นางมาร ตอนที่ 5
ทางด้านเฟื่องยังคงนอนลืมตาโพลงในความมืด มีคราบน้ำตาอยู่บนร่องแก้ม ศรีเรือนกับเฟื่องนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน และนอนตาลืมตาโพลงในความมืดอย่างนอนไม่หลับเหมือนเฟื่องเช่นกัน ศรีเรือนได้ยินเสียงเฟื่องถอนใจใหญ่ก็เลยถาม
“เจ็บมากเหรอลูก”
“เจ็บกายไม่มากมายเท่าเจ็บใจหรอกจ้ะแม่ แม่จ๋า ทำไมเจ้าคุณพ่อจึงอยากให้ลูกแต่งงานกับพี่พันนักเล่า”
ศรีเรือนถอนใจ
“ก็เพราะนอกจากสมบัติพัสถานของพ่อพันจะมีมากมายอึดตะปือแล้ว คุณพี่ด้วง...แม่พ่อพัน ยังมี สัมพันธ์ใกล้ชิดกับในวัง ที่จะเกื้อหนุนให้เจ้าคุณพ่อของลูกก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้อีกมาก หากบ้านเราดองกับบ้านพ่อพันแล้ว...มันมีแต่ทางได้กับได้น่ะลูก”
“โดยไม่สนใจว่าลูกจะรักหรือไม่รักพี่พัน...อย่างนั้นหรือจ๊ะ”
“แต่งกันไป...ก็รักกันไปเองแหละลูก”
เฟื่องส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย
“ลูกไม่มีวันรักพี่พัน ลูกเกลียดพี่พัน”
“พูดไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกลูก ลูกสาวเป็นสมบัติของพ่อแม่ เมียเป็นสมบัติของผัว เมื่อผู้ชายบอกให้เราเดินไปทางไหน เราก็ต้องเดินไปทางนั้น ขัดขืนไม่ได้หรอก”
เฟื่องส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย แล้วนอนร้องไห้น้ำตาไหลพราก ศรีเรือนได้แต่นอนมองลูกอย่างทำอะไรไม่ได้
เช้าวันใหม่...เฟื่องเพิ่งจะตื่น หันไปมองที่นอนข้างๆ ศรีเรือนไม่อยู่แล้ว เฟื่องลุกขึ้น อุ่นกับทับทิมปราดเข้ามารับใช้ทันที
“แม่ล่ะ”
“กลับไปที่ห้องโน่นแล้วเจ้าค่ะ” อุ่นบอก
เฟื่องงง
“แล้วนังสร้อย”
“กลับเรือนทาสไปแล้วเจ้าค่ะ เพราะท่านเจ้าคุณออกไปราชการตั้งเช้ามืด คุณหญิงเลยกลับไปที่ห้องได้เจ้าค่ะ”
เฟื่องนิ่งคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงบอกอุ่น
“เอ็งออกไปเรียนแม่ทีว่าข้าจะออกไปไหว้พระที่วัด”
อุ่นรู้ทัน
“คุณหนูจะไปพบนายชุนตามนัด”
เฟื่องพยักหน้า อุ่นกับทับทิมหน้าเสีย
ศรีเรือนยืนดูที่นอนที่ผัวที่นอนกับสร้อยเมื่อคืนนี้ ด้วยความแค้นใจสุดขีด
“อีสร้อย...อีคนเนรคุณ มึงคิดจะลองดีกับกูใช่มั๊ย”
ศรีเรือนนิ่งคิดอะไรอยู่สักครู่ แล้วเดินไปเปิดกำปั่น
นวลค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นว่ามีผ้าของชุน คลุมตัวอยู่ นวลแอบยิ้มเขินๆคิดว่าชุนยังนอนอยู่
“เจ้าตื่นรึยัง...ขอบใจที่ห่มผ้าให้ข้านะ”
นวลรอฟังคำตอบแต่นิ่งสงัดไม่มีเสียงใดๆเธอเริ่มแปลกใจค่อยๆหันไปด้านข้างแต่ไม่เห็นเขาแล้ว นวลตกใจลุกพรวดขึ้นมา
“ชุน...”
นวลมองหาแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะอยู่
“ชุน...เจ้ายังอยู่ไหม...ชุน”
นวลวิตกเป็นห่วงชุน
พัน สิงห์ เพียร เพิ่งออกมาจากบ่อนไก่ พันอารมณ์เสีย
“ทำไมกูโชคร้ายอย่างนี้วะ เล่นตัวไหน ตัวนั้นก็พากูวอดฉิบหายจนหมดตัวเลย ถึงขั้นต้องถอดสร้อยให้มัน ฮึ่ย...เจ็บใจจริงๆ”
สิงห์ขัดขึ้น
“ก็ถ้านายเลิกเสียตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง นายก็คงไม่วอดหมดตัวเช่นนี้หรอกขอรับ”
พันโมโหหันไปถีบสิงห์เปรี้ยงระบายอารมณ์ สิงห์ล้มหงายไปเลย เพียรต้องตามเข้าไปช่วยเพื่อนให้ลุกขึ้นมาใหม่ แล้วให้สัญญาณว่าไม่ให้สิงห์พูดอะไรอีก เพราะรู้ว่าเวลานี้พันกำลังอารมณ์เสียเพราะเสียในบ่อนจนหมดตัว สองบ่าวจึงเดินตามหลังพันไปอย่างเงียบๆ แล้วพันก็ชะงักหยุดเดินกะทันหัน สองบ่าวจึงต้องหยุดเดินไปอย่างกะทันหันไปด้วย
“เฮ้ย...นั่นมันแม่เฟื่องของกูไม่ใช่รึ”
เฟื่องเดินตรงไปยังจุดนัดพบกับชุน โดยมีสองบ่าวหญิงเดินตามหลังไปติดๆ สองบ่าวสีหน้าไม่สู้ดีเลย เพียรกับสิงห์เขม้นตามองตาม เพียรหันมาบอก
“ใช่ขอรับ”
“แล้วนั่นแม่เฟื่องกำลังจะไปไหน เดินเลยประตูทางเข้าวัดไปแล้วนี่”
พันขมวดคิ้วฉับ นึกสงสัยอะไรขึ้นมาทันที เดินตามเฟื่องกับบ่าวหญิงสองคนไปอย่างเงียบๆโดยที่เฟื่องกับบ่าวหญิงสองคนไม่มีใครรู้ตัว
ชุนมานั่งรอที่จุดนัดพบเรียบร้อยแล้ว เหลียวหน้าเหลียวหน้าอย่างหวาดระแวง
เฟื่องเดินตรงไปยังจุดนัดพบ อุ่นกับทับทิมเดินตามมาหน้าตากลัดกลุ้มเป็นอย่างยิ่ง ทับทิม
“บ่าวว่าวันนี้คุณหนูอย่าเพิ่งไปพบนายชุนเลยนะเจ้าคะ นี่ขนาดท่านเจ้าคุณไม่รู้เรื่องนายชุน คุณหนูยังโดนตบเสียเลือดกบปากขนาดนี้ แล้วถ้าท่านรู้ขึ้นมาละก็” ทับทิมทำหน้าสยอง “ไม่อยากจะคิดเล้ย...ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
เฟื่องไม่สนใจยังคงมุ่งมั่นเดินต่อไป อุ่นกับทับทิมทำหน้าเสียวสยอง รู้สึกสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงกว่านี้ในอนาคตแต่แล้วทันใดนั้นเฟื่องก็หยุดเดินอย่างกะทันหัน อุ่นกับทับทิมต้องเบรกตัวโก่ง เฟื่องเบิกตามองอะไรบางอย่างอย่างตกใจเมื่อเห็นผีเดือนพุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
“คุณหนู...อันตราย ไอ้พันมันตามคุณหนูมา”
แล้วผีเดือนก็วูบหายไป อุ่นกับทับทิมเห็นอาการของเฟื่องก็หน้าตื่น อุ่นรีบถาม
“คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ”
ทับทิมเข้ามาถามอีกคน
“คุณหนูมองอะไรเจ้าคะ”
เฟื่องได้สติ ไม่ตอบอุ่นกับทับทิม แต่ปรายตามองไปข้างหลังอย่างหวาดระแวง พันกับสองบ่าว รีบหลบ เฟื่องครุ่นคิด แล้วก็เดินเลี้ยวออกไปอีกทาง อุ่นกับทับทิมงง
“อ้าว...คุณหนูจะไปไหนเจ้าคะ”
อุ่นกับทับทิมรีบตามเฟื่องไป พันกับสองบ่าวพุ่งตัวออกมาจากที่ซ่อน เดินมาตรงทางเข้าจุดนัดพบ แล้วมองไปทางที่เฟื่องเดินไปอย่างงงๆ เพียรแปลกใจ
“ทำไมจู่ๆแม่หญิงเฟื่องก็เลี้ยวกลับไปอย่างนั้นเล่าขอรับ”
“หรือว่าแม่หญิงเฟื่องจะรู้ตัวว่าถูกเราตาม พอรู้ตัวก็เลยเดินเลี้ยวกลับไป” สิงห์ออกความเห็น
พันนิ่งคิดหาเหตุผล
“แสดงว่า...แม่เฟื่องต้องไม่อยากให้ข้ารู้ว่าแม่เฟื่องมาที่นี่ทำไม”
พันสงสัยจัด เหลียวไปมองทางไปจุดนัดพบแล้วตัดสินใจเดินดุ่มเข้าไปยังที่จุดนัดพบแทน ไม่ตามเฟื่องแล้ว เพียรกับสิงห์สงสัยรีบตามนายไปติดๆ
พัน เพียร และสิงห์เดินมาถึงจุดที่ชุนนั่งรออยู่
“นั่นมันไอ้เจ๊กขายผ้านี่ขอรับ” เพียรจำได้
สิงห์หน้าตื่น
“มันยังไม่ตายจริงๆด้วย”
“แต่มันจะต้องตายวันนี้แหละ”
พูดจบพันก็พุ่งเข้าไปหาชุนทันที เพียรกับสิงห์ตามติด ชุนหันมาเห็นทั้งสามก็ตาเบิกโพลงด้วยความตกใจขยับจะหนี แต่ไม่ทันเสียแล้ว ถูกพันกับสองบ่าวจับตัวไว้แล้วรุมกระทืบอย่างไม่ยั้ง
นวลออกเดินตามหาชุนอีกครั้ง แล้วชะงักเมื่อเห็นพัน กับสองบ่าว กำลังรุมยำชุนกันอยู่อย่างไม่ปราณีปราศรัย นวลตกใจมาก
“ชุน”
นวลวิ่งไป...ชุนกระอักเลือดออกมานอนแผ่อย่างหมดทางสู้ พันกำลังจะกระทืบซ้ำที่กลางยอดอก แต่ทันใดนั้นก็มีก้อนหินก้อนหนึ่งปามาโดนเข้าที่หัวพันเปรี้ยงพันร้องโอ๊ยเอามือกุมหัวเลือดไหลออกจากแผลที่โดนหินปาทันที พันหันขวับไปมองที่มาของหินก้อนนั้น
“ใครวะ...ปาหัวกู”
พัน เห็นว่านวลเป็นคนปาหินใส่ นวลพอเห็นว่าพันมองมาเห็นหน้าตนก็ตกใจกลัวรีบวิ่งหนีไป พันไม่ยอมแพ้ ออกวิ่งไล่ตามนวลไป เพียรกับสิงห์เลยวิ่งตามนายไปด้วย ทิ้งให้ชุนนอนแผ่สลบอยู่ที่พื้นตามลำพัง
นวลวิ่งมาแล้วเหลียวหลังไปมองเห็นพัน กับสองบ่าวไล่ตามหลังมาอย่างโกรธแค้น นวลมองหาที่ซ่อน ทั้งสามวิ่งตามมาถึงตรงจุดที่เห็นนวลเป็นครั้งสุดท้าย แต่พอมาถึงแล้วกลับหานวลไม่เจอ พันงงๆ
“มันหายไปไหนเร็วจริงวะ ผู้หญิงตัวนิดเดียว หนอย บังอาจเอาหินมาขว้างกูจนหัวร้างข้างแตก คอยดูนะ ถ้ากูจับตัวมันได้เมื่อไหร่ละก็ กูจะเอามันเป็นเมียให้ปี้ป่นไปเลย”
พันเช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากแผลสีหน้าเจ็บใจ แล้วสั่งสองบ่าว
“เฮ้ย...กลับไปดูไอ้เจ๊กขายผ้านั่นก่อน วันนี้กูต้องได้เห็นกับตากูเองว่ามันกลายเป็นผีไม่มีญาติไปแล้ว”
พัน กับสองบ่าว เดินกลับไปที่จุดนัดพบ นวลปีนขึ้นไปซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้กังวลว่าชุนยังไม่ปลอดภัย
“โธ่...ชุน”
นวลตัดสินใจโดดลงจากต้นไม้ แล้วตามพันไปอีก
เฟื่องเมื่อเดินเลี้ยวห่างออกมาจากจุดนัดพบแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ นึกเป็นห่วงชุนขึ้นมาอย่างกะทันหัน จึงตัดสินใจเลี้ยวกลับไปทางเดิม อุ่นกับทับทิมหน้าเหวอ ที่เฟื่องเดินกลับไปทางเก่าอีกแล้ว แต่ก็ตามเฟื่องไป...เฟื่องเดินนำทับทิม กับอุ่น เข้ามาแล้วชะงักเมื่อเห็นชุนนอนแผ่สลบไสลไม่ได้สติ ถูกยำเละไปทั้งตัว
“ชุน”
เฟื่องวิ่งถลาเข้าไปหาชุนทันที อุ่นกับทับทิมตาม เฟื่องเข้ามาประคองชุนพยายามเรียกให้ได้สติ
“ชุน...ชุน...”
แต่ชุนก็ยังไม่ได้สติ เฟื่องร้อนใจมาก
“โธ่...ทำไมถึงเป็นอย่างนี้นะ ชุน...ชุน...”
ชุนในอ้อมกอดของเฟื่อง ไม่ได้สติเลย เฟื่องร้อนใจอย่างที่สุด
พันเดินนำสิงห์ กับเพียร ไปที่จุดนัดพบ โดยไม่รู้ว่านวลแอบตามหลังมาด้วย นวลพอรู้ว่าพันกำลังจะเดินกลับไปที่ไหนก็ตาโตด้วยความตกใจเป็นห่วงชุน
“ชุน”
“เฟื่องยังดูอาการชุนอยู่ด้วยความเป็นห่วงสุดชีวิต”
“ชุน...ชุน”
ทันใดนั้น ผีเดือนก็ยื่นหน้าเข้าไปหาเฟื่องอย่างรวดเร็ว
“คุณหนู ไอ้พันมา”
ผีเดือนก็วูบหายไป เฟื่องเหลียวขวับไปมองทางเข้าหน้าตื่น อุ่นกับทับทิมพลอยหน้าตื่นไปด้วย
“มีอะไรหรือเจ้าคะคุณหนู” ทับทิมถาม
“พี่พันมา”
“คุณหนูรู้ได้ยังไงเจ้าคะ” ทับทิมเดาได้ ก็หน้าหวาดกลัวขึ้นมา “รู้แล้วๆเจ้าค่ะว่าคุณหนูรู้ได้ยังไง แล้วเราจะเอายังไงกันดีเจ้าคะ ถ้าคุณพันมาพบคุณหนูอยู่กับนายชุนอย่างนี้ เรื่องใหญ่แน่เจ้าค่ะ”
“แต่ข้าทิ้งชุนไม่ได้ ยิ่งเขาเจ็บอย่างนี้ จะให้ข้าทิ้งเขาไปได้อย่างไรกัน”
อุ่นร้อนใจ
“แล้วเราจะเอายังไงกันดีเล่าเจ้าคะ”
เฟื่องนิ่งคิดไปนิดหนึ่ง
“ช่วยข้าหามชุนหน่อย”
อุ่นกับทับทิมทำหน้าเหรอหราแต่พอเห็นเฟื่องขยับจะหามชุนจริงดังปากว่าด้วยตัวเอง สองบ่าวก็รีบเข้าช่วยอย่างทุลักทุเล อุ่นบ่นงึมงำๆ หน้าตาเหมือนจะร้องไห้
“หามกันไปอย่างนี้ ไม่มีทางหนีคุณพันทันแน่ๆ ฮือ...ฮือ...”
แต่เฟื่องไม่สนใจ กัดฟันหามชุนอย่างทุลักทุเล
พวกพันเดินเข้ามาถึงที่จุดนัดพบเขม้นตามองไม่เห็นชุนแล้ว พันพยายามมองหา สิงห์ เพียรก็มองไม่เห็น พันงงๆ
“เฮ้ย...ไอ้เจ๊กนั่นมันหายไปไหนแล้ววะ”
สิงห์งงไปด้วย
“นั่นสิขอรับนาย เมื่อกี้มันยังนอนกระอักเลือดอยู่เลย ไม่น่าลุกไปไหนไหว”
พวกพันวิ่งไปตรงจุดที่ชุนเคยนอน ที่พื้นเห็นมีหยดเลือดของชุนยังเลอะอยู่ที่พื้น พันเหลียวมองไปรอบๆก็ไม่เห็นใคร พันงง...ผีเดือน ยืนมองด้วยความสะใจที่สามารถช่วยคุณหนูได้
นวลซึ่งแอบซุ่มอยู่ที่ปากทางเข้า แต่ทิ้งระยะห่างจากกลุ่มของพันพอสมควร เพื่อไม่ให้กลุ่มของพันรู้ตัวว่าเธอสะกดรอย แต่นวลเห็นเฟื่อง กับสองบ่าวช่วยกันหามชุน นวลจึงตัดสินใจตามพวกเฟื่องไป
พวกเฟื่องช่วยกันหามชุนมาทางเข้าอาณาเขตบ้านเฟื่อง อุ่นหันมาถามคุณหนู
“จะเอานายชุนเข้าบ้านรึเจ้าคะ”
“งั้นสิ”
ทับทิมแย้ง
“แล้วจะเอาเขาไปอยู่ที่ไหนเจ้าคะ พาขึ้นเรือนไม่ได้แน่ๆ”
เฟื่องนิ่งคิด นวลแอบซุ่มดูเห็นเฟื่องตอบอะไรบางอย่างกับทับทิม แต่ไม่ได้ยิน แล้วก็เห็นพวกเฟื่องหามชุนเข้าไปในเขตบ้านลับตาไป นวล แอบตามไปอีก
พวกเฟื่องเอาชุนลงนอนในกระท่อม
“เรือนทาสหลังนี้อยู่ไกลจากเรือนทาสหลังอื่น และไม่มีใครอยู่ เพราะฉะนั้น ชุนอยู่ที่นี่น่าจะปลอดภัยที่สุด อุ่นกับทับทิมต้องช่วยข้าเอาอาหารและยามาให้ชุนเขานะ ข้าจะดูแลรักษาชุนจนหายให้ได้”
อุ่นหวาดๆ
“แต่บ่าวกลัวว่า ถ้าท่านเจ้าคุณรู้...”
“เอ็งสองคนก็อย่าทำให้พ่อข้ารู้สิ เรื่องนี้...ใครก็รู้ไม่ได้ รู้กันเฉพาะแค่เราสามคนเท่านั้น เข้าใจมั๊ย”
อุ่นกับทับทิมพยักหน้ารับอย่างอ่อยๆ ไม่ค่อยมั่นใจเลย แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งเฟื่อง นวลแอบดูและฟังอยู่ไกลๆ ไม่กล้าเข้ามาใกล้มากแต่พวกเฟื่องไม่รู้เรื่องเลย
พันกลับมาถึงบ้านด้วยความโมโหเตะกระโถนกระจาย เพื่อระบายอารมณ์โกรธที่ชุนรอดไปได้อีกครั้ง
“กูว่า...ไอ้เจ๊กนั่นมันต้องมีคนช่วยให้หนีไปได้ พวกเรารุมกระทืบมันเสียขนาดนั้น ถ้ามันหนีเอง มันก็หนีไปไหนไม่ได้ไกลหรอกวะ แต่นี่...พวกเราตามหามันเท่าไหร่ๆก็ไม่เจอ มันต้องมีคนช่วย”
“ใครล่ะขอรับนาย”
พันถีบเพียรที่ถามโง่ๆเปรี้ยง เพียรกระเด็นออกไป
“แล้วกูจะรู้มั๊ยล่ะ ไอ้นี่ ถามอะไรโง่ๆ ก็ถ้ากูรู้ กูจะปล่อยให้มันช่วยกันไปเฉยๆอย่างนั้นได้รึ ไอ้โง่”
เพียรหัวหดด้วยความกลัว สิงห์ค่อยๆเสนอหน้าถามเสียงแผ่ว
“เป็นไปได้ไหมขอรับว่าคนที่ช่วยไอ้เจ๊กนั่น คือแม่หญิงเฟื่อง”
พันชะงักไปทันที
เฟื่องเอายาใส่แผลให้ชุนอย่างเบามือที่สุด ชุนรู้สึกตัวขึ้นมาเพราะแสบคว้ามือเฟื่องไว้
“ชุน..” เฟื่องตกใจ
ชุนปรือตาขึ้นมองจากที่เห็นหน้าเฟื่องแบบเบลอๆแล้วเริ่มชัดขึ้น
“คุณหนูเฟื่อง”
เฟื่องยิ้มดีใจ
“ชุนฟื้นแล้ว”
อุ่นกับทับทิมที่คอยช่วยส่งยา และผ้าชุบน้ำ ให้เฟื่องทำแผลชุนพลอยยิ้มดีใจไปด้วย และค่อยๆสะกิดกันให้ตามกันออกไปเงียบๆ เปิดโอกาสให้ชุนกับเฟื่องได้อยู่กันตามลำพัง ส่วนนวลที่ซุ่มแอบดูอยู่ พอเห็นสองสาวจะออกมารอข้างนอก จึงต้องแอบหลบออกไปทางอื่นก่อน จึงทำให้เฟื่องกับชุนคุยกันสองต่อสองได้
“คุณหนู...ที่นี่ที่ไหนรึ”
“เรือนทาส ในเขตบ้านข้า แต่ไม่มีใครอยู่”
“ข้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
“ข้าไปตามที่นัดพบกับเจ้า แต่กลับพบเจ้าถูกทำร้ายปางตาย ข้าก็เลยพาเจ้ากลับมารักษาตัวที่นี่ เจ้าอยู่ที่นี่...น่าจะปลอดภัยที่สุด”
“คุณหนูพาข้ามารักษาตัวที่นี่ อาจทำให้คุณหนูต้องพลอยลำบากไปด้วย ข้าไม่รบกวนคุณหนูดีกว่าขอรับ”
ชุนพยายามลุกตัวขึ้นและจะไป เพราะคิดว่าตัวเองฐานะต่ำกว่า แต่เฟื่องรีบคว้าชุนไว้
“เจ้าเคยช่วยชีวิตข้าไว้ถึงสองครั้งสองครา ข้าสิ...เป็นหนี้บุญคุณชีวิตเจ้า และในเมื่อเจ้าถูกทำร้ายปางตายถึงขนาดนี้ ข้าจะละเลยได้อย่างไร ข้ายอมให้เจ้าตายไม่ได้”
“แต่ข้าเป็นคนต่ำต้อย เป็นแค่คนต่างบ้านต่างเมืองที่ทำงานขายแรงงาน หาเช้ากินค่ำ ไม่มีค่าอะไร”
“ไม่...ชีวิตเจ้ามีค่า และมีความหมายสำหรับข้ามาก...ถ้าเจ้าเป็นอะไรไปข้าจะอยู่เยี่ยงไรชุน”
ชุนอึ้งไป
“คุณหนู”
“อย่าทำให้ข้าต้องเป็นห่วงเจ้ามากไปกว่านี้อีกเลย อยู่รักษาตัวที่นี่ไปก่อนนะชุน”
ชุนปลื้มปิติ
“คุณหนู...ถ้าข้าเป็นอะไรไป คุณหนูจะอยู่ไม่ได้จริงๆหรือขอรับ”
เฟื่องอึ้งลืมตัวตอนพูดออกไป รู้สึกเขินและไม่กล้าตอบ เลยหยิบยาขึ้นมาจะพอกให้เขาต่อแก้เขิน
“พอกยาเสียอีกหน่อยเถอะ แผลจะได้สมานไวๆ”
เฟื่องพอกยาให้ ชุนเจ็บแผลเลยเอามือไปจับที่แผลเลยโดนมือเฟื่อง ทั้งสองมือประสานกันแล้วมองหน้ากัน เฟื่องเขิน ชุนคว้ามืออีกข้างของเธอมาจับอีก เฟื่องมองตา ชุนรวบตัวเฟื่องมากอด เฟื่องก็กอดตอบทั้งสองกอดกันมีความสุขล้นหัวใจ
พระยาอารักษ์เพิ่งเดินกลับมาบนบ้าน สั่งบ่าวลั่น
“ไปหาน้ำมาให้ข้ากินหน่อย”
บ่าวจะออกไป แต่ยังไม่ทันจะออก ทุกคนในที่นั้นก็ต้องตกใจเมื่อศรีเรือนวิ่งออกมาจากห้องนอน พุ่งเข้าไปหาพระยาอารักษ์สีหน้าร้อนใจ
“คุณพี่กลับมาก็ดีแล้วเจ้าค่ะ คุณพี่จะทำอะไร ทำไมไม่ถามไถ่น้องบ้าง”
พระยาอารักษ์งง
“ข้าทำอะไร”
“ก็เอาของที่พ่อพันเอามากำนัลเรา ให้ใครไป”
พระยาอารักษ์งงหนักขึ้นไปอีก
“ข้าไม่ได้เอาอะไรให้ใครไปเลยนะ แม่ศรีเรือน เจ้าเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า”
“น้องไม่ได้เข้าใจอะไรผิดไปแน่ ก็สายสร้อยทองที่พ่อพันเอามาให้เรา มันหายไป ก็ถ้าคุณพี่ไม่ได้เอาให้ใคร แล้วสายสร้อยทองมันจะหายไปได้อย่างไรกันเล่าเจ้าคะ”
“ฮื้อ...ข้าบอกว่าไม่ได้เอาอะไรให้ใคร ก็ไม่ได้ให้สิ แล้วในห้องนั้นมันก็ไม่ได้มีใครเข้าไป นอกจากแม่ศรีเรือน ข้า แล้วก็นังสร้อย”
พระยาอารักษ์พูดจบก็ชะงักไปทันทีมองตาศรีเรือน แล้วเหมือนคิดอะไรได้ หันไปถามบ่าวที่อยู่แถวนั้น
“นังสร้อยอยู่ไหน”
“อยู่ที่เรือนของมันเจ้าค่ะ จะให้บ่าวไปตามมันมาพบท่านเจ้าคุณมั๊ยเจ้าคะ”
“ไม่ต้อง”
พระยาอารักษ์ก็ลุกพรวดพราดแล้วเดินลงจากเรือนไปเลย ศรีเรือนรีบตามไป
สร้อยนอนเขลงอยู่อย่างสบายอารมณ์แล้วก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่ออยู่ๆพระยาอารักษ์ก็ถีบประตูเรือนผ่างเข้ามา แล้วจ้องหน้าสร้อยอย่างจะเอาเรื่อง ศรีเรือน และนายเบี้ยตามเข้ามาด้วย บ่าวอื่นๆ ไม่กล้าตามเข้ามา แต่ชะเง้อมองดูเหตุการณ์อยู่ด้านนอกเรือนกันอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ท่านเจ้าคุณ ท่านเจ้าคุณมาที่นี่ทำไมรึเจ้าคะ จะเรียกใช้สอยบ่าว ก็ให้คนมาตามก็ได้นี่เจ้าคะ”
“ข้าไม่ได้จะใช้สอยเอ็ง แต่ข้ามีเรื่องจะต้องถามเอ็ง”
“เรื่องอะไรเจ้าคะ”
“เอ็งเอาสายสร้อยทองที่พ่อพันเอามากำนัลเมีย และลูกสาวข้าไปรึเปล่าอีสร้อย”
สร้อยทั้งเหวอ ทั้งตกใจ
“เปล่านี่เจ้าคะ บ่าวไม่ได้เอาไป”
พระยาอารักษ์มองสร้อยอย่างจะจับพิรุธ
“อย่ามาโกหกข้านะ”
“บ่าวไม่ได้โกหกจริงๆเจ้าค่ะ บ่าวไม่ได้เอาไปจริงๆ”
พระยาอารักษ์หันไปสั่งนายเบี้ย
“ค้น”
นายเบี้ยเข้าค้นหาสายสร้อยทองตามคำสั่งของพระยาอารักษ์ สร้อยหน้าเหวอ แต่ยังไม่นึกกลัวเพราะรู้ว่าตัวเองไม่ได้ขโมยมา ศรีเรือนยืนมองหน้านิ่ง ไม่แสดงอารมณ์อะไร สักครู่นายเบี้ยก็ค้นเจอสายสร้อยทองในหีบเก็บของ นายเบี้ยชูให้พระยาอารักษ์ดู
“ใช่นี่หรือไม่ขอรับท่านเจ้าคุณ”
สร้อยตาเหลือกเลยเมื่อเห็นสายสร้อยทองในมือนายเบี้ย พระยาอารักษ์หันไปมองศรีเรือนเป็นเชิงถามว่าใช่หรือไม่ ศรีเรือนพยักหน้า พระยาอารักษ์หันขวับไปมองสร้อยหน้าโกรธเกรี้ยว
“อีสร้อย มึงกินบนเรือน ขี้รดบนหลังคากูเรอะ มึงคิดว่ามึงเป็นเมียกู แล้วริอ่านขโมยของของเมียและลูกสาวกู แล้วคิดว่ากูจะไม่กล้าทำอะไรมึงงั้นรึ มึงคิดผิดเสียแล้วอีสร้อย นายเบี้ย...ลากตัวมันไปที่
ลานทาส”
นายเบี้ยพุ่งเข้าจับตัวสร้อยทันที สร้อยร้องโวยวายกรี๊ดลั่น
“ท่านเจ้าคุณจะทำอะไรบ่าวเจ้าคะ บ่าวไม่ได้ขโมยสร้อยมา บ่าวไม่รู้เรื่องจริงๆ”
พระยาอารักษ์ไม่เชื่อ ไม่สนใจ มองดูนายเบี้ยลากตัวสร้อยที่ร้องโวยวายไปตลอดทางลงจากเรือนทาสไป แล้วเดินตามไปสีหน้าเหี้ยมเกรียม ศรีเรือนเดินตามไปเป็นคนสุดท้ายหน้าเรียบเฉย
เฟื่องกับชุนยังกอดกันอยู่ด้วยความรู้สึกอิ่มเอม
“ขอบคุณที่เห็นค่าของคนต่ำต้อยอย่างข้า ข้ารู้ว่ามันเป็นเรื่องอาจเอื้อมมากที่คนต่ำต้อยอย่างข้าจะได้รับความรักและความหวังดีจากท่าน และตัวข้าเอง...ก็ไม่อาจห้ามใจตัวเองไม่ให้รักท่านไม่ได้เช่นกัน”
เฟื่องยิ้ม
“ชุน ข้าดีใจนักที่เจ้าก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกันกับข้า อย่ามองว่าข้าเป็นหญิงสูงศักดิ์ไปเลยชุน ข้าก็ เป็นแค่เพียงแม่หญิงคนหนึ่ง...ที่มีใจรักให้กับเจ้าเท่านั้น”
ชุนยิ้มปลื้มใจ ทั้งคู่มองตากันนิ่งราวกับต้องมนต์สะกด แล้วก็ต้องสะดุ้งออกจากภวังค์รักเมื่ออุ่นเคาะประตูเรือนแล้วโผล่หน้าเข้ามา
“คุณหนู...กลับเรือนเสียทีดีมั๊ยเจ้าคะ ประเดี๋ยวท่านเจ้าคุณกับคุณหญิงจะสงสัยเอาได้ว่า...ทำไมเราไปไหว้พระที่วัดกันนานจริง”
เฟื่องพยักหน้ารับอย่างเห็นดีด้วย แล้วบอกชุน
“ข้าต้องไปแล้ว กินอาหารและยาที่ข้าจัดเอามาให้เจ้านี่ให้หมดนะชุน แล้วข้าจะออกมาเยี่ยมเจ้าอีก”
ชุนพยักหน้า มองดูเฟื่องที่ลุกเดินออกไป เฟื่องเองก็เหลียวกลับมามองดูชุนตาละห้อย ยังไม่อยากไป อุ่นกับทับทิมต้องดึงมือให้เฟื่องเดินออกจากเรือนไปเร็วๆ ชุนยิ้มอย่างมีความสุขล้นจนลืมความเจ็บทางกายไปเลย
เฟื่อง กับสองบ่าวเดินออกมาจากเรือนชุนแล้วชะงักเมื่อเห็นนายเบี้ยกำลังลากตัวสร้อยอย่างถูลู่ถูกังไปที่ลานทาส โดยมีพระยาอารักษ์ ศรีเรือน และบ่าวอื่นๆเดินตามไป อุ่นกับทับทิมตื่นตระหนก อุ่นหันมาถาม
“นั่นเกิดอะไรขึ้นกับนังสร้อยก็ไม่รู้นะเจ้าคะคุณหนู”
ทับทิมหวาดหวั่น
“ท่าทางจะไม่ใช่เรื่องดีเลย”
เฟื่องไม่ออกความเห็นอะไร รีบเดินไปที่สร้อยทันที สองบ่าวรีบตามไปติดๆ
นายเบี้ยเอาสร้อยจับมัดเข้ากับเสาหลักกลางลาน สร้อยร้องโวยวายๆ
“ท่านเจ้าคุณเจ้าขา...บ่าวไม่รู้เรื่องจริงๆเจ้าค่ะ บ่าวไม่ได้ขโมยสายสร้อยทองนั่นมาจริงๆ สายสร้อยทองนั่นมันเข้าไปอยู่ในเรือนของบ่าวได้อย่างไรบ่าวไม่รู้จริงๆเจ้าค่ะ ท่านเจ้าคุณต้องเชื่อบ่าวนะเจ้าคะ”
แต่พระยาอารักษ์ไม่สนใจ มองนายเบี้ยมัดสร้อยจนเสร็จ เฟื่องกับสองบ่าวเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้นรึเจ้าคะเจ้าคุณพ่อ”
พระยาอารักษ์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าจู่ๆเฟื่องก็โผล่เข้ามา
“แม่เฟื่อง ไปไหนมา”
“ลูกไปไหว้พระมาเจ้าค่ะ นี่มันเกิดอะไรขึ้นรึเจ้าคะ เจ้าคุณพ่อสั่งมัดนังสร้อยมันทำไม”
“มันขโมยสายสร้อยทองที่พ่อพัน เอามากำนัลเจ้ากับแม่เจ้าเมื่อวานมาน่ะสิ”
ศรีเรือนพูดขึ้นเสียงเรียบ
“มันเป็นคนเดียวที่รู้ว่าแม่เอาสายสร้อยทองนั่นเก็บไว้ที่ไหน แล้วเมื่อคืนก็มีแต่มันกับเจ้าคุณพ่อของลูกเท่านั้น...ที่อยู่ในห้องนั่น”
ศรีเรือนก็แสร้งทำสีหน้าเจ็บปวด เมื่อพูดถึงเรื่องที่พระยาอารักษ์เอาสร้อยไปนอนด้วยโดยไม่เกรงใจสร้อยเถียง
“ที่บ่าวรู้ ก็เพราะคุณหญิงใช้บ่าวให้ช่วยถือของนั่นเข้าไปเก็บในห้อง แต่บ่าวไม่ได้ขโมยมาจริงๆ ท่านเจ้าคุณต้องเชื่อบ่าวนะเจ้าคะ”
“แต่หลักฐานมันตำตาอยู่ทนโท่ ถ้ามึงไม่ขโมยมา แล้วสายสร้อยทองนั่นมันจะเข้าไปอยู่บนเรือนมึงได้อย่างไร อีนี่...ขี้ขโมยแล้วยังปากแข็งอีกต่างหาก นายเบี้ย เฆี่ยนมันจนกว่ามันจะยอมรับ"
สร้อยร้องลั่น
“อย่านะเจ้าคะ...อย่าเฆี่ยนบ่าว...อย่า...”
นายเบี้ยก็เริ่มเฆี่ยนสร้อยตามคำสั่งของพระยาอารักษ์ บ่าวอื่นๆพากันสะดุ้งทุกครั้งที่หวายหวดขวับลงไปที่กลางหลังสร้อย หลังสร้อยแตกยับ เลือดซึมเปรอะไปทั่วแผ่นหลัง สร้อยร้องกรี๊ดด้วยความเจ็บ
“บ่าวไม่ได้ขโมย...อย่าเฆี่ยนบ่าวเลยเจ้าคะ”
สร้อยร้องกรี๊ดสลับกับพยายามจะพูดอธิบายอยู่สักครู่ ก็สลบไปเพราะทนความเจ็บไม่ไหว บ่าวอื่นเบือนหน้าหนีไม่อยากดู
พระยาอารักษ์ประกาศก้อง
“ให้มันอดน้ำอดข้าว 3 วัน...ทุกคนจงดูเอาไว้ ใครริอ่านขโมยของของกู ของของเมียกูของของลูกสาวกู มาเป็นของตัวเองแล้วละก็ จะต้องโดนเฆี่ยนเหมือนอย่างอีสร้อยนี่ทุกคน”
พูดจบพระยาอารักษ์ก็เดินกลับเรือนใหญ่ไป ศรีเรือนเดินหน้านิ่งตามไป เฟื่องกับสองบ่าวรีบตามไป อุ่นกับทับทิมสีหน้าสยดสยอง กลัวการถูกเฆี่ยนมาก เช่นเดียวกับบ่าวคนอื่นๆ ศรีเรือนที่ตลอดเวลาทำสีหน้าเรียบเฉยมาตลอด ค่อยๆยิ้มออกมาด้วยความสะใจแต่ไม่มีใครเห็นเลย
เฟื่องเดินกลับเข้ามาในห้อง สองบ่าวตามมา อุ่นไม่อยากจะเชื่อ
“ไม่น่าเชื่อเลยนะเจ้าคะว่านังสร้อยมันจะกล้า”
ทับทิมแย้ง
“แต่เรื่องความโลภโมโทสัน มันไม่เข้าใครออกใครเหมือนกันนะยะ นังอุ่น มันคงคิดว่าท่านเจ้าคุณคงจะไม่ว่ากระไร เพราะเห็นแก่ว่า..เพิ่งจะได้มันเป็นเมีย”
“โถๆ มันคิดผิดจริงๆนังสร้อยเนี่ย มีรึ...ท่านเจ้าคุณจะรักมันมากกว่ารักคุณหญิง มันไม่รู้จักเจียมตัวว่าเป็นแค่ทาสในเรือนเบี้ย ใครเขาจะยกมันขึ้นเสมอเมียหลวงกันล่ะ”
“แต่ข้าก็สงสารมันนะ ถูกเฆี่ยนเสียหลังยับอย่างนั้น เจ็บตายเลย”
“เราอย่าโดนมั่งแล้วกัน”
“แต่เรื่องที่เราลักลอบทำกันอยู่นี่ ถ้าท่านเจ้าคุณรู้ละเอ็งเอ๊ย...คงสั่งเฆี่ยนเราจนตายคาหวายเหมือนกันแหละ”
สองบ่าวสีหน้าหวาดกลัวแต่เฟื่องไม่คิดกลัวหวายเลย กำลังอยู่ในห้วงรักเต็มตัว
ค่ำนั้น...บ่าวช่วยพอกยาสมานแผลที่หลังให้ สร้อยสะดุ้งเฮือกๆเป็นระยะๆเพราะ
เจ็บแผล แต่ไม่ร้องโวยวายเหมือนอย่างทีแรกแล้วเธอกัดฟันพูดด้วยแววตาเคียดแค้นเป็นอย่างยิ่ง
“กูไม่ได้ขโมย แต่ท่านเจ้าคุณก็ไม่เชื่อกู สั่งเฆี่ยนกู ทำเหมือนกูไม่ใช่เมีย ทีตอนจะเอากูเป็นเมีย บอกว่าจะยกย่องกูอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอได้กูแล้ว ก็ทำกับกูเหมือนหมู เหมือนหมา”
“อีสร้อยเอ๊ย เอ็งทำใจเสียเถอะว๊า เกิดมาเป็นทาสเขา มันก็เป็นได้แค่ทาสไปตลอดชีวิตนั่นแหละ เอ็งอย่าได้ริเผยอคิดเป็นอื่นไป ครั้งนี้เอ็งไม่ตายคาหวายก็บุญถมไปแล้ว”
สร้อยไม่เชื่อใครทั้งนั้น กัดฟันพูดด้วยความแค้นใจสุดขีด
“แต่กูไม่ผิด มาลงโทษกู กูไม่มีวันให้อภัยท่านเจ้าคุณ”
สร้อยทั้งเจ็บตัวทั้งแค้นใจ จนน้ำตาไหล หน้าตาเคียดแค้นสุดๆ
เช้าวันใหม่...เฟื่องสั่งงานอุ่นกับทับทิมอยู่
“เอ็งคอยไปดูส่งข้าว ส่งยาให้ชุนอย่าให้ขาดนะอุ่น แล้วบอกชุนว่า...พอพลบแล้ว ข้าจะไปพบ”
อุ่นทำหน้าสยอง
“จะดีรึเจ้าคะคุณหนู เรือนเราเพิ่งเกิดเรื่องนังสร้อยไปหยกๆ บ่าวละเสียวสันหลังกลัวจะโดนหวายบ้างจะแย่แล้วเจ้าค่ะ”
“ไม่โดนหรอกน่า เจ้าคุณพ่อจะรู้ได้ยังไงว่าเราเอาตัวชุนมาซุกซ่อนไว้ให้รักษาตัวที่เรือนทาสท้ายทุ่งโน่น มีแต่เราสามคนเท่านั้นที่รู้ คนอื่นไม่รู้สึกหน่อย”
อุ่นกับทับทิมก็ยังทำหน้าสยองกลัวความลับแตกแล้วจะโดนเฆี่ยนอยู่ดี เฟื่องจะโบกมือไล่ให้อุ่นไปเร็วๆ อุ่นหันมามองหน้าทับทิมเหมือนจะล่ำลา ทับทิมทำหน้าเห็นใจ แต่ก็โบกมือไล่ให้อุ่นไปเร็วๆเหมือนกัน อุ่นจำใจออกไป
นวลแอบเข้ามาที่เรือนทาส เขย่าตัวชุนเบาๆ
“ชุน...ชุน...”
ชุนรู้สึกตัว พอเห็นว่าเป็นนวลก็ตกใจ
“นวล...นวลมาที่นี่ได้ยังไง”
“อย่าเพิ่งถามเลย เรารีบออกจากที่นี่ กลับไปบ้านข้าที่กระท่อมเชิงเขาโน่นดีกว่า”
“ข้าไปไม่ไหวหรอกนวล ถึงไปไหว ข้าก็ยังไปไหนไม่ได้”
“เพราะแม่หญิงคนนั้นรึ”
ชุนพยักหน้า นวลกลั้นใจถามเสียงเครือน้ำตาปริ่ม
“เจ้าไม่ควรรักนาง ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับนาง เพราะนางจะทำให้เจ้าตกอยู่ในอันตราย ที่เจ้าบาดเจ็บ
ปางตายก็เพราะนางไม่ใช่รึ”
“ถ้าไม่อยากผิดใจกับข้า อย่าพูดถึงคุณหนูเฟื่องเยี่ยงนี้อีก”
แต่ยังไม่ทันที่นวลจะพูดอะไรอีกก็มีเสียงคนมา ชุนรีบไล่
“ไปเสียจากที่นี่ แล้วอย่ากลับมาอีก ที่นี่มันอันตรายมาก ไป !”
นวลมองชุนอย่างเสียใจ แล้วจำใจผลุบออกไป พอนวลหายไป อิ่มก็เอาข้าวเอายาเข้ามา ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“เอ้า...กินข้าวกินยาซะนะเจ้าคะ แล้วคุณหนูฝากความมาบอกด้วยว่า...พอพลบแล้ว จะลงมาพบ”
ชุนพยักหน้ารับทราบ แล้วแอบเหลือบมองนวลที่ยังแอบมองอยู่จากที่ไกลๆ ชุนส่ายหน้าให้นวลเป็นทำนองว่าไม่เปลี่ยนใจที่จะไปกับนวล จะอยู่ที่นี่ นวลน้ำตาร่วงเมื่อแน่ชัดแล้วว่าชุนเลือกใคร เธอเช็ดน้ำตาแล้วผลุบหายไป ชุนแอบถอนใจเครียดๆ
เฟื่องหวีผมอยู่ที่หน้าโต๊ะกระจก เหม่อคิดถึงแต่ชุน ทับทิมเข้ามา
“คุณหนูเจ้าขา คุณพันมาขอพบเจ้าค่ะ”
เฟื่องขมวดคิ้วฉับ อารมณ์เสียขึ้นมาทันที
เฟื่องไหว้พันแต่ไม่มองหน้าเลย พันมองเฟื่องอย่างจับผิด พันพูดกับพระยาอารักษ์ แสร้งลักไก่จับพิรุธเฟื่องโดยตาจับนิ่งอยู่แต่กับเฟื่องเท่านั้น
“เมื่อวานกระผมพบแม่เฟื่องที่ในเมืองด้วยขอรับคุณอา”
เฟื่องตาโต ไม่รู้ว่าพันเห็นเธอตอนไหนกัน
“จริงรึพ่อพัน” พระยาอารักษ์หันไปหาเฟื่อง “ไม่เห็นลูกเฟื่องเล่าให้พ่อฟังเลย”
“ที่แม่เฟื่องไม่ได้เล่าให้คุณอาฟังก็เพราะแม่เฟื่องไม่เห็น กระผมหรอกขอรับ”
“อ้าว...แล้วทำไมพ่อพันไม่เข้าไปทักน้องล่ะ”
“ก็กระผมเห็นแม่เฟื่องกับวุ่นๆอยู่กับ...”
เฟื่องรู้ทันว่าพันกำลังละลักไก่ถาม ก็กลัวพ่อจะถามคาดคั้นด้วย จึงรีบตัดบททันที
“จะเดินกลับเรือนเราอยู่น่ะเจ้าค่ะเจ้าคุณพ่อ เลยไม่ทันเห็นพี่พัน”
“อ้อ...เหรอ”
พระยาอารักษ์เชื่อเฟื่องสนิท แต่พันไม่เชื่อ มองหน้าเฟื่องนิ่ง รู้ทันว่าเฟื่องปิดบังความจริง แต่ไม่มีหลักฐานอะไรเลยนิ่งเสีย เฟื่องก็มองตอบพันอย่างท้าทาย แล้วนึกชังน้ำหน้าพันอย่างที่สุด
เฟื่องเดินกลับเข้ามาในห้อง ทับทิมตามมา
“คุณหนูเจ้าขา บ่าวเห็นสายตาของคุณพันที่มองคุณหนูแล้ว บ่าวว่า...คุณพันท่าทางจะสงสัยคุณหนูมากเอาการอยู่นะเจ้าคะ”
“เขาอยากสงสัย ก็ให้สงสัยไปสินังทับทิม มันก็ได้แต่สงสัยเท่านั้นแหละ จะมาทำอะไรข้าได้”
“แต่บ่าวว่า...คืนนี้คุณหนูอย่าเพิ่งไปหานายชุนเลยนะเจ้าคะ บ่าวกลัว”
“แต่ข้าไม่กลัว”
เฟื่องหน้ามุ่งมั่นมาก ในขณะที่ทับทิมกลุ้มใจสุดๆ
พันเดินกลับบ้านกับสองสมุน
“แม่เฟื่องนี่...น่าสงสัยเป็นที่สุด ข้าชักสงสัยเสียแล้วสิว่า แม่เฟื่องอาจจะช่วยไอ้เจ๊กนั่นไว้จริงๆ”
“แล้วนายจะทำอย่างไรดีขอรับ” เพียรถาม
“เวลานี้คงต้องปล่อยไปก่อน เพราะข้าไม่มีหลักฐานอะไรจะไปคาดคั้นเอาความจริงกับแม่เฟื่อง แต่ถ้าข้าจับได้คาหนังคาเขาเมื่อไหร่ว่าแม่เฟื่องช่วยไอ้เจ๊กนั่นเอาไว้จริงๆละก็ ข้ากับแม่เฟื่องเป็นได้เห็นดีกัน”
พันสีหน้าแค้นใจ แล้วเดินไป สองสมุนตาม ทั้งสามไม่รู้เลยว่าได้เดินผ่านหน้าผีเดือนไป ผีเดือนมองตามทั้งสามไป
“กูไม่มีวันยอมให้พวกมึงทำร้ายคุณหนูของกูได้หรอก”
ผีเดือนมองตามพวกพันไปอย่างอาฆาตไม่เลิกไม่รา
ค่ำนั้น ชุนพยายามจะทายาด้วยตัวเองอย่างยากลำบาก เจ็บจนต้องร้องโอ๊ยออกมาเบาๆ เฟื่องเปิดประตูเข้ามาทันเห็นว่าชุนเจ็บก็รีบผวาเข้าไปดูอาการด้วยความเป็นห่วง
“มา...ข้าทำแผลให้”
“คุณหนูเฟื่อง”
เฟื่องกุลีกุจอทายาให้ ชุนจับมือไว้ เฟื่องเก้อเขินเฉไฉถาม
“เจ้ายังเจ็บอยู่มากมั๊ย”
“ได้ท่านดูแลดีถึงเพียงนี้ ต่อให้เจ็บมากกว่านี้ ข้าก็คงจะฟื้นตัวได้เร็วหรอก สงสัยยาที่ท่านให้ข้ากิน ข้าพอกนั้น เป็นยาวิเศษแน่แท้”
เฟื่องขำ
“เจ้านี่ก็...พูดอะไรเพ้อเจ้อจริง”
“ที่ข้าเพ้อเจ้อ...ก็เพราะคุณหนูเฟื่องนั่นแหละ”
ชุนมองเฟื่องนิ่ง เฟื่องมองตอบ ตาจ้องกัน ชุนยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าเฟื่องอย่างหลงใหล
“ท่านช่างงามเหลือเกิน”
เฟื่องเขินอายกับสายตาที่ชุนมอง ก้มหน้าหลบตา ชุนอดใจไม่ไหวชะโงกหน้าจูบแก้ม เฟื่องไม่บ่ายเบี่ยง ชุนบรรจงหอมเธออีกครั้ง ทั้งคู่มองตากันสื่อความหมายในใจที่จะเป็นของกันและกัน...ทั้งคู่ค่อยๆล้มตัวลงไป พระจันทร์เต็มดวง แต่มีเมฆดำบัง
เฟื่องมาดูแล ทำแผล เอาข้าวมาให้ชุน หลายวัน ทั้งสองชื่นมื่นรักกันมาก
นวลนั่งเศร้าซึม พรานมีเพิ่งเดินกลับมาจากป่า ท่าทางเหนื่อยอ่อน แล้วชะงักเมื่อเห็นนวลนั่งร้องไห้อยู่ พรานมีนึกเดาอารมณ์ความคิดของลูกสาวได้ก็ถอนใจด้วยความกลุ้มใจ...
เฟื่องช่วยศรีเรือนยกสำรับปรนนิบัติพ่อด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส พระยาอารักษ์มองหน้าเฟื่อง
“หมู่นี้...ลูกสาวพ่อดูอารมณ์ดีจริง หน้าตาก็ดูผุดผาดงดงามกว่าเคย”
เฟื่องยิ้ม ไม่พูดอะไร ยกสำรับง่วนอยู่
“ดีแล้ว วันแต่งงานเจ้า ผู้คนจะได้ร่ำลือถึงความงามของเจ้าให้ทั่วทั้งบางเลย”
เฟื่องชะงัก
“แต่งงาน”
“ใช่...แม่ด้วง แม่ของพ่อพันให้คนมาส่งข่าวแล้วว่า อาทิตย์หน้าจะยกขันหมากมาสู่ขอเจ้า เจ้าเตรียมตัวไว้ให้พร้อมก็แล้วกัน”
เฟื่องตะลึง หันไปมองศรีเรือน เห็นแม่ยิ้มอย่างเห็นดีเห็นงามด้วย เฟื่องแทบคลั่ง
เฟื่องเดินดุ่มๆด้วยความร้อนใจจะไปที่เรือนชุน อุ่นกับทับทิมวิ่งตาม อุ่นพยายามห้าม
“คุณหนูเจ้าขา คุณหนูจะไปหานายชุนเวลานี้จะดีรึเจ้าคะ บ่าวเกรงว่าใครจะเห็นเข้า คงเกิดเรื่องใหญ่แน่”
“แต่ข้าทนอยู่ที่เรือนต่อไปไม่ได้แล้ว เอ็งสองคนก็รู้...ข้าไม่ได้อยากแต่งงานกับพี่พัน ข้าไม่ได้รัก ข้าเกลียดพี่พัน เกลียด เกลียดๆ”
ทับทิมเตือนสติ
“ถึงจะเกลียด แต่คุณหนูจะทำอะไรได้เล่าเจ้าคะ นายชุนเองก็คงจะทำอะไรไม่ได้”
แต่เฟื่องไม่สน ยังคงเดินดุ่มๆตรงไปยังเรือนชุนต่อไป อุ่นกับทับทิมร้อนใจวิ่งตามไป สร้อยเดินผ่านมามองอย่างสงสัยว่าเฟื่องกับสองบ่าวจะไปไหน สร้อยตัดสินใจตามไป โดยที่เฟื่องกับสองบ่าวไม่รู้ตัวเลย
พันดีใจมาก เมื่อรู้ว่าจะได้แต่งงาน
“ในที่สุดข้าก็จะได้แต่งงานกับแม่เฟื่องสักที ข้าจะได้เลิกระแวงเสียทีว่าจะเสียแม่เฟื่องไปให้ชายอื่น”
“ฮู้ย...พ่อพันก็วิตกกังวลจนเกินไป ก็ท่านเจ้าคุณอารักษ์ตกปากรับคำกับแม่เรียบร้อยแล้วว่าจะยกแม่เฟื่องให้เป็นเมียเจ้า แม่เฟื่องก็ต้องเป็นเมียเจ้าสิ จะไปเป็นของชายอื่นได้ยังไงกัน”
พันยิ้มดีใจ สองสมุนก็พลอยดีใจไปด้วย
ชุนตกใจมาก เมื่อได้ยินสิ่งที่เฟื่องบอก
“แม่เฟื่องจะแต่งงาน”
“ไม่...ข้าจะไม่ยอมแต่งงานกับพี่พันแน่ ข้าเป็นของเจ้าแล้ว ข้าจะแต่งงานกับชายอื่นไปได้อย่างไร ชุนเจ้าพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อข้าใช่ไหม”
ชุนพยักหน้า
“ถ้าเช่นนั้นเราสองคนจะหนีไปด้วยกัน หนีไปที่ไหนก็ได้ ที่ที่เราสองคนจะได้อยู่ด้วยกัน...ตลอดไป”
“ท่านไม่กลัวความลำบากรึ”
“ข้าไม่กลัว ต่อให้ข้าจะต้องลำบากจนเลือดตากระเด็น ข้าก็ยินดียิ่งกว่าต้องถูกพรากจากเจ้า แล้วให้ไปแต่งงานกับพี่พันเป็นไหนๆ”
“ข้าก็จะไม่ยอมเสียท่านให้ใครเช่นกัน”
“งั้นเจ้าพาข้าหนีไปจากที่นี่นะ”
ชุนพยักหน้าเฟื่องเริ่มยิ้มออก สร้อยแอบฟังอยู่ที่นอกหน้าต่าง ตาโตเมื่อได้ล่วงรู้ความลับสุดยอดของเฟื่องโดยบังเอิญ ตะลึงได้สักพัก สร้อยก็คิดอะไรออกสีหน้าร้าย
“นี่ถ้าท่านเจ้าคุณรู้เรื่องนี้ละก็..ฮึ ดีละ ในเมื่อท่าน เจ้าคุณไม่รักกูแล้ว ท่านเจ้าคุณทำกูเจ็บ กูก็จะทำให้ท่านเจ้าคุณเจ็บใจจนแทบจะกระอักเลือดออกมาเลย”
สร้อยผลุบหายไปทันที
พระยาอารักษ์กำลังเดินดูต้นไม้อยู่ สร้อยเข้ามาคุกเข่าตรงหน้า พระยาอารักษ์เห็นหน้าสร้อยก็อารมณ์เสียขึ้นมาทันที
“อีสร้อย มึงขึ้นมาบนเรือนนี้อีกทำไม กูสั่งแล้วใช่ไม๊ว่า ให้มึงอยู่แต่ที่เรือนทาส ห้ามขึ้นมาบนเรือนนี้อีก”
“แต่บ่าวมีเรื่องสำคัญที่จะต้องมาบอกท่านเจ้าคุณเจ้าค่ะ”
“หน้าอย่างมึง จะมีเรื่องสำคัญอะไรมาบอกกูได้ มึงจะหาเรื่องมาประจบกูน่ะสิ กูไม่ใจอ่อนหรอก เพราะกูเกลียดคนขี้ขโมย โดยเฉพาะขโมยของของลูกเมียกู
“แต่เรื่องที่บ่าวจะมาบอก เป็นเรื่องของคุณหนูนะเจ้าคะ”
พระยาอารักษ์ชะงักไปทันที
“เรื่องลูกกู เรื่องอะไร”
อุ่นกับทับทิมที่นั่งรอเฟื่องอยู่แถวบริเวณหน้าเรือน สีหน้ากลุ้มใจพอๆกัน อุ่นกังวลใจมาก
“ทำไมคุณหนูเข้าไปนานจริ๊ง...ไหนว่าจะเข้าไปคุยกับ นายชุนเดี๋ยวเดียวไง”
“นั่นสิ นี่ถ้ามีใครมาเห็นเราสองคนอยู่ตรงนี้ ต้องสงสัยแน่ๆเลย แล้วถ้าความแตกละก็ เราสองคนมีหวัง...”
ทับทิมพูดไม่ทันจบ พระยาอารักษ์พูดแทรกทันที
“ถูกเฆี่ยนจนตายคาหวายไงล่ะ”
อุ่นกับทับทิมหันมามอง เห็นพระยาอารักษ์เดินนำหน้าคนอื่นๆเข้ามาในมือถือดาบคมวาววับมาด้วย สองบ่าวตาเหลือกลานด้วยความกลัวสุดขีด
“ท่านเจ้าคุณ”
พระยาอารักษ์ไม่พูดพล่ามทำเพลง พยักหน้าให้บ่าวชาย 2-3 คน เข้าจับตัวอุ่นกับทับทิมเอาไว้ อุ่นตัดสินใจตะโกนเตือนเฟื่องที่อยู่ในเรือน
“คุณหนู...ท่านเจ้าคุณมาเจ้าค่ะ”
พระยาอารักษ์โมโหสุดขีด พุ่งเข้าไปตบหน้าอุ่นสุดแรง อุ่นถึงกับฟุบลงกับพื้นไปเลย
ชุนกับเฟื่องได้ยินเสียงอุ่นตะโกน วิ่งมาดูที่หน้าต่าง เห็นพระยาอารักษ์เดินพรวดขึ้นมาที่เรือน เฟื่องตกใจสุดขีด
“เจ้าคุณพ่อ” เฟื่องลนลานหันมามองชุน “ถ้าเจ้าคุณพ่อเจอเจ้า เจ้าคุณพ่อต้องฆ่าเจ้าแน่ๆ”
เฟื่องคิดๆแล้วตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
“ข้ายอมให้เจ้าคุณพ่อฆ่าเจ้าไม่ได้ ชุน หนีไปก่อน”
“แล้วเจ้า”
“ไม่ต้องห่วงข้า เจ้าคุณพ่อไม่ทำอะไรข้าหรอก แต่เขาจะต้องฆ่าเจ้าแน่ๆ เจ้าต้องหนีไป หนีไปเดี๋ยวนี้”
เฟื่องผลักไส ชุนไม่มีเวลาคิดอะไรตัดสินใจปีนหน้าต่าง ขณะที่พระยาอารักษ์ถีบประตูเรือนเปรี้ยง แล้วถลันพุ่งเข้ามา ทันเห็นหน้าชุน เฟื่องรีบผลักชุนออกนอกหน้าต่างไปทันที พระยาอารักษ์พุ่งเข้ามาจิกหัวเฟื่องไว้ด้วยความโมโห แล้วหันไปสั่งนายเบี้ย
“นายเบี้ย...เอากำลังคนออกไปตามล่าไอ้นั่น จับตัวมันกลับมาให้ได้”
“ขอรับ”
นายเบี้ยพาพวกบ่าวชายอื่นๆ กระโดดหน้าต่างตามชุนไป เฟื่องตะโกนตามหลังชุนไปด้วยความห่วงชุนสุดหัวใจ
“ชุนหนีไป ไม่ต้องห่วงข้า หนีไป”
พระยาอารักษ์โมโห หันมาตบหน้าเฟื่องสุดแรง เฟื่องหวีดร้องล้มฟุบไปกับพื้น พระยาอารักษ์ตามไปจิกหัวเฟื่องขึ้นมาใหม่
“อีนังลูกไม่รักดี”
แล้วพระยาอารักษ์ก็ตบหน้าเฟื่องอีกผั๊วะ เฟื่องล้มลงอีก ศรีเรือนผวาเข้ามาหาเฟื่องแต่พระยาอารักษ์โมโหเดือดเสียแล้ว ผลักศรีเรือนออกไป แล้วจิกหัวเฟื่องแล้วลากออกจากเรือนไป ศรีเรือนวิ่งร้องไห้ตามด้วยความเป็นห่วงลูกสุดๆ
พระยาอารักษ์จิกหัวเฟื่องลากกลับขึ้นมาบนเรือน บ่าวชายอื่นๆลากตัวอุ่นกับทับทิมที่ร้องไห้ด้วยความกลัวตามขึ้นมาบนเรือนด้วย พระยาอารักษ์หันไปสั่งสร้อย
“อีสร้อย มึงไปเอาหวายมา”
“เจ้าค่ะ”
ศรีเรือนเข้ามาถาม
“คุณพี่ให้อีสร้อยมันไปเอาหวายมาทำไมเจ้าคะ”
“กูจะเอามาเฆี่ยนอีลูกไม่รักดีนี่น่ะสิ”
ศรีเรือนกับเฟื่องกลัวจนตัวสั่น พระยาอารักษ์หันไปสั่งบ่าวชายที่คุมตัวอุ่นกับทับทิมไว้
“พวกมึงลากอีสองตัวนั่นไปเฆี่ยนคนละร้อยที”
อุ่นกับทับทิมตะลึง
“ร้อยที”
สองบ่าวร้องไห้โฮออกมาด้วยความกลัวสุดขีด แล้วก็ถูกบ่าวชายลากตัวออกไป เฟื่องตกใจ
“อุ่น..ทับทิม”
“อีเฟื่อง มึงไม่ต้องเป็นห่วงคนอื่นหรอก มึงห่วงตัวมึงเองก่อนเถอะ อีลูกไม่รักดี มึงทำงามหน้านัก นี่ถ้ารู้ไปถึงไหนว่ามึงคบชู้สู่ชายโดยไม่อายผีสางเทวดา กูจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
สร้อยกลับเข้ามาพร้อมหวาย ส่งให้ พระยาอารักษ์รับหวายมาแล้วเริ่มหวดเฟื่องโดยไม่สนใจว่าจะโดนที่ตรงไหน เฟื่องร้องกรี๊ดด้วยความเจ็บ ยิ่งได้ยินเสียงร้อง พระยาอารักษ์ก็ยิ่งโมโห จึงหวดเฟื่องไม่ยั้งมือเลย ศรีเรือนทนเห็นพระยาอารักษ์เฆี่ยนเฟื่องแบบไม่ยั้งไม่ไหวอีกต่อไป จึงตัดสินใจพุ่งเข้าไปกอดเฟื่องไว้ ใช้ตัวเป็นเกราะกำบังหวายแทนเฟื่อง พระยาอารักษ์ยั้งมือไม่ทัน จึงหวดโดนศรีเรือนไปด้วย ศรีเรือนร้องกรี๊ดด้วยความเจ็บ สร้อย ยิ้มสะใจเป็นที่สุด
“แม่ศรีเรือนหลีกไป กูจะเฆี่ยนอีลูกไม่รักดีนี่ให้ตายคามือข้าเลย”
ศรีเรือนโผเข้าคว้ามือพระยาอารักษ์ไว้
“พอทีเถอะเจ้าค่ะคุณพี่ นี่ลูกแท้ๆของเรานะเจ้าคะ คุณพี่จะเฆี่ยนมันจนตายได้ยังไงละเจ้าคะ...นี่แม่เฟื่องลูกเรานะเจ้าคะ”
พระยาอารักษ์เริ่มได้สติ หยุดเฆี่ยน สร้อยเซ็งที่พระยาอารักษ์หยุดเฆี่ยนเฟื่องซะแล้ว
“แม่ศรีเรือนก็เห็นกับตา แม่เฟื่องมันคบชู้สู่ชาย มันเอาผู้ชายมาซ่อนไว้ที่เรือนทาส แล้วมันก็ไปสมสู่กัน รู้ไปถึงไหน อายไปถึงนั่นทีเดียว”
สร้อย ยิ่งเห็นพระยาอารักษ์แค้นใจมากเท่าไหร่ สร้อยก็ยิ่งสะใจมากขึ้นเท่านั้น
“เราก็อย่าให้คนนอกเรือนเรารู้สิเจ้าคะคุณพี่ ไอ้อีหน้าไหนปริปากพูดเรื่องนี้ เราก็เฆี่ยนมันให้หลังขาดไปเลย”
พระยาอารักษ์ยังหายใจแรงด้วยอารมณ์โกรธที่พุ่งขึ้นถึงขีดสุด โยนหวายในมือทิ้ง แล้วจิกหัวเฟื่องลากไป ศรีเรือนตกใจ รีบตามไป
“นั่นคุณพี่จะเอาตัวลูกไปไหนเจ้าคะ”
พระยาอารักษ์ไม่ตอบ แต่หันไปสั่งสร้อย
“อีสร้อย มึงไปเอาเชือกมาให้กูที”
สร้อยวิ่งไปเอาเชือกตามคำสั่ง พระยาอารักษ์ยังคงจิกหัวเฟื่องลากไป ศรีเรือนรีบตาม
พระยาอารักษ์จิกหัวเฟื่อง ถีบประตูห้องเฟื่องเปรี้ยงแล้วลากเข้าไปในห้อง สร้อยวิ่งเอาเชือกตามเข้ามา ส่งเชือกให้พระยาอารักษ์ พระยาอารักษ์รับเชือกนั้นมาแล้วผูกเข้าที่ข้อมือเฟื่องอย่างแน่นหนา แล้วโยงไว้กับเสาหัวเตียง เฟื่องกับศรีเรือนร้องไห้ตลอดเวลา
“คุณพี่อย่าทำอย่างนี้กับลูกเลยเจ้าค่ะ สงสารลูกเถอะ”
“กูไม่สงสาร มันอยากทำงามหน้านัก ผูกมันไว้อย่างนี้แหละ แล้วไม่ต้องให้มันกินข้าว 3 วัน”
พูดจบพระยาอารักษ์ก็เดินปังๆออกไป ศรีเรือนโผเข้ากอดลูกแล้วร้องไห้ไปด้วยกัน
“ลูกเอ๊ย...ทำไมทำตัวบัดสีแบบนี้ ทำไม...”
เฟื่องไม่ตอบ เอาแต่ร้องไห้ สร้อยแอบยิ้มที่เห็นความวินาศของครอบครัวนี้ด้วยความสะใจอย่างที่สุดเลย ศรีเรือนกอดเฟื่อง สองแม่ลูกร้องไห้จนน้ำตาแทบจะเป็นสายเลือด
อุ่นกับทับทิม ถูกมัดอยู่กับเสาคนละต้น กำลังถูกบ่าวชายเฆี่ยนกันคนละ 100 ทีตามคำสั่งของพระยาอารักษ์ สองบ่าวสะดุ้งและร้องด้วยความเจ็บทุกครั้งที่ถูกหวดลงกลางหลัง บ่าวอื่นๆที่มามุงดูอยู่สีหน้าเจ็บปวดไปด้วย
ชุนวิ่งหนีมาแล้วสะดุดล้ม นายเบี้ยและบ่าวชายอื่นๆเลยวิ่งตามมาทัน แม้ชุนจะลุกขึ้นได้ แต่ก็ถูกพวกนายเบี้ยเข้าล้อมไว้ทุกทิศทุกทาง
อ่านต่อ ตอนที่ 6
นางมาร ตอนที่ 6
ชุนถูกพวกนายเบี้ยและบ่าวชายคนอื่นๆล้อมเอาไว้หมดทุกทิศทุกทาง
“ยอมให้จับเสียดีๆเถอะ อย่าสู้ให้ต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัวเลย”
แต่ชุนก็ไม่ยอมให้จับเพราะรู้ดีว่าถ้าถูกจับแล้วคงไม่แคล้วตาย ชุนพยายามจะวิ่งหนี แต่วิ่งไปทางไหน ก็ถูกล้อมไว้อยู่ดี นายเบี้ยหันไปให้สัญญาณเหล่าบ่าวชายให้ตีกรอบล้อมชุนให้แคบลงเรื่อยๆ แต่ในขณะที่ชุนกำลังจะชนมุมอยู่นั้นเสียงพระครูก็ดังขึ้น
“ปล่อยมันไปเถอะ...”
ทุกคนหันไปมองเห็นพระครูยืนอยู่อย่างสงบที่มุมหนึ่ง พอทุกคนเห็นพระ ก็เปลี่ยนเป็นสงบเรียบร้อยขึ้นมาทันที พระครูมองสบตากับชุนแล้วชุนก็ตัดสินใจแหวกวงล้อมหนีไปอย่างรวดเร็ว พวกนายเบี้ยรู้ตัวก็เอะอะ
“เฮ้ย”
นายเบี้ยขยับจะตาม พระครูรีบพูดขึ้น
“ปล่อยมันไปเถอะ เจ้าหนุ่มนั่น...มันมีชะตากรรมของมันเอง รออยู่ข้างหน้าอยู่แล้ว”
“แต่...”
แล้วนายเบี้ยก็ถอนใจ ไม่กล้าเถียงพระ แล้วหันไปมองทางที่ชุนวิ่งหนีไป บ่าวชายคนอื่นๆมองตามไปด้วยอย่างกังวล นายเบี้ยหันกลับมามองไม่เห็นพระครูอยู่ตรงนั้นแล้ว นายเบี้ยหน้าตื่น
“อ้าว...เฮ้ย”
ทุกคนหน้าเหวอไปตามๆกัน
นายเบี้ยมารายงานว่าตามจับชุนไม่ทัน พระยาอารักษ์ไม่พูดอะไรเดินปังๆขึ้นเรือนไปอย่างอารมณ์เสีย นายเบี้ยกลุ้มใจสุดๆ
พระยาอารักษ์โกรธมากจิกหัวเฟื่องมาซักถาม โดยมีศรีเรือนพยายามห้ามปรามไม่ให้พระยาอารักษ์ทำอะไรลูกรุนแรงไปมากกว่านี้
“บอกมาสิอีเฟื่อง ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันเป็นใคร แล้วมึงไปรู้จักกับมันได้อย่างไร เอามันเข้ามาอยู่ในบ้านเราตั้งแต่เมื่อไหร่”
เฟื่องส่ายหน้าไม่ยอมตอบ เพราะกลัวว่าพ่อจะตามหาตัวชุนเจอ และชุนจะเป็นอันตราย พระยาอารักษ์โมโห ตบเฟื่องผั๊วะ เฟื่องที่ถูกมัดมือโยงอยู่กับเสาเตียงถึงกับหน้าฟุบลง
“ปกป้องมันดีนัก แล้วมันปกป้องมึงหรือ...ก็ไม่...ฮึ่ย”
พระยาอารักษ์จะตบเฟื่องอีก แต่ศรีเรือนโดดเข้าคว้ามือไว้
“พอเถอะเจ้าค่ะคุณพี่ แค่นี้ลูกก็เจ็บมากพอแล้ว”
“ที่มันเจ็บ ยังไม่เท่ากับที่ข้าเจ็บเลย เรื่องนี้...รู้ไปถึงไหน อายไปถึงนั่น แล้วนี่ถ้าพ่อพันรู้เข้า...จะว่ายังไง”
“พ่อพันจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกันเล่าเจ้าคะ ถ้าคนในเรือนเราจะไม่ปริปากพูดไป เราก็สั่งลงไปสิเจ้าคะว่า...ถ้าไอ้อี คนไหนเอาเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปพูด ก็จะถูกเฆี่ยนให้หลังขาดเลย เท่านี้...พ่อพันก็ไม่มีทางรู้หรอกเจ้าค่ะคุณพี่”
พระยาอารักษ์ครุ่นคิด คล้อยตาม
พันผุดลุกขึ้นด้วยความโมโห
“แม่เฟื่องกล้าทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงถึงขนาดนี้เชียวรึ”
สร้อยนั่งรายงานอยู่ที่พื้น ด้วงมองหน้าสร้อย
“แล้วเอ็งเอาเรื่องบัดสีเช่นนี้มาบอกพวกข้าทำไม”
สร้อยไม่ตอบ แต่หันหลังให้ทุกคนในที่นั้นเห็นแผลเป็นที่มันถูกเฆี่ยน
“ก็เพราะบ่าวเจ็บใจน่ะสิเจ้าคะ บ่าวรึ...อุตส่าห์จงรักภักดี แต่กลับถูกคุณหญิงศรีเรือนใส่ร้าย เพราะกลัวว่าท่านเจ้าคุณจะเอาบ่าวทำเมีย เลยหาว่าบ่าวขโมยสายสร้อย บ่าวก็เลยถูกท่านเจ้าคุณสั่งเฆี่ยนเสียจนเจ็บปางตายบ่าวก็อยากให้ท่านเจ้าคุณทั้งเจ็บทั้งอายบ้างน่ะสิเจ้าคะ ที่ลูกสาวทำงามหน้าเสียขนาดนี้”
ด้วงถอนใจกลุ้มๆแล้วหันไปหาพัน
“พ่อพันเอ๊ย...ถ้าลงว่าแม่เฟื่องทำตัวบัดสี แปดเปื้อนโลกีย์เสียขนาดนี้ แม่ว่าเจ้าตัดใจจากแม่เฟื่องเสียดีกว่า จะไปกินแตงเถาตาย กินน้ำใต้ศอก ของไอ้ลูกเจ๊กลูกจีนที่ไหนก็ไม่รู้ทำไม”
“เรื่องมันเลยเถิดไปถึงขนาดนั้นแล้ว ข้าก็เห็นจะยอมรับแม่เฟื่องที่ตอนนี้เหลือแค่กากเดนแล้วไม่ไหวเหมือนกัน”
“ถ้าเช่นนั้นแม่จะไปยกเลิกเรื่องการสู่ขอแม่เฟื่อง”
“ไม่ต้องยกเลิกหรอกแม่”
“อ้าว...ทำไมล่ะ”
“ถึงไปยกเลิกการสู่ขอ ข้าก็คงไม่หายเจ็บใจแม่เฟื่องง่ายๆหรอก ข้าอยากให้แม่เฟื่องได้อายมากกว่านั้น”
“แล้วเจ้าจะทำอย่างไรรึพ่อพัน”
“ข้าจะประจานเรื่องบัดสีที่แม่เฟื่องทำนี้ต่อหน้าธารกำนัลในวันแต่งงาน แล้วข้าก็จะยกเลิกงานแต่งเสียกลางคัน ถึงตอนนั้นแม่เฟื่องก็ต้องอายผู้คนจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี ไม่มีหน้ามองใครในแผ่นดินนี้ได้อีกละแม่”
“อ๊ะ ดีๆ แม่ก็อยากเห็นหน้าแม่เฟื่องตอนนั้นเหมือนกัน”
“นังสร้อย...ข้ามีงานจะให้เอ็งทำ”
สร้อยตาโตด้วยความโลภ
“งานอะไรเจ้าคะ”
ทุกคนมองพันอย่างอยากรู้ พันเอาอัฐจำนวนมากโยนให้สร้อย
“ถ้ามีเรื่องอะไรเกี่ยวกับแม่เฟื่องอีก ให้เอ็งรีบมาบอกข้าทันที เข้าใจมั๊ย”
สร้อยลนลานเก็บอัฐ
“เข้าใจเจ้าค่ะ”
พันแค้นใจสุดๆ
เฟื่องหยุดร้องไห้แล้วมีแต่ความเป็นห่วงชุน ไม่รู้เขาจะเป็นยังไงบ้าง ศรีเรือนกำลังบรรจงใส่ยาทำแผลให้เฟื่องอย่างเบามือที่สุด
“ลูกหนอลูก...ทำไมถึงทำเรื่องบัดสีอย่างนี้ ชายคนนั้นมันเป็นใครรึ แล้วเจ้าไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อใด”
“เรารู้จักกัน...ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เรือล่มหลังกลับจากทำศพนังเดือนจ้ะแม่ เขานี่แหละที่เป็นคนช่วยชีวิตข้า”
“แต่มันก็เป็นคนละชนชั้นกับเรา หาใช่ลูกผู้ดีไม่ เจ้าก็ไม่ควรถลำตัว ถลำใจไปมากอย่างนั้นเลย”
“เรื่องอย่างนี้...มันห้ามกันได้ด้วยรึจ๊ะแม่ ใช่...ชุนอาจจะไม่ใช่ลูกผู้ลากมากดี แต่เขาก็เป็นคนดี ข้าจึงรักเขา”
“รักเหรอ...ถ้าเจ้าไม่อยากตายเพราะรัก จงหยุดซะตอนนี้เถอะแม่เฟื่อง”
ศรีเรือนส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย จำใจเดินออกไป เฟื่องไม่ได้ห่วงตัวเองเลย ห่วงแต่ชุนเท่านั้น
ชุนวิ่งเข้ามาซุกหลบตัวอยู่ที่วัดไม่รู้จะไปไหน เป็นห่วงเฟื่อง คาดเดาได้ว่าเฟื่องคงโดนพ่อลงโทษหนักแน่ นวลเข้ามาแตะบ่า ชุนสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นมอง พอเห็นว่าเป็นนวลก็แปลกใจสุดๆ
“นวล...เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไรกัน”
“ข้าเป็นห่วงเอ็ง และข้าก็นึกแล้วว่า...ถ้าเอ็งออกมาจากที่นั่นก็ต้องมาอยู่แถวนี้ ข้าบอกเอ็งแล้วว่าที่นั่นไม่ปลอดภัย เอ็งเชื่อคำข้าแล้วใช่ไหมชุน...กลับไปอยู่กับข้า กับพ่อข้าที่กระท่อมชายป่าเถอะนะ อยู่แถวนี้ไม่ปลอดภัยหรอก”
“ไม่...ข้ายังไปไม่ได้ ข้ามีเรื่องที่จะต้องทำ”
“เรื่องอะไร เรื่องแม่หญิงผู้นั้นอีกรึ โถ่...ชุน มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอกที่เจ้ากับนางจะรักกันได้”
“มีสิ เราสองคนรักกัน”
นวลเจ็บปวด
“ถ้ามันเป็นไปได้ เจ้าจะต้องออกมาหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่ เยี่ยงนี้รึ”
ชุนนิ่งอึ้ง ไม่ตอบเพราะมันคือความจริง แต่นวลจ้องเค้นอย่างเอาเรื่องว่าชุนจะเอาอย่างไรต่อไป
บ่าวหญิง 2-3 คนช่วยกันทำแผลให้อุ่นกับทับทิมอยู่ โดยมีนายเบี้ยนั่งมองอยู่อย่างกลุ้มใจ อุ่นกับทับทิมเจ็บจนร้องไห้พลางครางฮือๆไม่หยุดเลย แล้วหันไปมองหน้านายเบี้ย น้ำตาปริ่ม อุ่นตัดพ้อ
“นายเบี้ยนะนายเบี้ย...ไม่น่าทำกันได้ลงคอเลย”
“นี่พวกเอ็งคิดว่าข้าเป็นคนเอาเรื่องนี้ไปฟ้องท่านเจ้าคุณรึ”
“ก็ใช่น่ะสิ ถ้าไม่ใช่นายเบี้ย แล้วจะเป็นใคร”
“ข้าไม่รู้ ตอนนี้ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน”
อุ่นกับทับทิมงง
“ถ้าไม่ใช่นายเบี้ยบอกพระยาอารักษ์ ก็นึกเดาไม่ได้เหมือนกันว่าใครเป็นคนที่ปากโป้ง”
นายเบี้ยส่ายหน้า
“แต่ถ้าเอ็งสองคน ห้ามปรามคุณหนูไม่ให้ทำเรื่องนอกลู่นอกทางเสียตั้งแต่แรก มันก็คงไม่เกิดเรื่องร้ายแรงอย่างนี้ขึ้นหรอก แล้วพวกเอ็งก็คงไม่ต้องถูกเฆี่ยนเสียจนสลบ คาหวายกันทั้งสองคนอย่างนี้”
อุ่นเสียงระโหย
“โธ่...นายเบี้ยก็น่าจะรู้ เรื่องของชายหญิงจะรักกัน เอาอะไรมาฉุดรั้ง มาห้าม มันก็เหลือกำลังจะฝืนละ”
ทับทิมเสริม
“เขาเคยช่วยชีวิตคุณหนูเอาไว้ถึงสองครั้งสองครา แล้วยังช่วยชีวิตผู้อื่นโดยไม่ห่วงตัวเองอีก เพราะความดีของชุน คุณหนูถึงได้มอบหัวใจรักให้จนหมดใจ ขนาดนี้แล้ว...นายเบี้ยจะให้พวกข้าไม่เห็นใจคุณหนูได้ยังไง”
“เออๆ ข้ารู้ละ นี่โชคก็ยังดีนะ ที่นายชุนอะไรนี่ มันหนีไปได้ ถ้ามันหนีไปไม่ได้ละก็ ต่อให้เป็นคนดีแค่ไหนมันก็ต้องตาย หนีคำสั่งท่านเจ้าคุณไม่ได้หรอก”
นายเบี้ยถอนใจกลุ้มๆ แล้วมองดูบ่าวทำแผลให้อุ่นกับทับทิมต่อไปด้วยความเวทนา
ค่ำนั้น ชุนยังคงนั่งกอดเข่าเจ่าจุกอยู่อย่างคิดอะไรไม่ตก นวลมองอย่างกลุ้มใจแล้วจู่ๆชุนก็ลุกขึ้น นวลสงสัย
“นั่นชุนจะไปไหน”
ชุนไม่ตอบ นวลขยับจะตาม ชุนหันมายกมือห้ามหน้าตาจริงจัง
“อย่าตามข้าไป กลับไปหาพ่อเจ้าเสีย เจ้ายังมีพ่อ ไม่เหมือนข้าที่ไม่มีใคร เพราะฉะนั้น...เจ้าอย่าทิ้งพ่อ...เพื่อข้า”
“แต่ข้าเป็นห่วงเอ็งนี่ ยังไงข้าก็อาจช่วยเอ็งได้ เอ็งไปไหนข้าจะไปด้วย”
ชุนรู้สึกที่นวลพูด แต่ตอนนี้หัวใจมีแต่เฟื่องจึงจำเป็นต้องพูดกับนวล
“ไม่...ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า ข้ากับเจ้า...ขาดกัน”
นวลอึ้งไปเลย ชุนฉวยจังหวะนั้นวิ่งออกไป นวลจะวิ่งตามแต่เขาก็หายไปในความมืดเสียแล้ว นวลกระแทกตัวลงนั่งอย่างเสียใจสุดๆ
ศรีเรือนเข้ามาดูสภาพเฟื่องที่โดนมัด จับเนื้อจับตัวลูกสาวอย่างสงสาร เฟื่องจากหมดแรงก็เริ่มรู้สึกตัว
“แม่...”
ศรีเรือนมองลูกสาวอย่างเป็นห่วง
“อดทนหน่อยนะลูก เจ้าคุณพ่อเย็นลงแล้ว แม่จะค่อยๆพูดให้ท่านปล่อยลูกนะ”
“ไม่ต้องห่วงข้าหรอกจ้ะแม่ ข้ายังไม่ยอมเป็นอะไรไปง่ายๆหรอกจ้ะ...จนกว่าข้าจะรู้ว่าชุนเป็นยังไงบ้าง”
ศรีเรือนโมโห
“นี่เจ้ายังจะคิดถึงผู้ชายคนนั้นอีกรึ...ป่านนี้มันคงหนีเตลิดไปถึงไหนๆละ”
เฟื่องไม่อยากจะเชื่อแต่ก็ไม่รู้ข่าวชุนเลย เลยตอบอะไรไม่ได้ ศรีเรือนลูบหัวลูกสาวอย่างเวทนาแล้วก็นั่งเฝ้าต่อไปไม่ยอมไปนอน เฟื่องเป็นห่วงชุนจับใจ
ชุนย่องกลับมาแถวเขตบ้านเฟื่อง ชะเง้อมองไปที่เรือนใหญ่ไม่เคยไป เคยอาศัยอยู่แต่ที่เรือนทาสร้าง ชุนไม่เห็นใครในสายตาก็วิ่งลัดเลาะตรงไปที่เรือนใหญ่ทันที
ชุนวิ่งลัดเลาะมาในความมืด กล้าๆกลัวๆ แต่ด้วยความห่วงเฟื่องเลยบ้าบิ่น ชุนชะงักเมื่อเห็นนายเบี้ยเดินตรวจตราความเรียบร้อยของบ้านเขารีบหลบในพุ่มไม้ รอจนนายเบี้ยเดินไปจึงออกจากที่ซ่อน จะขึ้นเรือน แล้วนึกอะไรได้ ไม่รู้ว่าห้องเฟื่องอยู่ไหน ถ้าขึ้นเรือนไปก็ไปไม่ถูก
ชุนเปลี่ยนใจเหลียวมองซ้ายขวา แล้วเห็นอะไรบางอย่าง เขายิ้มบางๆ
ชุนเอาบันไดไม้ไผ่พาดเข้าที่ฝาบ้าน แล้วค่อยๆปีนขึ้นไปที่หน้าต่างห้องที่คิดว่าน่าจะเป็นห้องของเฟื่อง เขาปีนขึ้นมาจนถึงที่หน้าต่าง พยายามเพ่งมองไปในห้องเห็นที่นอนกลางห้องมีมุ้งกลางคลุมที่นอนอยู่ จึงมองไม่ชัดว่าเป็นใครที่นอนอยู่ แต่ตัดสินใจปีนเข้ามาทางหน้าต่างแล้วย่องไปที่เตียง ชะโงกหน้าไปมองจนชิดมุ้งเห็นเป็นพระยาอารักษ์ก็ตกใจจนผงะถอนหลังไปชนอะไรบางอย่างจนเกิดเสียงดัง
พระยาอารักษ์ผุดลุกขึ้นทันที ชุนกลัวจนตัวสั่น รีบหมอบแนบพื้น กลั้นหายใจ พระยาอารักษ์เหลียวมองไปรอบๆไม่เห็นอะไรผิดปกติ มองไปที่หน้าต่างเห็นกิ่งไม้แกว่งไกวกระทบหน้าต่าง จึงลงนอนต่อ ชุนแอบถอนใจ แล้วชะโงกมองดูจนเห็นว่าพระยาอารักษ์หลับต่อแล้ว จึงค่อยๆคลานกลับไปที่หน้าต่าง แล้วปีนกลับออกไปอย่างเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้
ชุนปีนบันไดกลับลงมาจนถึงพื้นแล้วโล่งอก ก่อนจะเอาบันไดไปที่อื่นต่อ...ชุนปีนขึ้นมาที่หน้าต่างห้องของเฟื่องอย่างระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียง เห็นเฟื่องนั่งหลับฟุบอยู่กับท่อนแขนเพราะมือถูกผูกมัดโยงอยู่กับเสาเรือน ชุนตกใจที่เห็นเธออยู่ในสภาพนั้นเขาอุทานออกมาเสียงไม่ดังนัก
“แม่หญิง”
ชุนรีบปีนหน้าต่างเข้ามาในห้องแล้วชะงัก เพราะเพิ่งเห็นว่ามีใครอีกคนหนึ่งฟุบหลับและใครคนนั้นคือศรีเรือนนั่นเอง ชุนกล้าๆกลัวๆแต่เมื่อเห็นเฟื่องอยู่ตรงหน้าเขาก็รีบพุ่งปราดไปที่เธอทันทีแล้วร้องเรียกเบาๆ
“แม่หญิง...”
เฟื่องรู้สึกตัวตื่นขึ้น
“ชุน”
ชุนรีบปิดปากเฟื่องไม่ให้เผลอตัวพูดเสียงดัง เฟื่องเหลียวไปมองแม่เห็นศรีเรือนยังคงหลับอยู่ เฟื่องหรี่เสียงลง
“ชุนมาได้ยังไงกัน ข้านึกว่าเจ้าหนีไปไกลแล้ว”
“ข้าจะหนีเอาตัวรอดไปคนเดียวได้อย่างไรกัน ทั้งๆที่รู้เจ้าคงจะต้องถูกลงโทษแน่” ชุนมองสภาพเฟื่องแล้วหน้าสลดลง “แต่ข้าไม่นึกว่าเจ้าจะถูกลงโทษหนักถึงเพียงนี้”
“ข้าไม่เป็นไรหรอก เจ็บแค่นี้ อีกไม่นานก็คงหาย แต่ข้าเป็นห่วงเจ้ามากกว่า”
ชุนรวบตัวเฟื่องมากอด
“ข้าก็เป็นห่วงเจ้า...”
แล้วโดยที่ทั้งสองไม่ทันคาดคิด ศรีเรือนก็ตื่นขึ้นมาพอเห็นว่ามีผู้ชายกอดรัดเฟื่องอยู่ ศรีเรือนก็ตกใจสุดขีด ร้องกรี๊ดออกมาสุดเสียง ทั้งชุนและเฟื่องตะลึง ชุนจึงรีบเข้าไปปิดปากศรีเรือน เฟื่องรีบบอก
“แม่...อย่าร้อง นี่ชุนเอง”
ศรีเรือนหยุดร้อง ชุนค่อยๆเอามือที่ปิดปากออก ศรีเรือนจ้องมองชุนอย่างพิจารณา
“เอ็งเข้ามาได้ยังไงรึ”
“ข้า...”
ชุนยังไม่ทันจะตอบ ก็มีเสียงทุบประตูหน้าห้องปังๆ พร้อมกับเสียงพระยาอารักษ์ดังมา
“แม่ศรีเรือน แม่ศรีเรือน…”
พระยาอารักษ์ทุบประตูหน้าห้องเฟื่องปังๆด้วยความร้อนใจ นายเบี้ยและบ่าวอื่นๆค่อยๆวิ่งเข้ามาสมทบ หน้าตาตื่นตระหนกตกใจไม่แพ้กัน
“เกิดอะไรขึ้นในห้องนั่น”
ทั้งสามในห้อง ละล้าละลังทำอะไรไม่ถูกกันไปหมดทุกคน
“เอ้อ...” ศรีเรือนอึกอัก
เฟื่องกำชับ
“แม่อย่าบอกเจ้าคุณพ่อนะเจ้าคะ...ว่าชุนอยู่ในนี้ เพราะถ้าเจ้าคุณพ่อรู้ เจ้าคุณพ่อไม่ปล่อยชุนเอาไว้แน่”
ศรีเรือนมองหน้าเฟื่องสลับกับชุนไปมาอย่างตัดสินใจไม่ได้ เสียงพระยาอารักษ์ตะโกนถามเข้ามาอีก
“มีใครเป็นอะไร”
ศรีเรือนเห็นแก่ลูก
“ไม่มีใครเป็นอะไรเจ้าค่ะ...คุณพี่ น้อง...ฝันร้ายไปเจ้าค่ะ”
“งั้นรึ...”
แล้วเสียงพระยาอารักษ์ก็เงียบไป ทั้งสามในห้องสีหน้าผ่อนคลายลงแล้วโดยที่ไม่มีคาดคิด นายเบี้ยก็กระแทกประตูห้องจนประตูห้องเปิดผ่างออก พระยาอารักษ์พุ่งพรวดตามเข้ามา ในมือมีดาบมาด้วย เฟื่อง ชุน และศรีเรือน ตะลึงไปตามๆกัน
“เจ้าคุณพ่อ”
“คุณพี่”
พระยาอารักษ์เอาดาบชี้ใส่หน้าชุน แล้วตะโกนสั่งนายเบี้ยและบ่าวอื่นๆ
“จับมัน”
“ชุน หนีไปเร็ว...หนีไป”
ชุนละล้าละลัง วิ่งกลับไปที่หน้าต่าง แต่ก็ถูกนายเบี้ยและเหล่าบ่าวชายเข้าล้อมหน้าล้อมหลัง แล้วนายเบี้ยก็พุ่งเข้าล็อคตัวไว้ ชุนพยายามดิ้นสู้ แต่ก็สู้แรงนายเบี้ยไม่ได้เพราะเพิ่งฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บมาได้ไม่นาน พระยาอารักษ์เดินตรงเข้าไปหาชุน เฟื่องตาเหลือก
“เจ้าคุณพ่ออย่าทำอะไรชุนนะเจ้าคะ”
พระยาอารักษ์หันไปจ้องหน้าเฟื่องอย่างแค้นใจแล้วเสียงกร้าว
“รักมันมากใช่มั๊ย”
พระยาอารักษ์เอาด้ามดาบที่ถืออยู่ในมือกระแทกเข้าที่หัวชุนเต็มแรง เฟื่องร้องกรี๊ดเมื่อเห็นชุนทรุดฮวบลงทันทีโดยไม่มีเสียงร้องอะไรเลย แต่เลือดไหลอาบออกจากขมับตรงที่ถูกด้ามดาบกระแทกทันที
นวลสะดุ้งตื่นลุกพรวดพราดขึ้นพร้อมกับตะโกนเสียงดัง
“ชุน”
นวลหน้าตาตื่น หายใจหอบถี่อย่างคนตกใจ พรานมีวิ่งเข้ามา
“เอ็งเป็นอะไรไปรึนวล”
“ข้าฝันร้ายน่ะจ้ะพ่อ ข้าฝันเห็นชุน มีเลือดออกจากหัวด้วยจ้ะพ่อ”
นวลทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ พอพรานมีเดินเข้ามาใกล้ นวลเลยโผเข้ากอดเอวพ่อไว้เพื่อยึดเป็นที่มั่น
“มันเหมือนจริงมาก ไม่เหมือนความฝันเลยจ้ะพ่อ มัน...น่ากลัวจังเลย ข้าเป็นห่วงชุนจริง”
“ทำใจดีๆไว้ก่อนนวล ชุนมันเป็นคนดี มันคงไม่เป็นอะไรหรอก เอ็งแค่ฝันร้ายเพราะเป็นห่วงชุนมันมากไปน่ะ”
“จริงเหรอพ่อ”
พรานมีพยักหน้า แต่แววตามีแววกังวลอยู่เหมือนกัน
วันใหม่...ชุนค่อยๆได้สติลืมตาขึ้นเลือดที่ขมับแห้งกรังไปแล้ว เขามองไปรอบๆพบว่าตัวเองถูกล่ามโซ่ตรวน ขึงอยู่กลางลานทาส มีนายเบี้ย อุ่น ทับทิม สร้อย และทาสอื่นๆ นั่งล้อมวงอยู่แล้ว กำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ชุนพยายามจะกระชากโซ่ตรวนที่ล่ามตนออก แต่พบว่ามันล่ามไว้อย่างแข็งแรงและแน่นหนาเหลือเกิน พระยาอารักษ์ เดินลากเชือกที่มัดมือเฟื่องทั้งสองข้างเอาไว้อย่างแน่นหนาเข้ามา ศรีเรือนเดินตามหลังมาด้วย เฟื่องร้องไห้
“พ่ออย่าทำอะไรชุนนะ...ข้าขอร้อง”
แต่พระยาอารักษ์ไม่สนใจ พอเดินเข้ามาใกล้ พระยาอารักษ์ก็หยุดยืนมองหน้าชุนอย่างแค้นเคือง แล้วหันไปสั่งนายเบี้ย
“นายเบี้ย เฆี่ยนจนกว่ามันจะตายคาหวาย”
“อย่านะนายเบี้ย อย่าเฆี่ยนชุน” เฟื่องร้องห้าม
แต่นายเบี้ยก็เดินตรงเข้าไปหาชุนหน้าตาไม่เต็มใจที่จะเฆี่ยนนัก หันไปมองอุ่นกับทับทิม เป็นทำนองว่า...ถึงอย่างไรเขาก็ต้องทำตามคำสั่งของพระยาอารักษ์อยู่ดี แล้วนายเบี้ยก็เริ่มต้นเฆี่ยน ชุนสะดุ้งสุดตัวหลังแตกเป็นแนว เลือดไหลซึมออกมาตามรอยเฆี่ยนทันที
“ชุน”
เฟื่องทรุดลงนั่งคุกเข่า ยกมือไหว้พ่อ ขณะที่นายเบี้ยยังคงเฆี่ยนชุนต่อไป
“เจ้าคุณพ่อเจ้าขา...อย่าเฆี่ยนชุนเลยเจ้าค่ะ”
แต่พระยาอารักษ์ก็มองดูนายเบี้ยเฆี่ยนชุนหน้านิ่งเฉย เฟื่องตัดสินใจกราบแทบเท้าพ่อ
“ลูกขอร้องละเจ้าค่ะ...”
พระยาอารักษ์หันกลับมามองเฟื่อง เห็นลูกสาวยังคงกราบอยู่แทบเท้าตน พระยาอารักษ์อารักษ์นิ่วหน้านิดหนึ่ง นายเบี้ยชะงักค้างหยุดเฆี่ยนชุนเหมือนจะรอว่าพระยาอารักษ์จะเปลี่ยนคำสั่งหรือไม่ แล้วพระยาอารักษ์ก็หันไปสั่งนายเบี้ยอีกครั้ง
“เฆี่ยนไปจนกว่ามันจะตายคาหวาย”
“ไม่...” เฟื้องโผเข้ากอดขาพ่อแล้วร้องไห้ใจจะขาด “อย่าเฆี่ยนชุนนะเจ้าคะ ยังไงเสีย...เขาก็คือผัวของข้า”
พระยาอารักษ์ได้ยินคำนี้ก็อารมณ์เดือดขึ้นมาทันที จิกหัวเฟื่องแล้วลากไป หันไปเรียกบ่าวชายสองคน
“มึงสองคนตามกูมานี่”
บ่าวชายสองคนเดินตามพระยาอารักษ์ไปตามคำสั่งทันที ศรีเรือนวิ่งตาม
“คุณพี่จะพาลูกไปไหนเจ้าคะ”
พระยาอารักษ์ไม่ตอบ ยังคงจิกหัวเฟื่องลากไป อุ่นกับทับทิมตัดสินใจตามไปด้วยเพราะใจเป็นห่วงเฟื่อง มีบ่าวชายสองคน และศรีเรือนวิ่งตามไปด้วย ในขณะที่นายเบี้ยยังคงเฆี่ยนชุนต่อไป สร้อยหันมามองดูชุนที่กำลังถูกเฆี่ยนอยู่แล้วหันไปมองพระยาอารักษ์
แล้วสร้อยก็ตัดสินใจตามไปดูเหตุการณ์ที่พระยาอารักษ์ต่อไป
โปรดติดตามตอนต่อไป
นางมาร ตอนที่ 6
พระยาอารักษ์จิกหัวเฟื่องลากเข้ามา อุ่น ทับทิม ศรีเรือน และบ่าวชายสองคนวิ่งตามมา
“คุณพี่พาลูกมาที่นี่ทำไมเจ้าคะ”
พระยาอารักษ์ไม่ตอบ แต่เดินไปหยิบตรวนที่วางอยู่แถวนั้นมา แล้วสั่งบ่าวชาย
“เอ็งสองคนช่วยกันตีตรวนนังเฟื่องที เอาให้แน่นหนา อย่าให้มันหลุดไปได้เชียว ถ้ามันหลุดไปได้ เอ็งสองคนหลังขาดแน่”
บ่าวชายสองคนรีบรับตรวนจากพระยาอารักษ์มาตีตรวนเข้าที่ข้อเท้าทั้งสองข้างของเฟื่อง อุ่นกับทับทิมตกใจ
“คุณหนู”
อุ่นโผเข้าไปหาพระยาอารักษ์
“ท่านเจ้าคุณเจ้าขา...อย่าตีตรวนคุณหนูเลยนะเจ้าคะ”
พระยาอารักษ์ไม่พูดอะไร แต่สะบัดหลังมือตบ อุ่นฟุบไป ทับทิมรีบเข้าไปดูเพื่อน ส่วนเฟื่องได้แต่ร้องไห้ ศรีเรือนร้องไห้ด้วยเมื่อเห็นลูกถูกตีตรวน พุ่งเข้ามาเกาะขาพระยาอารักษ์
“ทำไมถึงกับต้องตีตรวนลูกราวกับนักโทษเช่นนี้ด้วยเจ้าคะคุณพี่ นี่ลูกสาวแท้ๆของเรานะเจ้าคะ”
“กูไม่มีลูกที่ไม่รักดีเยี่ยงนี้”
บ่าวสองคนตีตรวนเฟื่อง ศรีเรือนถามอย่างเป็นห่วง
“แล้วนี่คุณพี่จะตีตรวนลูกเราไปนานแค่ไหนเจ้าคะ”
“ก็จนกว่ามันจะตายนั่นแหละ”
ศรีเรือนร้องไห้โฮ
“โธ่...คุณพี่...”
พระยาอารักษ์สั่งบ่าวชายทั้งสองคน
“เฝ้ามันไว้ ไม่ต้องให้ข้าวให้น้ำ”
“ขอรับ”
พระยาอารักษ์ยืนมองดูเฟื่องถูกตีตรวนอย่างแน่นหนา โดยมีศรีเรือน อุ่น ทับทิม ร้องไห้ไม่เลิก แต่ไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร สร้อยสะใจอย่างที่สุด
นายเบี้ยยังคงเฆี่ยนชุนอยู่ตามคำสั่งของพระยาอารักษ์ ชุนยังไม่ตายแต่สลบไปแล้ว หลังของเขาอาบไปด้วยเลือด ทาสคนอื่นๆมองด้วยความหวาดเสียว นายเบี้ยหยุดเฆี่ยน บ่าวชายถามขึ้น
“อ้าว...หยุดเฆี่ยนเสียทำไมล่ะนายเบี้ย”
นายเบี้ยโยนหวายทิ้ง
“ข้าเฆี่ยนมันต่อไปไม่ไหวแล้ว มันก็คน จะให้ข้าเฆี่ยนมันจนตายคาหวาย ข้าทำไม่ได้”
“อ้าว...แต่ท่านเจ้าคุณท่านสั่งว่า...”
“ข้ารู้ แต่ไอ้ลูกจีนนี่มันไม่ได้ทำอะไรผิด...นอกจากมันรักกันกับคุณหนู ถ้ามันจะผิด มันก็ผิดที่มันเกิดมาต่ำต้อย ต่ำ...เหมือนอย่างเอ็ง เหมือนอย่างข้านี่แหละ”
“แล้วนายเบี้ยจะเอายังไงต่อล่ะ”
“พวกเอ็งแก้มัดมัน แล้วหามมันไปไว้ที่เรือนข้า”
พวกบ่าวชายช่วยกันแก้มัดให้ชุนที่ยังสลบไม่ได้สติ แล้วหามออกไป
“แต่ถ้าท่านเจ้าคุณรู้ว่านายเบี้ยไม่ได้ทำตามคำสั่งท่าน นายเบี้ยเองก็ต้องมีความผิดเหมือนกัน”
นายเบี้ยนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง
“เรื่องนั้นข้าจัดการเอง”
นายเบี้ยมารายงานพระยาอารักษ์
“ไอ้ลูกจีนนั่นมันตายคาหวายแล้วขอรับท่านเจ้าคุณ”
พระยาอารักษ์ผุดลุกขึ้นทันที
“ข้าจะไปดูศพมัน”
“อย่าเลยขอรับ สภาพศพมันไม่น่าดูนักขอรับ แต่กระผมมีบางอย่างมาให้ท่านเจ้าคุณ”
พูดจบนายเบี้ยก็ยื่นกล่องเล็กๆ กล่องหนึ่งมาตรงหน้าพระยาอารักษ์ แล้วเปิดออกให้พระยาอารักษ์ดูภายในกล่อง เห็นเป็นหัวใจสดๆ ดวงหนึ่ง บรรจุอยู่ในภายในกล่อง
“หัวใจของไอ้ลูกจีนคนนั้นขอรับ”
พระยาอารักษ์มองหัวใจสดๆที่อยู่ในกล่องนั้นเงียบๆอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็แสยะยิ้มออกมา
“ดี”
ว่าแล้วพระยาอารักษ์ก็คว้ากล่องนั้นแล้วเดินไปที่ใต้ถุนเรือนทันที นายเบี้ยมองตามพระยาอารักษ์ไปด้วยสีหน้ากังวล
เฟื่องที่ถูกตีตรวนนั่งอ่อนระโหยอยู่ โดยมีศรีเรือน อุ่นและทับทิมนั่งเฝ้าอยู่อย่างไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านี้ได้ พระยาอารักษ์เดินเข้ามาพร้อมกล่องในมือ พอเดินเข้ามาถึงตัวเฟื่อง พระยาอารักษ์ก็หยุดยืนมองหน้าลูกสาวด้วยความแค้นใจสุดขีด
“เอ็งรักกับไอ้ลูกจีนคนนั้นมันมากนักใช่มั๊ย...อีเฟื่อง”
“เจ้าค่ะ...เจ้าคุณพ่อ เราสองคนรักกัน”
“ถ้าเอ็งรักมัน เอ็งก็คงจะอยากได้หัวใจมันไว้ใช่มั๊ย”
เฟื่องกับศรีเรือนมองพระยาอารักษ์อย่างสงสัย พระยาอารักษ์เปิดกล่องที่ถือมาให้เฟื่องดู
“เอ้า นี่...ข้าเอาหัวใจของไอ้ลูกจีนมาให้เอ็ง”
เฟื่องก้มลงมองของในกล่อง พอเห็นว่าเป็นอะไร เธอก็ร้องกรี๊ดออกมาสุดเสียง เข้าใจว่าชุนตายไปแล้วจริงๆ
“ไม่...เป็นไปไม่ได้...ไม่จริ๊ง”
ขาดคำเฟื่องก็หงายเงิบหมดสติไปเลย ศรีเรือนกรีดร้องด้วยความตกใจเมื่อเห็นอาการของลูก ผวาเข้าไปดูอาการทันที อุ่นกับทับทิมเข้าไปดูด้วย ในขณะที่พระยาอารักษ์ยืนมองดูเฟื่องด้วยสีหน้าแค้นใจสุดขีดเมื่อเห็นว่าเฟื่องรักชุนมากเกินกว่าที่คิดไว้ สร้อยสะใจมาก
สร้อยเอาเรื่องในบ้านเฟื่องมารายงานพันตามข้อตกลง พันตบเข่าด้วยความเจ็บใจ
“ไอ้ลูกจีนนั่นมันตายง่ายเกิน ไป มันสมควรถูกทรมานจนกว่าจะตายมากกว่านี้”
ด้วงขัดขึ้น
“แต่ยังไงๆ มันก็ตายไปแล้วละลูก ทีนี้...เจ้าจะเอายังไงต่อล่ะพ่อพัน”
“เตรียมตัวไปสู่ขอแม่เฟื่องตามกำหนดเดิมน่ะสิขอรับแม่ ทีนี้ก็ถึงคราวแม่เฟื่องจะต้องเจ็บ ต้องอาย จนแทบจะตายตามไอ้ลูกจีนนั่นไปเลย”
พันยิ้มเหี้ยม
ชุนที่ค่อยๆลืมตาขึ้น งุนงง ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แล้วก็เห็นนายเบี้ยชะโงกหน้ามามอง
“ฟื้นแล้วรึ”
ชุนกระถดตัวหนีด้วยความกลัวนายเบี้ย
“ข้าไม่ทำอะไรเอ็งหรอก หลังเอ็ง...ข้าก็เอายาพอกสมาน แผลไว้ให้แล้ว แต่เอ็งจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ เอ็งต้องไปจากที่นี่” นายเบี้ยเอาห่อผ้าส่งให้ชุน “แล้วนี่...เสบียงกรังพอให้เอ็งเอาติดตัวไปได้สัก 2 วัน ไปซะ แล้วก็อย่ากลับ มาที่นี่อีก”
ชุนงง
“ทำไม...ท่านช่วยข้าทำไม”
“อย่าถามอะไรมากเลย ถ้าเอ็งลุกไหว ก็รีบไปซะ อย่าช้า”
ชุนยกมือไหว้นายเบี้ยอย่างสำนึกบุญคุณแล้วรับห่อผ้ามา รีบออกจากเรือนไป
นายเบี้ยเดินตามออกมาส่งชุนที่หน้าเรือน สร้อยเดินผ่านมาพอดีเห็นนายเบี้ยส่งอัฐจำนวนหนึ่งให้ชุน แล้วชุนก็ไหว้ลานายเบี้ยอีกครั้ง สร้อยตาโต
“นั่นมันไอ้ลูกจีนนี่ มันยังไม่ตายหรอกรึนี่ งั้นก็แสดงว่านายเบี้ยโกหกท่านเจ้าคุณ” สร้อยคิดๆๆ “ดีละ”
สร้อยก็สะกดรอยตามหลังชุนไป โดยที่ชุนไม่รู้ตัว
ชุนเดินโผเผหนีมาตามทางแล้วหันไปมองข้างหลัง เพื่อดูว่ามีใครตามมารึไม่แล้วก็เลยถูกท่อนไม้ฟาดเข้าที่ท้ายทอยจนฟุบนิ่งไป คนที่เอาไม้ฟาดหัวชุน คือสร้อยนั่นเอง สร้อยดูจนแน่ใจว่าชุนสลบจริงๆก็จัดแจงลากเอาตัวชุนไปนั่งพิงต้นไม้ไว้ แล้วค้นหาของตามตัวชุน เจออัฐที่นายเบี้ยให้ชุนไว้ สร้อยยิ้มดีใจเงินเล็กน้อยมันก็เอาหมด สร้อยรีบเอาอัฐนั้นยัดใส่ชายพกตัวเองแล้วก็รีบวิ่งกลับไปที่เรือน
เฟื่อง อุ่น และทับทิมหลับอยู่ สร้อยย่องเข้ามาแล้วเอามือปิดปากเฟื่องไว้ เฟื่องตกใจตื่น จะร้อง แต่สร้อยรีบกระซิบ
“อย่าร้องเจ้าค่ะคุณหนู บ่าวเอง”
เฟื่องหันมามอง เห็นเป็นสร้อยก็ตาโตแปลกใจ สร้อยเห็นเฟื่องรู้ตัวดีแล้วก็คลายมือที่ปิดปากเฟื่องออกแล้วเอากุญแจไขตรวนออก
“เอ็งจะทำอะไรน่ะ”
“บ่าวจะปลดตรวนให้คุณหนูน่ะสิเจ้าคะ บ่าวไปขโมยกุญแจมาจากบนเรือนคุณหนู...ฟังบ่าวให้ดีนะเจ้าคะ นายชุนยังไม่ตาย”
เฟื่องลืมตัว
“ชุนยังไม่ตาย”
สร้อยรีบปิดปากเฟื่องอีกครั้ง แล้วพยักหน้า
“นายเบี้ยแอบปล่อยนายชุนไป ไม่ได้เฆี่ยนมันจนตายคาหวายอย่างที่ท่านเจ้าคุณสั่งหรอกเจ้าค่ะ แล้วบ่าวไปเจอนายชุนเข้าโดยบังเอิญ เลยรู้ว่าเวลานี้นายชุนหลบพักอยู่ที่ซุ้มไม้ใหญ่ตรงกำแพงเมือง คุณหนูรีบไปพบนายชุนเถอะเจ้าค่ะ แล้วหนีไปเสียด้วยกัน”
“แต่ข้าไม่เข้าใจ เอ็งมาบอกข้า มาช่วยข้าทำไม”
“ก็เพราะบ่าวเชื่อว่า...คนอย่างนายชุนไม่มีทางหนีเอาตัวรอดไปคนเดียวน่ะสิเจ้าคะ เขาต้องกลับมาช่วยคุณหนูอีกแล้วถ้าคราวนี้ถูกท่านเจ้าคุณจับได้ ท่านเจ้าคุณคงจะฆ่านายชุนด้วยมือตัวเองแน่เจ้าค่ะ คุณหนูเอง...ถึงจะเป็นลูกก็คงไม่แคล้วถูกลงโทษหนักกว่าเดิมแน่”
เฟื่องหลงกล
“ข้าขอบใจเอ็งจริงๆนังสร้อย ถ้าข้าไม่ตายเสีย ข้าจะกลับมาทดแทนบุญคุณเอ็ง ที่เอ็งช่วยข้าในคราวนี้”
“ไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะ บ่าวช่วยโดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนอะไร รีบไปเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวคนบนเรือนตื่น จะเกิดเรื่องใหญ่เสียเปล่าๆ”
เฟื่องพยักหน้าเห็นด้วย
“รีบไปเจ้าค่ะ นายชุนรออยู่...”
เฟื่องวิ่งไป แต่ไม่วายเหลียวมามอง อุ่นกับทับทิม แล้วหันขึ้นไปมองบนเรือนเหมือนอยากอำลาพ่อกับแม่เป็นครั้งสุดท้ายด้วยความอาลัยแล้วจึงวิ่งหนีไป ผ่านหน้าผีเดือนที่ปรากฏตัวขึ้น
“คุณหนูอย่าไปเจ้าค่ะ มันเป็นเล่ห์เพทุบายของพี่สร้อย”
แต่เฟื่องก็ไม่ได้ยินเสียแล้ว ใจจดจ่ออยู่กับการไปหาชุน ผีเดือนทำหน้ากลุ้มใจมาก สร้อยสะใจมาก แล้วเดินไป
สร้อยเอาก้อนหินเขวี้ยงใส่หน้าต่างห้องพระยาอารักษ์ แต่ระวังไม่ให้ก้อนหินหล่นเข้าไปในห้อง ให้กระทบที่ผนังอย่างเดียว แบบพอปลุกให้คนในห้องตื่นเท่านั้น สร้อยเขวี้ยงอยู่ 2-3 ที ก็เห็นแสงตะเกียงในห้องพระยาอารักษ์สว่างขึ้น สร้อยยิ้มแล้ววิ่งหลบหายไปในความมืดอย่างไร้ร่องรอย
พระยาอารักษ์เดินถือตะเกียงส่องดูว่าเสียงอะไรที่ดังอยู่เมื่อครู่ที่ทำให้เขาตื่นขึ้นมา แต่ก็หาต้นเหตุของเสียงไม่เจอ พระยาอารักษ์จึงเดินตรวจบ้านเรื่อยมา...พระยาอารักษ์เดินถือตะเกียงลงมาที่ใต้ถุนเรือนเพื่อดูความเรียบร้อย แล้วก็ต้องตะลึง เมื่อเห็นว่าอุ่นและทับทิมหลับอยู่แต่เฟื่องหายไปแล้ว พระยาอารักษ์พุ่งเข้าไปผลักอุ่น ทับทิมให้ตื่นเต็มแรง ตะโกนถามด้วยความโมโหสุดเสียง
“อีเฟื่องหายไปไหน หา”
อุ่น และทับทิมตกใจตื่น หันมองไปที่เฟื่องเคยถูกตีตรวนอยู่ ไม่เห็นเฟื่องก็ยิ่งตกใจใหญ่ ศรีเรือนเพิ่งเข้ามา เห็นเฟื่องหายไปก็ตกใจ
“ลูก...ลูกหายไปไหนเจ้าคะคุณพี่”
“จะไปรู้เรอะ เอ็งเป็นแม่ทำไมไม่มานอนเฝ้าอีเฟื่องปล่อยให้มันหายไปได้ยังไง”
พูดจบพระยาอารักษ์ก็สะบัดหลังมือตบหน้าศรีเรือนด้วยความโกรธอย่างควบคุมไม่อยู่ ศรีเรือนถึงกับล้มคว่ำไปเลย อุ่นกับทับทิมรีบเข้าไปช่วยศรีเรือน พระยาอารักษ์โมโหสุดขีด
เฟื่องวิ่งมาแล้วก็มองไปที่ใต้ต้นไม้เห็นชุนนั่งพิงต้นไม้ ไม่ได้สติอยู่ เฟื่องวิ่งเข้าไปหาทันที จับตัวเมื่อรู้ว่าเขายังไม่ตายจริงๆก็ดีใจมาก
“ชุน...”
ชุนเริ่มได้สติขึ้นมา พอเห็นเฟื่องก็แปลกใจ
“คุณหนู”
แล้วทั้งคู่ก็โผเข้ากอดกันด้วยความดีใจอย่างที่สุด
“คุณหนูออกมาได้ยังไง”
“ข้าหนีมา ข้านึกว่าชาตินี้จะไม่ได้พบหน้าเจ้าอีก พ่อบอกว่าเจ้าตายแล้ว ยังเอาหัวใจเจ้ามาให้ข้าดูด้วย”
“ทั้งหมดเป็นเพระนายเบี้ยช่วยชีวิตข้าเอาไว้...คุณหนูเราสองคนรอดแล้ว”
ทั้งคู่โผเข้ากอดกันอีกครั้ง
“ชุน เราต้องหนีไปให้ไกลจากที่นี่ ไกลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะถ้าเจ้าคุณพ่อออกมาตามหาข้า แล้วมาเจอเราสองคนอยู่ด้วยกันอย่างนี้ คงไม่แคล้วตายทั้งสองคนแน่ ชุนรีบไปกันเถอะ อย่าเสียเวลาเลย”
ชุนพยักหน้า แล้วจะลุกวิ่งไปกับเฟื่องแต่ก็ทรุดลงเสียก่อนเพราะยังบาดเจ็บอยู่มาก เฟื่องหันไปมอง เห็นเลือดที่หัวชุนออกอีกและเลือดที่หลังก็ซึมออกมาอีก
“งั้นพักก่อนเถอะชุน ไปตอนนี้...เจ้าไปไม่ไหวแน่”
ชุนยอมให้เฟื่องประคองนั่งลง เขาหลับตาลงอย่างเพลียจัด เฟื่องมองอย่างเป็นห่วงสุดๆ
พันนอนกกกอดบ่าวหญิงหลับอยู่อย่างสบายอารมณ์ มีเสียงเคาะประตูดังระรัวขึ้น พันสะดุ้งตื่น อารมณ์เสียทันที
“ใครวะ”
“บ่าวเองขอรับ นังสร้อยมันมาขอพบนายด่วนขอรับ”
พันตาตื่นทันที
พันตกใจ เมื่อได้ฟังสิ่งที่สร้อยมาเล่า
“อะไรนะ...แม่เฟื่องหนีออกจากเรือนไป”
“เจ้าค่ะ” สร้อยโกหกหน้าตาย “คุณหญิงศรีเรือนเป็นคนยุให้หนีเพราะทนเห็นคุณหนูถูกตีตรวนไม่ได้ เลยลอบไขกุญแจปล่อยให้คุณหนูหนีไปเจ้าค่ะ พอดี...บ่าวตื่นจะไปเว็จ เลยเห็นเข้าโดยบังเอิญ บ่าวเลยลอบตามคุณหนูไป เลยรู้ว่าคุณหนูไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ซุ้มไม้ตรงกำแพงเมือง แล้วนายชุนก็อยู่ที่นั่นด้วย”
พันเสียงดังกว่าเดิม
“อะไรนะ ก็ไหนเอ็งว่าไอ้ลูกจีนนั่นมันตายแล้วไง”
“ทีแรกบ่าวก็คิดว่าตายแล้วเจ้าค่ะ แต่พอบ่าวแอบตามคุณหนูไปที่ซุ้มไม้ที่กำแพงเมือง แล้วเห็นนายชุนรอคุณหนูอยู่ที่นั่น บ่าวถึงได้รู้ว่านายเบี้ยกับคุณหญิงศรีเรือนน่ะคบคิดกัน คุณหญิงน่ะสงสารลูก ส่วนนายเบี้ยน่ะสงสารนายชุน สองคนนั่นก็เลยนัดแนะกันให้นายชุนกับคุณหนูหนีไปด้วยกันเจ้าค่ะ”
เพียรมองสร้อยอย่างสงสัย
“แล้วทำไมเอ็งไม่เอาความนี้ไปบอกท่านเจ้าคุณอารักษ์ มาบอกนายข้าทำไม”
“ก็ท่านเจ้าคุณเกลียดข้า ถ้าข้าเอาความนี้บอกแก่ท่านเจ้าคุณ ท่านเจ้าคุณก็ต้องคิดว่าข้าใส่ไคล้คุณหญิง ข้าก็คงจะโดนหวายอีกแน่ๆ ข้าก็เลยเอาความนี้มาบอกแก่คุณพัน...น่าจะดีกว่า”
พันนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วหันไปสั่งสิงห์กับเพียร
“ไอ้เพียร ไอ้สิงห์ เอ็งไปรวบรวมกำลังคนมาจำนวนหนึ่ง เอาอาวุธไปให้ครบมือ เราจะออกตามล่าตัวแม่เฟื่องกับไอ้เจ๊กนั่นกัน”
พันสีหน้าโมโหสุดขีด แต่สร้อยลอบยิ้มสะใจที่ยุให้ผู้คนวุ่นวายได้ และถ้าพันตามเฟื่องกับชุนเจอ พระยาอารักษ์กับศรีเรือนจะยิ่งอับอายขายหน้ามากขึ้นไปอีก
พวกพันมุ่งหน้าไปที่ซุ้มไม้กำแพงเมืองตามที่สร้อยบอก ฝ่ายพระยาอารักษ์ก็มาอีกทางหนึ่งพอเห็นพันก็แปลกใจ
“นั่นพ่อพันจะไปไหนรึ ปืนผาหน้าไม้อาวุธครบมือราวกับจะไปไล่ล่าใครกระนั้นแหละ”
“ก็เห็นจะไปไล่ล่าคนๆเดียวกับคุณอานั่นแหละขอรับ”
“นังเฟื่องน่ะเรอะ พ่อพันรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”
“มีคนไปบอกกระผมขอรับว่าแม่เฟื่องหนีออกจากเรือน ไปนัดพบกับผู้ชายที่ซุ้มไม้กำแพงเมือง”
พระยาอารักษ์ชะงัก
“อะไรนะ ผู้ชายอะไร”
นายเบี้ยหลุบตาลงต่ำทันที แต่พระยาอารักษ์ไม่ทันเห็น
“อย่าเพิ่งซักไซ้อะไรเวลานี้เลยขอรับ รีบตามหาตัวแม่เฟื่องให้เจอก่อนเถอะขอรับแล้วจะซักไซ้ไล่ความกันอย่างไร...ก็ค่อยว่ากัน”
พระยาอารักษ์พยักหน้ารับ แล้วทั้งหมดก็มุ่งหน้าไปที่ซุ้มไม้กำแพงเมืองทันที
นวลนอนไม่หลับ เป็นห่วงชุนมาก ในที่สุดก็ตัดสินใจลุกขึ้นนั่งแล้วพนมมือสวดมนต์
“ขอคุณพระคุณเจ้าคุ้มครองชุนด้วยเถิดเจ้าค่ะ ขออย่าให้ชุนมีภยันตรายใดๆเลย”
ชุนที่กำลังหลับๆอยู่ มีเฟื่องฟุบหลับอยู่ข้างๆ จู่ๆชุนก็ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหันคล้ายคำอธิษฐานจิตของนวลส่งมาถึง ทำให้ชุนมีลางสังหรณ์ ผุดลุกขึ้นนั่ง ทำให้เฟื่องพลอยตกใจตื่นลุกขึ้นนั่งตามไปด้วย
“มีอะไรรึชุน”
ชุนไม่ตอบ แต่ชะโงกหน้าไปมองที่ทางเดิน เฟื่องเลยชะโงกมองตาม เห็นกลุ่มพัน และกลุ่มพระยาอารักษ์มาด้วยกัน และกำลังตรงมาที่นี่ เฟื่องตกใจ
“เจ้าคุณพ่อ”
ชุนหันมาบอกเฟื่องทันที
“หนีเร็วแม่หญิง”
ทั้งคู่จับมือกัน แล้วออกวิ่งทันที พัน มองไปเห็นชุนกับเฟื่องกำลังหนี
“เฮ้ย...นั่น...”
ทุกคนออกวิ่งตามชุนกับเฟื่องไปทันที
ชุนกับเฟื่องหนีมาถึงริมน้ำแห่งหนึ่ง ทั้งคู่เหลียวกลับไปมองข้างหลัง เห็นกลุ่มของพัน และกลุ่มของพระยาอารักษ์ตามมาไม่ห่าง
“ใกล้ฟ้าสางแล้ว เราหนีไม่พ้นแน่”
เฟื่องกลัวจนตัวสั่นไปหมด
“แล้วเราจะเอายังไงกันดีล่ะชุน”
ชุนตัดสินใจ
“คุณหนู...ลงน้ำ…”
เฟื่องมองน้ำสีหน้าหวาดกลัว
“ไม่...ข้าว่ายน้ำไม่เป็น เจ้าก็รู้”
“งั้นคุณหนูไว้ใจข้าหรือไม่”
“ข้ายิ่งกว่าไว้ใจเจ้า”
“งั้นเกาะหลังข้าไว้”
เฟื่องทำตามที่ชุนบอกอย่างงงๆ
“คุณหนู กลั้นหายใจไว้”
เฟื่องกลั้นหายใจ ชุนก็กลั้นหายใจ แล้วก็โดดลงน้ำพาเฟื่องดำดิ่งลงไปใต้น้ำ กลุ่มพัน กับกลุ่มของพระยาอารักษ์วิ่งตามมา มองลงไปที่แม่น้ำไม่เห็นชุนกับเฟื่อง พระยาอารักษ์กับพันหันมามองหน้ากันเป็นเชิงปรึกษา
“กระผมจะไปหาทางโน้น คุณอาไปหาทางนั้น มันไม่น่าจะหนีไปไหนกันได้ไกลหรอกขอรับ”
พระยาอารักษ์พยักหน้ารับ แล้วทั้งสองกลุ่มก็แยกย้ายกันออกไปค้นหาชุนกับเฟื่องคนละทาง ชุนซึ่งมีเฟื่องเกาะหลังอยู่ ก็โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำอีกครั้งเพื่อหายใจ ทั้งคู่ชะโงกดู ไม่เห็นกลุ่มพันและกลุ่มพระยาอารักษ์แล้วก็ถอนใจโล่งอก
“แต่เราอยู่แถวนี้ คงไม่ปลอดภัยหรอกคุณหนู”
“แล้วเราจะเอายังไงกันดีล่ะชุน ปีนกลับขึ้นไปบนฝั่ง ก็คงหนีไม่พ้นแน่”
ชุนนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง
“ถ้าเรากลับขึ้นฝั่งไม่ได้ เราก็จะต้องหนีไปทางน้ำนี่แหละ”
“ยังไง”
ชุนจับแขนเฟื่องให้เกาะหลังเขาอีกครั้ง เฟื่องเข้าใจเกาะหลังเขา ชุนลงน้ำอีกครั้ง แล้วว่ายไปโดยมีเฟื่องเกาะหลังไป โดยมีผีเดือนมายืนมองตามเฟื่องไปอย่างเป็นห่วง แต่ไม่รู้จะทำอะไรได้
พันมองหาชุนกับเฟื่องไม่เจอเลย ยิ่งอารมณ์เสีย
“มันหายไปไหนเร็วจริงวะ ไหนอีสร้อยว่ามันเจ็บ”
“นั่นสิขอรับ”
พันมองหาอีก แต่ก็ไม่เห็นชุนกับเฟื่องเลย อารมณ์เสียหนักไปอีก
พระยาอารักษ์ นายเบี้ย บ่าวชายมาหาอีกมุมหนึ่ง
“ฮึ่ย อีลูกไม่รักดีมันหายไปไหนวะ แล้วไอ้ผู้ชายคนที่พามันหนีนั่น มันใครกันทำไมรูปร่างหน้าตามันคล้ายกับไอ้ลูกจีนคนนั้น”
พระยาอารักษ์หันขวับไปมองนายเบี้ย นายเบี้ยก้มหน้าทันที
“อย่าบอกนะว่ามึงโกหกกู เอาหัวใจของตัวอะไรมาให้กูดู แล้วหลอกกูว่ามันตาย แต่ที่แท้มึงปล่อยให้มันหนีไปกับลูกกูน่ะ”
นายเบี้ยไม่ตอบ เอาแต่ก้มหน้า พระยาอารักษ์ระเบิดอารมณ์ ใช้ดาบที่ถืออยู่ในมือฟันนายเบี้ยฉับ นายเบี้ยถึงกับตาเหลือก ร้องไม่ออกสักแอะขณะที่ล้มลงตายทั้งๆที่ตายังเบิกโพลงอยู่ คนอื่นๆตะลึงไปตามๆกัน แล้วพระยาอารักษ์ประกาศก้อง
“ใครคิดคดทรยศกู โกหกกู หลอกกู ทำให้กูเจ็บใจ มันจะต้องได้รับโทษอย่างไอ้นี่” พระยาอารักษ์ชี้ที่ศพนายเบี้ย “ทุกคน”
บ่าวอื่นๆก้มหน้างุดด้วยความกลัวหัดหดกันทุกคน แล้วพระยาอารักษ์ก็ตะโกนสุดเสียงด้วยความแค้นใจอย่างที่สุด
“อีเฟื่อง”
ชุนพาเฟื่องว่ายน้ำมาถึงริมฝั่งไกลออกไปจากจุดเดิม ทั้งสองตะกายขึ้นฝั่งอย่างทุลักทุเล ชุนดูสภาพแย่มากเฟื่องมองเห็นวัดจึงบอกชุน
“ตรงนั้นมีวัดอยู่ด้วย เราไปพักที่นั่นกันเถอะชุน”
ชุนพยักหน้ารับ เฟื่องประคองชุนไปที่วัด
ในวัดร้าง เฟื่องประคองชุนนอนลง แล้วมองดูหน้าเขา
“ท่าทางเจ้าดูไม่ดีเลยชุน”
“คุณหนู...เห็นทีข้าจะไปไม่รอดแล้วละ”
เฟื่องร้องไห้
“ไม่...อย่าพูดเช่นนั้นสิชุน เจ้าต้องอยู่กับข้า เราสองคนจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”
“คุณหนู...ยอมรับความจริงเสียเถอะ ข้ารู้อาการของข้าดี”
“ไม่ๆ เจ้าอย่าพูดอย่างนี้สิชุน อย่าพูด”
แล้วทันใดนั้นชุนก็กระอักเลือดออกมา เฟื่องเห็นอาการของชุนแล้วก็ร้องไห้โฮ แล้วคว้าตัวเขามากอดปลอบโยน ร้องไห้อย่างไม่รู้จะทำอะไรได้ดีไปกว่านั้น
บ่ายคล้อยวันใหม่ ชุนสภาพเริ่มแย่นอนอยู่บนตักนิ่ง เฟื่องเองก็อ่อนแรงลงเหมือนกัน ไม่นานชุนก็กระอักเลือดออกมาอีก เฟื่องกระวนกระวายใจอีก
“ชุน อดทน เข็มแข็งไว้นะ เจ้าอย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ”
“คุณหนู...กลับไปเสียเถอะ ปล่อยข้าตายอยู่ที่นี่นั่นแหละ ขืนคุณหนูอยู่เราอาจต้องตายทั้งคู่”
“ไม่...ข้าไม่กลับ ขืนกลับไปข้าก็ต้องตายทั้งเป็นอยู่ดีเจ้าคุณพ่อไม่ปล่อยข้าแน่ ข้าตัดสินใจหนีออกมาแล้ว นั่นก็คือถ้าเราหนีกันไม่รอดเราก็ต้องตายเหมือนกัน กลับไปมันก็มีค่าเท่ากัน”
ชุนซึ้งน้ำตาไหล เฟื่องมองไปรอบๆเห็นเป็นพระประฐานที่ตั้งอยู่ด้านโน้น จึงตัดสินใจประคองชุนไปตรงนั้น
“ข้าจะขออธิษฐาน”
ชุน พยายามจะขยับตัวลุกขึ้น เฟื่องประคองเขาคุกเข่าลงตรงหน้าพระประธานของวัดร้างแห่งนั้น ทั้งคู่พนมมือ
“ขอท่านสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ ที่แห่งนี้จงเป็นพยาน ชุน...ฟังนะ” เฟื่องหันมองชุนที่สภาพไม่ไหวแล้วพูดก็แทบจะพูดไม่ได้ “ข้าขอสาบาน...สาบานรักว่า ข้าจะไม่มีวันเปลี่ยนใจไปจากเจ้า ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน หากแม้ว่าชาตินี้เราสองคนไม่อาจอยู่เป็นคู่กันได้ ข้าก็จะขอตายไปพร้อมกับเจ้า และขอติดตามรักเจ้าทุกชาติไป”
สองคนหันมามองหน้ากัน แววตามุ่งมั่นจริงจัง แล้วต่างชะงักไป เพราะเริ่มมีเสียงพวกเหล่าคนที่ตามหาใกล้เข้ามาแล้ว เฟื่องเห็นท่าไม่ดีรีบประคองชุนออกไปจากที่นี่ทันที
เวลาโพล้เพล้ เฟื่องประคองชุนมาที่ริมผาหน้าตาชุนแย่ลงเรื่อยๆซีดเขียวใกล้ตายเต็มที เมื่อเธอพาเขามายืนที่ริมหน้าผาได้ เธอก็มองออกไปเห็นหุบเหวข้างล่างลึกน่ากลัว เฟื่องกลับไม่มีทีท่าหวาดกลัวเลย ยังหันมายิ้มกับชุนเสียอีก
“แปลกนะชุน ข้าไม่ยักกลัวเลย”
ชุนเสียงระโหยเต็มที
“คุณหนูยังเปลี่ยนใจทัน”
“ไม่...ข้าบอกแล้วไง ข้าไม่เปลี่ยนใจข้าดีใจเสียอีก ที่จะได้ตายพร้อมกันกับเจ้า”
“เราจะตายร่วมกัน”
“ไม่ว่าชาติไหนๆก็ขอให้ไม่มีผู้ใดมาพรากรักเจ้ากับข้าได้ ข้าจะขออยู่เคียงข้างและตามรักเจ้าทุกชาติไป”
ชุนพยักหน้าแล้วกอดเฟื่องไว้เป็นครั้งสุดท้าย แล้วทั้งคู่ก็จับมือกันเดินไปที่ริมผาอย่างไม่หวั่นเกรงต่อความตายอีกต่อไป
ชุนกับเฟื่องจับมือกันแล้วกระโดดลงสู่หน้าผานั้นไปด้วยกัน
อ่านต่อ ตอนที่ 7