นางมาร ตอนที่ 1
ค่ำคืนหนึ่ง พระจันทร์ฉายแสงเพียงเสี้ยว...บ้านเรือนไทยหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ใต้แสงสลัว ภายในห้องนอนของเรือนไทยหลังนั้น เฟื่องนอนหลับอยู่ ทันใดนั้นเธอลืมตาขึ้น รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างร้องเรียกให้เธอออกไป เฟื่องค่อยๆลุกเริ่มหยิบตะเกียง เดินข้ามอุ่นกับทับทิมที่นอนหลับอยู่
เฟื่องเดินออกไปจากห้องมองตามทางด้วยบรรยากาศมืดสลัว วังเวง อากาศหนาวเย็นเธอรู้สึกถึงความหนาวเย็นได้ค่อยๆเดินลงบันไดบ้านไป เดินออกไปบริเวณพงหญ้าข้างบ้าน แล้วจู่ๆเหมือนมีอะไรบางอย่างมาข้างหลัง เฟื่องหันไปเห็นหญิงผู้หนึ่งในชุดนางทาสกำลังนั่งร้องไห้ใต้ต้นไม้ หันหลังให้อยู่ เฟื่องขยับตะเกียงในมือเข้าไปใกล้เพื่อมองให้ชัดๆ สีหน้าระแวดระวัง
“ใครน่ะ”
หญิงนั้นยังคงนั่งหันหลังร้องไห้อยู่ เฟื่องจ้องมองแล้วหญิงสาวที่นั่งอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมาคือเดือน นางทาสที่เป็นเพื่อนเล่นกับเธอมาตั้งแต่เด็กนั่นเอง เดือนใบหน้าซีดเซียว ขอบตาแดงก่ำ รอบคอมีรอยเขียวช้ำ เฟื่องตกใจมากเมื่อเห็นสภาพของเดือน
“เดือน...ใครทำอะไรเจ้า”
เดือนไม่ตอบ แต่มองเฟื่องแววตาเศร้าสร้อยร้องไห้น้ำตาออกมาเป็นเลือด แล้วทันใดนั้นคอของเดือนจากรอยเขียวช้ำก็ค่อยๆเน่าเฟะกินคอของเดือนจนหมุนเกือบหัก แล้วห้อยพับลงไปข้างหลังอย่างกะทันหัน เฟื่องตกใจสุดขีดกรีดร้องออกมาทันที
เฟื่องตกใจตื่นลุกพรวดพราดขึ้นนั่งทั้งที่ยังกรีดร้องอยู่ อุ่นกับทับทิมที่นอนเฝ้าอยู่หน้าเตียงลุกพรวด ผวาเข้ามาหาเฟื่องตกใจไม่แพ้กัน
“คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ ใครทำอะไรคุณหนู” อุ่นถามอย่างตกใจ
เฟื่องไม่ตอบ แต่คว้าผ้าผืนหนึ่งมาคลุมไหล่แล้วเปิดประตูห้องเดินออกไปเลยทับทิมตกใจ
“คุณหนูจะไปไหนเจ้าคะ...ฟ้ายังไม่สางเลย...”
“รอด้วยเจ้าค่ะคุณหนู...”
ทั้งสองรีบตามเฟื่องไป
เฟื่องเดินพรวดพราดมาที่เรือนทาส อุ่นกับทับทิมวิ่งตามมาติดๆ
“คุณหนูมาที่เรือนทาสทำไมเจ้าคะ” อุ่นถามอย่างสงสัย
เฟื่องไม่ตอบ แล้วพอมาใกล้เรือนทาสก็เห็นนายเบี้ย และทาสคนอื่นๆกำลังจุดคบไฟหาอะไรบางอย่างกันอยู่
“เอ๊ะ...พวกนั้นหาอะไรกัน”
พวกทาสหันมาเห็นเฟื่อง ต่างก็รีบคุกเข่าลง
“คุณหนู...”
“หาอะไรกัน” เฟื่องถามอย่างสงสัย
“นังเดือนขอรับ มันหายไปจากเรือนตั้งแต่เมื่อใดไม่มีใครรู้ขอรับ” นายเบี้ยบอกอย่างกังวลใจ
เฟื่องหน้าไม่ดี ชักสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องร้ายกับเดือนอย่างที่เห็นในฝันเสียแล้ว
“เช้านี้บ่าวเห็นมันไม่ลุกไปทำงานที่ครัวอย่างเคย บ่าวก็เลยไปตามมันที่เรือน แต่มันก็ไม่อยู่ขอรับ”
ขาดคำของนายเบี้ย ทันใดนั้นเม่นทาสชายก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“เจอนังเดือนแล้ว เจอนังเดือนแล้ว”
ทุกคนหันไปมองเม่นทันที นายเบี้ยเข้าไปถาม
“เจอที่ไหน”
ทาสชาย 2 คนช่วยกันลากร่างเดือนออกมาจากพงหญ้ามาวางที่พื้นราบอย่างทุลักทุเล ทั้งหมดวิ่งมาถึง อุ่นกับทับทิมพอเห็นเดือนก็ร้องลั่น
“นังเดือน”
ทุกคนกรูกันเข้าไปดู นายเบี้ยจับตัวเดือนอยู่สักครู่ก็หันมาบอกเฟื่องหน้าเศร้า
“มันตายเสียแล้วขอรับ”
อุ่นกับทับทิมร้องไห้โฮออกมาทันที เฟื่องกลั้นน้ำตาไว้
“ตาย...เดือนมันตายได้อย่างไรกัน”
นายเบี้ยจับที่หัวนังเดือนเบาๆเห็นคอพับไปข้างหนึ่ง
“คอหักตายขอรับ”
เฟื่องตกใจ
เช้าวันใหม่...ทุกคนมาประชุมอยู่พร้อมหน้ากันที่หน้าเรือนเฟื่อง อิ่มกับทับทิมนั่งร้องไห้กระซิกๆสงสารเดือนที่ตายไป...พระยาอารักษ์หน้าเครียด สั่งนายเบี้ย
“นายเบี้ย เอ็งไปแจ้งหลวงให้เรียบร้อย” พระยาอารักษ์ประกาศลั่น “ใครที่มันทำกับนังเดือนอย่างนี้ มันต้องได้รับโทษ”
“ขอรับ”
นายเบี้ยออกไป ศรีเรือนหันมาหาเฟื่อง
“นังเดือนมันเป็นเพื่อนเล่นกับลูกเฟื่องมาตั้งแต่เด็ก เจ้าคงเสียใจมากสินะ”
เฟื่องพยักหน้า น้ำตาร่วงพรู ศรีเรือนรีบโอบประคองปลอบใจลูก สร้อยรีบตามเข้ามาพูดประจบเฟื่องทันที
“นังเดือนไปดีแล้วเจ้าค่ะคุณหนู...”
เฟื่องหน้าเศร้าหมอง
“ใครกันนะ...ที่ใจร้ายฆ่าแกงเดือนได้ลงคออย่างนี้...”
พันถีบสิงห์กับเพียรสุดแรงตามแรงโกรธ
“กูบอกให้พวกมึงแอบไปลักตัวนังเดือนมันมาให้กู ไม่ใช่ให้พวกมึงไปฆ่ามัน”
สิงห์กับเพียรรีบคลานเข้ามากราบพันอย่างเกรงกลัว
“ก็นังเดือนมันร้องเสียงดังนี่ขอรับ กระผมก็เกรงว่าบ่าวคนอื่นมันจะได้ยิน กระผมก็เลยต้องปิดปากมัน” สิงห์บอกเสียงอ่อย
คืนเกิดเหตุ...สิงห์กับเพียรพยายามจะจับตัวเดือนไว้ แต่เดือนร้องเสียงดัง“ช่วยด้วย...ใครก็ได้ช่วยด้วย”
สิงห์กับเพียรตกใจ สิงห์รีบปิดปากเดือนไว้แน่น แต่เดือนก็ไม่ยอม เดือนพยายามดิ้นสู้กับสิงห์และเพียรสุดแรง แล้วทันใดนั้นก็มีเสียง “กร๊อบ” ดังขึ้น สิงห์กับเพียรชะงักค้างไปทันที แล้วยิ่งพอเห็นว่าเดือนหยุดดิ้นไปอย่างกะทันหันก็ตกใจ แล้วพอปล่อยตัวเดือน ร่างของเดือนก็ร่วงลงไปกองกับพื้นทันที สิงห์กับเพียรหันมามองหน้ากันอย่างตกใจ แล้วสิงห์ก็เข้าไปเขี่ยร่างเดือนสำรวจ เห็นว่าคอหักพับไปทางหนึ่งอย่างน่ากลัว นัยน์ตาเบิกโพลงค้างเสมือนจ้องมองสิงห์และเพียรอย่างอาฆาต
“เฮ้ย”
สิงห์โดดหนี เพียรจึงเป็นคนเดินเข้าไปปิดเปลือกตาให้เดือนเสียเอง แต่พอขยับเดินออกมา เปลือกตาเดือนก็กลับเปิดขึ้นเบิกโพลงจ้องสิงห์กับเพียรเหมือนอย่างเดิม สิงห์ชี้ให้เพียรดู
“ไอ้...ไอ้เพียร...ดู”
เพียรเห็นเดือนตาเบิกโพลงอย่างเก่าก็ตกใจ
“ท่าจะไม่ดีแล้วไอ้สิงห์” เพียรเหลียวซ้ายแลขวา “ข้าว่าเรารีบเผ่นออกจากที่นี่เถอะ”
“แล้วจะทิ้งอีเดือนเอาไว้อย่างนี้รึ”
เพียรนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วตรงเข้าไปจับหัวเดือนยกขึ้น
“ไอ้สิงห์ ช่วยข้าเร็ว”
สิงห์เข้าใจทันทีว่าเพียรจะให้ช่วยอะไร รีบตรงเข้าไปจับข้อเท้าสองข้างของเดือน แล้วทั้งสองก็ช่วยกันลากร่างของเดือนเอาไปโยนไว้ในพงหญ้ารกๆ หากิ่งไม้มาโยนปิดทับไว้ไม่ให้ใครเห็นได้ง่ายๆ ก่อนที่ทั้งสองจะพากันวิ่งหนีหายไปในความมืด ศพเดือนยังลืมตาโพลงแข็งค้างอยู่อย่างนั้น
พันถีบสิงห์กับเพียรอีกครั้งอย่างโมโห
“เออๆ มันตายแล้วก็แล้วไป คนตายปากโป้งไม่ได้ แต่พวกมึงสองคนก็ต้องปิดปากกันไว้ให้ดีเชียว อย่าให้เรื่องนี้ไปถึงหูแม่เฟื่องของกูได้ เข้าใจมั๊ย”
สิงห์กับเพียรรับคำพร้อมกัน
“ขอรับ”
พันเซ็งจัด
“โฮ้ย...กูเลยอดได้เล่นสนุกกับนังเดือนเลย พวกมึงสองคนนี่ไม่ได้ดั่งใจกูเลยโว๊ย”
เย็นนั้น...สิงห์กับเพียรแอบซุ่มมองจากด้านนอกวัด เห็นเฟื่องกับบ่าวช่วยกันเตรียมจัดงานเผาศพให้เดือนกันอยู่ สิงห์หันมาบอกเพียร
“ถ้าเผาศพอีเดือนวันนี้แล้ว...ก็คงจะไม่มีอะไรแล้วละมังไอ้เพียร กะอีแค่บ่าวคนเดียวตาย หลวงคงไม่เสียเวลามาไล่ตามจับเรากันหรอก”
“ข้าก็หวังว่าอย่างนั้นแหละไอ้สิงห์”
สองคนยังแอบซุ่มดูพวกเฟื่องเตรียมงานเผาศพต่อไปเงียบๆ ด้านหลังสิงห์กับเพียร ผีเดือนยืนอยู่มองสองสมุนอย่างอาฆาตเคียดแค้น แล้วผีเดือนก็พุ่งเข้ามาหาสองหนุ่มอย่างรวดเร็วอย่างประสงค์ร้าย จับบ่าสองหนุ่มหมับ
“พวกมึงฆ่ากู”
สองหนุ่มหันมาเห็นผีเดือนก็ร้องลั่น
“อีเดือน”
ทั้งสองร้องเสียงหลง สะบัดตัวอย่างแรง แล้ววิ่งหนีกระเจิดกระเจิงกันไปคนละทางทันที
ค่ำนั้น...สิงห์กับเพียรนั่งซุกตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของบ้าน ที่คอมีสร้อยพระคล้องอยู่เต็มคอเลยทั้งสองคน พันตะคอกใส่อย่างอารมณ์เสีย
“พวกมึงตาฝาดกันไปเองน่ะสิ คนตายแล้ว จะมาทำอะไรเราได้”
สิงห์ท่าทางหวาดๆ
“ตะ...แต่...เราเห็นผีอีเดือนจริงๆนะขอรับ”
เพียรเสริม
“มันทำท่าจะบีบคอเราด้วย”
“มันคงกะจะหักคอเรา”
“ให้เราตายเหมือนอย่างมัน”
พันหงุดหงิด
“โฮ้ย...กูไม่เชื่อโว๊ย กูว่าพวกมึงน่ะกำลังประสาทเสียแล้วพวกมึงก็ไปอยู่แถววัด บรรยากาศมันคงพาไปโว๊ย พวกมึงก็เลยตาฝาดเห็นผี”
สิงห์กับเพียรเริ่มนิ่งคิดตาม พันตัดบท
“แล้วกูให้พวกมึงไปตามดูแม่เฟื่อง ได้เรื่องว่าไง”
“แม่เฟื่องกับพวกบ่าวเตรียมจะเผาศพอีเดือนกันค่ำนี้แล้วละขอรับ”
พันคิดๆ
“แสดงว่า...เผาศพเสร็จ แม่เฟื่องกับพวกบ่าวก็จะต้องพายเรือกันกลับเรือนใช่มั๊ยวะ”
“ขอรับ”
พันคิดแผนชั่วอะไรบางอย่าง แล้วยิ้มร้าย
งานเผาศพเดือนจัดอย่างเรียบง่าย เฟื่องยืนมองดูควันไฟที่ม้วนตัวขึ้นสู่ฟ้าอย่างเศร้าสร้อย สงสารเดือนมาก
“ขอให้เดือนไปสู่สุขคตินะจ๊ะ...”
ด้านข้างเฟื่อง วิญญาณเดือนคุกเข่าอยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินที่เฟื่องพูด เดือนน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้งใจในความมีเมตตาของเฟื่องที่มีต่อตน เดือนก้มลงกราบเฟื่อง แต่เฟื่องไม่ได้รู้เลย
มุมมืดริมคลอง พัน สิงห์ เพียร มาซุ่มรอเรือของเฟื่องกับบ่าวให้ผ่านมา พันไม่สนใจอะไรนอกจากชะเง้อรอเรือของเฟื่องอย่างเดียว ในขณะที่สิงห์กับเพียรเหลียวมองรอบๆตัวอย่างหวาดระแวง กลัวเดือน มือกำพระที่คล้องอยู่เต็มคออย่างหวังเอาเป็นที่พึ่ง ทันใดนั้นพันก็ตาโตอย่างตื่นเต้นเมื่อมองไปเห็น เฟื่อง อุ่น ทับทิม และเม่น อยู่ในเรือลำเดียวกัน บ่าวอื่นๆอยู่เรืออีกลำ พันไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไรแล้ว เอาผ้าที่โพกหัวพันปิดหน้าปิดตาแล้วค่อยๆหย่อนตัวลงในคลอง ว่ายตรงไปยังจุดที่เรือของเฟื่องจะแล่นผ่านอย่างเงียบเชียบ สิงห์กับเพียรก็ทำเช่นเดียวกัน
เรือของบ่าวลำแรกพายผ่านไป สักครู่เรือของเฟื่อง ที่มีเม่นเป็นคนพายก็แล่นตามมา ทันใดนั้นก็เห็นมือโผล่ขึ้นมาจากในน้ำ เกาะหมับเข้าที่กาบเรือของเฟื่อง แล้วเริ่มโยกเรือของเฟื่องไปมาอย่างแรง เฟื่องกับเม่นตกใจมาก ส่วนอุ่นกับทับทิมร้องวี๊ดว๊ายด้วยความตกใจกันใหญ่ เฟื่องเกาะกาบเรือแน่น แล้วในที่สุดเรือก็พลิกคว่ำลง เฟื่องหวีดร้อง เรือลำแรกของบ่าวเหลียวมาเห็นว่าเรือเฟื่องล่มก็ร้องลั่น
“ว๊าย...เรือคุณหนูล่ม”
“กลับเรือเร็ว”
บ่าวในเรือพยายามจะกลับลำเรือเพื่อกลับไปช่วยเฟื่อง อุ่น และทับทิม แต่ก็ทำไม่ได้ง่ายเพราะถูกกระแสน้ำพาไป
ในน้ำ พันเข้าไปกอดรัดและตะโบมจับโน่นนี่เฟื่องอย่างคึกคะนองและย่ามใจสุดๆ สิงห์กับเพียรก็ทำเช่นเดียวกันกับอุ่นและทับทิม สามสาวร้องอย่างตกใจ บ่าวที่อยู่เรือลำอื่นวกกลับมาช่วยเฟื่องและอุ่นกับทับทิม พันเห็นเรือบ่าววกกลับมาช่วยเฟื่องจึงปล่อยตัวเฟื่องแล้วดำน้ำกลับเข้าฝั่งไปอย่างเงียบเชียบ สิงห์กับเพียรรีบดำน้ำตามนายไปทันที
บ่าวจากเรือลำแรก ช่วยดึงตัวเม่น อุ่นและทับทิม ขึ้นจากน้ำอย่างทุลักทุเล ทับทิมพอตั้งตัวได้ก็เหลียวหาเฟื่อง
“คุณหนูล่ะ”
อุ่นกับเม่นเหลียวหาบ้าง ไม่เห็นเฟื่องก็ยิ่งตกใจมาก กรีดร้องลั่น
“คุณหนู”
อุ่น ทับทิม เม่น และบ่าวคนอื่นๆ เหลียวหาและตะโกนเรียกเฟื่องกันยกใหญ่ เม่นตัดสินใจดำลงน้ำไปใหม่เพื่อหาเฟื่อง แต่ก็ไม่เจอ
ชุนลากตัวเฟื่องที่ไม่ได้สติขึ้นมาบนตลิ่งอีกฝั่งหนึ่งอย่างทุลักทุเล พอขึ้นมาได้ เขาก็สำรวจอาการของหญิงสาวเห็นเธอไม่รู้สึกตัว ชุนพยายามตบหน้าเฟื่องเบาเพื่อเรียกสติ
“แม่หญิงขอรับ...แม่หญิง...”
สักครู่เฟื่องก็สำลักน้ำออกมาและเริ่มปรือตาขึ้นมอง สายตาของเฟื่องจากเบลอๆก็ค่อยๆชัดขึ้นๆเห็นหน้าชุนที่ก้มลงมามองเธอด้วยแววตาเป็นห่วงเป็นใยอย่างจริงใจ ชุนเห็นเฟื่องได้สติแล้วก็ยิ้มดีใจ
“แม่หญิงรู้สึกตัวแล้ว...”
เฟื่องขยับตัวลุกขึ้นนั่งอย่างงงๆ แว่วเสียงเหล่าบ่าวตะโกนเรียกหา
“คุณหนู...คุณหนู...”
เฟื่องขยับตัวมองไปที่อุ่นกับทับทิม ชุนเหลียวมองตามอย่างไม่สบายใจ
เฟื่องเห็นเหล่าบ่าวตะโกนเรียกหา เม่นก็โดดกลับลงไปดำหาร่างของเฟื่องในคลอง ตรงจุดที่เรือล่มอีกครั้ง เฟื่องตัดสินใจโบกมือเรียกอุ่นกับทับทิม
“อุ่น...ทับทิม...”
ชุนไม่สบายใจ แล้วเลยตัดสินใจลุกขึ้นแล้ววิ่งหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว เฟื่องตกใจ
“อ้าว...เจ้า...จะไปไหนล่ะ...”
ชุนหายไปแล้ว เฟื่องชะเง้อมองตาม จังหวะนั้นอุ่น ทับทิม เม่น และบ่าวอื่นๆ ก็วิ่งเข้ามาหาเฟื่อง อุ่นกับทับทิมร้องไห้และโผเข้ากอดเฟื่องไว้อย่างโล่งใจ
“ทูนหัวของบ่าว...”
อุ่นร้องไห้
“บ่าวนึกว่าคุณหนูจมน้ำตายเสียแล้ว...ฮือๆ...”
เฟื่องไม่พูดอะไร แต่เหลียวไปมองทางที่ชุนวิ่งหนีหายไป
พระยาอารักษ์กำลังเฆี่ยนเม่นอยู่อย่างสุดแรง ทุกครั้งที่หวดลงไป เม่นจะสะดุ้งสุดตัว พวกผู้หญิงเจ็บปวดไปด้วย หลังเม่น แตกยับเลือดโทรมหลัง เฟื่องทนไม่ได้
“พอเถอะเจ้าค่ะ...เจ้าคุณพ่อ”
สร้อยรีบพูดประจบ
“แค่นี้ยังไม่พอหรอกเจ้าค่ะคุณหนู มันยังไม่สาสมกับที่มันทำคุณหนูเกือบจมน้ำตาย”
“แต่นายเม่นเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เรือล่มสักหน่อย เขายังอุตส่าห์โดดลงไปงมหาข้าอยู่ตั้งเป็นนานสองนาน”
พระยาอารักษ์เฆี่ยนไม่หยุดมือ
“จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่มันทำลูกพ่อเกือบตาย มันสมควรโดน”
พูดจบพระยาอารักษ์ก็เฆี่ยนอีก แม้เม่นมันจะแน่นิ่งไปแล้ว พระยาอารักษ์ก็ยังไม่รามือ เฟื่องทนไม่ไหว เข้าไปขวางไว้ระหว่างกลางทำให้พระยาอารักษ์เฆี่ยนต่อไม่ได้ เฟื่องรีบโบกมือให้สัญญาณนายเบี้ยกับบ่าวอื่นๆเข้ามาดูเม่น
“ไอ้เม่นมันสิ้นใจเสียแล้วขอรับ”
เฟื่องตกใจ
“โธ่...”
พระยาอารักษ์ยังโมโหไม่หาย
“ดี...สมน้ำหน้ามัน”
เบี้ยกับบ่าวอื่นๆช่วยกันห้ามร่างเม่นออกไป พระยาอารักษ์ยังไม่หายโกรธเลยหันไปตบหน้าอุ่นกับทับทิมอย่างโมโหสุดขีดเต็มแรง สองสาวล้มกลิ้งกันไปตามแรงตบทันที
“ความจริงเอ็งสองคนก็สมควรจะโดนหวายไม่ต่างไปจาก ไอ้เม่นมันเหมือนกัน ก็รู้กันอยู่ว่าลูกเฟื่องของข้า ว่ายน้ำไม่แข็ง ทำไมไม่ดูแลกันให้ดี”
อุ่นกับทับทิมน้ำตาไหลด้วยความเจ็บและกลัว มุมปากแตกมีเลือดซึมออกมา พระยาอารักษ์ตะคอกถาม
“บอกมา...เรือคว่ำได้ยังไง”
“ก็...ไอ้เม่นมันพายเรืออยู่ดีๆ แล้วจู่เรือมันก็โยกไปโยกมา แล้วก็คว่ำเลยเจ้าค่ะ” อุ่นบอกทับทิมนึกอย่างหวาดๆ
“บ่าวว่าต้องเป็นฝีมือผีพรายแน่ๆเลยเจ้าค่ะ”
“พวกเอ็งจะบ้าเรอะ...ผีพงผีพรายที่ไหนมี”
พระยาอารักษ์เงื้อจะตบอุ่นกับทับทิมอีก แต่ศรีเรือนรีบคว้ามือไว้ พูดเสียงอ่อน
“พอเถอะเจ้าค่ะคุณพี่...”
พระยาอารักษ์จึงไม่ตบอุ่นกับทับทิม แต่ก็อารมณ์เสียอยู่มาก ทับทิมกระซิบเล่าให้ศรีเรือนฟัง
“จริงๆนะเจ้าคะคุณหญิง บ่าวว่าต้องเป็นผีพรายแน่ๆที่มาโยกเรือพวกบ่าวจนคว่ำน่ะเจ้าค่ะ เพราะพอเรือคว่ำ พวกบ่าวตกลงไปในน้ำแล้ว พวกผีพรายมันยังมากอดมารัดเล่นเอาอีกด้วย”
ศรีเรือนตาโตอย่างตกใจ
“เอ๊ะ...หรือว่านังเดือนมันจะมาล่มเรือลูกเฟื่อง หวังจะเอาตัวลูกเฟื่องไปอยู่กับมันด้วยคะคุณพี่...เพราะนังเดือนนี่มันก็รักใคร่แม่เฟื่องมากอยู่”
บ่าวอื่นๆเริ่มหน้าตื่นตามศรีเรือนไปด้วย
“ไม่ได้แล้ว พรุ่งนี้อิฉันต้องพาลูกเฟื่องไปรดน้ำมนต์ดีกว่า” ศรีเรือนกอดเฟื่อง “ขวัญเอ๊ย...ขวัญมานะลูกนะ”
เฟื่องไม่พูดอะไร ไม่ติดใจเรื่องที่เกิดขึ้นในน้ำ แต่ติดใจว่าใครกันที่เป็นคนช่วยชีวิตเธอขึ้นจากน้ำมากกว่า เธอนึกถึงเหตุการณ์ที่เริ่มปรือตาขึ้นมองแล้วเห็นหน้าชุนที่ก้มลงมามองเธอด้วยแววตาเป็นห่วงเป็นใยอย่างจริงใจ และเมื่อบ่าวทั้งหลายตะโกนเรียก เขาก็วิ่งหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว เธออยากรู้ว่า “เขา” คือใคร
ค่ำนั้น เฟื่องช่วยทายาที่แผลที่มุมปากให้อุ่นกับทับทิมที่โดนพระยาอารักษ์ตบมา สองบ่าวร้องอูย...กับสะดุ้งเมื่อถูกยาเป็นระยะๆ
“อุ่นกับทับทิมคงเจ็บมาก...”
“เจ็บสิเจ้าคะ” อุ่นคลำแผลสีหน้าเหยเก “ก็ท่านเจ้าคุณเล่นตบบ่าวไม่ยั้งมือเลย...บ่าวสองคนคงกินน้ำพริกไปไม่ได้อีกหลายวันเทียว”
“แต่ก็ยังดีกว่าพี่เม่นละ”
สาวหญิงหน้าสลดลงทันที เฟื่องไม่ชอบใจ
“เจ้าคุณพ่อก็ทำเกินไป เห็นชีวิตคนเป็นผักปลาน่าเวทนานายเม่นนัก...” เธอยกมือขึ้นไหว้ “ขอให้นายเม่นไปสู่สุขคติด้วยเถิด สาธุ”
อุ่นกับทับทิมพลอยสาธุตามเฟื่องไปด้วย อุ่นหันมาหาเฟื่อง
“แต่นี่ยังดีนะเจ้าคะที่คุณหนูยังอุตส่าห์ว่ายน้ำไปขึ้นอีกฝั่งได้ ไม่อย่างนั้น...บ่าวสองคนคงถูกท่านเจ้าคุณตบจนตายตามพี่เม่นไปแน่ๆเลย”
อุ่นกับทับทิมสีหน้าหวาดกลัวพระยาอารักษ์กันมาก เฟื่องนิ่งไป คิดถึงชุน ทับทิมแปลกใจ
“คุณหนูเป็นอะไรไปรึเจ้าคะ ทำไมเงียบไป หรือว่า...จะเป็นไข้”
เฟื่องตัดสินใจบอก
“อุ่น ทับทิม ความจริงข้าไม่ไม่ได้ว่ายน้ำไปขึ้นฝั่งเองหรอก แต่มีชายผู้หนึ่งช่วยข้าไว้”
อุ่นกับทับทิมตกใจร้องออกมา
“ผู้ชาย”
เฟื่องรีบจุ๊ปากทันที
“อย่าเสียงดังไปสิอุ่น ทับทิม ถ้าเจ้าคุณพ่อรู้ว่ามีผู้ชายมาแตะเนื้อต้องตัวข้า เห็นทีจะเป็นเรื่องใหญ่”
สองบ่าวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“แล้วเขาเป็นใครหรือเจ้าคะคุณหนู” อุ่นถาม
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ยังไม่ทันจะได้ถามไถ่ชื่อ แม้กระทั่งจะเอ่ยปากขอบคุณเขา เขาก็วิ่งหนีหายไปในความมืดเสียก่อน นี่ถ้าไม่ได้เขาช่วยไว้ พวกเอ็งก็คงจะได้เผาศพข้าในวันพรุ่งไปเหมือนกัน ข้าเป็นหนี้บุญคุณชีวิตเขาจริงๆ ถ้าได้เจอเขาอีกสักครั้ง ข้าจะต้องขอบคุณเขาเป็นการใหญ่ทีเดียว”
เฟื่องครุ่นคิด
วันใหม่...ในโบสถ์ ทั้งหมดกำลังก้มกราบพระกันอย่างพร้อมเพรียง พระรดน้ำมนต์ให้อย่างทั่วถึง อุ่นกับทับทิมรับน้ำมนต์แล้วทำท่าชื่นใจ สร้อยทำหน้าหมั่นไส้รับน้ำมนต์เสร็จศรีเรือนก็หันมาโอบกอดเฟื่อง
“ขวัญเอ๊ย...ขวัญมา...นะลูกนะ”
กลุ่มเฟื่องเดินมาตามทาง พัน สิงห์ และเพียรเดินมาจากอีกทางหนึ่ง กำลังจะเดินเข้าไปหาเฟื่อง แต่ยังไม่ทันจะเข้าไปหา ศรีเรือนก็พูดขึ้นมาเสียก่อน พันกับสมุนจึงหยุดยืนฟัง
“คิดอะไรอยู่รึลูก”
“ลูกสงสารนายเม่นค่ะ ต้องมาตายเพราะความผิดที่ตนไม่ได้ก่อแท้ๆ แล้วลูกก็สงสารนังเดือนด้วย เดือนคงเจ็บแล้วก็กลัวมากก่อนตาย ใครที่ทำกับเดือนอย่างนี้ มันต้องไม่ตายดี”
สิงห์กับเพียรหน้าซีดตกใจ พันหันไปเห็นก็ตบกบาลมันสองคนเต็มแรง
“พวกมึงอย่าเสือกทำท่ามีพิรุธสิโว๊ย ถ้าพวกมึงไม่ปากโป้งเสียอย่าง ไม่มีทางที่ใครจะรู้หรอกว่าพวกมึงเป็นคนฆ่าอีเดือนน่ะ”
สองบ่าวรีบก้มหน้าเก็บอาการทันที พันปรับสีหน้าให้สดชื่นขึ้นแล้วเดินตรงเข้าไปหาคณะของเฟื่อง พันยกมือไหว้ศรีเรือนอย่างอ่อนน้อม เฟื่องไหว้พัน
“กระผมไปหาคุณอา กับแม่เฟื่องที่เรือน บ่าวที่เรือนบอกว่ามาไหว้พระที่วัดกัน”
“เมื่อคืนแม่เฟื่องไปเผาศพนังเดือนที่วัด ขากลับเรือล่มเกือบจมน้ำตายตามนังเดือนมันไปแล้วสิ”
พันหันมาหาเฟื่อง
“โธ่...แล้วแม่เฟื่องเป็นอะไรมากหรือเปล่าจ๊ะ”
เฟื่องส่ายหน้า ศรีเรือนเลยตอบแทน
“ลูกเฟื่องไม่เป็นอะไรมากหรอกจ้ะพ่อพัน แค่ตกใจมากหน่อยน่ะ แล้วนังเดือนมันก็เพิ่งถูกคนใจบาปฆ่าตายไปไม่กี่วันเอง”
“ฮู้ย...ลงนังเดือนมันตายโหงอย่างนี้ละก็ ผีมันคงเฮี้ยนหนักละเจ้าค่ะ” อุ่นพูดขึ้น
ทับทิมยกมือไหว้ท่วมหัว
“สา...ธุ...ขอให้ผีนังเดือนมันกลับมาหักคอคนที่ฆ่ามันด้วยเถิ๊ด”
สิงห์กับเพียรรีบก้มหน้างุด ไม่สบตาใครทันที พันมองเฟื่องอย่างรักใคร่
“ถ้าเช่นนั้น...พี่พาเจ้าไปเดินเล่น หาเลือกซื้อข้าวของที่ท้ายตลาดให้คลายทุกข์ใจดีมั๊ย พี่ได้ข่าวว่ามีพ่อค้าจากเมืองจีนเอาแพรพรรณสวยแปลกตามาขายอยู่ที่นั่นหลายเจ้า เจ้าสนใจอยากจะไปดูหรือไม่จ๊ะแม่เฟื่อง”
เฟื่องไม่ตอบ ไม่ชอบหน้าพัน ศรีเรือนเห็นดีกับพัน
“ดีเหมือนกัน บางที...ได้ไปซื้อข้าวของบ้าง ลูกเฟื่องจะได้อารมณ์ดีขึ้นบ้าง ถ้าเช่นนั้น...อาฝากพ่อพันดูแลน้องด้วยนะจ๊ะ”
เฟื่องหันมามองแม่อย่างไม่อยากไปกับพัน แต่ศรีเรือนจิกตาใส่เป็นเชิงบังคับ ทำให้เฟื่องจำใจต้องไป อุ่นกับทับทิมตามไปด้วย ทิ้งให้ศรีเรือนกับสร้อยและบ่าวผู้หญิงอีกจำนวนหนึ่งอยู่ที่เดิม ศรีเรือนมองตามอย่างปลื้มใจ สร้อยอยากไปเที่ยวตลาดด้วย
“บ่าวตามไปรับใช้คุณหนูที่ตลาดด้วยดีมั๊ยเจ้าคะ”
ศรีเรือนรู้ทัน
“ไม่ต้อง เอ็งกลับเรือนกับข้า”
สร้อยหน้าจ๋อย เดินตามศรีเรือนกลับเรือนอย่างเซ็งๆ
บรรยากาศตลาดผู้คนเดินจับจ่ายซื้อของ เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากท้ายตลาด โจรวิ่งราววิ่งฝ่าผู้คนออกมาในมือถือห่อผ้าใส่สตางค์ที่เพิ่งฉกออกมาจากร้านขายสมุนไพร เสียงตะโกนไล่ตามหลัง
“หยุดนะ...ฉันบอกให้หยุด”
โจรวิ่งราวยังคงวิ่งหนี นวลแทรกตัวออกมาจากฝูงชน
“ฉันบอกให้หยุด...”
นวลมองหาอุปกรณ์ใกล้มือ เห็นฟักลูกใหญ่ที่ชาวบ้านวางขายอยู่ที่พื้นคิดได้
“ป้า...ฉันขอยืมหน่อยนะ”
ป้าที่นั่งขายยังไม่ทันที่จะตอบอะไร นวลก็คว้าเอาฟักลูกขนาดพอมือขว้างไปที่โจรวิ่งราวที่กำลังวิ่งหนีโดนเข้าที่กลางหลังอย่างจังจนล้มฟุบลงไป นวลรีบวิ่งตามไปจนถึงตัวโจรคว้าคอเสื้อโจรที่ยังคว่ำหน้าอยู่ที่พื้นขึ้นมา ชาวบ้านเริ่มมุงดูกัน
“เอาเบี้ยฉันคืนมาเดี๋ยวนี้ ไอ้ขี้ขโมย”
โจรลุกขึ้นมาได้ทำทีจะส่งถุงเบี้ยคืนให้ นวลกำลังจะคว้าถุงเบี้ยคืนแต่แล้วโจรก็เปลี่ยนใจผลักนวลเซล้มไปแล้วลุกขึ้น
“คืนให้ก็โง่สิวะ...ฮ่าๆ แน่จริงก็ตามให้ทันสิวะ ฮ่าๆ”
โจรสมน้ำหน้านวลที่ล้มลงไปชาวบ้านช่วยกันพยุงนวลขึ้นมา โจรหัวเราะเยาะแล้ววิ่งหนีไป นวลโมโหฮึดขึ้นตามไป
“หนอย...ไอ้ขี้ขโมย รู้จักอีนวลน้อยไปซะแล้ว”
นวลวิ่งเลาะไปดักอีกทางขวางหน้า โจรชงักผงะถอยหลังจะวิ่งหนีวิ่งไปชนเข้ากับผ้าม้วนโตที่ชุนแบกมาจะตั้งที่ร้าน โจรโดนม้วนผ้าฟาดเข้าอย่างจังจนล้มหงายหลังลงไป ชุนยกม้วนผ้าลงงงๆว่าเกิดอะไรขึ้น นวลมองเห็นว่าเป็นชุนที่ช่วยจับโจร นวลยิ้มให้
“ขอบใจนะ”
ชุนมองนวลงงๆ
“เอ่อ...”
โจรลุกขึ้นได้จะหนีนวลกระโดดถีบเข้าที่กลางหลัง โจรถลาลงไปอีก นวลรีบเข้าไปเหยียบที่ข้อมือโจรที่ถือถุงเบี้ยอยู่ แล้วแย่งเอาถุงเบี้ยคืนมา
“มือเอ็งคงทำมาหากินไม่ได้ใช่ไหม ถึงต้องใช้มันลักข้าวของของชาวบ้านเค้าเยี่ยงนี้น่ะ”
นวลเหยียบบี้เท้าลงที่มือโจร
“โอย...ข้ายอมแล้ว ข้าคืนเงินเจ้าแล้วปล่อยข้าไปเถ่อะ”
“ปล่อยให้ไปขโมยของคนอื่นอีกน่ะเหรอ”
ชุนมองดูนวลอึ้งๆที่เห็นเธอเก่งเกินหญิงทั่วไป ชาวบ้านมารุมดู นวลจัดการเอาเชือกมัดมือมือโจรไพ่หลังทั้งที่ยังนอนอยู่ที่พื้น
“ปล่อยข้าเถ่อะนะ ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว ข้าสาบาน”
นวลกระชากมัดจนแน่น
“เอ็งไปสาบานกับหลวงแล้วกัน ไอ้ขี้ขโมย...”
นวลลากโจรวิ่งราวเดินฝ่าฝูงคนออกไป ชุนมองตามยิ้มๆ นวลหันมาเจอกับสายตาชุนเขินๆแล้วรีบเดินออกไป ชุนรีบแบกเอาม้วนผ้าไปจัดร้านต่อ
เฟื่องกับพัน และเหล่าบ่าวเดินมาที่ตลาดด้วยกัน ทับทิมแอบกระซิบกับอุ่น
“ได้มีโอกาสมาเที่ยวตลาดแล้ว ข้าจะซื้อของให้สบายใจไปเล้ย”
อุ่นกระซิบดักคอ
“แล้วเอ็งมีอัฐรึ”
ทับทิมส่ายหน้าแล้วยิ้มแห้งๆ อุ่นส่ายหน้าระอาใจในความคึกของทับทิม...พันพยายามเอาใจเฟื่องอย่างเต็มที่
“แม่เฟื่องอยากได้สิ่งใดบอกพี่ พี่จะซื้อให้เจ้าทุกสิ่งเลย”
“เวลานี้ข้าไม่อยากได้สิ่งใดหรอก นอกจากอยากได้ชีวิตของนังเดือนกับนายเม่นกลับมา”
สิงห์กับเพียรรีบก้มหน้าทันที พันขัดขึ้น
“ฮื้อ...คนมันก็ตายไปแล้ว เจ้าจะพูดถึงอีกทำไมเล่าแม่เฟื่อง พูดไปก็จะทำให้จิตใจหดหู่เสียเปล่าๆ มาๆ มาดูสินค้าของพวกคนจีนกันให้เพลินตาเพลินใจดีกว่าจ้ะ”
พันจะลากข้อมือเฟื่องเดินไป แต่เธอบิดข้อมือหนีอย่างรังเกียจ พันอึ้งไปแต่ก็พยายามระงับอารมณ์ เฟื่องเดินนำเข้าตลาดไป พันเดินตามติด
ชุนสะบัดผ้าแพรจีนผืนหนึ่งให้กางออก ผ้าแพรโรยตัวลง ลูกค้าหญิงท่าทางฐานะดี 2 คนมองอย่างชื่นชม
“แหม...ผ้าแพรจีนนี่สีสันงามจริง”
ลูกค้าหญิงอีกคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย...ลูกค้าทั้งสองเลือกซื้อผ้าแพรของชุนแล้วเดินออกไป ชุนจัดเก็บผ้าที่เหลือให้เข้าที่เข้าทาง ผ้าแพรผืนเล็กผืนหนึ่งปลิวลอยลมออกมานอกร้าน ผ้าแพรผืนนั้นปลิวมาตรงหน้าเฟื่องพอดิบพอดี เธอคว้าไว้ ชุนวิ่งตามมาเก็บพอดี แล้วหยุดตะลึงมองเฟื่อง ทั้งคู่มองหน้ากัน จำกันได้ในทันที
“เจ้า...”
พันเข้ามาขวางทันที
“เฮ้ย”
เฟื่องกับชุนรู้สึกตัว
“ข้า...เอ่อ...ขอผ้านั่นคืนได้มั๊ย”
ชุนชี้ไปที่ผ้าแพรที่ยังอยู่ในมือเฟื่อง เธอก้มลงมองผ้าแพรจีนในมือแล้วยื่นจะส่งให้ชุน แต่พันรีบฉวยผ้านั้นไว้ก่อน แล้วเป็นคนส่งผ้าแพรผืนนั้นให้ชุนเอง
“เอ็งเป็นพ่อค้าจีนใช่มั๊ย” พันถามเสียเข้ม
ชุนยิ้มรับ
“ขอรับ ข้าขายผ้าแพรจีนอยู่ทางโน้น แต่ข้าหาใช่เจ้าของร้านไม่ เป็นเพียงแค่ลูกจ้างเขาเท่านั้น”
เฟื่องมองชุนไม่วางตา
“ขอข้าดูผ้าของเจ้าหน่อยได้มั๊ย”
ชุนยิ้ม
“ยินดีขอรับ”
ชุนทำท่าเชื้อเชิญ เฟื่องเดินนำทุกคนตรงไปที่ร้าน ชุนรีบเดินตาม อุ่นกับทับทิมรีบตามไปด้วย พันมองตามไม่พอใจ แล้วสะกดใจเดินตามเฟื่องไปที่ร้านของชุน
เฟื่องเดินเข้ามาในร้าน ไม่ได้ตั้งใจจะดูผ้า แต่อยากจะพูดอะไรกับชุนมากกว่า พอเขาตามเข้ามา เธอทำท่าจะพูดอะไรกับเขา แต่อุ่นกับทับทิมตามเข้ามาเลือกผ้าดู แล้วเอาผ้ามาทาบตัวเฟื่อง ให้ดูว่าเข้ากับสีผิวมั๊ยกันอย่างสนุกสนานเสียก่อน เฟื่องเลยไม่มีโอกาสจะพูดอะไรกับชุนเสียที
“ผ้าแพรจีนของเรา เนื้อดีมากนะขอรับแม่หญิง ไม่ยับไม่ย่น สีไม่ตก เพราะไม่ใช่ผ้าย้อมสี แต่เป็นผ้าทอนะขอรับ” ชุนแนะนำ
เฟื่องหยิบผ้ามาดู
“ลายสวยจริง...”
เธอเอามาทาบกับตัว ชุนมองแล้วยิ้มชื่นชม
“งามจริงขอรับ”
พันที่เดินตามมาฟังพอดีก็โกรธ เข้ามาขวางแล้วดึงผ้าออกจากมือเฟื่อง
“ไปดูที่ร้านอื่นดีกว่า”
พันคว้าแขนจะดึงไป เฟื่องดึงแขนออกอย่างสุภาพ แต่ให้เห็นว่าไม่เชื่อฟังพันเลย
“แต่ข้าอยากดูร้านนี้นี่”
พันเม้มปากข่มความโกรธ จ้องชุนอย่างชิงชัง เฟื่องเลือกผ้าแพรได้ชิ้นหนึ่ง
“ข้าเอาผืนนี้...”
เฟื่องจะจ่ายเงินแต่พันรีบแย่งจ่ายก่อน ด้วยการเอาเงินปาใส่หน้าชุน เฟื่องหันมามองพันสีหน้าไม่ชอบใจ แต่พันไม่สนใจ รีบพาเฟื่องออกจากร้านไปเลย อุ่นทับทิมรีบตามไป สิงห์กับเพียรเดินวนๆรอบตัวชุนมองกวนๆ เพียรก้มลงเก็บเงินที่พื้น
“อัฐเนี่ยของนายข้า” เพียรทำหน้ากวนๆ “ข้าขอนะ”
ชุนมองหน้าไม่พอใจ สิงห์เข้ามามองจ้องหน้ากระชากคอเสื้อชุนมาพูดใส่หน้า
“ถ้ายังอยากจะขายผ้าอยู่ที่นี่ล่ะก็ ขอเตือนว่าอย่าริยุ่มย่ามกับแม่หญิงของนายข้าไม่เช่นนั้นจะหาว่าข้าไม่เตือน”
ชุนปัดมือของสิงห์ออก สิงห์กับเพียรมองหน้ากันจะเข้ามาหาเรื่อง ชุนถอยหลังนิดๆเพราะไม่ต้องการมีเรื่อง สิงห์กับเพียรเลยปัดผ้าที่วางขายลงพื้นแล้วเดินย่ำก่อนจะเดินออกไปสวนกับนวลที่เดินถือตระกร้าสมุนไพรผ่านมา นวลหันมาเห็นชุนที่กำลังเก็บผ้าที่เกลื่อนกราดอยู่ที่พื้นเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้น นวลยืนมองสักพักกำลังจะเข้าไปช่วยชุน เสียงเรียกของพรานมีก็ดังขึ้น
“นังนวล...มัวชักช้าอยู่นั่นเดี๋ยวก็ไม่ทันขายหรอก”
“จ้าๆ...ไปเดี๋ยวนี้แหล่ะพ่อ”
นวลมองดูชุนก่อนที่จะเดินออกไป ชุนหยิบผ้าขึ้นมองด้วยความเจ็บใจ
เฟื่องเหลียวกลับมามองชุน พยายามจะพูดอะไรด้วย แต่คนอยู่ด้วยเยอะ เลยไม่พูดอะไร ได้แต่มองตาชุนอยู่อย่างนั้น พันหันมาเห็นเฟื่องมองชุนก็ยิ่งไม่พอใจเข้าไปใหญ่...เฟื่องอดไม่ไหว ต่อว่าพัน
“พี่พันไม่ควรทำกิริยาเช่นนั้นกับพ่อค้าขายผ้า”
“ทำไมพี่จะทำไม่ได้ มันเป็นแค่ลูกเจ๊กลูกจีนขายผ้า เผยอทำตัวสนิทสนมกับเจ้า พี่ไม่ตบสั่งสอนมันก็นับว่าเป็นบุญหัวของมันแล้ว”
สิงห์กับเพียรเดินเข้ามาสมทบ สิงห์รายงาน
“เรียบร้อยครับนายท่าน”
พันพยักหน้ายิ้มๆ
“ดีมาก...ป่านนี้มันคงจะหอบร้านหนีแทบไม่ทัน...ฮึๆ” พันหัวเราะในลำคอ
เฟื่องจ้องหน้าพันอย่างแค้นเคือง แต่ไม่อยากต่อปากต่อคำมากไปกว่านี้ เลยสะบัดหน้าเดินจ้ำออกไป พันมองตาม
เฟื่องเดินกลับมาที่ร้านชุนมองเห็นผ้าที่หล่นเกลื่อนอยู่ที่พื้น ชุนก้มลงเก็บผ้าเอามาปัดฝุ่นดินออกแล้วจัดเรียงตามเดิม เฟื่องเข้าไปหยิบผ้าผืนเดียวกับที่เขากำลังหยิบ ชุนเงยหน้าขึ้นมองเห็นเป็นเฟื่องก็ชะงักนิดๆ
“แม่หญิง...”
“ข้าต้องขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องเดือดร้อน ชุนลุกขึ้นเฟื่องลุกตาม
“มิใช่ความผิดของท่านดอก”
ชุนเก็บผ้ามาปัดๆ
“ข้าวของเจ้าเสียหายมากมาย เป็นเพราะข้าทีเดียว งั้นข้าขอซื้อผ้าแพรพวกนี้เอง”
เฟื่องรีบหยิบผ้าที่หล่นอยู่ที่พื้นขึ้นมาหอบไว้ในมือ แล้วล้วงหาอัฐแต่ก็มิได้ติดตัวมาเพราะอัฐอยู่กับอุ่นที่ถือกระเป๋าอยู่ เฟื่องมองดูกำไลที่ข้อมือตัวเองแล้วถอดออกมา 1 อัน
“ข้ามิได้พกอัฐมา ข้าขอจ่ายเจ้าเป็นกำไลนี่แทนจะได้ไหม”
“เอ่อ...คงไม่ดีกระมังเพราะว่ากำไลของท่าน ดูจะมีราคามากกว่าผ้าแพรของข้าเสียด้วยซ้ำ ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก”
ชุนไม่รับกำไลที่เฟื่องยื่นให้
“โปรดรับไว้เถิด” เฟื่องมองจ้องหน้าชุน “เจ้าจำข้าได้ใช่ไหม...เจ้าเป็นคนช่วยข้า...ในวันนั้น...”
เสียงของพันตะโกนเรียกเฟื่องดังมาแต่ไกล
“แม่เฟื่อง...”
ทับทิมรีบวิ่งเข้ามาหาเฟื่อง
“คุณหนูรีบไปเถอะเจ้าค่ะ ก่อนที่พ่อพันจะมาถึง ไปเจ้าค่ะ”
เฟื่องรีบดึงมือชุนออกมาแล้วยัดกำไลลงในมือของชุนก่อนที่ทับทิมจะดึงตัวเฟื่องออกไป”
“เก็บมันไว้นะ...ข้าขอร้อง”
ทับทิมดึงเฟื่องออกจากร้านไป
“คุณหนูมาแล้วค่ะ...ไปกันเถอะค่ะ...”
เฟื่องหันมองมาที่ชุน ชุนมองตามเฟื่องไปแล้วก้มมองกำไลในมือยิ้มๆ
ศรีเรือนหยิบผ้าแพรที่เฟื่องซื้อมาจากชุนขึ้นมาดูอย่างชอบใจ สร้อยกล่าวชมเอาใจ
“แหม...สีสันผ้าแพรจีนนี่มันช่างงามจริงนะเจ้าคะคุณหญิง”
พระยาอารักษ์หันไปหาพัน
“ขอบใจพ่อพันมากนะที่อุตส่าห์ซื้อให้น้อง”
พันยิ้มประจบ
“ไม่เป็นไรมิได้ขอรับ”
เฟื่องไม่มองหน้าพัน
“ลูกขออนุญาตไปล้างเนื้อล้างตัวสักหน่อยนะเจ้าคะ...เจ้าคุณพ่อ”
เฟื่องลุกเดินไปเลยโดยไม่หันมองพันเลยสักนิด อุ่นกับทับทิมรีบตามไป ทิ้งให้พันอยู่กับศรีเรือน พระยาอารักษ์และสร้อย พันมองตามเฟื่องแล้วตัดสินใจพูดกับพระยาอารักษ์
“คุณอาขอรับ ถ้าคุณอาไม่ขัดข้องอะไร กระผมอยากจะพาผู้ใหญ่มาสู่ขอแม่เฟื่องขอรับ”
พระยาอารักษ์นิ่งไปสักครู่ แล้วก็หัวเราะชอบใจออกมาเสียงก้อง
ค่ำนั้น...เฟื่องตกใจกับสิ่งที่พ่อบอก
“แต่ลูกไม่อยากแต่งงานกับพี่พันนี่เจ้าคะ...เจ้าคุณพ่อ ลูกไม่ได้รักพี่พัน”
“แต่เจ้าต้องแต่ง พ่อสั่งให้แต่ง เจ้าก็ต้องแต่ง”
เฟื่องนิ่งไปทันที
“เพราะพ่อเห็นแล้วว่าพ่อพันเป็นถึงลูกโทนของท่านเจ้าคุณไพศาลอีกด้วย เรือกสวนไร่นาอัครสมบัติของท่านเจ้าคุณไพศาลมีเท่าไหร่ อีกต่อไปก็จะต้องตกเป็นของพ่อพันทั้งสิ้น เจ้าตกแต่งไปเป็นแม่ศรีเรือนของพ่อพัน เห็นทีจะอยู่สุขสบายไปทั้งชาตินั่นแหละเพราะฉะนั้น...เจ้าต้องแต่ง พ่อสั่ง”
เฟื่องกลุ้มใจหันไปหาศรีเรือน พยายามจะเอาแม่เป็นพวก ศรีเรือนเสียงอ่อยๆ
“แม่ก็เห็นด้วยกับพ่อจ้ะ”
เฟื่องจึงได้แต่ฮึดฮึดอัดอั้นตันใจอยู่คนเดียว
ชุนนอนไม่หลับ คิดถึงเฟื่องถอนใจยาว ยิ้มมีความสุขเมื่อนึกถึงเฟื่องก่อนจะหลับตาลงแล้วหลับไป
เฟื่องนอนไม่หลับ ต่างจากชุนอย่างสิ้นเชิง เพราะกลุ้มใจที่จะต้องแต่งงานกับพัน เฟื่องถอนใจเครียด
วันใหม่...อุ่นกับทับทิมเดินถือสำรับอาหารออกมาจากห้องเฟื่อง ศรีเรือนมาดูสีหน้ากังวล
“ลูกเฟื่องของข้าไม่ยอมกินอะไรอีกแล้วรึ”
อุ่นกับทับทิมตอบพร้อมกัน
“เจ้าค่ะ”
ศรีเรือนหันมาสบตากับพระยาอารักษ์ด้วยความกลุ้มใจ พระยาอารักษ์โมโหปัดถาดสำรับอาหารที่อุ่นกับทับทิมถือมาตกแตกกระจายอย่างคนเจ้าอารมณ์
“ไม่กินก็อย่ากิน เป็นลูก จะมาหืออือกับพ่อแม่ได้ยังไง...ถ้าไม่อยากกินยอมอดตาย ก็ให้อดตายไปเลย แต่แม่เฟื่องจะต้องแต่งงานกับพ่อพันตามที่ข้าสั่ง”
ศรีเรือนใช้น้ำเย็นเข้าปลอบพระยาอารักษ์
“คุณพี่เจ้าขา...ลูกเฟื่องน่ะ ต้องแต่งงานกับพ่อพันตามที่คุณพี่สั่งอยู่แล้วล่ะเจ้าค่ะ แต่ลูกคงทำตัวไม่ถูกมากกว่าที่จู่ๆก็จะต้องออกเรือน ก็เลยไม่สบายใจ อิฉันคิดว่า...”
พระยาอารักษ์หันมามองศรีเรือนอย่างสงสัย ว่าศรีเรือนจะบอกอะไร
เฟื่องเดินนำหน้าอุ่นกับทับทิมตรงไปที่ตลาด อุ่นกับทับทิมแอบคุยกันเบาๆ
“โชคดีจริงที่คุณหญิงเห็นคุณหนูอารมณ์ไม่ใคร่จะดี เลยขออนุญาตท่านเจ้าคุณ ยอมให้คุณหนูออกมาเที่ยวให้สบายใจจนได้ เราก็เลยพลอยได้เที่ยวไปด้วยเลยเนอะ”
อุ่นหัวเราะชอบใจ ทับทิมพลอยหัวเราะไปด้วย เฟื่องเดินดุ่มไปที่ร้านขายผ้าของชุนโดยไม่สนใจจะดูร้านอื่นเลย อุ่นกับทับทิมงงว่าเฟื่องจะไปที่ไหน
“คุณหนู...รอบ่าวสองคนด้วยเจ้าค่ะ”
แต่เฟื่องไม่สน ยังคงเดินดุ่มไปที่ร้านชุนอย่างร้อนใจ สองบ่าวรีบวิ่งตามไป สิงห์กับเพียรมาตลาดเหมือนกัน สองหนุ่มมองตามกลุ่มเฟื่องไปอย่างสงสัย แล้วตัดสินใจเดินตามไป
ชุนจัดผ้าอยู่ เฟื่องเดินตรงเข้ามา ชุนหันมาเห็นก็ยิ้มดีใจ
“แม่หญิง...”
เฟื่องยิ้มให้ดีใจที่ได้เจอชุนเสียทีแล้วนึกขึ้นได้ หันไปสั่งอุ่นกับทับทิม
“เจ้าสองคนจะไปเดินเล่นที่ไหนก็ไปเถิด ไม่ต้องตามข้าเข้าไปในร้านผ้าหรอก”
“อ้าว...แต่...”
เฟื่องล้วงหยิบอัฐจำนวนมากยัดใส่มืออุ่นกับทับทิบ
“เอ็งสองคนจะไปซื้อของที่ไหนก็ไปเถอะไป๊...”
อุ่นกับทับทิมมองอัฐในมือแล้วยิ้มร่า รีบเดินออกไปทันที เฟื่องมองดูจนอุ่นกับทับทิมเดินลับไปจึงค่อยเดินเข้าร้านชุนไป สิงห์กับเพียรที่ตามมาแอบดูโดยที่เฟื่องกับชุนไม่รู้ตัวเลย
เฟื่องเดินเข้ามาในร้านชุน
“วันนี้แม่หญิงต้องการผ้าแบบไหนหรือขอรับ”
“ข้าไม่ได้มาซื้อผ้าหรอก”
“อ้าว...”
เฟื่องมองตาชุนอย่างจะคาดคั้น
“เจ้าใช่มั๊ยที่เป็นคนช่วยข้าขึ้นจากน้ำ...คืนที่เรือล่มคืนนั้น”
ชุนนิ่งไปนิดหนึ่ง เฟื่องคาดคั้น
“ใช่มั๊ย”
“ขอรับ...” ชุนยอมรับเสียงเบาแผ่ว
“แล้วทำไมต้องวิ่งหนี”
“ก็ข้าเป็นแค่ลูกจีนต่ำต้อย หาเช้ากินค่ำไปวันๆ รับจ้างเขาขายผ้า ค้าขายทั่วไป หาใช่ขุนน้ำขุนนางที่ไหนไม่ ถ้าใครรู้ว่าข้าบังอาจแตะเนื้อต้องตัวแม่หญิงเข้า ข้าอาจโดนหวายหลังลายแน่ๆ”
“แต่เจ้าช่วยชีวิตข้านะ”
“แต่ก็ไม่มีใครรับรองได้นี่ขอรับว่าข้าจะไม่โดนหวาย”
เฟื่องถอนใจ
“อืม...จริง...แต่ถึงอย่างไร ข้าก็ต้องขอบใจเจ้ามากที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้”
เฟื่องเอาอะไรบางอย่างยัดใส่มือเขาอย่างรวดเร็ว ชุนมองสิ่งที่ถูกยัดใส่มือมาเห็นเป็นถุงใส่อัฐจำนวนมาก ชุนไม่สบายใจแล้วเอาถุงอัฐนั้นยัดใส่มือเฟื่องคืนไป สีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง
“ข้าช่วยชีวิตแม่หญิง ไม่ได้หวังเงินทองตอบแทนแต่อย่างใด ข้าช่วย...ก็เพราะว่าเห็นว่าแม่หญิงกำลังเป็นอันตราย”
เฟื่องซาบซึ้งใจมาก
“ขอบใจ...ขอบใจเจ้าจริงๆ”
เฟื่องลงนั่งในร้าน เอนหลังพิงผนัง
“เจ้าชื่ออะไรรึ”
“ข้าชื่อชุน”
“ข้าชื่อเฟื่อง...”
“ข้ารู้แล้ว”
เฟื่องทำหน้างงว่าเขารู้ได้อย่างไรว่าเธอชื่ออะไร ชุนขำ
“ก็บ่าวของแม่หญิงเรียกชื่อแม่หญิงตลอดเวลา”
เฟื่องหัวเราะออกมา ชุนเลยพลอยหัวเราะตามไปด้วย
ขณะที่เฟื่องกับชุนหัวเราะให้แก่กันนั้น สิงห์กับเพียรแอบดูอยู่ที่ด้านนอกของร้าน ทั้งสองหันมามองหน้ากันแล้วก็พากันวิ่งออกไปอย่างเงียบเชียบโดยที่เฟื่องกับชุนไม่ได้รู้ตัวเลยว่าถูกแอบดู
เฟื่องกับชุนยังหัวเราะให้แก่กันอยู่ แล้วจู่ๆชุนก็หยุดหัวเราะไปอย่างฉับพลัน หยิบอะไรบางอย่างขึ้นมากระชับในมือมันคือมีดปลายแหลมคมกริบ ชุนจ้องเฟื่องสีหน้าถมึงทึง เฟื่องมองดูสีหน้าของเขาและมีดในมืออย่างตื่นตะลึง ใจคอไม่ดี แต่ยังไม่ทันจะทำอะไรเขาก็จ้วงมีดเข้าใส่ที่ข้างซอกคอเธออย่างรวดเร็วและรุนแรง เฟื่องหวีดร้องเบาๆพลางหลับตาปี๋ แต่พอรู้ตัวว่าไม่ได้ถูกแทงก็ค่อยๆลืมตาขึ้น เห็นเขายังกำมีดแน่นและมีดนั้นก็ปักอยู่ข้างซอกคอเธอ เฟื่องค่อยๆขยับตัวจากที่เดิม เหลียวไปดูว่าชุนปักมีดไปซอกคอเธอเพราะอะไรเห็นมีดปลายแหลมในมืดเขาปักอยู่กลางตัวแมงป่องขนาดเขื่องตัวหนึ่ง แมลงป่องตัวนั้นแน่นิ่งตายแล้ว
“ข้าขอโทษที่ทำให้แม่หญิงตกใจ”
เฟื่องมองชุนอย่างซาบซึ้งใจ
“เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้อีกครั้งหนึ่งแล้ว”
เฟื่องมองหน้าชุน ประทับใจในตัวเขามากไปกว่าเดิม
พันผุดลุกขึ้นสีหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธจัด
“ไอ้ลูกจีนชั้นต่ำนั่นมันวอนซะแล้ว มันเป็นใคร ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเอาเสียเลย มันไม่รู้เสียแล้วว่ามันจะไม่มีโอกาสกลับไปเหยียบแผ่นดินบ้านเกิดของมันอีกแล้ว”
ค่ำนั้น ชุนกำลังนอนหลับสนิทอยู่ภายในร้านของตัวเองอยู่แล้วก็ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงคนพูด
“ไอ้ลูกจีนไม่เจียมตัว”
ชุนลืมตาโพลงเมื่อเห็นพันถือคบไฟอยู่ในมือ ชุนเดาได้ทันทีว่าพันจะทำอะไร เขาโดดพรวดเข้ายื้อยุดคบไฟจากมือพัน แต่พันไม่ยอมง่ายๆ ผลักชุนออกไป ชุนไม่ยอมแพ้พุ่งเข้าไปหาอีก มือชุนตะกุยไปที่คอพัน ทำให้สร้อยที่พันใส่ติดคอตลอดเวลาหลุดร่วงลงพื้นทันที พันโมโห ถีบชุนออกไป แล้วฉวยจังหวะที่ชุนล้มลงอยู่นั้นโยนคบไฟในมือลงกลางกองผ้าของชุน ไฟลุกพรึ่บติดผ้าแล้วลามไปทั่วอย่างรวดเร็ว สักครู่ควันเริ่มตลบอบอวล ทำให้ชุนเริ่มรู้สึกตัวขึ้น พันหายไปแล้วและพอชุนเห็นว่าไฟไหม้กองผ้า เขาก็ลนลานวิ่งไปหาน้ำเอามาดับแต่น้ำก็มีน้อยและไฟเริ่มโหมแรงขึ้นทุกทีด้วยผ้าเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี ชุนเริ่มสำลักควันไฟและคิดจะหนีออกจากร้านไป แต่แล้วกองผ้าที่ติดไฟก็หล่นลงใส่ชุนโครม ชุนล้มลงไฟลุกติดเสื้อผ้าของเขาทันที ชุนดิ้นทุรนทุราย
พันวิ่งออกมานอกร้านเข้ามาสมทบกับสิงห์และเพียรยืนรออยู่ แล้วหันไปมองที่ร้านเห็นร้านเริ่มไฟโหมแรงขึ้น มีเสียงชุนร้องโวยวายดังแว่วมา พันยิ้มเยาะสีหน้าร้ายกาจ
“ใครที่บังอาจมายุ่งกับแม่เฟื่องของกู มันต้องเจออย่างนี้”
พันหัวเราะ แล้วรีบวิ่งหนีหายไปในความมืดก่อนที่ใครจะมาเห็น สิงห์กับเพียรรีบวิ่งตามนายไปด้วย
ชุนพยายามจะกลิ้งตัวไปตามพื้นเพื่อดับไฟที่ติดตัวอยู่ แต่ไม่ค่อยบังเกิดผลนัก ทันใดนั้นก็มีคนสองคนช่วยกันเอาผ้าผืนใหญ่ที่ยังไม่ติดไฟมาช่วยตะปบตามตัวเขาจนไฟดับ ชุนนอนแผ่อย่างหมดแรง แต่คนสองคนนั้นก็ไม่ยอมให้ชุนหมดสติไปง่ายๆ กระชากตัวเขาให้ลุกขึ้นมา เพราะไฟเริ่มลามไปทั่วบริเวณมากขึ้นทุกทีแล้ว นวลเขย่าตัวชุน
“อย่าเพิ่งตายนะ”
ชุนลืมตาขึ้นอย่างยากเย็น เห็นหน้าของนวลท่ามกลางควันไฟอบอวล
“กัดฟันอดทนอีกหน่อย เราต้องออกไปจากที่นี่ ก่อนที่ไฟจะโหมจนออกไปไม่ได้”
“ไป...ไอ้หนุ่ม”
นวลกับพรานมีก็กระชากแขนชุนให้ออกวิ่ง ชุนออกวิ่งตามแรงกระชากนั้นไปแต่โดยดีไม่ขัดขืน
จบตอนที่ 1 โปรดอ่านต่อตอนที่ 2
นางมาร ตอนที่ 2
นวลกับพรานมีลากชุนมาจนถึงกระท่อมแล้วจับเขานอนบนที่นอน ชุนล้มตัวลงนอนแผ่อย่างหมดเรี่ยวแรงและเจ็บตามแผลที่ถูกไฟไหม้ ลืมตาแทบไม่ขึ้น พรานมีรีบออกไปหายาจะเอามาใส่แผลให้ ในขณะที่นวลคอยเฝ้าไว้
นวลสำรวจตามแผลที่ตัวของเขา ชุนส่ายหน้าไปมาพยายามจะปรือตาขึ้นมองดูว่าใครเป็นคนที่ช่วยเขาออกมาจากไฟ สายตาของชุนเห็นเป็นหน้าเฟื่องมองมาที่เขาด้วยแววตาห่วงใย ชุนยิ้มดีใจ
“แม่หญิงเฟื่อง”
แต่แล้วใบหน้าของเฟื่อง เปลี่ยนเป็นหน้าของนวลแทนที่
“ข้าไม่ใช่แม่หญิงเฟื่องอะไรนั่นของเจ้าหรอก ข้าชื่อนวล”
ชุนงง กระพริบตาถี่ๆ ถึงได้เห็นหน้าของนวลชัดเจนขึ้น
“เจ้าเจ็บแย่เลย”
ชุนพยายามจะพูดตอบ แต่พูดอะไรไม่ออกหมดสติไปเสียก่อน นวลเป็นห่วงชุนมาก
วันใหม่...อุ่นช่วยเฟื่องแต่งตัวอยู่ในห้อง ทับทิมวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“คุณหนู...คุณหนู”
อุ่นหันไปเอ็ด
“เอะอะอะไรแต่เช้ายะ...นังทับทิม”
“ก็ข้ามีข่าวร้อนจะต้องรีบมาบอกคุณหนูน่ะสิ คุณหนูเจ้าขา...คุณหนูรู้ข่าวรึยังเจ้าคะว่าร้านขายผ้าของคนจีนที่ตลาด ที่คุณหนูไปเมื่อวานนี้น่ะค่ะ ไฟไหม้หมดแล้ว”
เฟื่องตกใจ
“อะไรนะ”
หน้าร้านขายผ้าที่ตอนนี้กลายเป็นเถ้าถ่านทั้งหมด มีชาวบ้านมายืนมุงดูและวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ก่อนแล้ว เฟื่อง อุ่น ทับทิม พากันวิ่งเข้ามา พอเห็นสภาพร้านกับตาก็ตกใจยืนตะลึง เฟื่องหันไปถามชาวบ้าน
“ไฟไหม้ได้ยังไง”
“ข้าไม่รู้หรอก คนที่อยู่ใกล้ๆบอกว่าออกมาก็เห็นไหม้เกือบหมดร้านแล้ว”
“แล้วคนที่อยู่ในร้านล่ะ”
“เถ้าแก่น่ะเหรอ แกไปหาซื้อของที่เมืองจีนพอดี มีก็แต่อาชุนเฝ้าร้านคนเดียว”
“แล้วชุนอยู่ไหน เป็นอย่างไรบ้าง” เฟื่องถามอย่างร้อนใจ
“คิดว่ามันคงตายอยู่ในร้านนั่นแหละ เพราะร้านมันไหม้จนไม่เหลือซากเลยนี่ ก็ถ้ามันรอดมาได้ ก็ต้องมีคนเห็นแล้ว”
เฟื่องพอได้ยินก็ใจเสีย จะวิ่งเข้าไปแต่อุ่นกับทับทิมช่วยกันดึงเอาไว้
“คุณหนูจะไปไหนเจ้าคะ” อุ่นถามอย่างสงสัย
“ข้าจะเข้าไปดูข้างใน ปล่อยสิ”
ทับทิมดึงไว้
“อย่าเจ้าค่ะคุณหนู มันอันตราย”
เฟื่องไม่ฟัง เข้าไปในซากร้านผ้าจนได้ อุ่นกับทับทิมจึงจำใจต้องตามเข้าไปด้วย สิงห์กับเพียรยืนแอบดูเหตุการณ์อยู่ แล้วพยักหน้าให้กันพร้อมกับรีบวิ่งกลับไปทันที
เฟื่องเดินเข้ามาในร้าน มีอุ่นกับทับทิมตามเข้ามาด้วยสีหน้าหวาดกลัวร้านจะพังใส่ ทับทิมพยายามห้าม
“คุณหนูเจ้าขา จะเข้ามาทำไมเจ้าคะ บ่าวกลัวร้านมันพังลงมาอีกนะเจ้าคะ”
“ข้าจะหาร่างของชุน”
อุ่นตกใจ
“จะหาไปทำไมเจ้าคะ”
“ข้าจะนำร่างเขาไปทำศพ”
อุ่นกับทับทิมยิ่งเข้ามากอดกันแน่น เฟื่องมองหาค้นไปทั่วๆ แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับสิ่งของอย่างหนึ่งที่พื้น เฟื่องก้มลงเก็บมันขึ้นมามันเป็นสร้อยคอของพัน อุ่นกับทับทิมเห็นก็จำได้เหมือนกัน
“เอ๊ะ...นี่มันสร้อยของคุณพันนี่เจ้าคะคุณหนู” อุ่นบอกอย่างจำได้
ทับทิมตาโต
“หรือว่าคุณพัน....”
เฟื่องไม่พูดอะไร แต่ครุ่นคิดสงสัย
พันหัวเราะมีความสุข
“ร้านของมันยังไม่เหลือแม้แต่ซาก แล้วคนจะเหลือหรือขอรับนาย...” สิงห์บอกอย่าเอาใจ
พันหัวเราะสะใจ
“ฮ่าๆๆ ช่างเป็นข่าวที่ทำให้ข้ามีความสุขนัก สมน้ำหน้ามัน ใครที่มายุ่งกับแม่เฟื่องของข้า มันต้องตาย”
พันหัวเราะชอบใจเสียงดัง สิงห์กับเพียรก็หัวเราะเอาใจเจ้านายไปด้วย
นวลทำอาหารอยู่ในกระท่อมกลางป่า พรานมีกลับจากป่าเดินถือสมุนไพรมาหา
“มันเป็นยังไงบ้างวะนวล”
“ยังไม่ฟื้นเลยจ้ะพ่อ”
“เอ้า...สมุนไพรที่พ่อเอามานี่คงพอช่วยมันได้บ้าง”
ทันใดนั้นก็มีเสียงโครมครามจากในกระท่อม พรานมีกับนวลรีบวิ่งเข้าไปในกระท่อมทันที
ชุนที่เจ็บหนักพยามกระเสือกกระสนจะลุกขึ้นแต่ก็ล้มลงอีก นวลกับพรานมีรีบวิ่งเข้ามาแล้วประคองไว้ ชุนพอเห็นสองพ่อลูกก็เพ่งมองทั้งคู่
“ช่วยพาข้ากลับตลาดที”
นวลแย้ง
“พักรักษาตัวก่อนเถอะ เอ็งบาดเจ็บไม่ใช่น้อย แล้วจะไปไหนได้ยังไง”
“แต่ร้านข้าไฟไหม้ ข้าต้องกลับไปดู นายข้าอุตส่าห์ไว้ใจให้ข้าดูแลร้านแทนตอนที่นายไม่อยู่”
พรานมีมองอย่างเห็นใจ
“ไอ้หนุ่มเอ๊ย...ถึงเอ็งกลับไป เอ็งก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ตอนนี้เอาชีวิตเอ็งให้รอดก่อนเถอะ”
“ร้านเจ้าไหม้เป็นเถ้าไปหมดแล้ว เจ้าจะไปดูให้ได้อะไรขึ้นมา” นวลบอกความจริง
ชุนเสียใจ
“แค่ร้านผ้าร้านเดียวข้ายังดูแลให้นายข้าไม่ได้เลย ข้ามันไม่เอาไหนจริงๆเลย นายจะเสียใจแค่ไหนถ้ารู้ว่าร้านผ้าถูกไฟไหม้เยี่ยงนี้”
ชุนทำท่าจะลุกขึ้น นวลพูดขึ้นลอยๆ
“ที่ข้ากับพ่อเสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยเจ้าก็เพราะอยากให้เจ้ามีชีวิตรอด แต่ถ้าเจ้าจะกลับไปรนหาที่ตายอีกครั้งก็ตามใจ”
ชุนนิ่งไป นวลมองหน้า
“ถ้าเจ้าแข็งแรงดีข้ากับพ่อจะไม่ขัดเจ้าเลย ก่อนที่เจ้าจะห่วงคนอื่น เจ้าควรจะห่วงตัวเองก่อนนะ”
ชุนฟังแล้วต้องตัดใจก้มหน้าด้วยความเศร้าเสียใจ พรานมีกับนวลช่วยกันประคองให้ลงนอน ชุนค่อยๆลงนอน นวลยืนมองอยู่ รู้สึกประทับใจชายหนุ่มที่เป็นห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเอง
โถงกลางเรือนพระยาอารักษ์...เฟื่องนั่งร้อยมาลัยหน้าเศร้าสร้อยอยู่กับศรีเรือน อุ่น ทับทิม สร้อยคอยช่วยอยู่ใกล้ๆ พระยาอารักษ์เดินมานั่งด้วย พอเห็นมาลัยส่วนที่ร้อยเสร็จก็ยิ้มออกมาทันที
“นี่น่ะรึมาลัยที่จะให้ข้าไหว้พระพรุ่งนี้”
“เจ้าค่ะคุณพี่ แต่ส่วนใหญ่เป็นฝีมือร้อยมาลัยของแม่เฟื่องแทบทั้งนั้นนะเจ้าคะ”
พระยาอารักษ์ยิ้มพอใจ
“ดีมาก อีกหน่อยออกเรือนไป ฝ่ายพ่อพันเขาจะไม่หมิ่นเอาได้ว่าลูกพ่อไม่เป็นกุลสตรี”
เฟื่องร้อยมาลัยอันสุดท้ายเสร็จพอดีก็วางในถาด
“เสร็จแล้วค่ะแม่ ลูกขอไปนอนก่อนนะคะ”
เฟื่องไม่รอคำอนุญาตแต่ลุกเดินไปเลย พระยาอารักษ์มองตามไม่ค่อยพอใจ
“ลูกเป็นอะไร”
“อิฉันจะไปดูให้นะคะคุณพี่”
ศรีเรือนรีบลุกตามไป พระยาอารักษ์มองตามศรีเรือนไป
ศรีเรือนมองจากนอกห้อง เห็นเฟื่องนั่งสวดมนต์ท่าทางเคร่งขรึมอยู่ภายในห้องพระตามลำพัง ศรีเรือนที่ยืนดูอยู่ อุ่นกับทับทิมนั่งอยู่ใกล้ๆศรีเรือน
“นังอุ่น นังทับทิม ลูกข้าเป็นอะไร”
“ร้านผ้าที่เพิ่งเปิดใหม่ที่ตลาดเกิดไฟไหม้เมื่อวานนี้เจ้าค่ะ” อุ่นบอก
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับลูกข้า”
“ก็คุณหนูเธอโปรดร้านนี้เจ้าค่ะ” ทับทิมบอก
“โธ่เอ๊ย...แม่คุณ เรื่องแค่นี้เอง ถ้างั้นเอ็งสองคนต้องดูแลลูกข้าให้ดี อย่าขัดใจอะไร เข้าใจมั๊ย”
อุ่นกับทับทิมรับปากแล้วศรีเรือนก็เดินออกไป
เฟื่องนั่งพนมมือตามองที่พระพุทธรูป
“คุณพระคุณเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เจ้าคะ ถ้าชุนตายจริง ลูกก็ขอให้เขาไปสู่ภพชาติใหม่ที่ดีนะเจ้าคะ ส่วนลูกก็ขออย่าให้ต้องแต่งงานกับคนเลวเลย คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกด้วยนะเจ้าคะ”
ศรีเรือนกับพระยาอารักษ์นั่งคุยกัน โดยมีสร้อยทำเป็นเก็บของอยู่ใกล้ๆอย่างเรียบร้อย
“อะไร...กะอีแค่ร้านขายผ้าไฟไหม้มันจะเศร้าอะไรนักหนา”
“แหม...คุณพี่เจ้าขา เรื่องใหญ่ของผู้หญิงก็คือเรื่องความสวยความงามนะเจ้าคะ คุณพี่อย่าไปโกรธลูกเลยนะเจ้าคะ”
พระยาอารักษ์พยักหน้าไปงั้นๆ แต่ตาแอบมองที่สร้อยที่แอบเหลือบมองแล้วแกล้งจะยกถาดลุกขึ้น
“แล้วนี่ร้อยมาลัยเสร็จกันหมดแล้วหรือนั่น”
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ” ศรีเรือนบอกกับสร้อย “พรุ่งนี้อย่าลืมเอามาเตรียมรอท่านเจ้าคุณกับข้าล่ะนังสร้อย”
“เจ้าค่ะ”
สร้อยเดินไป พระยาอารักษ์แอบมองตาม
“เข้าห้องกันทีดีมั๊ยเจ้าคะคุณพี่ คุณพี่จะได้พักผ่อนเสียที” ศรีเรือนชวน
พระยาอารักษ์พยักหน้าแล้วลุกขึ้นเดินไป ศรีเรือนรีบตามไป แต่ไม่ได้เห็นว่าพระยาอารักษ์แอบเหลียวกลับไปมองทางที่สร้อยเดินไป พอพระยาอารักษ์กับศรีเรือนเดินเข้าห้องไป สร้อยที่หลบอยู่ที่มุมเรือน ก็โผล่หน้าออกมายิ้มเจ้าเล่ห์
พรานมีเอาสมุนไพรค่อยๆโปะลงตามแผลไฟไหม้ตามตัวชุนอย่างพยายามให้เบามือที่สุด ชุนสะดุ้งเพราะความเจ็บปวดเป็นระยะๆ แต่กัดฟันแน่นไม่ยอมร้องออกมาแม้แต่นิดเดียว นวลมองดูเขาตลอดเวลา ชุนกัดฟันข่มความเจ็บจนสันกรามขึ้น นวลแอบยิ้มอย่างชื่นชมในความอดทนของเขา
“สมุนไพรนี่แสบหน่อยนะ แต่ก็จะช่วยสมานแผลไฟไหม้ได้อย่างดี เอ้อ...เอ็งชื่อไรล่ะ”
“ข้าชื่อชุน เป็นลูกจีนกำพร้า เป็นลูกจ้างเขาขายผ้าอยู่ในตลาดน่ะ”
“ข้าชื่อ มี นั่นลูกสาวคนเดียวของข้า ชื่อ นวล”
ชุนมอง นวลหน้าเก้อๆ แต่ชุนไม่ได้คิดอะไร
“เราสองคนพ่อลูก ช่วยกันเก็บของป่า ยาสมุนไพร พอรวบรวมได้จำนวนหนึ่งแล้วก็จะเอาเข้าไปขายในเมืองเสียทีหนึ่งน่ะ เอ้า...เสร็จแล้ว”
พรานมีทำแผลเสร็จ ชุนใส่เสื้อแล้วหันกลับมา หาสองพ่อลูก นวลสงสัย
“ข้าถามหน่อยเถอะ ทำไมพวกนั้นจึงต้องเผาร้านเจ้าด้วย ร้านผ้า ไม่เห็นน่าจะเป็นศัตรูกับใคร”
ชุนนิ่งคิดไปชั่วครู่ เขานึกถึงตอนที่เฟื่องเข้าไปดูผ้าที่ร้าน เธอหยิบผ้ามาดู
“ลายสวยจริง”
เฟื่องเอามาทาบกับตัว ชุนมองแล้วยิ้มชื่นชม
“งามจริงขอรับ”
พันเดินตามมาฟังพอดี ก็โกรธเข้ามาขวางแล้วดึงผ้าออกจากมือเฟื่อง
“ไปดูที่ร้านอื่นดีกว่า”
พันคว้าแขนเฟื่องจะดึงไป
ชุนกำลังหลับอยู่ในร้านขายผ้า แล้วตื่นขึ้นมาพบพันกำลังจะเผาร้านอยู่พอดี
“ไอ้ลูกจีนไม่เจียมตัว”
ชุนลืมตาโพลงเมื่อเห็นพันถือคบไฟอยู่ในมือ เขาเดาได้ทันทีว่าพันจะทำอะไร ชุนกระโดดพรวดเข้ายื้อยุดคบไฟจากมือพัน แต่พันไม่ยอมง่าย ทั้งคู่สู้กัน
ชุนรู้เต็มอกว่าใครทำ แต่ตัดสินใจไม่พูด
“ข้าไม่รู้...”
“เอาอย่างนี้ไหม เดี๋ยวข้าจะพาไปแจ้งหลวง” นวลแนะ
“ข้าไม่กล้าหรอก ข้าเป็นแค่ลูกจีนเร่ร่อนรับจ้างไปวันๆ มีแต่คนรังเกียจ หลวงคงไม่สนใจ”
พูดจบชุนก็ก้มหน้าเศร้า พรานมีกับนวลมองด้วยความสงสาร แล้วนวลก็หันไปเอาจานข้าวมาวางให้ชุน
“กินข้าวเสียจ้ะ คงหิว”
ชุนจะลงมือกินข้าวด้วยความหิว แต่ไม่ถนัดเพราะมือเป็นแผล นวลเลยต้องขยับเข้าใกล้ไปช่วยป้อนให้ ต่างฝ่ายต่างเก้ๆ กังๆอยู่สักพัก เพราะนวลก็ไม่ค่อยต้องป้อนข้าวใคร ชุนก็ไม่เคยมีใครปรนนิบัติอย่างนี้
“ท่านสองคนพ่อลูก...เมตตาข้าเหลือเกิน”
พรานมีหันมาถาม
“แล้วนี่เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป”
“ค่อยยังชั่วแล้ว ข้าก็คงต้องกลับไปหางานรับจ้างในตลาด รอจนกว่านายข้าจะกลับจากเมืองจีน”
“พักรักษาตัวให้หายดีก่อนเถอะ แล้วค่อยคิดอ่านว่าจะทำอย่างไรต่อไป”
“แต่ถ้าค่อยยังชั่วแล้ว ข้าก็อยากจะกลับไปทำงาน คนเราเกิดมาไม่ได้พิกลพิการอะไร ก็ต้องขยันขันแข็งทำมาหากิน ไม่ควรงอมืองอเท้า...มิใช่รึ”
ชุนพูดจบก็กินข้าวต่อ นวลกับพรานมีหันมามองหน้ากัน รู้สึกชอบใจในตัวชุนพอๆกัน
วันใหม่...เฟื่องนั่งอยู่ที่เตียงหน้าบึ้งตึง อุ่นกับทับทิมนั่งตื๊ออยู่ที่พื้น
“แต่บ่าวว่าคุณหนูน่าจะออกไปนะเจ้าคะ” อุ่นพยายามกล่อม
“ก็ข้าไม่อยากเจอพี่พัน”
“ถ้าคุณหนูไม่ออกไป มีหวังท่านเจ้าคุณได้โบยอีทับทิมกับอีอุ่นนี่...หลังลายแน่ๆเลยเจ้าค่ะ”
“ตกลงเอ็งสองคนจะไม่ช่วยข้าให้พ้นคนพาลเหรอ”
อุ่นกับทับทิมหันมามองหน้ากันแล้วถอนใจ
โถงกลางเรือน พระยาอารักษ์ตบโต๊ะเปรี้ยงด้วยความโมโห บ่าวไพร่หัวหดด้วยความกลัวก้มหน้างุดไปตามๆกัน
“ป่วยงั้นเหรอ อีอุ่นไปบอกลูกข้าเลยนะว่าข้าสั่งให้มา ถึงจะตายก็ต้องมา”
ศรีเรือนนั่งข้างๆมีพันนั่งอยู่ด้วย สิงห์กับเพียรนั่งที่พื้นข้างๆพัน อุ่นกับทับทิมหมอบกราบที่พื้นด้วยความกลัวในความโกรธของพระยาอารักษ์ อุ่นอึกอัก
“เอ่อ...”
“แต่คุณหนู”
พระยาอารักษ์หงุดหงิดตวาดลั่น
“อีอุ่น...อีทับทิม”
อุ่นกับทับทิมสะดุ้งรีบรับคำ
“เจ้าค่ะ...เจ้าค่ะ”
ทับทิมหวาดๆ
“บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
อุ่นกับทับทิมกลัวลนลานจะรีบไปแต่พันคิดอะไรออกรีบเรียกไว้
“ไม่ต้องหรอกนังอุ่น นังทับทิม”
อุ่นกับทับทิมชะงักทันทีและรู้สึกแปลกใจกับน้ำเสียงนุ่มนวล พันหันไปบอกกับพระยาอารักษ์
“ถ้าแม่เฟื่องไม่สบาย กระผมก็อยากให้หล่อนพักผ่อนไปเถิดขอรับ เพราะหากแม่เฟื่องเป็นอะไรไป กระผมคงรู้สึกเสียใจมาก”
พันหันไปพยักหน้าให้สิงห์กับเพียร ทั้งสองช่วยกันยกของกำนัลหลายห่อมาวางตรงหน้าพระยาอารักษ์กับศรีเรือน
“วันนี้กระผมมีของฝากจากเรือสำเภาจีนมาให้คุณอาทั้งสองด้วยขอรับ”
พระยาอารักษ์มองของกำนัลที่พันยกมาให้มากมายประดามีแล้วก็หัวเราะชอบใจ ศรีเรือนพลอยหัวเราะไปด้วย อุ่นกับทับทิมสบตากัน ไม่ขำด้วยเพราะสงสารนาย แล้วหันไปมองที่มุมหนึ่งของเรือน อุ่นกับทับทิม เห็นเฟื่องแอบดูเหตุการณ์อยู่ด้วยสีหน้าเครียดเพราะความกลุ้มใจ
นวลประคองชุนเดินออกมารับลมที่นอกกระท่อมบ้าง ชุนมีอาการเศร้าซึม
“ขอบใจเจ้ามากนะ”
นวลยิ้มๆ
“วันวันนึงเจ้าขอบใจข้าไม่รู้กี่หนต่อกี่หน ถ้าเปลี่ยนเป็นเบี้ยข้าคงได้โขทีเดียวล่ะ”
ชุนยิ้มเศร้า
“ข้ามันคนจนจะมีก็แต่คำพูดนี่แหล่ะ ไว้ข้ามีเมื่อไหร่ข้าจะมาตอบแทนให้เจ้ากับพ่อนะ”
นวลรีบอธิบาย
“ข้าแค่หยอกเจ้าเล่นเฉยๆ”
“แต่ข้าตั้งใจจะทำอย่างนั้นจริงๆ คนไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างข้าไม่เคยมีค่าในสายตาใครๆ ถ้าไม่ได้เจ้ากับพ่อช่วยข้าไว้ป่านนี้ข้าคงตายไปพร้อมกับร้านผ้าที่ถูกไฟเผาแล้ว”
“ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าตายหรอก”
นวลเผลอพูดออกไป ชุนหันมอง นวลอึกอักรีบกลบเกลื่อน
“เอ่อ...เจ้าอยากไปเดินเล่นไหม วันนี้ข้าทำงานเสร็จแล้วข้าจะพาเจ้าไป”
ชุนยิ้มให้นวล...ทั้งหมดอยู่ในสายตาของพรานมีตลอดเวลา แต่ชุนกับนวลไม่รู้ตัวเลย
พระยาอารักษ์ เดินลงมาจากเรือนเพื่อมาส่ง พัน โดยมีสิงห์กับเพียรเดินตามมาด้วย
“นี่พ่อพัน เรื่องที่พ่อพันจะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอแม่เฟื่องน่ะ อย่าให้อาต้องรอนานนะ”
“ไม่ต้องห่วงขอรับคุณอา กระผมจะให้แม่ด้วงของกระผมพาผู้ใหญ่มาสู่ขอแม่เฟื่องอาทิตย์หน้านี้อย่างสมเกียรติเลยขอรับ”
พระยาอารักษ์หัวเราะ
“แหม...ดีๆๆๆ”
พระยาอารักษ์ชอบใจ ตบไหล่พันอย่างเอ็นดู ทับทิมยืนแอบดูอยู่มุมหนึ่งอย่างตื่นเต้นกับข่าวใหม่
“อาทิตย์หน้า”
อีกมุมสร้อยที่เดินถือของมา เห็นทับทิมกำลังยืนลับๆล่อๆอยู่ ก็มองตามสายตาทับทิมไปเห็นพระยาอารักษ์ยืนส่งพัน สิงห์ เพียรที่เดินออกไป สร้อยมองกลับมาที่ทับทิมก็ฉุนทันที เข้าใจผิดคิดว่าทับทิมมาแอบดูพระยาอารักษ์
“หนอย อีทับทิม คิดจะมาแย่งตำแหน่งคุณหญิงที่ 2 กับกูเหรอ”
สร้อยเหลียวมองพระยาอารักษ์อีกครั้ง เห็นพระยาอารักษ์เดินกลับขึ้นเรือนไปแล้ว และทับทิมก็เดินแยกไปอีกทาง สร้อยกำมือแน่นด้วยความเจ็บใจ แล้วรีบเดินตามทับทิมไป
ทับทิมเดินอยู่ใต้ถุนเรือน จะไปขึ้นบันไดหลังเรือน แล้วจู่ๆสร้อยก็มากระชากไหล่
“โอ๊ย...อะไรวะนังสร้อย”
“ข้าสิต้องถามว่าเอ็งคิดจะทำอะไร”
ทับทิมงง
“ข้าจะทำอะไร ข้าก็กำลังขึ้นเรือนไปรับใช้คุณหนูน่ะสิ”
“โกหก เอ็งอย่าคิดว่าข้ารู้ไม่ทันนะ เอ็งอยากจะเป็นคุณหญิงที่ 2 ของท่านเจ้าคุณใช่ไหม”
“ข้านี่นะรึ”
“เอ็งยังจะมาหน้าด้านปดข้าอีก งั้นข้าต้องสั่งสอนเอ็งซะแล้ว”
สร้อยตบทับทิมผั๊วะ จนทับทิมล้มลง ทับทิมโมโหลุกขึ้นคว้ามือสร้อยที่จะตบอีกทีแล้วสวนกลับ
“เอ็งบ้านักใช่ไหมอีสร้อย มา...ข้าจะตบให้หายบ้าเลย”
ทับทิมจะตบสร้อย แต่สร้อยคว้าข้อมือบิดจนทับทิมเสียหลัก กลายเป็นสร้อยขึ้นคร่อมแล้วตบกันกระจาย
ศรีเรือนนั่งคุยกับเฟื่องอยู่บนเตียง อุ่นนั่งที่พื้นใกล้ๆกัน
“ลูกขอโทษแม่ด้วยค่ะ แต่ลูกไม่มีอารมณ์จะออกไปเจอพี่พัน” เฟื่องไหว้
“เฟื่อง แม่รู้ว่าลูกเสียใจเรื่องร้านผ้าในตลาด ร้านโปรดของเจ้าที่โดนไฟไหม้ แต่มันไม่เกี่ยวอะไรกับเรา นี่ถ้าพ่อพันรู้เข้า เขาจะเสียน้ำใจที่ลูกเห็นความสำคัญของร้านผ้ามากกว่าเขา”
“คนอย่างพี่พันไม่รู้จักการเสียน้ำใจหรอกค่ะ”
ศรีเรือนตกใจ
“ตายแล้ว เฟื่องไปว่าพี่เขาได้อย่างไร เราเป็นหญิงอย่าปากคอจัดจ้านนักเลยลูก พ่อพันเขาออกจะดีกับเรามากมายนัก ของอะไรที่ว่าดี ที่ว่างาม พ่อพันเขาก็สรรหาเอามาให้ พ่อพันออกจะเป็นคนดีมีน้ำใจออกจะตายไปนะลูกนะ”
เฟื่องถอนใจเซ็งไม่รู้จะอธิบายให้แม่ฟังยังไง ระหว่างนั้นบ่าวอีกคนก็มาทำลับๆล่อๆจะเรียกอุ่น แต่อุ่นก็ไม่กล้าไป ศรีเรือนเห็นก็รู้สึกขัดใจ
“มีอะไรรึอีตาบ ทำไมมาทำท่าลับๆล่อๆ เป็นผีเป็นสางอย่างนั้น”
“เอ่อ...นังสร้อยกับนังทับทิมมันตบกันเจ้าค่ะคุณหญิง”
ทับทิมกับสร้อยยังตบกันนัวเนีย โดยมีเหล่าทาสชายหญิงยืนเชียร์กันสนุกสนาน ตาบวิ่งนำเฟื่องกับศรีเรือนและอุ่นมา แต่เข้าไม่ได้เพราะคนมุงกันแน่น อุ่นตะโกนลั่น
“เฮ้ย...คุณหญิงมา”
เหล่าทาสพอได้ยินอุ่นประกาศก็แตกฮือ แหวกทางลงนั่งให้ศรีเรือนกับเฟื่องเดินผ่านวงเข้าไป แต่ทับทิมกับสร้อยก็ยังไม่หยุดตบกันศรีเรือนวาด
“เอ็งสองคนหยุดเดี๋ยวนี้นะ”
สร้อยกับทับทิมหยุดแต่มือของแต่ละฝ่ายยังจิกหัวกันอยู่ไม่มีใครยอมปล่อย ศรีเรือนชักโมโห
“ยังไม่หยุดอีกรึ”
“ก็อีทับทิมสิเจ้าคะ มันไม่ยอมปล่อยบ่าว”
“เอ็งก็ปล่อยข้าก่อนสิ”
“เอ็งปล่อยก่อนสิ”
ศรีเรือนรำคราญ
“ปล่อยทั้งสองคนนั่นแหละ หรือจะให้ข้าลงหวายก่อนถึงจะปล่อยกันได้น่ะ”
ทั้งสองคนได้ยินคำว่า หวาย ก็ยอมปล่อยมือออกจากกันทันที ศรีเรือนจ้อมองทั้งสอง
“มีอะไรกันถึงต้องกัดกันอย่างกับหมู กับหมา”
“อีสร้อยมันเริ่มก่อนเจ้าค่ะ มันหาว่า...”
ทับทิมยังพูดไม่จบ สร้อยสวนทันที
“ก็บ่าวเห็นนังทับทิมมันจะเดินขึ้นบันไดที่หน้าเรือนน่ะเจ้าค่ะ ใครๆก็รู้ว่าบันไดหน้าเรือน บ่าวไพร่ไม่มีสิทธิใช้ แต่พอบ่าวไปเตือนมันดีๆ มันก็มีน้ำโห มันก็หันมาตบบ่าวก่อนเลย บ่าวก็เลยต้องป้องกันตัวเองน่ะสิเจ้าคะ”
ทับทิมอึ้ง
“อีสร้อย...แต่เมื่อกี้เอ็งไม่ได้พูดอย่างนี้นี่หว่า”
สร้อยกระซิบเอ็ด
“เราจะหยุดทะเลาะกันแค่นี้ หรือเอ็งจะพูดให้เรื่องมันใหญ่โตจนโดน เฆี่ยนจนตายกันไปข้างหนึ่งฮึ...อีทับทิม”
ทับทิมพอได้ยินคำขู่ก็นิ่งเงียบ เฟื่องมองแล้วสงสัย ศรีเรือนมองหน้าสร้อย
“สร้อย เอ็งพูดจาอะไรกำกวมนัก ตกลงพวกเอ็งสองคนทะเลาะกันเรื่องอะไร”
“ก็อย่างที่เรียนเจ้าค่ะ บ่าวไม่ชอบให้อีทับทิมมันเดินไปทั่ว กฎของเรือนจะไม่เป็นกฎ”
เฟื่องหันมามองทับทิมอย่างสงสัย ทับทิมที่แม้จะเจ็บใจสร้อยแต่ก็ต้องตามน้ำ
“เจ้าค่ะ บ่าวผิดเอง”
เฟื่องมองทับทิมกับสร้อยไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่พูด
อุ่นทายาที่หน้า ทับทิมร้องโอดโอย เฟื่องส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
“ตอนนี้ทำมาร้องเมื่อกี้เห็นเก่งนัก ตบตีกันไม่มีใครยอมรามือเลย ตกลงมีเรื่องอะไรกัน”
ทับทิมถอนใจพรื่ด
“ที่ตบกันน่ะ มันไม่ใช่เรื่องว่าบ่าวจะเดินขึ้นเรือนด้วยบันไดหน้าเรือน หรือบันไดหลังเรือนหรอกเจ้าค่ะ แต่เป็นเพราะว่าอีสร้อยมันเห็นบ่าวแอบฟังท่านเจ้าคุณ กับคุณพันคุยกัน”
เฟื่องงง
“อ้าว...แล้วเอ็งไปแอบฟังเจ้าคุณพ่อกับพี่พันคุยกันทำไมล่ะ”
“ความจริงบ่าวก็ไม่ได้อยากจะแอบฟังให้เสียมารยาทหรอกเจ้าค่ะ ถ้าบังเอิญเรื่องที่ท่านเจ้าคุณกับคุณพันคุยกันจะไม่ใช่เรื่องของคุณหนู”
อุ่นสนใจมากขึ้นมาทันที
“เรื่องอะไรรึนังทับทิม”
“ก็เรื่องที่ว่า...คุณพันจะพาผู้ใหญ่มาสู่ขอคุณหนูอาทิตย์หน้านี้แล้วน่ะเจ้าคะ”
เฟื่องพอได้ยินเรื่องจากทับทิมก็ตกใจ
พัน สิงห์ เพียร เดินมาตามทาง สิงห์กับเพียรที่เดินตามหลังพัน อยู่ๆก็รู้สึกมีลมเย็นๆมาปะทะร่าง ทั้งสองรู้สึกแปลกๆ หันมองไปรอบๆ ก็เห็นใบไม้ต้นไม้เหมือนมีลมพัด จึงรีบเดินมาใกล้พัน
“เฮ้ย...เป็นอะไรของพวกมึงวะ ถึงต้องมาใกล้กูขนาดนี้”
สิงห์ท่าทางหวาดๆ
“มันรู้สึกแปลกๆนะขอรับ”
“แปลกอะไร”
“ก็ทำไมจู่มันจึงมีลมเย็นแถวๆนี้ขอรับ”
พันมองไปรอบๆ
“ลมเย็นอะไร ร้อนจะตาย ไม่เห็นรึใบไม้ไม่กระดิกสักใบ”
สิงห์กับเพียรมองไปรอบๆก็เห็นใบไม้นิ่งทุกต้นอย่างพันว่า พันเริ่มรำคาญจึงเร่งฝีเท้าเดินหนี สิงห์กับเพียรรีบเดินตาม ทั้งสามกำลังเดินผ่านต้นไม้ใหญ่ที่มีกิ่งใหญ่อยู่ สิงห์รู้สึกมีคนจ้องจึงเงยหน้ามองขึ้นไปเห็นวิญญาณเดือนนั่งอยู่บนต้นไม้และจ้องหน้าสิงห์อยู่อย่างประสงค์ร้าย สิงห์ยืนตัวแข็งตาค้างมือชี้ไปบนต้นไม้
“อีเดือน”
เพียรก็กลัวไปด้วยแต่ไม่กล้ามองขึ้นไปบนต้นไม้ตามที่สิงห์ชี้ พันถอยกลับมายืนดู
“อีเดือนที่ไหน มีแต่กิ่งไม้ ไอ้โง่”
ทั้งสิงห์กับเพียรมองดูอีกทีก็เห็นแต่กิ่งไม้ พันเดินนำต่อไป สิงห์กับเพียรมองไปรอบๆก็ไม่มีอะไรทุกอย่างปกติ
“ไอ้สิงห์ มึงอย่าเล่นแบบนี้อีกนะเว้ย”
เพียรรีบเดินตามพันไป สิงห์เองก็เร่งเดินตามไป โดยไม่รู้ว่าวิญญาณเดือนเกาะหลังสิงห์ไปด้วย
อุ่นกับทับทิมกำลังกินข้าวอยู่กับเหล่าพวกทาส อุ่นสังเกตว่าสร้อยคอยจ้องหน้าทับทิม อุ่นสะกิดให้ทับทิมดู พอทับทิมเห็นก็แยกเขี้ยวใส่ สร้อยก็จ้องไม่วางตา อุ่นสงสัย
“อะไรกันนักกันหนาวะ มันทำหน้าโกรธแค้นอย่างกับเอ็งจะไปแย่งผัวมันอย่างนั้นแหละ”
ทับทิมดึงมากระซิบ
“ก็ใช่น่ะสิ”
อุ่นตกใจ
“ฮ้า...อีสร้อยมันไปมีผัวตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมข้าไม่รู้”
“มันยังไม่มี แต่มันคิดจะมี”
“แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องที่เอ็งกับมันตบกันยังไงวะ ข้าไม่เข้าใจ”
“ฟังนะอีอุ่น อีสร้อยมันเห็นข้าแอบฟังท่านเจ้าคุณกับคุณพันคุยกัน มันเลยทึกทักเอาว่าข้าแอบรักท่านเจ้าคุณ และอยากจะเป็นคุณหญิงรองของท่านเจ้าคุณน่ะสิ”
อุ่นโกรธ
“เหม่...อีนี่อัปรีย์นัก คิดอย่างนี้เหาจะกินกบาล ว่าแต่เอ็งไม่ได้คิดอย่างอีสร้อยมันสงสัยนะ”
“อุวะ...อีนี่ ข้าไม่คิดหรอก แต่คนคิดน่ะ...อีสร้อย”
“แล้วทำไมเอ็งไม่บอกคุณหญิงตอนท่านถามไปเสียเลยล่ะ อีสร้อยมันจะได้ไม่กำแหงหาญ”
“อีสร้อยมันฉลาด ถึงได้ปรามข้าไม่ให้พูด เพราะถ้าเกิดคุณหญิงโกรธ และคิดว่าข้ากับมันแข่งกันเป็นคุณหญิงรอง ก็คงโดนเฆี่ยนจนตายทั้งคู่”
อุ่นเจ็บใจ
“ฮึ่ย...อีสร้อยนี่มันร้ายนัก ถ้าเกิดวันไหนมันได้เป็นคุณหญิงรองขึ้นมาจริงๆ บ้านนี้เรือนนี้คงร้อนเป็นไฟกันละ”
อุ่นกับทับทิมคิดแล้วขนลุกขนพองขึ้นมาทันที
นางด้วงมีสีหน้ายิ้มแย้มพอใจ เมื่อพันพูดให้ฟังเรื่องที่จะแต่งงานกับเฟือง
“แม่จะว่ากระไร ก็ต้องตามใจลูกชายสุดที่รักสิ”
พันนั่งประจบอยู่ข้างๆนางด้วง มีสิงห์กับเพียรนั่งที่พื้น
“ลูกกราบขอบพระคุณแม่มากขอรับ แต่แม่จะเตรียมตัวทันหรือขอรับ ลูกแจ้งฝ่ายโน้นไปแล้วว่าเราจะไปสู่ขอแม่เฟื่องอย่างสมเกียรติทีเดียว” พันไหว้ที่อกแม่
“ทำไมจะไม่ทัน เงินทองเรามีออกเยอะแยะ เรียกบริวารมารับใช้จัดการให้ ประเดี๋ยวเดียวก็เสร็จงาน”
“ลูกรักแม่ที่สุดเลยขอรับ”
“แม่ก็รักลูกมากนะ ยิ่งเห็นลูกต้องตาแม่หญิงเฟื่องบ้านโน้น แม่ก็ยินดียิ่ง เขาก็รวย เราก็รวย หากเรือล่มในหนอง...แล้วทองมันจะไปไหนได้เล่า แม่จะช้าได้อย่างไร ถ้าแต่งวันนี้พรุ่งนี้ได้ แม่คงทำให้ลูกแล้ว”
พันกับด้วงยิ้มให้แก่กันอย่างมีความสุข วิญญาณเดือนยืนอยู่ไม่ไกล
พรานมีดึงใบสมุนไพรที่แปะที่หลังและแขนของชุนออกอย่างเบามือที่สุด ชุนรู้สึกเจ็บแต่ก็ทน
“แผลดีขึ้นมาก แห้งขึ้นมากแล้ว อีกไม่นานก็คงหายเป็นปกติดีละ”
นวลเอาถาดใส่ใบสมุนไพรกับยามาวางไว้ พรานมีลุกขึ้น
“วันนี้เอ็งทำแผลให้มันหน่อยแล้วกัน พ่อจะไปเตรียมของป่าเอาไปขายที่ตลาด”
พรานมีก็เดินออกไป นวลมองหน้าชุนแล้วสงสาร ตักยาทาบนใบสมุนไพรแล้วจะแปะบนตัวชุน
“ร้อนหน่อยนะ ข้าเพิ่งต้มยาเสร็จ”
นวลเอายาสมุนไพรแปะไปที่แผล ชุนเจ็บแต่ทน
“เจ้านี่เก่งนะ ข้าเคยเห็นพ่อรักษาแผลไฟไหม้แบบนี้ให้เพื่อนพรานป่าด้วยกัน ยังร้องลั่นป่าเลย”
“เตี่ยข้าเคยสอนว่าเกิดเป็นคนต้องรู้จักอดทน ถ้าไม่อดทนก็ไม่สมควรเป็นคน”
นวลแปะยาไปพูดไป
“บางครั้งเราก็ไม่จำเป็นต้องอดทนไปซะทุกเรื่องหรอกนะ”
ชุนแปลกใจ
“ทำไมเจ้าถึงคิดเยี่ยงนี้”
นวลวางยาในมือลง
“ข้าถามจริงๆ เจ้าจะไม่เอาเรื่องไอ้พวกที่ทำร้ายและก็เผาร้านเจ้าจริงๆเหรอ...เจ้าน่าจะรู้นะว่าเป็นฝีมือใคร”
ชุนหลบหน้าไม่อยากตอบ นวลมองจ้องหน้าคาดคั้นอยากรู้ความ
“เป็นเพราะแม่หญิงเฟื่องใช่ไหม”
ชุนอึ้งแปลกใจที่นวลรู้
“นี่เจ้า...รู้จักแม่หญิงด้วยงั้นรึ”
ชุนหันมองจ้องนวลสายตาเข้มดุ นวลทำเฉไฉ
“ก็ข้าได้ยินเจ้าเพ้อถึงนางอยู่บ่อยๆตอนที่เจ้าซมไข้น่ะ...นางเป็นใครรึ”
ชุนนิ่งไปหันหน้าหนีไม่ตอบ นวลรู้สึกน้อยใจนิดๆ
“ไม่ตอบก็ไม่เป็นไร...ข้าก็ไม่ได้อยากรู้เรื่องแม่หญิงนั่นนักหรอก ข้าแค่อยากให้ไอ้คนที่มันทำเจ้าได้รับโทษก็แค่นั้น”
“ช่างเถอะ ข้าไม่ตายก็นับว่าเป็นบุญของข้าแล้ว ข้าไม่อยากผูกใจเจ็บกับใครให้ต้องมาแค้นเคืองกัน ข้าอยากหายเร็วๆเพื่อเริ่มทำมาหากินอีกครั้ง”
นวลเซ็งที่ชุนไม่เห็นด้วย
“ก็ตามใจเจ้าแล้วกัน”
นวลหยิบสมุนไพรมาปะคบที่แผลให้อีกครั้ง
“เดี๋ยวพอสมุนไพรที่พอกไว้แห้งแล้ว ข้าจะมาทำแผลให้ใหม่แล้วกัน”
ชุนพยักหน้ารับ แล้วนั่งเหม่อคิดถึงเรื่องที่นวลพูด นวลเก็บของแล้วแอบมองชุนถอนหายใจที่ชุนเป็นคนดีเกินนวลมองด้วยความชื่นชม
ค่ำนั้น...พัน สิงห์ เพียร นั่งกินเหล้าด้วยกันอย่างสนุกสนาน ห่างออกมาวิญญาณเดือนยืนจ้องไปที่สิงห์กับเพียรด้วยแววตาแค้นเคือง
“ลงแม่ข้ารับปากอย่างนี้แล้ว อีกไม่นานข้าก็จะได้ชื่นชมแม่เฟื่องสมใจข้าละ...” พันซดหล้าอีก “เฮ้ย...เดี๋ยวมึงสองคนไปที่เรือนทาส แล้วหาที่มันสวยๆมาให้กูสักคนสิ กูจะไปรอที่ห้อง ไปเร็ว”
สิงห์กับเพียรหยิบคบเพลิงแล้วรีบวิ่งไป วิญญาณเดือนเดินตามสิงห์กับเพียร ส่วนพันยกไหดื่มเหล้ารวดเดียวหมดแล้วเดินเซขึ้นเรือน
สิงห์กับเพียรลากทาสสาวมาตามทาง แต่ทาสสาวดิ้นต่อสู้สุดชีวิต วิญญาณเดือนปรากฎขึ้นใกล้ๆ
“ปล่อยกูนะ...ปล่อยกู” ทาสสาวร้องลั่นดิ้นไปมา
สิงห์เข้าล็อคคอ
“เก่งนักนะมึง”
สิงห์เริ่มรัดคอแน่นขึ้น เพียรเห็นท่าไม่ดี
“เฮ้ย...ไอ้สิงห์พอเถอะวะ หนักมือไปเดี๋ยวก็เป็นแบบอีเดือนหรอก”
วิญญาณเดือน แค้นใจสุดๆ สิงห์มองหน้าเพื่อน
“แล้วมึงจะให้กูทำไงไอ้เพียร เมื่อนายสั่งมา เราก็ต้องทำตามที่นายสั่ง ถ้าอีนี่หลุดไปได้ มึงกับกูก็ตาย”
“แต่ถ้าอีนี่ตายอีกคน มันก็ต้องกลับมาเป็นผีมาหลอกเราอีกสิวะ มึงไม่กลัวเหรอ”
“เออ...ถ้ากูตาย กูจะกลับมาฆ่าพวกมึง”
ทาสสาวดิ้นๆต่อสู้จนสิงห์ตัดสินใจชกท้องจนสลบ
“หมดฤทธิ์ซะทีนะมึง ไอ้เพียรช่วยกันอุ้มหน่อย”
สิงห์กับเพียรจะเข้าอุ้มร่างของทาสสาวแต่ทันใดนั้นตาของทาสสาวก็ลืมตาโพลงขึ้นมา สิงห์กับเพียรตกใจ
“เฮ้ย...อีนี่มันอึดกว่าอีเดือนอีก ก็ดี จะได้เดินไปกันดีๆไม่ต้องอุ้มให้เหนื่อย แต่ถ้ามึงสู้อีก กูจะเอาให้เจ็บกว่าเดิม”
สิงห์กับเพียรจับแขนทาสจะพาเดินไปแต่ทาสสาวไม่เดิน
“อะไรของมึงอีก วอนเจ็บตัวใช่ไหม”
เพียรเงื้อมือแต่ยังไม่ทันทำอะไร ทาสสาวก็เหวี่ยงทั้งคู่ล้มลง
“อ้าวๆ สู้เหรอมึง”
สิงห์วิ่งเข้าไปแต่ทาสสาวจับคอของสิงห์ไว้แล้วจ้องหน้า หน้าทาสสาวกลายเป็นหน้าของเดือน สิงห์ตกใจ
“อีเดือน”
เพียรเห็นท่าไม่ดีวิ่งหนีไปเลย สิงห์สะบัดตัวหลุดได้ก็วิ่งตามเพียรไปติดๆ วิญญาณเดือนมองตามทั้งสองไป แล้ววิญญาณเดือนก็เดินออกมาจากร่างทาสสาว ร่างของทาสสาวล้มลงสลบไปทันที
สิงห์กับเพียรวิ่งเตลิดเปิดเปิงกลับมายังเรือนใหญ่ วิ่งขึ้นเรือนไปหา พันที่นั่งอยู่บนเตียง สิงห์เสียงเหนื่อยหอบ
“นาย...ช่วยด้วย...ช่วยด้วย”
“อะไรของพวกมึงวะ”
เพียรละล่ำละลักบอก
“อีเดือนนาย ผีอีเดือนมันอาละวาด”
“พวกมึงจะบ้าหรือไง เสือกพูดเรื่องอีเดือนเสียเสียงดัง เดี๋ยวความแตกก็ถูกทางการจับกันหมดหรอก”
“ผีอีนังนั่นมันต้องมาเอาคืนพวกเราแน่ๆ” เพียรเสียหวาดกลัวสุดๆ
ทันใดนั้นจู่ๆก็มีลมพัดกรรโชกขึ้นมาวูบหนึ่ง ตะเกียงดับหมด พันสะดุ้งตกใจ สิงห์กับเพียรมองหน้ากัน ทำหน้าเหยเกตัวสั่นลนลาน พอสิงห์กับเพียรหันกลับมา ก็พบวิญญาณเดือนยืนอยู่บนเตียงแล้ว ผมพลิ้วสยายน่ากลัวมาก สิงห์กับเพียรค่อยๆยกมือที่สั่น ชี้นิ้วไปด้านหลังของพัน พันค่อยๆหันไปมอง เห็นวิญญาณเดือนเต็มๆ น่ากลัวมาก
“พวกมึงฆ่ากู”
สิงห์กับเพียรร้องสุดเสียง จะวิ่งออกจากห้อง แต่วิญญาณเดือนดลบันดาลให้ประตูทางออกปิดกระแทกหน้าสิงห์กับเพียรจนล้มหงายหลังตึงไปเลย แต่พอเพียรกับสิงห์ลุกขึ้นได้ ก็ลนลานไปหน้าต่าง ทั้งคู่ชะโงกมองลงไปข้างล่าง สายตาของทั้งคู่ เห็นพื้นดินอยู่ลิบๆ เพียรอึ้งๆ
“จะโดดจริงเหรอ สูงนะมึง”
“ไม่โดดให้แขนขาหัก ก็ให้ผีหักคอมันตรงนี้ล่ะ”
สิงห์หลับหูหลับตากระโดดลงไปอย่างไม่สนใจใคร เพียรตัดสินใจกระโดดตาม พันวิ่งตามมาดู เห็นสิงห์กับเพียรไม่เป็นอะไร วิ่งหนีรอดทั้งคู่ พันจึงตัดสินใจจะโดดตาม วิญญาณเดือนจับที่ขาของพันอย่างรวดเร็ว พันเสียหลัก เลยตกจากหน้าต่างไปที่พื้นอย่างไม่เป็นท่า พันร่วงจากหน้าต่างเรือนลงไปนอนแน่นิ่งอยู่ที่ลานดิน สิงห์กับเพียรวิ่งกลับมาดู แล้วเงยหน้ากลับขึ้นไปมองที่หน้าต่างบนเรือน วิญญาณเดือนยืนหัวเราะด้วยความสะใจ
วันใหม่...พระยาอารักษ์นั่งอยู่ กำลังอ่านจดหมายจากแม่ด้วง พออ่านจบก็ถอนใจด้วยความกลัดกลุ้ม ศรีเรือนหันไปถาม
“พ่อพันเขียนจดหมายมา มีเนื้อความว่ากระไรหรือเจ้าคะคุณพี่”
“พ่อพันตกกระได เลยต้องขอเลื่อนการสู่ขอแม่เฟื่องไปก่อนจนกว่าจะหายดี เฮ้อ...ทำไมไม่ระวังตัวเลยนะ กำลังจะมีเรื่องมงคลอยู่เชียว เฮ้อ”
พระยาอารักษ์กับศรีเรือนหน้าเซ็งๆ ที่มุมเรือนเฟื่องมายืนแอบฟังอยู่อมยิ้มดีใจเป็นอย่างมากที่ยังไม่ต้องแต่งงานกับพัน
ด้วงดูแลพันนอนที่นอนระบมไปทั้งตัว เป็นไข้อักเสบอยู่ที่เตียง สิงห์กับเพียรเดินขึ้นเรือนมา
“เป็นไง จดหมายถึงมือท่านเจ้าคุณเรียบร้อยมั๊ย”
สิงห์กับเพียรตอบพร้อมเพียง
“เรียบร้อยขอรับ”
“แล้วเจ้าไปทำอีท่าไหนฮึ ถึงได้ตกหน้าต่างเรือนจนแทบจะแข้งขาหักแบบนี้เล่าลูก”
“ก็โดดหนีผีน่ะสิแม่”
ด้วงตกใจ
“ผี...ผีอะไร บ้านเรามีผีด้วยรึนี่”
พันถอนใจหน้าเครียด
“มีขอรับ”
“ตายๆ อยู่มาเป็นนมเป็นนาน ขนาดเจ้าคุณพ่อของพ่อพันเสีย ยังไม่มาเป็นผีให้เห็นเลย แล้วนี่มีผีอะไรในบ้านเรา ตายๆ”
ทุกคนสีหน้าเดือดเนื้อร้อนใจมาก
ชุนสำรวจบาดแผลไฟไหม้ตามตัวที่เริ่มจะหายแล้ว เขาช่วยพรานมีกับนวลรวบรวมของป่าไปขายในเมือง พรานมียิ้มแย้มให้
“มีชุนมาช่วยเราอย่างนี้ก็ดีเหมือนกันนะนวลนะ พ่อเองก็แก่ลงมากปีนี้ ขอบใจนะชุน”
“ไม่ต้องขอบใจข้าหรอก ท่านช่วยชีวิตข้า บุญคุณนี้...ข้าไม่มีวันลืม”
นวลมองชุนอย่างประทับใจในความกตัญญูจนเผลอทำของตก ชุนเก็บให้ นวลจะรับคืนแต่ชุนส่ายหน้า
“ข้าถือให้เอง”
ชุนเดินไป นวลมองตาม ยิ่งประทับใจในตัวชุนมากขึ้น
“เจ้านี่มันขยันขันแข็งดีจริงๆ ถ้าเป็นลูกข้าก็ดีน่ะสิ”
“อ้าวพ่อ...แล้วฉันไม่ดีตรงไหนจ๊ะพ่อ” นวลงอน “งานทุกอย่างที่ผู้ชายทำได้ฉันก็ทำได้ งานบ้านงานเรือนฉันก็ทำเป็น”
พรานมีขำๆ
“ข้าไม่ได้ว่าเอ็งไม่ดี ข้าแค่อยากมีลูกชายที่เป็นผู้ชายจริงๆ ไม่ใช่ทโมนแบบเอ็งต่างหากเล่า”
พรานมีหัวเราะขำออกไป นวลงอนที่พ่อว่าเป็นทโมน เดินตามต่อว่าพ่อไป
“พ่อ...นี่พ่อว่าฉันงั้นรึ...”
นวลเดินตามพ่อไป
เฟื่อง อุ่นและทับทิมกราบพระที่วัด สวดมนต์ ถวายสังฆทานและกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล พระสวดบทกรวดน้ำ เฟื่องกรวดน้ำ อุ่นกับทับทิมเกาะหลังเฟื่อง แต่ตาแอบมองทาสชายบ้านอื่นที่ติดตามนายมาทำบุญด้วย เฟื่องอธิษฐาน
“ข้าพเจ้า...ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่ได้ทำในวันนี้ให้แก่ ชุน นังเดือน แล้วนายเม่น ขอให้ทั้งสามไปสู่สุขคติ ไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่าเดิม และหากข้าพเจ้ากับชุนเคยมีบุญวาสนาต่อกันมา ก็ขอให้ชาติหน้า...ข้าพเจ้าได้พบกับเขาอีก”
ชุนมีผ้าโพกปิดหน้า เดินเข้ามาหยุดยืนมองซากร้านผ้า เมื่อมาถึงเขาเปิดหน้าออก มองเศษเถ้าถ่านที่เห็นตรงหน้าเสียใจกับภาพที่เห็น เขาเดินเข้ามาในร้านที่ถูกเผาจับเศษผ้าที่ถูกเผาไหม้จนไม่เหลือสภาพขึ้นมาด้วยความปวดใจ เขากำมือแน่นโกรธแต่ไม่สามารถที่จะตอบโต้อะไรกับพวกพันได้
“ทำไมต้องทำกับข้าถึงเพียงนี้...”
ชุนคิดแล้วนึกถึงภาพพันที่เฟื่องขึ้นมา ชุนนึกขึ้นได้
“กำไล...แม่หญิง”
ชุนนึกขึ้นได้เดินลุยเข้าไปข้างในค้นหาบางสิ่งภายใต้ซากเศษเถ้าถ่านอย่างจริงจัง เขารื้อใต้ซากไม้เห็นกล่องที่เก็บของสภาพไฟไหม้ก็ดีใจรีบหยิบขึ้นมาเปิดออกดูเห็นกำไล ข้อมือ วางอยู่ในกล่อง เขาหยิบขึ้นมามองลูบคลำด้วยรอยยิ้มนึกถึงตอนที่ เฟื่องยัดกำไลใส่มือเขา ชุนอมยิ้มมีความสุข เสียงเรียกของนวลดังขึ้น
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
ชุนตกใจ นวลก้าวเข้ามายืนด้านหลัง ชุนรีบเอากำไลลงแล้วหันมาเอากำไลแอบไว้ด้านหลัง ดูชุนลุกลี้ลุกลน นวลมองสงสัย
“จำเสียงข้าไม่ได้รึไง ทำไมต้องทำท่าตกใจขนาดนี้ด้วย”
“ก็...ก็เจ้าโผล่มาเงียบๆ”
“เจ้ายังไม่ตอบข้าเลยว่ามาทำอะไร”
ชุนตอบเลี่ยงๆขอไปที
“ก็มาดูให้เห็นกับตาว่าร้านข้าไม่เหลืออะไรแล้วน่ะสิ”
นวลมองดูรอบๆแล้วบอกกับชุน
“ถ้าเห็นกับตาแล้วนี่...จะไปช่วยข้าขายของได้รึยัง”
“อ้อ...ไปสิ”
ชุนเดินผ่านหน้านวลไปแล้วเปลี่ยนมือที่กำกำไลเอามาไว้ข้างหน้าเสียงนวลดังขึ้น
“เดี๋ยว”
ชุนชะงักกึก รีบเอามือกุมกำไลจนมิดค่อยๆเคลื่อนมือจะเอากำไลหลบในชายพกตรงเอว นวลวิ่งมาดักตรงหน้าแล้วจ้องหน้า ชุนอึ้งมองหน้านวลกลัวๆ
“เอ่อ...คือ...”
นวลเอื้อมมือจับชายผ้าตรงหน้าชุนขึ้นมาแล้วพูด
“เจ้าจะเปิดหน้าไปแบบนี้น่ะเหรอ”
ชุนอึ้งสักพักค่อยโล่งใจที่แท้นวลก็ทักเรื่องปิดหน้า
“จริงของเจ้า...”
ชุนหน้าเก้อๆ นวลยิ้มเยาะๆก่อนที่จะเดินออกไป ชุนรีบเอาชายผ้าตวัดปิดหน้าก่อนจะเดินตามนวลไป นวลรู้สึกว่าชุนมีพิรุธ
ชุนที่เอาผ้าโพกปิดหน้าปิดตา พรานมี นวล ช่วยกันขายของป่าและยาสมุนไพรอยู่ที่ตลาด ชุนขายเก่ง ขายอย่างชำนาญ ลูกค้ารุมซื้อของ พรานมีกับนวลมองดูชุนอย่างชื่นชม
“ดูสิพ่อ มาวางขายได้ไม่ทันไร ของจะหมดแล้ว”
พรานมียิ้ม แล้วทันใดนั้นผ้าที่ปิดหน้าอยู่เปิดออกอย่างกะทันหัน เผยหน้าเต็มๆของชุนออกมา ชุนรีบตวัดปิดอย่างลนลาน แล้วเหลียวมองซ้ายขวา สีหน้าหวาดกลัว นวลสงสารจับมือเขาปลอบใจ
“อย่ากลัวเลย...ไม่มีใครจำได้เอ็งได้หรอก และพวกที่เคยทำร้ายและเผาร้านเอ็ง มันก็คงไม่มาประจวบเหมาะเจอกับเอ็งวันนี้หรอกน่า อย่ากังวลไปเลย”
ชุนยังกังวลอยู่ดี
เฟื่อง อุ่น ทับทิม เดินออกจากโบสถ์ด้วยกัน อุ่นเอ่ยชวน
“คุณหนูเจ้าขา...แวะไปซื้อของที่ตลาดกันสักหน่อยก่อนกลับเรือนนะเจ้าคะ”
เฟื่องพยักหน้า อุ่นกับทับทิมยิ้มร่าดีใจ
ชุนขายของป่าชิ้นสุดท้ายไปเรียบร้อยแล้ว นวลกับพรานมีหันมามองแล้วยิ้มชอบใจ พรานมีหยิบอัฐขึ้นมานับแล้วแบ่งอัฐจำนวนหนึ่งส่งให้นวล กับชุน
“เอ้า...อยากได้อะไรก็รีบไปหาซื้อเสีย”
นวลกับชุนยกมือขอบคุณ
“พ่อจะไปเดินซื้อของทางโน้นหน่อย เสร็จแล้วกลับมาเจอกันที่หน้าตลาดก่อนพลบนะ”
นวลพยักหน้ารับแล้วเดินออกไปกับชุน นวลดูมีความสุข พรานมองตามลูกสาว ดูออกว่าคิดอย่างไร
นวลกับชุนเดินอยู่ในตลาด มองข้าวของสองข้างทางอย่างตื่นตาตื่นใจ ไม่ค่อยได้เข้าเมืองบ่อยนัก เพราะเป็นคนบ้านป่า เฟื่อง อุ่น ทับทิม เดินออกมาจากวัดอยู่ไกลออกไป เฟื่อง อุ่น และทับทิมเดินมาดูของในตลาดเมืองกันซื้อขนมไทยอยู่ที่ร้านผลไม้ ชุนกับนวลเดินเข้ามาแล้วหยุดยืนซื้อกำไลที่ร้านข้างหลัง ชุนเลือกแบบ แล้วส่งให้นวลลองใส่ นวลเลือกอยู่สองสามแบบก็ตกลงเอาอันหนึ่ง ทันใดนั้นลมก็พัดมาแรงจนผ้าโพกหัวของชุนเปิดออก เฟื่องหันไปมองทางทิศที่ลมพัดมาเห็นชุนอยู่ไกลๆ เฟื่องตะลึง
“ชุน...”
เฟื่องจะเดินไปหาชุน แต่มีกลุ่มชาวบ้าน และมีวัวเทียมเกวียนของพ่อค้าเดินมาขวางทางซะก่อน พอหันไปมองอีกทีก็ไม่เห็นชุนแล้ว
เฟื่องหน้าเศร้า คิดว่าตัวเองตาฝาดไป
อ่านต่อตอนที่ 3