หลังจากปรากฏภาพหลุดของดาราวัยรุ่นชื่อดังเสพไอซ์ กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์มากมาย ความคิดเห็นหนึ่งที่เกิดขึ้น ท่ามกลางกระแสเหล่านั้นคือ เสพไอซ์เป็นเรื่องปกติ ดารายังเสพกันเลย
ชวนให้เกิดสงสัยว่า ภาพหลุดของดาราวัยรุ่นนั้นเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของปัญหาที่จมตัวเองอยู่ลึกจนสังคมมองไม่เห็นหรือเปล่า? “ยาไอซ์” ในสังคมไทยระบาดหนักเพียงใด?
จากข่าวที่ยาเสพติดร้ายแรงชนิดนี้ระบาดในหมู่วัยรุ่นมาเป็นเวลานาน หากมองว่าวัยรุ่นเสพยาเป็นเรื่องธรรมดา ปัญหานี้อาจเป็นเรื่องใกล้ตัวมากกว่าที่คิด
สังคมไอซ์
จากข่าวภาพหลุดดาราวัยรุ่น สู่ประเด็นยาไอซ์ในสังคมไทย พบว่ากลุ่มวัยรุ่นในปัจจุบันตกเป็นเหยื่อของยาเสพติดชนิดนี้กันมาก จากล่าสุดมีการเปิดเผยข้อมูลจาก พล.ต.อ. พงศพัศ พงษ์เจริญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) พบว่าเด็กและเยาวชนถือเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่จะตกเป็นเหยื่อของยาเสพติดมากที่สุด
ตามข้อมูลบำบัดรักษายาเสพติดในปี 2555 พบว่า ร้อยละ 50.6 หรือครึ่งหนึ่งของผู้เข้ารับการบำบัดเป็นเด็ก และเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 24 ปีลงไป โดยเป็นเด็กต่ำกว่า 15 ปี ร้อยละ 1.7 เด็กอายุระหว่าง 15-17 ปี ร้อยละ 25 และเยาวชนอายุระหว่าง 20-24 ปี ร้อยละ 23.9 และผู้เสพรายใหม่ที่เป็นเยาวชนก็มีแนวโน้มเพิ่มจำนวนขึ้น
โดยเฉพาะเยาวชนอายุระหว่าง 13-15 ปี ที่มียอดเข้าบำบัดในปี 2555 มากถึงกว่า 2,000 คน ซึ่งเพิ่มเป็น 2 เท่าจากปี 2550 โดยยาไอซ์มีการแพร่ระบาดที่ร้อยละ 5.3 รองลงมาจากยาบ้าที่มากที่สุด ร้อยละ 81.1
แต่ยาไอซ์มีแนวโน้มแพร่ระบาดกว้างขวางมากขึ้นในกลุ่มเยาวชนอายุ 12-24 ปี!
โดยนักค้าใช้กลยุทธ์ด้านราคา ด้วยการเปลี่ยนรูปแบบมาขายราคาต่ำตามกำลังซื้อผู้เสพ ให้เยาวชนเข้าถึงไอซ์มากขึ้น รวมถึงสร้างแนวคิดว่า ยาไอซ์เป็นยาเสพติดชั้นสูง สำหรับคนมีระดับออกฤทธิ์แรง ทำให้ยาไอซ์เริ่มแพร่ระบาดในกลุ่มวัยรุ่นรวดเร็วขึ้น
นอกจากนี้ยังพบด้วยว่า ผู้เสพเป็นเพศหญิงมากกว่าชาย และผู้เสพไอซ์มักชอบเที่ยวสถานบันเทิง ชอบสังสรรค์ที่บ้านเพื่อน หอพัก และแสวงหายาไอซ์จากเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จากสถิติยังพบผู้เสพไอซ์ 1 คนสามารถชักชวน เพื่อให้ใช้ไอซ์สำเร็จประมาณ 4 คน
ในส่วนของดาราที่เป็นข่าวเสพไอซ์นั้นก็มีให้เห็นอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ มีตั้งแต่ไมค์ กิ่งโพยม น้องชายของลูกเกต - เมทิธี กิ่งโพยม ที่ครั้งนั้นถูกจับจากการตรวจค้นรถโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเจ้าตัวอยู่ในสภาพมึนเมา เมื่อตรวจฉี่ก็พบว่า เสพไอซ์มาจริง
ยังมีดาราตลกชื่อดังอย่าง แม็ก ชวนชื่น หรือแม็กก้า หรือชื่อจริงว่า กนกพงศ์ อนุรักษ์จรรยา ที่ถูกจับในข้อหาหนักจากของกลางเป็นยาไอซ์ และเจ้าหน้าที่สืบสวนพบว่า เคยมีการติดต่อซื้อยาจากเจ้าตัว จึงทำให้ตลกคนนี้ตกอยู่ในฐานะผู้ค้า ภายหลังแม็ก ชวนชื่นก็ได้ให้การสารภาพว่า ซื้อยาไอซ์มาจากเพื่อนเพื่อเสพเองและแบ่งขายให้เพื่อน ทำมาแล้วไม่ต่ำว่า 3 - 4 ครั้ง
นักร้องผู้ผ่านการประกวดในเวทีแห่งดวงดาวอย่าง นุกนิ๊ก เดอะสตาร์ 3 หรือ ฐิตินันท์ สุขสุม แม้ชื่อจะห่างหายไปจากวงการ แต่เธอกลับเป็นอีกคนที่มีชื่อขึ้นมาจากข่าวการถูกจับฐานมียาไอซ์ไว้ในครอบครอง ซึ่งเธอให้เหตุผลว่า เสพไอซ์เพื่อลดความอ้วนเท่านั้น ยังมีนักร้องหนุ่มชื่อฉาวอย่าง ฮาเวิร์ด หวัง ที่มีข่าวพัวพันกับยาเสพติด โดยเขามียาเสพติดหลายประเภทไว้ในครอบครองรวมถึงยาไอซ์
และท้ายที่สุดร็อกเกอร์รุ่นใหญ่ที่เมื่อพูดถึงยาเสพติดชื่อของเขาย่อมโผล่มาเป็นคนแรกๆ คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก เสก โลโซ หรือเสกสรร ศุขพิมาย ที่ตกเป็นข่าวใช้ยาเสพติดรวมไปถึงยาไอซ์จนถึงขั้นต้องเข้ารับการบำบัดที่สถาบันธัญญารักษ์
โดยยาไอซ์นั้นถือเป็นยาเสพติดชนิดร้ายแรง สามารถทำให้ผู้เสพติดได้ใน 1 - 2 ครั้งที่ทดลอง และด้วยราคาที่สูงถึงกรัมละ 3000 - 4000 บาท จึงมักนิยมเสพในหมู่ไฮโซ
ขาว - ผอม - สวย ด้วยไอซ์จริงหรือ?
ความเชื่ออย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในหมู่ผู้เสพไอซ์ ทั้งยังมีเป็นโฆษณาเกินจริงของพ่อค้าไอซ์นั่นคือสรรพคุณที่ว่า ยาไอซ์ช่วยลดความอ้วนได้ ทำให้หุ่นดี และผิวสวย โดยจะเห็นแคมเปญรณรงค์เกี่ยวกับยาไอซ์มากมายว่า การใช้ยาไอซ์เพื่อลดความอ้วนนั้นถือเป็นความเชื่อที่ผิดมหันต์
โดยนพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เอ่ยถึงการสร้างความเชื่อปลูกฝังค่านิยมที่ว่า ยาไอซ์นั้นเป็นยาของคนมีเงิน หรือกลุ่มไฮโซ เสพแล้วจะทำให้ผอม ผิวพรรณดี ไม่มีกลิ่นตัว นั้นแท้จริงแล้วยาชนิดนี้เป็นเมทแอมเฟตามีน สารตัวเดียวกับที่ใช้ทำยาบ้า ที่นิยมใช้กันในกลุ่มคนใช้แรงงาน ขับรถระยะเวลานาน เช่นรถสิบล้อ รถส่งของ แต่ถูกสร้างภาพเพื่อยกระดับให้มีราคาสูงขึ้น
“ส่วนความเชื่อที่ว่าเสพยาไอซ์จะทำให้ผอม ขาว สวยนั้น ข้อเท็จจริงคือเมื่อเสพแล้วจะทำให้ไม่เกิดความอยากอาหาร จึงทำให้ผอมลง แต่เมื่อเสพติดต่อกันในระยะยาวจะทำให้ร่างกายทรุดโทรม หลอดเลือดหดตัวลง ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ร่างกายจึงซีดขาว และเสี่ยงต่อการเกิดเส้นเลือดในสมองแตกกลายเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตได้ ที่สำคัญคือ เซลล์ประสาทสมองจะถูกทำลายทำให้ความคิดไม่ว่องไว ความจำไม่ดี หากเสพเกินขนาดจะเกิดพิษเฉียบพลัน ทำให้หัวใจเต้นเร็ว เต้นผิดจังหวะ เกิดปัญหาหัวใจวายเฉียบพลัน เสียชีวิตได้ง่าย บางรายอาจเกิดอาการประสาทหลอน เกิดอุบัติเหตุ”
ด้านนพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมอนามัยกล่าวผ่านไทยรัฐออนไลน์ถึงความเชื่อที่ว่า ยาไอซ์ทำให้ผิวขาวนั้น ไม่จริง โดยให้เหตุผลว่า ยาไอซ์มีผลต่อการทำงานของระบบเลือด ทำให้เส้นเลือดหดตัว ส่งเลือดไปหล่อเลี้ยงผิวหนังไม่เพียงพอจนกลายเป็นสีซีดมากกว่า
“ในแง่ของผิวขาวยิ่งไม่จริงใหญ่ เพราะยาไอซ์จะไปทำให้เส้นเลือดหดตัว เส้นเลือดจะไปเลี้ยงที่ผิวหรือสมองน้อยลง เมื่อเลือดไปเลี้ยงที่ผิวหนังน้อยลง จะทำให้ผิวซีด ไม่ใช่ขาว มันซีดเหมือนคนขาดเลือดมากกว่า ซึ่งดูแล้วจะทำให้แก่ลงไปด้วยซ้ำ”
นอกจากยาไอซ์แล้ว เคล็ดลับในการลดความอ้วนที่น่ากลัวยังมีอีกมาก ตั้งแต่การกินยาที่จ่ายโดยแพทย์อย่างยาแก้ปวดเพื่อทำให้ไม่รู้สึกหิว กินกาแฟเพื่อให้การเผาผลาญของร่างกายสูงขึ้น กระทั่งการสูบบุหรี่แบบมวนต่อมวน ทว่าทั้งหมดนี้ก็มีแต่จะทำให้สุขภาพทรุดโทรมลง ทั้งยังทำให้กลับมาอ้วนกว่าเดิมด้วยผลข้างเคียงของโยโย่เอฟเฟกต์อีกด้วย
เสพยาเป็นเรื่องปกติ
ดารามีสถานะหนึ่งคือเป็นบุคคลสาธารณะ และสิ่งหนึ่งที่บุคคลสาธารณะต้องแบกรับไว้ในความรับผิดชอบคือการเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสังคม
ภาพหลุดครั้งนี้ทำให้เกิดกระแสว่า “การเสพไอซ์เป็นเรื่องธรรมดา ดารายังเสพ” ในมุมมองของ ผศ.ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข ภาควิชาจิตวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มองว่า กรณีนี้ส่งผลกระทบต่อการให้คุณค่าของยาไอซ์ในสังคมวงกว้าง เพราะเดิมทีนั้น ยาไอซ์ก็มีภาพในเชิงคุณค่าสำหรับวัยรุ่นว่า เป็นยาที่เลื่อนสถานะทางชนชั้น นอกจากนี้ยังถูกผูกโยงกับความโก้หรู ทันสมัย และศิลปะอีกด้วย
“ยาไอซ์มันจะมีพิธีกรรมของมันอยู่ ทั้งวิธีการเสพที่มีอุปกรณ์ ลีลาการเสพ และราคา ดังนั้นมันจึงถูกการจัดวางให้คุณค่าในหมู่วัยรุ่นว่า เป็นสิ่งเลื่อนชนชั้น เป็นของแพง ไม่ได้มีภาพลักษณ์เหมือนยาบ้าที่เป็นของคนใช้แรงงาน”
ทั้งนี้ การที่คนในวงการบันเทิงมีข่าวกับยาเสพติดชนิดนี้นั้น เธอมองว่า ส่งผลกระทบต่อการให้คุณค่าทางสังคม หากผู้รับข่าวสารไม่มีสติปัญญาก็อาจรับค่านิยมแบบผิดๆ ไปแล้วมองว่า การเสพยาไอซ์นั้นเป็นเรื่องปกติ และเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับคนในวงการ
“ดาราหรือคนในวงการบันเทิงถือเป็นบุคคลที่คนรุ่นใหม่ชื่นชอบ คนรุ่นใหม่หลายคนใฝ่ฝันว่า อยากจะเป็นอย่างคนเหล่านี้ ดังนั้นเมื่อยาไอซ์ถูกให้คุณค่าในฐานะสิ่งที่อยู่คู่กับคนในวงการ คนรุ่นใหม่หากไม่มีสติปัญญาก็อาจเลียนแบบพฤติกรรมของดาราได้”
นอกจากนี้ ธรรมชาติของยาเสพติดชนิดนี้ก็มักจะเข้าไปอยู่ในสถานบันเทิง งานปาร์ตี้ และด้วยปริมาณที่น้อยแต่มูลค่าสูง ทำให้การจับกุมเป็นไปได้ยากในแง่ของการรวบรวมพยานหลักฐาน ผศ.ดร.ปนัดดา ในฐานะที่ศึกษาทำงานในแวดวงตำรวจเผยว่า หากเทียบกับยาบ้า การจับผู้ค้าคนหนึ่งของยาไอซ์เท่ากับการจับผู้ค้ารายใหญ่ของยาบ้า
อย่างไรก็ตาม เธอมองว่า การจัดการกับปัญหายาไอซ์ในสังคมไทย นอกจากการจับกุมปราบปรามแล้ว การจัดวางคุณค่าใหม่ หรือให้ความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับยาไอซ์ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน
“สังคมควรมีการให้คุณค่าหรือจับวางคุณค่าใหม่ของยาไอซ์ ต้องให้การเสพยาไอซ์ เป็นสิ่งที่มีความผิดที่ร้ายแรง เป็นเรื่องเลวร้ายเพื่อย้อนแย้งการจัดวางที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน”
…...
แม้ในสังคมไทยจะมองว่า การเสพไอซ์นั้นเป็นเรื่องร้ายแรง...ทว่าในมุมมืดของสังคมยังคงมีค่านิยมว่า ยาไอซ์คือสิ่งวิเศษเลิศเลอ เสมือนสิ่งยึดเหนี่ยวตัวตนของกลุ่มคนที่ซ่อนตัวเองอยู่ในมุมมืด
ก็คงมีเพียงสติปัญญาส่วนบุคคลเท่านั้นที่จะพิจารณาถึงคุณค่าของการใช้ชีวิตอยู่ และเลือกที่จะมองให้เห็นคุณค่าที่แท้จริงว่ายาไอซ์นั้นจะนำพาชีวิตไปสู่สิ่งดีงามหรือเลวทรามกันแน่
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE