งไว้ไกลหูไกลตาเล่า”
“ทำไมเอ็งทำหน้าอย่างงั้นล่ะ ศรีนวล”
“เอ้อ...เปล่าจ้ะๆ”
ศรีนวลรีบกลบเกลื่อนความเศร้า แล้วเดินกลับเข้าครัวไป กำนันธงรู้สึกสงสัยตะหงิดๆ กับท่าทีของศรีนวล
บางกอก พุทธศักราช 2500
บ้านของท่านผู้ว่าสมยศ ซึ่งเป็นบ้านระดับมหาเศรษฐีแห่งเมืองบางกอกในยุคนั้น ลุงมหานั่งพับเพียงอยู่กับพื้นกำลังรายงานเรื่องที่เลอสรรโดนยิง โดยมีท่านผู้ว่าสมยศและคุณนายศรีสอางค์ นั่งฟังเรื่องราวด้วยท่าทีวิตก
“ตายแล้ว แล้วนี่ตอนนี้ตาเลอสรรเป็นยังไงบ้างมหา”
“คุณนายไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ คุณเลอสรรตอนนี้ปลอดภัยดี ผมทำแผล ผ่าเอากระสุนออกเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”
“ไหน พูดอีกทีซิว่า ใครเป็นคนผ่าเอากระสุนออก”
“กระผมเองขอรับ”
ท่านผู้ว่าสมยศและคุณนายศรีสอางค์ ฟังแล้วตกใจ เกรงลูกชายจะได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง
“นี่แกคิดว่าแกเป็นหมอหรือยังไง ตามหา”
“เปล่าขอรับ”
“แล้วแกผ่าได้ยังไง”
“ผมใช้มีดผ่าขอรับ”
“พี่ถ้าตาเลอสรรเป็นอะไรไปจะทำยังไงท่านผู้ว่า”
“ไม่ต้องห่วง ชั้นจะรีบเอาหมอลงไปลานเทรับตัวรักษาที่บางกอก จะได้ปลอดภัย”
“แต่ท่านขอรับ ตอนนี้คุณเลอสรรก็ปลอดภัยแล้วนะขอรับ แผลที่โดนก็ไม่ใช่จุดสำคัญ แล้วถึงผมจะไม่ใช่หมอ แต่ตอนเป็นทหารผมก็อยู่หน่วยพยาบาล ทำหน้าที่ช่วยหมอมาตลอดนะครับ”
“แกไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว หนอย...ใช้ให้ไปคอยดูแลตาเลอสรร แต่แกกลับปล่อยให้ลูกชายชั้นโดนยิง ไอ้กำนันธงก็อีกคน มันดูแลพื้นที่ยังไงกัน”
ท่านผู้ว่าสมยศดุลุงมหาเสียงดังด้วยความเป็นห่วงลูกชาย เกรงว่าเลอสรรจะเป็นอันตราย
ค่ำวันเดียวกันนั้นที่บ้านกำนันธง เลอสรรเดินออกมายืนรับลมอยู่คนเดียว ที่ลานบ้าน ศรีนวลกำลังเดินมาเก็บผ้าที่ตากไว้ เลอสรรหันไปเห็นจึงผิวปากเป็นสัญญาณ ศรีนวลได้ยินเสียงผิวปากจึงหันไปมอง เลอสรรและศรีนวลยิ้มให้กัน เลอสรรส่งสายตาเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม แล้วทำสัญญาณมือบอกว่าจะไปรอในห้องนอน ศรีนวลรับรู้สัญญาณมือแล้วยิ้มอายๆ เขินๆ เนื่องจากรู้ว่าเลอสรรต้องการจะอยู่ใกล้ชิดกับเธอ
กำนันธงเพิ่งกลับจากนอกบ้านเดิมมาเห็นกิริยาของเลอสรรและศรีนวลก็หยุดยืนแอบมองเงียบๆ จนกระทั่งเลอสรรเดินกลับเข้าห้องนอนไป กำนันธงจึงเดินเข้าไปหาศรีนวล
“พ่อไปไหนมาจ้ะ”
“ไปพาอีเผือกมันเข้าคอกนะซิ”
“อีเผือกมันทำไมหรือจ้ะพ่อ”
“อีเผือกมันไม่รักดี ชอบหนีไปหาพวกควายตัวผู้ น่าขายหน้าจริงๆ” กำนันธงแอบสั่งสอนลูกสาว
“ควายมันคงรักกันน่ะพ่อ”
“จะควายหรือคน ถ้าเป็นตัวเมีย มันก็ไม่ควรวิ่งแร่ไปหาตัวผู้เหมือนพวกไร้ยางอาย ทำแบบนี้พ่อไม่ชอบ”
น้ำเสียงและสีหน้าของกำนันธง ดูเหมือนจะจงใจสื่อสารกับศรีนวล ขณะที่ศรีนวลก็รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ เช่นกัน แต่ขณะนั้นศรีนวลคิดว่าคำพูดของพ่อเป็นเรื่องบังเอิญและพ่อคงไม่รู้เรื่องของเธอกับเลอสรรเป็นแน่
“มืดค่ำแล้ว ยังไม่ไปนอนอีกเหรอ”
“เก็บผ้าเสร็จก็นอนแล้วละจ๊ะ”
“งั้นถ้าจะนอน เอ็งอย่าลืมดูฟืนไฟแล้วก็ลงกลอนให้เรียบร้อย”
“จ้ะพ่อ พ่อนอนก่อนเถอะจ้ะ เดี๋ยวชั้นตามไป”
กำนันธงเดินขึ้นบ้านไป ศรีนวลรีบเก็บผ้าแล้วตามพ่อไป
กำนันธงเดินขึ้นบ้านมาแล้วเข้าห้องนอนไป สักครู่ศรีนวลก็เดินถือผ้าขึ้นบ้านมาแล้วเดินเข้าห้องของตน
ศรีนวลเดินมานั่งข้างเตียงแล้วพับผ้าไปเรื่อยๆ สักครู่ก็ได้ยินเสียงผิวปากของเลอสรรดังแว่วมาเป็นสัญญาณ ศรีนวลรีบวางผ้า แล้วรีบปิดไฟย่องออกจากห้องไป
กำนันธงนอนหลับตาอยู่ได้ยินเสียงผิวปากของเลอสรรก็ลืมตาขึ้นมาท่ามกลางความมืด
เลอสรรนั่งผิวปากเป็นสัญญาณอยู่บนเตียง แล้วเห็นศรีนวลเปิดประตูเข้ามา ศรีนวลรีบจุ๊ปากให้เลอสรรเงียบ
“จุ๊ๆ อย่าผิวปาก เดี๋ยวพ่อตื่น”
“ก็ศรีนวลไม่มาซักทีนี่”
“รอศรีนวลทำไม นอนได้แล้ว”
“ก็รอให้ศรีนวลคนมาบอกราตรีสวัสดิ์ก่อนไง”
“งั้นก็ราตรีสวัสดิ์ค่ะ” ศรีนวลเข้ามาหาเลอสรรแล้วบอกราตรีสวัสดิ์ แต่เลอสรรพยายามจะเล้าโลมศรีนวล “อย่าค่ะ คุณยังไม่หายดีเลย”
“แต่ผมคิดถึงศรีนวลนี่”
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น นะๆ”
เลอสรรกอดจูบศรีนวล แล้วสักครู่ก็เอื้อมมือมาดับไฟ
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เสียงไก่ขันท่ามกลางบรรยากาศสดชื่น ศรีนวลลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วหันไปมองเลอสรร ซึ่งยังคงนอนหลับอยู่เคียงข้างเธอบนเตียง ศรีนวลรีบแต่งตัวจัดแจงผมเผ้าให้เข้ารูปทรงแล้วหันไปมองเลอสรรอย่างมีความสุข
เลอสรรงัวเงียปรือตาขึ้นมามอง
“จะไปไหน”
“เช้าแล้วค่ะ ศรีนวลต้องรีบไปแล้ว”
“อย่าเพิ่งไปซิ”
“อย่าซิคะคนดี นอนหลับต่อเถอะค่ะศรีนวลต้องไป อีกประเดี๋ยวพ่อก็จะตื่นแล้ว”
เลอสรรหลับต่อ ขณะที่ศรีนวลลงจากเตียงแล้วค่อยๆ ย่องไปที่ประตูแล้วเปิดออกไป
ศรีนวลค่อยๆ เปิดประตูออกมาจากห้องเลอสรรอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็ค่อยๆ บรรจงปิดประตูเช่นเดิม
ศรีนวลค่อยๆ เปิดประตูห้องของตัวเองเข้าม แล้วค่อยๆ บรรจงปิดเบาๆ เมื่อเสร็จแล้วก็หันกลับมาเพื่อจะเดินไปที่เตียง แต่แล้วศรีนวลก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเงาของใครบางคนนั่งอยู่ในความมืด ศรีนวลรีบเปิดไฟแล้วตกใจเมื่อพบว่า คนๆ นั้นคือกำนันธง
กำนันธงมองมาที่ศรีนวลด้วยความสะเทือนใจน้ำตาคลอเบ้า เมื่อจับได้ว่าศรีนวลลูกสาวของตน เป็นผู้หญิงใจง่ายไม่รักนวลสงวนตัว
“พ่อ” ศรีนวลตกใจ
“สมใจแล้วใช่มั๊ยศรีนวล ผักตบชวาใฝ่หาแจกันแก้ว ไม้งามถูกกระรอกเทวดาเจาะเสียแล้ว” กำนันธงบอกอย่างสะเทือนใจ ศรีนวลร้องไห้ไม่กล้าสบตาพ่อด้วยละอายใจ ขณะที่กำนันธงน้ำตาคลอเบ้าเช่นกัน “เสียใจหรือดีใจละลูกเอ้ย เนื้อสาวถูกขยี้ ลูกไม่เจ็บแต่พ่อเจ็บ ลูกไม่ช้ำแต่พ่อช้ำ ลูกเป็นสุข แต่พ่อเป็นทุกข์กับสิ่งที่ลูกทำ ลูกเห็นพ่อเป็นเพียงหุ่นไล่กาที่ไม่มีความหมาย”
ศรีนวลโผเข้ามานั่งคุกเข่าแล้วก้มกราบกำนันธงเพื่อเป็นการขออภัย
“พ่อจ๋า ศรีนวลผิดไปแล้ว ศรีนวลปล่อยให้หัวใจอยู่เหนือเหตุผล พ่อลงโทษศรีนวลเถอะจ้ะ จะเฆี่ยนตี จะลงโทษยังไงก็ได้”
“คนเป็นพ่อมีสิ่งที่ทำได้อยู่อย่างเดียวก็คือต้องคอยให้อภัยลูกดื้อ แต่จากนี้ไปจงจำคำพ่อเอาไว้ ว่าชีวิตเอ็งจะต้องเตรียมตัวพบกับความผิดหวัง”
“พ่อพูดถึงอะไร ศรีนวลไม่เข้าใจ”
“คิดหรือว่า แจกันแก้วเขาจะยอมรับเอาผักตบไร้ราคาอย่างเอ็ง ผู้หญิงใจง่าย มันก็ไม่ต่างอะไรกับดอกไม้ริมทางถูกดอมดมแล้วคุณค่ามันก็หายไป”
เลอสรรเปิดประตูห้อง แล้วเดินเข้ามา
“แต่ผมรับรองว่าจะไม่ทำให้ศรีนวลต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”
กำนันธงหันมามองเลอสรรด้วยความแปลกใจ ไม่คาดคิดว่าเลอสรรจะกล้าออกมาเผชิญหน้าด้วย
“คุณแน่ใจเหรอ”
“เรื่องที่เกิดขึ้น เป็นความผิดของผมแต่เพียงผู้เดียว ผมยอมรับว่าได้ทำร้ายน้ำใจของกำนันจนไม่อาจให้อภัยได้ แต่ผมขอยืนยันว่าสิ่งที่ผมทำลงไป ผมทำด้วยความรักและความบริสุทธิ์ใจ ผมรักศรีนวลอย่างแท้จริง ไม่เคยคิดที่จะหลอกลวงหรือเหยียบย่ำทำลาย ผมกราบขอขมา...”
เลอสรรคุกเข่าลงแล้วกราบที่เท้าของกำนันธง ทำให้กำนันธงรู้สึกตกใจไม่คาดคิดว่าบุคคลที่เป็นลูกเจ้า ลูกนายอย่างเลอสรร จะกล้าลงทุนก้มกราบกำนันจนๆ อย่างเขาได้
“คุณเลอสรร”
“ความรักของผมกับศรีนวล เป็นรักที่บริสุทธิ์และจะเป็นความรักครั้งแรกและครั้งเดียว ผมสัญญาว่าจะยกย่อง และดูแลศรีนวลเป็นเมียผมอย่างถูกต้อง”
“แล้วท่านผู้ว่า คุณพ่อของคุณกับคุณนายล่ะ คุณคิดว่าท่านจะยอมรับศรีนวลเป็นสะใภ้เหรอ”
“ไว้ใจเถอะครับ ผมจะทำทุกวิถีทางให้คุณพ่อกับคุณแม่ ยอมรับศรีนวลในฐานะลูกสะใภ้ได้อย่างแน่นอน”
เลอสรรยืนยันกับกำนันธงอย่างจริงจังและมั่นใจ
วันต่อมาที่ท่าเรือบ้านกำนันธง ท่านผู้ว่าสมยศกำลังยืนมองหน้าเลอสรรด้วยสีหน้าที่ปั้นยาก เมื่อได้ยินสิ่งที่เลอสรรสารภาพ ลุงมหาซึ่งติดตามมารีบไล่คนขับเรือ กำนันธง ผู้ใหญ่ต้อง และชาวบ้านที่มารอรับให้หลบไป เนื่องจากรู้ว่าท่านผู้ว่าสมยศและเลอสรรกำลังต้องการพูดกันแบบส่วนตัว
“กำนัน รีบพาคนอื่นๆ หลบไปรอที่บ้านก่อน”
ลุงมหากระซิบบอกกำนันธง
“แล้วท่านผู้ว่าล่ะ”
“ปล่อยท่านคุยกับคุณเลอสรรตามลำพังก่อน ตอนนี้บรรยากาศไม่ดีแล้ว รีบๆ ไปเร็ว”
ลุงมหา กำนันธง ผู้ใหญ่ต้อง คนขับเรือและชาวบ้าน 2-3 คนพากันหลบไป ท่านผู้ว่าสมยศเห็นคนอื่นๆ พากันหลบไปแล้ว จึงเริ่มปรับอารมณ์หันมาเจรจากับเลอสรร
“ทีแรก พอได้ยินว่าโดนยิงชั้นก็เป็นห่วงแทบตาย พอมาถึงกลับต้องมาเจอเรื่องแบบนี้อีก นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยนะเจ้าเลอสรร”
“ครับคุณพ่อ ผมรู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ผมถึงอยากจะให้คุณพ่อจัดการสู่ขอศรีนวลมาแต่งงานกับผมให้ถูกต้องตามประเพณี”
“จะแต่งได้ยังไง ก็ในเมื่อแกยังเรียนไม่จบเลย”
“เหลืออีกแค่เทอมเดียว ผมก็จะจบได้เป็นนายร้อยตำรวจแล้ว แต่งงานก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรนี่ครับ”
“เรื่องแต่งงานมันไม่ใช่แค่ทำบุญเลี้ยงพระ ถ้าคิดจะหาสะใภ้เข้าบ้าน แกต้องผ่านด่านแม่ของแกไปให้ได้ซะก่อน”
“แต่ผมรักศรีนวลนะครับ ผมเป็นคนแต่งงาน ผมก็น่าจะเป็นคนเลือกเมียของผมเอง”
“พูดแบบนี้ก็เท่ากับเอ็งไม่เห็นหัวพ่อกับแม่”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับคุณพ่อ แต่ผมเป็นลูกผู้ชาย ในเมื่อได้เสียกับศรีนวลไปแล้ว ผมก็ต้องรับผิดชอบ” ท่านผู้ว่าสมยศตกใจกับสิ่งที่ลูกชายบอก
“อะไรนะ นี่แก ได้แม่ศรีนวลเป็นเมียแล้วรึ”
“ครับคุณพ่อ ศรีนวลเป็นเมียผมแล้ว”
ท่านผู้ว่าสมยศรู้ว่าสิ่งที่เลอสรรทำลงไป เป็นสิ่งที่ผู้เป็นพ่อจะต้องรับผิดชอบด้วยการยอมรับศรีนวลมาเป็นลูกสะใภ้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ท่านผู้ว่าสมยศกำลังเจรจาสู่ขอศรีนวลจากกำนันธงให้กับเลอสรรอย่างเป็นทางการ โดยมีเลอสรร ศรีนวลและลุงมหา นั่งอยู่ด้วย
“เมื่อเรื่องเลยเถิดมาถึงขนาดนี้ ในฐานะที่ฉันเป็นพ่อมัน ฉันก็ต้องรับผิดชอบมาสู่ขอแม่ศรีนวลมาเป็นลูกสะใภ้ของฉัน กำนันว่ายังไง”
“ผมคงว่าอย่างไรไม่ได้แล้วครับท่าน นอกจากจะต้องยินยอมยกศรีนวลให้กับคุณเลอสรร ยังไงก็ดีเรื่องนี้ผมต้องกราบขอบพระคุณท่านเป็นอย่างสูงที่กรุณาและให้เกียรติลูกสาวของกระผมในฐานะลูกสะใภ้”
“กำนันเป็นคนดี ถึงแม้จะมีฐานะเป็นผู้เช่าที่ดินของชั้น แต่กำนันก็ซื่อสัตย์ และคอยเป็นหูเป็นตาแทนชั้นมาตลอด เอาเป็นว่าชั้นจะขอยกที่ดินแถวลานเททั้งหมดให้กับศรีนวล แทนสินสอดทองหมั้น กำนันตกลงมั๊ย”
“นับเป็นบุญของนังศรีนวลมันอย่างสูงแล้วครับท่าน กราบขอบพระคุณท่านผู้ว่ากับคุณเลอสรรซิลูก” กำนันธงบอกศรีนวล ศรีนวลก้มลงกราบท่านผู้ว่าสมยศและเลอสรร
“กราบขอบพระคุณท่าน และคุณเลอสรรเป็นอย่างสูงค่ะ ที่กรุณาศรีนวล”
“แต่มีอยู่เรื่องนะ ที่ชั้นอยากจะขอเอาไว้”
“เรื่องอะไรครับท่าน”
“เรื่องพิธีแต่งงาน ชั้นอยากจะขอผลัดเอาไว้จนกว่าลูกชายของชั้นจะเรียนจบเสียก่อน”
“ตอนนี้เหลือแค่สามเดือน ผมก็จะจบแล้ว คุณพ่อท่านอยากให้ชะลอเรื่องงานแต่งเอาไว้ รอให้ผมเข้ารับพระราชทานกระบี่ติดยศนายร้อยก่อน แล้วจึงค่อยจัดงานแต่งน่ะครับ”
“ผมเชื่อในเกียรติและศักดิ์ศรีของท่านและลูกชาย อีกเพียงแค่สามเดือน ยังไงศรีนวลมันคงรอได้หรือว่าไงลูก”
“คุณเลอสรร กลับไปเรียนต่อให้จบเถอะค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง อยู่ทางนี้ศรีนวลจะดูแลตัวเอง ศรีนวลรับรองด้วยเกียรติค่ะ”
“ชั้นเองก็ขอรับรองด้วยเกียรติเช่นกันว่าจะทำทุกอย่างตามที่สัญญากันไว้”
ศรีนวลก้มกราบอีกครั้ง ขณะที่เลอสรร หันมายิ้มให้ศรีนวลทำให้ศรีนวลรู้สึกอบอุ่นและมั่นใจ
ลุงมหาและคนขับเรือ กำลังช่วยกันขนกระเป๋าสัมภาระต่างๆ ลงเรือ โดยมีกำนันธง ผู้ใหญ่ต้อง เดินมาส่งท่านผู้ว่าสมยศ ขณะที่เลอสรรกำลังล่ำลาศรีนวลอยู่ที่มุมหนึ่ง
“รออีกสามเดือนนะศรีนวล ผมเรียนจบเมื่อไหร่จะรีบกลับมาหาศรีนวลทันที”
“ค่ะ ศรีนวลจะรอ”
“จำไว้ตอนนี้ในใจผมมีแต่ศรีนวลเพียงคนเดียวเท่านั้น”
“ศรีนวลเชื่อมั่นในตัวคุณค่ะ”
ท่านผู้ว่าสมยศร่ำลาทุกคน แล้วหันมาตะโกนเรียกเลอสรร
“ได้เวลาแล้ว ลงเรือเถอะเลอสรร”
เลอสรรหันไปเด็ดดอกไม้ดอกหนึ่งซึ่งขึ้นอยู่แถวนั้นแล้วมาแซมผมให้ศรีนวล
“ดอกไม้ดอกนี้ แทนใจผมขอฝากไว้กับศรีนวลด้วย”
“ค่ะ”
“ผมไปนะ”
“พระคุ้มครองค่ะ คุณเลอสรร”
เลอสรรกอดลาศรีนวล แล้วจากนั้นก็เดินลงเรือไปพร้อมกับท่านผู้ว่าสมยศ เรือแล่นออกไป ศรีนวลยืนมองด้วยความอาลัย แล้วสักครู่ก็มีลมแรงกรรโชกมาทำให้ดอกไม้ที่แซมหลุดร่วง หล่นลงไปในน้ำ ศรีนวลตกใจเพราะรู้สึกเหมือนว่ากำลังจะมีลางร้ายบางอย่าง เธอมองดอกไม้ที่ลอยน้ำไปและหันไปมองเรือที่กำลังแล่นลับสายตา
เมฆฝนก่อตัวแล้วจากนั้นฝนก็เทลงมา มีลมกรรโชกแรงกลายเป็นพายุ ศรีนวลนั่งมองฝนที่เทลงมาด้วยความวิตก กำนันธงเดินเข้ามาหา
“เอ็งเป็นอะไร ศรีนวล”
“พายุมา ศรีนวลรู้สึกเป็นห่วงคุณเลอสรร ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นยังไง”
“นั่นซิ มีพายุอย่างงี้ เรือคงจะติดอยู่แถวปากเกร็ด นนทบุรี คงยังไม่ถึงบางกอก แต่เอ็งอย่าเป็นห่วงไปเลย ยังไงท่านผู้ว่าคงจะสั่งให้เอาเรือแวะจอดหลบพายุข้างทางแล้ว ไม่มีใครบ้าเอาเรือวิ่งฝ่าพายุไปหรอก”
ศรีนวลพยักหน้า ในใจเธอหวัง ขอให้เป็นไปอย่างที่พ่อพูดและไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้น แต่ลึกๆ ในใจก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้
พายุกระหน่ำอยู่กลางลำน้ำ ท่านผู้ว่าสมยศ เลอสรร ลุงมหา กำลังยืนหลบฝนมองฝ่าพายุออกไป ขณะที่คนขับเรือกำลังมองฝ่าสายฝนเพื่อประคองเรือ
“มองไม่เห็นทางข้างหน้าเลยครับท่าน”
“เอาเรือจอดหลบพายุก่อนดีมั๊ยครับท่าน”
“อีกอึดใจเดียวก็จะถึงอยู่แล้ว ไม่ใช่รึ”
“ใช่ครับ แต่ว่าตอนนี้ ...”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า เครื่องเรือเราก็แรงอยู่ วิ่งฝ่าพายุแค่นี้ คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
“แต่ว่าคนขับมองไม่เห็นทางเลยนะครับ”
“ถ้างั้นผมไปช่วยมองทางให้คนขับดีกว่าจะได้ปลอดภัย” เลอสรรพูดจบก็เดินไปที่หัวเรือ ชะโงกตัวฝ่าสายฝนมองเส้นทางแล้วหันมาตะโกนบอกกับคนขับเรือ “ข้างทางโล่งตลอด ไม่มีเรือสวนมาหรอก ขับตรงไปเลย” เลอสรรชะโงกตัวออกไปมองข้างหน้าอีกครั้ง เนื่องจากมองเห็นเงาตะคุ่มๆ บางอย่างในน้ำ ข้างหน้า “เดี๋ยวนะๆ ข้างหน้ารู้สึกเหมือนมี...”
“มีอะไรครับคุณเลอสรร”
เลอสรรชะโงกตัวเพ่งมองออกไปข้างหน้าจนกระทั่งเห็นตอไม้ โผล่อยู่หน้าเรือ
“ระวัง ตอไม้ข้างหน้า หลบเร็ว”
ฟ้าผ่าลงมาเปรี้ยง เป็นจังหวะเดียวกับที่เลอสรรหันมาตะโกนบอกทำให้คนขับไม่ได้ยิน ทำให้เรือพุ่งชนเข้ากับตอไม้อย่างแรง ร่างของเลอสรรหล่นโครมลงไปในน้ำ ทุกคนในเรือล้มระเนระนาด
ลุงมหากระโดดลงน้ำตูม แล้วว่ายไปดึงร่างของเลอสรรเอาไว้ก่อนที่จะจมหายลงไปในน้ำ โดยที่คนขับและท่านผู้ว่าสมยศช่วยกันดึงร่างของเลอสรรให้ขึ้นมา เลอสรรถูกกระแทกที่หัวทำให้มีเลือดไหลออกมาเป็นทาง ทุกคนช่วยกันปฐมพยาบาล
“เลอสรรๆ ฟื้นซิลูก เลอสรร”
“หัวคงกระแทกกราบเรือ เลือดไหลมาก”
“ในกระเป๋าชั้นมีเครื่องยา ไปเอามาเร็ว”
คนขับรีบวิ่งไปหยิบกระเป๋ายามา แล้วจากนั้นลุงมหาก็เริ่มทำแผลให้เลอสรร
“ทำไมลูกชั้นไม่ฟื้นซักที”
“ตอนนี้ คุณเลอสรรคงสลบไปน่ะครับท่าน”
“แล้วจะเป็นอะไรมั๊ย”
“ลมหายใจยังดีอยู่ ผมว่าคงไม่เป็นอะไรมาก”
“เรือไม่เป็นไรใช่มั๊ย” ท่านผู้ว่าหันไปถามคนขับเรือ
“ครับท่าน กระแทกตอไม้แต่เครื่องไม่เป็นไรครับ”
“งั้นก็รีบขับไปเร็ว”
คนขับรีบขับเรือออกไป ขณะที่ลุงมหากับท่านผู้ว่าสมยศกำลังช่วยกันปฐมพยาบาลเลอสรร
อ่านต่อเวลา 17.00น.
เลือดเจ้าพระยา ตอนที่ 3 (ต่อ)
เลอสรรนอนหลับอยู่บนเตียงภายในห้องนอนโดยที่หัวมีผ้าพันแผล เนื่องจากได้รับการปฐมพยาบาลเรียบร้อยแล้ว หมออวยชัย หมอประจำครอบครัวท่านผู้ว่าสมยศ กำลังตรวจเช็คเลอสรรอยู่ ข้างๆ เตียงเห็นท่านผู้ว่าสมยศและคุณนายศรีสอางค์กำลังนั่งเฝ้าอาการอย่างห่วงใย
“โชคดีที่วันนี้ชั้นเชิญคุณหมออวยชัยมาตรวจที่บ้าน ไม่งั้นตาเลอสรรคงแย่แน่”
“พูดอะไรอย่างนั้นแม่ศรีสอางค์ ลูกเราคงไม่โชคร้ายอย่างงั้นหรอก ใช่มั๊ยหมอ”
“ครับท่าน อาการภายนอกคุณเลอสรร ไม่ได้เป็นอะไรมาก เพราะดูจากบาดแผลแล้วคิดว่าไม่กี่วันก็คงหาย”
“แล้วทำไมสลบ ไม่ยอมฟื้นซะที หรือว่าเราจะย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลดีคะ”
“อย่าเพิ่งย้ายเลยครับ การเคลื่อนย้ายอาจทำให้กระทบกระเทือนคนไข้ได้ ผมว่าให้คุณเลอสรรนอนดูอาการที่บ้านไปก่อน ผมจะจัดพยาบาลมาดูแลให้อย่างเต็มที่ คุณนายไม่ต้องเป็นห่วงครับ”
คุณนายศรีสอางค์เริ่มวางใจในคำรับรองของหมอ
ท่านผู้ว่าสมยศและคุณนายศรีสอางค์ เดินลงมาจากชั้นบน ลุงมหาซึ่งรออยู่ข้างล่างรีบเข้ามาถามไถ่อาการด้วยความห่วงใย
“คุณเลอสรร เป็นยังไงบ้างครับท่าน”
“ตอนนี้หมอให้นอนดูอาการที่บ้านไปก่อน คิดว่าคงไม่เป็นอะไรมาก”
“งั้นผมจะให้คนไปส่งข่าวแม่ศรีนวล ลูกสาวกำนันธงดีมั๊ยครับ ทางโน้นจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
คุณนายศรีสอางค์ซึ่งยังไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นรู้สึกแปลกใจ
“เอ๊ะ พวกนั้นก็เป็นแค่คนเช่าที่ ทำไมต้องส่งข่าวด้วย”
“แม่ศรีนวล ลูกสาวกำนันธงน่ะ ไม่ใช่คนเช่าที่อีกต่อไปแล้ว เพราะว่าตอนนี้แม่ศรีนวลมาเป็นลูกสะใภ้เราแล้ว” ท่านผู้ว่าสมยศบอก
“อะไรนะ ลูกสะใภ้เหรอ นี่เรื่องมันเป็นยังไงมายังไง ทำไมชั้นไม่รู้เรื่อง” คุณนายศรีสอางค์ถามอย่างตกใจ
ท่านผู้ว่าสมยศและลุงมหามองหน้ากัน อ้ำอึ้ง ไม่รู้จะเริ่มต้นเล่าให้ฟังยังไง
คุณนายศรีสอางค์รู้สึกเป็นทุกข์ใจ หลังจากได้ฟังเรื่องที่ท่านผู้ว่าสมยศและลุงมหาเล่าให้ฟัง
“ไม่ได้ เรื่องนี้ชั้นยอมรับไม่ได้ ยังไงก็รับไม่ได้”
“ใจเย็นๆ ซิ แม่ศรีสอางค์ ลูกชายเรามันได้เสียกับเค้าแล้วจะปฏิเสธความรับผิดชอบได้ยังไง”
“แล้วแม่สร้อยเพชรของชั้นล่ะ จะว่ายังไง”
“แม่สร้อยเพชร ลูกสาวเพื่อนเธอน่ะรึ”
“ใช่ ระหว่างที่คุณไม่อยู่ ชั้นได้ไปทาบทามแม่สร้อยเพชรเอาไว้แล้ว ไหนจะไปกราบเรียน ท่านผู้หญิง กับผู้ใหญ่อีกมากมายให้มาเป็นเถ้าแก่ฝ่ายเราไปสู่ขอสร้อยเพชรให้เลอสรร ถ้าไปยกเลิกเรื่องนี้แล้วชั้นจะเอาหน้าไว้ที่ไหน”
“แต่ถ้าชั้นจะไปบอกเลิกกับกำนันธง ชั้นก็เสียคนนะซิ”
“ไม่รู้ไม่ชี้ ลูกสาวกำนันธงชั้นไม่เคยรู้จักหัวนอนปลายตีน จู่ๆ จะให้มาเป็นลูกสะใภ้ ชั้นไม่ยอมรับ”
ท่านผู้ว่าสมยศรู้สึกหนักใจ หันมาหาลุงมหา
“แกช่วยชั้นพูดหน่อยซิ ไอ้มหา”
“คือว่า...”
“หุบปาก ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ชั้นไม่อยากฟัง”ง
บัว สาวใช้วิ่งเข้ามา
“คุณท่านคะ”
“มีอะไรนังบัว”
“คุณเลอสรรฟื้นแล้วค่ะ”
ทุกคนตื่นเต้นรีบลุกออกไป
ภายในห้องนอน เลอสรรลืมตาขึ้นมามองไปรอบๆ แล้วพยายามลุกขึ้นมานั่งบนเตียง หมออวยชัยช่วยพยุงขึ้นมานั่ง ท่านผู้ว่าสมยศ คุณนายศรีสอางค์ ลุงมหา รีบเข้ามาในห้อง
“ตาเลอสรร ลูกเป็นยังไงบ้าง”
เลอสรรหันไปมองหน้าทุกคนงงๆ เนื่องจากจำไม่ได้
“ผม...ชื่ออะไรนะครับ”
“นี่แกจำชื่อตัวเองไม่ได้งั้นรึ”
“แล้วผมอยู่ที่ไหนครับ”
“นี่มันอะไรกันคะคุณหมอ เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมตาเลอสรรถึงเป็นแบบนี้”
“ผมคิดว่าศีรษะคุณเลอสรรคงจะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างแรงจนทำให้ความจำเสื่อมน่ะครับ”
“ความจำเสื่อม” คุณนายศรีสอางค์ตกใจมาก
“ใช่ครับ ต่อจากนี้ไปคุณเลอสรรอาจจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้ ยังไงผมคงต้องส่งตัวคุณเลอสรรไปเช็คสมองที่โรงพยาบาลอีกที”
เลอสรรยังคงมองไปรอบๆ จำอะไรไม่ได้ ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่เฝ้ามองอย่างห่วงใย
ที่บ้านกำนันธง ศรีนวลนั่งร้อยดอกไม้เป็นพวงมาลัยอยู่ที่ท่าน้ำคนเดียวเงียบๆ สายตาของเธอเหม่อมองออกไปยังทิศทางที่มาจากบางกอก ประหนึ่งเหมือนกำลังรอคอยการกลับมาของเลอสรร กำนันธงเดินเข้ามาหา
“มานั่งทำไมตรงนี้ศรีนวล ถ้าจะร้อยมาลัยทำไมไม่ไปร้อยในบ้าน”
“คือว่านั่งตรงนี้ เย็นสบายดีจ้ะพ่อ”
“นี่ก็ใกล้จะสามเดือนแล้ว อีกไม่กี่วันคุณเลอสรรเขาก็คงจะกลับมาหาเอ็งแล้วซิ”
“จ้ะพ่อ ฉันจะรอคุณเลอสรรตรงนี้จนกว่าเขาจะกลับมา ตั้งแต่วันนี้ไป ชั้นจะมานั่งรอที่ท่าน้ำทุกวัน เผื่อว่าวันไหนคุณเลอสรรกลับมา จะได้ไม่คลาดกัน”
จู่ๆ ศรีนวลก็รู้สึกมีอาการคลื่นไส้อาเจียน
“เอ็งเป็นอะไรไปวะ”
“ไม่รู้จ้ะพ่อ ช่วงนี้ศรีนวลเป็นอะไรไม่รู้ มันคลื่นไส้แล้วมึนหัวบ่อยมากเลย”
“แล้วนี่อยากกินอะไรเปรี้ยวๆ หรือเปล่า”
“จ้ะพ่อ พอดีมันคลื่นไส้ ก็เลยอยากหาอะไรเปรี้ยวๆ” กำนันธงหัวเราะหึๆ เนื่องจากรู้ดีว่าบัดนี้ ศรีนวลเริ่มมีอาการแพ้ท้องแล้ว “พ่อหัวเราะทำไมจ้ะ”
“จังหวะมันพอดีเลยว่ะ พอเอ็งแต่งงานก็ท้องเลยมีลูกทันใช้แน่”
“นี่หมายความว่า...”
“ใช่แล้ว อาการอย่างนี้เค้าเรียกว่าแพ้ท้อง ต่อไปถ้าจะเดินเหินก็ต้องระวังตัวไว้บ้าง อย่างให้ลื่นล้มเด็ดขาด”
“จ้ะพ่อ”
กำนันธงเดินยิ้มออกไปอย่างอารมณ์ดี ขณะที่ศรีนวลก้มมองท้องตัวเองอย่างตื้นตันใจ
“ลูก...ลูกของศรีนวล ลูกของเรา”
ศรีนวลมองท้องน้ำแล้วคิดถึงเลอสรร อยากให้เขารีบมาหาเธอไวๆ
วันต่อมา บ้านท่านผู้ว่าสมยศที่บางกอก สร้อยเพชรและโฉมศรี กำลังนั่งคุยกันอยู่ โดยมีท่านผู้ว่าสมยศนั่งอยู่ด้วย ท่าทางท่านผู้ว่าสมยศค่อนข้างอึดอัด เนื่องจากวันนี้คุณนายศรีสอางค์ได้นัดให้เลอสรรมาพบกับสร้อยเพชรเป็นครั้งแรก เพื่อให้ทั้งคู่ได้ดูตัวกัน
“เป็นไงคะคุณ หนูสร้อยเพชรว่าที่ลูกสะใภ้ของเรา กิริยาน่ารักเรียบร้อยสมเป็นกุลสตรีโดยแท้เลยนะค่ะ”
“จ้ะๆ น่ารักจ้ะ”
“เมื่อหลายเดือนก่อน ได้ข่าวว่าคุณเลอสรร เข้าโรงพยาบาลไม่ทราบว่าเป็นอะไรเหรอคะ”
“อ๋อ...ก็ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ อุบัติเหตุเล็กน้อยตอนนี้ตาเลอสรรปกติแล้วค่ะ”
“แต่ได้ยินว่า ความจำเสื่อม”
“เสื่อมอะไรที่ไหน ไม่จริงหรอกค่ะ ไม่งั้นโรงเรียนนายร้อยคงไม่รับให้เรียนต่อหรอกจ้ะ”
“ตอนนี้พี่เลอสรร เรียนจบแล้วใช่มั๊ยค่ะ”
“ใช่จ้ะ พี่เค้าเรียนจบ แล้วก็เข้ารับพระราชทานกระบี่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เข้ารับราชการเป็นนายร้อยตำรวจแล้วจ้ะ นั่นไงพูดถึงก็มาเลย”
เลอสรรเดินกลับเข้าบ้านมาในชุดนายร้อยตำรวจ
“สวัสดีครับคุณพ่อ คุณแม่ คุณน้าโฉมศรีแล้ว เอ้อ...”
“นี่น้องสร้อยเพชรไงจ้ะ ลูกของน้าเอง จำได้มั๊ยเคยเจอกันตอนเด็กๆ”
เลอสรรจำไม่ได้ เนื่องจากความทรงจำยังไม่เข้าที่ จำได้เฉพาะบางเรื่องเท่านั้น
“สวัสดีค่ะ พี่เลอสรร”
“ครับ สวัสดีครับครับ”
“นี่เลอสรร พอดีหนูสร้อยเพชรเค้าอยากจะดูสวนกุหลาบบ้านเราน่ะ ยังไงลูกพาน้องไปเดินดูหน่อยซิจ้ะ”
“ได้ครับ เชิญครับ”
สร้อยเพชรเอียงอาย กระบิดกระบวน ขณะที่โฉมศรีดันลูกสาวให้ลุกออกไป
“ไปซิลูก พี่เค้าจะพาเดินดูสวนกุหลาบ อย่าช้าซิจ้ะ”
“ค่ะ คุณแม่”
สร้อยเพชรเดินออกจากบ้านไปพร้อมเลอสรร ขณะที่คุณนายศรีสอางค์และโฉมศรีมองอย่างชื่นชม ท่านผู้ว่าสมยศได้แต่ส่ายหน้าไม่ค่อยชอบใจนัก
“สมกันดีจริงๆ เลยนะคะท่าน”
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่ค่ะ ชั้นหาฤกษ์แต่งงานเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่ชั้นวางเอาไว้”
คุณนายศรีสอางค์ส่งสายตากำราบมายังท่านผู้ว่าสมยศ เพื่อให้สงบปากสงบคำ ท่านผู้ว่าสมยศเกรงใจภรรยาเนื่องจากคุณนายศรีสอางค์เป็นโรคหัวใจ และไม่อยากทำให้เธออายุสั้น
เลอสรรกำลังพูดคุยกับสร้อยเพชรอยู่ในสวนอย่างมีความสุข อีกมุมหนึ่งลุงมหากำลังยืนแอบมองอย่างสนใจ สักครู่ก็เห็นท่านผู้ว่าสมยศเดินเข้ามายืนมองด้วยเช่นกัน
“นี่ชั้นจะหาทางออกยังไงดี มหา”
“คุณเลอสรร จำเรื่องราวที่ลานเทไม่ได้เลยเหรอครับท่าน”
“จำไม่ได้เลย จำไม่ได้แม้กระทั่งศรีนวลเมียของมัน”
“แล้วทำไมเรื่องเรียน เรื่องอื่นๆ คุณเลอสรรถึงจำได้ละครับ”
“ชั้นเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เห็นหมอบอกว่าตั้งแต่สมองกระเทือนคราวนั้น ความจำของเจ้าเลอสรรมันจะไม่สามารถกลับมาได้เหมือนเดิมร้อยเปอร์เซ็นต์ บางเรื่องก็จะจำได้ แต่บางเรื่องความทรงจำก็จะสูญหายไปเลย”
“หายไปจากความทรงจำเลยเหรอครับ”
คุณนายศรีสอางค์เดินเข้ามา
“ใช่...ต่อไปนี้เรื่องที่ลานเท จะต้องหายไปจากความทรงจำของตาเลอสรรตลอดกาล ห้ามใครรื้อฟื้นเรื่องนี้อีกเป็นอันขาด โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิงที่ชื่อศรีนวล”
“แต่ชั้นรับปากกับกำนันธงเอาไว้แล้วนะแม่ศรีสอางค์ ชั้นอยากให้เธอเข้าใจชั้นบ้าง”
“แต่สิ่งที่ชั้นทำลงไปก็เพื่อลูก ชั้นต้องการให้ตาเลอสรรมีครอบครัว มีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ไม่ต้องมาจมปลักอยู่กับนังบ้านนอกคนนั้น ชั้นผิดตรงไหนคะ บอกชั้นหน่อยว่าชั้นผิดตรงไหน”
“แต่ว่าเรากำลังทำร้ายจิตใจของผู้หญิงที่ชื่อศรีนวลอยู่นะ”
“แล้วจิตใจชั้นล่ะ ไม่มีความสำคัญเลยใช่มั๊ย สิ่งที่ชั้นทำไม่มีความหมายเลยใช่มั๊ย”
คุณนายศรีสอางค์เริ่มมีอาการหัวใจกำเริบ มือเกร็ง ตัวเกร็งแล้วจากนั้นก็ล้มลงไป ท่านผู้ว่าสมยศตกใจรีบเข้าไปประคอง
“คุณ...แกรีบไปโทรตามหมอมาเร็ว ไอ้มหา”
“ครับท่าน”
ลุงมหารีบวิ่งออกไป เลอสรรกับสร้อยเพชรหันมาเห็นรีบวิ่งเข้ามา
“คุณแม่เป็นอะไรครับ”
“โรคหัวใจกำเริบน่ะ มา ช่วยกันอุ้มเข้าบ้านก่อน”
เลอสรรรีบเข้ามาอุ้มคุณนายศรีสอางค์เข้าบ้าน ทุกคนรีบตามไป
คุณนายศรีสอางค์นอนอยู่บนเตียงให้หมออวยชัยตรวจดูอาการแล้วฉีดยาบำรุง จากนั้นก็หันมาหาท่านผู้ว่าสมยศซึ่งเฝ้าอยู่ข้างๆ อย่างห่วงใย หมออวยชัยพาท่านผู้ว่าสมยศมาพูดคุยเบาๆ อยู่ที่มุมหนึ่ง เนื่องจากเกรงจะรบกวนคนไข้
“โรคหัวใจของคุณนายท่าน จะกำเริบทุกครั้งที่โมโห โกรธ หรือเครียดจัด ยังไงพยายามหลีกเลี่ยงอย่าให้คุณนายท่านตกอยู่ในสภาพนั้นเลยนะครับ”
“อย่างงี้ใครก็ขัดใจไม่ได้เลยน่ะซิ”
“ครับท่าน ถ้าไม่ขัดใจเลยก็จะดีมาก ไม่อย่างงั้นคุณนายอาจถึงแก่ชีวิตได้”
“ถึงตายเลยเหรอหมอ”
“ครับท่าน หากโกรธจัดๆ หัวใจก็อาจหยุดเต้นกะทันหัน การรักษาโรคนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไปครับ เพราะโอกาสหายมีน้อยมาก”
เลอสรรเดินนำสร้อยเพชรและโฉมศรีเข้ามาเยี่ยม
“คุณแม่เป็นยังไงบ้างค่ะ”
“ชั้นตกใจแทบแย่เลยศรีสอางค์ ไม่คิดว่าจู่ๆ เธอจะเป็นแบบนี้”
“ชั้นยังไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอกจ้ะ อย่างน้อยก็ต้องให้ตาเลอสรร แต่งงานกับหนูสร้อยเพชรก่อน”
เลอสรรแปลกใจ เนื่องจากเพิ่งรู้
“แต่งงานเหรอครับ”
“จ้ะลูก แม่เลือกสะใภ้ให้ลูกไว้แล้วคือหนูสร้อยเพชร หวังว่าเลอสรรของแม่คงไม่ทำให้แม่ผิดหวังนะลูก”
เลอสรรอ้ำอึ้งตอบไม่ถูก แต่แล้วท่านผู้ว่าสมยศก็เดินเข้ามาหาเลอสรรแล้วช่วยตอบคำถามแทน
“รับรองจ้ะศรีสอางค์ ตาเลอสรรจะต้องแต่งงานกับสร้อยเพชรตามความต้องการของเธอแน่นอน ไม่ต้องห่วง”
ท่านผู้ว่าสมยศส่งสายตาแกมบังคับให้เลอสรรรับคำ เลอสรรรับรู้ว่าพ่อกำลังอยากให้เขาตอบรับ จึงต้องตอบรับออกไปตามสถานการณ์ที่บีบบังคับ
“ครับ เรื่องนี้ผมแล้วแต่คุณแม่ครับ”
คุณนายศรีสอางค์ยิ้มพอใจ ขณะที่สร้อยเพชรและโฉมศรีแอบยิ้มดีใจ
ลุงมหาขับเรือเร็วมุ่งหน้าไปบ้านลานเท ศรีนวลนั่งรอที่ท่าน้ำหน้าบ้านเห็นเรือเร็วมาก็ดีใจ
“คุณเลอสรรมาแล้วพ่อ คุณเลอสรรมาแล้ว”
กำนันธง ศรีนวลวิ่งมาที่ท่าเรือพบลุงมหา
“มหา มีเรื่องอะไรเหรอ”
“ไปคุยกันที่บ้านดีกว่า ข้ามีเรื่องจะคุยกับเอ็ง”
กำนันธงยกปืนขึ้นมาเล็งเป้าแล้วยิงออกไปเพื่อเป็นการระบายอารมณ์โกรธ โดยมีลุงมหายืนเล่าเรื่องที่ได้ยินมาอยู่ข้างๆ
“ในชีวิตข้า ไม่เคยโดนใครหยามเกียรติมากขนาดนี้”
“เรื่องไม่น่าเป็นไปได้ แต่มันเป็นไปแล้ว” กำนันธงลั่นกระสุนออกไปไม่ยั้ง “แล้วตกลงกำนันจะทำยังไง”
“เรื่องนี้ข้ายอมไม่ได้ ยังไงก็ต้องไปพิสูจน์ให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลย”
ศรีนวลเดินเข้ามาในห้อง
“มีอะไรกันหรือจ้ะพ่อ”
“ศรีนวล เอ็งไปเก็บข้าวเก็บของแล้วเข้าบางกอกกับพ่อเดี๋ยวนี้”
“เข้าบางกอก ทำไมจ้ะพ่อ มีอะไร”
“ไอ้เลอสรรมันกำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงบางกอกไม่ใช่เอ็ง”
ศรีนวลตกใจ ไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
“ข้ากลับก่อนนะ เดี๋ยวท่านผู้ว่าจะสงสัย”
“ขอบใจเพื่อนรักที่อาสาที่มาบอก”
ลุงมหาลงจากเรือนไป ศรีนวลโผเข้ากอดพ่อ
“พ่อทำไมถึงเป็นอย่างนี้ล่ะพ่อ”
บ้านท่านผู้ว่าสมยศถูกตกแต่งด้วยสีสันเนื่องจากวันนี้เป็นวันแต่งงานของเลอสรรและสร้อยเพชร ที่หน้าประตูรั้วบ้าน กำนันธงและศรีนวลเดินเข้ามา บัวรีบสะกิดลุงมหาซึ่งอยู่ใกล้ๆ ให้รีบเข้าไปรับหน้า
“เขาอยู่กันหน้าตึก เข้าไปเลย” ลุงมหากระซิบบอกกำนันธง
“นี่รึเพื่อน เอ็งเห็นข้ากับลูกสาวโดนหลอก แต่เอ็งก็นิ่งเฉย ไม่เคยคิดแม้แต่จะบอกความจริงกับเพื่อน”
“ธงเอ้ย...ข้าเองก็เป็นเพียงบ่าว เรื่องแบบนี้มันเรื่องของเจ้านาย ข้าพูดไม่ได้จริงๆ”
“เอ็งไม่พูด มันก็เท่ากับว่าเอ็งร่วมมือกันเหยียบย่ำหัวใจข้า หลีกไป ไอ้มหา”
กำนันธง ศรีนวลพากันเดินผ่านแขกตรงไปยังหน้าตึก
ขณะนั้นสร้อยเพชรในชุดเจ้าสาวกำลังยืนรับแขกอยู่กับเลอสรรที่มุมหนึ่ง โดยมีท่านผู้ว่าสมยศ คุณนายศรีสอางค์ โฉมศรี ในฐานะผู้ใหญ่ของบ่าวสาวคอยช่วยรับแขกอยู่ข้างๆ กำนันธงและศรีนวลเดินเข้าไปหา เลอสรร จำทั้งคู่ไม่ได้ จึงยกมือไหว้ต้อนรับเหมือนเป็นแขกทั่วๆ ไป ขณะที่ท่านผู้ว่สมยศายืนนิ่ง หวาดหวั่นเกรงจะมีเรื่อง ลุงมหาเดินตามมาสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ
“เชิญครับ ขอบพระคุณนะครับที่ให้เกียรติมางานนี้”
เลอสรรบอก ศรีนวลน้ำตาคลอ ขณะที่กำนันธงยืนมองนิ่ง
“คนอย่างผมกับลูกสาว ไม่มีเกียรติมากพอสำหรับงานนี้หรอกครับ เกียรติของเรามันถูกย่ำยีจากหมาเทวดาจนไม่มีชิ้นดี ลูกสาวของผมมันก็ถูกหมาเทวดาเยี่ยวรดจนท้องไม่มีพ่อ หมดสิ้นคุณค่าไปแล้ว”
“นี่ลุงพูดอะไรกันครับ ผมไม่เข้าใจ”
“พวกเทวดาเค้าเก่งนะพ่อ แสดงละครได้ทุกบทบาท เมื่ออยู่กับควายอย่างเรา เขาก็เข้าใจภาษาควายดีอยู่หรอก แต่พอกลับมาอยู่ในหมู่เทวดา เขาก็ไม่เข้าใจภาษาควายซะแล้ว”
“นี่เธอเป็นใครกัน ทำไมชั้นจำไม่ได้ คุณพ่อครับพวกนี้เป็นใครกัน” เลอสรรหันไปถามท่านผู้ว่า ท่านผู้ว่าอ้ำอึ้ง ไม่ตอบ
“ไม่ต้องไปถามใครหรอกค่ะ ถ้าคุณจำศรีนวลแห่งลานเทไม่ได้ มันก็หมดประโยชน์ที่ชั้นจะฉุดรั้งคุณไว้”
“ไม่ต้องกลัวหรอกครับว่าพวกเราจะมาทำลายความสุขของพวกคุณ ที่ผมกับลูกสาวมาก็แค่มาให้เห็นกับตา ว่าคำมั่นสัญญาที่ให้กับเราไว้ มันก็แค่ลมปากเหม็นๆ ของพวกเทวดา”
“ไปเถอะพ่อ กลับบ้านเรา ที่นี่ไม่มีคนที่เราเคยรู้จักอีกแล้ว”
ศรีนวลและกำนันธงพากันเดินออกจากงานไป ท่านกลางความแปลกใจของทุกคน
“นี่มันอะไรกันครับคุณพ่อ คุณแม่ พวกเค้าเป็นใครกัน”
“เอ้อ...คนบ้าน่ะลูก พวกเราไม่มีใครรู้จักหรอก ไม่รู้ใครปล่อยให้เข้ามาในงานได้ยังไง” คุณนายศรีสอางค์บอก
“ตายจริง นี่คนบ้าหรอกเหรอ ฮ่ะๆ ต้าย ตาย ตกใจหมดเลย”
“อย่าไปสนใจเลยค่ะ พี่เลอสรร รีบบอกกับแขกดีกว่า เดี๋ยวงานจะกร่อยกันหมด...ขอโทษแขกทุกท่านด้วยนะคะ พอดีเมื่อกี้คนบ้าหลุดเข้ามาในงาน ขอโทษด้วยนะคะ ไม่มีอะไรแล้ว”
สร้อยเพชรรีบส่งเสียงขอโทษแขกทุกคนเพื่อเริ่มงานต่อไป ทำให้บรรยากาศในงานกลับมาคึกคักเหมือนเดิม
เลอสรรยังคงติดใจในความรู้สึกเรื่องกำนันธงกับศรีนวล แต่สร้อยเพชรและคุณนายศรีสอางค์พยายามเกลี้ยกล่อมให้ลืมเรื่องที่เกิดขึ้น ขณะที่ท่านผู้ว่าสมยศรู้สึกผิด
กำนันธงและศรีนวล เดินน้ำตาคลอออกมาอย่างคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรี แม้หัวใจจะปวดร้าว
พุทธศักราช 2520
รถคันหนึ่งซึ่งมีระพี นายร้อยตำรวจหนุ่มหล่อคนหนึ่ง กำลังขับรถแล่นมาตามถนน วันนี้ระพีอยู่ในชุดนอกเครื่องแบบ สักครู่ก็มีเสียงเรียกจากวิทยุติดรถดังขึ้นมา
“ฉุกเฉินๆ ขอกำลังเสริมด่วน ขณะนี้เหยี่ยวข่าวกำลังสกัดจับคนร้ายที่ถนนสายลม ต้องการกำลังเสริมด่วนๆ”
ระพีหยิบวิทยุขึ้นมาแล้วตอบกลับไป
“อินทรีย์รับทราบ ถึงที่หมายไม่เกิน 5 นาที”
ระพีกลับรถกะทันหันแล้วขับมุ่งหน้าไปยังถนนสายลม
รถคนร้ายคันหนึ่งกำลังแล่นมาตามถนนแล้วเบรกเอี๊ยด เนื่องจากข้างหน้ามีรถของตำรวจขวางอยู่ คนร้ายสามคนลงจากรถมาแล้วยิงปะทะกับกลุ่มตำรวจที่ดักรออยู่ สองฝ่ายปะทะกันดุเดือดด้วยปืนยิงเร็ว
รถของระพีแล่นเข้ามาจอดแล้วเบรกอย่างแรงจนรถหมุนคว้าง ระพีโผล่หน้าจากกระจกรถแล้วยิงเข้าใส่คนร้ายอย่างแม่นยำ คนร้ายสองคนล้มลงขาดใจตาย คนร้ายอีกคนขึ้นรถแหกด่านตำรวจหนีไป ระพีไล่ตามไป
ระพีเรียกรถตำรวจช่วยสกัดรถคนร้าย วิทยุเข้าไปในรถของผู้การเลอสรร เลอสรรจึงเขาสกัดจับรถคนร้าย รถคนร้ายถูกยิงพลิกคว่ำ เมื่อจับคนร้ายได้ตำรวจค้นรถคนร้ายพบยาบ้าจำนวนมาก
“เรียบร้อยไหม”
เลอสรรขึ้นรถ ระพีรีบไปนั่งข้างคนขับ จากนั้นรถของเลอสรรก็แล่นออกไปพร้อมกับรถตำรวจ
เลือดเจ้าพระยา ตอนที่ 3 (ต่อ)
บ้านร้างแห่งหนึ่ง คนร้ายหลายคนกำลังฉุดคร่าหญิงสาวที่หลอกลวงมาเข้าไปขังในบ้าน หญิงหลายคนโดนฉุดจนเสื้อผ้าหลุดลุ่ยจนร่างเกือบเปลือย คนที่ร้องก็จะโดนเฆี่ยนตี ทรมาน
รถของเลอสรรแล่นมาจอดซุ่มดูเหตุการณ์เงียบๆ ในรถเลอสรรกำลังบรีฟงานให้ระพีฟัง
“คนร้ายพวกนี้เป็นพวกแก๊งค์ข้ามชาติ ฉุดคร่าผู้หญิงไปขายต่างประเทศ บ้านหลังนี้พวกมันใช้เป็นที่กักขังผู้หญิงก่อนที่จะมีรถมารับ”
“พวกเสี้ยนหนามสังคมอย่างงี้ เอาไว้ไม่ได้ครับท่าน”
คนร้ายคนหนึ่งหันมาเห็นเลอสรรและระพี
“เฮ้ย ใครวะ”
คนร้ายยิงปืนใส่ แล้วจากนั้นคนร้ายอื่นๆ ก็พากันระดมยิงใส่เลอสรรและระพี เลอสรรและระพีต่างช่วยกันยิงต่อสู้ แล้วจัดการคนร้ายทีละคน ทำให้คนร้ายที่เหลืออยู่เริ่มหาทางหนี แต่แล้วระพีและเลอสรรต่างก็ช่วยกันจับคนร้ายทั้งหมดเอาไว้ได้
รถตำรวจแล่นเข้ามาสมทบ แล้วช่วยระพีและเลอสรรจัดการคนร้ายจนหมด เลอสรรเดินมาหาระพี แล้วตบไหล่ชื่นชม
“เก่งมาก เป็นยังไงทำงานกับฉันเหนื่อยไหม”
“ถึงเหนื่อยก็สนุกครับ หน้าที่ของตำรวจคือพิทักษ์คนดีปราบปรามคนชั่ว เพื่อความสันติสุขของประชาชน แม้จะสละด้วยชีวิต”
“ดีมาก เรามีงานที่ต้องทำเพื่อประชาชนอีกมาก”
บ้านท่านผู้ว่าทรงยศ สร้อยเพชรซึ่งขณะนี้อายุมากขึ้นกว่าเดิม แต่ลักษณะการแต่งตัวของเธอยังคงทำให้ดูสวยสมวัย สร้อยเพชรนั่งอ่านหนังสืออ่านเล่นอยู่สักครู่ก็เห็นบัว สาวใช้เก่าแก่ของบ้านคลานเข้ามาหา
“คุณสร้อยเพชรเจ้าคะ”
“ว่าไงแม่บัว มีอะไร”
“อาหารพร้อมแล้ว คุณท่านมารอที่ห้องทานข้าวแล้วเจ้าค่ะ”
“แล้วมาบอกชั้นทำไม แกก็ตั้งโต๊ะเลยซิยะ ได้เวลาแล้วนี่”
“เจ้าค่ะ”
บัวคลานออกไป สวนกับสาวน้อยวัยรุ่นคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกของสร้อยเพชรและเลอสรรนามว่าเดือน เดือนเพิ่งกลับจากมหาวิทยาลัย
“สวัสดีค่ะคุณแม่”
“อ้าว ลูกเดือนกลับมาพอดี”
“วันนี้เกียรติกล้าไม่ยอมไปเรียนอีกแล้ว เรื่องนี้คุณแม่ทราบหรือเปล่าคะ”
“อ๋อจ้ะ แม่รู้จ้ะ พอดีวันนี้เกียรติกล้าเค้าบ่นว่าปวดหัว”
“ปวดหัว ฮึ่ม เดือนว่าไม่ใช่หรอก ขี้เกียจเรียนมากกว่า”
เกียรติกล้าน้องชายของเดือน เดินลงจากบันไดส่งเสียงเถียงโวยวายดังลั่นเข้ามา
“รู้ดีจริงนะพี่เดือน ไม่เคยพูดถึงน้องในทางที่ดีเลย”
“แล้วมันจริงมั๊ยหล่ะ แกไม่ยอมไปเรียนจนครูเค้าเอือมจะแย่อยู่แล้ว ไม่อายเค้าบ้างเลยหรือไง”
“เรื่องของใครของมัน ไม่ยุ่งได้ไหม”
“ดูซิคะคุณแม่ เดือนเตือนแล้วยังมาเถียงอีก” เดือนหันไปฟ้องสร้อยเพชร
“แนะยังมาฟ้องแม่อีก”
“จะทำไม”
“พอๆ ที เลิกทะเลาะกันได้แล้ว แม่ไม่อยากฟัง รีบไปที่โต๊ะอาหารเลย คุณปู่กับคุณย่ารอแล้ว ถ้าโดนเอ็ดแม่ไม่ช่วยนะ”
สร้อยเพชรพาเดือนและเกียรติกล้าไปยังห้องทานข้าว
ที่ห้องทานข้าวเห็นโต๊ะรับประทานอาหารของครอบครัวถูกจัดวางอาหารและเครื่องประกอบอย่างสวยงามสมฐานะ โดยมีท่านผู้ว่าทรงยศและคุณนายศรีสอางค์นั่งรออยู่
สร้อยเพชรพาเดือนและเกียรติกล้า เข้ามานั่งประจำที่ บัวและสาวใช้อีก 2 คนช่วยกันลำเลียงอาหารและของว่างมา
“เถียงอะไรกันอีกล่ะแม่เดือน เจ้าเกียรติกล้า เสียงดังเชียว”
“ก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณแม่ กระเง้ากระงอด แหย่กันไปแหย่กันมา” สร้อยเพชรบอก
“แว่วๆ ว่าตาเกียรติกล้าไม่ยอมไปโรงเรียนอีกแล้วรึ”
เกียรติกล้าหน้าเหยเก กลัวโดนดุ รีบหันไปหาสร้อยเพชรเพื่อขอความช่วยเหลือ สร้อยเพชรออกตัวแทนลูก
“พอดี เอ้อ ตาเกียรติกล้าแกปวดหัว น่ะค่ะคุณพ่อ ดิชั้นก็เลยให้หยุด”
“หยุดเรียนน่ะปู่ไม่ว่าหรอก แต่ห้ามเสียการเรียน”
“โธ่ คุณปู่ครับ อาจารย์ที่สอนเค้าเป็นเพื่อนคุณพ่อ ถึงเวลาเรียนผมจะไม่พอ อาจารย์ยังติวให้ผมทีหลังได้ครับ ผมไม่มีทางสอบตกหรอกครับ”
“ถึงยังไงก็ต้องเกรงใจผู้ใหญ่บ้าง อย่าถือว่าเป็นลูกชายของผู้การตำรวจภูธร แล้วจะทำอะไรก็ได้”
“แล้วนี่ตาเลอสรร พ่อแกทำไมยังไม่กลับมาอีก”
“พอดีวันนี้มีงานด่วนน่ะค่ะคุณแม่ อีกประเดี๋ยวก็คงจะกลับแล้ว สั่งไว้ว่าไม่ต้องรอทานข้าวน่ะค่ะ”
“งั้นก็กินกันก่อนเถอะ ไม่ต้องรอ”
“เดือนตักข้าวให้คุณย่า คุณย่าคงจะหิวแล้ว ของโปรดคุณย่าทั้งนั้นเลย น้ำพริกปลาทูกรอบๆ แกงเขียวหวานปลากลาย แกงเลียงบวบ คะน้าปลาเค็ม ไข่เจียวกุ้งสับ”
เดือนช่วยตักอาหารให้คุณนายศรีสอางค์ จากนั้นทุกคนก็เริ่มลงมือกินอาหาร
อ่านต่อเวลา 17.00น.
รถประจำตำแหน่งของเลอสรรแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านโดยมีพลขับทำหน้าที่ขับรถมาส่ง เมื่อรถจอดสนิทพลขับก็ลงไปเปิดประตูให้ เลอสรเดินลงจากรถสาวใช้คนหนึ่งของบ้านมารอรับกระเป๋าเอกสารจากเลอสรร
“ขอบใจ แกกลับไปได้แล้ว พรุ่งนี้เจอกัน 7 โมงตรง ห้ามเลท”
“ครับผม”
เลอสรรเดินตรงไปยังบ้าน ขณะที่พลขับเลื่อนรถออกไป เสียงวิทยุดังแว่วเข้ามาโดยเป็นเสียงลำตัดกำลังโต้กลอน และมีดนตรีรำมะนาร้องรับอย่างคึกครื้น เลอสรรได้ยินแล้วชะงักนิ่งหันมองหาที่มาของเสียง แล้วจากนั้นก็เดินไปยังเรือนหลังบ้าน
เลอสรรเดินตามเสียงเพลงลำตัดมาหยุดที่วิทยุเครื่องเก่าๆ แล้วยืนฟังนิ่งราวกับต้องมนต์สะกด เนื่องจากเป็นเสียงที่เลอสรรรู้สึกเหมือนเคยได้ยินและมีความหลังผูกพันมาก่อน เพียงแต่ขณะนี้เขาจำอะไรไม่ได้เลย
เหตุการณ์ในอดีต เป็นตอนที่ศรีนวลกำลังเล่นลำตัดอยู่บนเวที ความทรงจำของเลอสรรเกี่ยวกับศรีนวลกำลังถูกสะกิดเตือนจากเสียงลำตัดในวิทยุเพียงแต่เลอสรรยังจำไม่ได้ว่าศรีนวลเป็นใคร
ลุงมหาซึ่งอาศัยอยู่ที่เรือนหลังเล็กเดินเข้ามา เมื่อเห็นท่าทางของเลอสรรกำลังฟังเพลงลำตัดอย่างตั้งอกตั้งใจ ลุงมหาก็รีบตรงเข้าไปที่วิทยุแล้วปิดเสียงลงทันที เนื่องจากเกรงจะทำให้เลอสรรจำเรื่องในอดีตได้
“ปิดทำไม”
“เอ้อ คุณเลอสรรมาที่นี่ มีอะไรจะให้ผมรับใช้หรือครับ”
“ชั้นได้ยินเสียง เอ้อ... เสียงวิทยุเมื่อกี้ เค้าเรียกว่าเพลงอะไรนะ”
“ลำตัดครับ”
“ใช่ ลำตัด ทำไมชั้นมีความรู้สึกเหมือน…”
“เหมือนอะไรครับ”
“เหมือนชั้นเคยดู ผู้หญิงคนหนึ่งร้องลำตัด เธอสวย เก่ง ฝีปากไม่มีใครเทียบได้เลย จำได้แล้ว เหมือนผู้หญิงคนนั้น”
“คนไหนครับ”
“คนที่มาในงานแต่งงานผมไง ที่พูดอะไรแปลกๆ แล้วก็เดินออกจากงานไป” ลุงมหาถอนใจ
“คุณเลอสรร เลิกคิดเรื่องนี้เถอะครับ ทุกอย่างมันสายไปแล้ว”
“สายไปแล้ว ลุงมหาหมายความว่ายังไง”
“เอ้อ ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่หมายความว่าเรื่องมันผ่านมานานเป็นสิบปี ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดถึงมันอีกแล้วครับ”
ลุงมหาหลบตาก้มหน้า ไม่อยากแสดงพิรุธ
“แต่แปลกจริงๆ ชั้นเคยฝันถึงภาพผู้หญิงเล่นลำตัดแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่นึกไม่ออกซักทีว่าเคยเห็นที่ไหน”
คุณนายศรีสอางค์เดินเข้ามา
“ก็ตามงานวัดทั่วไปนั่นแหละ ไม่เห็นจะต้องไปสงสัยอะไรเลย”
“อ้าว คุณแม่”
“เห็นเด็กมันบอกว่าแกมาแล้ว แต่ยังไม่ขึ้นตึก แม่เลยเดินมาดู”
“พอดีผมได้ยินเสียงลำตัดของลุงมหา เลยนึกถึงความฝัน ฝันทีไรก็เห็นผู้หญิงกำลังร้องลำตัดอยู่บนเวที ทุกอย่างเหมือนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ใช่ความฝันเลยครับคุณแม่”
“ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรนี่ แม่เองก็เคยฝันว่าดูลิเกเล่นเป็นเรื่องเหมือนกัน อย่าไปคิดมากรีบเข้าข้างในเถอะ แม่สร้อยเพชรกับลูกๆ รออยู่”
“ครับ คุณแม่ไปด้วยกันนะครับ”
“ไปก่อน เดี๋ยวแม่สั่งงาน มหาแกสักหน่อย”
เลอสรรเดินออกไป ศรีสอางค์หันมาทำตาเขียวใส่ลุงมหา
“คุณนาย เอ้อ มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ”
“ชั้นสั่งแล้วใช่มั๊ย ห้ามบอกตาเลอสรรถึงเรื่องที่ลานเท”
“ผมยังไม่ได้บอกอะไรนี่ครับ”
“แล้วแกเปิดลำตัดทำไม”
“คือผมคิดไม่ถึงน่ะครับ ไม่คิดว่าจะมีรายการลำตัดในวิทยุ”
“ไม่ต้องมาแก้ตัว ลูกชั้นน่ะลืมเรื่องนี้ไปหลายสิบปีจนตอนนี้ก็มีลูกเต้าตั้ง 2 คน หวังว่าแกคงจะไม่ทำลายครอบครัวของฉันให้พังพินาศหรอกนะ”
“ครับ ต่อไปผมจะระวังให้มากขึ้น”
ลุงมหารับปาก คุณนายศรีสอางค์ส่งสายตากำราบแล้วเดินออกไป
สร้อยเพชรยกกาแฟมาเสิร์ฟให้เลอสรร เดือนและเกียรติกล้ากำลังนั่งดูทีวีด้วยกัน ไม่ห่างนักเห็นท่านผู้ว่าทรงยศและคุณนายศรีสอางค์นั่งอยู่ด้วย
“เห็นสร้อยเพชรว่าวันนี้คุณพ่อไปหาหมอมา เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ก็มึนหัวบ่อยๆ เลยไปให้หมอเค้าเช็คให้ที่โรงพยาบาล ไม่มีอะไรหรอก”
“แล้วคุณหมอว่าไงบ้างคะ คุณพ่อ”
“ก็บอกแค่ว่าร่างกายอ่อนเพลียเป็นธรรมดา แก่ตัวแล้วก็เป็นอย่างงี้แหละ ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันยังทำงานได้เดือนหน้าชั้นต้องไปเก็บค่าเช่านาที่ลานเท”
“คุณพ่อไม่ต้องไปหรอกค่ะ ลำบากเปล่าๆ ให้ลุงมหาไปแทนก็ได้ค่ะคุณพ่อ”
“ไม่ได้ๆ เก็บค่าเช่าทีได้เงินตั้งเยอะแยะ ถึงตามหาจะเป็นคนเก่า แต่เรื่องเงินเรื่องทองจะปล่อยให้ไปคนเดียวได้
ยังไง” คุณนายศรีสอางค์บอก
“งั้นผมไปกับลุงมหาก็ได้ครับ วันหลังถ้าไม่มีใครว่างผมจะได้ทำแทน”
คุณนายศรีสอางค์ ท่านผู้ว่าทรงยศ สร้อยเพชรมองหน้ากันไปมา เนื่องจากไม่ต้องการให้เลอสรรไปที่ลานเท ด้วยเกรงความทรงจำจะฟื้นคืนมา
“เอ้อ ไม่ได้ แกไปที่ลานเทไม่ได้” คุณนายศรีสอางค์รีบบอก
“ทำไมครับ ที่ลานเทมีอะไรเหรอครับ”
“ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่ เอ้อ... แม่ไม่อยากรบกวน ลูกเป็นถึงผู้บังคับการตำรวจจะลดตัวไปตามเก็บค่าเช่า มันไม่เหมาะ”
“จริงค่ะ ประเดี๋ยวใครรู้เค้าจะนินทาเอาได้ หน้าที่นี้คุณทำไม่ได้หรอกค่ะ”
“งั้นต้องเลื่อนไปก่อน”
“อย่าเลยค่ะคุณพ่อ นัดเก็บค่าเช่าวันไหนก็ไม่ควรผิดนัดประเดี๋ยวพวกเช่าที่มันจะได้ใจ เอางี้ซิคะ ยายเดือนกับตาเกียรติกล้าใกล้จะปิดเทอมกันแล้ว ฝึกให้เด็ก 2 คนไปเก็บค่าเช่ากันบ้างดีมั๊ยคะ อย่างน้อยยายเดือนกับตาเกียรติกล้าก็จะได้รู้จักที่ทางเอาไว้บ้าง”
“ก็ดีเหมือนกันนะ อีกหน่อยมรดกพวกนี้แม่ก็ต้องยกให้หลาน 2 คนอยู่แล้ว ฝึกให้ไปเก็บค่าเช่าตั้งแต่ตอนนี้ก็ดีเหมือนกัน หรือคุณว่าไงคะ”
เมื่อได้ยินผู้ใหญ่พูดกัน เดือนก็ละสายตาจากทีวีหันมาฟัง เช่นเดียวกับเกียรติกล้า
“ก็ดี ให้ลูกหลานไปแทนก็ดีเหมือนกัน ฉันจะได้พักซะที”
“แต่คุณปู่คะ ลานเทอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เดือนไปไม่ถูกหรอกค่ะ”
“ใครเค้าจะให้พวกแกไปกันเองล่ะ ยังไงเจ้ามหาก็ต้องไปด้วยอยู่แล้ว”
“โรงเรียนจะปิดเทอมเดือนหน้า ผมกับพี่เดือนไปเมื่อไหร่ครับ”
“ปิดเทอมวันไหน ก็ไปวันนั้นซิจ๊ะ จะได้รีบไปรีบกลับ”
“งั้นผมเอาเพื่อนไปด้วย คนนึงได้มั๊ยครับ”
“ตามใจซิ ไปกันหลายๆ คนก็ดี ถ้ามีอะไรจะได้ช่วยๆ กัน”
“ไชโย จะได้ไปเที่ยวแล้ว ไชโย”
เกียรติกล้ากระโดดโลดเต้นดีใจ พวกผู้ใหญ่มองอย่างเอ็นดู
วันต่อมาที่ริมทุ่งนา ลูกมะพร้าวซึ่งวางเรียงรายถูกยิงหน้าไม้กระเด็นไปทีละใบไปเรื่อยๆ โดยมีเด็กสาวชื่อดาว กำลังเล็งหน้าไม้ยิงเป้าลูกมะพร้าวอย่างแม่นยำ ข้างๆ ดาว เห็นชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกันชื่อบุญเหลือกำลังยืนลุ้นอยู่ข้างๆ เมื่อดาวยิงเป้าสุดท้ายกระเด็นไป บุญเหลือก็ตบมือชื่นชม
“เข้าเป้าทุกนัดเลย ฝีมือแม่นขึ้นทุกวันเลยนะดาว”
“ตาพี่บุญเหลือแล้ว โชว์ฝีมือหน่อย”
บุญเหลือยกหน้าไม้ยิงแล้วเล็งกระสุนออกไป กระสุนปืนเข้าเป้าอย่างแม่นยำเช่นกัน ดาวตบมือชม
“ไง พี่ไม่ยอมแพ้ดาวง่ายๆ หรอก”
“คอยดู พรุ่งนี้ชั้นจะฝึกขี่ควายยิงปืนเลียนแบบหนังคาวบอย”
“เออดี งั้นพี่เอาด้วย”
น้อยวิ่งหน้าตื่นเข้ามา เพื่อแจ้งเหตุร้าย
“เร็ว น้องดาว บุญเหลือ ไปเร็ว”
“มีอะไร พี่น้อย”
“ไอ้บันลือ มันมาหาเรื่องแม่ศรีนวลอยู่ที่ลานหน้าบ้าน”
“เหมาะ กำลังคันไม้คันมืออยู่เชียว”
“ไปพี่บุญเหลือ ลุย”
ดาว บุญเหลือ พากันวิ่งไป น้อยวิ่งตามไป
ลานหน้าบ้านกำนันธง ศรีนวลกำลังโต้เถียงกับบันลือและลูกน้องคือดำและแดงอยู่ที่ลานหน้าบ้าน
“แค่ควายเดินมากินหญ้านิดหน่อย มันจะเสียหายอะไรกันนักหนาเชียวจ๊ะ แม่ศรีนวล”
“เรื่องกินหญ้านิดหน่อยน่ะ ชั้นไม่ว่าหรอก แต่นี่เด็กมันบอกว่าแกต้อนควายลงไปย่ำแปลงเพาะชำ จนต้นกล้าของชั้นแหลกจนหมด”
“ฮ่ะๆ ต้นกล้าแปลงแม่ศรีนวลคงจะหวานฉ่ำ ถึงจะเป็นน้ำตาลก้นแก้วแต่ชิมแล้วมันจับใจน่ะซิ ควายมันถึงได้ย่ำเอาๆ ฮ่ะๆๆ”
บันลือและลูกน้อง หัวเราะขบขัน ที่ได้แดกดันศรีนวลในเชิงลามก ศรีนวลโกรธหน้าแดง
“หุบปากหมาๆ ของแกได้แล้ว”
“พูดถูกใจละซิ” บันลือและลูกน้องหัวเราะอย่างขบขัน ขณะที่ศรีนวลทนไม่ไหวโดดเข้าไปชกเปรี้ยงจนบันลือเซถลาไป “หนอย มันจะมากไปแล้ว”
“มาซิวะ คิดว่ากลัวเหรอ เข้ามาเลย”
“ได้เลย ฉันจัดให้”
ศรีนวลคว้าท่อนไม้ฟาดพวกมันไม่ยั้ง บันลือ ดำ แดงเข้ามารุมแต่ศรีนวลปัดป้อง แล้วต่อสู้ไม่เกรงหน้าอินหน้าพรหม สักครู่ดาว บุญเหลือและน้อยก็วิ่งเข้ามาถึง
“เฮ้ย ไอ้หมาหมู่ แบ่งมาทางนี้สักตัวซิวะ”
“มาเลยๆ ใครอยากเจอแบบหนักๆ มาทางนี้” บันลือบอก
“พี่น้อยรับปืนไป เดี๋ยวมันจะหาว่าเราเอาเปรียบ”
ดาวและบุญเหลือส่งปืนให้น้อย ดำ แดง หันไปสู้กับดาวและบุญเหลือ ศรีนวลสู้กับบันลือ น้อยตะโกนโวยวาย เรียกคนมาห้ามศึก
“ช่วยด้วยๆ”
สักครู่ก็เห็นกำนันธง ผู้ใหญ่ต้องและชาวบ้านพากันเข้ามา กำนันธงยกปืนยิงขึ้นฟ้า เปรี้ยงๆ เพื่อให้ทุกอย่างหยุด บันลือ ดำ แดง ชะงักหันมามอง
“หยุดนะโว้ย ไอ้บันลือ”
“มีเรื่องอะไรกันศรีนวล”
“ไอ้บันลือกับพวกมันต้อนควายลงไปย่ำแปลงเพาะชำของชั้นเสียหาย”
“เอ็งมันคนในเมือง ไม่ได้อยู่แถวนี้ แล้วไปเอาควายมาจากไหน” กำนันธงถามอย่างสงสัย
“ชั้นก็ไปยึดมาจากลูกหนี้ชั้นน่ะซิ กำนันมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“ใช่ พี่บันลือมาเก็บดอกเบี้ย ใครไม่มีเงินจ่ายก็ต้องยึดวัวยึดควาย อย่างงี้ผิดกฎหมายรึเปล่า”
“หรือจะให้ยึดคนก็ได้ แต่เอาเฉพาะสาวๆ นะกำนัน ฮ่ะๆ”
บันลือและพวกหัวเราะกันลั่น จนดาวและบุญเหลือทนไม่ไหว
“หมั่นไส้เว้ย”
“ขอสักเปรี้ยงเหอะ”
ดาวและบุญเหลือจะเข้าไปชาร์จ แต่กำนันธงตวาดเสียงดัง
“หยุด...บันลือ ชั้นจะให้โอกาสแกกับพวกรีบออกไปจากลานเทซะ ไม่อย่างงั้นได้เห็นดีกับข้าแน่”
บันลือมองไปรอบๆ เห็นกำนันธง ศรีนวล ดาว บุญเหลือ ผู้ใหญ่ต้องและคนอื่นๆ มีท่าทีเอาจริง สถานการณ์ทำให้บันลือและพวกรู้สึกว่ากำลังตกเป็นรอง จึงตัดสินใจเริ่มถอย
“ฮึ่ม...ก็ได้ เรามันก็คนเคยเห็นหน้ากัน ชั้นก็ไม่อยากจะมีเรื่องมีราว เฮ้ย...กลับ”
บันลือและลูกน้องพากันเดินออกไป ขณะที่ทุกคนมองตาม
ศรีนวลกำลังทำความสะอาดแผลฟกช้ำให้กับดาว ขณะที่ผู้ใหญ่ต้องกำลังเอาผ้าประคบรอยบวมให้บุญเหลือ กำนันธงนั่งฝนยาโรยแผลให้ศรีนวล ดาว บุญเหลือ ระหว่างสนทนา
“ตา ปล่อยให้ไอ้บันลือมันไปทำไม ไหนบอกว่าพวกมันเป็นโจรปล้นฆ่าชาวบ้านไม่ใช่เหรอ ตาน่าจะจับมันเข้าคุกให้เข็ด”
“มันเป็นพวกมีอิทธิพล มีข้าราชการหนุนหลัง จะบุ่มบ่ามทำอะไรไม่ได้”
“แล้วจะปล่อยไปเฉยๆ แบบเนี่ยะมันก็เหมือนปล่อยเสือเข้าป่า อีกหน่อยมันก็จะย้อนกลับมาเล่นงานเราอีก” บุญเหลือบอก
“ถ้ามันกล้ากลับมา ตาก็จะไม่ยอมปล่อยพวกมันไว้แน่”
“ยังไงมันก็ไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่านี้หรอกกำนัน ชั้นว่ายังไงมันก็ต้องเกรงใจสมิงอยู่บ้าง สมิงมันเคยประกาศเอาไว้ว่าถ้าใครทำอะไรศรีนวลกับลูก สมิงมันจะเอาถึงตาย”
“ไม่ต้องถึงมือสมิงหรอกจ้ะผู้ใหญ่ ใครมาทำอะไรลูกชั้น 2 คน ศรีนวลคนนี้ก็เอาถึงตายเหมือนกัน”
“ใช่ แม่อยู่ที่ไหน ดาวกับพี่บุญเหลือก็จะอยู่ที่นั่น”
“ตาต่อตา ฟันต่อฟัน แม่เจ็บเราก็เจ็บ”
“เออ เก่งกันทุกคน ไม่เสียแรงที่ข้าเลี้ยงพวกเอ็งมาให้สู้คน แต่ตอนนี้มาใส่แผลกันซะดีๆ ข้าฝนยาเสร็จแล้ว มา”
กำนันธงยกผงยาใส่แผลมาวางแล้วโรยยาใส่แผลให้ดาวและบุญเหลือ ทั้งคู่ร้องโอดโอย แสบ
เวทีโรงมวยเถื่อน ซึ่งเป็นเวทีบนลานดินและมีกำแพงเหล็กกั้นไว้เป็นคอกสี่เหลี่ยมเพื่อให้นักมวยเข้าไปชกกันในคอกโดยมีคนดูมายืนล้อมรอบกำแพงเพื่อเชียร์มวย การชกมวยของที่นี่ไม่มีกติกาแน่ชัด เป็นการต่อสู้แบบสัญชาตญาณดิบ ชกกันจนกว่าจะล้มหมอบติดดิน ไม่ต้องมีกรรมการคอยห้ามให้เกะกะ
เลือดเจ้าพระยา ตอนที่ 3 (ต่อ)
นักมวยคู่หนึ่งกำลังต่อสู้กันอย่างโหดร้ายจนเลือดสาดกระเซ็น ท่านกลางคนดูที่ส่งเสียงเชียร์กันอย่างสนั่นหวั่นไหว
เถ้าแก่ชิ้น มเหศักดิ์กำลังดูมวยอยู่ที่มุมหนึ่ง สักครู่ก็เห็นบันลือ ดำ แดงเดินเข้ามา เถ้าแก่ชิ้นหันมามอง อย่างรู้ทันเนื่องจากมีคนส่งข่าวมาให้รู้แล้วว่าบันลือไปมีเรื่องมา
“นังศรีนวลมันเสน่ห์แรงจริงๆ จนป่านนี้แล้วเอ็งก็ยังไม่เลิกตอแยกับมันอีก”
“ชั้นไปมีเรื่องทีไร ข่าวมาถึงเตี่ยก่อนทุกที แล้วนี่เรียกชั้นมาที่นี่คงไม่ได้ให้มาดูมวยอย่างเดียวหรอกน่ะ”
“เอ็งคิดว่ากิจการโรงมวยที่นี่เป็นยังไง”
“ก็ดีนี่เตี่ย คนเยอะอย่างงี้ วันๆ คงจะได้หลายเงินอยู่”
“ได้ข่าวเสี่ยเฮง เจ้าของโรงมวยที่นี่มันมีเงินฝากธนาคารเป็นแสน”
“งั้นก็ปล้นมันเลยมั๊ย”
“ยัง เรื่องปล้นเอาไว้ทีหลัง เตี่ยมีความคิดดีกว่านั้น”
“เตี่ยจะทำอะไร”
“ยึดที่นี่มาเป็นของเรา ให้มันเป็นแหล่งปั้มเงินให้เราทุกวันซิวะ”
“อย่างงี้เราก็รวยเละเลยซิเตี่ย”
“ฮ่ะๆ เงินเข้าทุกวัน ไม่รวยได้ยังไงวะ ฮ่ะๆ”
ลูกน้องคนหนึ่งเดินเข้ามากระซิบกับมเหศักดิ์ สักครู่มเหศักดิ์ก็หันมาบอกทุกคน
“ไอ้เสี่ยเฮง เจ้าของโรงมวยมาแล้วครับ”
“งั้นก็ไปต้อนรับมันหน่อย”
เถ้าแก่ชิ้น บันลือ มเหศักดิ์ ดำ แดงและคนอื่นๆ พากันเดินออกไป
หน้าห้องทำงานเสี่ยเฮงมีลูกน้อง 2 คนเฝ้าอยู่
“จะไปไหนครับ”
ลูกน้องเสี่ยเฮงถามบันลือ
“มาหาเสี่ยเฮง”
“เสี่ยกำลังมีธุระ เข้าไปไม่ได้”
บันลือและสมุนเล่นงานลูกน้อง 2 คนของเสี่ยเฮงจนสลบแล้วบุกเข้าไปในห้องเสี่ยเฮง ห้องทำงานของเสี่ยเฮง เป็นห้องเล็กๆ ภายในโรงมวย เสี่ยเฮงกำลังนั่งดูบัญชีอยู่กับลูกน้องคนหนึ่ง สักครู่เถ้าแก่ชิ้น บันลือ มเหศักดิ์และลูกน้องก็พากันเดินเข้ามา เสี่ยเฮงสะดุ้งตกใจ
“เถ้าแก่”
“ไง เสี่ย กิจการโรงมวยท่าทางจะไปได้สวย”
“น้ำซึมบ่อทราย มีรายได้เข้ามาเรื่อยๆ เถ้าแก่มีอะไรเหรอครับ หรือคิดจะเข้าหุ้นกับผม”
“ชั้นไม่เคยคิดจะเข้าหุ้นกับใคร พูดตรงๆ ฉันอยากได้โรงมวยของแก จะขายให้ฉันเท่าไหร่”
“เถ้าแก่พูดอะไรน่าเกลียดโรงมวยอั๊วะเพิ่งเปิด ยังไม่ทันจะคืนทุนเลย คงขายให้เถ้าแก่ไม่ได้หรอก”
เถ้าแก่ชิ้นตบโต๊ะเปรี้ยง แล้วขึ้นเสียงดัง
“แต่อั๊วะจะเอา”
ขาดคำบันลือก็ชักปืนเล็งมาที่เสี่ยเฮง
“อย่ามาขู่อั๊วะนะโว้ย อั๊วะไม่กลัวหรอก ถ้าลื้ออยากจะฆ่าอั๊วะก็จัดการเลย แต่อย่าคิดว่าจะได้โรงมวยไปง่ายๆ”
“ถ้าฉันจะเอาซะอย่าง ใครจะกล้ามาขวาง”
“อั๊วะเป็นเพื่อนของสมิง ถ้าใครทำอั๊วะ สมิงคงไม่เอาไว้แน่”
“เอ็งคิดว่าข้ากลัวเหรอ เอ็งเตรียมตัวตายได้เลย”
บันลือขยับจะยิงเสี่ยเฮง แต่แล้ว จู่ๆ มเหศักดิ์เข้ามาห้ามไว้
“เดี๋ยว ไหนเสี่ยบอกว่าเป็นเพื่อกับไอ้สมิงเหรอ! อื้อ...น่ากลัวว่ะถอยก่อนดีกว่า”
“มเหศักดิ์แกกลัวไอ้สมิงถึงขนาดนี้เชียวเหรอ”
“เรากลับกันดีกว่า”
มเหศักดิ์หันมาขยิบตาให้เถ้าแก่ชิ้น ทำให้เถ้าแก่ชิ้นเข้าใจความหมายเพราะมเหศักดิ์คงมีแผนบางอย่างเป็นแน่
“บันลือ เก็บปืนซะ”
บันลือตามเรื่องไม่ทัน รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
“นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“กลับได้แล้ว ไป”
เถ้าแก่ชิ้นหันมายิ้มให้เสี่ยเฮง แล้วจากนั้นทุกคนก็ทยอยกันออกไป ทิ้งเสี่ยเฮงกับลูกน้องอยู่ลำพัง
เถ้าแก่ชิ้น มเหศักดิ์และลูกน้องพากันเดินออกมา โดยที่บันลือยังรู้สึกหงุดหงิด รี่เข้าไปหาเถ้าแก่ชิ้นและมเหศักดิ์เพื่อไขข้อข้องใจ
“ทำไมเราต้องกลัวไอ้สมิงกันถึงขนาดนี้เชียวเหรอ ชั้นไม่เข้าใจ”
“งั้นแกมาเข้าใจซะ”
เถ้าแก่ชิ้นหันไปหามเหศักดิ์ แล้วพยักหน้าให้มเหศักดิ์เป็นฝ่ายตอบคำถามแทน
“ถ้าเสี่ยเฮงมันเป็นเพื่อนกับไอ้สมิงจริง ไอ้สมิงมันต้องมาปรากฏตัวที่นี่แน่ ถึงเวลานั้นเราก็เก็บมันทั้งคู่เลย”
“จริงด้วย ชั้นคิดไม่ถึงจริงๆ”
“ลื้อต้องใจเย็นกว่านี้ อย่าวู่วาม แล้วทุกอย่างจะดีเอง”
“ได้เลยเตี่ย ต่อไปชั้นจะส่งคนมาสอดแนมที่นี่ ไอ้สมิงมาเมื่อไหร่มันเสร็จแน่”
เถ้าแก่ชิ้นพยักหน้าพอใจ แล้วจากนั้นทุกคนก็พากันเดินออกไป
วันต่อมาที่กระท่อมกลางป่า ดาวและบุญเหลือกำลังยืนมองหาสมิง แล้วส่งเสียงเป็นรหัสสัญญาณตามที่นัดหมายเอาไว้ สมิงเข้าชาร์ทดาวและบุญเหลือ
“สมิง”
“นึกว่าวันนี้จะไม่มาซะอีก”
“นัดกันไว้แล้ว ยังไงก็ต้องมา”
สมิงพุ่งเข้าชกดาวและ บุญเหลือ จากนั้นก็เห็นดาวและบุญเหลือผลัดกันต่อสู้กับสมิงแบบ 2 รุม 1 โดยการต่อสู้นี้เป็นการฝึกมวยระหว่างสมิงกับดาวและบุญเหลือ
หลังจากทดสอบฝีมือกันไปสักครู่ สมิงก็หยุดแล้วตบมือชื่นชม
“โอ้โห ฝีมือไม่เลวเลยนี่ “
“แต่ยังไงก็สู้สมิงไม่ได้สักที ใช่มั๊ยพี่บุญเหลือ”
“อืม...ขนาด 2 รุม 1 แล้วยังโค่นไม่ได้ง่ายๆ นึกว่าวันนี้สมิงจะไม่มาเสียแล้ว”
“นัดกันไว้แล้วยังไงก็ต้องมา เออ แล้วแม่ศรีนวลเป็นยังไงบ้าง “
“แม่ศรีนวลสบายดี แต่ดาวไม่เข้าใจเลย สมิงอยากเจอแม่ แต่กลับไม่ยอมไปหาแม่”
“สมิงคงกลัวว่าทางการจะเพ่งเล็ง ใช่มั้ย”
“เรื่องทางการสมิงไม่เคยกลัว แต่ที่สมิงบังคับตัวเองให้มาหาแม่ศรีนวลแค่ปีละครั้งก็เพราะสมิงต้องการจะลงโทษตัวเอง”
“ลงโทษตัวเองเรื่องอะไร”
“สมิงต้องลงโทษตัวเอง เพราะสงสารศรีนวลที่ถูกเลอสรรทอดทิ้ง” สมิงตอบอยู่ในใจก่อนจะบอกออกมาว่า “ตามสมิงมา”
“จะไปไหนกันสมิง”
“ไปทดสอบฝีมือกันหน่อย”
สมิงเดินนำดาวและบุญเหลือออกไป
สมิงเดินนำดาวและบุญเหลือเข้ามาที่โรงมวยเถื่อน ขณะนั้นบนเวทีกำลังมีการชกมวย มีคนดูคอยเชียร์อย่างเมามัน
“โอ้โห ที่นี่ยอดไปเลยสมิง”
“ถ้าอยากจะรู้ว่าตัวเองฝีมือเป็นยังไงก็ต้องมาทดสอบกันที่นี่”
“แสดงว่าดาวขึ้นไปชกได้ใช่มั๊ย”
“แต่นักมวยที่นี่มีแต่ผู้ชายนะดาว” บุญเหลือบอก
“นึกว่ากลัวเหรอ”
นักมวยคนหนึ่งชื่อว่าโทน เดินเข้ามาหาดาว เนื่องจากโทนเข้าใจว่าดาวเป็นไก่หลง
“มาหาใครจ๊ะน้องสาว”
“ยุ่ง”
“อย่าเล่นตัวน่า หรือว่าได้ลูกค้าแล้ว”
บุญเหลือทำท่าจะเข้าไปช่วยดาว แต่สมิงห้ามไว้เพราะรู้ว่าดาวปกป้องตัวเองได้
“ลูกค้าอะไร”
“รอพี่หน่อย เดี๋ยวพี่ขึ้นชกแป๊บเดียว ไหนขอมัดจำไว้ก่อน”
โทนเข้ามากอดดาว ทำท่าจะจูบลวนลาม แต่ดาวสะบัดออก โทนหัวเราะแล้วเดินขึ้นไปบนเวที ดาวมองตามด้วยความรู้สึกแค้นใจ
“เดี๋ยว เจอดีแน่”
ดาวเดินตามไปที่เวทีมวย สมิงและบุญเหลือรีบตามไปดู
บนเวทีมวย โทนกำลังชูมือหราท้าทายหาคู่ต่อสู้ที่จะขึ้นมาชก กรรมการเริ่มประกาศ
“นักมวยคนต่อไป โทน ศิษย์บางไทร พี่เลี้ยงคนไหนจะส่งนักมวยของตัวเองขึ้นประลองฝีมือก็ขึ้นมาเลย”
ดาวเดินขึ้นมาบนเวที ท่าทางเอาเรื่อง ทุกคนอึ้ง ไม่คาดคิด
“เดี๋ยวนะหนู ลงไปก่อนที่นี่เวทีมวย”
ดาวไม่พูดไม่จา ตรงเข้าไปหาโทน แล้วซัดเปรี้ยงจนทำให้โทนเซถลาไป
“มา ถ้าแกแน่จริง ก็เข้ามา”
“ก็ได้”
โทนตรงเข้ามาหาดาว แล้วจากนั้นก็เริ่มชกกัน คนดูเชียร์กันสนั่นที่เห็นมวยหญิงเก่งสู้กับนักมวยรุ่นเก๋าอย่างโทน
ดาวสู้กับโทน แม้ตอนแรกดาวจะพลาดไปบ้าง แต่ก็สามารถกลับมาเอาชนะได้ ในที่สุดดาวก็คว่ำโทนได้ เมื่อดาวชนะ บุญเหลือดีใจรีบวิ่งขึ้นเวทีไปจับดาวชูมือแสดงความยินดี โทนรู้สึกแค้นใจที่แพ้ผู้หญิง จึงอาศัยทีเผลอลุกขึ้นมาแล้วหันไปคว้าเก้าอี้ข้างเวทีตรงเข้าไปหาดาว แต่แล้วก็มีเสียงตวาดจากเสี่ยเฮงห้ามเอาไว้ได้ทัน
“หยุดนะ ไอ้โทน” โทนชะงัก วางเก้าอี้ลง เสี่ยเฮงเดินเข้ามาตบหน้าโทนฉาดใหญ่ “เอ็งออกไป แล้วอย่ามาเหยียบที่นี่อีก”
ลูกน้องเสี่ยเฮงเข้ามาลากตัวโทนออกไป สมิงเดินเข้ามาหาเสี่ยเฮง
“ขอบใจมากเสี่ย”
สมิงและเสี่ยเฮง ยิ้มให้กัน
สมิง ดาวและบุญเหลือ เดินตามเสี่ยเฮงเข้ามาในห้องทำงาน
“ดาวต้องขอโทษเสี่ยด้วยที่มาก่อเรื่องที่นี่”
“ไม่เป็นไร ไอ้โทนนักมวยคนนี้ มันเป็นพวกนักเลงชอบหาเรื่องคนอื่น อั๊วะจะไล่มันออกหลายครั้งแล้ว”
“แล้วเสี่ยเฮงมีเรื่องอะไร ถึงต้องให้พวกเรามาคุยกันที่นี่”
“อั๊วะมีเรื่องจะขอให้สมิงช่วย คือเมื่อวันก่อน เถ้าแก่ชิ้นกับพวกของมันมาที่นี่”
“เสี่ยคงจะโดนมันรีดไถ”
“ไม่ใช่แค่รีดไถ มันกะจะยึดที่นี่เลย ดีที่อั๊วะบอกว่าเป็นเพื่อนกับสมิง พวกมันเลยถอย”
“ผมว่าเรื่องนี้ฟังดูแปลกๆ นะสมิง” บุญเหลือบอก
“หรือเป็นแผนของมันล่อให้สมิงมาที่นี่” ดาวบอก
“เป็นไปได้”
ลูกน้องของเสี่ยเฮงวิ่งเข้ามา
“เสี่ยครับ เกิดเรื่องแล้วครับ”
“มีอะไร”
“สารวัตรสมภพกับพวกตำรวจ ไอ้บันลือก็มาด้วย”
“พวกมันต้องการอะไร”
“เอ้อ พวกตำรวจจะมาจับพี่สมิงครับ “
สมิงครุ่นคิดวางแผน
สารวัตรสมภพ บันลือ ดำ แดง และตำรวจจำนวนหนึ่งพากันเดินเข้ามา ทำให้บรรยากาศในโรงมวยชะงัก ทุกคนหันไปมอง เสี่ยเฮง ดาว บุญเหลือและลูกน้องพากันเดินออกจากห้องทำงานเข้าไปหา
“มีอะไรหรือครับสารวัตร”
“มีสายรายงานมาว่าไอ้โจรที่ชื่อสมิงมันมาที่นี่”
“ไหนครับ อยู่ที่ไหน ผมไม่เห็นเลย”
“อย่ามาแกล้งโง่ ลูกน้องชั้นมันบอกว่าไอ้สมิงมันมากับไอ้เด็กสองคนนั่น”
บันลือชี้มาที่ดาวและบุญเหลือ
“อ้าว กล่าวหากันแบบนี้มันไม่สวยนะเพ่” ดาวบอกอย่างเอาเรื่อง
“สงสัยความแค้นสะสมมานานว่ะ”
ดาวและบุญเหลือหัวเราะขบขัน ทำให้ดำ แดง บันลือ โมโห
“เอ็งหุบปากเลย ไอ้เด็กเมื่อวานซืน”
“อะไรพี่ จะทำไม เป็นเด็กแล้วไปหนักหัวแกเหรอ”
ดำ แดงจะมีเรื่องกับดาวและบุญเหลือ แต่สารวัตรสมภพสั่งให้หยุด
“หยุด ไม่ใช่เวลาจะมาทะเลาะกัน ขออนุญาตนะเสี่ยต้องขอตรวจค้นที่นี่” สารวัตรสมภพบอก
“ตามสบายครับ เชิญ”
สารวัตรสมภพหันไปสั่งลูกน้องให้แบ่งกำลังกันตรวจค้น บันลือ ดำ แดง คุมเชิง ส่วนเสี่ยเฮง ดาวและบุญเหลือ ยืนมองปฏิบัติการณ์ของตำรวจ
ตำรวจพากันบุกตรวจค้นโรงมวยแต่ก็ไม่เจออะไร
“ไม่เจอไอ้โจรสมิงเลยครับ เราตรวจดูทุกซอกทุกมุมแล้ว”
“ไม่จริง ต้องมีซิ”
“ใจเย็นคุณบันลือ ลูกน้องผมไม่พลาดหรอก”
“จะตรวจค้นอีกรอบก็ได้นะครับ ไม่มีปัญหา”
“ไม่เป็นไรเสี่ย คงจะรบกวนแค่นี้ ขอบคุณ”
สารวัตรสมภพ และตำรวจพากันทยอยออกจากโรงมวยไป บันลือ ดำ แดงและสมุนพากันตามไป เสี่ยเฮง ดาว บุญเหลือมองหน้ากัน
“สมิงไปแล้วใช่มั๊ย” ดาวถามเสี่ยเฮง
“ป่านนี้คงจะหลบอยู่ในป่าหลังโรงมวยแล้ว”
ดาวและบุญเหลือยิ้มพอใจ
สารวัตรสมภพ บันลือ ดำ แดงและตำรวจ พากันเดินออกมาจากโรงมวย บันลือหงุดหงิดที่หาสมิงไม่เจอ
“เป็นไปไม่ได้ ยังไงไอ้สมิงมันก็ต้องหลบอยู่แถวนี้แน่”
“คุณก็เห็นว่าเราตรวจค้นกันทุกซอกทุกมุมแล้ว”
“หรือว่ามันจะหลบออกไปก่อนพวกเรามา”
“บางทีมันอาจจะมีทางลับให้ไอ้สมิงหลบออกไปข้างนอก”
สารวัตรสมภพ หันไปมองชัยภูมิของโรงมวย
“ถ้าจะหนีมันก็น่าจะไปที่ป่าด้านหลัง”
“ผมว่ามันยังหนีไปไม่ไกลหรอก ตามไปเร็วสารวัตร”
ทุกคนพากันเคลื่อนกำลังไปทางป่าด้านหลัง
ภายในป่า สมิงกำลังเดินลัดเลาะไปตามทางเพื่อกลับไปยังชุมโจรของตน แต่แล้วสักครู่สมิงก็ได้ยินเสียงของกลุ่มตำรวจที่กำลังติดตามมา สมิงมองไปรอบๆ แล้วรีบหลบไปซ่อนที่หลังต้นไม้ใหญ่
บันลือ สารวัตรสมภพ ดำ แดง และตำรวจก็พากันเดินเข้ามา
“รอยเท้ามันมาทางนี้แน่นอน ดูที่พื้นซิ” บันลือชี้ไปที่รอยเท้าที่ปรากฏอยูที่พื้น “รอยมันไปทางนี้”
บันลือค่อยๆ หันตามรอยเท้าไป แล้วที่สุดก็เห็นสมิงเดินออกมาจากต้นไม้
“ไม่เลวนี่”
“ไอ้สมิง”
สมิงเปิดฉากยิงไม่ยั้ง จากนั้นก็กระโดดหลบไป สารวัตรสมภพ บันลือและคนอื่นๆ พากันยิงใส่ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรสมิงได้ สมิงหายเข้าไปในพุ่มไม้ได้ยินแต่เสียงวิ่ง
“กระจายกำลัง แล้วตามมันไป”
ทุกคนพากันวิ่งตามสมิงไป
สมิงวิ่งหลบไปมาตามต้นไม้ โดยมีตำรวจหลายคนวิ่งตามไล่ยิงไม่ลดละ สมิงหลบเข้ามุมแล้วหันไปยิงตอบโต้ ทำให้ตำรวจล้มตายหลายคน
ตำรวจคนหนึ่งถูกยิงล้มลงต่อหน้าสารวัตรสมภพซึ่งเพิ่งวิ่งเข้ามา ทำให้สารวัตรสมภพรู้สึกแค้นใจที่เห็นลูกน้องล้มตายหลายคนต่อหน้าต่อตา
“ไอ้สมิง”
สารวัตรสมภพเลือดขึ้นหน้าจึงวางศพลูกน้องลงแล้วบุกเข้ายิงไปยังสมิงไม่ยั้ง สมิงหลบกระสุนชุดใหญ่ที่ระดม
ยิงมาจากด้านหลัง เมื่อได้โอกาสก็หันไปตอบโต้บ้างจนกระสุนปืนของสมิงหมด สมิงรีบหลบหลังต้นไม้เพื่อเปลี่ยนกระสุน
ขณะที่สมิงกำลังหลบเพื่อเปลี่ยนกระสุนชุดใหม่อยู่นั้น ที่ด้านหน้าเห็น บันลือ ดำ แดง โผล่มา เมื่อบันลือเห็นว่าสมิงกำลังเสียเปรียบจึงรีบชิงจังหวะเข้าประชิด แล้วเล็งปืนยิงหมายสังหารสมิงแต่สมิงเงยหน้าขึ้นมาเห็นพอดี สมิงจึงกระโดดหลบไป ทำให้กระสุนปืนของบันลือพุ่งเข้าใส่ร่างของสารวัตรสมภพที่วิ่งเข้ามา
ร่างของสารวัตรสมภพล้มลง บันลือตกใจ รีบวิ่งเข้าไปหา ขณะที่สมิงรีบหนีเข้าป่าไป
“สารวัตร”
สารวัตรสมภพขาดใจตาย บันลือ ดำ แดงตกใจ
“พี่บันลือ สารวัตรตายแล้ว เอาไงดี”
“ง่ายนิดเดียวเอ็งก็บอกว่าไอ้สมิงเป็นคนฆ่าสารวัตรก็หมดเรื่อง เข้าใจไหม”
แดงเริ่มตะโกนโวยวายส่งเสียงบอกตำรวจคนอื่นๆ ที่เหลือซึ่งอยู่ห่างออกไป
“จ่าๆ ทางนี้เร็ว สารวัตรถูกไอ้สมิงยิง”
“ไอ้สมิงเป็นคนฆ่าสารวัตร”
ตำรวจที่เหลือพากันกรูเข้ามาดูศพของสารวัตรสมภพ
ห้องประชุมของกรมตำรวจ ผู้กองระพี จ่าสมหมายและตำรวจอื่นๆ นั่งอยู่ในห้องประชุม สักครู่ผู้การเลอสรร ก็เดินเข้ามา ทุกคนยืนขึ้นทำความเคารพ จากนั้นการประชุมก็เริ่มขึ้น
“ที่ผมเรียกพวกคุณมาในวันนี้ก็เพราะมีเหตุเร่งด่วนที่ผมได้รับมอบหมายจากหน่วยเหนือ ให้จัดการอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเพราะเป็นคดีอุกอาจที่กรมตำรวจยอมไม่ได้”
“คดีฆ่าสารวัตรสมภพใช่มั๊ยครับ ผู้การ”
“ใช่ ถ้าเราปล่อยให้คนร้ายคดีนี้ลอยนวล อีกหน่อยพวกมันก็จะเหิมเกริม เป็นที่หวาดกลัวของประชาชน
บ้านเมืองอยู่กันอย่างไม่สงบสุข”
“แล้วเราพอจะมีเบาะแสคนร้ายมั๊ยครับ”
เลอสรรหยิบภาพสเก็ตออกมาจากแฟ้ม เป็นภาพสเก็ตใบหน้าของสมิงที่ทางการวาดขึ้นมาจากคำบอกเล่า
“คนร้ายชื่อสมิง เป็นคนบ้านลานเท ก่อคดีมากมาย แต่ไม่มีใครรู้ว่าซ่อนตัวอยู่ที่ไหน มีเสียงร่ำลือว่าเวลาไอ้
สมิงมันปล้นได้มันก็จะเอาของมาแจกพวกชาวบ้าน ทำให้พวกชาวบ้านรักใคร่ จนช่วยกันปิดบังที่ซ่อนตัวของมัน”
“ผมขออาสารับผิดชอบคดีนี้เองครับผู้การ” ระพีบอก
“ดีมากระพี ผมเชื่อในผีมือคุณ ไหนคุณจะเริ่มต้นยังไง”
“ผมต้องไปในคราบของชาวบ้านธรรมดานี่แหละครับ”
“งั้นผมขออนุญาตไปด้วยครับ”
“ตกลงตามนั้น พอดีพรุ่งนี้ผมจะไปดูพื้นที่ในตัวจังหวัด คุณสองคนไปกับผม เราจะไปสำรวจชุมชนแถวนั้นกันแบบลับๆ ไม่ต้องแสดงตัว”
“รับทราบครับ”
ระพีกับจ่าสมหมายบอกออกมาพร้อมกัน เลอสรรพยักหน้าพอใจ
จบตอนที่ 3
อ่านต่อตอนที่ 4 เวลา 17.00น.