กุหลาบไฟ ตอนที่ 6
ชูชิตนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง อรชรเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมถ้วยบัวลอยน้ำขิงควันฉุย
“มาแล้วค่ะ บัวลอยน้ำขิงของโปรดพี่ชิต”
ชูชิตหันไปมอง แล้วหันกลับมาอ่านหนังสือต่ออย่างไม่สนใจ
“ถ้าอยากจะทำให้พี่อารมณ์ดีขึ้น ก็ไปทำตามที่ตกลงกันไว้ให้ได้ดีกว่านะ”
อรชรแอบเบ้ปากไม่พอใจ แล้วรีบเปลี่ยนเป็นยิ้มหวานเข้าหา
“อรแค่เห็นว่าพี่ชิตเครียดมาหลายวันแล้ว ทานน้ำขิงอุ่นๆ ก่อนนอนจะได้หลับสบายไงคะ”
ชูชิตทำเป็นไม่สนใจ อรชรถือถ้วยขนมเดินไปนั่งข้างๆ
“เดี๋ยวอรป้อนให้นะคะ”
อรชรป้อนขนมเอาใจชูชิตอย่างหวานชื่น...เวลาผ่านไป ชูชิตหลับก่อนขนมจะหมดถ้วยอรชรยิ้มสมหวัง สบายใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
โยคีศิลาดำยืนอยู่หน้าโรงพยาบาล บรรยากาศดูวังเวง เขาก้าวเดินเข้าไปในโรงพยาบาล ขณะเดียวกันนั้นมีรถแท็กซี่เข้ามาจอดที่หน้าโรงพยาบาล อรชรลงมาจากรถคันนั้น
บุรุษพยาบาลเดินเข็นเตียงเปล่ามาตามทางเดิน อย่างหวาดระแวงบรรยากาศรอบข้าง
“ทำไมวันนี้บรรยากาศมันดูวังเวง เย็นๆ น่ากลัวอย่างนี้วะ”
จู่ๆ ลมแรงพัดมาวูบใหญ่ บุรุษพยาบาลก้มดูแขนตัวเอง
“ขนลุกซู่เลยวุ้ย”
บุรุษพยาบาลลูบแขนตัวเอง มองซ้ายมองขวาด้วยความกลัวมากขึ้น จู่ๆ เตียงก็ชนกึกเข้ากับสิ่งกีดขวางตรงหน้า บุรุษพยาบาลหันมามองว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นโยคีศิลาดำยืนจ้องหน้าอยู่ข้างหน้าเตียง บุรุษพยาบาลตกใจสุดขีดทิ้งเตียงหันหลังวิ่งหนี โยคีศิลาดำโผล่มายืนดักอยู่ตรงหน้า บุรุษพยาบาลหันหนีไปอีกทางก็เจอโยคีศิลาดำยืนดักอยู่ทุกทิศ บุรุษพยาบาลฮึดสู้วิ่งกำหมัดตรงเข้าไปหา โยคีศิลาดำจับบุรุษพยาบาลล็อกแขนแล้วหมุนตัวหักคอกรึบเดียวจบแล้วอุ้มร่างบุรุษพยาบาลหายเข้าไปในมุมตึก สักครู่ โยคีศิลาดำก็เดินใส่เสื้อผ้าของบุรุษพยาบาลออกมา
อรชรเดินมาตามทางเดินในโรงพยาบาลที่ไร้ผู้คน...
“ทำไมมันเงียบแบบนี้นะ แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าพี่ไศลาอยู่ที่ไหน”
อรชรมองนั่นนี่จนไปชนกับเตียงเปล่าที่ขวางทางอยู่
“โอ๊ย...อะไรเนี่ย เกะกะจริง แล้วคนมันหายไปไหนกันหมดนะ”
อรชรเห็นโยคีศิลาดำเดินออกมาจากมุมตึกไม่ไกลนัก
“คุณ...คุณบุรุษพยาบาลคะ”
โยคีศิลาดำไม่หันมามอง อรชรรีบเดินตามโยคีศิลาดำไป
โยคีศิลาดำเดินมาหยุดอยู่ที่ทางสี่แยกในโรงพยาบาล ยืนหลับตาสวดบริกรรมคาถาตั้งสมาธิตามหาไศลา
“โอม...สัมภเวสะภะนะมะนะทัง...”
จิตของโยคีศิลาดำพุ่งอย่างรวดเร็วไปตามทางเดินจนถึงหน้าห้องพักของวงทอง โยคีศิลาดำลืมตาขึ้นแล้วยิ้มอย่างพอใจเดินตรงไปตามทางที่จิตเห็น อรชรวิ่งตามมาห่างๆมาหยุดยืนเหนื่อยอยู่แถวนั้น
“ทำไมตามไม่ทันสักทีนะ”
อรชรรีบเดินตามต่อไปอีก
โยคีศิลาดำเดินมาถึงหน้าห้องพักวงทอง ยิ้มอย่างอำมหิตจะเปิดประตูเข้าไปในห้องแต่ประตูล็อค จึงท่องมนต์แล้วเป่าไปที่ลูกบิดแล้วหมุนลูกบิดเข้าไปอย่างง่ายดาย
ธีรธรนอนหลับอยู่ในห้องนอนที่บ้าน เขาฝันไปว่า ตอนเช้าเข้าไปที่โรงพยาบาล เปิดห้องพักของแม่เข้าไปแต่เห็นเตียงที่แม่นอนว่างเปล่า ธีรธรรีบวิ่งไปเปิดประตูห้องน้ำดูก็ไม่พบใคร เขารีบวิ่งไปที่ประตูจะไปถามคนข้างนอก ก็พอดีเป็นพยาบาลที่เปิดประตูเข้ามาพอดี
“คนไข้ห้องนี้ไปไหนครับ”
“คนไข้และคุณไศลาเสียชีวิตแล้วทั้งคู่เมื่อคืนนี้ค่ะ”
ธีรธรเข่าอ่อนแทบล้มทั้งยืน เขาตะโกนลั่น
“ไม่จริง”
ธีรธรสะดุ้งตื่นกลางดึก เหงื่อแตกเต็มตัวมองไปรอบๆ ห้องถึงได้รู้ว่าฝันไป
ไศลาเพ่งสมาธิรักษาวงทอง โยคีศิลาดำยืนมองตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง พลังสีขาวสว่างที่ออกมาจากไศลาถูกเปลี่ยนเป็นสีดำทะมึน ไศลาที่หลับตาอยู่ถึงกับกระอักเลือดลืมตามาเห็นโยคีศิลาดำก็ตกใจ
“แกเป็นใคร เข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง”
โยคีศิลาดำยื่นมือขวาออกมาทำท่าเหมือนจะบีบคอ ไศลาเหมือนถูกบีบคอยกขึ้นจนตัวลอยเข้ามาอยู่ในมือของโยคีศิลาดำ ดวงตาไฟของโยคีศิลาดำจ้องเข้าไปที่ตาของเธอ สายตาโยคีศิลาดำมองเห็นหน้าของนักพรตเมฆขาวในแววตาของไศลา เขาตกใจปล่อยเธอกระแทกพื้น
อรชรเดินตามโยคีศิลาดำมาจนถึงหน้าห้องพักวงทอง
“หายไปไหนแล้วนะ”
อรชรหยุดยืนมองหาโยคีศิลาดำอยู่หน้าห้องพักของวงทอง ทันใดนั้นเสียงไศลาดังมาจากในห้อง
“โอ๊ย”
อรชรตกใจ
“เสียงคุ้นๆ”
อรชรตั้งใจรอฟังอีกครั้งว่าเสียงมาจากทางไหน
โยคีศิลาดำรู้ทันทีว่าไศลา ต้องมีอะไรเกี่ยวพันกับนักพรตเมฆขาวแน่
“เจ้าเป็นอะไรกับ...ไอ้เมฆา”
ไศลาที่อยู่ที่พื้นพยายามหลับตาตั้งสมาธิใช้พลังตาที่สาม โยคีศิลาดำเดินเข้ามากระชากตัวให้ยืนขึ้น
“ข้าถามว่าเจ้าเป็นอะไรกับไอ้เมฆา”
ไศลาไม่ตอบ พยายามหลับตาตั้งสมาธิต่อไป
“ไม่ตอบใช่มั้ย”
โยคีศิลาดำใช้มือขวาจับหัวของไศลาเพื่อใช้พลังจิตบังคับให้พูด มือของโยคีศิลาดำปล่อยกระแสพลังมืดลงบนหัว ไศลาพยายามบังคับตัวเองให้หลุดพ้นจากอำนาจจิตของโยคีศิลาดำ แต่ไม่สำเร็จค่อยๆ ตัวอ่อนลง โยคีศิลาดำปล่อยมือออก ไศลายืนนิ่งตาลอย เหมือนคนโดนสะกดจิต
“เจ้าชื่ออะไร”
“ฉันชื่อไศลา”
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
“ฉันมารักษาคุณป้า”
“เจ้าเป็นอะไรกับไอ้เมฆา”
“ฉันไม่รู้จักเมฆา”
อรชรเดินตามเสียงมาจนถึงหน้าประตูห้องพักวงทองค่อยๆ แอบแง้มประตูแอบดูเหตุการณ์ทั้งหมด
โยคีศิลาดำโมโห ไม่เข้าใจที่พลังจิตของตัวเองไม่สามารถบังคับไศลาได้
“โกหก บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าเจ้าเป็นอะไรกับเมฆา”
“ฉันไม่รู้จักเมฆา”
โยคีศิลาดำยื่นมือไปบีบคอ
“ไม่รู้จักใช่มั้ย...”
ไศลาดิ้นทุรนทุรายเพราะหายใจไม่ออก โยคีศิลาดำยิ่งบีบมือให้แรงขึ้นอีก ไศลาตัวกระตุกติดๆ กันแล้วหมดสติคามือของโยคีศิลาดำ...อรชรอ้าปากค้าง ตาเบิกกว้างด้วยความตกใจรีบปิดประตูหันหลังวิ่งหนี โยคีศิลาดำได้ยินเสียงปิดประตูแล้วหันไปดูเห็นหลังอรชรแว้บๆ โยคีศิลาเหวี่ยงร่างไศลาไปกระแทกผนังห้องอย่างแรง ร่างกระแทกผนังห้องแล้วร่วงลงมานอนกองที่พื้น
โยคีศิลาดำโผล่มายืนดักหน้าไว้ อรชรตกใจสุดขีด โยคีศิลาดำเดินไล่ต้อนอรชรเข้ามาในห้องอย่างจนมุม เธอกลัวลนลาน
“อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ฉันไม่รู้ไม่เห็น ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น”
โยคีศิลาดำมองเรือนร่างของอรชรด้วยความพอใจ
“เจ้านี่ก็...สวยไม่แพ้พี่สาวเลยนะ”
โยคีศิลาดำตะครุบตัวอรชรไว้แล้วนัวเนียไม่ยั้ง อรชรพยายามขัดขืนดิ้นทุรนทุรายด้วยความรังเกียจ อรชรร้องไห้
“พี่ไศลา...พี่ไศลา ช่วยอรด้วย”
ธีรธรหลังจากฝันร้ายก็นอนไม่หลับ ได้แต่กระสับกระส่ายพลิกตัวไปมา เขาดูนาฬิกาบอกเวลา 3.30 น.ธีรธรเอาหมอนปิดหน้าข่มตาตัวเองให้หลับ แต่ก็ไม่หลับจึงตัดสินใจลุกขึ้นแต่งตัวแล้วรีบออกจากบ้านทันที
ไศลาที่นอนสลบอยู่ที่พื้นนิ่งสนิท
“พี่ไศลา...พี่ไศลา ช่วยอรด้วย”
นิ้วมือของไศลาเริ่มกระดิกได้ โยคีศิลาดำลากอรชรไปนั่งที่โซฟาข้างเตียงวงทอง กดเธอลงกับโซฟา อรชรไม่ยอมทั้งถีบทั้งผลัก โยคีศิลาดำต่อยท้องอย่างแรง อรชรจุกตัวงอหมดแรง โยคีศิลาดำก้มลงไปนัวเนีย อรชรเจ็บจนร้องไม่ออก นอนน้ำตาไหล ทันใดนั้นมีมือมากระชากตัวโยคีศิลาดำออกจากอรชร โยคีศิลาดำหันไปเห็นเป็นไศลาก็ตกใจ ไศลาใช้สองนิ้วจิ้มเข้าไปที่ลูกตา โยคีศิลาดำผงะหงายหลัง
“แกไม่มีสิทธิมาเลวกับน้องฉัน”
สายตาโยคีศิลาดำพร่ามัว ทำให้ไม่สามารถใช้พลังพิเศษได้ ไศลาหันไปประคองอรชรให้ลุกขึ้น แต่อรชรเจ็บจนลุกไม่ไหว ไศลาวางมือบนท้องของอรชรแล้วหลับตาเพ่งสมาธิช่วย ไศลาลืมตามา จังหวะพอดีกับที่โยคีศิลาดำเข้ามาล็อคคอเธอจากข้างหลัง อรชรลุกขึ้นได้แล้วรีบหนีออกไปจากห้องแบบไม่คิดชีวิต โยคีศิลาดำแสยะยิ้ม
“ดูน้องจะรักเจ้ามากนะ ไปแบบไม่คิดจะหันมามอง”
“หยุดพล่ามได้แล้ว แกต้องการอะไร”
โยคีศิลาดำจิกหัวไศลาให้เงยหน้าขึ้นมามองตายิ้มอำมหิต
“ชีวิตของเจ้าไงล่ะ”
อรชรรีบวิ่งหนีออกมาอย่างไม่คิดชีวิต วิ่งไปก็ระแวงหลังไปจนมาชนกับธีรธรเข้าอย่างจัง ทั้งสองต่างคนต่างล้มเพราะแรงชน อรชรรีบลุกขึ้นแล้วออกวิ่งหน้าตาตื่นต่อไป ไม่สนใจแม้แต่จะขอโทษ ธีรธรตะโกนตามไป
“วิ่งมาชนเขาแล้วไม่คิดจะขอโทษกันเลยหรือไงคุณ”
ธีรธรรีบลุกขึ้นแล้วนึกขึ้นได้
“นั่นอรชร น้องสาวไศลานี่ แล้ว...ไศลา”
ธีรธรรีบวิ่งตรงไปหาไศลาทันที
ไศลาใช้ศอกกระแทกที่ของหวงของโยคีศิลาดำ 3 ครั้งติดจนจุกต้องปล่อยมือออก ไศลาฉวยโอกาสวิ่งหนี โยคีศิลาดำเปลี่ยนเป็นตาไฟมองไปที่ประตู ไศลาวิ่งไปถึงประตูประตูกลายเป็นประตูเพลิง ไศลาชะงักแล้วตั้งสมาธิดับไฟที่ประตูเพลิงสายน้ำออกมาจากฝ่ามือของเธอมาดับไฟที่ประตู โยคีศิลาดำอึ้งที่ไศลาใช้พลังพิเศษสู้ของตัวเองได้ ไศลารีบวิ่งออกจากห้องไป...โยคีศิลาดำวิ่งตามมาจนเกือบจะถึงตัว ธีรธรวิ่งมาเจอพอดี โยคีศิลาดำเห็นธีรธรก็หยุดวิ่งตาม เปลี่ยนเป็นหลบอยู่แถวนั้น ธีรธรเบรกไศลาไว้
“ไศลา คุณจะไปไหน เกิดอะไรขึ้น”
ไศลาหอบเหนื่อย
“มีคนตามมาฆ่าไศ”
ธีรธรมองข้างหลังไศลาไม่เจอใคร
“ผมไม่เห็นมีใครตามคุณมาเลยนะ”
ไศลาหันไปมองตามก็ไม่เจอใครจริงๆ เธอโล่งใจโผเข้าหาธีรธรด้วยความเหนื่อยล้า โยคีศิลาดำแอบดูธีรธรกับไศลาอยู่ กำลังจะเข้าไป เเต่เห็นคล้ายเงาของนักพรตขาวปรากฏอยู่ข้างไศลาจางๆ โยคีศิลาดำหงุดหงิดเพราะเสียดายที่ไม่สามารถเก็บไศลาได้ เขายังหวั่นๆกับเงารางๆของนักพรตเมฆา
ธีรธรประคองไศลากลับเข้ามานั่งที่โซฟาในห้องพักวงทอง ธีรธรรีบไปดูแม่ที่เตียงซึ่งยังคงไม่รู้สึกตัวใดๆ ทั้งสิ้น ไศลาเศร้า
“พอเรื่องมาเป็นแบบนี้ ไศเลยไม่แน่ใจว่าคุณป้าจะหายหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรหรอก ไศบอกเองไม่ใช่เหรอว่าถ้าคุณแม่ไม่หาย เราเริ่มต้นกันใหม่ได้”
ไศลาพยักหน้าเศร้าๆ
“แต่ไม่รู้ว่าที่บ้านคุณธีจะยอมหรือเปล่า คงไม่มีใครเชื่อไศอีกแล้ว”
ธีรธรเดินมาจับไหล่ให้กำลังใจ
“อย่าคิดมากสิ คุณยังมีผมนะ”
ไศลาสบตาธีรธรอย่างซึ้งใจ
เช้าวันใหม่...ดุลยศักดิ์เดินมานั่งที่โต๊ะอาหาร ผิวปากอย่างอารมณ์ดี นาถสุดายกกาแฟและหนังสือพิมพ์มาเสิร์ฟ
“นี่อาจารย์กลับมาแล้วใช่มั้ย”
“เห็นเด็กบอกว่ากลับมาตั้งแต่เช้ามืดแล้วค่ะ นายจะให้ไปตามมั้ยคะ”
ดุลยศักดิ์ยิ้มอย่างมีความสุข
“ไม่ต้องๆ ให้เขาพักเถอะ ข่าวดี...รู้เมื่อไหร่ก็เป็นข่าวดี”
ดุลยศักดิ์หยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านอย่างอารมณ์ดี
นิ่มนวลจัดมื้อเช้าให้พันธ์พงษ์กับธิดารัตน์ กมลารีบร้อนลงมาจากข้างบน
“พร้อมหรือยังคะน้องนิ่ม เราต้องไปกันแล้ว”
“คุณแม่จะไปไหนแต่เช้าคะ”
“ก็ไปหาคุณยายไงลูก วันนี้ครบ 7 วันที่นังไศลาบอกว่าจะรักษาคุณแม่ อยากจะรีบไปดูว่ามันทำได้จริงหรือเปล่า แต่หน้าอย่างนั้น...ต้องทำไม่ได้อยู่แล้ว”
“ตกลงคุณแม่ไม่อยากให้คุณยายหายเหรอคะ”
กมลาโมโห
“ไก่น้อย ใครสั่งสอนให้พูดกับคุณแม่แบบนี้”
นิ่มนวลตัดบทไม่อยากให้แม่ลูกทะเลาะกันไปมากกว่านี้
“พี่แก้วคะ นิ่มพร้อมแล้วค่ะ เรารีบไปกันเลยดีกว่านะคะ”
นิ่มนวลเดินจูงมือกมลาออกไป
ชูชิตตื่นขึ้นมาตอนเช้า ดูนาฬิกาบอกเวลา 9.00 น.เขาบิดขี้เกียจอย่างสดชื่น อารมณ์ดี
“เออ...กินน้ำขิงแล้วนอนสบายดีแฮะ”
ชูชิตหันไปเห็นอรชรนอนหลับสนิทอยู่ข้างๆก็เข้าไปกอด แต่อรชรหันหน้าหนี
“เดี๋ยวนี้มีหลบนะ อย่างนี้ต้องจับจูบ”
ชูชิตเข้าไปจับหน้าอรชรแล้วตกใจปล่อยมือออก ใช้หลังมือแตะหน้าผากเธออีกที
“ตัวร้อนเป็นไฟเลยวุ้ย”
ชูชิตเขย่าตัวอรชร
“อร อรไม่สบาย ไปหาหมอมั้ย”
อรชรเพ้อ
“หนาว...หนาวจังเลย”
นพรัชยืนคุยกับธีรธรหน้าเครียดอยู่หน้าเตียงของวงทอง กมลาเดินนำนิ่มนวลเปิดประตูเข้ามาในห้อง กมลาเดินตรงมาที่เตียงของแม่ที่ยังคงไม่รู้สึกตัว
“คุณแม่ยังไม่ฟื้นเลยนี่ แล้วคุณหมอไศลาคนเก่งไปไหนซะล่ะ หรือว่าหนีไปแล้วเพราะกลัวคนจะจับได้ว่าเป็นพวกลวงโลก”
กมลายิ้มเยาะธีรธรด้วยความสะใจ ธีรธรมองพี่สาวด้วยสายตาที่ผิดหวัง
“ผมไม่คิดเลยจริงๆ ว่าพี่แก้วจะเห็นความทุกข์ของคุณแม่เป็นเรื่องสนุกแบบนี้”
กมลาหยุดหัวเราะแล้วตบหน้าธีรธรอย่างแรง
“เธอไม่มีสิทธิมาว่าพี่แบบนี้นะธีรธร เธอนั่นล่ะที่เห็นความทุกข์ของคุณแม่เป็นเรื่องล้อเล่น มัวแต่หลงผู้หญิงที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ยอมให้มารักษาคุณแม่ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ พี่เคยบอกเธอแล้วใช่มั้ย...ว่าถ้าคุณแม่เป็นอะไรขึ้น ก็เป็นเพราะเธอคนเดียว”
ธีรธรน้ำตาคลอมองพี่สาวด้วยความเจ็บปวด นพรัชพยายามอธิบาย
“พี่แก้มครับ คือ...”
กมลาไม่ฟังสวนทันที
“หยุดเลยนะหมอ พี่รู้นะว่าหมอเองก็หลงเสน่ห์นังนั่นเหมือนกัน ถ้าเธอทั้งสองคนยังพอมีสมองเหลืออยู่บ้าง ก็ควรจะคิดกันได้แล้วนะว่าควรจะทำยังไงต่อไปกับนังไศลา พี่ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ แค่ผู้หญิงข้างถนนคนเดียวมาทำให้บ้านเราเดือดร้อนได้ขนาดนี้”
ธีรธรทนฟังไม่ไหว เดินออกไปจากห้องด้วยความโมโห นิ่มนวลรีบเดินตามธีรธรออกไป
ที่นพรัชมองตามธีรธรด้วยความเป็นห่วงแล้วหันมาบอกกมลาด้วยเสียงเรียบๆ
“พี่แก้มครับ ที่ผมจะบอกพี่ก็คือคุณแม่ฟื้นตั้งแต่ 6 โมงเช้าแล้วครับ แล้วสุขภาพท่านก็กลับมาเป็นปกติ ไม่พบเชื้อมะเร็งใดๆ เลยในร่างกาย เพียงแต่ว่าตอนนี้ผมให้ยาคลายเครียดไป เพราะท่านดูตื่นเต้นมากไปเท่านั้นเองครับ”
กมลาฟังนพรัชพูดแล้วถึงกับอ้าปากค้าง
ธีรธรเดินหน้าเครียดออกมายืนสงบสติอารมณ์ที่ริมทางเดิน นิ่มนวลเดินตามออกมา ธีรธรหันไปเห็นก็จะเดินหนี
“พี่ธีคะ”
“ขอโทษนะนิ่ม ตอนนี้พี่ยังไม่อยากคุยกับใคร”
นิ่มนวลชะงักกับคำพูดของเขา ธีรธรเดินหนีไป นิ่มนวลมองตามด้วยความเป็นห่วง
ธีรธรเดินเรื่อยไปตามทางเดิน นิ่มนวลเดินตามอยู่ห่างๆ เขาหันไปมองข้างหลังบ้างตามสัญชาตญาณแต่ไม่เจอใครจึงเดินต่อไป นิ่มนวลออกมาจากที่ซ่อนแล้วเดินตามต่อไป
ธีรธรเดินมาสั่งกาแฟร้อน 2 แก้วแล้วเดินไปเลือกขนมต่อ นิ่มนวลแอบมองเขาที่กำลังเลือกขนมด้วยความใส่ใจ
“ตั้งใจเลือกขนาดนี้ หรือว่าจะเอาไปง้อพี่แก้ว”
ไศลาเปิดประตูออกมา พบธีรธรยืนยิ้มหวานยื่นแก้วกาแฟและถุงขนมให้ หญิงสาวยิ้มรับแล้วเปิดประตูกว้างขึ้น ให้เขาเข้าไปในห้อง นิ่มนวลยืนแอบดูอยู่ด้วยความเจ็บใจและน้อยใจ
“เธอบีบให้ฉันร้ายเองนะ...ไศลา”
ดุลยศักดิ์วางหนังสือพิมพ์ลงกับโต๊ะ กำลังจะเริ่มกินอาหารเช้า นาถสุดานั่งกินอยู่ข้างๆ โยคีศิลาดำเดินเข้ามาในห้องอาหาร
“อ้าว...อาจารย์ ตื่นแล้วเหรอ แหม...ฟิตจริงๆ เชิญนั่งๆ”
โยคีศิลาดำเดินมานั่งที่โต๊ะอาหารหน้านิ่งเรียบ นาถสุดาลุกขึ้นเสิร์ฟอาหารเช้าให้โยคีศิลาดำ
“เป็นไงบ้างอาจารย์ กลับมาตอนไหน” ดุลยศักดิ์หันไปถาม
“ก็เกือบเช้า”
“ฉันโชคดีจริงๆ ที่ได้คนมีฝีมืออย่างอาจารย์มาช่วย ทุกอย่างเลยง่ายขึ้นเยอะ”
“ระดับอาจารย์ไม่มีทางทำให้นายผิดหวังอยู่แล้วค่ะ” นาถสุดามั่นใจ
ดุลยศักดิ์หัวเราะอย่างพอใจ โยคีศิลาดำสีหน้าอึดอัด
“ข้าทำไม่สำเร็จ”
ดุลยศักดิ์ชะงัก ช็อคที่ได้ยิน
“นังไศลามันไม่ธรรมดา ข้าประเมินมันต่ำเกินไป”
ดุลยศักดิ์เปลี่ยนจากช็อคเป็นโมโห
“อาจารย์จะบอกว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียว เก่งถึงขนาดรอดจากฝีมือระดับโยคีศิลาดำไปได้งั้นเหรอ”
ดุลยศักดิ์หันไปมองนาถสุดา เธอหลบตาเขา ดุลยศักดิ์ลุกขึ้นปึงปัง เดินออกจากห้องอาหารไป โยคีศิลาดำสบตากับนาถสุดาด้วยความเครียด
ชูชิตอาบน้ำเสร็จเดินมาดูอรชรที่เตียง ใช้หลังมือแตะหน้าผากอรชรอีกที
“ตัวยังร้อนอยู่เลย”
ชูชิตจับตัวอรชรเขย่าเบาๆ
“อร ตื่นไหวหรือเปล่า ไปหาหมอกันมั้ย”
อรชรยังนอนนิ่ง ชูชิตเขย่าตัวแรงขึ้น
“อร...อรได้ยินพี่มั้ย”
อรชรยังเงียบ ชูชิตตกใจรีบอุ้มอรชรออกไป
ไศลาเดินนำธีรธรที่ถือแก้วกาแฟกับถุงขนมมานั่งที่โต๊ะรับแขก
“ไศดีใจด้วยนะคะคุณธี”
“ขอบคุณมากนะไศลา ที่ช่วยคุณแม่ผม”
“คุณป้าและคุณธีมีบุญคุณกับไศมาก ถ้ามีอะไรที่ไศทำเพื่อตอบแทนได้ ไศก็ยินดีและเต็มใจทำให้อยู่แล้วค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น ทำไมไม่เห็นไศลาทำอะไรให้ผมบ้างเลย”
“แล้วคุณธีอยากให้ไศทำอะไรล่ะคะ”
ธีรธรอมยิ้ม ทำหน้าเจ้าเล่ห์
“ถ้าบอกไปแล้ว...ทำให้จริงนะ”
“จริง”
ธีรธรกุมมือไศลา แล้วส่งสายตาหวานเยิ้มให้
“ผมอยากขอให้ไศลาอยู่กับผม ไม่หนีผมไปอีก...ทำได้มั้ย”
ทั้งสองสบตากันหวานซึ้ง ธีรธรค่อยๆ เข้าไปใกล้หน้าไศลาขึ้นเรื่อยๆจะจูบ ไศลาเหมือนจะเคลิ้มตาม แต่เปลี่ยนเป็นเบี่ยงตัวออกทัน
“ไศว่าเรารีบไปหาคุณป้ากันดีกว่านะคะ”
ไศลาลุกขึ้นเดินออกไป ธีรธรมองตามด้วยความเสียดายโอกาส
อ่านต่อหน้าที่ 2
กุหลาบไฟ ตอนที่ 6(ต่อ)
นิ่มนวลเดินก้มหน้าเศร้าเปิดประตูเข้ามาในห้อง วงทองมองอย่างสงสัย
“หนูนิ่ม ทำไมหน้าเศร้าอย่างนั้นล่ะลูก”
นิ่มนวลเงยหน้ามามองตามเสียง เห็นวงทองฟื้นขึ้นมานั่งคุยกับกมลา
“คุณป้า นิ่มคิดถึงคุณป้าที่สุดเลยค่ะ”
นิ่มนวลดีใจ วิ่งเข้าไปกอด วงทองลูบหัวนิ่มนวลด้วยความรักและเอ็นดู
“ทำไมหนูนิ่มดูซูบไปเยอะนักล่ะลูก”
กมลาตอบแทน
“จะไม่ให้ซูบได้ยังไงคะ ตั้งแต่คุณแม่เข้าโรงพยาบาล น้องนิ่มก็คอยมาดูแลทุกวัน ทานอะไรก็ไม่ค่อยจะลง บ่นแต่เป็นห่วงคุณป้า”
“โถ...แม่คุณ ป้าไม่เป็นไรแล้วนะลูก ขอบใจหนูนิ่มมากนะลูกนะ”
กมลาเห็นสีหน้านิ่มนวลผิดปกติ ก็รู้ว่าต้องมีอะไรแน่ กมลาทำเป็นเดินไปเปิดตู้เย็น
“คุณแม่ทานผลไม้ให้ชื่นใจสักหน่อยมั้ยคะ นิ่มจ๊ะ มาช่วยพี่เลือกผลไม้ให้คุณแม่หน่อยสิ”
นิ่มนวลลุกเดินไปหาที่ตู้เย็นที่ กมลาเปิดตู้เย็นบังตัวเองไม่ให้วงทองเห็น พยักหน้าให้นิ่มนวลมายืนในมุมอับด้วยกัน ทั้งสองทำทีเป็นก้มหาผลไม้มาปอก
“นายธีไม่ยอมคุยด้วยใช่มั้ย”
นิ่มนวลพยักหน้าเศร้าๆ
“แล้วนี่เขาไปไหน”
“ไปหาไศลาค่ะ”
กมลาไม่พอใจ
ชูชิตยืนกรอกเอกสารลงทะเบียนคนไข้ให้อรชรอยู่ที่เคาน์เตอร์ ธีรธรกับไศลาเดินผ่านข้างหลังไป ชูชิตรู้สึกคุ้นตาแว้บๆ หันไปมองเห็นเป็นไศลาก็ดีใจมาก
“ไศลา”
ไศลาตกใจไม่คิดว่าจะมาเจอเขาที่นี่ ชูชิตรีบเข้ามาหาไศลาด้วยความดีใจ
“ไศลา ชิตดีใจมากเลยนะที่ได้เจอไศลาอีก”
ธีรธรเอาตัวเข้าขวางระหว่างชูชิตกับไศลา ชูชิตชะงักงงๆ
“เอ่อ...พอดีอรไม่สบาย ชิตเลยพามาหาหมอ”
ไศลาได้ยินว่าอรชรไม่สบาย ก็เป็นห่วงน้องขึ้นมาทันที
“อรเป็นอะไร”
“จู่ๆ ก็ตัวร้อน ไข้ขึ้นสูงมาก นี่หมอกำลังตรวจอยู่”
ไศลาหันมามองหน้าธีรธรอย่างเกรงใจ
“คุณธีไปหาคุณป้าก่อนนะคะ ไศขอไปดูน้องก่อน”
ธีรธรมองชูชิตอย่างไม่ไว้ใจ
“ให้ผมไปด้วยดีกว่ามั้ย”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไศไปไม่นาน แล้วจะรีบตามไปนะคะ”
ธีรธรยอมจำนนด้วยเหตุผลของไศลา ชูชิตผายมือนำทางให้ไศลาเดินไปด้วยกัน ธีรธรมองตามอย่างกังวล ชูชิตแอบหันมายักคิ้วให้ธีรธรแบบกวนๆ ก่อนจะรีบเดินตามไศลาไป
นาถสุดากับโยคีศิลาดำ ยืนแอบคุยกันอยู่ในมุมหนึ่งของสวน
“นี่หมายความว่าอาจารย์สู้นังไศลาไม่ได้จริงๆ เหรอคะ”
โยคีศิลาดำรู้สึกเสียหน้า
“ข้าถามว่าเจ้ารู้มั้ยว่ามันเป็นใครมาจากไหน”
“จากประวัติที่นายเคยให้ดูมันก็เป็นแค่เด็กกำพร้าธรรมดา แล้วก็เคยเป็นครูสอนคาราเต้เด็ก”
“มันมีวิชาอะไรพิเศษอย่างอื่นอีกมั้ย”
นาถสุดานึกย้อนไปถึงตอนที่เคยฆ่าไศลาครั้งแรก
“ใช่แล้ว...มันมีตาที่สาม”
โยคีศิลาดำตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน
“ตอนที่นาถสู้กับมันครั้งแรก จู่ๆ ตาที่สามบนหน้าผากของมันก็เปิดออกพร้อมแสงสว่างจ้าไปหมด โยคีศิลาดำนิ่งไปอย่างใช้ความคิด เขาพึมพำออกมา
“วิชาเนตรอัคคี เมฆา...เจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับนังเด็กนี่กันนะ”
วงทองนอนให้นิ่มนวลนวดขาอยู่บนเตียง กมลานั่งอยู่ข้างเตียง ธีรธรเปิดประตูเข้ามาหน้าจ๋อยๆ กมลาค้อน
“มาแล้วค่ะ ลูกชายสุดที่รักของคุณแม่”
วงทองรีบหันมาหาธีรธร
“พ่อธีไปไหนมาล่ะลูก แม่รอตั้งนาน”
กมลาส่งสายตาดุใส่ธีรธร กลัวว่าเขาจะเล่าเรื่องที่ตัวเองอารมณ์เสียใส่น้องไป
“ผมเห็นพี่แก้วกับน้องนิ่มมา ก็เลยออกไปหาอะไรทานมาครับ”
“หายไปนานขนาดนี้...คงจะกินจนจุกเลยสินะ”
กมลาแดกดันจิกสายตาใส่ ธีรธรรู้สึกอึดอัด บรรยากาศเริ่มไม่ค่อยดี วงทองถามขึ้นมา
“หมอนพให้แม่กลับบ้านได้เมื่อไหร่ลูก แม่อยากกลับบ้านเราแล้ว”
ธีรธรเดินไปหาแม่
“รอดูผลตรวจเย็นนี้ก่อนนะครับ ถ้าไม่มีอะไร ผมจะพาคุณแม่กลับบ้านพรุ่งนี้เลย”
วงทองยิ้มพอใจ
ชูชิตเปิดประตูห้องให้ไศลาเดินเข้าห้องพักของอรชร ไศลาเดินเข้ามาเห็นเตียงที่ว่างเปล่าหันไปมองชูชิตที่ยืนยิ้มกริ่มอยู่ที่ประตู
“นี่หมายความว่าไง อรอยู่ที่ไหน”
ชูชิตกดล็อคประตูแล้วทำหน้ายียวนเดินตรงเข้ามาหา
“ตอนนี้หมอก็กำลังตรวจอยู่”
ไศลาค่อยๆ ถอยหนีชูชิตที่เดินรุกเข้ามาเรื่อยๆ
“แล้วคุณพาฉันมาที่นี่ทำไม”
ไศลาเดินถอยหลังไปจนติดกำแพง
“ก็เพราะว่าชิตมีเรื่องอยากคุยกับไศน่ะสิ”
ชูชิตเข้ามาจะกอดไศลา แต่เธอหลบได้ทัน
“เรื่องระหว่างเรามันจบไปแล้ว เราไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก”
ไศลาวิ่งหนีไปที่ประตู แต่ชูชิตวิ่งไปยืนดักไว้ ไศลาชะงักแล้วมองหน้าเขาที่กำลังยิ้มให้เห็นว่าตัวเองเป็นผู้ชนะ เธอจึงค่อยๆ ถอยไปที่เตียงคนไข้ สายตาของเธอมองที่ปุ่มฉุกเฉิน จึงหันหลังจะวิ่งไปกดปุ่มฉุกเฉิน ชูชิตวิ่งเข้าไปกอดรวบตัวจากข้างหลัง
“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ไศคิดถึงชิตบ้างมั้ย”
ไศลาพยายามดิ้นขัดขืน
“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ”
“ไม่เห็นต้องทำห่างเหินกันขนาดนี้เลย เรามันก็คนเคยๆ กันอยู่”
ชูชิตดันไศลาให้ล้มลงบนเตียงคนไข้จะจูบอย่างรวดเร็ว ไศลาพลิกหลบคล่องแคล่วเหนือชั้น สะบัดมือตบใส่ปาก ชูชิตผละออกจากไศลา เอามือกุมปากด้วยความเจ็บปวด ไศลารีบลุกขึ้นมาชกหน้าซ้ำ แต่ชูชิตคว้าข้อมือไว้ได้ ไศลากระโดดขาคู่ถีบชูชิตแล้วตีลังกากลับมายืนทรงตัวได้เหมือนเดิม ชูชิตเซไปพิงกำแพง ทั้งเจ็บทั้งอึ้งกับพัฒนาการต่อสู้ของไศลา ชูชิตแกล้งเจ็บ ไศลาเข้าไปดู ชูชิตลอบกัดต่อยเธอจนจุก เขาฮึดพลิกตัวเป็นฝ่ายอยู่บนได้สำเร็จตรึงมือทั้งสองข้างของไศลาไว้เหนือหัว
“เอาล่ะ ได้เวลารำลึกความหลังของเราเสียทีนะที่รัก”
ชูชิตกกำลังจะก้มลงไปไซร้ซอกคอ เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“พาคนไข้มาส่งครับผม”
ชูชิตต้องรีบปล่อยไศลา ทั้งสองรีบลุกขึ้นแล้วแยกกันยืนคนละมุมโดยอัตโนมัติ ชูชิตเดินไปเปิดประตูห้อง ผู้ช่วยพยาบาลเข็นอรชรอยู่เข้ามาในห้อง
ดุลยศักดิ์นั่งใช้ความคิดอยู่ที่โต๊ะทำงาน เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เป็นนาถสุดาเข้ามาในห้อง
“นายให้เด็กไปตามนาถมา มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“เรื่องงานหมั้นของเธอกับชูชิตไปถึงไหนแล้ว”
นาถสุดาอ้ำอึ้งเพราะไม่อยากหมั้นกับชูชิตเลย
“ช่วงนี้นาถยุ่งๆ อยู่ ก็เลยยังไม่ได้จัดการอะไรเท่าไหร่เลยค่ะ”
ดุลยศักดิ์เริ่มไม่พอใจ
“รีบไปจัดการซะ เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ถ้าการส่งของล็อตนี้ผิดพลาด รู้ใช่มั้ยว่ามันจะเสียหายแค่ไหน”
“ค่ะนาย” นาถสุดาจอบรับเซ็งๆ
ไศลาเดินเข้าไปลูบหัวอรชรที่นั่งอยู่บนเตียงด้วยความเป็นห่วง
“เป็นไงบ้างอร ดีขึ้นหรือยัง”
อรชรพยักหน้า ประหลาดใจที่เห็นไศลา
“พี่ไศรู้ได้ยังไงว่าอรอยู่ที่นี่”
“พอดีพี่บังเอิญเจอ...ชูชิต เขาก็เลยพาพี่มาหาอร”
อรชรหันไปมองชูชิตที่ยืนอยู่อีกฝั่งเตียงอย่างพยายามสังเกต แต่ก็ไม่เห็นไศลากับชูชิตมีท่าทีอะไรต่อกันเป็นพิเศษ
“พี่ชิต อรอยากกินรังนกจัง พี่ชิตช่วยไปซื้อให้อรหน่อยได้มั้ยคะ”
“อ๋อ...ได้สิจ๊ะ งั้นเดี๋ยวพี่มานะ”
ชูชิตอ้อแอ้มออกไปจากห้อง อรชรหันมายกมือไหว้ไศลา
“เมื่อคืนอรต้องขอบคุณพี่ไศมากเรื่อง ถ้าไม่ได้พี่ไศไม่ช่วยไว้ อรคงตายไปแล้ว”
“เราพี่น้องกัน พี่ไม่มียอมให้อรอันตรายหรอก”
อรชรแอบร้าย แสร้งน้ำตาคลอด้วยความตื้นตัน
“อรขอโทษพี่ไศ ขนาดอรเลวกับพี่ไศสารพัด พี่ไศยังไม่เคยคิดจะทิ้งอร อรละอายใจจริงๆ”
ไศลาน้ำตาไหลปลื้มใจ คิดว่าที่ในที่สุดอรชรก็คิดได้
“ไม่เป็นไรนะอร พี่ไม่เคยโกรธอรเลยสักครั้ง อรไม่ต้องคิดมากนะ”
อรชรร้องไห้
“ต่อไปนี้เราพี่น้องจะไม่ทะเลาะกันอีกแล้วนะ”
ไศลาร้องไห้
“ได้สิอร เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะ”
อรชรกับไศลาโผเข้ากอดกันอย่างเข้าใจ แต่สายตาอรชรฉายแววเยาะหยันที่ไศลาโง่ยอมเชื่อสิ่งที่เธอหลอก
นาถสุดานั่งเล่นไอแพตอยู่คนเดียวในห้อง หน้าจอเป็นภาพถ่ายของเธอกับธีรธรที่เธอเคยจ้างปาปารัซซี่ถ่ายไว้ เธอใช้นิ้วสไลต์ ดูรูปไปเรื่อยๆ อย่างใช้ความคิด เธอส่งอีเมล์รูปทั้งหมดออกไป แล้วยิ้มอย่างพอใจ
“ฝันไปเถอะไอ้ดุลยศักดิ์ ฉันไม่ยอมพังไปกับแกแน่”
เย็นนั้น ไศลาเดินออกมาจากห้องอรชรอย่างอารมณ์ดีที่ได้ปรับความเข้าใจกับน้องแล้ว นพรัชเดินมาจากอีกมุมของตึก เห็นไศลาเข้าก็รีบเดินมาประกบ
“คุณไศลาครับ”
ไศลาหยุดหันไปมองแล้วยิ้มหวานให้
“อ้าว...คุณนพ ไศกำลังอยากเจออยู่พอดีเลยค่ะ”
นพรัชก้มหน้ายิ้มเขิน
“รู้สึกดีจังที่ได้รู้ว่าคุณไศลาอยากเจอผม”
“คุณนพว่าอะไรนะคะ”
นพรัชเงยหน้ามาเห็นสายตาที่ว่างเปล่าของไศลา ก็กลับมาสู่โลกความจริง
“อ๋อ...ไม่มีครับ คุณไศลามีธุระอะไรกับผมเหรอครับ”
“ไศอยากถามเรื่องคุณป้าค่ะ ว่าผลตรวจเป็นยังไงบ้าง”
“อ๋อ...ทุกอย่างโอเคมากๆ เลยครับ ร่างกายของคุณป้าปกติทุกอย่าง และที่เซอร์ไพรส์ผมมากก็คือเซลส์มะเร็ง...หายเรียบ”
ไศลาดีใจในผลงานของตัวเองมาก
“จริงเหรอคะ แล้วแบบนี้คุณป้าจะได้กลับบ้านเมื่อไหร่คะ”
“พรุ่งนี้ได้เลยครับ เห็นท่านบ่นว่าอยากกลับบ้านมากแล้ว ผมก็ไม่อยากขัดใจ นี่ก็กำลังจะไปบอกข่าวดีท่าน คุณไศลาจะไปด้วยกันมั้ยครับ”
“ไปสิคะ” ไศลาตอบรับอย่างยินดี
สุทธิพงษ์นอนซมตาปูดอยู่บนเตียง ขณะเดียวกันนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามาเลย ไม่ได้ล็อค”
ธิดารัตน์เปิดประตูเข้ามาในห้อง ในมือมีถุงอาหาร ยาและน้ำมาพร้อม ธิดารัตน์มองไปรอบๆ ห้องที่แสนรกของสุทธิพงษ์อย่างสุดสยอง
“นี่ห้องหรือว่าอะไรเนี่ย ทำไมมันรกได้ขนาดนี้”
“จะเอาอะไรมากกับไอ้แค่ที่ซุกหัวนอน”
ธิดารัตน์เดินหลบสิ่งกีดขวางจนมาถึงที่นอนของสุทธิพงษ์ เธอเหม็นกลิ่นตัวเขาจนต้องอุดจมูก
“ได้อาบน้ำบ้างรุเปล่าเนี่ย กลิ่นสุดบรรยายอ่ะ”
สุทธิพงษ์เริ่มอายกับสภาพความเป็นอยู่ของตัวเอง
“จะเอาปัญญาที่ไหนไปอาบ เจ็บขนาดนี้”
“แล้วพี่ๆ ไปไหนกันหมด ไหนว่ามีพี่สาวสองคนไง”
สุทธิพงษ์หน้าเศร้าลง
“อย่าไปพูดถึงเขาเลย มีก็เหมือนไม่มีนั่นล่ะ”
ธิดารัตน์แกะข้าวกล่องหยิบช้อนยื่นให้
“อ่ะ...กินข้าวซะ จะได้กินยา”
สุทธิพงษ์ยกมือสั่นๆ ขึ้นมาหยิบช้อน ธิดารัตน์ดึงช้อนกับกล่องข้าวกลับ
“สั่นขนาดนี้ เดี๋ยวหกหมดกันพอดี มา...เดี๋ยวแฟนป้อนให้”
ธิดารัตน์ป้อนข้าวให้เขินๆ สุทธิพงษ์แอบรู้สึกอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนที่ได้ธิดารัตน์ดูแล
นิ่มนวลป้อนอาหารเย็นให้วงทอง กมลานั่งอ่านหนังสือ และธีรธรนั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ นพรัชเปิดประตูเข้ามาในห้อง ไศลาเดินตามมา
“สวัสดีตอนเย็นครับทุกคน”
กมลาเห็นไศลาแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้
“ดีจังนะคะ มาทั้งหมอเล็กหมอใหญ่ ไปไหนก็ต้องตัวติดกันไปตลอด น่ารักจริงๆ คู่นี้”
ธีรธรแอบไม่พอใจกมลา นพรัชทำเป็นไม่ได้ยินที่กมลาพูด
“ผมมีข่าวดีจะแจ้งให้ทุกคนทราบว่า ผลการตรวจร่างกายโดยละเอียดของคุณแม่ไม่พบความผิดปกติใดๆ เลย และเซลส์มะเร็งที่เคยมีอยู่ ก็หายไปหมดแล้ว 100 เปอร์เซ็นต์”
นพรัชเดินเข้าไปกอดวงทองแสดงความยินดี
“ขอบคุณมากนะลูก ที่ช่วยให้ชีวิตใหม่แม่ ขอให้พ่อเจริญรุ่งเรืองในทุกอย่างของชีวิต” วงทองดีใจจนน้ำตาไหล
นพรัชตกใจ
“โอ๊ะ...อย่าไหว้ผมสิครับคุณแม่ จริงๆ แล้วคนที่มอบชีวิตใหม่ให้คุณแม่ก็ไม่ใช่ผมหรอกนะครับ”
วงทองมองนพรัชงงๆ
“คุณไศลาต่างหากครับที่เป็นคนรักษาคุณแม่ให้หายดี”
วงทองงงหนักกว่าเก่า ธีรธรอธิบาย
“ไศลาเป็นคนใช้พลังจิตรักษาคุณแม่จนหายครับ”
วงทองมองหน้ากมลาและนิ่มนวลเพื่อขอคำยืนยัน กมลาและนิ่มนวลพยักหน้าให้อย่างไม่เต็มใจ
“งั้นฉันก็ขอบใจหนูมากนะ จะคิดค่ารักษาเท่าไหร่ก็เรียกมาได้เลย”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณป้า ไศตั้งใจทดแทนบุญคุณของคุณป้าที่มีให้ไศค่ะ เพียงแต่ว่าหลังจากนี้ คุณป้าจะต้องทำบุญใหญ่ด้วยการเป็นโยมอุปัฏฐากให้พระบวชใหม่ด้วยนะคะ”
ธีรธรรีบบอก
“เรื่องนั้นผมตั้งใจไว้อยู่แล้วว่าหลังจากคุณแม่กลับบ้านได้สักพัก จะรีบจัดการให้เรียบร้อย”
กมลาหันไปสบตานิ่มนวลที่ยืนน้อยใจอยู่ไม่ไกล
“แล้วเธอเองก็อย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้กับน้องนิ่มแล้วกัน ลูกผู้หญิงด้วยกันคงเข้าใจนะ”
ไศลาหันไปสบตานิ่มนวลที่ส่งสายตาทวงคำสัญญามาเหมือนกัน ธีรธรถอนหายใจเอือมระอากับพี่สาวเต็มที
“พี่แก้ว เมื่อไหร่จะเลิกเสียมารยาทกับไศลาเสียที”
กมลาหยิกแขนธีรธรอย่างแรง
“นายธี เธอมีสิทธิอะไรมาว่าพี่แบบนี้”
ไศลาห้ามไว้
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณธี ไศเองก็ตั้งใจทำตามที่พูดไว้เหมือนกันค่ะ หลังจากคุณป้ากลับบ้านแล้ว ไศจะกลับไปอยู่ที่บ้านตัวเองเหมือนกัน ขอให้คุณนิ่มและคุณแก้วสบายใจได้ค่ะ”
“ถ้าเธอทำได้อย่างที่พูด...ฉันก็จะขอบใจมาก”
กมลาแอบส่งยิ้มให้นิ่มนวลอย่างรู้กัน
ธิดารัตน์เดินถืออุปกรณ์เช็ดตัวมานั่งข้างๆ สุทธิพงษ์หยิบผ้าชุบน้ำในอ่างที่ถือมาแล้วบิด
ก่อนจะยื่นมือไปจะเริ่มเช็ดที่หน้าของสุทธิพงษ์ก่อน
“เดี๋ยวๆ”
ธิดารัตน์ชะงัก
“อ้าว...ทำไมล่ะ”
สุทธิพงษ์เขิน
“ปวดฉี่ อยากเข้าห้องน้ำ”
ธิดารัตน์แอบขำ เข้าไปพยุงตัวเขาให้ลุกขึ้น
“งั้นอาบน้ำด้วยเลยนะ จะได้สบายตัว”
สุทธิพงษ์พยักหน้าแทนคำตอบพยายามจะลุกขึ้น แต่ยังเซๆ ธิดารัตน์ต้องเข้าไปประคองไปยืนหน้าห้องน้ำ สุทธิพงษ์ปลดกระดุมกางเกงยีนส์ต่อหน้า ธิดารัตน์ตกใจหันหน้าหนี
“เฮ้ย...นั่นจะทำอะไรน่ะ”
“อ้าว...ก็จะถอดกางเกงไง ไม่งั้นจะอาบน้ำยังไงล่ะ เธอก็มาช่วยถอดด้วยสิ ตัวนี้มันรัดไปหน่อย”
“จะบ้าเหรอ ไก่น้อยเป็นผู้หญิงนะ จะให้ทนยืนดูผู้ชายโป๊ได้ไงเล่า”
สุทธิพงษ์ถอดกลางเกงพรวดเหลือแต่บ็อกเซอร์ตัวโคร่ง แต่ขากางเกงยีนส์เดฟยังแน่นดึงลำบาก ถอดเองไม่ได้ เขายื่นมือไปสะกิดแต่ธิดารัตน์พยายามกระเถิบหนี พร้อมเอามือปิดตา
“หันมาดูก่อนได้มั้ย จะได้รู้ว่าเรา...ใส่บ็อกเซอร์อยู่ มันไม่โป๊หรอก”
ธิดารัตน์เอามือปิดตาออก ค่อยๆ หันหลังมามองสุทธิพงษ์ที่ยืนรออยู่อย่างเอือมๆ
“เออ...ไม่โป๊จริงด้วย”
ธิดารัตน์ก้มลงไปช่วยดึงกางเกงยีนส์ขาเดฟ ออกจากตัวสุทธิพงษ์จนเสร็จ เขาเดินเข้าห้องน้ำไป ธิดารัตน์เดินถือกางเกงไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบไม้แขวนมาผึ่งกางเกง กระเป๋าสตางค์หล่นออกมาจากกางเกง กระเป๋าอ้าอยู่เห็นรูปครอบครัว 4 คนพี่น้องที่ถ่ายด้วยกัน ธิดารัตน์ก้มลงไปเก็บกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาดูรูปอมยิ้ม
“หน้าตาดีกันทั้งบ้านเลยแฮะ ตาถึงจริงๆ นะเรา”
สาย วันใหม่...รถตู้เลี้ยวเข้ามาจอดหน้าบ้านวงทอง ธีรธรเปิดประตูรถตู้ลงมาแล้วหันไปประคองแม่ลงจากรถ วงทองลงจากรถมายืนมองเข้าไปในตัวบ้านด้วยความคิดถึงและดีใจ ไศลาลงจกรถมาช่วยประคองวงทองอีกทางหนึ่ง ธีรธรและไศลาช่วยกันประคองวงทองเดินเข้าไปในบ้าน กมลารีบลงมาจากรถ
“ไศลา ช่วยฉันยกของเข้าบ้านหน่อยสิ”
ธีรธรกำลังจะหันไปเถียงพี่สาว แต่ไศลาส่งสายตาห้ามทัพไว้ก่อน แล้วหันไปช่วยกมลายกของ นิ่มนวลเดินไปช่วยธีรธรประคองวงทองแทน กมลายืนมองธีรธรกับนิ่มนวลช่วยกันประคองแม่เดินเข้าไปในบ้านด้วยความพอใจ ไศลายกของมายืนข้างๆ กมลาพอดี
“ตาธีกับหนูนิ่มนี่เหมาะสมกันยังกับกิ่งทองใบหยกนะ...เธอว่ามั้ย”
ไศลามองตามธีรธรกับนิ่มนวลอย่างเศร้าๆ แล้วหันไปเก็บของต่อ กมลาเห็นไศลาที่ยืนเศร้าอยู่ก็แอบยิ้มด้วยความสะใจทำเป็นยืนเซพูดดังๆ
“โอ๊ย... จู่ๆ ก็เวียนหัว วูบๆ ยังไงไม่รู้”
ไศลารีบเข้าไปประคอง
“สงสัยจะเป็นลมแดด คุณแก้วรีบเข้าไปพักในบ้านดีกว่านะคะ เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเอง”
“แหม...เกรงใจจัง ถ้าอย่างนั้นฝากด้วยนะจ๊ะ”
กมลาเดินยิ้มเข้าไปในตัวบ้านด้วยความสะใจ
ธีรธรกับนิ่มนวลประคองวงทองเดินมาจนถึงประตูบ้าน คนใช้ออกมาเข้าแถวยืนรอต้อนรับ
“ไก่น้อยคิดถึงคุณยายที่สุดเลยค่ะ” ธิดารัตน์โผเข้ามากอดยาย
ธีรธรเตือนยิ้มๆ
“เบาๆ หน่อยไก่น้อย เดี๋ยวก็พาคุณยายล้มกันพอดี”
“อะไรกันน้าธี ไก่น้อยไม่ได้อ้วนขนาดนั้นสักหน่อย”
ธีรธรขำ
“เอาเถอะ...น้าว่าเรารีบพาคุณยายเข้าไปพักในบ้านก่อนดีกว่า”
“โอเคค่ะ เดี๋ยวไก่น้อยจะเพาคุณยายเข้าบ้านเองนะคะ”
ธิดารัตน์เข้ามารับช่วงต่อจากธีรธร
ธีรธรเปลี่ยนผลัดกับธิดารัตน์เสร็จก็รีบเดินกลับมาช่วยไศลาขนของ กมลาเห็นธีรธรเดินตรงกลับมาที่รถ ก็เอาตัวไปขวางไว้
“จะไปไหนอีกล่ะนายธี”
“ไปช่วยไศลาขนของครับ”
“ทำไมต้องไป ของแค่นิดเดียว”
“แต่ไศลาไม่ใช่คนรับใช้นะครับพี่แก้ว”
“ธีจะแคร์แม่นั่นทำไมนักหนา ทำไมไม่เอาเวลาไปดูแลคุณแม่หรือน้องนิ่ม”
ธีรธรส่ายหัว ไม่สนใจที่กมลาพูด ยังเดินตรงไปหาไศลาที่โรงรถ กมลามองตามธีรธรไปอย่างหงุดหงิดที่น้องไม่ได้ดั่งใจ
อ่านต่อหน้าที่ 3
กุหลาบไฟ ตอนที่ 6 (ต่อ)
ธิดารัตน์กับนิ่มนวลประคองวงทองมานั่งที่ห้องรับแขก ที่มีพันธ์พงษ์นั่งรถเข็นรออยู่แล้ว พันธ์พงษ์ยกมือไหว้วงทองด้วยความเคารพจากใจจริง
“ผมขอโทษคุณแม่ด้วยนะครับ ที่ไม่ได้ไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลเลย”
“ไม่เป็นไรเลย พ่อพันไม่ต้องคิดมาก แม่เข้าใจ”
“ขอบคุณมากครับ ผมเกรงใจคุณแม่จริงๆ ที่ไม่เคยช่วยเหลืออะไรคุณแม่ได้เลย”
กมลาเดินเข้ามาในห้องพอดี
“รู้ตัวก็ดีแล้ว”
วงทองหันไปปราม
“แม่แก้ว เรานี่ชักจะมากไปแล้วนะ”
กมลาทำเป็นอ้อน
“โถ คุณแม่ คุณพันเขาชอบทำตัวให้คนอื่นสงสารแบบนี้ล่ะค่ะ ไม่เชื่อคุณแม่ถามหลานดูสิคะ”
ธิดารัตน์ทำเป็นไม่ได้ยินที่กมลาพูด
“ไก่น้อยขอไปช่วยน้าธี ขนของก่อนนะคะคุณยาย”
วงทองพยักหน้าอนุญาต ธิดารัตน์เดินออกไปข้างนอก
“นี่ก็อีกคน อะไรๆ ก็คุณพ่อ ทำอะไรไม่เคยจะเห็นหัวแม่”
วงทองเอือมระอากับนิสัยของลูกสาว
“ถึงลูกจะเด็ก แต่เขาดูออกนะแม่แก้วว่าความจริงคืออะไร”
กมลาหน้าเสียไปที่โดนแม่ พูดกระแทกกลางใจ กมลาหยิบหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขกขึ้นมาอ่านแก้เก้อแล้วตกใจ
“ตายแล้ว...ตาธี”
หน้าปกหนังสือพิมพ์เป็นรูปแอบถ่ายนาถสุดากับธีรธร พาดหัวข่าวว่า “ซุปตาร์ฉ่ำรัก เปิดตัวหนุ่มใหม่ไม่แคร์สื่อ”
ดุลยศักดิ์มองหน้าปกหนังสือพิมพ์เป็นรูปแอบถ่ายนาถสุดากับธีรธร พาดหัวข่าวว่า “ซุปตาร์ฉ่ำรัก ควงหนุ่มใหม่ไม่แคร์สื่อ” เขาโกรธมากขว้างหนังสือพิมพ์กระแทกหน้านาถสุดาที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่มีโยคีศิลาดำนั่งข้างๆ
“ฉันให้เธอไปตีสนิทกับไอ้ตำรวจนั่น เพราะต้องการสืบเรื่องไอ้เทพ ไม่ใช่ให้ไปเป็นข่าวกับมันแบบนี้”
“ขอโทษค่ะนาย แต่นาถไม่รู้จริงๆ ว่ามีคนตามถ่ายรูปอยู่”
ดุลยศักดิ์ลุกขึ้นเดินเข้าไปตบหน้านาถสุดาอย่างแรง โยคีศิลาดำตะลึง
“นางเอกระดับเธอ หนังสือพิมพ์จะเล่นข่าวขนาดนี้มีเหรอที่เธอจะไม่รู้ตัวก่อน”
“ไม่จริงนะคะนาย นาถไม่รู้เรื่องนี้เลยจริงๆ”
ดุลยศักดิ์เข้าไปบีบคอนาถสุดาด้วยมือเดียว
“ฟังให้ดีนะนาถสุดา ในเมื่อฉันเป็นคนส่งเธอให้ขึ้นไปอยู่บนฟ้าได้ ฉันก็ถีบเธอให้ตกนรกได้เหมือนกัน”
ดุลยศักดิ์ยังคงบีบคอ และจ้องหน้านาถสุดาอย่างโกรธแค้น นาถสุดาเริ่มทุรนทุรายเพราะหายใจไม่ออก โยคีศิลาดำอดทนไม่ไหวเข้ามาจับข้อมือดุลยศักดิ์ ดูเหมือนจับธรรมดา แต่ดุลยศักดิ์เจ็บปวดเหมือนโดนคีมยักษ์บีบ โยตีศิลาดำพูดเหมือนเกรงกลัวดุลยศักดิ์แต่จริงๆไม่กลัว
“ขอเถอะ อย่าทะเลาะกันเองเลย”
ดุลยศักดิ์ยอมปล่อยนาถสุดาเพราะเจ็บข้อมือ นาถสุดาทรุดลงไปนั่งสำลักบนเก้าอี้ ดุลยศักดิ์จิกหัวนาถสุดาขึ้นมาจ้องหน้า
“รีบแก้ข่าวแล้วก็ไปจัดการเรื่องงานหมั้นของเธอกับชูชิตให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นก็จัดงานศพตัวเองรอไว้ได้เลย”
ดุลยศักดิ์จับหัวนาถสุดาโขกกับโต๊ะอย่างแรง แล้วหันมามองโยคีศิลาดำด้วยสายตาไม่พอใจก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยความโมโห นาถสุดาเงยหน้าขึ้นมาเลือดกำเดาไหล
“อาจารย์เห็นแล้วใช่มั้ยว่ามันไม่เคยรักใคร...นอกจากตัวเอง”
ไศลาขนของออกมากองไว้ที่ข้างรถเรียบร้อย และขึ้นไปนั่งบนรถตู้ที่เปิดประตูทิ้งไว้เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้ง ธีรธรค่อยๆ เดินย่องเข้ามาเงียบๆ แต่ไศลาได้ยินเพราะประสาทสัมผัสของเธอไม่ธรรมดา ธีรธรตั้งใจโผล่หน้ามาแฮ่ใส่ให้ตกใจ ไศลาแกล้งทำเป็นตกใจใช้หมัดต่อยที่ท้องของเขาจนเสียหลักหงายหลังไปก้นจ้ำเบ้าที่พื้น
“โอ๊ย...”
“อ้าว คุณธี ทำไมโผล่มาแบบนี้ล่ะคะ ไศตกใจหมด”
ธีรธรเอามือกุมท้องค่อยๆ ลุกขึ้น
“นี่คุณไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย ทำไมมือหนักจัง”
ไศลาเขิน
“คือพอดี...กางเกงฟิตยกเท้าขึ้นไม่ทัน”
ธีรธรตกใจ
“ฮะ...นี่หมายความว่าคุณตั้งใจถีบผมเลยใช่มั้ยเนี่ย”
“ไศต้องขอโทษด้วยนะคะ แบบว่ามันตกใจมากจริงๆ”
ธีรธรมองไปบนบ้านดูลาดเลา ว่าที่ตัวเองกับไศลายืนอยู่เป็นมุมอับพอหรือเปล่า
“แบบนี้ต้องโดนลงโทษ”
ธีรธรกระโดดขึ้นรถตู้เข้าไปกอดแล้วหอมแก้มอย่างรวดเร็ว ไศลาตกใจพยายามจะหลบไม่ทัน สุดท้ายตัวอ่อนตกอยู่ในอ้อมกอดของเขา ใบหน้าธีรธรประชิดกับหน้าของไศลา ทั้งสองประสานสายตากันหวานซึ้ง
“บอกมานะว่าทีหลังจะทำแบบนี้อีกมั้ย”
“ไม่ทำแล้วค่ะ”
ธีรธรทำเป็นเสียงเข้ม
“ไม่ได้ คุณต้องสัญญากับผมว่าจะทำอีก...เพราะผมชอบการลงโทษ”
ไศลาผลักอกธีรธรออก
“คุณธีไม่มีสิทธิทำกับไศแบบนี้นะคะ เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน คุณธีเก็บมุกนี้ไว้ใช้กับคุณนิ่มเถอะค่ะ”
ธีรธรกระชับกอดไศลาแน่นขึ้นไปอีก
“ผมจะทำแบบนี้เฉพาะกับคนที่ผม...รู้สึกพิเศษด้วยเท่านั้น...เข้าใจมั้ย ไศลา”
ธีรธรกับไศลาประสานสายตากัน ใบหน้าทั้งคู่เริ่มเข้าใกล้กันเรื่อยๆ จนริมฝีปากเกือบจะแนบชิดกัน ทันใดนั้นเสียงธิดารัตน์ดังขึ้น
“น้าธีคะ”
ธีรธรกับไศลาตกใจดีดตัวออกจากกันแบบอัตโนมัติ
“มีอะไรเหรอไก่น้อย”
“อ้าว...ไก่น้อยนึกว่าน้าธีขนของคนเดียว ก็เลยจะมาช่วยค่ะ”
ธีรธรลงจากรถ ผายมือไปที่ไศลา
“ไก่น้อย นี่น้าไศลา”
ธิดารัตน์ยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะ น้าไศลา”
ธิดารัตน์รู้สึกคุ้นหน้าไศลา เลยจ้องหน้าเพราะพยายามจะนึกว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ไศลารู้สึกแปลกๆ ที่โดนธิดารัตน์จ้องหน้าแบบนั้น
“มีอะไรหรือเปล่าไก่น้อย ทำไมมองหน้าน้าไศลาแปลกๆ” ธีรธรถามอย่างสงสัย
“ไก่น้อยรู้สึกคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นน้าไศลาที่ไหนมาก่อน แต่ยังนึกไม่ออก”
ธิดารัตน์พยายามนึกๆ ไศลากับธีรธรมองหน้ากันงงๆ
“แต่ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวนึกออกแล้วค่อยบอกก็ได้”
ธิดารัตน์เข้าไปช่วยยกของที่ไศลาจัดไว้เข้าไปในบ้าน
วงทองถอนหายใจแล้วยื่นหนังสือพิมพ์ให้ นิ่มนวลหน้าจ๋อยไปสนิท
“อย่าเพิ่งคิดมากไปเลยหนูนิ่ม รอให้ป้าถามพี่ธีเขาให้รู้เรื่องเสียก่อน” วงทองลูบหัวให้กำลังใจ
กมลาถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เรื่องนังไศลาก็ยังแก้ไม่ได้ ยังจะมีเรื่องนาถสุดามาอีกคน เราจะทำยังไงกันดีคะคุณแม่”
พันธ์พงษ์ขัดขึ้น
“ไม่เห็นยากเลย ก็แค่ให้นายธีเขาเลือกเอง คุณจะไปบงการชีวิตน้องทำไม”
กมลาหันขวับไปทำตาเขียวใส่
“ใครอนุญาตให้ออกความเห็นไม่ทราบ นี่เป็นเรื่องของคนในครอบครัวเท่านั้น”
พันธ์พงษ์ได้ยินกมลาพูดแล้วรู้สึกเสียหน้าจนหน้าชา
“ผมขอตัวก่อนนะครับคุณแม่”
พันธ์พงษ์ไม่รอคำตอบจากวงทอง รีบเข็นรถตัวเองออกจากห้องไป กมลามีสีหน้าพอใจที่พันธ์พงษ์ออกไปจากห้อง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อหันมาเห็นสายตาไม่พอใจของแม่
ธีรธร ไศลา ธิดารัตน์เดินขนของจากโรงรถมาถึงหน้าบ้านพอดีกับที่พันธ์พงษ์เข็นรถออกมา
“สวัสดีครับพี่พัน ออกมาดูไก่น้อยเหรอครับ”
พันธ์พงษ์พยักหน้าแทนคำตอบ เขาชะเง้อมองไศลาที่เดินตามหลังธีรธรมาเพราะรู้สึกคุ้นหน้ามาก ธีรธรแนะนำให้ไศลารู้จักกันพันธ์พงษ์
“ไศลา นี่พี่พัน พี่เขยผม คุณพ่อของไก่น้อยไง”
ไศลาวางของลงกับพื้นก่อนที่จะยกมือไหว้พันธ์พงษ์อย่างอ่อนน้อม
“สวัสดีค่ะพี่พัน”
ไศลากับพันธ์พงษ์ต่างมองกันอย่างสงสัย และไม่อยากเชื่อสายตา
“หนูชื่ออะไรนะ”
“ไศลาค่ะ”
พันธ์พงษ์เข็นรถเข้าไปมองไศลาใกล้ๆ
“หนูคือไศลา ลูกสาวคนโตของพันตรีศิริพงศ์ใช่มั้ยลูก” พันธ์พงษ์น้ำตาคลอ
ไศลามองหน้าธีรธรงงๆ ก่อนที่จะพยักหน้าให้
“ใช่ค่ะ พี่พันรู้จักคุณพ่อไศด้วยเหรอคะ”
“ไศจำอาพันได้มั้ย อาพันที่เคยเอาจดหมายของคุณพ่อไปส่งให้ที่บ้านไง”
ไศลานึกอดีตอยู่ไม่นานก็จำได้ หญิงสาวดีใจ
“จำได้แล้วค่ะ ไศดีใจมากเลยนะคะที่ได้เจออาพันอีก”
“อาก็ดีใจมากเหมือนกันที่ได้เจอหนูอีก”
ธีรธรกับธิดารัตน์ยืนดูทั้งคู่คุยกันงงๆ
“นี่คุณพ่อรู้จักกับน้าไศลามาก่อนเหรอคะ”
พันธ์พงษ์พยักหน้า
“คุณพ่อของน้าไศลาเป็นหัวหน้าพ่อสมัยเป็นทหาร ท่านเป็นคนดีมาก พ่อนับถือท่านมาก”
นิ่มนวลเดินออกมาจากในบ้านหน้าตาตึงๆ
“คุณป้าเชิญทานมื้อกลางวันค่ะ”
รถนาถสุดาจอดอยู่ฝั่งตรงข้ามคอนโดของเทพ เธอนั่งอยู่ฝั่งคนขับ โยคีศิลาดำนั่งอยู่เบาะหน้า
“อาจารย์จะไม่เข้าไปด้วยกันจริงๆ เหรอคะ”
“ยังไม่ใช่ตอนนี้ เจ้าต้องไปบอกให้เทพอนุญาตให้ข้าเจอได้เสียก่อน”
สายตาโยคีศิลาดำยังเห็นทุกอย่าง ปกคลุมไปด้วยหมอกควันสีเทา นาถสุดาลงจากรถเดินเข้าคอนโด
ทุกคนนั่งรออยู่ที่โต๊ะทานอาหาร นิ่มนวลเดินเข้ามา
“พี่พันกับ...คุณไศลาบอกว่ายังไม่หิวค่ะ ให้ทานกันไปก่อนได้เลย”
กมลาเบ้หน้า
“เรื่องมากจริง เดี๋ยวพอหิวขึ้นมาก็ต้องมาคอยหาให้อีก แทนที่จะได้ให้มันเสร็จๆ ไป ไม่มีความเกรงใจเอาเสียเลย ว่ามั้ยคะคุณแม่”
“คนรู้จักกันไม่ได้เจอกันนาน ก็คงมีเรื่องอยากจะคุยกันเยอะล่ะมั้ง เดี๋ยวเราทานกันก่อนก็แล้วกัน”
นิ่มนวลเริ่มตักข้าวให้วงทอง และธีรธร ชายหนุ่มวางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ธิดารัตน์หันมาแซว
“ดังใหญ่แล้วนะคะน้าธี เพื่อนไก่น้อย Line มาถามเรื่องน้าธีกันจนไก่น้อยตอบไม่ทันเลยค่ะ”
“ดังแบบนี้น้าไม่เอาด้วยดีกว่านะ”
“แล้วพ่อธีไปตกลงคบหากับหนูนาถสุดาแบบไหน ทำไมถึงได้เป็นข่าวใหญ่โตแบบนี้”
“คุณนาถทำเรื่องขอมาที่กอง ให้ผมช่วยสอนวิชาป้องกันตัวให้เธอไปถ่ายละครเรื่องใหม่ ก็เท่านั้นเองครับ” ธีรธรบอกไปตามตรง
เทพนั่งมองปกหนังสือพิมพ์อย่างครุ่นคิด
“คุณนาถเข้าใกล้พวกตำรวจมากขนาดนี้ไม่ดีแน่ คงถึงเวลาที่เราต้องจบจริงๆ เสียที”
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เทพเปิดประตูให้นาถสุดาเข้ามาในห้อง เธอโผเข้ามากอดเขา
“คิดถึงจังเลย”
เทพแกะมือเธอออกแล้วไปนั่งที่โซฟารับแขก นาถสุดารู้สึกแปลกๆ เดินตามไปสายตาเธอเห็นหนังสือพิมพ์อยู่บนโต๊ะจึงเดินตามไปนั่งข้างๆเขา
“เทพ เรื่องหนังสือพิมพ์นี่นาถอธิบายได้นะ”
เทพเสียงเรียบ
“ไม่เป็นไรหรอกคุณนาถ ผมไม่ติดใจอะไร”
“อาจารย์รู้เรื่องของเราแล้วนะ ท่านอยากเจอเทพมาก แต่ท่านยังเข้ามาในนี้ไม่ได้ เทพต้องอนุญาตให้อาจารย์เข้ามาหาก่อน”
“ถ้าอาจารย์จะมาบอกให้ผมกลับไป ผมคงทำให้ไม่ได้”
นาถสุดากอดแขนเทพอย่างออดอ้อน
“ถ้าเทพไม่อยากกลับไปแล้วก็บอกอาจารย์ไป แต่นาถมีแผนใหม่มาบอก...สนใจมั้ย”
“แผนอะไรเหรอครับ”
“นาถ เทพและอาจารย์ เราจะร่วมมือกันหักหลังไอ้ดุลยศักดิ์”
เทพตกใจ
“คุณนาถ”
ไศลาเข็นรถให้พันธ์พงษ์เข้ามานั่งที่ห้องรับแขก
“หนูเหมือนคุณพ่อมากรู้มั้ย อาเจอหนูก็เหมือนได้เจอผู้พันอีกครั้ง เหมือนได้ย้อนไปในอดีต”
“ไศก็รู้สึกเหมือนได้อยู่ใกล้คุณพ่ออีกครั้งเหมือนกันค่ะ คุณอาก็คล้ายคุณพ่อเยอะเหมือนกันนะคะ”
“ไม่เลย อาเก่งไม่ได้เสี้ยวของคุณพ่อหนูด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้น...คงไม่ต้องพิการนั่งรถเข็นอยู่แบบนี้หรอก”
ไศลาชะงัก
“ขอโทษนะคุณอา คุณอาเดินไม่ได้เลยเหรอคะ”
พันธ์พงษ์พยักหน้า
“เกือบสิบปีที่แล้วอาโดนสะเก็ดระเบิดเข้าที่กลางหลัง หมอบอกว่ามันไปโดนส่วนสำคัญทำให้ท่อนล่างเป็นอัมพาต หมดทางรักษา”
ไศลาคุกเข่าลงไปจับที่หน้าแข้งของพันธ์พงษ์แล้วบีบ
“คุณอารู้สึกอะไรมั้ยคะ”
พันธ์พงษ์ส่ายหน้า ไศลาใช้สองมือจับที่ขาของพันธ์พงษ์ทั้งสองข้างแล้วหลับตา ธิษฐานจิตแสงสีขาวสว่างเปล่งออกมาจากมือของเธอไหลเข้าสู่ขาทั้งสองข้างของพันธ์พงษ์ แล้ววิ่งขึ้นไปเรื่อยจนถึงเอว พันธ์พงษ์แปลกใจตัวเองที่ท่อนล่างรู้สึกเย็นสบายแปลกๆ ไศลาลืมตาแล้วลุกขึ้นยืน
“คุณอาลองยืนขึ้นดูมั้ยคะ”
พันธ์พงษ์ถึงกับงง
“อาทำไม่ได้หรอกหนู อายืนไม่ได้มานานแล้ว”
ไศลายื่นมือไปข้างหน้าให้จับ พันธ์พงษ์เห็นสายตาที่เชื่อมั่นของไศลาแล้วยื่นมือมาจับมือของเธอไว้ แล้วตั้งใจขยับตัวให้ลุกขึ้น พันธ์พงษ์สามารถลุกขึ้นมายืนได้จากรถเข็น ไศลาค่อยๆ ปล่อยมือ พันธ์พงษ์รู้สึกมหัศจรรย์เหมือนฝันไปจนต้องก้มลงมองขาตัวเองที่ยืนอยู่
วงทองสบตากับกมลาอย่างรู้กัน กมลาหันไปมองธิดารัตน์ที่กำลังรวบช้อน
“ไก่น้อยทานเสร็จแล้วก็ออกไปดูคุณพ่อได้แล้วลูก”
“แต่ไก่น้อยยังไม่ได้ทานของหวานเลยนะคะคุณแม่”
กมลาส่งสายตาดุใส่ ธิดารัตน์ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้วส่งสัญญาณมือให้ว่าโอเค เธอเดินออกไป วงทองหันมาหาธีรธร
“ที่แม่อยากรู้ก็คือพ่อธีมีใจให้แม่ดารานั่นหรือเปล่า”
นิ่มนวลก้มหน้าเกร็งจิกเล็บตัวเองด้วยอาการลุ้น
“ไม่เลยครับคุณแม่ ผมกับนาถสุดา เราเป็นแค่คนรู้จักกันเท่านั้น”
นิ่มนวลเงยหน้ามาสบตากมลา แววตาสดใสขึ้นมาทันที
“จริงๆ ผมว่าจะบอกเรื่องนี้กับทุกคนตอนที่ทุกอย่างลงตัวแล้ว แต่ไหนๆ คุณแม่กับพี่แก้วก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว ผมก็ถือโอกาสพูดวันนี้เลยแล้วกัน”
ธีรธรหันมายิ้มให้ นิ่มนวลเขินจนต้องหลบตาเขา ธีรธรกำลังจะพูดต่อ ก็ได้ยินเสียงธิดารัตน์กรี๊ดดังมาจากข้างนอกก่อน ทุกคนตกใจรีบลุกขึ้นออกไปดู
โยคีศิลาดำเดินซื้อกาแฟออกมาจากร้านเซเว่น เขาเห็นรถตู้ของดุลยศักดิ์มาจอดที่หน้าคอนโดของเทพ
“นั่นรถของนายดุลยศักดิ์นี่หว่า พวกมันมาทำอะไรที่นี่”
โยคีศิลาดำรีบกลับเข้าไปยืนหลบแอบดูในร้านเอาชั้นขายหนังสือเป็นกำบังแล้วกำหนดจิต โยคีศิลาดำแว้บไปนั่งข้างดุลยศักดิ์ในรถ
“เอ็งมั่นใจนะว่านังงูพิษมันมาที่นี่ ตึกนี้ของพ่อพวกเอ็งนะ”
“ร้อยเปอร์เซ็นต์ครับนาย ผมสะกดรอยตามนาถสุดามาสี่ครั้งแล้วครับ”
ดุลยศักดิ์ยื่นบัตรห้อยคอ 4 อันให้ลูกน้อง
“งั้นเดี๋ยวพวกเอ็งเข้าไปดูว่ามันอยู่ห้องไหน กับใคร แล้วถ่ายรูปมาเป็นหลักฐาน อย่าลืมว่าต้องคล้องบัตรนี้ไว้ตลอดเวลา ถ้าพ่อพวกเอ็งจับได้ขึ้นมา ข้าไม่รับผิดชอบใครทั้งนั้น”
“ครับนาย”
ลูกน้องทั้ง 4 คนลงจากรถเข้าไปในตึก สายตาโยคีศิลาดำเห็นทั้ง 4 คนเดินผ่านเข้าไปในตึกได้อย่างง่ายดาย
โยคีศิลาดำแว้บกลับมาที่หลังชั้นขายหนังสือ
“เอาไงดี เรายังเข้าไปในนั้นไม่ได้ซะด้วย”
โยคีศิลาดำหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดหานาถสุดา
เทพลุกขึ้นเดินหนีไปยืนเครียดอยู่ริมกระจกหน้าต่าง นาถสุดายังนั่งอยู่ที่เดิม
“นั่นมันไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด”
“ไม่จริง นี่ล่ะคือทางออกที่ดีที่สุดของเราแล้ว ทางออกที่ทำให้เราได้อยู่ด้วยกันไง”
เทพมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วถอนหายใจ
“ผมตัดสินใจแล้ว ผมจะบวช”
นาถสุดาหันไปมองเทพอย่างคาดไม่ถึง
“ผมคิดมาหลายรอบแล้ว ทางนี้เท่านั้นที่ดีที่สุด”
นาถสุดาลุกขึ้นไป ผลักและชกที่อกเขาแล้วร้องไห้ออกมา
“ไอ้คนเห็นแก่ตัว เธอเคยแคร์ความรู้สึกของฉันบ้างมั้ย ในขณะที่ฉันทำทุกอย่างเพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกัน เธอก็คอยคิดแต่จะแยกๆๆ มันยุติธรรมกับฉันมั้ย”
เทพพยายามเอามือป้องกันนาถสุดา กระเป๋าของนาถสุดา ได้ยินเสียงสั่นของโทรศัพท์และเห็นไฟกระพริบจากโทรศัพท์มือถือ
นาถสุดาอาละวาดไล่ทุบตีเทพไม่หยุด เทพก็พยายามห้าม ไม่มีใครสนใจเสียงสั่นครืนๆของโทรศัพท์เลย โยคีศิลาดำเริ่มไม่สบายใจที่ติดต่อนาถสุดาไม่ได้เลย
“ทำไมไม่รับโทรศัพท์นะ”
โยคีศิลาดำมองเข้าไปในตึกอย่างกังวล ในที่สุดก็ตัดสินใจตามเข้าไปในตึก ขณะเดียวกัน ลูกน้องดุลยศักดิ์หายเข้าไปตามทางเดิน โดยแยกย้ายกันไปตามจุดต่างๆ เลี้ยวเข้าทางบันไดหนีไฟบ้าง เลี้ยวเข้าห้องกล้องวงจรปิดบ้าง ขึ้นลิฟต์บ้าง
โยคีศิลาดำจะตามเข้าไป ยามเดินเข้ามาขวางเหมือนเดิม เขาหันไปจ้องยามนิ่ง ยามเหม่อลอย แล้วเดินกลับไปนั่งที่เพราะโดนสะกดจิต แล้วโยคีก็รีบตามเข้าไป
นาถสุดาน้อยใจเทพที่จะหนีตนไปบวช เธอยืนหันหลังให้เขา เทพพยายามง้อเธอ
“คุณมีเหตุผลหน่อยสินาถ คุณไม่มีทางชนะนายดุลยศักดิ์ได้”
“แต่อาจารย์ของฉันจะช่วยเราได้ ท่านโยคีศิลาดำน่ะ มีพลังอำนาจมากมาย...ไม่มีใครต้านทานท่านอยู่”
“แต่คุณเพิ่งบอกให้ผมเป็นคนพูดอนุญาตให้อาจารย์คุณขึ้นมา ไม่งั้นท่านก็เข้ามาไม่ได้อยู่เลยคนเก่งประสาอะไรแค่เข้าตึกยังทำไม่ได้”
“เทพไม่ควรจะว่าอาจารย์ของนาถแบบนั้น”
“ผมขอโทษละกัน ผมแค่อยากให้คุณมองในแง่อื่นบ้าง”
“อาจารย์บอกว่าที่นี่มีมนต์ศักดิ์สิทธ์อยู่รอบตัวเต็มไปหมด ถ้าเจ้าของที่ไม่อนุญาตให้เข้ามาได้ท่านก็จะใช้พลังอำนาจ อะไรที่นี่ไม่ได้ เทพอนุญาตให้อาจารย์นาถเข้ามาสิ”
เทพลังเล...คิดๆ
โยคีศิลาดำแอบเดินลอบตามสมุนดุลยศักดิ์คนหนึ่งมา เขาไม่แน่ใจนักว่าพลังอำนาจเขานั้น ใช้ได้ในสถานที่แห่งนี้รึยัง เขามองไปที่สมุนยังเห็นเหมือนหมอกจางๆปกคลุมอยู่ เขาค่อยๆร่ายมนต์บางอย่าง
เทพกำลังคิดว่าจะอนุญาตให้เข้าดีมั้ย สมุนดุลยศักดิ์กำลังเดินใกล้เข้ามาบริเวณที่โยคีศิลาดำยืนร่ายมนต์บริกรรมคาถาอยู่...เทพเอ่ยปากกับนาถสุดา
“ผมอนุญาต...ได้แต่คุณเท่านั้นจริงๆ”
โยคีศิลาดำจะปล่อยพลังแห่งไฟไปที่ลูกสมุน แต่ก็ต้องชะงักเพราะหมอกจางๆรวมตัวกลายเป็นนักพรตเมฆขาวมาดักหน้าเขา
“เจ้าทำร้ายคนอื่นในที่ของเราไม่ได้”
โยคีศิลาดำตกใจ
“พี่เมฆา”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะน้องศิลา”
แววตาของทั้งคู่ที่จ้องกัน ต่างก็รู้กันถึงความหลัง โยคีศิลาดำรู้สึกละอายอยู่ลึกๆในใจ
“วิชาเจ้าเก่งกล้าขึ้นมาก จากวันนั้น”
“พี่เมฆาก็เหมือนกัน”
“เจ้ายังนับถือข้าเป็นพี่อยู่อีกเหรอ”
อ่านต่อหน้าที่ 4
กุหลาบไฟ ตอนที่ 6 (ต่อ)
โยคีศิลาดำนิ่งไป
“เจ้าจงออกไปจากที่ของข้าเสียเถิด”
“ข้ามาช่วยคนของข้า...” โยคีศิลาดำมองไปที่คนของดุลยศักดิ์ที่แฝงตัวเข้ามา “คนพวกนี้จะมาทำร้ายคนอื่นที่นี่ เจ้าควรอนุญาตให้ข้าจัดการมัน”
“การหยุดความชั่วด้วยความชั่ว มันไม่ใช่วิธีที่ถูกหรอก ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่เหรอ”
“เจ้าก็ยังปล่อยให้คนตายไปต่อหน้าต่อตาสินะ”
“เราขัดกรรมของใครไม่ได้หรอกศิลา เขาทำอะไรไว้ก็ย่อมได้รับสิ่งนั้น”
“กรรมของมันก็คือข้านี่ไง”
โยคีศิลาดำปล่อยพลังไปที่สมุนดุลยศักดิ์ แต่มันกลับสะท้อนใส่ตัวเขาจนเซล้ม
“จงระวังจิตใจของเจ้า เพราะมันจะทำให้เจ้าควบคุมพลังทั้งหมดที่มีอยู่ไม่ได้”
นักพรตเมฆขาวพูดจบร่างก็ค่อยๆสลายเป็นควันจางหายไป โยคีศิลาดำบาดเจ็บ เซล้ม กระอักเลือด เจ็บใจ สมุนดุลยศักดิ์ได้ยินเสียงบางอย่าง เดินมาดู โยคีศิลาดำต้องรีบซ่อนตัว สมุนเดินมาเห็นรอยเลือดเดินตามอย่างสงสัย
นาถสุดาพยายามทำทุกทาง เพื่อให้เทพยอมจำนนกับเธอให้ได้ แล้วเธอก็คิดบางอย่างได้
“เทพยังรักนาถอยู่มั้ย”
“ผมว่า...คุณน่าจะรู้อยู่แล้วว่าคำตอบคืออะไร”
“ถ้างั้น...นาถขอให้เทพเชื่อนาถอีกสักครั้งถ้ามีอะไรผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว นาถจะยอมเชื่อเทพทุกอย่าง ไม่ว่าเทพจะให้นาถทำอะไร”
เทพครุ่นคิดกับคำพูดของนาถสุดา
“ได้...แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะนาถ ที่ผมจะยอมให้นาถทำอะไรเสี่ยงๆแบบนี้”
“ถ้างั้นเทพก็อนุญาตให้อาจารย์ของนาถเข้ามาที่นี่”
“ผมบอกก่อนนะนาถ ผมจะไม่ยอมทำชั่วอีกเด็ดขาด ผมไม่อยากทำร้ายใครอีก”
“ก็แล้วแต่เทพ ข้อนั้นนาถไม่ขัดหรอก”
เทพพอใจกับข้อตกลง พยักหน้ารับ
“งั้นผมก็...อนุญาตให้อาจารย์คุณเข้ามาที่นี่ได้”
นาถสุดายิ้มดีใจ
โยคีศิลาดำหนีมาจากสมุนดุลยศักดิ์คนหนึ่ง มาเจออีกคนหนึ่งที่บันไดหนีไฟ สมุนดุลยศักดิ์ดักทั้งสองทั้ง รุมโยคีทั้งคู่
“แกเป็นใคร เข้ามาทำอะไรที่นี่”
โยคีศิลาดำไม่ตอบ แต่เขาเริ่มสังเกตเห็นรอบๆตัวที่เขามองเห็นมนต์ของนักพรตเมฆขาวเป็นหมอกนั้น บัดนี้มันค่อยๆจางลงไปแล้ว โยคีค่อยๆยิ้มออก
“ถามไม่ตอบเหรอ แกเป็นคนของยายนาถสุดาใช่มั้ย”
“งั้นก็จัดการมันเลย”
สมุนคนหนึ่งหยิบปืนติดที่เก็บเสียงขึ้นมา จ่อไปที่หัวโยคีศิลาดำ
“ตอบช้า...หมดเวลาตอบแล้วล่ะแก”
สมุนคนนั้นเหนี่ยวไกปืน โยคีศิลาดำจ้องไปที่นิ้วของมัน นิ้วที่จะกดไกปืนค่อยๆหัก แบะสวนทางออกมา สมุนคนนั้นตกใจร้องเสียงหลง สมุนอีกคนกำลังจะชักปืน แค่โยคีศิลาดำแค่ยกมือขึ้น
ปืนก็กระเด็นตกบันไดลงไปไกล สมุนที่ปืนตกวิ่งเข้าสู้มือเปล่าด้วยทักษะมวยชั้นสูง โยคีศิลาดำรับมือได้ไม่ยากแม้จะบาดเจ็บอยู่ แค่ผลักผ่ามือโดยไม่โดนตัวสมุนคนนั้น ก็กระเด็นไปไกล สมุนอีกคนแม้จะนิ้วหัก แต่ก็ยังเข้ามาช่วยอีกคนสู้แล้วสมุนอีก 2 คนก็วิ่งมาสมทบ รุมกันจัดการ โยคีศิลาดำมีพลาดบ้างนิดหน่อยเพราะตนบาดเจ็บอยู่ แต่ก็เหนือชั้นกว่าสมุนเหล่านั้นมาก การต่อสู้จึงไม่ได้ยากเย็นนัก สมุนบางคนสลบจากการต่อสู้ บางคนเจ็บหนักร้องโอดโอย บางคนตกบันไดลงไปไม่ได้สติ โยคีศิลาดำมองพวกนั้นอย่างดูถูกก่อนจะแหงนหน้าไปมอง กล้องจรปิดที่ดูจะบันทึกทุกอย่างไว้ โยคีศิลาดำแค่จ้องไป ไฟแดงที่กล้องก็ดับลง...จอมอนิเตอร์ในห้องควบคุมของคอนโดที่ไว้ใช้ดูภาพจากกล้องวงจรปิดกลายเป็นจอซ่า ไม่ช้าก็ดับพรึ่บไปหมด
นาถสุดาเก็บกระเป๋าให้ เทพไม่ค่อยอยากเก็บนัก
“ผมว่าผมควรจะอยู่ที่นี่ต่อนะ แล้วอย่างอื่นก็ให้เป็นไปตามที่ตกลงกัน เพราะผมรับปากกับคุณไศลาไว้แล้วว่า ผมจะช่วยเธอ”
“ยิ่งคุณพูดแบบนี้ ฉันยิ่งต้องรีบให้คุณย้ายไปจากที่นี่เร็วที่สุดเลย”
“นาถ...”
“นาถจะหาที่อยู่ที่ปลอดภัยยิ่งกว่าที่นี่ ไม่มีทางที่ใครจะหาเทพเจอ ไว้ใจนาถสิ”
เทพถอนหายใจ ขัดเธอไม่ได้ แล้วเสียงประตูก็ดังขึ้น ทั้งนาถสุดาและเทพมองหน้ากัน ไม่แน่ใจว่าใครกันแน่ที่มาเคาะ เทพค่อยเดินไปดู ส่องผ่านตาแมวแล้วก็เห็นโยคีศิลาดำอยู่
“ผมเดาว่าอาจารย์ของคุณ”
เทพเปิดประตูให้ โยคีศิลาดำเดินเข้ามาในห้องกระอักเลือด นาถสุดารีบถลาไปหา เป็นห่วงอาจารย์
“อาจารย์ ใครทำอาจารย์แบบนี้คะ”
“เจ้าโดนหักหลังแล้วล่ะ ไอ้ดุลยศักดิ์มันส่งคนสะกดรอยตามเจ้า”
“นี่พวกมันทำร้ายอาจารย์ได้ขนาดนี้เลยเหรอคะ มันเป็นใครถึงเก่งกาจได้ขนาดทำร้ายอาจารย์ได้”
“ไม่มีใครทำร้ายข้าได้...นอกจาก...”
“นอกจากใครคะ”
“นอกจากตัวข้าเอง”
นาถสุดามองโยคีศิลาดำแบบไม่เชื่อนัก ยังสงสัยเรื่องที่เขาปิดบัง โยคีศิลาดำหันไปถามเทพ
“เจ้าเกี่ยวอะไรกับพี่เมฆา”
เทพงงๆ
“พูดเรื่องอะไร ใครคือเมฆา”
“คนที่ลงมนต์ไว้ที่ตึกนี้ ไม่ให้ข้าใช้พลังได้น่ะสิ”
เทพยังงง
“มนต์อะไร ฉันไม่รู้เรื่องด้วยหรอก ต้องไปถามไศลาโน่น”
โยคีศิลาดำชะงัก
“ผู้หญิงคนนั้น...คือศิษย์ของพี่เมฆาหรือนี่”
โยคีศิลาดำนึกเหตุการณ์ที่เขาต่อสู้กับไศลาที่โรงพยาบาล แล้วเห็นเงาลางๆของเมฆายืนข้างๆเธอ นาถสุดาตัดบท
“เรื่องนั้น ฉันว่าช่างมันก่อนดีกว่าฉันว่าเราต้องรีบออกไปจากที่นี่ก่อน เพราะถ้าไอ้ดุลยศักดิ์มันสะกดรอยตามฉันมาจริง มันอาจจะรู้ระแคะระคายอะไรแล้วก็ได้”
“นั่นสิ”
ทั้งหมดรีบพากันออกไป
ธิดารัตน์กรี๊ดเสียงดัง เมื่อภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือพันธ์พงษ์ กลับมาเดินได้อีกครั้ง
“อ๊าย...คุณพ่อขา คุณพ่อ...”
พันธ์พงษ์หันมายิ้มให้ลูกสาว ดีใจไม่แพ้กัน
“ไก่น้อยเห็นมั้ย...พ่อเดินได้แล้ว”
ไศลามองความสุขของทั้งคู่ยิ้มๆ กมลาเดินจ้ำมากะเอาเรื่องไก่น้อยที่ส่งเสียงดังไม่รู้จักกาลเทศะ
ธีรธร และนิ่มนวลที่ประคองวงทองเดินตามมาด้วย
“โวยวายอะไรน่ะไก่น้อย ไม่รู้กาลเทศะบ้างรึไงผู้ใหญ่เค้ากำลังคุยเรื่องสำคัญกันอยู่”
แล้วทุกคนก็ต้องตกใจตาค้างที่เห็นพันธ์พงษ์กำลังเดินอยู่
“ตายแล้ว พ่อพงษ์...”
ธิดารัตน์หันไปบอกอย่างดีใจมาก
“คุณพ่อเดินได้แล้วค่ะคุณยาย”
ธีรธรมองไศลา
“คุณเป็นคนทำใช่มั้ยไศลา”
ไศลายิ้มๆไม่กล้ารับคำมากนัก พันธ์พงษ์ตอบแทน
“ใช่...ไศลาเป็นคนทำให้พี่กลับมาเดินได้อีกครั้ง”
นิ่มนวลมองไศลาอย่างหมั่นไส้ ส่วนกมลาเองยังวางตัวไม่ถูกนัก เพราะตนได้ด่าสามีไว้เยอะมากเรื่องพิการ วงทองมองแบบแทบไม่เชื่อสายตา ธีรธรอมยิ้มแก้มปริที่ผลงานไศลาทำให้แม่ได้ประจักษ์แก่สายตา
“ทีนี้ก็จะเห็นกันสักทีละนะ ว่าเรื่องที่ไศพูดมันไม่ใช่แค่บังเอิญ”
“พอเถอะคะคุณที...พูดแบบนี้ไศวางตัวไม่ค่อยถูกว่า ควรทำยังไงน่ะค่ะ”
ธิดารัตน์ดีใจหันไปหาแม่
“คุณแม่คะ พ่อกลับมาเดินได้แล้วค่ะแม่”
กมลามองไศลายังไม่อยากเชื่อตาตัวเองนัก
“หนูไศลา อาไม่รู้จะพูดยังไงดี แต่อาขอบคุณ”
ขาดคำพันธ์พงษ์จะลงไปคุกเข่า ไศลารีบห้ามไว้
“คุณอาคะ...อย่าทำขนาดนี้เลยค่ะ ไศแค่ช่วยอะไรที่ไศพอช่วยได้เท่านั้น”
“แต่มันคือชีวิตของอาทั้งชีวิต...ต่อไปนี้ ไม่ว่าหนูไศลาต้องการอะไร อาจะหามันมาให้...แม้กระทั่งชีวิตของอาเอง อาก็จะให้”
กมลาขัดขึ้น
“มันจะมากไปละมั้ง...ตัวคุณน่ะมีครอบครัวต้องดูแลรู้มั้ยว่ากี่ปี ฉันต้องแบกภาระของครอบครัวเพราะความพิการของคุณน่ะ พอหายขึ้นมาก็จะทิ้งลูกทิ้งเมียเอาชีวิตไปแลกกับคนอื่นรึไง”
“คนเรามันต้องรู้จักบุญคุณคน”
“บุญคุณอะไร คุณไปขอให้มันทำซะที่ไหนล่ะ”
พันธ์พงษ์หน้าเสีย
“ทำไมคุณพูดแบบนี้ล่ะ”
วงทองรีบขวางทัพ
“แม่ว่าอย่ามัวเอาเวลามาทะเลาะกันอยู่เลย เวลาแบบนี้มันน่าดีใจออกนะ”
ไศลาได้โอกาส
“นั่นสิคะ จริงของคุณแม่นะคะ”
วงทองมองที่นิ่มนวล
“ไงแม่นิ่ม เงียบเลย”
นิ่มนวลอึกอัก
“เอ่อ...”
“คงยังตกใจอยู่ละมั้ง” ธีรธรพูดติดตลก
นิ่มนวลยิ้มแห้งๆส่งให้ทุกคน แต่พอสบตาไศลาเธอหุบยิ้ม ไศลาเห็นก็รู้สึก แต่ไม่อยากใส่ใจ
นิ่มนวลเดินเข้าครัว อึดอัดเก็บกดหาที่ระบาย รอยยิ้มของทุกคนเข้ามาหลอนเธอ ทุกคนดูมีความสุขกับเรื่องที่ไศลาทำ นิ่มนวลยิ่งหงุดหงิด เธอคว้ามะเขือเทศลูกแดงฉานมาบีบซะเละคามือด้วยความอิจฉา
ไศลาเดินมากับธีรธรที่ยังชื่นชมไม่หยุดปาก
“พลังจิตของคุณ...มันมหัศจรรย์มากเลย แบบนี้ถ้าเขียนเป็นหนังสือต้องขายดีแน่ๆ”
ไศลายิ้มๆ สีหน้าเพลียๆ เพราะใช้พลังในการรักษาไป
“คุณสอนผมบ้างได้มั้ย”
“ฉันสอนคุณไม่ได้หรอก แต่ฉันช่วยคุณได้”
“ช่วยผม...ผมก็ปกตินะ ผมไม่ได้ป่วยเป็นอะไร”
“ฉันหมายถึง ให้ฉันช่วยงานคุณจับผู้ร้ายในคดีต่างๆ”
ธีรธรนิ่งไป
“ผมคงอนุญาตไม่ได้หรอกครับ แค่นี้ผมก็พาคุณมาเสี่ยงอันตรายมากพออยู่แล้ว”
“อันตรายหรือไม่...ฉันต้องเป็นคนตอบเองสิค่ะ ฉันอยาก ตอบแทนคุณแผ่นดินบ้าง”
“อีกอย่าง...ผมอยากให้คุณใช้สิ่งที่คุณมีในการรักษามากกว่าต่อสู้นะ”
“คุณดูถูกการต่อสู้ของฉันไม่ได้นะ ฉันมั่นใจว่าซัดคุณหมอบได้”
ไศลาทำท่าจะจู่โจมธีรธร แต่ด้วยความที่เธอใช้พลังในการรักษาไปมาก เธอจึงวูบ ธีรธรรีบเข้ามาประคองได้ทัน ทั้งคู่อยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน
“นี่ไง...เพราะแบบนี้ไง ผมถึงจะบอกว่าผมไม่ได้ว่าคุณสู้ไม่เก่ง แต่ผมเป็นห่วงคุณ”
ทั้งคู่มองตากันหวานซึ้ง นิ่มนวลออกมาเห็นพอดี มันยิ่งทำให้เธอแทบจะสะกดอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ไศลารู้สึกเขินจึงผลักเขาออก
“ฉันไม่เป็นไรแล้ว ฉันขอตัวก่อนดีกว่า”
“คุณจะไปไหน ให้ผมไปส่งนะ”
นิ่มนวลรีบเดินมาแทรกทันที
“คุณแม่ให้มาตามค่ะพี่ธี”
นิ่มนวลจ้องไศลาแทบจะกินเลือดกินเนื้อ
“งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ”
ไศลาปลีกตัวไป นิ่มนวลยังมองตามไปไม่วางตา ธีรธรเซ็งๆที่ต้องไปกับนิ่มนวล
ค่ำนั้น ดุลยศักดิ์นั่งอยู่ในห้องรับแขก รอเพื่อจะสะสางบัญชีบางอย่าง นาถสุดาเดินเข้ามาทำท่าทางเหมือนปกติ
“นายเรียกนาถมา มีอะไรรึเปล่าคะ”
“เธอไปไหนมา”
“นาถก็ไปจัดการธุระเรื่องแก้ข่าวกับหนังสือพิมพ์ ตามที่นายสั่งน่ะสิคะ”
ดุลยศักดิ์มองอย่างไม่ค่อยเชื่อ
“แน่ใจเหรอ”
“ทำไมนายถามแบบนั้นละคะ ไม่ไว้ใจนาถเหรอ”
ดุลยศักดิ์มองจับผิด
“ที่ไหน”
“ที่คอนโดเพื่อนนักข่าวของนาถเองค่ะ ไม่อยากไปที่ออฟฟิศ เดี๋ยวจะเอิกเกริก”
“ดี...จัดการเรื่องข่าวเรียบร้อย ก็แถลงข่าวเรื่องหมั้นซะด้วย ธุรกิจฉันต้องเดินต่อ”
“เรื่องนั้นนาถทราบดีค่ะ”
นาถสุดาฝืนยิ้มทำประจบ ดุลยศักดิ์มองเหมือนขู่ๆ ไม่ไว้ใจนัก นาถสุดาหลบสายตา ครุ่นคิด
โยคีศิลาดำพยายามตั้งสมาธิเพื่อกำหนดพลังเพื่อรักษาตัวเอง เหงื่อผุดมาราวกับห่าฝนและดูเหมือนภาพของเมฆาก็ลอยมาในใจเขาตลอด
วันใหม่ ธีรธรอยู่ที่สถานีตำรวจ พยายามโทรศัพท์หาไศลาแต่ก็ไม่ติดเลย
“ทำไมไม่รับสายเนี่ยไศลา คุณจะทำให้ผมเป็นบ้ารึไง”
ธีรธรถอนหายใจ พยายามตัดกังวลก่อนที่จะเดินเข้าห้องสืบสวนเพื่อทำงาน...ธีรธรเปิดประตูเข้ามาในห้อง ทุกคนรอประชุมกันอยู่
“ขอโทษทุกคนที่ทำให้รอนะครับ”
เสริมพงษ์บอกให้เขานั่งลง แล้วบอกทุกคน...
“ที่เรียกประชุมด่วน เพราะผมมีเรื่องที่จะแจ้งให้ทุกคนทราบอยู่ 2 เรื่องด้วยกัน เรื่องแรก...คือมีคนมาชิงนายเทพ ออกไปจากสถานที่ที่เราจัดไว้ดูแลพยานแล้ว”
ธีรธรตกใจ
“เป็นไปได้ไง ในเมื่อเราจัดเวรยามคุ้มกันอย่างแน่นหนา”
“จากหลักฐานที่ทิ้งไว้ พวกมันปลอมเป็นตำรวจเข้าไปครับ เพราะมันมีสมุน 4 คนติดบัตรตำรวจนอนสลบอยู่ในนั้นครับ” จ่านิดรายงาน
ธีรธรครุ่นคิด
“แล้วใครเป็นคนพาเทพไป”
จ่านิดหนักใจ
“ไม่รู้ได้เลยครับ เพราะพอเช็คกล้องวงจรปิดที่เราติดไว้ทุกจุดปรากฏว่าไม่มีภาพอะไรหลงเหลือเลยครับ”
เสริมพงษ์แทรกขึ้น
“เรื่องสำคัญตอนนี้คือ มีหนอนบ่อนไส้ และฉันเชื่อว่า...หนอนตัวนี้ต้องตัวใหญ่ไม่น้อย เวลาพวกคุณจะคิดจะทำอะไร ผมอยากให้รอบคอบกว่าเดิมให้มาก”
“ครับ”
ธีรธรเริ่มกลับมากังวลเรื่องไศลาที่หายตัวไป
“ผู้การครับ ถ้าแบบนี้จะเป็นไปได้รึเปล่าที่เราควรเพิ่มมาตรการที่รัดกุมกว่านี้ ในการปกป้องพยานคนเดียวที่เราเหลืออยู่ตอนนี้”
จ่านิดหันมาถาม
“ผู้กองหมายถึงคุณไศลาเหรอครับ”
เสริมพงษ์นึกได้
“อ้อ...มีอีกเรื่องนึง ผมรับอาสาสมัครมาทำคดียาเสพติดคนนึง ดูหน่วยก้านแล้วใช้ได้ทีเดียว ผมจะให้เขาช่วยพวกคุณในทุกคดีที่คุณถืออยู่”
ธีรธรไม่มั่นใจ
“ผู้การแน่ใจได้ยังไงครับว่าไว้ใจได้”
“ผมให้คุณเป็นคนพิจารณาเองก็แล้วกันว่า...จะไว้ใจได้แค่ไหน” เสริมพงษ์หันไปที่ประตู “เชิญครับคุณ”
ไศลาเดินออกมา ส่งยิ้มให้ทุกคน ธีรธรเห็นก็ตกใจที่เป็นไศลา
“คุณไศ”
เสริมพงษ์ยิ้มๆ
“เป็นไงคุณธี คนๆนี้พอไว้ใจได้มั้ย”
“ผู้การ แต่ไศลาเป็นพยานสำคัญของคดีค้ายาเสพติดรายใหญ่ ถ้าเรามาให้เขายุ่งเกี่ยวกับคดีอื่น ผมว่ามันจะยิ่งอันตราย”
ไศลาขัดขึ้น
“เรื่องนั้นฉันคิดมาดีแล้วค่ะ ว่ามันออกจะเป็นการดีด้วยซ้ำที่เราจะช่วยกันหาหลักฐานทุกอย่างเพื่อสาวไปถึงหัวหน้าใหญ่ให้มันได้เร็วที่สุด”
“แต่...”
ธีรธรจะแย้ง เสริมพงษ์สวนขึ้น
“ซึ่งผมก็เห็นว่าจริงอย่างที่คุณไศลาพูด”
จ่านิดเห็นด้วย
“ผมว่าก็จริงนะครับผู้กอง”
“คุณไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยของฉันหรอกค่ะ คุณก็น่าจะรู้ดีที่สุดว่าฉันดูแลตัวเองได้ แล้วมันก็ดีด้วยซ้ำที่ฉันไม่นั่งรอเป็นภาระใครอยู่เฉยๆ” ไศลายืนยัน
“แต่ไศลาเป็นพยานคนสำคัญ…ถ้าเป็นอะไรระหว่างที่คดียังไม่เสร็จ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันบันทึกทุกอย่างไว้ในนี้หมดแล้ว”
ไศลาวางกล้องวิดีโอบนโต๊ะ ธีรธรกลุ้มใจแต่ไม่รู้จะเถียงยังไง ธีรธรกลืนไม่เข้าคายไม่ออกได้แต่พยักหน้ารับไป ทั้งสามคนดีใจ โดยเฉพาะไศลาเสริมพงษ์ตัดบท
“เอาล่ะ ทีนี้ผมว่า...พวกคุณมุ่งเป้าไปที่ตัวการใหญ่เลย โดยเฉพาะคนในกรมตำรวจที่หนุนหลังให้พวกมันอยู่”
“ได้ครับนาย”
ธีรธรยังมองไปที่ไศลาไม่พอใจนักจ่านิดดี๊ด๊า
“ดีเลยครับ มีสาวๆสวยๆมาร่วมทำงานด้วย มันจะได้กระชุ่มกระชวยขึ้นมาหน่อย”
ไศลาส่งยิ้มให้จ่านิด และผู้การ
ไศลาเดินออกจากห้องน้ำ ธีรธรดักรอเธออยู่ เขาเห็นว่าไม่มีใครจึงดึงมือเธอเข้าไปในห้องน้ำล็อคประตู
“ผมบอกคุณแล้วใช่มั้ยว่าอย่าทำแบบนี้ มันอันตราย”
“คุณธีเคยได้ยินมั้ยคะ ว่าคนเราเกิดมาเพราะมีภารกิจหนึ่งที่ต้องทำให้สำเร็จก่อนที่จะตาย สำหรับไศ ไศคิดว่าภารกิจของไศคือทำให้สังคมนี้ดีขึ้น ไศมีความสุขที่ได้ทำค่ะ”
“คุณรู้มั้ยคุณกำลังทำให้ผมเป็นห่วงคุณ”
“ก็เชื่อใจไศสิคะ คุณจะได้ไม่ต้องห่วง”
ธีรธรโมโหเข้าประชิดตัวล็อคแขนไศลากับผนัง
“นี่คุณรู้ทั้งรู้ แต่แกล้งเล่นตลกกับความรู้สึกผมใช่มั้ยเนี่ย”
ทั้งคู่หน้าใกล้กันมาก
“ฉันไม่เอาครอบครัว รวมถึงชีวิตตัวเองมาเสี่ยง เพื่อเล่นสนุกกับความรู้สึกคุณหรอกค่ะ ปล่อยฉันเถอะ”
“ผมจะทำยังไงกับคุณดีเนี่ย”
“แค่ปล่อยฉันไป”
“ถ้าผมไม่ปล่อยล่ะ”
ธีรธรเอาหน้าเข้ามาใกล้ไศลามากกว่าเดิม ทั้งคู่จ้องตากัน จนไศลาทนไม่ไหวต้องหลบตาก่อน
“ใครมาเห็นเข้าจะไม่ดีนะคะ คุณจะเสียหาย”
“ผมไม่กลัว”
“แต่ฉันกลัว...”
“คุณต้องกลัวอะไร...”
“ใจตัวเอง...มันน่ากลัวกว่าทุกสิ่งแล้วล่ะค่ะคุณธี”
เมื่อธีรธรไม่ปล่อย ไศลาจึงเป็นฝ่ายใช้กำลังบิดข้อมือเขาเอง จนธีรธรร้องจ๊ากด้วยความเจ็บปวดแล้วปล่อยมือ ไศลายิ้มๆให้ก่อนจะเปิดกลอนแล้วเดินจากห้องน้ำไป
จบตอนที่ 6