นางมาร ตอนที่ 3
ชุน นวล และพรานมี กลับมาถึงกระท่อม ชุนกุลีกุจอช่วยขนของที่เหลือเข้าบ้านอย่างแข็งขัน นวลเดินไปเปิดโอ่งจะตักน้ำล้างมือล้างหน้า แล้วพบว่าน้ำในโอ่งเหลือน้อยแล้ว
“ตาย...น้ำจะหมด”
นวลถือหาบจะไปตักน้ำที่บ่อหลังบ้าน ชุนรีบเข้ามาแย่งหาบไป
“ข้าไปตักให้เอง วันนี้เอ็งเหนื่อยมากแล้ว”
นวลยิ้ม
“ข้าเหนื่อยที่ไหน วันนี้เอ็งช่วยข้าทำงานแทบจะทุกอย่างข้าแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย”
“ขอให้ข้าได้ตอบแทนเจ้ากับพ่อบ้างเถอะนะ ให้ข้ามานั่งมานอนอยู่เฉยๆข้าทำไม่ได้หรอก”
พรานมียิ้มๆ ตบบ่าชุนอย่างเอ็นดู
“เออ...ขอบใจนะพ่อ”
“เจ้าทำแบบนี้พ่อข้าจะเคยตัวรู้ไหม แล้วอีกอย่าง ดูไปดูมาพ่อข้าจะรักเจ้ามากกว่าข้าเสียแล้วกระมัง” นวลยิ้ม
ชุนยิ้มๆ
“ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าว่าก็ดีน่ะสิ”
ชุนหิ้วหาบเดินออกไปตักน้ำ เขาตั้งใจจะใช้แรงกายช่วยงานพรานมีกับนวลให้มากที่สุดเพื่อทดแทนบุญคุณที่สองพ่อลูกช่วยชีวิตเขาไว้ นวลงอนๆ
“ดูชุนสิพ่อ...”
นวลมองอย่างปลื้มใจในตัวชุน พรานมียืนดูอยู่ยิ้มๆ แล้วแอบครุ่นคิดหวั่นใจเกรงว่าลูกสาวจะมีใจให้ชุน
เฟื่องเดินขึ้นเรือนมา ตามมาด้วยอุ่นกับทับทิม เฟื่องเดินมาหยุด ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง อุ่นมองๆแล้วถามอย่างสงสัย
“เป็นอะไรไปรึเปล่าเจ้าคะคุณหนู ดูสีหน้าไม่ค่อยดีตั้งแต่ที่ตลาดแล้วนะเจ้าคะ”
ทับทิมนิ่งคิด
“เอ๊ะ...หรือว่าจะไม่สบาย”
“ข้าปกติดี แต่กำลังสงสัยว่าข้ากำลังตาฝาดไป”
อุ่นชะงัก
“ตาฝาด...ตาฝาดอะไรเจ้าคะ”
“พวกเอ็งจำคนขายผ้าได้มั๊ย คนที่เขาว่าตายตอนร้านขายผ้าถูกไฟไหม้น่ะ”
“จำได้สิเจ้าคะ น่ากลัวมากเลย ตายอย่างนั้น...ตายทรมานจริง” อุ่นบอกอย่างสลด
“วันนี้ข้าเห็นเขา” เฟื่องบอกอย่างมั่นใจ
อุ่นกับทับทิมตกใจ กระโดดเข้าหากัน
“คุณหนูเห็นผี” อุ่นเสียงสั่น
“ผีอะไรจะโผล่มากลางวันแสกๆ”
ทับทิมแย้งอย่างหวาดๆ
“แต่เขาตายไปแล้ว จริงๆด้วยเจ้าคะคุณหนูต้องตาฝาดแน่ๆเลยเจ้าค่ะ”
เฟื่องรับฟังที่ทุกคนยืนยัน แล้วหันมาคิดบ่นทบทวนเรื่องราวกับตัวเอง
“งั้นข้าก็คงตาฝาดจริงๆ”
เฟื่องหน้าเครียดเมื่อคิดว่าชุนตายไปแล้ว แต่เธอกลับตาฝาดมองเห็นเขาอยู่
ค่ำนั้น...ชุนล้วงหยิบกำไลข้อมือออกมาจากใต้หมอนขึ้นมาดู เขามองกำไลด้วยรอยยิ้มมีความสุขคิดถึงเฟื่อง
“ข้าอยากเจอเจ้าเหลือเกิน...แม่หญิงของข้า...”
ชุนมองกำไลอมยิ้มอยู่คนเดียวแล้วเอนตัวพิงข้างฝาหลับตาพริ้มคิดถึงเฟื่อง นวลเดินถือผ้าผ่านมาเห็นชุนที่หลับตาพริ้ม นวลหยุดมอง ชุนเพ้อๆ
“ถึงจะเจอกันไม่นานแต่ข้าก็หลงรักเจ้าเหลือเกิน...”
นวลตกใจที่ได้ยินชุนพูดคิดว่าเป็นตัวเอง แอบเขินหน้าแดงอยู่ตรงมุมหนึ่ง พรานมีแอบมองดูลูกสาวที่แอบยืนยิ้มเขินๆอยู่คนเดียว พรานมีชะโงกมองตามที่ลูกสาวมองเห็นชุนนั่งอยู่ พรานมีพอจะเข้าใจอาการของลูกสาวดีแอบถอนใจเป็นห่วงแกล้งกระแอมเบาๆ
นวลหันมาเห็นพ่อที่กำลังไออยู่ รีบเดินหลบเข้าบ้านไปด้วยอาการเก้ๆกังๆ พรานมีมองตามลูกสาวแล้วเดินเลี่ยงไป ชุนลืมตามองดูกำไลในมืออีกครั้ง พร้อมกับรำพึง
“เจ้าจะคิดถึงข้าเหมือนที่ข้าคิดถึงเจ้าไหมนะ”
เฟื่องนอนหลับอยู่ในห้อนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง เธอฝันไปว่าตัวเองกำลังอยู่ในที่แปลกตา ดูไม่คุ้นตา มืดและหนาว เฟื่องมองทางโน้นทางนี้ไปรอบๆ อย่างตกใจ พอหันกลับมาที่เดิมก็เห็นผู้ชายยืนหันหลังอยู่ เธอเดินอ้อมไปข้างหน้าจึงพบว่าเป็นชุนจริงๆก็ดีใจ
“ชุน...ชุนจริงด้วย เจ้าหายไปไหนมา”
ชุนไม่ตอบ มองเฟื่องหน้าเศร้าแล้วค่อยๆเลื่อนตัวไกลออกไป เฟื่องพยายามจะวิ่งตาม แต่ตามไม่ทัน เธอวิ่งตามจนสะดุดหกล้ม
“ชุน...อย่าเพิ่งไป...”
เฟื่องตกใจตื่น...เริ่มเชื่อแล้วว่าชุนตายไปแล้วจริงๆ เธอเริ่มน้ำตาซึม...
ชุนเดินออกมานอกบ้านเห็นพรานมีนั่งอยู่ที่แคร่
“ยังไม่นอนอีกรึลุง”
พรานมีหันมาทางชุนยิ้มๆ
“ข้านอนไม่หลับน่ะ นั่งสิชุน ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเอ็งอยู่เหมือนกัน”
ชุนหน้าตาสงสัย ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆพรานมี
“มีอะไรเหรอลุง”
พรานมีมองหน้าชุนแล้วตัดสินใจพูด
“เอ็งรู้สึกอย่างไรกับนวล”
“ข้าก็...รู้สึกดีกับนวลนะ นวลดูแลข้าดีมาก ในชีวิตนี้...ไม่เคยมีใครดูแลข้าอย่างนี้มาก่อนเลย”
“แล้วเอ็งรู้สึกดีกับนวล มากพอที่จะดูแลมันไปตลอดชีวิตมั๊ยชุน”
ชุนสบตาพรานมีนิ่ง เข้าใจ
“นวลอายุยังน้อย ยังมีโอกาสได้เจอผู้คนดีๆอีกมากนัก คนอย่างข้ามันแค่เจ๊กขายผ้าตกยาก ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีอะไรเลยนอกจากชีวิต ข้าไม่คู่ควรกับนวลหรอกลุง”
พรานมีไม่โกรธ
“ถ้าอย่างนั้น เอ็งจงไปจากที่นี่เสียไปเสียก่อนที่เอ็งจะทำให้ แก้วตาดวงใจของข้า มันต้องเสียใจไปมากกว่านี้...”
ชายสองวัยมองหน้ากันอย่างวัดใจกัน
วันใหม่...เฟื่องเดินมาพบว่าศรีเรือนกับเหล่าบ่าว เตรียมของกินในถ้วยชามกันอย่างโกลาหล ก็แปลกใจ
“นั่นแม่จะเอาสำรับคาวหวานไปเรือนไหนหรือจ๊ะ”
พระยาอารักษ์หันมาบอกลูกสาว
“จะเรือนไหนได้เล่าลูกเฟื่อง ก็เรือนพ่อพันน่ะสิ พ่อพันเขาตกบันได แข้งขาเกือบหัก นอนเจ็บอยู่ที่เรือน ไปไหนไม่ได้ เจ้าเป็นคู่หมายกับเขา ก็สมควรจะไปเยี่ยมเยียนให้เขาเห็นน้ำใจกันบ้าง”
เฟื่องนิ่งไปทันที อุ่นกับทับทิมที่ช่วยศรีเรือนกับสร้อยจัดของอยู่ แอบเหลือบมามองอย่างเห็นใจนายมาก เพราะรู้ว่าเฟื่องไม่ชอบพัน ศรีเรือนหันมาบอกเฟื่อง
“แม่เฟื่องไปแต่งตัวให้สวยๆงามๆเถอะลูก ประเดี๋ยวแม่จัดของเสร็จแล้ว เราจะได้ไปกัน นังอุ่น นังทับทิม ไปดูช่วยลูกข้าแต่งตัวไป”
อุ่นกับทับทิมรับคำ
“เจ้าค่ะ”
เฟื่องจำใจเดินกลับไปที่ห้อง อุ่นกับทับทิมตามไปด้วย ศรีเรือนมองตามเฟื่องไป จังหวะนั้นพระยาอารักษ์กับสร้อยหันมาสบตากัน สร้อยเสก้มหลบตาลงต่ำอย่างเอียงอาย แต่ศรีเรือนไม่รู้เรื่องเลย
“นังสร้อย...ประเดี๋ยวเอ็งไปกะเกณฑ์บ่าวไพร่ข้างล่างมาช่วยกันยกของ”
พระยาอารักษ์หันมาถาม
“จะเอานังสร้อยไปด้วยรึ”
ศรีเรือนชะงัก
“ก็แน่ละสิเจ้าคะคุณพี่ คุณพี่มีอะไรรึเจ้าคะ”
“ข้าเห็นมันไม่ค่อยสบาย แม่ศรีเรือนเอาบ่าวไพร่คนอื่นตามไปรับใช้แทนไม่ดีกว่ารึ”
ศรีเรือนมองสร้อย
“อ้าว..นังสร้อย เอ็งไม่สบายรึ ทำไมข้าไม่รู้”
สร้อยอ้อมแอ้มตอบ
“ก็บ่าว...ไม่กล้าบอกคุณหญิง...”
“เออๆ งั้นเอ็งก็ไม่ต้องไป ให้คนอื่นมันไปแทน ส่วนเอ็งก็นอนพักให้หายป่วยก่อน”
สร้อยยกมือไหว้ศรีเรือน
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะคุณหญิง”
ศรีเรือนหันมาบอกกับพระยาอารักษ์
“อิฉันไปแต่งตัวก่อนนะเจ้าคะ”
พระยาอารักษ์พยักหน้ารับแล้วหันไปมองสร้อยที่เสก้มหน้าทำเอียงอาย แต่แอบยิ้มชอบใจ
ชุนก้มกราบพรานมีอยู่อย่างสำนึกในบุญคุณ พรานมียืนมองดูชุนด้วยสายตาเศร้าๆแต่พยายามข่มอารมณ์นิ่งไว้ ชุนพนมมือ
“บุญคุณที่ลุงกับนวลช่วยชีวิตข้าออกมาจากกองไฟ ข้าจะไม่มีวันลืมเลย และวันใดหากข้ามีโอกาสจะทดแทนบุญคุณนี้ได้ ข้าจะไม่รีรอเลย”
“เออๆ ขอบใจๆ ข้าก็ขอให้เอ็งโชคดี อย่ามีภัยอันตรายอะไรอีกเลยนะ และข้าก็เชื่อว่าคนกตัญญูอย่างเอ็ง สักวันจะต้องได้ดี ข้าเชื่ออย่างนั้น”
ชุนไหว้พรานมีอีกที
“ข้าไปละนะ”
พรานมีพยักหน้ารับ ชุนลุกขึ้นแล้วเดินออกไปเงียบๆ พรานมีมองตามจนชุนที่เดินออกไปจนลับตา
เฟื่องนั่งหน้าตาเซ็งอยู่ในห้อง บ่นให้อุ่นกับทับทิมฟัง
“ข้าไม่อยากไปเรือนพี่พัน”
อุ่นเข้าใจ
“บ่าวรู้เจ้าค่ะ”
ทับทิมถอนใจ
“แต่จะทำอย่างไรได้เล่าเจ้าคะ ในเมื่อเป็นคำสั่งของท่านเจ้าคุณ”
เฟื่องหรี่เสียงลง
“แต่เอ็งสองคนก็รู้...พี่พันไม่ใช่คนดี และข้าก็สงสัย ว่าที่ร้านผ้าของชุนไฟไหม้...และทำให้ชุนต้องตาย เป็นฝีมือพี่พัน”
อุ่นขัดขึ้น
“อาจจะไม่ใช่ก็ได้นะเจ้าคะคุณหนู”
ทับทิมเสริม
“นั่นสิเจ้าคะ สร้อยของคุณพันที่คุณหนูพบที่ซากร้านผ้า บางทีคุณพัน อาจจะทำตก ตั้งแต่วันที่คุณพันไปที่นั่นกับคุณหนูก็ได้นี่เจ้าคะ”
เฟื่องค้อน
“เอ็งสองคนอย่ามาทำพูดปลอบใจข้าไปหน่อยเลย ข้ารู้เอ็งสองคนก็สงสัยพี่พันไม่ต่างไปจากข้าหรอก จริงมั๊ย”
อุ่นกับทับทิมพยักหน้าหงึก
“จริงเจ้าค่ะ”
เฟื่องถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม
นวลยกสำรับอาหารออกมาวางที่แคร่หน้าบ้านใบหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดี พรานมีเดินกลับเข้ามาจากหาของป่าใบหน้าเศร้าๆนิ่งๆ นวลหันไปเห็น
“อ้าวพ่อ...ทำไมกลับมาเร็วจัง...ข้ายังจัดสำรับไม่เสร็จเลย”
พรานมีมองที่อาหารในสำรับ
“นี่ก็เสร็จแล้วไม่ใช่รึ”
นวลยิ้มเขินๆ
“ยังจ้ะพ่อ ยังมีอีกเผื่อชุนจะไม่ถูกปาก”
พรานมีมองนวลอึ้งไป นวลหันมองหาชุนตามที่พ่อเดินมาแต่ไม่เห็นเขาออกมาสักที
“แล้วชุนล่ะพ่อ”
พรานมีจำใจตอบ
“มันไปแล้ว”
นวลอึ้งๆงงๆ
“ชุนไปไหนรึ”
พรานมีหน้าจริงจัง
“มันไปจากที่นี่แล้ว”
นวลตกใจแทบช้อค
“ไม่จริง...พ่อหลอกข้าใช่ไหม...ชุน...ชุน เจ้าอยู่ไหน...ออกมาเถอะ...ชุน”
นวลเดินมองหารอบๆบ้านด้วยความร้อนใจ พรานมีเข้ามาจับตัวลูกสาวไว้
“พอเถอะนังนวลเอ๋ย...ต่อให้เจ้าร้องเรียกเท่าใดมันก็ไม่กลับมาหรอก...ปล่อยให้มันไปตามทางของมันเถอะนวล”
นวลเจ็บแปลบที่ใจยืนนิ่งตัวชาไป
“ถ้าชุนจะไป ทำไมชุนไปบอกข้าสักคำ ทำไม...”
นวลหันมามองพ่อ พอเห็นหน้าพ่อนิ่งสงบ เธอก็รู้ทันทีว่าพ่อกับชุนคงคุยกันเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวน้ำตาไหลเงียบๆ
“ถ้าเอ็งกับมันมีบุญวาสนาต่อกัน สักวันก็ต้องได้กลับมาเจอกันอีก แต่ถ้าเอ็งกับมันไม่ใช่เนื้อคู่กัน จะวันนี้หรือวันไหน ก็ย่อมต้องแคล้วคลาดจากกันอยู่ดี...”
นวลอึ้งเงียบไปแล้วน้ำตาซึมออกมา
เฟื่อง ศรีเรือนและเหล่าบ่าว พร้อมจะออกไปเรือนพันแล้ว พระยาอารักษ์ยืนส่ง
“อิฉันไปนะเจ้าคะคุณพี่...”
พระยาอารักษ์พยักหน้ารับ ศรีเรือน เฟื่องและเหล่าบ่าว เริ่มเคลื่อนขบวนไปเรือนพัน พระยาอารักษ์ยืนส่งจนไปไกล แล้วจึงหันมามองสร้อย
“นังสร้อย ประเดี๋ยวเอ็งตามไปบีบนวดหลังให้ข้าในห้องที ข้าเมื่อยหลังจริง”
สร้อยเสก้มหน้าตอบอ้อมแอ้ม แต่รู้อยู่แล้วว่าพระยาอารักษ์มีวัตถุประสงค์อะไร
“เจ้าค่ะ...”
พระยาอารักษ์เดินนำไป สร้อยตาม
พระยาอารักษ์เดินนำสร้อยมาที่ห้องแล้วให้สร้อยเข้าห้องไปก่อน พอสร้อยเข้าห้องไปแล้ว พระยาอารักษ์ก็เหลียวซ้ายแลขวาดูว่ามีใครเห็นหรือไม่ว่าเขาพาสร้อยเข้าห้องแต่เมื่อไม่เห็นใคร พระยาอารักษ์ก็เข้าห้องแล้วปิดประตูไป
ขบวนของเฟื่องเดินนำโดยศรีเรือน ตรงไปที่เรือนพัน อีกด้านชุนเดินเข้าเมืองมา แต่แล้วคณะของเฟื่องก็เดินเลี้ยวมุมไปแล้วชุนจึงเดินมาถึง ชุนกับเฟื่องจึงมิได้เห็นกัน ชุนเดินไปอีกทาง ส่วนนวลเพิ่งวิ่งตามมาถึง หอบหยุดดูก็ไม่เห็นชุนแล้ว นวลเศร้าไม่รู้จะเจอชุนอีกรึเปล่า
ชุนมาที่ท่าเรือเห็นที่ท่าผู้คนเดินกันขวักไขว่มีคนแบกกระสอบ แบกข้าวของหนักขึ้น - ลงเรือสินค้ากันมากมาย ชุน มองดูผู้คนที่ทำงานหนักเหล่านั้นอย่างครุ่นคิด
เฟื่องกับคณะ เดินมาถึงทางเข้าอาณาบริเวณเรือนพันทันใดนั้นก็มีลมพัดอู้ขึ้นมา อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย คณะของเฟื่องทั้งหมดถูกลมพัดจนทุกคนต้องก้มหน้าหลบลมกันชั่วขณะ ทันใดนั้นวิญญาณเดือน ก็พุ่งเข้ามาหาเฟื่องโดยที่ไม่มีใครทันสังเกต
“คุณหนู”
เฟื่องเอามือบังลม พยายามลืมตาขึ้น แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นหน้าเดือนลอยอยู่ตรงหน้า
“เดือน”
เดือนพูดอย่างรวดเร็ว
“อย่ายอมแต่งงานกับคุณพันมันนะเจ้าคะคุณหนู มันเป็นคนเลว มันเป็นต้นเหตุที่ทำให้บ่าวต้องตาย”
พูดจบเดือนก็วูบหายไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับลมที่พัดอู้อยู่ก็สงบลงอย่างฉับพลัน จนทุกคนในขบวน พากันแปลกใจไปตามๆกัน ศรีเรือนหันไปมองเฟื่องอย่างเป็นห่วงลูก สายตาของศรีเรือน เห็นเฟื่องสีหน้าผิดปกติไป
“ลูกเฟื่อง...เป็นอะไรรึเปล่าลูก”
“เปล่าจ้ะแม่ ลูกไม่ได้เป็นอะไร แค่ฝุ่นเข้าตานิดหน่อยเท่านั้นเอง”
“เอ้า...งั้นรีบขึ้นเรือนพ่อพันเถอะ ประเดี๋ยวกับข้าวกับปลาที่เตรียมมา จะชืดเสียหมด”
ศรีเรือนเดินนำไป เฟื่องยังมองเหลียวหน้าเหลียวหลัง สายตาของเฟื่องเห็นเดือนยืนอยู่ใต้ร่มไม้ไกลๆ ยิ้มเศร้าๆให้แล้วจางหายไป เฟื่องชะงักเดิน อุ่นกับทับทิมรีบเข้ามาหา พลางเหลียวไปมองตามสายตาของเฟื่องบ้าง อุ่นกับทับทิมไม่เห็นเดือน เห็นแต่ต้นไม้เป็นปกติดีทุกประการ
“มีอะไรรึเจ้าคะคุณหนู” อุ่นถามอย่างสงสัย
เฟื่องกระซิบตอบ
“ข้าเห็นเดือน...”
ทับทิมหน้าตาตื่นขึ้นมาทันที
“นังเดือนน่ะรึเจ้าคะ”
เฟื่องจุ๊ปากทันที
“ชู่...เบาๆสิ ข้าไม่อยากให้คนอื่นตกใจ”
ทับทิมเหลียวมองรอบตัว หน้าตาเลิ่กลั่กกลัวๆ
“แล้วตอนนี้นังเดือนมันอยู่ตรงไหนรึเจ้าคะ”
“ไม่อยู่แล้ว”
“แล้วมันมาหาคุณหนูทำไมเจ้าคะ แล้วทำไมมันมาหาคุณหนูถึงที่นี่” อุ่นถามอย่างไม่เข้าใจ
เฟื่องตัดบท
“อย่าเพิ่งถามมากความเลยอุ่น กลับถึงเรือนเรา ข้าค่อยเล่าให้ฟัง”
พูดจบเฟื่องก็รีบเดินตามศรีเรือนเข้าเขตเรือนของพันไปทันที อุ่นกับทับทิมเหลียวมองไปรอบๆอย่างหวาดกลัวว่าเดือนจะปรากฏร่างให้เห็น สองนางรีบเขยิบมาเดินตัวติดกันแล้ววิ่งเร็วจี๋ตามขบวนเข้าเขตเรือนพันไป
พันกำลังหัวเราะร่าอย่างมีความสุข
“กระผมต้องขอขอบคุณ...คุณอา กับแม่เฟื่องมากที่อุตส่าห์มาเยี่ยม คนป่วยถึงเรือนเห็นทีกระผมคงหายป่วยเร็วกว่าที่คาดแน่นอนขอรับ”
“แล้วนี่พ่อพันไปทำอีท่าไหนรึ ถึงได้ตกบันไดขาแข้งแทบจะหักอย่างนี้น่ะ”
พันนิ่งไปนิด
“อ๋อ...วันนั้นพวกบ่าวมันขัดบันไดเรือนนะขอรับคุณอา กระผมก็ไม่ทันระวัง เลยลื่นพลัดตกบันไดไป”
“ต่อไปพ่อพันก็ต้องระวังตัวให้มากหน่อยนะจ๊ะ รู้มั๊ยว่าแม่เฟื่องเขาเป็นห่วงพ่อพันมาก รบเร้าให้อาพามาเยี่ยม”
พันยิ้มให้เฟื่อง
“ดีใจจริงที่แม่เฟื่องเป็นห่วงพี่...”
พันมองเฟื่อง ตาหยาดเยิ้ม เฟื่องทนมองหน้าพันไม่ไหวเมินหน้าหนี ด้วงกลับตีความเป็นอย่างอื่น
“แน่ะ พ่อพันเอ๊ย...พูดอะไรให้น้องอาย จนต้องเมินหน้าแก้เก้ออย่างนั้นเลย”
พันหัวเราะชอบใจศรีเรือนกับด้วงพลอยหัวเราะตาม เฟื่องจึงก้มหน้าสะกดอารมณ์เกลียดชังพันอย่างเต็มที่ อุ่นกับทับทิมแอบมองอย่างเข้าใจอารมณ์นายหญิงของตน ศรีเรือนบอกเฟื่อง
“ลูกเฟื่องดูแลสำรับให้พ่อพันเขาสิ กินเสียแต่ยังร้อน จะได้ไม่ชืด ให้เสียรสชาติอาหาร”
เฟื่องจำใจจัดสำรับปรนนิบัติให้พันกิน พันกินอย่างสำราญมาก ศรีเรือนกับด้วงมองอย่างชอบใจ
ชุนสมัครทำงานที่ท่าเรือ เขาแบกกระสอบอยู่ด้วยความอดทน นายจ้างยืนมองดูชุนที่หนักเอาเบาสู้อยู่อย่างพอใจ
นวลกลับมาที่กระท่อมเดินเข้าไปช่วยพ่อตากเนื้อสัตว์อยู่อย่างใจเลื่อนลอย พรานมีมองดูอาการของลูกสาวแล้วก็ลอบถอนใจ กลุ้มใจ แต่ก็ยังเชื่อว่าตัดไฟเสียแต่ต้นลมดีกว่า
พันกินเสร็จก็หันไปพูดกับศรีเรือน
“รสมือคนเรือนท่านเจ้าคุณอารักษ์นี่ยอดเยี่ยมมากเลยขอรับคุณอา”
ศรีเรือนยิ้มชอบใจ
“นี่อายังเสียดายนะที่ลูกเฟื่องไม่ได้ลงครัวเอง ไม่เช่นนั้นพ่อพันคงเจริญอาหารยิ่งกว่านี้แน่”
ด้วงแปลกใจ
“อ้าว...ทำไมหลานเฟื่องถึงไม่ลงครัวเองล่ะแม่ศรีเรือน”
“คือว่าลูกเฟื่องยังอยู่ในอาการเศร้าเสียใจน่ะค่ะคุณพี่ บ่าวที่เคยเล่นกันมาแต่เล็กแต่น้อยเพิ่งถูกคนร้ายฆ่าตายไป จนป่านนี้ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้เลยนะสิคะ”
ด้วงตกใจ
“ตายจริง...มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นด้วยรึ อย่างนี้ก็ต้องถือว่าบ่าวคนนั้นมันตายโหงน่ะสิแม่ศรีเรือน ว๊าย...ผีตายโหงน่ะน่ากลัวจะตายไป”
เฟื่องจงใจพูดแดกดันใส่พัน
“คุณป้าไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ” เฟื่องมองพันนิ่งๆ “คนที่ควรจะกลัวน่าจะเป็นคนที่ทำให้ นังเดือนมันตายมากกว่าค่ะ”
เฟื่องมองพันนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น พันไม่สบายใจขึ้นมาทันที
อ่านต่อหน้า 2
นางมาร ตอนที่ 3 (ต่อ)
ขบวนของเฟื่องเดินลงจากเรือนไป โดยมีด้วงเดินตามไปส่ง พันมองตามหลังเฟื่องไปอย่างสงสัย เพียรกับสิงห์มองหน้านายแล้วก็อดสงสัยไม่ได้
“มีอะไรหรือขอรับนาย” เพียรถาม
“เอ็งไม่ได้ยินที่แม่เฟื่องพูดกับข้ารึ”
“เรื่องนังเดือนน่ะรึขอรับ” สิงห์ถามขึ้นบ้าง
“ก็ใช่น่ะสิ ทำไมแม่เฟื่องถึงพูดจาแปลกๆเหมือนจะรู้เรื่องนังเดือน มันตายเพราะอะไร”
เพียรแย้ง
“แต่แม่หญิงเฟื่องไม่น่าจะรู้นะขอรับ คงเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า”
“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ ไม่อย่างนั้น แม่เฟื่องคงไม่ยอมแต่งงานกับข้าแน่”
พันถอนใจกังวล
สร้อยนอนอยู่บนเตียง พระยาอารักษ์ยังลูบไล้เนื้อตัวสร้อยเล่นอย่างชอบใจ สร้อยเริ่มอ้อน
“บ่าวเป็นเมียท่านเจ้าคุณเช่นนี้แล้ว บ่าวก็หวังว่าท่านเจ้าคุณจะเมตตาบ่าวตลอดไปนะเจ้าคะ”
“แน่นอนสิ เอ็งเป็นเมียข้า ข้าก็ต้องเลี้ยงดูเอ็งให้สมกับที่เอ็งเป็นเมีย”
สร้อยยิ้มร่า
“จริงนะเจ้าคะ”
“จริงสิ”
พระยาอารักษ์ซุกไซ้ซอกคออีก สร้อยก็ยินยอมแต่โดยดีแล้วจู่ๆพระยาอารักษ์ก็ชะงักไป
“เสียงแม่ศรีเรือนกลับมาแล้ว เอ็งกลับเรือนเอ็งไปก่อนไป๊นังสร้อย”
“ก็ไหนท่านเจ้าคุณว่าจะเลี้ยงดูบ่าวให้สมกับเป็นเมียไงเจ้าคะ”
พระยาอารักษ์ไม่สนใจ ตวาดไล่
“ไป”
สร้อยกลัว ไม่กล้าหือพระยาอารักษ์ รีบแต่งตัวแล้วลนลานลงจากเตียง พระยาอารักษ์ก็ลุกขึ้นแต่งตัวเช่นกัน
ศรีเรือนเดินคุยกับเฟื่องขึ้นเรือนมา
“แม่ละสงสัยจริง...ทำไมลูกเฟื่องถึงได้พูดจาอะไรแปลกๆกับพ่อพันเขาอย่างนั้น พูดอย่างกับว่าพ่อพันเขารู้เห็นเป็นใจกับการตายของนังเดือนยังงั้นแหละ”
“ก็ถ้าเขารู้ แม่ยังอยากจะให้ลูกแต่งงานกับเขาอยู่มั๊ยละคะ”
ศรีเรือนเสียงไม่พอใจ
“ฮื้อ...คนอย่างพ่อพัน จะไปรู้เรื่องใครฆ่าใครตายได้ยังไง ลูกเฟื่องก็มองพี่เขาในแง่ร้ายเกินไป”
เฟื่องกับศรีเรือน เดินขึ้นมาบนเรือนพอดี ศรีเรือนมองไปที่ห้องพระยาอารักษ์อย่างไม่ทันคิดอะไร
เห็นสร้อยผลุบออกจากห้องพระยาอารักษ์แล้ววิ่งลงหลังเรือนไปอย่างเงียบเชียบ และรวดเร็วแต่เห็นไม่ถนัดนัก ศรีเรือนขมวดคิ้วทันที เฟื่องเห็นสีหน้าแม่ก็สงสัย
“มีอะไรรึคะแม่”
ศรีเรือนไม่ตอบ ยังคงมองไปที่ห้องพระยาอารักษ์อยู่ เฟื่องมองตามเห็นพระยาอารักษ์แต่งตัวเรียบร้อยเดินออกมาจากห้อง และตรงเข้ามาหาสองแม่ลูกทันที
“ไปเยี่ยมพ่อพันกันมา เป็นยังไงบ้าง”
“คุณพี่นอนกลางวันรึคะนั่น อิฉันเห็นคุณพี่เพิ่งออกมาจากในห้อง”
“ใช่ ข้านอนกลางวัน” พระยาอารักษ์เปลี่ยนเรื่องอย่างไม่สนใจ “แล้วเรื่องพ่อพันว่าอย่างไรเล่า ข้าถาม ไม่ยักตอบ”
“คุณพี่ด้วงบอกว่า ขาพ่อพัน...เดือนหน้าก็น่าจะหายดีเจ้าค่ะ เมื่อหายดีแล้ว คุณพี่ด้วงก็จะยกขันหมากมาสู่ขอแม่เฟื่องเลย ไม่เสียเวลาทาบทามละ”
เฟื่องตะลึง
ค่ำคืนนั้น เฟื่องนอนตะแคงหันหลังให้อุ่นกับทับทิมที่นอนเฝ้าอยู่หน้าเตียง แต่มีเสียงถอนใจดังมาจากเฟื่อง เป็นระยะๆ สองบ่าวนอนมองตากันปริบๆ แล้วก็เกี่ยงกันว่า...ใครจะเป็นคนไปถามเฟื่องดี ในที่สุดก็เป็นอุ่น...อุ่นค่อยๆชะโงกหน้าไปมองดูเฟื่องเห็นนอนลืมตามองออกไปนอกหน้าต่างสีหน้าเป็นทุกข์อย่างยิ่ง น้ำตาไหลลงหมอนเป็นทาง อุ่นถามเบาๆ
“คุณหนูไม่อยากแต่งงานกับคุณพันใช่มั๊ยเจ้าคะ”
ทับทิมตามเข้ามาฟังด้วย
“พวกเอ็งก็รู้ พี่พันไม่ใช่คนดี มีข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับตัวเขามาเข้าหูข้ามากมาย ข้าก็ยังพอจะทำใจว่ามันอาจจะเป็นเรื่องของคนที่พูดกันมากความไป แต่ตอนที่ข้าพบสร้อยของเขาที่ร้านผ้าของชุน” เฟื่องหน้าสลดลงเมื่อคิดว่าชุนคงตายแล้วจริงๆ “ข้าก็เริ่มคิดแล้วว่าเรื่องไฟไหม้ที่ร้านนั่น อาจจะเป็นฝีมือของพี่พัน แล้วยิ่งวันนี้เดือนมาเตือนข้าอีก...”
ขาดคำเฟื่อง อุ่นกับทับทิมก็โดดเข้ากอดกันด้วยความกลัวผีเดือนจับใจ อุ่นพูดเสียงสั่น
“ตกลง...นังเดือน...มัน...มันมาหาคุณหนูจริงๆเหรอเจ้าคะ”
เฟื่องพยักหน้า
“ที่หน้าเรือนพี่พันนั่นแหละ”
ทับทิมหวาดกลัว
“แล้วมันมาบอกอะไรคุณหนูเจ้าคะ”
“มันมาบอกข้าว่าพี่พันเป็นต้นเหตุที่ทำให้มันต้องตาย”
อุ่นกับทับทิมร้องอ๊าย พร้อมกันเมื่อฟังจบหน้าตาหวาดกลัวผีเดือน เฟื่องหน้าตาจริงจังขึ้น
“ข้าเชื่อว่า...คนตายย่อมไม่โกหก และคนอย่างพี่พัน.ก็ไม่เคยพูดความจริง ข้าถึงไม่อยากแต่งงานกับเขา”
อุ่นเซ็ง
“แต่จะทำยังไงได้เล่าเจ้าคะคุณหนู ในเมื่อคุณหนูเกิดเป็นลูกผู้หญิง พ่อแม่บอกให้ทำอะไร ก็ต้องทำ” ทับทิมเสริม
“บอกให้แต่งกับคุณพัน คุณหนูก็ต้องแต่ง หลีกเลี่ยงไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”
เฟื่องถอนใจกลัดกลุ้ม หาทางออกในเรื่องพันไม่เจอเอาเสียเลย
นวลนอนถอนใจ นอนไม่หลับ เสียใจเรื่องชุนจากไปไม่ล่ำลา ทางด้านชุนล้มตัวลงนอนบนที่นอน อย่างอ่อนล้ามากเพราะทำงานหนักมาทั้งวัน เพื่อนคนงานที่นอนอยู่ด้วยกันหันมามองแล้วชวนคุย
“เอ็งชื่อชุนใช่มั๊ย”
ชุนพยักหน้า
“เป็นคนบ้านไหนรึ”
“ข้าตามนายมาจากเมืองจีน มาค้าขายผ้าอยู่ที่ตลาดโน่น แต่ตอนนี้ร้านข้าถูกไฟไหม้ ข้าก็เลยต้องมารับจ้างแบกหามเช่นนี้เลี้ยงตัวแทน”
“อ้อ...ข้าได้ยินมาเหมือนกันว่าเมื่อหลายวันก่อน ไฟไหม้ร้านขายผ้า ที่ท้ายตลาดโน่นเห็นเขาว่า...มีคนตายด้วยไม่ใช่รึ ใครตายล่ะ”
ชุนนิ่งไม่ตอบเพราะไม่อยากพูดมากไป กลัวมีภัย เพื่อนเลยเข้าใจผิด
“นายเอ็งตายรึ โธ่เอ๊ย...อุตส่าห์ลำบากมาจากเมืองจีน มาถึงนี่ แต่กลับต้องมาตายพลัดถิ่น น่าเวทนาแท้ แล้วนี่เอ็งเหลือใครมั๊ยเล่า”
ชุนไม่ตอบอีกสีหน้าเหม่อคิดไปไกล คิดถึงเฟื่อง
วันใหม่...เฟื่องนั่งเหม่อ เซ็งชีวิตที่ถูกพ่อแม่ขีดเส้นให้เดิน อุ่นกับทับทิมนั่งเช็ดเครื่องเงินอยู่ใกล้ๆ ศรีเรือนเดินเข้ามามองหาสร้อยแต่ไม่เห็น
“นังอุ่น นังทับทิม พวกเอ็งเห็นนังสร้อยกันบ้างรึเปล่า”
อุ่นกับทับทิมตอบพร้อมกัน
“ไม่เห็นเจ้าค่ะ”
“ใครสักคนไปตามหาตัวมันมาให้ทีสิ”
อุ่นกับทับทิมมองตากันแล้วทับทิมก็เกี่ยงให้อุ่นเป็นคนไป กระซิบบอกอุ่น
“ข้ากับมันเพิ่งตบกันมาหยกๆ ปากข้ายังกินน้ำพริกไม่ได้อยู่เลย ข้าไม่อยากเห็นหน้ามัน เอ็งไปสิ”
อุ่นจำใจ
“ก็ได้”
อุ่นออกไป เฟื่องยังนั่งเหม่ออยู่ ไม่สนใจว่าใครจะพูดหรือทำอะไรกัน ศรีเรือนมองอย่างกลุ้มๆ
สร้อยนั่งกินอย่างสำราญใจอยู่ในโรงครัว อุ่นเดินเข้ามา
“มาอยู่นี่เองนังสร้อย คุณหญิงให้หาแน่ะ”
สร้อยไม่สนใจ
“ข้าไม่ไป”
อุ่นหน้าเหวอไปเลย
“อ้าว ไงล่ะเนี่ย”
นายเบี้ยเอ็ดเสียงดัง
“นังสร้อย...เอ็งเป็นบ่าวเขานะโว๊ย นายเรียกหา เอ็งจะไม่ไปได้ไง”
สร้อยเชิด
“ใครว่าข้าเป็นบ่าวกันล่ะนายเบี้ย ตอนนี้ข้าไม่ใช่บ่าวแล้ว”
นายเบี้ยประชดโดยไม่ทันคิดอะไร
“ไม่ใช่บ่าวแล้วเอ็งจะเป็นอะไร เป็นคุณหญิงงั้นเรอะ”
สร้อยยังคงนั่งกินอะไรต่อไปทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ทุกคนในที่นั้นเริ่มชะงัก นายเบี้ยเริ่มเดาอะไรได้
“อย่าบอกนะว่าเอ็ง...”
สร้อยหันมายิ้มเย้ยนายเบี้ย ทุกคนในที่นั้นหน้าเหวอไปเลย โดยเฉพาะอุ่น
อุ่นคลานกลับเข้ามา ศรีเรือนถามทันที
“เจอตัวนังสร้อยมั๊ย มันอยู่ที่ไหน ทำไมไม่ขึ้นมารับใช้ข้า”
อุ่นอึกอัก
“เอ่อ...อ่า...นังสร้อยมันป่วยเจ้าค่ะ” อุ่นรีบเปลี่ยนเรื่อง “คุณหญิงมีอะไรจะใช้ มันรึเจ้าคะ ใช้บ่าวแทนก็ได้เจ้าค่ะ”
“ท่านเจ้าคุณสั่งให้ข้าเข้าวัง ให้ไปช่วยหม่อมเยื้อนทำพระประทีปถวาย”
“งั้นบ่าวไปแทนนังสร้อยมันเองเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้อง...อยู่ดูแลลูกสาวข้าไปเถอะ ข้าไปกับคนอื่นก็ได้”
ศรีเรือนออกไป ทับทิมรีบคว้าตัวอุ่นมาถามทันที
“นังสร้อยมันไม่ได้ไม่สบายหรอก...ใช่มั๊ยนังอุ่น”
อุ่นเม้มปากแน่น ไม่ยอมตอบ ทับทิมขู่เข็ญ
“บอกข้ามาซะดีๆนังอุ่น ไม่งั้นข้าจะไปจุดธูปเรียกผีนังเดือน ผีไอ้เม่น ให้มันมาหลอกเอ็ง”
อุ่นหันไปมองเฟื่อง ไม่อยากให้เฟื่องรู้ เลยดึงตัวทับทิมออกไปยืนคุยกันที่มุมบ้าน
“เออ...บอกก็ได้ นังสร้อยมันไม่ได้ป่วยหรอก แต่มันกำลังกำแหงหาญ ไม่ขึ้นมารับใช้คุณหญิง เพราะมันกับท่านเจ้าคุณ....”
อุ่นป้องปากกระซิบที่ข้างหูทับทิมแทน ทับทิมร้อง ฮ้า อุ่นรีบเอามือปิดปากทับทิมทันทีแล้วชะโงกหน้าไปดูเฟื่องกลัวว่าจะได้ยิน แต่เมื่อเห็นว่าเฟื่องยังนั่งเหม่อซึมอยู่ก็ค่อยสบายใจ ศรีเรือน ยืนหลบมุมฟังอยู่ที่มุมหนึ่งของเรือนโดยที่อุ่นกับทับทิมไม่รู้เรื่อง ศรีเรือนรีบเอามือปิดปากไม่ให้เสียงร้องไห้เล็ดลอดออกมาแล้วทันใดนั้นพระยาอารักษ์ก็เดินเข้ามาจากอีกทางหนึ่ง ในที่นั้นไม่มีใครเห็นศรีเรือน เฟื่องหันมารับพ่อ
“ลูกเฟื่อง...คืนนี้เป็นคืนลอยประทีป เจ้าไม่คิดจะออกไปลอยประทีปกับเขาบ้างรึ”
เฟื่องซึมๆ
“ไม่เจ้าค่ะ”
พระยาอารักษ์คะยั้นคะยอ
“ไปเถอะ พ่ออยากให้เจ้าได้ออกไปเที่ยวเล่นหาความสำราญบ้าง อยู่แต่เหย้าเฝ้าแต่เรือนมาหลายวันแล้วนี่”
เฟื่องรับคำอย่างจำใจ
“เจ้าค่ะ”
พระยาอารักษ์ยิ้ม ศรีเรือนที่ยืนแอบฟังอยู่ตลอด
“คุณพี่นะคุณพี่ ไล่ลูกเมียให้ออกจากเรือนไปหมด คงคิดจะเรียกอีสร้อย มันขึ้นมารับใช้คืนนี้ล่ะสิ อีสร้อย เอ็งกินบนเรือน ขี้รดบนหลังคาแท้ๆเทียว”
ศรีเรือนเจ็บใจมาก
พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นบนท้องว่า ยืนยันว่าเป็นคืนเดือนเพ็ญ...บรรยากาศริมแม่น้ำ ผู้คนเดินกันขวักไขว่ เฟื่องเดินถือกระทงมาหน้าตาซึมเศร้า อุ่นกับทับทิมเดินตามหลัง ต่างมีกระทงในมือคนละใบ ทั้งสองกระซิบคุยกัน
“พนันกับข้าไหมล่ะนังทับทิม ว่าที่จู่ๆท่านเจ้าคุณใจดี อนุญาตให้พวกเรา กับคุณหนูออกมาเที่ยวงานลอยประทีป แล้วยังให้อัฐมาด้วยอย่างนี้ ข้าว่าท่านเจ้าคุณมีแผน เพราะคืนนี้คุณหญิงก็เข้าไปค้างในวังด้วย”
ทับทิมโพล่งออกมา
“นังสร้อย”
อุ่นพยักหน้าหงึก ทับทิมส่ายหน้าเบ้ปาก
“เอามันลงได้ไง้ นังสร้อยมันมีอะไรดีวะ”
ผู้คนต่างทยอยเดินถือกระทงเข้ามาที่ริมตลิ่ง นวลเดินถือกระทงแทรกผู้คนเข้ามาในงานมองหาชุนด้วยความหวังว่าจะได้เจอเขาในงานคืนนี้ นวลเดินถือกระทงมองหาชุนอยู่นานแต่ไม่มีวี่แวว มองกระทงในมืออย่างเศร้าใจ
สร้อยอยู่ในเรือนทาส...หยิบตลับยาบางอย่างขึ้นมาจบมือพนมแล้วท่องคาถาพึมพำอยู่สักครู่
ก็เปิดตลับยานั้นป้ายเอาขี้ผึ้งออกมาแล้วเอามือล้วงลงไปในผ้านุ่งแล้วหลับตาท่องคาถาพึมพำต่อ
“ขอให้ท่านเจ้าคุณรัก ท่านเจ้าคุณหลง...” สร้อยลืมตาขึ้น “กูจะต้องได้เป็นคุณหญิง”
เฟื่องและสองบ่าวเดินมาที่ริมแม่น้ำ แล้วลอยกระทงออกไป กระทงของเฟื่องลอยไปตามแม่น้ำอย่างอ้อยอิ่ง เฟื่องมองตามกระทงไปอย่างเหม่อๆ แล้วไม่มองตามไปอีก...ริมตลิ่งฝั่งเดียวกันชุนกับเพื่อนคนงานนั่งลอยกระทงอยู่ด้วยกัน ชุนลอยกระทงอย่างเก้ๆกังๆเพื่อนอธิบายให้ฟัง
“การลอยประทีปนี่เป็นประเพณีเก่าแก่ของไทย เป็นการขอขมาต่อพระแม่คงคา ที่เราใช้น้ำดื่ม กิน และชำระล้างสิ่งสกปรกมาตลอดทั้งปี เราถือว่าพระแม่คงคาเป็นผู้มีบุญคุณกับเรา”
ชุนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“คนจีนเราก็สั่งสอนกันมาว่าเราต้องสำนึกในบุญคุณ ของผู้มีพระคุณกับเราเสมอ และมีโอกาสเมื่อใดก็ต้องตอบแทน”
ชุนกับเพื่อนลอยกระทงไป ชุนมองตามกระทงไป...กระทงของชุนลอยไปติดกับกระทงของเฟื่องแล้วลอยไปคู่กัน เพื่อนแซว
“กระทงเอ็งลอยไปติดกระทงสาวที่ไหนเข้าแล้วสิ รึว่าเอ็งจะพบเนื้อคู่ห๊าชุน”
นวลเดินถือกระทงมาใกล้กับที่กลุ่มของชุนที่นั่งอยู่ได้ยินเสียงกลุ่มเพื่อนเรียกชือชุน รีบหันมอง นวลยิ้มดีใจที่เห็นเขาอีกครั้ง
“เจ้ามางานลอยประทีปจริงๆด้วย”
นวลมองกระทงในมือแล้วอมยิ้มก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้กว่าเดิม เพื่อนชุนชะเง้อมองหาเจ้าของกระทง ชุนมองตามบ้าง ชุนเห็นคู่หญิงชายกำลังลอยกระทงอยู่แล้วคู่นั้นก็ลุกขึ้นจึงเผยให้เห็นเฟื่องกำลังมองดูกระทงตัวเองที่ลอยไปเกี่ยวกับกระทงอีกอันด้วยแววตาเศร้าสร้อย ชุนตะลึงนิ่งงันไปชั่วขณะ
“แม่หญิงเฟื่อง...”
เฟื่องหันหน้ามองที่มาของเสียง เธอหน้าตาตะลึงเช่นเดียวกันและดีใจที่เห็นว่าชุนยังมีชีวิตอยู่ นวลเดินเข้ามาใกล้สีหน้านวลเศร้าลงทันทีกับภาพที่เห็นตรงหน้า เฟื่องวิ่งเข้ามาจับมือชุนเขย่าอย่างดีใจสุดขีดด้วยความลืมตัว น้ำตาเต็มตา
“ชุน...ชุนจริงๆด้วย เจ้ายังไม่ตาย”
เฟื่องกับชุนมองตากัน หน้าทั้งสองดีใจอย่างสุดจะบรรยาย นวลยืนตะลึงมองทั้งคู่นิ่งมือที่ถือกระทงอยู่อ่อนแรงลงทันทีกระทงในมือล่วงลงพื้น น้ำตาเธอไหลลงมาด้วยความเสียใจอย่างที่สุด
เฟื่องกับชุนนั่งคุยกันอยู่ใต้ต้นไม้ริมแม่น้ำ ต่างฝ่ายต่างมีสีหน้าดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้ง
“ข้าคิดว่าเจ้าตายไปแล้วเมื่อครั้งที่ไฟไหม้ร้านผ้าของเจ้า”
“ข้าก็เกือบจะตายไปแล้วจริง หากไม่มีพ่อลูกคู่หนึ่งมาช่วยข้าออกจากกองเพลิงและพาไปรักษาตัวที่บ้านของเขาจนข้าหายดี”
เฟื่องเห็นแผลชุนที่มือ
“เจ้าบาดเจ็บ”
ชุนเอามือหลบ
“ขอข้าดูแผลหน่อย”
ชุนตัดสินใจโชว์แผลที่ถูกไฟไหม้ยังคงทิ้งร่องรอยไว้ตามเนื้อตัวให้ดู เฟื่องหน้าเครียด
“แล้ว..ไฟไหม้ร้านผ้าของเจ้าได้ยังไง”
ชุนอึกอัก เฟื่องเข้าใจได้ทันทีเขารู้
อุ่นกับทับทิมที่ยืนคอยดูต้นทางให้เฟื่องกับชุนได้คุยกันตามลำพังอยู่อย่างกระวนกระวาย สองนางชะเง้อมอง อุ่นกับทับทิมเห็นเฟื่องกับชุนกำลังคุยกันอยู่อย่างสนิทสนม อยู่ไกลๆ สองนางสีหน้ากังวล อุ่นไม่สบายใจ
“นี่ถ้าใครรู้ว่าเราปล่อยให้คุณหนูคุยกับผู้ชายพายเรือตามลำพังสองต่อสองละก็ มีหวังเอ็งกับข้าได้ถูกท่านเจ้าคุณตอกเล็บ บีบขมับ ไม่ก็ถูกเฆี่ยนหลังขาดแน่ๆเลย”
“เอ็งอย่าพูดสิ ข้ายิ่งใจคอไม่ดีอยู่ด้วย”
สองนางสีหน้าไม่ดี แล้วทับทิมก็ชะงักเมื่อมองเห็นอะไรบางอย่าง
“นังอุ่น นังอุ่น นั่นไอ้สิงห์ กับไอ้เพียร บ่าวคุณพันใช่มั๊ยน่ะ”
อุ่นมองตามทับทิมชี้ไปเห็นเพียรกับสิงห์กำลังเดินไปแถวที่เฟื่องกับชุนกำลังนั่งคุยกันอยู่ อุ่นตาโต
“ว๊าย...ใช่จริงๆด้วยละเอ็ง แล้วนี่ถ้าไอ้สองคนนั่นมันเห็นคุณหนูกับนายชุนนั่งคุยกันละก็ เอ็งกับข้า...”
อุ่นไม่พูดต่อ หันมาจ้องตากับทับทิม สองนางสีหน้าตื่นกลัวพอๆกัน
เฟื่องกับชุนยังคงนั่งคุยกันอยู่
“พี่พันใช่มั๊ยที่เป็นคนเผาร้านผ้าของเจ้า”
ชุนตกใจที่เธอรู้แต่ไม่อยากพูด
“เออ...”
“บอกข้ามาเถอะ ข้าเจอสร้อยคอของพี่พันตกอยู่ที่ซากร้านของเจ้า”
“แม่หญิงอย่าบอกเรื่องที่เจอข้ากับนายท่านนะ”
“ข้าไม่บอกหรอก ข้าไม่อยากให้พี่พันรู้ด้วยซ้ำว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เพราะข้าไม่อยากให้เจ้ามีอันตรายอีก เจ้ารอดตายมาได้ก็ดีแล้ว แล้วเวลานี้เจ้าอยู่ที่ไหน”
“ข้ารับจ้างทั่วไปแถวท่าเรือ ก็เลยพักอาศัยเรือนคนงานแถวนั้นแม่หญิง รอเวลาจนกว่าเถ้าแก่...นายของข้า จะกลับมาจากไปขนสินค้าจากเมืองจีน เอาเข้ามาขายที่นี่”
“เจ้าต้องเจ็บตัวเกือบตายและต้องมาลำบาก ทั้งหมดเพราะข้าเป็นต้นเหตุ”
“อย่างคิดเยี่ยงนี้แม่หญิง ข้ารอดตายและได้เจอแม่หญิงอีกครั้ง...ข้าก็ดีใจแล้ว”
เฟื่องดีใจที่ชุนพูดแบบนี้เพราะเธอก็ดีใจที่ได้เจอชุนอีก
สิงห์กับเพียรเดินคุยกันอีกด้านหนึ่ง
“เอ็งเห็นอกตูมๆของอีบัวมั๊ย แหม๊”
สิงห์ทำมือขนาดอกผู้หญิงแล้วหัวเราะชอบใจ เพียรพลอยหัวเราะไปด้วย แล้วชะงักเมื่อมองไปที่ใต้ต้นไม้
“เฮ้ย...ไอ้สิงห์ มึงดูโน่นสิ นั่นแม่หญิงเฟื่องใช่มั๊ย”
สิงห์มองไป
“เออ...ใช่...ใช่แม่หญิงเฟื่องจริงๆด้วย กำลังนั่งคุยอยู่กับผู้ชายที่ไหนวะ หน้าคุ้นๆ...หน้าเหมือน…”
แล้วเพียรกับสิงห์ก็หันมามองหน้ากัน
“ไอ้เจ๊กขายผ้า”
สองหนุ่มตาตื่นขึ้นมาทันที เพียรแปลกใจ
“ก็...ก็มันตายไปแล้วนี่”
“ถ้ามันตาย มันจะมานั่งคุยกับแม่หญิงเฟื่องได้หรือ”
สองหนุ่มหันไปเขม้นตามองเฟื่องกับชุนอีกครั้ง เพียรครุ่นคิด
“หรือว่า...มันจะไม่ตาย”
สองหนุ่มหันมามองหน้ากันสงสัยจัด แล้วพากันเดินพรวดตรงไปที่เฟื่องกับชุนทันที
เฟื่องกับชุนยังคงนั่งคุยกัน
“เจ้ารู้ไหม ข้ารอวันรอคืนขอให้ได้พบเจ้าอีกสักครั้ง ขออย่าให้เจ้าตายและวันนี้มันก็เป็นจริง”
“ข้าเป็นเพียงคนขายแรงงานต่ำต้อย ไม่นึกว่าแม่หญิงจะเป็นห่วง”
“ข้าไม่เคยคิดว่าเจ้าต่ำต้อย เจ้าช่วยชีวิตข้ามาสองครั้งสองครา แล้วยังช่วยชีวิตเด็กนั่นอีก เจ้าสูงค่ากว่าคนชั้นสูงบางคนอีก เจ้าคือผู้มีพระคุณของข้า”
ชุนตกใจ
“แม่หญิง”
“ต่อไปเจ้าห้ามเรียกข้าแม่หญิง ต้องเรียกชื่อข้าด้วย ลองพูดเรียกข้าใหม่สิ”
ชุนเขินๆ
“งั้นเรียก คุณหนูเฟื่อง นะขอรับ”
เฟื่องยิ้มพอใจแต่ก็เริ่มได้ยินเสียงคนเข้ามา น่าจะเป็นอุ่น ทับทิมเลยรีบถาม
“เราสองคนจะได้พบกันอีกเมื่อใด ข้ากลัวว่าถ้าต้องแยกจากวันนี้จะไม่ได้พบเจ้าอีก”
ยังไม่ทันที่เฟื่องและชุนจะพูดอะไรต่อ อุ่นก็พรวดพราดเข้ามา แล้วดึงมือเฟื่องให้ออกวิ่งทันที
“ไปเร็วๆเจ้าค่ะคุณหนู ไอ้สิงห์กับไอ้เพียรมันกำลังมาทางนี้”
เฟื่องกับชุนสีหน้าตกใจ อุ่นดึงมือเฟื่องวิ่งไปเลย เฟื่องรีบหันมาตะโกนบอกชุน
“พรุ่งนี้เที่ยง เจ้ามาพบข้าที่นี่นะ”
อีกมุมสิงห์กับเพียรวิ่งเข้ามาใกล้ถึงแต่ยังไม่ทันถึง ทับทิมก็วิ่งเข้าชนสิงห์กับเพียรเสียก่อน ทั้งสามระเนระนาดกันไป
“โอ๊ย”
สิงห์โมโห
“อะไรของเอ็งวะอีทับทิม เอ็งมาวิ่งชนพวกข้าทำไม”
“ข้าตั้งใจจะวิ่งชนพวกเอ็งที่ไหนกันล่ะ ข้ากำลังวิ่งเล่นซ่อนแอบกับนังอุ่นต่างหาก”
สิงห์กับเพียรทำหน้าฮึดฮัดโมโหแล้วเลิกสนใจทับทิม รีบวิ่งตรงไปยังจุดที่เฟื่องกับชุนเคยนั่งคุยกันอยู่ แต่ก็ไม่พบใครแล้ว สิงห์กับเพียรอารมณ์เสีย ที่วิ่งมาไม่ทัน เลยไม่เจอใคร ทั้งสองหันกลับ ไปมองที่ทับทิม ปรากฏว่าทับทิมก็หายไปแล้วเช่นกัน สิงห์กับเพียรมองหน้ากันอย่างสงสัยจัด เพียรเจ็บใจ
“ฮึ่ย”
สิงห์คิดๆ
“สงสัยจะเป็นไอ้เจ๊กขายผ้าจริงๆ มันรอดตายได้ยังไงเนี่ย”
“รีบกลับไปบอกนายดีกว่า”
สิงห์กับเพียรรีบวิ่งออกไป ที่พุ่มไม้ในมุมมืดไม่ห่างนัก
ชุนแอบซุ่มอยู่และมองตามสิงห์กับเพียรไปอย่างเงียบกริบ เขากังวลใจมาก
อ่านต่อตอนที่ 4
นางมาร ตอนที่ 4
พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่น แต่มีหมู่เมฆบัง พันผุดลุกพรวดขึ้น เอ็ดตะโรลั่นด้วยความเจ็บใจ
“ไอ้เจ๊กนั่นมันยังไม่ตาย...เป็นไปได้ยังไงวะ”
เพียรกับสิงห์รีบชู่ว...ปากเตือนให้พันหรี่เสียงลงทันที เพียรหวาดๆ
“เบาหน่อยขอรับนาย ประเดี๋ยวใครมาได้ยินเข้า เราสามคนมีหวังได้เข้าไปกินข้าวแดงในคุกกันแน่ๆ”
“เอ็งแน่ใจนะว่าเอ็งสองคนตาไม่ฝาดน่ะ”
สิงห์ไม่มั่นใจ
“เอ่อ...กระผมก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่หรอกขอรับ เพราะตรงนั้นมันก็มืดๆอยู่มาก”
เพียรกังวล
“แต่ถ้าไอ้เจ๊กนั่นมันไม่ตาย และมันได้คุยกับแม่หญิงเฟื่องจริงๆ มันก็อาจจะบอกเรื่องที่ว่า...ร้านมันไฟไหม้ได้ยังไงนะขอรับ”
พันหน้านิ่งขึงไปทันที
“ถ้าเช่นนั้น...ข้าจะไปดักรอแม่เฟื่องที่เรือน ข้าร้อนใจอยากรู้ความเต็มทีแล้ว”
พันจะลุกไป สิงห์รีบห้าม
“เดี๋ยวก่อนขอรับ เพลานี้เห็นที่จะไม่เหมาะนะขอรับ แล้วอีกอย่าง...” สิงห์มองซ้ายมองขวาหวาดๆ “ที่เรือนนั้น...เอ่อ...เอ่อ...มี...ผ...ผ”
พันตวาดใส่
“มีอะไรของเอ็งวะ”
เพียรตอบแทนแบบกลัวๆ
“ก็...มี...ผี...นังเดือนน่ะสิขอรับ กระผมว่ารุ่งสางเราค่อยไปถามความจากแม่หญิงเฟื่องก็ได้นะขอรับ”
สิงห์รีบพยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วยกับที่เพียรพูด พันมองจ้องทั้งสองคนทั้งสองคนก้มหน้าหลบตา
ครุ่นคิดเจ็บใจ
“อีผีนั่นมันจะตามจองล้างจองผลาญกูจนตายเลยรึไง ผีก็อยู่ส่วนผีสิวะ”
พันโมโหปัดของตรงโต๊ะล่วงลงที่พื้น แคร้ง สิงห์กับเพียรมองของที่หล่นที่พื้นแล้วเหลือบมองมาที่พัน
แต่ทั้งสิงห์และเพียรกับต้องตกใจจนตาเหลือกเมื่อเห็นผีนังเดือนหน้าเน่าเฟะยืนหน้าถมึงอยู่หลังพัน ทั้งสองคนหงายหลังด้วยความกลัว ช้อคจนพูดไม่เป็นภาษา
“...ผ...ผ...ผ...อี...”
พันงงว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นสองคนตะเกียดตะกายจะวิ่งหนีแต่ลุกก้าวไม่ออกได้แต่นั่งถัดๆถอยล่นหนี พันขยับเข้าใกล้ เดือนก็เลื่อนตามมา
“พวกมึงเกิดบ้าอะไรกันขึ้นมา ห๊ะ...ไอ้สิงห์ ไอ้เพียร”
เพียรพยายามบอกพัน
“ข้าง...ข้าง...หลังนายย...มี...ผี”
ทันทีที่เพียรพูดจบ พันหันขวับมองด้านหลังแต่ไม่เห็นเดือนแล้ว พันมองหาไม่เห็นมีอะไรแต่พอหันกลับมาเจอหน้าเดือนอยู่ตรงหน้าเข้าอย่างจัง พันตาเบิกโพลงผงะถอยหลัง
“อีเดือน...ไอ้สิงห์ไอ้เพียรช่วยกูด้วย...ไอ้...”
สิงห์กับเพียรนอนช้อคหมดสติอยู่กับพื้น พันลนลานกลัวตายหน้าตาของเดือนอาฆาตมาดร้าย
“มึง...ตาย”
เดือนคำรามลั่น พุ่งมือตรงเข้าที่คอของพัน เขาช้อคไปทันที แต่ทันทีที่มือของเดือนถึงตัวพันแสงวาบจากสร้อยพระที่พันใส่อยู่ ก็พุ่งเข้าใส่ร่างของเดือน
“อ๊าย” ผีเดือนกรีดร้อง
ผีเดือนถูกพลังจากแสงของสร้อยพระผลักออกไปจากพันอย่างแรง ด้วยความเจ็บปวด
พันตกใจล้มลงกับพื้นรีบจับที่พระตัวสั่นสวดมนต์ผิดๆถูกๆด้วยความกลัว
ด้วยแรงพระพุทธคุณ เดือนถูกเหวี่ยงลงมาที่พื้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด เดือนเงยหน้าขึ้นมาแววตาอาฆาต
“ไอ้คนชั่ว...”
เดือนเจ็บใจสีหน้าแฝงไปด้วยแรงแค้นเมื่อมองไปยังบ้านพัน
“กูจะฆ่ามึง”
ลมพัดต้นไม้ใบไม้ปลิวว่อนท่านกลางเสียงกังวานของเดือน
นวลนั่งเสียใจน้ำตาไหลอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน กระทงที่ดูพังๆวางอยู่ข้างๆ พรานมีเดินออกมาจากบ้านเห็นว่านวลกลับมาแล้ว
“กลับมาแล้วทำไมไม่เข้าบ้านล่ะวะนังนวล”
นวลนิ่งไม่ตอบ พรานมีเดินเข้ามาหา แปลกใจที่เห็นกระทงวางอยู่
“อ้าว...ไหนเอ็งว่าไปงานลอยประทีปไงแล้วนี่มันอะไรล่ะ” พรานมีจับกระทงขึ้นมาดูเห็นพังๆ “เอ็งไม่ได้ไปลอยหรอกรึ”
นวลนั่งน้ำตาไหลมองเหม่อไม่ตอบอะไรพ่อ พรานมีแปลกใจเป็นห่วงลงนั่งข้างๆลูกสาว
“เกิดอะไรขึ้นกับเอ็งรึนังนวล เล่าให้ข้าฟังสิ ใครรังแกเจ้าทำไมถึงมานั่งน้ำตาตกอยู่ตรงนี้”
นวลค่อยๆปาดน้ำตา
“พ่อ...ฉันเจอชุน...ที่งานลอยประทีป...ชุนอยู่กับ...”
พรานมีสงสัย
“อยู่กับใครรึ”
นวลเสียใจ
“แม่หญิงจ้ะพ่อ...”
นวลร้องไห้อีกครั้งเมื่อนึกถึงภาพที่เห็น พรานมีปลอบลูกสาว
“ข้ารู้ว่าเอ็งเสียใจ...ที่เห็นเจ้าชุนมันอยู่กับแม่หญิงอื่น แต่ถ้าเอ็งเห็นว่าชุนมันมีความสุขเอ็งก็ควรจะยินดีกับมันไม่ใช่รึ ตัดใจซะเถอะ”
พรานมีลูบหัวนวลเบาๆก่อนที่จะลุกออกไป นวลคิดคำที่พ่อพูดด้วยดวงตาที่ยังคลอด้วยน้ำตา นวลพยายามห้ามใจตามที่พ่อบอก
สร้อยเดินขึ้นมาบนเรือน เหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นใคร ก็เดินตรงไปเคาะประตูหน้าห้องพระยาอารักษ์เบาๆ สร้อยเคาะเพียงนิดเดียว ประตูห้องเปิดออกทันทีเพราะพระยาอารักษ์รออยู่แล้ว แล้วก็ชะโงกหน้ามองสำรวจด้านนอก เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้น ก็รีบให้สร้อยเข้าห้องแล้วรีบปิดประตูทันที พระยาอารักษ์ปิดประตูไปได้ไม่นาน เฟื่องก็วิ่งขึ้นเรือนมา อุ่นกับทับทิมวิ่งตามหลังมาติดๆทั้งสามตรงไปที่ห้องเฟื่องทันที
เฟื่องเข้าห้องมาก็พุ่งไปนั่งที่เตียง อุ่นกับทับทิมเข้าห้องตามมาก็รีบปิดประตูห้องอย่างรวดเร็ว
“เกือบไปแล้วมั๊ยละเจ้าคะคุณหนู นี่ถ้าไอ้เพียรกับไอ้สิงห์มันเห็นคุณหนูอยู่กับนายชุนเข้าละก็ เกิดเรื่องใหญ่แน่ๆเจ้าค่ะ” อุ่นยังร้อนใจไม่หาย
เฟื่องไม่สนใจ
“แต่มันสองคนก็ไม่ได้เห็นนี่” เฟื่องเปลี่ยนเรื่องทันที น้ำเสียงตื่นเต้น “อุ่น ทับทิม ข้าดีใจจริงๆ...ชุนยังไม่ตาย”
ทับทิมรับคำ
“เจ้าค่ะๆ”
“พรุ่งนี้ข้าจะออกไปพบเขาตามนัด”
ทับทิมขัดขึ้น
“จะดีรึเจ้าคะคุณหนู”
“ดีสิ ทำไมถึงจะไม่ดีเล่า คนไม่ตาย พวกเอ็งไม่ดีใจหรอกรึ”
เฟื่องไม่สนใจรอฟังคำตอบของอุ่นกับทับทิมแต่อย่างใด เพราะมัวแต่ดีใจที่ชุนยังไม่ตาย อุ่นกับทับทิมแอบมองหน้ากันอย่างกังวล ขณะที่เฟื่องมีความสุขเป็นที่สุด
นวลเดินเข้ามาในมุมที่เคยเป็นที่พักของชุนลงนั่งตรงหมอนที่ชุนเคยหนุนนอน เธอเอามือลูบหมอนประหนึ่งว่าได้สัมผัสใบหน้าของเขา หญิงสาวน้ำตาคลอถึงคราวที่ต้องตัดใจ
“ข้าควรจะยินดีกับเจ้าอย่างที่พ่อข้าบอกสินะ”
นวลนิ่งไปสักพักก่อนที่จะสูดลมหายใจเพื่อเรียกความเข้มแข็งกลับมา เธอเก็บผ้าและของใช้ที่ชุนเคยใช้พับๆเก็บแล้วดึงหมอนขึ้นมาเพื่อเอาไปเก็บ กำไลหล่นจากหมอนลงพื้น นวลหันมองตามเสียงเห็นเป็นกำไลก็ประหลาดใจ เธอค่อยๆนั่งลงหยิบกำไลขึ้นมาดู
“กำไล...”
นวลนิ่งคิด นึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาตอนที่เธอเห็นชุนนั่งมองกำไลอมยิ้มมีความสุข นวลเรียกเขา
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
ชุนตกใจ นวลก้าวเข้ามายืนด้านหลัง ชุนรีบเอากำไลลงแล้วหันมาเอากำไลแอบไว้ด้านหลังอย่างลุกลี้ลุกลน นวลมองสงสัย
“จำเสียงข้าไม่ได้รึไง ทำไมต้องทำท่าตกใจขนาดนี้ด้วย”
นวลนึกถึงตอนที่เห็นชุนมองกำไลอมยิ้มอยู่คนเดียวแล้วเอนตัวพิงข้างฝาหลับตาพริ้มคิดถึงแม่หญิงเฟื่อง นวลเดินถือผ้าผ่านมาเห็นเขาที่หลับตาพริ้ม เธอหยุดมอง ชุนเพ้อๆออกมา
“ถึงจะเจอกันไม่นานแต่ข้าก็หลงรักเจ้าเหลือเกิน”
นวลหลุดจากสิ่งที่คิดอึ้งๆรำพึงกับตัวเอง
“เจ้าคงหมายถึงแม่หญิงผู้นั้นสินะ”
นวลกำกำไลในมือด้วยความเสียใจ
เช้าวันใหม่...สร้อยยังคงนอนหลับสบายอยู่บนเตียงพระยาอารักษ์เขย่าตัวปลุก
“นังสร้อย...นังสร้อย”
สร้อยรู้สึกตัวตื่นขึ้น
“อืม...เช้าแล้วรึเจ้าคะ”
“เอ็งกลับไปที่เรือนเอ็งได้แล้ว”
สร้อยน้อยใจ
“แหม...ท่านเจ้าคุณเจ้าขา...เวลาจะเรียกใช้จะสอยบ่าว ก็เร่งเร๊งเร่งให้บ่าวมา พอเลิกใช้ ก็ไล่บ่าวกลับอย่างกับหมูกับหมา ทำเหมือนบ่าวไม่ใช่เมียอย่างนั้นแหละเจ้าค่ะ”
“เอ็งนอนอยู่กับข้าที่นี่แท้ๆ แล้วเอ็งจะไม่ใช่เมียข้าได้อย่างไร”
สร้อยแกล้งอ้อน
“บ่าวเป็นเมียท่านเจ้าคุณแล้ว แต่บ่าวก็ยังมีชีวิตความเป็นอยู่ไม่ต่างอะไรไปจากทาสคนอื่นๆเลยนะเจ้าคะ”
พระยาอารักษ์รู้ทัน ขยับตัวหันไปหยิบแหวนทับทิมวงเล็กๆวงหนึ่งเอามาใส่ให้ สร้อยตื่นเต้นดีใจ แต่เมื่อเห็นเครื่องประดับชิ้นนั้นถนัดตาก็หน้าม่อย
“แค่นี้น่ะรึเจ้าคะกับความสาวของบ่าว”
พยาอารักษ์ชักฉุน
“เอ็งอย่าเพิ่งโลภมากไปหน่อยเลยน่านังสร้อย ถ้าเอ็งรับใช้ถูกใจข้า ข้าก็จะให้เอ็งอีก แต่เอ็งอย่าโลภ เข้าใจมั๊ย”
สร้อยเห็นพระยาอารักษ์โมโหก็ชักกลัว
“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ”
“เอ็งกลับเรือนเอ็งไปได้แล้ว ประเดี๋ยวแม่ศรีเรือนก็คงจะกลับมาแล้ว”
“เจ้าค่ะ”
สร้อยรีบลุกขึ้นแต่งตัวแล้วลงจากที่นอนไป หน้าตาสุดเซ็งที่พระยาอารักษ์ไม่ได้ปรนเปรอมากมายอย่างที่คาดหวัง สร้อยเม้มปากเจ็บใจ
ศรีเรือนเดินกลับขึ้นเรือนมาแล้วชะงักเมื่อเห็นพระยาอารักษ์เดินออกมาจากห้องด้วยท่าทางอารมณ์ดีผิดปกติ
“ทำไมเช้านี้...ดูคุณพี่อารมณ์ดีนักเจ้าคะ”
“ที่ข้าอารมณ์ดี ก็เพราะแม่ศรีเรือนกลับมาเรือนเช้าวันนี้ไงเล่า”
ศรีเรือนไม่เชื่อแต่ยิ้ม ไม่แสดงอาการออกแล้วหันไปสั่งบ่าวที่อยู่แถวนั้น แต่สายตาเหลือบมองที่พระยาอารักษ์เพื่อจับพิรุธ
“เอ็งไปดูทีสิว่านังสร้อยมันหายป่วยรึยัง ถ้ามันหายแล้ว ก็เรียกมันขึ้นมาหาข้าที”
บ่าวรับคำ
“เจ้าค่ะ”
บ่าวออกไป ศรีเรือนหันกลับมามองพระยาอารักษ์ที่ทำหน้าปกติมาก แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรกันต่อ บ่าวอีกคนก็เข้ามา
“คุณพันมาขอพบเจ้าค่ะ”
พระยาอารักษ์และศรีเรือนยิ้มร่าออกมาทันที
“ไปตามลูกเฟื่องของข้าออกมาที”
พระยาอารักษ์หันไปสั่งบ่าว
เฟื่องไหว้พันอย่างเรียบร้อยแต่ไม่มองหน้า แต่พันยิ้มร่าเมื่อเห็นหน้าเฟื่องแล้วหันไปพูดกับพระยาอารักษ์และศรีเรือน
“ที่กระผมมาหาคุณอาทั้งสองในวันนี้ ก็เพราะแม่ด้วงของกระผมไปได้ของดีมาจากพ่อค้าจีนขอรับ”
พันแอบปรายตาจับสังเกตอาการของเฟื่องเมื่อพูดถึงพ่อค้าจีน เฟื่องมีอาการกระตือรือร้นขึ้นมาทันที
“ของดีที่ว่านั้นคืออะไรรึพ่อพัน” ศรีเรือนตื่นเต้น
พันหันไปพยักหน้าให้สัญญาณเพียรกับสิงห์ ระหว่างนั้นสร้อยก็คลานเข้ามานั่งข้างๆศรีเรือนพอดี จึงทันเห็นว่าสิ่งที่สิงห์และเพียร เอามาเปิดห่อแผ่ออกตรงหน้าพระยาอารักษ์ และศรีเรือนนั้นคือเครื่องประดับทองคำหลากหลายรูปแบบ สร้อยตาโตด้วยความตื่นเต้นไม่แพ้ศรีเรือน แต่ออกอาการมากกว่า ส่วนเฟื่องนั้นไม่สนใจเลย
“ทอง”
ศรีเรือนหันขวับไปมองสร้อย เห็นสร้อยจ้องของในห่อผ้าที่พันเอามาไม่วางตา ศรีเรือนมองอย่างไม่ชอบใจ
“แม่ด้วงของกระผมเลือกซื้อหาเอาไว้หลายชิ้นนัก จึงเห็นว่าน่าจะแบ่งมาให้คุณอาศรีเรือนกับแม่เฟื่องบ้าง” พันยิ้มแย้มบอก
ศรีเรือนเป็นปลื้ม
“โอ๊ย...ต้องขอบใจพ่อพันกับพี่ด้วงจริงๆ ลูกเฟื่อง ไหว้ขอบคุณพี่เขาเสียสิลูก อย่าให้พี่เขาเสียน้ำใจ”
เฟื่องก้มลงไหว้พันอีกครั้ง แต่ตลอดเวลาเฟื่องไม่มองหน้าพันเลย
“พี่รู้มาว่าเมื่อคืนแม่เฟื่องออกไปลอยประทีปที่แม่น้ำรึ”
เฟื่องพยักหน้า เพิ่งจะสบตากับพันเป็นครั้งแรกก็ตอนนี้เอง เฟื่องเริ่มสงสัยว่าเพียรกับสิงห์จะเห็นเธออยู่กับชุนเมื่อคืนแล้วเอาไปฟ้องพันรึเปล่า
“แม่เฟื่องสนุกรึไม่”
เฟื่องพยักหน้าอีก ชักใจคอไม่ดี
พระยาอารักษ์ชักสงสัยเหมือนกัน
“พ่อพันถามทำไมรึ”
“มีคนมาเล่าให้กระผมฟังว่า เมื่อคืน หลังจากแม่เฟื่องลอยประทีปเสร็จก็เห็นแม่เฟื่องไปคุยอยู่กับหนุ่มที่ริมน้ำ”
พระยาอารักษ์หันขวับมาถามเฟื่องทันที
“จริงรึแม่เฟื่อง”
เฟื่องตกใจจนพูดอะไรไม่ออก อุ่นกับทับทิมก็นั่งแทบไม่ติดเหมือนกัน พระยาอารักษ์ตะคอก
“ว่าไง”
เฟื่องตัดสินใจโกหก
“ไม่จริงหรอกเจ้าค่ะเจ้าคุณพ่อ เมื่อคืนนี้พอลูกลอยประทีปเสร็จก็กลับเรือนเลย ไม่ได้พบเจอหรือพูดจากับใครเลยเจ้าค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นไอ้คนที่มาบอกพี่มันคงเข้าใจผิดไปน่ะขอรับ คุณอา”
ศรีเรือนตัดบท
“ถ้าเป็นเรื่องเข้าใจผิดไปก็ช่างมันเถอะนะ พ่อพัน แต่ไหนๆพ่อก็มาเยี่ยมถึงเรือนชานนี่แล้ว ก็กินข้าวด้วยกันสักมื้อเถอะนะพ่อนะ”
“ด้วยความยินดีขอรับคุณอา”
พันยิ้มให้ศรีเรือนแล้วหันกลับมาจ้องตาเฟื่องอย่างจับพิรุธ เฟื่องก็จ้องตอบไม่หลบตาแต่สีหน้าไม่สบายใจเลย
ชุนเอากระสอบใบสุดท้ายแบกมาวางไว้ แล้วถอนใจเฮือกด้วยความเหนื่อยอ่อน ยกมือขึ้นปาดเหงื่อแล้วแหงนหน้าขึ้นมองฟ้าเพื่อกะเวลา เพื่อนเดินเข้ามาหา
“เลิกงานแล้ว ไปกินข้าวกันเสียทีดีมั๊ยชุน”
“วันนี้ไม่ละ ข้ามีธุระ”
เพื่อนหัวเราะ
“คนหาเช้ากินค่ำ ตัวคนเดียวอย่างเอ็ง มีธุระปะปังอะไรกับใครเขาด้วยรึวะ”
ชุนไม่ตอบแต่เดินออกไปเลย เพื่อนมองตามแล้วส่ายหน้าไม่เข้าใจ
ศรีเรือนเดินเอาห่อของกำนัลที่พันเอามาให้ ตรงมาที่กำปั่นเก็บของในห้อง
“นังสร้อย เอ็งช่วยเปิดกำปั่นให้ข้าทีสิ”
“เจ้าค่ะ”
สร้อยจัดแจงเปิดกำปั่น ศรีเรือนเปิดห่อของกำนัลของพันออกดูอีกครั้ง สร้อยชะโงกหน้ามาร่วมดูด้วยสีหน้าตื่นเต้น ศรีเรือนหมั่นไส้รีบจัดแจงเอาห่อของกำนัลนั้นใส่เก็บลงในกำปั่น แล้วลั่นดาล หันมามองหน้าสร้อย เห็นยังมองกำปั่นสีหน้าตื่นเต้นค้างอยู่ พอสร้อยเห็นศรีเรือนมองมาก็รีบทำหน้าสงบเสงี่ยมขึ้นมาทันใด
เฟื่องครุ่นคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกพ่อ
“ลูกว่า...ลูกไปช่วยนังอุ่นกับนังทับทิม จัดสำรับกับข้าวด้วยอีกแรงดีกว่าเจ้าค่ะ”
เฟื่องขยับจะลุกตามอุ่นกับทับทิมไป พระยาอารักษ์ขัดขึ้น
“ไม่ต้องหรอกลูกเฟื่อง อยู่คุยกับพี่เขาดีกว่า”
“ประเดี๋ยวค่อยกลับมาคุยก็ได้เจ้าค่ะ แต่ลูกไปช่วยนังสองคนนั่นก่อนดีกว่า พี่พันจะได้ไม่ต้องรอสำรับนาน ประเดี๋ยวจะหิว”
เฟื่องก็ลุกออกไปทางหลังเรือนเลย พันมองตาม ยังสงสัยเรื่องเฟื่องกับชุนไม่หายแล้วเรียกสิงห์มากระซิบสั่งความ
“ไอ้สิงห์ เอ็งออกไปดักที่หน้าเรือนนี้ที”
“ไปทำไมรึขอรับ”
“ข้าสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง เอ็งไปดักดูที่หน้าเรือน ถ้าเอ็งเห็นบ่าวคนสนิทของแม่เฟื่องคนใดคนหนึ่งแล่นออกจากเรือนนี้ไป เอ็งจงตามมันไปอย่าให้คลาดกันได้เลยทีเดียว แล้วได้ความยังไงกลับไปบอกข้าที่เรือนเรา”
“ขอรับ”
สิงห์ออกไปทางหน้าเรือน
อุ่นกับทับทิมเดินคุยกันมาตามทาง ด้วยความวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง
“นังทับทิมเอ๊ย คุณหนูเรานี่ใจกล้าแท้ กล้าโกหกท่านเจ้าคุณหน้าตาเฉยเลย นี่ถ้าท่านเจ้าคุณจับได้ว่าคุณหนูโกหกละก็ ลูกก็ลูกเถ๊อะ...มีหวังโดนเฆี่ยนหลังลายเหมือนกันแหละว๊า”
“ใช่แต่คุณหนูจะโดนเฆี่ยนนะนังอุ่น เอ็งกับข้าก็มีหวังไม่รอดจากหวายเหมือนกัน โทษฐานที่รู้เห็นเป็นใจกับคุณหนูน่ะ” ทับทิมยกมือไหว้ท่วมหัว “ขออย่าให้ท่านเจ้าคุณจับได้เล้ย ซ้าธุ”
เฟื่องพรวดพราดเข้ามาพูดแทรกกลางระหว่างสองบ่าวอย่างกะทันหัน สีหน้ากังวลอยู่เหมือนกัน“ก็ถ้าเอ็งสองคนไม่พูดออกไป เจ้าคุณพ่อก็ไม่มีทางรู้หรอก เพราะฉะนั้นถ้าเอ็งสองคนไม่อยากโดนหวายก็จงปิดปากเสียให้สนิท เข้าใจมั๊ย”
อุ่นกับทับทิมละล่ำละลัก
“เจ้าค่ะๆคุณหนู”
“ทับทิม...”
“เจ้าคะ”
“เอ็งไม่ต้องไปจัดสำรับหรอก ประเดี๋ยวข้ากับนังอุ่นจะจัดเอง ส่วนเอ็ง รีบวิ่งไปตรงจุดที่ข้านัดพบกับนายชุนที บอกเขาว่าวันนี้ข้าคงจะไปพบเขาตามนัดไม่ได้เสียแล้วแต่วันพรุ่ง...ข้าจะไปตามเวลานัดเดิม”
ทับทิมสีหน้ากล้าๆกลัวๆ เฟื่องจึงต้องสำทับ
“ไปสิ”
“เจ้าค่ะๆ”
ทับทิมออกไป เฟื่องมองตามหน้าเครียด
ทับทิมรีบเดินไปที่เฟื่องกับชุนนัดกันไว้อย่างรีบร้อน สิงห์ซึ่งมายืนดักรออยู่ พอเห็นทับทิมก็ตาโต
“แหม๊...นายเรานี่สังหรณ์แม่นจริงๆ”
สิงห์รีบเดินตามทับทิมไปอย่างเงียบๆ โดยที่ทับทิมไม่รู้ตัวเลย สิงห์ตามไปได้สักครู่และแล้วพอทับทิมเดินผ่านต้นมะม่วง ผลมะม่วงสุกก็หล่นลงบนไหล่ทับทิมดังตุ้บ
“โอ๊ย”
ทับทิมก้มลงมอง สิงห์รีบหลบเข้ามุมแล้วชะโงกหน้ามามอง ทับทิมเห็นผลมะม่วงสุกงอม มีร่องรอยกระรอกแทะแหว่งไปครึ่งลูกหล่นอยู่ที่พื้นก็บ่นโวยวาย
“ดีนะเนี่ย ไม่ตกใส่หู ใส่หัวข้าน่ะ ไม่งั้นมีหวังได้หัวร้างข้างแตกกันบ้างหรอก”
ทับทิมปัดรอยเปื้อนที่หัวไหล่ตน แล้วก็เลยเหลือบไปเห็นว่าสิงห์แอบสะกดรอยตามมา ทับทิมตาเหลือก
“ไอ้สิงห์”
ทับทิมคิดหาทางหนีจากสิงห์ แล้วพอดีหันไปเห็นชาวบ้าน 2 คนกำลังเดินมาทางนี้ ทับทิมตัดสินใจวิ่งเข้าไปหาชาวบ้าน 2 คนนั้นทันที สิงห์ชะเง้อมองตามสงสัยว่าทับทิมวิ่งไปหาชาวบ้านหน้าตาตื่นอย่างนั้นทำไม...ทับทิมวิ่งเข้าไปหาชาวบ้าน
“ช่วยข้าด้วย...ช่วยข้าด้วย”
ชาวบ้านตกใจ
“มีอะไรรึ”
“มีโจรตามมาจะปล้นข้า” ทับทิมหันไปชี้ไปทางสิงห์ “มันแอบอยู่ตรงโน่นแน่ะจ้ะ”
สิงห์ได้ยินทับทิมบอกกับชาวบ้านอย่างนั้นก็ตกใจ ชาวบ้าน 2 คนนั้นเห็นสิงห์แว๊บๆซุ่มซ่อนอยู่ก็โมโห
“หนอย...รอจะดักปล้นชาวบ้านเรอะ อย่างนี้มันต้องจับตัวไปส่งหลวง ให้หลวงเฆี่ยนเสียให้หลาบจำทีเดียวจะได้เลิกปล้นคนเสียที”
สิงห์ได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจกลัว รีบวิ่งหนีไปชาวบ้าน 2 คนนั้นวิ่งไล่ตามไป ทับทิม มองตามแล้วยิ้มสะใจ แล้วรีบเดินต่อไปยังจุดนัดพบทันที
ทับทิมวิ่งเข้ามาที่จุดนัดพบ แล้วเหลียวมองไปรอบๆ ไม่เห็นชุนทับทิมหน้าเหวอ
“อ้าว...ไงล่ะเนี่ย”
ทับทิมเหลียวหาชุนอีกรอบ แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อชุนมายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ทับทิมหลับตาปี๋ร้องวี๊ดว๊ายด้วยความตกใจ ชุนต้องจับตัวทับทิมเขย่าเรียกสติ
“เจ้า...เจ้า”
ทับทิมค่อยหรี่ตาขึ้นมามองชุน
“เอ็งเองเรอะ”
“ก็ข้าน่ะสิ ไม่เช่นนั้นจะเป็นใคร”
“ก็ผีน่ะสิ ใครจะไปนึกเล่าว่าเจ้าจะโผล่เข้ามาข้างหลัง ไม่ให้สุ้มให้เสียงเช่นนี้”
“ก็ข้ากลัวจะมีคนตามแม่หญิงเฟื่องมาน่ะสิ คนที่ข้าเคยพบเขาที่ร้านขายผ้าของข้า ก่อนที่จะไฟไหม้น่ะ”
ทับทิมค่อยสงบลง
“คุณพัน...”
“คนนั้นแหละ ข้าจึงต้องซ่อนตัวเพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน จนกว่าจะแน่ใจว่าไม่มีใครตามแม่หญิงเฟื่องมา...แล้วนี่แม่หญิงเฟื่องอยู่ที่ใดกันเล่า”
ทับทิมทำหน้าเซ็ง
“ไม่มา”
ชุนผิดหวังอย่างแรง
“อ้าว...ทำไมล่ะ”
ทับทิมไม่ตอบ สีหน้าเซ็งสุดขีด
พันกินข้าวเสร็จแล้ว จึงขอตัวลากลับ
“กระผมเห็นทีจะต้องขอลากลับเรือนก่อนละขอรับ มารบกวนเวลาของคุณอาทั้งสอง และของแม่เฟื่องนานเกินไปแล้ว”
พระยาอารักษ์ยิ้มแย้มบอก
“โอ๊ย...รบกงรบกวนอะไรกัน เรามันคนกันเองกันแท้ๆ อีกไม่กี่วันก็จะเป็นทองแผ่นเดียวกันอยู่แล้ว เรือนนี้ก็เหมือนเป็นเรือนของพ่อพันนั่นแหละ”
พันยิ้มร่าชอบใจที่ว่าที่พ่อตาว่าที่แม่ยายต้อนรับดี หันไปมองเฟื่อง เฟื่องรีบไหว้ลาพันก่อนเลย พันหน้าเหวอ ต้องรีบรับไหว้แล้วหันมาไหว้ลาพระยาอารักษ์กับศรีเรือน
“กระผมลาละขอรับ”
พระยาอารักษ์กับศรีเรือนรับไหว้ พันลุกลงจากเรือนไป เพียรตาม เฟื่องลอบถอนหายใจโล่งอก แล้วชะเง้อไปมองทางหลังเรือนว่าทับทิมจะกลับมารึยัง อุ่นมองนายอย่างเข้าใจความคิด แต่พอพระยาอารักษ์หันมามองอย่างสงสัย
เฟื่องก็รีบสำรวมอาการทันที
นางมาร ตอนที่ 4 (ต่อ)
พันถีบสิงห์เปรี้ยงกระเด็นไปติดฝาเรือน จุกเจ็บจนพูดไม่ออก พันเอ็ดตะโรใหญ่
“กะอีแค่ให้ตามผู้หญิงตัวเล็กๆคนเดียว มึงยังทำไม่สำเร็จ แล้วมึงจะไปทำการใหญ่กว่านี้ได้ยังไง...หา ไอ้สิงห์”
สิงห์ยังจุกพูดแทบไม่ออก
“ก็กระผมไม่รู้นี่ขอรับว่านังทับทิมมันจะเจ้าเล่ห์เพทุบายนัก กระผมก็กลัวชาวบ้านจะจับตัวได้ เลยต้องรีบวิ่งหนีมาก่อน”
พันนิ่งคิดไป
“การที่นังทับทิมมันทำอย่างนั้น ก็แสดงว่า มันไม่ต้องการให้มึงติดตามมัน มันไม่อยากให้มึงไปรู้ไปเห็นว่ามันจะไปทำอะไร หรือไปพบ ใคร”
เพียรบอกอย่างมั่นใจ
“และใครคนนั้น มันต้องเป็นไอ้เจ๊กขายผ้าแน่ๆเลย ขอรับนาย”
“เออ...กูก็ว่าอย่างนั้นแหละ ไม่น่าเชื่อเลยว่า ไอ้เจ๊กขายผ้านั่นมันยังไม่ตาย และยังริมายุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงของกูอีก มันทำอย่างนี้ เท่ากับว่ามันหยามน้ำหน้ากู เพราะฉะนั้น ถึงมันจะรอดตายจากไฟไปได้ครั้งหนึ่ง แต่กูจะไม่ยอมให้มันรอดตายได้เป็นครั้งที่สองหรอกโว๊ย”
พันชิงชังชุนเป็นอย่างยิ่ง
เฟื่องเดินว้าวุ่นใจอยู่ในห้องด้วยความร้อนใจ อยากรู้เรื่องจากทับทิมว่าได้พบชุนหรือไม่ อุ่นได้แต่มองตามนายหญิงที่เดินกลับไปกลับมาจนเวียนหัว หน้าจะมืด สักครู่ก็มีเสียงเคาะประตูห้อง อุ่นขยับจะไปเปิด แต่เฟื่องเดินพรวดเดียวไปถึงประตูก่อนอุ่นเสียอีก เฟื่องเปิดประตูแล้วกลับพบว่าคนที่มาเคาะประตูเป็นสร้อย เฟื่องรีบสำรวมอาการทันที
“มีอะไรรึนังสร้อย”
“คุณหญิงให้บ่าวนำสิ่งนี้มาให้คุณหนูเจ้าค่ะ”
สร้อยเอาของออกจากถุง พลางมองอย่างชื่นชม เป็นกำไลทองผสมหยก สวยแปลกตา
“ของกำนัลที่คุณพันเอามาให้เมื่อกลางวันไงล่ะเจ้าคะ”
เฟื่องไม่แม้แต่จะมองของในมือสร้อยเลยเพราะรังเกียจคนให้มา
“เอ็งเอากลับไปคืนแม่ข้าทีเถอะไป๊ บอกว่าข้าไม่อยากได้ ถ้าแม่ชอบ ก็ให้แม่เก็บไว้ทั้งหมดนั่นแหละ”
สร้อยหน้าเซ็งไปเลยที่เห็นเฟื่องไม่สนใจของที่พันให้มาเอาเสียเลย สร้อยค่อยๆเก็บของนั้นกลับใส่ในถุงผ้าอย่างบรรจง แล้วออกไป เฟื่องรีบปิดประตูแล้วถอนใจเบื่อๆ พูดกับอุ่น
“อย่าว่าแต่กำไลทองผสมหยกอันนั้นเลย ต่อให้เป็นของมีค่ามากกว่านั้นร้อยเท่า พันเท่า ข้าก็ไม่อยากได้ เพราะมันเป็นของของคนเลว โอ๊ย...นังอุ่น นี่ข้าจะทำอย่างไรดี ถ้าข้าจะต้องแต่งงานกับพี่พันจริงๆ ชีวิตของข้า คงเหมือนตกนรกทั้งเป็นแน่ๆ”
อุ่นส่ายหน้าเป็นทำนองว่าไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไงดี มีเสียงเคาะประตูอีกครั้ง เฟื่องรีบไปเปิดประตู พอเห็นว่าเป็นทับทิมก็ดึงตัวให้เข้ามาในห้องแล้วรีบปิดประตู ซักเอาความจากทับทิมทันที
“พบนายชุนมั๊ย”
ทับทิมพยักหน้า เฟื่องยิ้มร่าออกมาทันที หน้าตาเปลี่ยนไปจากเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง อุ่นกับทับทิมหันมามองหน้ากันหนักใจ รู้สึกว่าเรื่องมันจะยุ่งยากวุ่นวายมากขึ้นทุกทีๆแล้ว เฟื่องยิ้มฝันอย่างมีความสุขที่จะได้พบชุนอีกครั้งในวันพรุ่งนี้...
พรานมีกำลังเตรียมอาวุธสำหรับล่าสัตว์อยู่อย่างวุ่นวาย นวลเดินทำงานอยู่ในบ้าน แล้วเดินมาดูพ่อ
“แน่ใจนะว่าพ่อจะไม่ให้ข้าไปด้วยน่ะ”
พรานมีส่ายหน้าแล้วพูดยิ้มๆ
“พ่อยังไม่แก่ขนาดจะต้องให้ ลูกสาวไปช่วยล่าสัตว์หรอก”
“แหม...ข้าก็ไม่ได้ว่าพ่อแก่สักหน่อย ข้าแค่เป็นห่วงพ่อเท่านั้นน่ะ...ก็เรามีกันแค่สองคนเท่านั้นนี่”
นวลคิดถึงชุน พรานมีเข้าใจอารมณ์ลูก ลูบหัวอย่างรักใคร่
“แต่พ่อเชื่อว่า เอ็งจะต้องได้พบคนที่เคยตักบาตรร่วมขันกับเอ็งมาในชาติที่แล้วเข้าสักวัน”
นวลทำเข้มแข็งให้พ่อเห็น
“ข้าไม่คิดอะไรแล้วล่ะจ้ะพ่อ”
“ดีแล้วล่ะ...ลืมๆมันไปซะจะได้ไม่เป็นทุกข์”
นวลพยักหน้ารับอย่างเซื่องซึม
“จ้ะพ่อ”
พรานมียิ้มให้กำลังใจแล้วบอกนวล
“พ่อไปนะ อีก 2-3 วันถึงจะกลับ เอ็งอยู่บ้าน ก็ดูแลบ้านให้ดีๆล่ะ”
“จ้ะ พ่อไม่ต้องห่วง”
พรานมียิ้มให้นวลอีกครั้งก่อนจะหยิบอาวุธสำหรับล่าสัตว์แล้วเดินไปในป่า นวลมองตามจนลับตา
นวลเข้ามาในบ้านหยิบห่อผ้าที่ซ่อนอยู่ที่หัวนอนตัวเองออกมาเปิดผ้าออกเห็นกำไลของชุน นวลถอนใจ
“มันไม่มีค่าอะไรกับข้า...แต่มันคงมีค่าสำหรับเจ้าสินะ”
นวลมองกำไลอีกครั้งแล้วห่อผ้ากลับดังเดิม นวลหันไปคว้าย่ามเอาห่อกำไลใส่ในย่ามพร้อมกับเสื้อผ้าเผื่อต้องค้างแรมในเมือง เธอสะพายย่ามแล้ว หยิบอัฐติดตัวไปนิดหน่อย แล้ววิ่งไปยังทิศทางเข้าเมือง ซึ่งตรงข้ามกับทิศที่พ่อเพิ่งเดินไปทันที
ทางเดินในเมืองยามโพล้เพล้...นวลเดินมาตามทาง สอดส่ายสายตามองหาชุนอย่างไม่ย่อท้อ บางทีก็หยุดแวะถามเอากับชาวบ้านที่เดินสวนมา แต่ทุกคนก็ส่ายหน้าประมาณว่าไม่รู้จักชุน นวลหน้าตาห่อเหี่ยวแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ ยังคงมุ่งมั่นตามหาชุนต่อไป...อีกด้าน พัน เพียร สิงห์เดินมา
“เมื่อเช้าข้าได้เห็นหน้าแม่เฟื่องแล้ว...ชื่นใจจริงเพราะฉะนั้นวันนี้ข้าจะต้องโชคดี ชนะพนันที่บ่อนไก่แน่”
พันหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นนวลในระยะไกลๆ พันเขม้นตามองอย่างสนใจ
“นั่นใครกันวะไอ้สิงห์ ไอ้เพียร ท่าทางจะสวย”
พันหน้าตาหื่นขึ้นมาทันที แล้วเร่งฝีเท้าจะตามไปดูหน้านวลให้ชัดๆแต่ติดว่าขายังไม่หายดี จึงเดินตามนวลไม่ทัน นวลเดินลับเหลี่ยมกำแพงวัดหายไปแล้ว พอพันตามมาทัน ก็ไม่เห็นนวลแล้ว พันเสียดาย
“ว๊า...หายไปไหนแล้ววะ เดินเร็วจริง” พันหงุดหงิดตัวเอง “ไอ้ขาบ้านี่ก็ดันมาเจ็บเสียอีก ไม่เช่นนั้นข้าคงได้เห็นหน้านังนั่นแล้ว ฮึ่ย...นึกแล้วเจ็บใจผีอีเดือนจริงๆ นี่ถ้ามันโผล่หน้าเข้ามาอีก ข้าจะให้หมอผีจับยัดลงหม้อถ่วงน้ำ ไม่ให้ได้ผุดได้เกิดกันเลยทีเดียว”
พูดจบพันก็เดินไปทางไปบ่อนไก่ต่อไป สิงห์กับเพียรตามไป ทั้งสามเดินผ่านหน้าผีเดือนไปโดยไม่รู้ตัว เดือนได้แต่มองตามอย่างเจ็บใจ ยังทำอะไรสามคนนี้ไม่ได้ ได้แต่รอเวลาต่อไป
เพื่อนพาชุนเดินมาที่หน้าบ่อน
“นี่คือบ่อนไก่ที่ใหญ่ที่สุดที่นี่”
ชุนหน้าเครียดขึ้นมาทันที
“เอ็งพาข้ามาทำไม ข้าไม่เล่นการพนัน ลำพังแค่จะหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องวันๆยังลำบากเลย ขืนเข้าบ่อน ติดการพนันอีก เห็นจะตกนรกทั้งเป็นแน่”
“แค่เข้าไปดู ไม่ต้องเล่น จะเป็นไรไปเล่า”
ว่าแล้วเพื่อนก็ดึงแขนชุนให้เข้าไปในบ่อน ชุนจะไปแต่แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นพันเดินมาพร้อมเพียรและสิงห์ ชุนกลัวพันมาก สะบัดมือหลุดจากเพื่อนแล้ววิ่งหนีไปเลย
“อ้าว...เฮ้ย นั่นเอ็งจะไปไหน”
ชุนหายไปในความมืด
ค่ำนั้น นวลเดินตามหาชุนทั้งวันก็ไม่เจอ จึงเดินเข้ามาถึงในวัดเพื่อหาที่พักค้างแรม นวลลงนั่งที่หน้าโบสถ์ ล้วงหยิบเอาเสบียงกรังที่ติดตัวมาด้วยเอาขึ้นมากินประทังความหิวแล้วเหม่อมองพระจันทร์ข้างแรมอย่างเศร้าสร้อย พึมพำกับตัวเอง
“ชุน...หรือว่าเราจะไม่มีวาสนาต่อกันจริงๆ”
นวลน้ำตาไหล กินอะไรต่อไปไม่ลงแล้วคอตก น้ำตาหยดลงหลังมือ แล้วเธอก็ชะงักกึกเงี่ยหูฟังได้ยินเสียงฝีเท้าคนวิ่งใกล้เข้ามา นวลรีบหลบหลังต้นไม้โดยไม่ทันคว้าย่ามไปด้วย ชุนวิ่งมาหยุบหอบเหนื่อยตรงต้นไม้ ระหว่างนั้นชุนเหลือบเห็นย่ามที่โคนต้นไม้ เขาเดินเข้าไปใกล้ นวลเหลือบมองเห็นแต่ด้านหลังไม่รู้ว่าเป็นใคร นวลกลัวว่าจะโดนขโมยของในย่ามจึงกระโดดออกไปพร้อมกับดึงมีดพกที่เหน็บข้างตัวออกไปจ่อด้านหลังเขา
“อย่าเตะต้องของของข้า...ไม่งั้นเอ็งตายแน่”
ชุนจำเสียงนวลได้หันมา นวลเห็นว่าเป็นชุนก็ตะลึงงัน
นวลลงนั่งใต้ต้นไม้ข้างๆ ชุนที่ยังเหนื่อยๆ อยู่ถามขึ้น
“เจ้ามาทำอะไรแถวนี้นวล ค่ำคืนเช่นนี้เจ้าไม่อยู่กับพ่อเจ้ารึ”
นวลไม่กล้าตอบว่ามาตามหาเขาเลยเปลี่ยนเรื่อง
“ข้าสิ ต้องถามเจ้าว่าทำไมเจ้าต้องวิ่งมาขนาดนั้น เหมือนหนีอะไรมา”
“ข้า...เจอคนที่เผาร้านผ้าของข้านะสิ”
“เจ้าก็เลยหนี แล้วต่อไปเจ้าต้องหนีไปตลอดรึ”
ชุนอึ้ง นวลเป็นห่วงรีบพูด
“ที่เจ้ามีเรื่องกับพวกนั้นก็เพราะแม่หญิงคนงามนั้นใช่หรือไม่”
ชุนก้มหน้าไม่ตอบ นวลเป็นห่วงถามย้ำเขาอีกครั้ง
“เจ้าก็น่าจะรู้ว่าเจ้าไม่เหมาะกับคนชั้นนั้นหรอก โดยเฉพาะกับแม่หญิงผู้สูงศักดิ์คนนั้น เจ้าอาจจะโดนพวกชนชั้นสูงนั้นมันฆ่าตายสักวันก็เป็นได้”
“ข้ารู้ว่าข้าไม่เหมาะสมคนชั้นต่ำใช้แรงงานอย่างข้ามันไม่คู่ควรอยู่แล้ว แต่ถ้าข้าจะรักข้างเดียวมันก็ไม่ผิดมิใช่รึ”
นวลอึ้งเข้าใจความรู้สึกของเขาโดนตัวเอง ทั้งน้อยใจตัวเองและทั้งสงสารชุน
“เจ้าคงไม่เข้าใจความรักหรอก ว่าการรักใครสักคนมันทำได้ทุกอย่างเพื่อคนที่เรารัก”
นวลเจ็บแปล๊บที่กลางใจ เธอเสียหน้ารีบพูดสวนก่อนที่เขาจะพูดแทงใจดำมากกว่านี้
“ข้าเข้าใจสิ...ว่าการรักใครสักคนมันเป็นอย่างไร ข้าจึงตามหาเจ้าเพื่อที่จะเอาของของเจ้ามาคืน”
นวลล้วงเอาห่อผ้าที่ห่อกำไลออกมาขว้างคืนให้เขาที่อก ห่อผ้าล่วงลงพื้นเห็นว่าเป็นกำไล ชุนเห็นดีใจหยิบขึ้นมาชื่มชม
“เจ้าคงจะรักจะหลงเจ้าของกำไลนี้มาก ถึงขนาดยัดไว้ในหมอนหนุนถ้ารักถ้าหวงถึงเพียงนี้ ทำไมไม่ผูกคอไว้ซะเลยล่ะจะได้ไม่ต้องร้อนถึงคนอื่นต้องตามเอามาคืนให้ คนใจดำ”
นวลโกรธหันจะเดินออกไป ชุนคว้าแขนไว้
“นวลขอบใจเจ้ามากนะ” เขานึกขึ้นได้ “เจ้าจะไปไหนต่อ มืดค่ำแบบนี้มันอันตรายเจ้าจะกลับไปได้อย่างไร ไปพักกับข้าก่อนเถอะ”
“เรื่องของข้า ข้ามีที่ไปไม่รบกวนเจ้าหรอก”
นวลมองชุน มองกำไลแล้วฟึดฟัดเดินออกไปอย่างเร็ว ชุนมองตามเป็นห่วง
เฟื่องปรนนิบัติยกสำรับให้พ่อหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสกว่าปกติ พระยาอารักษ์สงสัย
“วันนี้พ่อพันมาเยี่ยมเข้าหน่อยเดียว ลูกสาวพ่อถึงกับยิ้มหน้าบานเป็นจานเชิงทีเดียว”
เฟื่องพูดไม่ทันคิด
“ใครว่าลูกยิ้มเพราะพี่พันกันเล่าเจ้าคะ เจ้าคุณพ่อ ลูกยิ้มเพราะคนอื่นต่างหาก”
พระยาอารักษ์ชะงัก เปลี่ยนไปเป็นเครียดทันที ถามเสียงดังและห้วนจนศรีเรือน สร้อย อุ่น และทับทิม เกิดอาการตัวเกร็งเพราะกลัวอารมณ์ร้ายของพระยาอารักษ์กันทุกคน
“เจ้าพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง หา...แม่เฟื่อง เจ้าพูดเหมือนกับว่า...เจ้ามีใครอื่นชอบพออยู่กระนั้นละ”
เฟื่องตัดสินใจถาม
“ก็ถ้าลูกมีใครอื่นชอบพออยู่ เจ้าคุณพ่อว่าอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
พระยาอารักษ์อารมณ์เสีย ใช้มือปัดสำรับอาหารที่เฟื่องกำลังยกปรนนิบัติอยู่ตกแตกกระจาย เสียงดังเปรื่องปร่างน่ากลัว พระยาอารักษ์ตะโกนถามเสียงเกรี้ยวกราด
“มันเป็นใคร”
เฟื่องไม่กล้าตอบ ศรีเรือนรีบเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์ให้ลูก
“ลูกเฟื่องจะมีใครได้เล่าเจ้าคะ...นอกจากพ่อพัน ลูกเฟื่องรักพ่อพันออกจะตายไป จริงมั๊ยจ๊ะลูกเฟื่อง”
เฟื่องตัดสินใจพูด
“ไม่จริงจ้ะแม่ ข้าเกลียดพี่พัน...ข้าจะไม่แต่งงานกับพี่พันเป็นอันขาด เพราะพี่พันเป็นคนเลว”
ขาดคำเฟื่องพระยาอารักษ์ก็ตบหน้าเฟื่องผั๊วะ จนกระเด็นล้มไป ศรีเรือนและเหล่าบ่าวร้องวี๊ดด้วยความตกใจด้วยไม่เคยเหตุการณ์เช่นนี้ในเรือนมาก่อน ศรีเรือนรีบเข้าไปประคองลูก เฟื่องมีเลือดไหลซึมออกมาที่มุมปากเพราะถูกพ่อตบ พระยาอารักษ์ชี้หน้าสั่ง
“นังเฟื่อง...ผู้ชายในชีวิตเอ็งนอกจากพ่อแล้ว ก็มีได้อีกเพียงคนเดียวคือพ่อพันเท่านั้น ถ้าเอ็งไม่เชื่อข้า เป็นได้เห็นดีกัน”
พูดจบพระยาอารักษ์ก็ลุกขึ้นจากที่กินข้าวจะเดินเข้าห้องนอน แล้วหันมาเรียกสร้อยให้เข้าห้องด้วยโดยไม่เกรงใจศรีเรือนเลย เพราะกำลังของขึ้น
“อีสร้อย ตามกูไปที่ห้อง”
ศรีเรือนตกใจมาก
“คุณพี่”
พระยาอารักษ์หันมามองศรีเรือนอย่างไม่แคร์
“คืนนี้แม่ศรีเรือนไปนอนห้องอื่น ข้าจะนอนกับอีสร้อย”
พูดจบพระยาอารักษ์ก็เดินปังๆไปที่ห้อง สร้อยรีบเดินตามไปแล้วแอบหันมายิ้มเยาะใส่ศรีเรือน ที่ในที่สุดพระยาอารักษ์ก็ยอมให้คนอื่นรู้กันอย่างชัดเจนไปเลยว่า มันเป็นเมียคนหนึ่งของท่านเจ้าคุณเหมือนกัน ศรีเรือนมองตามอย่างแค้นใจสุดขีดแล้วกอดเฟื่องร้องไห้ โดยมีอุ่นกับทับทิมร้องไห้ตาม...
นวลเดินเศร้าๆมาหยุดอยู่หน้าโบสถ์เก่าแห่งหนึ่ง นวลมองรอบๆตัวเงียบสงัดไม่มีแสงไฟใดๆเลยอากาศเย็นๆ เธอมองรอบๆแล้วตัดสินใจเข้าไปในโบสถ์
“เอาวะ...เช้าแล้วค่อยว่ากัน”
นวลเดินเข้ามาที่โบสถ์ร้างเพื่อขออาศัยนอนเธอกราบพระแล้วเห็นมุมหนึ่งมีเสื่อปูอยู่ก็ตรงไป ขณะที่กำลังจะล้มตัวลงนอน ชุนโผล่เข้ามาพร้อมเสียง
“หยุดนะ”
นวลหันขวับตกใจหันมาเห็นว่าเป็นชุนหน้างอใส่
“นี่เจ้าตามข้ามารึ”
“ใครว่า...ข้าอาศัยหลับนอนอยู่ที่นี่และตรงนั้นนั่นมันเป็นที่นอนของข้า”
นวลกระถดตัวออกนิดๆเก้อๆ ชุนแอบยิ้มขำๆ
“ไหนเจ้าว่ามีที่ไป แล้วไงถึงมาค้างแรมที่นี่ได้”
นวลจ๋อยๆเก้อๆไป
“ข้าชวนเจ้าดีๆกลับไม่มาด้วยกัน”
“เจ้าพูดพอรึยัง ถ้าจะซักความต่อข้าจะไปหาที่ค้างแรมอื่นก็ได้”
นวลทำท่าจะลุก
“ถ้านอกจากวัดร้างนี่ เห็นทีจะเหลือแต่ป้าช้าที่เค้าล่ำลือกันว่าผีดุแล้วล่ะ เจ้าจะไปรึ”
นวลหยุดการเคลื่อนไหว ลงนั่งตรงที่เดิม ชุนแอบขำ
“ข้าอยากงีบแล้ว”
“งั้นเจ้านอนตรงนี้แล้วกัน”
นวลยิ้มๆ
“อืม...ยังมีน้ำใจ”
นวลปัดที่ปัดทาง วางย่ามลงต่างหมอนตรงด้านในเสื่อระหว่างนั้นนวลก็ยกมือพนมไห้พระก่อนนอนอีกครั้งเมื่อเธอลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่าชุนนอนตะแคงอยู่ที่เสื่ออีกข้าง นวลตกใจ
“เฮ้ย...เจ้าจะทำอะไรน่ะ”
“เอ้า...ถามได้...ไม่เห็นรึว่าข้าก็กำลังนอนเหมือนเจ้านั่นแหล่ะ”
“ไม่ได้นะ...เจ้าจะมานอนเสื่อเดียวกับข้าไม่ได้...มัน...”
“มันอะไร”
นวลหลบตาเขินๆ
“มันไม่งามน่ะสิ”
“เสื่อมีเพียงผืนเดียวและเจ้านอนมุมนั้น ตรงนี้ก็มีที่เหลือ เจ้าจะให้ข้าไปนอนกับพื้นดินอย่างนั้นรึ”
นวลหลบตาอ้ำอึ้งไม่ตอบ
“นอนตรงนี้แหละ...นี่มันในโบสถ์ข้าไม่ทำอะไรเจ้าดอกเจ้าทะโมนไพร”
นวลหน้าง้ำใส่ ชุนล้มตัวลงนอน นวลมองเขาหมั่นไส้แต่ก็แอบยิ้มที่มีโอกาสได้ใกล้ชิดถึงเพียงนี้ นวลค่อยๆลงนอนหลังชนกัน
ชุนหลับไปแล้วแต่นวลยังคงนอนเหลือบมองอยู่ตลอดเวลาแล้วแอบยิ้มๆ
อ่านต่อตอนที่ 5