คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 15
ทางด้านวศินกำลังยื่นรูปคืนให้กับซาหม่อง
“ผมดีใจที่ท่านชอบ”
“แน่นอนอยู่แล้ว ผมชอบทุกอย่างที่มันทำเงินให้”
“พูดถึงเรื่องเงิน ท่านคงจะพร้อมให้ผมอีกครึ่งนึงที่เหลือใช่มั้ยครับ”
“ไม่มีปัญหา แต่เราค่อยคุยเรื่องนี้หลังจากผ่อนคลายกันแล้วดีมั้ย”
วศินยิ้มแล้วลุกขึ้นผายมือให้กับซาหม่อง ซาหม่องเดินออกไป วศินหันมาบอกกับชาติกล้าที่ยืนอยู่
“เดี๋ยวลื้อโทรไปที่บ้านอั้ว แล้วบอกว่าถ้ามีคนมาอย่าเพิ่งทำอะไร ให้รออั้วกลับไปก่อน”
“ครับ”
วศินเดินจากไป ชาติกล้านิ่งอย่างระแวดระวัง
ที่บ้านวศิน ภูวนัยกับขิงในชุดไอ้โม่งปิดหน้าปิดตากำลังปีนเข้ามาจากหน้าต่างภายในห้องนึง ภูวนัยส่งสัญญาณให้ขิงรู้ว่าต้องขึ้นไปชั้นสอง ขิงพยักหน้า ภูวนัยจึงเดินนำขิงออกจากห้องนั่นไป ภูวนัยกับขิงเดินมาตามทาง ระหว่างนั้นภูวนัยกับขิงได้ยินเสียงคนงานเดินมา ภูวนัยรีบเดินนำขิงมาก่อนที่ทั้งคู่จะมาโผล่ที่ห้องรับแขกแล้วภูวนัยกับขิงก็ต้องชะงักเพราะเห็นแม่บ้านคนเดิมกำลังเดินไป
ภูวนัยชี้ไปที่บันไดให้ขิงดู ระหว่างที่ภูวนัยกับขิงกำลังวิ่งกันไปที่บันได จู่ๆ เสียงโทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้น ภูวนัยกับขิงถึงกับชะงัก แม่บ้านคนนั้นเดินกลับมาเพื่อรับโทรศัพท์ แต่แล้วแม่บ้านคนนั้นก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นภูวนัยกับขิงในชุดไอ้โม่ง
“กรี้...อุ้บ”
แม่บ้านยังไม่ได้ร้องดี ภูวนัยก็พุ่งเข้ามาก่อนจะรีบเอามือปิดปากแม่บ้านเอาไว้
“เงียบ”
แม่บ้านคนนั้นพยักหน้ากลัวสุดขีด
ชาติกล้ากำลังโทรไปที่บ้านของวศิน แต่ชาติกล้าก็ต้องแปลกใจเมื่อไม่มีคนรับสาย ที่บ้านวศินคนงานภายในบ้านกำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ภายในห้องครัวกันอย่างอร่อย แม่บ้านเดินเกร็งหน้าซีดเข้ามาในครัว
“มาเลยพี่ มากินด้วยกัน”
แต่แล้วคนงานภายในบ้านวศินที่รวมตัวกินข้าวอยู่ภายในห้องครัวก็ต้องตกใจเมื่อเห็นภูวนัยกับขิงในชุดไอ้โม่งเดินจี้แม่บ้านเข้ามา เสียงร้องกรี้ดร้องโวยวายดังขึ้นทันที
“เงียบ! ใครแหกปาก พ่อยิงทิ้งจริงๆ ด้วย” ทุกคนรีบอยู่ในความสงบทันที ขิงเอาปืนจี้กวัดแกว่งไปมา “มารวมกันตรงนี้...เร็ว” คนงานค่อยๆ มารวมตัวกัน ขิงโยนเชือกเข้าไป “มัดตัวเองแล้วหันไปมัดติดกับคนอื่นด้วย” เห็นคนงานต่างลังเล เลยตวาดเข้าให้อีก “เร็วซิวะ”
ภูวนัยเข้ามาหาแม่บ้าน
“ขอกุญแจห้องทำงานด้วย”
“แกจะเอาไปทำอะไร”
“อย่าให้พูดเป็นครั้งที่สอง”
แม่บ้านรีบล้วงพวงกุญแจออกมา หาเจอแล้วส่งให้กับภูวนัย ภูวนัยผลักแม่บ้านให้เข้าไปรวมกลุ่มกับพวกคนงาน
“นี่พวกแกไม่รู้ใช่มั้ยว่าแกกำลังปล้นบ้านใครอยู่”
รู้ซิ...ไม่อย่างนั้นพวกเราไม่มาปล้นหรอก” ภูวนัยหันไปบอกขิง “นายอยู่ที่นี่ ดูพวกนี่เอาไว้”
ขิงพยักหน้ารับ ภูวนัยจึงรีบออกไปทันที
ภูวนัยเดินขึ้นมาบนชั้นสองของบ้านแล้วตรงมาที่ห้องทำงานของวศินก่อนจะใช้กุญแจไขลูกบิดแล้วเปิดเข้าไป
ภูวนัยเข้ามาในห้องทำงานของวศิน สายตาจับจ้องไปที่ห้องที่หมายตาเอาไว้ ระหว่างที่ภูวนัยกำลังจะเดินไป เสียงโทรศัพท์ภายในห้องทำงานก็ดังขึ้นอีก ภูวนัยชะงักไป
ชาติกล้ากำลังโทรศัพท์อยู่ที่มุมหนึ่งก็เริ่มเอะใจ ภูวนัยกำลังอยู่ที่หน้าประตูห้องมุมสุด ขณะที่เสียงโทรศัพท์ก็ยังดังต่อไปเรื่อยๆ ก่อนที่มันจะเงียบลง ภูวนัยหันไปกางอุปกรณ์สำหรับสะเดาะห์กุญแจขึ้นมาแล้วจัดการกับประตูบานนั่นทันที ไม่นานประตูบานนั้นก็เปิดออก ภูวนัยเดินเข้าไปในห้องนั่นแล้วเปิดไฟ
อภิวัฒน์เดินไปมาอย่างร้อนใจภายในศูนย์บัญชาการที่เซฟเฮาส์ ระหว่างนั้นเสียงวิทยุสื่อสารดังขึ้น
“ว่าไงหน่วยเอ”
ภูวนัยรายงานอย่างตกตะลึง
“พบเงินแล้วครับ”
ภูวนัยยืนอยู่ภายในห้องที่มีเงินกองอยู่เต็มห้อง
อีกด้านหนึ่งที่สปา ขณะนั้นวศินในชุดคลุมอยู่ในห้องนวด ไผ่พญาเปิดประตูเข้ามา ไผ่พญายกมือไหว้วศิน
อย่างสวยงามและอ่อนช้อย
“สวัสดีคะท่าน”
“อ้าว...ลำดวนล่ะ”
ไผ่พญาพยายามเดินไปเตรียมข้าวของเพื่อไม่ให้วศินเห็นหน้าชัดๆ
“พี่ลำดวนมีธุระด่วนนะคะ ท่านไม่ต้องห่วงนะคะ พี่ลำดวนบอกดิฉันไว้แล้วว่าท่านชอบนวดยังไง”
วศินเหล่มองไผ่พญาอย่างกรุ่มกริ่ม
“จริงเหรอ”
“เชิญที่เตียงเลยคะท่าน”
วศินเดินไปนอนบนเตียง แล้วหลับตา ไผ่พญาค่อยๆ หยิบขวดยาโคโลฟอร์ม(ยาสลบ) กำลังจะเทใส่ผ้า แต่แล้วเสียงมือถือของวศินที่วางอยู่ที่มุมวางของก็ดังขึ้น ไผ่พญาชะงักมือแล้วรีบเก็บขวดยาทันที
“หนูหยิบมือถือให้ทีซิ” วศินบอกทั้งที่ยังหลับตาอยู่
ไผ่พญาเดินไปที่มือถือของวศิน แล้วหยิบขึ้นมาดูก่อนจะเห็นว่าชาติกล้าโทรเข้ามา ไผ่พญาครุ่นคิดว่าชาติกล้าอาจจะรู้อะไรบางอย่างจึงตัดสายทิ้ง
ชาติกล้าแปลกใจที่วศินตัดสายทิ้ง วศินแปลกใจเพราะเสียงมือถือเงียบไปเลยลืมตาขึ้นมาถาม
“ใครโทรมา” ไผ่พญาทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“ไม่ทราบคะ พอหยิบขึ้นมาก็วางสายไปแล้ว”
“ช่างมัน...มานวดต่อเถอะ”
วศินหลับตาต่อ ไผ่พญาแอบเป่าปากโล่งอก
อีกห้องกระดังงาเทน้ำมันลงบนตัวของซาหม่อง ก่อนจะใช้มือลูบไปทั่วร่างของซาหม่อง
“อ้า”
ซาหม่องร้องซะดังจนกระดังงาตกใจรีบชักมือออก
“เฮ้ย! มีอะไรคะ”
“ไม่มีอะไรจ้ะ ฉันชอบมือสาวไทย”
“แหม...ท่านเนี่ย ปากหวานจังนะคะ”
กระดังงาค่อยๆ บีบนวดซาหม่องต่อ ระหว่างนั้นมือของซาหม่องค่อยๆ เลื่อนไปที่สะโพกของกระดังงา
กระดังงาถึงกับสะดุ้งเพราะโดนซาหม่องจับก้น
“เฮ้ย” ซาหม่องส่งตาเยิ้มให้
“ฉันชอบสะโพกสาวไทย”
กระดังงาเห็นอย่างนั้นก็ตบผัวะไปที่หน้าของซาหม่อง เผียะ! จนซาหม่องหน้าหัน
“เอ่อ อันนี้ที่ไทยเขาเรียกว่าฝ่ามือยกกระชับหน้าน่ะคะ”
“เหรอๆ...ดีๆ ฉันชอบ”
ซาหม่องนอนหลับตาพริ้ม กระดังงาหยิบผ้าขึ้นมาแล้วใส่ยาโคโลฟอร์มใส่ผ้า ระหว่างนั้นเสียงของซาหม่องดังขึ้น
“อะไรน่ะ”
กระดังงาหันไปแล้วก็ตกใจเมื่อเห็นซาหม่องมองเธอที่กำลังใส่คลอโลฟอร์มอยู่ กระดังงาเห็นอย่างนั้นก็รีบโปะผ้าเข้าไปที่หน้าของซาหม่อง ซาหม่องดิ้นได้ครู่ก็สงบลง กระดังงาปาดเหงื่อ
“ไอ้ไผ่จะเป็นไงมั้งเนี่ย”
กระดังงานึกเป็นห่วงไผ่พญา
ชาติกล้าเดินตามทาง ระหว่างนั้นกระดังงาเปิดประตูออกมาจากห้องกำลังจะไปหาไผ่พญา จังหวะที่ชาติกล้ากำลังจะเจอกับกระดังงา อยู่ๆ เสียงของผู้จัดการก็ดังขึ้นด้านหลังชาติกล้า
“สวัสดีค่ะ”
ชาติกล้าหันไปก็เห็นผู้จัดการกำลังเดินเข้ามา เช่นเดียวกับกระดังงาที่ได้ยินเสียงของผู้จัดการก็หันไป แล้วกระดังงาก็ตกใจเมื่อเห็นชาติกล้ายืนอยู่
“เฮ้ย”
กระดังงาเห็นอย่างนั้นก็รีบวิ่งไปที่ห้องของไผ่พญากับวศินทันที ชาติกล้าเห็นผู้จัดการเลยถามขึ้น
“ท่านวศินอยู่ห้องไหน”
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“บอกมาเร็วๆ ผมมีเรื่องด่วนต้องแจ้งให้ท่านทราบ”
“เอ่อ...ตรงไปห้องที่สี่ทางซ้ายมือค่ะ”
ชาติกล้ารีบเดินไปทันที
ที่ห้องนวดวศิน ไผ่พญาเทน้ำมันลงบนตัวของวศิน ก่อนจะลงมือนวดแต่วศินกลับทักขึ้น
“ทำอะไรน่ะ”
“ก็นวดไงคะ”
“ลำดวนไม่ได้บอกเหรอว่าให้เธอถอดเสื้อผ้าด้วย”
“ห๊า”
ระหว่างนั้นกระดังงาเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาในห้อง
“ใครให้เธอเข้ามา”
กระดังงากับไผ่พญามองหน้ากัน กระดังงาเลิ่กลั่ก ไผ่พญาจึงรีบพูดขึ้น
“อ๋อ...วันนี้เราจะนวดแบบดับเบิ้ลสเปเชียลให้ท่านนะคะ”
วศินมองกระดังงา
“ก็ดี”
กระดังงายิ้มหวานให้วศินก่อนจะเดินมาหาไผ่พญา
“มีอะไร” ไผ่พญากระซิบถาม
“หมวดชาติกล้ากำลังมานี่” กระดังงากระซิบตอบ ไผ่พญาตาโตตกใจ
“งั้นต้องรีบแล้ว”
ไผ่พญารีบหยิบยาสลบมาเทใส่ผ้า วศินเริ่มหงุดหงิด
“มีอะไร รีบถอดเสื้อผ้าแล้วก็นวดซะ”
“ใจเย็นซิคะท่าน เรากำลังเตรียมน้ำมันแบบพิเศษให้อยู่ รับรองว่าท่านจะสบายเหมือนไม่เคยรู้สึกมาก่อน” กระดังงาหันไปทำปากกับไผ่พญา “เสร็จยัง”
ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงชาติกล้า
“ท่านครับ”
ไผ่พญากับกระดังงามองหน้ากันอย่างตกใจ ขณะที่วศินลืมตาขึ้นกำลังจะลุก ไผ่พญาเห็นอย่างนั้นก็รีบเอาผ้าโปะยาสลบใส่วศินทันที วศินดิ้นเพียงไม่นานก็สงบลง แต่เสียงเคาะประตูของชาติกล้ายังดังอยู่ ไผ่พญากับกระดังงามองหน้ากันว่าจะทำยังไง
ชาติกล้ายังเคาะประตูเรียกวศินอยู่หน้าห้อง
“ท่านครับ”
ชาติกล้าเริ่มสงสัยเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากวศิน จึงกำลังจะเปิดประตูเข้าไปแต่แล้วทันใดนั้นกระดังงาก็เปิดประตูออกมา
“มีอะไรคะ”
“ฉันอยากคุยกับท่านหน่อย”
“สงสัยไม่ได้คะ”
“ทำไมไม่ได้ มีอะไร”
ชาติกล้าตัดสินใจเปิดประตูออกแล้วเดินเข้าไป แล้วชาติกล้าก็เห็นวศินนอนอยู่ ขณะนั้นไผ่พญาหลบอยู่ที่ใต้เตียง ใจเต้นรัวอย่างตื่นเต้น กระดังงารีบเข้ามาบอกกับชาติกล้า
“ที่ดิฉันบอกว่าไม่ได้เพราะท่านวศินหลับแล้วคะ แต่ถ้าคุณไม่กลัวโดนท่านว่า เดี๋ยวดิฉันเรียกให้คะ”
กระดังงากำลังจะปลุกวศิน แต่แล้วชาติกล้าก็พูดขึ้น
“ไม่เป็นไร”
ชาติกล้าเห็นวศินหลับลึกก็ไม่อยากปลุกก่อนจะเดินออกไป กระดังงาเดินตามไปปิดประตู ไผ่พญาลุกขึ้นมาอย่างโล่งอก
“เกือบแล้ว ขอบใจมากนะงา”
“แล้วเอาไงต่อ”
ไผ่พญามองวศินที่สลบอยู่ก็ครุ่นคิด
ที่บ้านวศิน ภูวนัยอยู่ในห้องเก็บเงินของวศินกำลังขนเงินใส่รถเข็น ขณะที่ขิงยืนมองยังตะลึงไม่หาย
“จะยืนตะลึงอย่างนั้นอีกนานมั้ย”
ขิงได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกตัว
“โห...ผมยังไม่อยากจะเชื่อว่าชาตินี้จะได้เห็นเงินเยอะขนาดนี้”
“อยากได้หรือเปล่าละ” ขิงตาโต
“คุณภูจะให้เหรอครับ”
“นายรู้มั้ยว่าเงินพวกนี้ ได้มาจากอะไร...ยาเสพติด...บ่อน...ค้ามนุษย์...” ภูวนัยดึงแบงค์พันออกมาใบนึง “มีพ่อไม่ยอมเอาเงินไปซื้อข้าวให้ลูกกิน...แต่กลับเอามันมาซื้อยาบ้า” ภูวนัยดึงออกมาอีก “ผู้หญิงคนนึง...อาจต้องเสียอนาคตเพราะถูกจับมาขาย” ภูวนัยมองไปที่กองเงิน “ถ้าหนึ่งใบนี้คือความทุกข์ของคนหนึ่งคน นายคิดดูว่าจะมีคนที่ต้องทุกข์ทรมานกับธุรกิจนอกกฎหมายของพวกมันเท่าไหร่”
ขิงได้ยินอย่างนั้นก็ได้คิด
“ผมเข้าใจแล้วครับ”
ระหว่างนั้นเสียงอภิวัฒน์ติดต่อผ่านวิทยุเข้ามา ภูวนัยกดฟัง
“ครับท่าน” ภูวนัยฟังแล้วสีหน้าเครียดขึ้นมา “ได้ครับ” ภูวนัยวางสายไป
“มีอะไรครับคุณภู”
“ตอนนี้เราเหลือเวลาไม่ถึงชั่วโมง เร่งมือดีกว่า”
ภูวนัยกับขิงต่างก็ช่วยกันขนเงินกันอย่างเร่งรีบทันที
ชาติกล้านั่งรอวศินอย่างกระสับกระส่าย ชาติกล้ามองนาฬิกาแล้วแปลกใจ ก่อนจะลุกขึ้นไปถามผู้จัดการที่อยู่ที่เคาน์เตอร์
“โทษนะครับ นี่มันจะสามชั่วโมงแล้วนะครับ ท่านวศินทำไมยังไม่ออกมา”
ผู้จัดการมองนาฬิกา
“ตายจริง...ปกติท่านไม่นวดนานขนาดนี้นะคะ”
ชาติกล้าเริ่มเอะใจขึ้นมา
วศินนอนหลับอยู่ภายในห้องนวด ก่อนจะเห็นวศินค่อยๆ รู้สึกตัว ขณะนั้นชาติกล้ากับผู้จัดการเดินมาที่หน้าห้องแล้วเคาะประตูเรียก
“ขออนุญาตคะ”
ไม่มีเสียงตอบใดๆ กลับมา ชาติกล้าเดินเบียดผู้จัดการเข้ามาก่อนจะเปิดประตูเข้าไปทันที ไผ่พญากับกระดังงาโผล่หน้าออกมาจากมุมหนึ่งแล้วทั้งสองรีบวิ่งออกไปทันที ชาติกล้าเดินเข้ามาในห้องก็เห็นวศินกำลังพยายามลุกขึ้นนั่งบนเตียงด้วยท่าทางมึนๆ
“ทำไมมึนหัวจังวะ”
ชาติกล้าหันไปถามผู้จัดการ
“พนักงานที่นวดให้ท่านชื่ออะไร”
“เอ่อ...ดิฉันก็ไม่ทราบคะ เห็นบอกว่ามาแทนลำดวน”
“นี่คุณให้ใครก็ไม่รู้มานวดซุ่มสี่ซุ่มห้าอย่างนี้ได้ยังไง หาตัวมาผมอยากคุยกับพนักงานคุณ”
ผู้จัดการรับคำสั่งแล้วรีบออกไป วศินเริ่มคืนสติ
“มีเรื่องอะไร ทำไมต้องเข้ามาในนี้”
“ท่านครับผมโทรไปที่บ้านท่านแล้ว แต่ไม่มีใครรับสายเลยครับ”
“ไม่มีได้ยังไง คนอยู่ออกเต็มบ้าน”
“ถ้าอย่างนั้นผมว่าเรารีบกลับดีกว่าครับ บางทีอาจจะเกิดเรื่องที่บ้านท่าน”
วศินได้ยินอย่างนั้นก็สีหน้าเครียดลง ชาติกล้าหรี่ตาครุ่นคิด
วศินเดินเข้ามาในบ้านโดยมีชาติกล้าเดินตาม
“อ้าว...ไปไหนกันหมด สมศรี...เฮ้ย! ไปไหนกัน”
ทุกอย่างเงียบสนิทเหมือนว่าทั้งบ้านไม่มีคนอยู่ ชาติกล้าหยิบปืนขึ้นมาแล้วเดินมาข้างหน้าวศิน
“ท่านรออยู่ตรงนี้ดีกว่าครับ”
วศินพยักหน้า ชาติกล้าเลยเดินไปภายในบ้าน
ชาติกล้าเดินมาตามทางก่อนจะมองไปเห็นเงาบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวในห้องครัว ชาติกล้ากระชับปืนแล้วค่อยๆ สืบเท้าเข้าไป ชาติกล้าเข้าไปในห้องครัวพร้อมเล็งปืนไปที่เงา แต่แล้วชาติกล้าก็ต้องตกใจเมื่อเห็นแม่บ้านและคนงานต่างถูกจับมัดรวมกันอยู่
ชาติกล้ารีบแก้มัดผ้าที่ปากของแม่บ้าน ทันทีที่ปากของแม่บ้านเป็นอิสระก็ร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วยคะ”
ระหว่างนั้นวศินเดินเข้ามา พอเห็นภาพที่ทุกคนถูกมัดก็ตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น”
“โจรคะท่าน มีโจรเข้ามา”
“อะไรนะ”
“แต่ที่เราเดินเข้ามาก็ไม่เห็นมีอะไรหายไปนี่ครับ” ชาติกล้าหันไปพูดกับวศิน
“ฉันก็ไม่รู้พวกมันต้องการอะไร แต่พวกมันเอากุญแจห้องทำงานท่านไปคะ”
วศินได้ยินอย่างนั้นก็หน้าซีดเผือดสังหรณ์ใจขึ้นมาทันที
วศินรีบเข้ามาในห้องทำงาน ชาติกล้าเดินตามเข้ามา
“ระวังนะครับท่าน” ชาติกล้ากวาดปืนไปรอบๆ ห้องอย่างระวังตัว วศินเองก็มองไปรอบๆ อย่างพินิจพิจารณา
“มีอะไรหายไปหรือเปล่าครับ”
“ไม่”
ชาติกล้าเก็บปืน ระหว่างนั้นวศินนึกขึ้นมาได้หันมองไปทางห้องเก็บเงิน วศินเดินไปที่ประตูก่อนจะเปิดประตู วศินใจหายเมื่อเห็นประตูห้องเก็บเงินไม่ได้ล๊อคแล้วเปิดออกอย่างง่ายดาย วศินเดินเข้าไปในห้องแล้ววศินก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นเงินที่เคยอยู่เต็มห้อง บัดนี้ได้อันตธานหายไปหมด
“เงิน...เงินอั้วอยู่ไหน”
ชาติกล้าเดินตามเข้ามาก็เห็นวศินเดินอยู่ข้างห้องที่เคยเป็นที่ตั้งเงิน ชาติกล้าเหลือบไปเห็นกระดาษใบนึง ติดอยู่ที่ประตูด้านหลัง
“ท่านครับ”
วศินหันมาก็เห็นชาติกล้ายืนดูกระดาษที่ (ภูวนัยวาดรูป) SMILY ติดอยู่ที่ประตู วศินกระชากออกมาดู แล้วขยำทิ้งด้วยความโกรธสุดๆ
“โธ่เว้ย” วศินหันไปกระชากคอเสื้อชาติกล้า “ไปหามา ใครมันเอาเงินอั้วไป...ไป”
ชาติกล้าเองก็อยากรู้เหมือนกัน วศินกำหมัดแน่นด้วยความโกรธจนเส้นเลือดที่ขมับแทบระเบิด
ที่เซฟเฮาส์อภิวัฒน์ ประตูหลังของรถตู้เปิดออก ภูวนัย ไผ่พญา กระดังงา ขิงและอภิวัฒน์ยืนอยู่จึงเห็นเงินอยู่ภายในรถตู้เต็มคันรถ ทุกคนยกเว้นภูวนัยกับขิง ต่างอึ้งเมื่อเห็นเงินจำนวนมหาศาล
“โห...นี่มันเท่าไหร่กันเนี่ย”
“ถ้าให้กะด้วยสายตา ผมว่า...ไม่ต่ำกว่าพันล้าน”
“พันล้าน”
กระดังงาเอื้อมมืออันสั่นเทาจะไปหยิบเงิน แต่แล้วขิงก็ตีมือกระดังงา เผียะ!
“โอย อะไรของแกไอ้ขิง”
“แกนั่นแหละจะทำอะไร เงินพวกนี้มันเงินบาปทั้งนั้น รู้มั้ยว่าเงินพวกนี้...ได้มาจากอะไร...ยาเสพติด...บ่อน...ค้ามนุษย์...” ขิงดึงแบงค์พันออกมาใบนึง “มีพ่อไม่ยอมเอาเงินไปซื้อข้าวให้ลูกกิน...แต่กลับเอามันมาซื้อยาบ้า” ขิงดึงออกมาอีกใบ “ผู้หญิงคนนึง อาจต้องเสียอนาคตเพราะถูกจับมาขาย” ขิงมองไปที่กองเงิน แล้วพูดอย่างเท่ห์มากๆ “ถ้าหนึ่งใบนี้คือความทุกข์ของคนหนึ่งคน แกคิดดูซิว่าจะมีคนที่ต้องทุกข์ทรมานกับธุรกิจนอกกฎหมายของพวกมันเท่าไหร่”
กระดังงาถึงกับอึ้งไป
“ไอ้ขิง...พ่อพระของเมีย”
ขิงหันไปยักคิ้วให้กับภูวนัย ภูวนัยอมยิ้ม ไผ่พญาหันไปถามอภิวัฒน์
“แล้วท่านจะเอาเงินพวกนี้ไปทำอะไรคะ”
อภิวัฒน์มองดูเงินก่อนจะอมยิ้มกับความคิดภายในใจ
ไผ่พญาเดินมากับขิงและกระดังงา ทั้งหมดตรงมาที่รถของขิงกำลังจะกลับ
“ไอ้ขิง แกว่าท่านอภิวัฒน์จะทำยังไงกับเงินพวกนั้น”
“อืม...ฉันว่าต้องเอาไปฮาวาย เล่นน้ำทะเล มีสาวๆ ฝรั่งหัวทองล้อมหน้าล้อมหลัง”
ขิงพูดพร้อมกับจินตนาการในหัว กระดังงาเข้ามาบิดหู
“เหรอ...ฉันว่านั่นมันความคิดแกมากกว่ามั้งไอ้ขิง”
“โอ๊ยๆ เมียจ๋าๆ ผัวเจ็บ”
“หนอย ทีอยู่ต่อหน้าคนอื่นละทำพูดซะเท่ห์เลย”
“นั่นมันความคิดคุณภูเขา ฉันเองก็อยากได้เงินเหมือนแกละนา”
กระดังงาได้ยินอย่างนั้นก็นึกขึ้นมาได้
“เออไผ่...นี่แกทะเลาะกับคุณภูเหรอ”
ไผ่พญาหน้าตึงขึ้นมาทันที
“ทำไม”
“ก็ฉันเห็นแกกับคุณภูไม่คุยกันนี่”
“แล้วทำไมฉันต้องอยากคุย”
ระหว่างนั้นเสียงภูวนัยดังขึ้น
“แต่ฉันอยากคุย” ไผ่พญา ขิงและกระดังงาหันไปก็เห็นภูวนัยเดินเข้ามา “ไผ่...ฉันอยากคุยกับเธอ”
“คุยเรื่องอะไรครับ ส่วนแบ่งที่พวกเราจะหรือเปล่า” ขิงรีบถามกระดังงาเข้าไปดึงหูอีก “โอ๊ย”
“มานี่เลย ไม่ได้ยินหรือไงว่าคุณภูเขาอยากคุยกับไอ้ไผ่ ตามสบายนะคะ”
กระดังงาดึงหูขิงให้ออกไป ไผ่พญาหันมาถามภูวนัย
“มีอะไร”
“ผมดีใจที่คุณไม่เป็นอะไร”
“เหรอ ฉันนึกว่าเสียใจซะอีก”
“ไผ่...ผมรู้ว่าคุณโกรธที่ผมหาว่าคุณทำให้ฟ้าตาย แต่ที่จริงแล้ว...ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น”
ภูวนัยกำลังจะพูดต่อ แต่ไผ่พญาขัดขึ้น
“พอเถอะ” ภูวนัยชะงักไป “นายทำอย่างนี้ทำไม วันก่อนนายด่าฉันโกรธฉันเกลียดฉัน แล้วพออีกวันก็มาทำเป็นดี แล้วพรุ่งนี้ละนายจะอารมณ์ไหน”
“ไผ่”
“อย่าทำให้ฉันสับสนมากไปกว่านี้ได้มั้ย”
ไผ่พญาพูดจบก็เดินออกไป ภูวนัยมองตามอย่างหนักใจ
วันต่อมา วศินนั่งอยู่ในห้องทำงานเห็นแก้วเหล้าและขวดเหล้าวางอยู่ไกลๆ วศินกำลังครุ่นคิดอย่างเจ็บใจ
ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น ชาติกล้าเปิดประตูเข้ามา
“ขออนุญาตครับ”
“ได้เรื่องว่าไง”
“คนงานในบ้านบอกตรงกันทุกคนว่าโจรสองคนนั่นมุ่งมาที่ห้องนี้โดยตรง”
“ลื้อกำลังจะบอกอะไรอั้ว”
“นั่นแสดงว่า โจรสองคนนั่นต้องรู้ว่าท่านเก็บเงินไว้ในห้องนี้”
วศินได้ยินอย่างนั้นก็ครุ่นคิด
“ไปตามพวกคนงานขึ้นมาให้หมด มันต้องมีคนเป็นสายให้พวกมัน”
“แต่ผมว่าไม่ใช่ครับท่าน” วศินแปลกใจกับความคิดของชาติกล้า “ถ้าคนในบ้านเป็นสายให้โจรพวกนั้นจริง คนนั้นต้องไม่อยู่ที่นี่แล้ว แต่นี่กลับอยู่ครบทุกคน แล้วที่ผมสอบปากคำทั้งหมดก็ไม่พบว่าใครน่าสงสัยเลยครับ”
วศินได้ยินอย่างนั้นก็เขวี้ยงแก้วเหล้าด้วยความโมโห
“โธ่เว้ย! อั้วไม่อยากฟังอะไรแล้ว ตอนนี้อั้วอยากรู้อย่างเดียวว่าเงินอั้วอยู่ไหน” เสียงเคาะประตูดังขึ้น “มีอะไร”
วศินถามอย่างหงุดหงิด แม่บ้านค่อยๆ เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับซองเอกสาร
“มีเอกสารมาส่งคะ” วศินรับเอกสารมา
“ไปได้แล้ว”
แม่บ้านก้มหน้างุดออกไป วศินรับมาก่อนจะเห็นว่าซองเอกสารเหล่านั้นเป็นซองที่มาจากวัดต่างๆ วศินไม่สนใจ โยนทิ้ง
“ไอ้วัดบ้าพวกนี้ส่งอะไรมาเยอะแยะวะ”
ชาติกล้าหยิบซองนึงขึ้นมาดูแล้วเปิดดู ชาติกล้าถึงกับชะงักไป
“ท่านครับ ผมรู้แล้วครับว่าเงินท่านอยู่ที่ไหน”
ชาติกล้าส่งซองเอกสารพวกนั้นให้วศิน วศินดูก็เห็นว่าเป็นอนุโมทนาบัตร ยอดเงินทำบุญ 137 ล้านบาท
วศินเห็นอย่างนั้นก็แกะซองอื่นๆ ออกดู แล้วก็พบว่าเป็นอนุโมทนาบัตรทั้งหมด ยอดเงินแต่ละใบไม่ต่ำกว่า 100 ล้าน
วศินถึงมือสั่นเทา โยนทุกอย่างทิ้งระเบิดอารมณ์
“โว้ยยย”
ระหว่างนั้นเสียงมือถือของวศินดังขึ้น วศินหยิบมือถือขึ้นมาดูก่อนจะเห็นสีหน้าของวศินเปลี่ยนไปทันที
วศินกับชาติกล้ามาพบกับซาหม่องที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซาหม่องทำหน้าแปลกใจ
“จะเลื่อนการจ่ายเงินออกไปก่อนเหรอ”
วศินนั่งคุยกับซาหม่องในห้องอาหารส่วนตัว มีชาติกล้ายืนอยู่ห่างๆ
“ตอนนี้ผมมีปัญหาเรื่องการเงินนิดหน่อย เลื่อนออกไปเดือนสองเดือนไม่น่าจะเป็นไรนี่ หรือว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“แหม...ผมเป็นนักธุรกิจ ไม่อยากมีปัญหาอะไรกับใครหรอก” วศินโล่งอก
“ก็ดีที่ท่านเข้าใจ”
“ผมเข้าใจอยู่แล้ว แต่ว่า...”วศินเริ่มชะงัก “ก็อย่างที่บอกท่านนั่นแหละ ผมมันเป็นนักธุรกิจมันก็ย่อมคุยกันด้วยเงิน ตอนนี้ถ้าท่านไม่มีเงินผมก็คงต้องตัดท่านออกไปก่อน”
“อะไร เงินแค่นี้รอหน่อยไม่ได้หรือไง”
“เวลาเป็นเงินเป็นทองนะ ที่สำคัญผมขี้เกียจตอบคำถามหุ้นส่วนคนอื่นๆ” ซาหม่องลุกขึ้น “ไม่เป็นไรใจเย็นๆ ไว้มีเงินแล้วค่อยโทรมา”
ซาหม่องเดินออกไปแบบไม่ใยดีวศิน วศินหน้าเครียด
“อะไรนักหนาวะ” วศินคิด ก่อนจะหันไปมองชาติกล้า “โทรนัดพวกนั้นให้อั้วหน่อย”
ชาติกล้าได้ยินคำสั่งของวศินก็นิ่งไปอย่างครุ่นคิด
อ่านต่อหน้า 2
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 15 (ต่อ)
วศินเดินมาตามทางจะไปที่รถ ชาติกล้าเดินตามหลังมาด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ท่านครับ ผมว่าเรายังไม่ควรที่จะเรียกเก็บเงินกับสี่เสือเพิ่มเวลานี้นะครับ”
“ถ้าไม่เอาจากพวกมันแล้วลื้อจะให้อั้วเอาจากไหน”
“แต่ท่านเพิ่งเรียกเก็บเพิ่มมายี่สิบเปอร์เซ็นต์ ถ้าท่านจะเก็บเพิ่มอีก ผมเกรงว่า...”
“ทำไม กลัวพวกมันจะแข็งข้อเหรอ” ชาติกล้านิ่งไปเหมือนยอมรับคำตอบนั่น “ลื้อก็รู้อยู่ว่าพวกนั่นมันฉลาด ถ้ามันยังอยากหากินได้ต่อ พวกมันจ่ายแน่”
“แต่ท่านครับ”
“บอกอะไรก็ทำซิวะ” วศินตวาด
ชาติกล้าก้มหน้างุดรับคำสั่ง วศินเดินออกไปอย่างหงุดหงิด ชาติกล้ามองตามอย่างหวั่นใจ
ไผ่พญากำลังนั่งซักผ้าอยู่ที่ลานด้านนอกเซฟเฮ้าส์ภูวนัย
“เมื่อวานพูดอย่าง วันนี้พูดอย่าง ถ้าฉันเป็นเด็กเลี้ยงแกะแล้วอย่างนายเรียกว่าอะไร...ห๊ะ”
ไผ่พญาทุ่มผ้าลงกาละมังด้วยความโมโห ระหว่างนั้นขิงกับกระดังงาวิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“ไผ่...ไอ้ไผ่”
“อะไร” ไผ่พญาหันมา
“เมื่อกี้ตอนที่ฉันกับไอ้งากำลังกุ๊กกิ๊กกันที่โซฟา”
“ข้ามตอนนั้นไปก็ได้ไอ้ขิง”
“อ๋อ...เมื่อกี้พวกเราได้ยินข่าวว่ามีบุคคลลึกลับผู้ไม่ประสงค์ออกนาม นำเงินกว่าพันล้านไปวางไว้หน้าวัดหลายสิบที่เลยนะ”
“แล้วไง มาบอกฉันทำไม”
“เอ้า...ก็อยากให้แกโทรหาคุณภูไง เผื่อจะมีเศษเหลือๆ แล้วอยากทำบุญกับคนยากคนจนอย่างเราบ้าง”
“แกอยากโทรก็โทรเอง ฉันไม่อยากยุ่ง”
ระหว่างนั้นเสียงมือถือของไผ่พญาดังขึ้น
“นั่นไงไอ้งา เห็นมั้ยนึกถึงคุณภู...คุณภูก็โทรมา”
“ดวงคนจะได้เงินเว้ยไอ้ขิง” กระดังงาบอกอย่างดีใจ
ไผ่พญาเช็ดไม้เช็ดมือแล้วหยิบมือถือขึ้นมา ขิงกับกระดังงาสอดรู้สอดเห็นคะยั้นคะยอให้ไผ่พญารับสาย ไผ่พญาหันมอง เห็นขิงกับกระดังงาชะโงกดูเลยยื่นมือถือให้
“จะคุยเลยมั้ย” กระดังงายิ้มแหย
“จะบ้าเหรอ คุณภูเขาโทรหาแกก็ต้องอยากคุยกับแกซิ”
ไผ่พญาทำท่าให้กระดังงากับขิงออกไป ขิงกับกระดังงาเลยต้องยอมออกไป ไผ่พญามองตามพอเห็นขิงกับกระดังงาไม่อยู่เลยรีบกดรับสาย
“โทรมาทำไม” ไผ่พญาชะงักไป
ภูวนัยในชุดวอร์มเดินเข้ามาในเซฟเฮาส์อภิวัฒน์ ภูวนัยเห็นอภิวัฒน์นั่งอยู่
“เห็นข่าวหรือยัง” อภิวัฒน์ถามภูวนัย
“เห็นแล้วครับ ผมว่าป่านนี้มันคงจะเต้นหาพวกเราน่าดู”
“นั่นแหละที่ผมเรียกคุณมา”
“มีอะไรครับ”
“อยากให้คุณกลับไปที่เซฟเฮาส์ แล้วจับตาดูทีมของคุณหน่อย” ภูวนัยทำหน้าแปลกใจ “ภารกิจที่เราทำเมื่อคืน ผมว่าวศินมันต้องไม่อยู่เฉยแน่ ผมไม่อยากให้เกิดความผิดพลาด รูรั่วเพียงนิดเดียวก็ทำให้เรือจมได้ เข้าใจที่ผมพูดใช่มั้ย”
“ครับ”
ภูวนัยรับคำแต่ก็หนักใจที่ต้องไปเจอไผ่พญา
ภูวนัยเดินมาที่หน้าประตูบ้าน ก่อนจะหยุดแล้วคิด
“จะทำหน้ายังไงดีวะเรา เครียดใส่ดีมั้ย” ภูวนัยทำหน้าเครียด ก่อนจะลังเล “ไม่ได้ๆ เดี๋ยวจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่ หรือจะลองยิ้มดู”
ภูวนัยลองทำหน้ายิ้ม มียิ้มแบบปากกว้าง ยิ้มแบบอมยิ้ม ระหว่างนั้นขิงกับกระดังงาก็เดินออกมาจากประตูพอดี
“แกว่าถ้าได้เงินมาจะซื้ออะไรดี” ขิงชะงักเมื่อเห็นภูวนัยยืนอยู่ “อุ้ย! คุณภู”
ภูวนัยกำลังทำหน้ายิ้มอยู่ พอเห็นขิงกับกระดังงาเลยหุบยิ้มไม่ทัน ภูวนัยทำหน้าไม่ถูก
“อ้าว...แล้วไอ้ไผ่ละคะ” ภูวนัยงง
“ไผ่”
กระดังงาเห็นภูวนัยทำหน้างงเลยรู้ทันที
“อ้าว ไอ้ไผ่ไม่ได้ออกไปหาคุณภูเหรอคะ”
“เปล่านี่ครับ”
ขิงหันไปถามกระดังงา
“แล้วไอ้ไผ่มันออกไปหาใครวะ”
ขิงกับกระดังงาสงสัย ขณะที่ภูวนัยเป็นห่วงไผ่พญา
มือนึงกำลังปักธูปลงตรงหน้าโกฐิของปลายฟ้า เจ้าของมือนั้นก็คือตะวันฉายนั่นเอง โดยมีไผ่พญายืนอยู่ด้านหลัง ตะวันฉายลุกขึ้นก่อนจะมองรูปปลายฟ้าด้วยความสงสาร
“ไม่อยากจะเชื่อเลยนะครับว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้”
ไผ่พญารู้สึกผิด พูดไม่ออก
“แล้วทางคุณลุงกับเด็กๆ ว่าไงบ้างคะ”
“ที่รู้เรื่องเห็นจะมีแค่น้าพรรษากับม่านหมอกน่ะครับ เพราะม่านเมฆก็ยังเด็กเกินไป ส่วนคุณเผ่า...ทุกคนก็ไม่อยากให้แกทราบเรื่องนี้ เดี๋ยวอาการจะยิ่งแย่กว่าเดิม” ตะวันฉายระบายลมหายใจออกมา “คุณภูไม่น่าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นเลย”
ไผ่พญาแปลกใจที่ตะวันฉายพูดแบบนี้
“เรื่องอะไรคะ”
“ก็เรื่องผิดกฎหมายไงครับ”
“มันไม่ใช่อย่างที่คุณตะวันเข้าใจหรอกคะ”
ตะวันฉายได้ยินอย่างนั้นก็แปลกใจ
“คุณไผ่พูดเหมือนรู้อะไรบางอย่าง”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็รีบเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากให้ตะวันฉายรู้เรื่องอะไรมาก
“เอ่อ แล้วนี่คุณตะวันมาประชุมอีกเหรอคะ”
สีหน้าและแววตาของตะวันฉายเปลี่ยนไปก่อนที่ตะวันฉายจะยิ้มกลบความรู้สึกให้กับไผ่พญา
“ครับ” ไผ่พญาพยักหน้ารับรู้
“แล้วคุณตะวันจะอยู่กรุงเทพถึงเมื่อไหร่คะ”
“ตอนแรกผมว่าจะกลับเลยแหละครับ แต่พอทราบเรื่องหมอปลายฟ้ามันทำให้ผมคิดอะไรได้หลายอย่าง”
“อะไรเหรอคะ”
“คือ...ผมคิดว่าชีวิตคนเรามันสั้นนิดเดียว แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไหร่”
“แหม...คุณตะวันพูดซะจริงจังเลย”
ตะวันฉายมองหน้าไผ่พญา ตัดสินใจจะบอกความรู้สึก
“คุณไผ่ครับ”
“คะ”
“คือ...ผม”
ระหว่างที่ตะวันฉายกำลังจะบอกความในใจ เสียงมือถือของไผ่พญาก็ดังขึ้น
“อุ้ย...แป๊ปนึงนะคะ” ไผ่พญาหยิบมือถือขึ้นมาดู จึงเห็นว่าเป็นภูวนัยโทรมา ไผ่พญาตัดสินใจไม่รับ “สงสัยโทรผิดนะคะเบอร์ไม่คุ้นเลย เมื่อกี้คุณตะวันกำลังจะบอกอะไรฉันนะคะ” ตะวันฉายกำลังจะบอกกับไผ่พญา แต่แล้วไผ่พญาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเลือดกำเดาไหลออกมาจากจมูกของตะวันฉาย “ว้าย...คุณตะวันเลือดกำเดาไหลคะ”
ตะวันฉายเช็ดเลือด แล้วรู้ว่าตัวเองเป็นยังไงแต่กลับบอกกับไผ่พญาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อากาศคงจะร้อนมั้งคะ” ระหว่างนั้นตะวันฉายเกิดเจ็บจิ๊ดที่ศรีษะขึ้นมากะทันหัน “โอ๊ย”
ทันทีที่ตะวันฉายพูดจบตัวของตะวันฉายก็ทรุดฮวบหมดสติไป ไผ่พญาตกใจรีบเข้ามาประคอง
“ตะวัน...คุณตะวัน”
ภูวนัยกำลังเก็บมือถือ ขิงกับกระดังงาเข้ามาถามด้วยความอยากรู้
“ไผ่ไม่รับสายเหรอครับคุณภู”
ภูวนัยพยักหน้า และยิ่งเป็นห่วงไผ่พญา
“หรือว่าไผ่มันจะโดนพวกนั้นจับตัวไป”
ภูวนัยตัดสินใจก่อนจะหันมาบอกกับขิงและกระดังงา
“เธอสองคนรออยู่ที่นี่ ห้ามออกไปไหนเด็ดขาด ตอนนี้พวกมันคงพลิกแผ่นดินตามหาพวกเราอยู่”
“แล้วคุณภูละคะ”
“ผมจะออกไปตามหาไผ่เอง”
ภูวนัยพูดจบก็เดินออกไป ขิงกับกระดังงามองตามอย่างเป็นห่วง
ส่วนที่โรงแรมแห่งหนึ่ง พายัพ แม่เลี้ยงรัญญา เสี่ยแคน นายหัวคึกนั่งอยู่ภายในห้องส่วนตัว
“ไอ้วศินมันคิดว่ามันเป็นพ่อพวกเราหรือไง นึกอยากจะคุยก็เรียกมาปุ้ปปั้ปอย่างนี้”
เสี่ยแคนเดินเข้ามาก่อนจะนั่งลง
“พายัพ แกรู้หรือเปล่าว่ามันเรียกพวกเรามาทำอะไร”
พายัพกำลังดูดน้ำแตงโมปั่นอย่างชื่นใจ แล้วยิ้มออกมา
“ขำอะไรวะ”
“ผมไม่เข้าใจว่าทุกคนอยากจะรู้ในสิ่งที่กำลังจะรู้ทำไม ดูอย่างแม่เลี้ยงซิ ไม่เห็นแม่เลี้ยงจะเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรเลย”
“การที่ฉันไม่โวยวาย ไม่ได้หมายความว่าฉันไม่ได้รู้สึกอะไรนะพายัพ”
ระหว่างนั้นลูกน้องเปิดประตูเข้ามา ทั้งสี่เสือหันมองไปก็เห็นชาติกล้าเดินนำเข้ามา ก่อนจะเห็นวศินเดินตามเข้ามา ทั้งสี่เสือลุกขึ้นจะยืนต้อนรับ
“นั่งเถอะๆ คนกันเองทั้งนั้น” ทั้งสี่เสือนั่งลง “โทษทีที่มาช้าไปหน่อย คงไม่ทำให้สี่เสือหงุดหงิดนะ”
“ไม่หรอกครับ พวกเรากำลังคุยกันสนุกเลย”
“เหรอ เรื่องอะไรละ”
“พวกเรากำลังอยากรู้ว่าที่ท่านอยากเจอพวกเราด่วนอย่างนี้ มีเรื่องอะไร”
สีหน้าวศินเปลี่ยนจากใบหน้าที่ยิ้มกลายเป็นเครียดขึ้นมา
“แน่นอนมันต้องมีเรื่องแน่”
วศินมองไปที่สี่เสือ แล้วหันมองชาติกล้าให้ชาติกล้าเป็นคนเล่า ทั้งสี่เสือได้ยินอย่างนั้นสีหน้าแต่ละคนเริ่มเครียดขึ้นมาทันที ชาติกล้าเดินเข้ามายืนต่อหน้าทุกคน
“เมื่อคืนมีขโมยขึ้นบ้านท่าน”
ทั้งสี่เสือได้ยินอย่างนั้นก็หันมองหน้ากัน ก่อนที่จะหัวเราะออกมาทั้งหมด
“เฮ้ย! ผมก็นึกว่าเรื่องอะไร ที่แท้ท่านก็อยากมาเล่าเรื่องตลกให้พวกเราฟัง แค่นี้เหรอ”
“ตำรวจถูกโจรขึ้นบ้าน”
ชาติกล้าไม่รู้สึกอะไรกับการหัวเราะเชิงเสียดสีของสี่เสือ
“แล้วมันได้อะไรไป”
“เงินที่ทุกคนให้ท่านเอาไว้ไปลงทุนไง”
สี่เสือได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะไม่ออกทันที วศินเดินเข้ามา
“คนที่รู้ว่าอั้วมีเงินมากขนาดนั้นมีแค่ไม่กี่คน คนนึงก็ถูกรถระเบิดตายไปแล้ว ส่วนพวกที่เหลือ...ก็อยู่ในห้องนี้”
“ท่านกำลังสงสัยว่าพวกเราขโมยเงินท่านเหรอ”
“อั้วก็แค่ตั้งข้อสงสัย แต่ก็หวังว่าจะไม่ใช่พวกแก เพราะถ้าอั้วรู้ว่าเป็นฝีมือพวกลื้อละก็...”
วศินไม่พูดอะไร ได้แต่ตบบ่าพายัพเชิงขู่
“พวกเราคงไม่แกว่งเท้าหาเสี้ยนอย่างนั้นหรอกท่านวศิน”
“ถูกต้อง พวกเราจะเอาเงินท่านทำไม แต่จะว่าไป...ที่จริงแล้วน่าจะบอกว่าเป็นเงินของพวกเรามากกว่า”
“แหม...เพิ่งเคยได้ยินนายหัวพูดจาเข้าหูก็วันนี้เอง ถ้าอย่างนั้นเรามาคุยเรื่องที่อั้วนัดพวกลื้อมาวันนี้ดีกว่า ก็อย่างที่นายหัวพูดเมื่อกี้นั่นแหละ เงินที่หายไปเมื่อคืนถ้าพวกลื้อบอกว่ามันเป็นของพวกลื้อ พวกลื้อก็ต้องรับผิดชอบ”
สี่เสือได้ยินอย่างนั้นก็พอจะเดาได้ว่าวศินกำลังรีดเงิน
“นี่ท่านกำลังจะให้พวกเราจ่ายเหรอ”
“แน่นอน ก็มันเป็นเงินของพวกลื้อนี่ ทำตกใจไปได้พายัพ อั้วแค่ขอคนละร้อยล้านในวันพรุ่งนี้เอง”
ทั้งหมดได้ยินก็อึ้งไป นายหัวคึกอารมณ์พุ่งปรี้ด
“ไม่มากไปหน่อยเหรอ”
นายหัวคึกปรี่เข้ามาหาวศิน แต่แล้วทันใดนั้นชาติกล้าก็เบี่ยงออกมายืนประจันหน้ากับพวกสี่เสือ ทั้งสี่เสือเห็นชาติกล้าต่างก็สงบลง
“เอาน่า จำนวนเงินมันอาจจะเยอะไปซะหน่อย แต่ถือว่าครั้งนี้อั้วขอ”
วศินกับชาติกล้าใช้สายตากร้าวมองมาที่สี่เสือ สี่เสือต่างพยายามเก็บอารมณ์โกรธเอาไว้ในใจ
ส่วนที่โรงพยาบาล ไผ่พญากำลังตกใจเมื่อได้ยินที่หมอบอกอาการของตะวันฉาย
“คุณตะวันเป็นอะไรนะคะ”
“มะเร็งที่ปลายประสาทครับ”
ไผ่พญาถึงกับอึ้ง
“ไม่จริงหรอกคะ น่าจะมีอะไรผิดพลาดมั้งคะ”
“หมอก็อยากให้เป็นอย่างนั้นครับ แต่จากที่หมอเห็นเนื้อร้ายของคุณตะวันมันขยายกว่าเดือนที่แล้วมาก”
“เดือนที่แล้ว”
ไผ่พญารู้ทันทีว่าที่เธอเจอกับตะวันฉายคราวที่แล้วเพราะตะวันฉายมาหาหมอที่กรุงเทพฯนั่นเอง ไผ่พญาถึงกับไหล่ตกพิงเก้าอี้อย่างหมดแรง
“เอ่อ...เขาจะไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ”
หมอถอนหายใจอย่างหนักใจ ไผ่พญาเศร้าลุ้นรอฟังคำตอบ
ไผ่พญาเดินมาตามทางเดินก่อนจะคิดถึงคำพูดของหมอ
“ถ้ายังไม่ได้รับการผ่าตัด คุณตะวันฉายอาจจะอยู่ได้ไม่ถึงหกเดือน”
ไผ่พญาถึงกับหมดแรงทรุดลงนั่งกับเก้าอี้ที่อยู่ข้างทางเดิน
“ทำไมคนดีๆ อย่างคุณตะวัน ถึงต้องเจอเรื่องอย่างนี้ด้วย”
ระหว่างนั้นเสียงมือถือของไผ่พญาดังขึ้น ไผ่พญาหยิบขึ้นมาดูแล้วเห็นว่าเป็นภูวนัยโทรมา ไผ่พญาไม่รับสายเพราะตอนนี้เธอยังอยู่ในอารมณ์ที่ช็อคเรื่องตะวันฉายอยู่
ภูวนัยยืนอยู่ริมน้ำ กำลังรอการรับสายจากไผ่พญาอยู่ เมื่อเห็นว่าไผ่พญาไม่รับสายภูวนัยก็ยิ่งเป็นห่วง
“ไปไหนของเขานะ”
ภูวนัยครุ่นคิดด้วยความเป็นห่วงไผ่พญา
ไผ่พญาเดินมากับตะวันฉายตามทางเดินในโรงพยาบาล เสื้อของตะวันฉายยังมีรอยเลือดเปรอะเปื้อน
“นี่คุณจะไม่นอนโรงพยาบาลจริงๆ เหรอ”
“นอนทำไมครับ ก็ผมไม่ได้เป็นอะไรนี่”
ไผ่พญาชะงักไป ไม่อยากบอกเรื่องที่เธอรู้อาการป่วยของเขาจากหมอแล้ว
“แล้วคุณตะวันจะไปไหนต่อ อย่าบอกนะว่าจะกลับเลย”
“ครับ”
“เฮ้ย! ได้ไง เกิดขับรถอยู่แล้วเป็นลมล้มพับไปจะเป็นยังไง”
“คุณไผ่เป็นห่วงผมเหรอครับ”
“ก็ใช่ซิ ไป...ถ้าคุณตะวันไม่ยอมนอนโรงพยาบาล งั้นเดี๋ยวไปพักกับฉันก่อน” ตะวันฉายกำลังจะอ้าปากพูด แต่ไผ่พญากลับหักคอ “ถ้าจะพูด คุณตะวันพูดได้คำเดียวว่า...ครับ”
ตะวันฉายมองไผ่พญายิ่งหลงรัก
“ครับ” ตะวันฉายยิ้มรับ
“ดีมาก”
ไผ่พญาพูดจบก็เดินออกไป ตะวันฉายมองตามอย่างครุ่นคิด
ไผ่พญาเดินมาตามทาง ตะวันฉายเดินตามมาด้านหลัง ตะวันฉายมองไผ่พญาจากทางด้านหลังก่อนจะพูดขึ้น
“คุณไผ่รู้แล้วใช่มั้ยครับว่าผมเป็นอะไร”
ไผ่พญาชะงักก่อนจะพยายามทำให้ตะวันฉายสบายใจ
“คะ...คุณก็เป็นปศุสัตว์หนุ่มอนาคตไกลไง”
“แถมยังเป็นมะเร็งที่ปลายประสาทอีก” ไผ่พญาชะงักไป
“ทำไมคุณไม่บอกเรื่องนี้ตั้งแต่ที่เราเจอกันคราวที่แล้ว”
“ก็...ผมเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่ครับ”
“เป็นมะเร็งเนี่ยนะไม่ใช่เรื่องใหญ่”
ตะวันฉายพยายามเข้มแข็งยิ้มให้ไผ่พญา
“ครับ ผมว่าความตายเป็นสิ่งที่ต้องมาถึงพวกเราทุกคน ผมว่าผมโชคดีที่รู้วันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ แต่หลายคนๆ ไม่รู้เลยใช้ชีวิตด้วยความประมาท”
“โห...นี่คุณตะวันจะมองโลกในแง่ดีไปถึงไหนเนี่ย”
“ผมว่าเรื่องใหญ่ของผมก็คือการได้ทำในสิ่งที่อยากทำก่อนที่เราจะตายต่างหาก ที่จริงแล้วที่ผมมากรุงเทพฯคราวนี้ ผมตั้งใจมาหาคุณ”
ไผ่พญาได้ยินที่ตะวันฉายพูดก็แปลกใจ
“มาหาฉันเหรอคะ”
“ผมชอบคุณนะ”
ไผ่พญาได้ยินที่ตะวันฉายบอกอย่างนั้นก็ถึงกับทำหน้าไม่ถูก
“เอ่อ...คุณตะวันรู้สึกปวดหัวอะไรหรือเปล่า”
“คุณไผ่คงคิดว่าผมพูดเล่น แต่ผมชอบคุณไผ่จริงๆ นะครับ”
“เอ่อ”
ไผ่พญาถึงกับอึ้งไปไม่รู้จะตอบยังไง
ที่โรงแรม สี่เสือกำลังเครียดเรื่องเงินที่ต้องจ่ายให้กับวศิน
“เป็นไปได้มั้ยที่มันจะปล้นเงินตัวเอง เพื่อที่จะมีข้ออ้างเก็บเงินจากพวกเราเพิ่ม”
“ถูกของแม่เลี้ยง ฉันว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ”
เสี่ยแคนที่กำลังใช้ความคิดอย่างหนักกลับเห็นต่าง
“แต่ฉันว่าไม่น่าจะใช่ เพราะวศินมันต้องรู้ว่าการมาขอเงินเราเพิ่มอย่างนี้ มันน่าจะทำให้พวกเราไม่พอใจ” พายัพเห็นด้วยกับเสี่ยแคน
“ผมเห็นด้วยกับเสี่ย ถ้าเงินมันไม่โดนปล้นไปจริงๆ คนฉลาดอย่างมัน คงไม่เสี่ยงที่จะทำให้พวกเราไม่พอใจ”
นายหัวคึกได้ยินอย่างนั้นก็ลุกขึ้นโวย
“แล้วยังไง พวกเราต้องจ่ายให้มันหรือไง”
“หรือนายหัวมีวิธีอื่นละ”
นายหัวคึกปรี่เข้าไปกระชากคอพายัพ
“มึงไม่ต้องย้อนกู”
พายัพสบตานายหัวคึกอย่างไม่สะทกสะท้าน เสี่ยแคนต้องแทรกเข้ามากลางวง
“เฮ้ย! จะทะเลาะกันเองทำไม เอาเวลามานั่งแก้ปัญหาไม่ดีกว่าเหรอ”
นายหัวคึกสงบสติอารมณ์ก่อนจะผลักพายัพออกไป
“ปัญหา หึ...ฉันเพิ่งนึกออกว่าตั้งแต่ที่...” นายหัวคึกมองพายัพ “แกขึ้นมาแทนสมสุข มันก็เริ่มมีปัญหาตั้งแต่ตอนนั้น คิดผิดจริงๆ วะที่ให้แกขึ้นมาแทนสมสุข”
ทันทีที่นายหัวคึกพูดจบ พายัพก็ปรี้ดขึ้นทันที พายัพชักปืนออกมาก่อนจะล็อคคอนายหัวคึกแล้วจ่อปืนที่หัวนายหัวคึก
“พูดอีกซิ”
“หยุดเดี๋ยวนี้พายัพ”
“วางปืนลง”
เสี่ยแคนกับแม่เลี้ยงรัญญาต่างร้องห้ามพายัพ พายัพได้สติก็รีบปล่อยนายหัวคึก
“โทษทีนายหัว ผมไม่ค่อยชอบการเปรียบเทียบเท่าไหร่” นายหัวคึกมองพายัพด้วยความแค้นแต่อีกใจก็กลัวความบ้าเลือดของพายัพ “ผมว่ายิ่งเราคุยกันมันก็ยิ่งเพิ่มความเครียดให้เราทุกคน ทำไมเราไม่ไปตกลงกับไอ้วศินว่าถ้าเราจ่ายเงินก้อนนี้ให้มัน แล้วมันจะให้อะไรเราคืนมา”
ทั้งสามเสือได้ยินที่พายัพพูดต่างก็คิดตาม
“น่าสนใจ ฉันว่าทางออกนี่น่าจะดีที่สุด” เสี่ยแคนหันไปถามแม่เลี้ยงรัญญากับนายหัวคึก “แล้วแม่เลี้ยงกับนายหัวว่าไง”
“สรุปคือต้องจ่ายใช่มั้ย”
พายัพพยักหน้าแทนคำตอบ สร้างความเครียดกับสามเสืออย่างเห็นได้ชัด
คืนนั้นที่เซฟเฮาส์ภูวนัย ขิงกำลังนั่งนวดเท้าให้กับกระดังงา
“เออ...ตรงนั้นแหละ กดอีกๆ”
ขิงมองกระดังงาอย่างหมั่นไส้ก่อนจะกดไปที่ฝ่าเท้าเต็มแรง กระดังงาร้องขึ้นด้วยความเจ็บ โอ๊ย!
“แกแกล้งฉันเหรอไอ้ขิง”
ขิงยังไม่ทันตอบก็โดนกระดังงายันโครมตกเก้าอี้ ขิงค่อยๆ ลุกขึ้นมาแล้วใส่กลับ
“นี่ฉันผิดเหรอ ใครให้แกเดินตามหาไอ้ไผ่ละ โทรศัพท์มีทำไมไม่ใช้”
“ก็โทรหาแล้วมันไม่รับจะให้ทำไง พูดมากมานวดต่อ” ขิงหน้ามุ่ยเข้ามานั่งประจำที่ “ดีๆ ละ”
ระหว่างนั้นไผ่พญาเดินเข้ามาในบ้าน ขิงหันไปเห็นพอดี
“ไอ้ไผ่”
ขิงกับกระดังงารีบลุกเข้ามาหาไผ่พญา
“ไผ่ แกไปไหนมาเนี่ย”
ไผ่พญายังไม่ทันตอบ ตะวันฉายก็เดินตามเข้ามา ขิงกับกระดังงาหันไปเห็นก็แปลกใจ
“สวัสดีครับคุณขิงคุณงา”
“คุณตะวัน”
“ไผ่...นี่มันยังไงเนี่ย” กระดังงามองไปที่เสื้อผ้าของไผ่พญากับตะวันฉายแล้วเห็นเลือดเปื้อนอยู่ “แล้วนั่นเลือดใคร”
ไผ่พญากับตะวันฉายหันมองหน้ากันไม่รู้จะตอบยังไง ไผ่พญาเลยต้องโกหกอีกครั้ง
“อ๋อ ฉันบังเอิญไปเจอคุณตะวัน แล้วตอนนั้นมันก็มีพวกแก๊งค์เด็กแว้นขี่มอเตอร์ไซค์มา” ไผ่พญาทำท่า ทำเสียง “แป๊นนน! แล้วพวกมันก็เข้ามากระชากกระเป๋าฉัน ฉันไม่ยอมก็เลยยื้อๆๆ” ขิงกับกระดังงาทำท่ายื้อลุ้นไปกับการเล่าของไผ่พญา “คุณตะวันเห็นอย่างนั้นก็เลยเข้ามาซัดพวกมัน” ไผ่พญาทำท่าต่อย “ตูม! พวกมันเห็นว่าสู้คุณตะวันไม่ได้ก็เลยหนีไป”
“โห เพิ่งรู้นะครับว่าคุณตะวันเก่งขนาดนี้”
“ผมก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าผมเก่งขนาดนั้น”
ตะวันฉายลอบมองไผ่พญาแล้วอมยิ้มขำกับเรื่องที่ไผ่พญาเล่า
ระหว่างนั้นกระดังงานึกขึ้นมาได้เลยรีบบอกไผ่พญา
“นี่คุณภูเขามาหาแกด้วยนะ”
ตะวันฉายได้ยินอย่างนั้นก็แปลกใจ
“คุณภู” ไผ่พญารีบตัดบท
“นี่อย่าเพิ่งพูดเรื่องอื่น แกสองคนออกไปซื้อข้าวให้ฉันหน่อยซิ ฉันกับคุณตะวันยังไม่ได้กินอะไรเลย” ไผ่พญา หยิบเงินให้ แล้วทำตาเขียวสั่ง “ไปซิ”
ขิงกับกระดังงารับเงินมางงๆ ว่าไผ่พญาเป็นอะไร ก่อนจะพากันเดินออกไป ไผ่พญารู้ว่าตะวันฉายจะถามเรื่องภูวนัยก็เลยชิงออกคำสั่งก่อน
“เดี๋ยวคุณตะวันอาบน้ำแล้วเปลี่ยนเสื้อก่อนดีกว่าคะ เกิดมีคนมาเห็นเดี๋ยวฉันต้องโกหกว่าคุณตะวันเป็นซุปเปอร์แมนอีก เดี๋ยวฉันเอาเสื้อผ้าให้นะคะ”
ไผ่พญาเดินออกไป ตะวันฉายมองตามอย่างสงสัยเรื่องภูวนัย
ขิงกับกระดังงาเดินออกมาจากเซฟเฮาส์
“แกเชื่อเรื่องที่ไอ้ไผ่มันเล่าหรือเปล่า”
“ทำไม”
“เอ้า...อย่างแรกเลยนะ คนที่โทรหาไอ้ไผ่เมื่อตอนกลางวันคือคุณตะวัน เพราะฉะนั้นไอ้ไผ่กับคุณตะวันไม่ได้เจอกันโดยบังเอิญ”
“ก็จริงของแก แต่ที่ฉันแปลกใจที่ไอ้ไผ่มันดูเป็นห่วงคุณตะวันยังไงชอบกล แกว่ามั้ย”
“นั่นซิ หายไปทั้งวันพอกลับมาก็อิอะอิอะกัน”
“ถ้าอย่างนั้นฉันรู้แล้วว่าไอ้ไผ่กับคุณตะวันจะกินอะไรกัน” ขิงมองกระดังงาด้วยความสงสัย “สงสัยเราต้องซื้อข้าวใหม่...กับปลามันให้ไง”
“แหม มีมุขด้วยนะจ้ะ แม่น้ำพริกถ้วยเก่า”
กระดังงาหันขวับมาก่อนจะดึงหูขิง
“แกว่าใครเก่า...ห๊ะ”
กระดังงาดึงหูขิงเดินออกไป ไม่นานหลังจากที่ทั้งคู่เดินไปก็เห็นรถของภูวนัยขับเข้ามาจอด ภูวนัยเปิดประตูลงจากรถก่อนจะรีบเดินเข้าประตูรั้วไป
ไผ่พญาเดินออกมาจากห้องขิงกับกระดังงา ก่อนจะดูเสื้อที่หยิบมาด้วย
“ขอยืมหน่อยนะขิง ใหญ่ไปหรือเปล่าเนี่ย”
แล้วไผ่พญาก็เปิดประตูเข้าไปในห้องของตัวเอง จังหวะนั้นภูวนัยเดินเข้ามาในบ้านพอดี ภูวนัยมองไปรอบๆบ้านก่อนจะแปลกใจเมื่อไม่เห็นใคร
“ขิง...งา”
เงียบไม่มีเสียงตอบใดๆ ภูวนัยแปลกใจกำลังจะเดินออกไป แต่แล้วก็ได้ยินเสียงร้องของไผ่พญาดังขึ้น
“ว้าย”
ภูวนัยมองขึ้นไปข้างบนทันที
ไผ่พญาตกใจเพราะเห็นตะวันฉายถอดเสื้ออยู่ในห้อง ตะวันฉายเองก็พยายามเอาเสื้อปิด
“ขอโทษครับคุณไผ่”
“ไม่เป็นไรคะ” ไผ่พญายื่นเสื้อผ้าให้ “เดี๋ยวคุณตะวันใส่เสื้อผ้าของขิงก่อนแล้วกัน เอ่อ...ฉันวางไว้นี่นะคะ”
ไผ่พญาวางเสื้อผ้าของขิงเอาไว้ที่โต๊ะ และกำลังจะออกจากห้องจังหวะนั้นภูวนัยก็เปิดประตูเข้ามาในห้องพอดี
“ไผ่”
ภูวนัยอึ้งไปเมื่อเห็นไผ่พญาอยู่กับตะวันฉายภายในห้อง โดยที่ตะวันฉายถอดเสื้ออยู่
“คุณภู”
ภูวนัยมองตะวันฉายก่อนจะหันมองมาที่ไผ่พญาด้วยสายตาผิดหวัง
“โทษทีที่มาขัดจังหวะ”
ภูวนัยพูดจบก็รีบเดินออกไป ไผ่พญาถึงกับอึ้งเพราะรู้ว่าภูวนัยต้องคิดเป็นเรื่องบนเตียงแน่นอน ตะวันฉายเดินเข้ามาจะถามไผ่พญา
“ทำไมคุณภูถึงได้...”
ไผ่พญาที่นิ่งเหมือนกำลังตัดสินใจบางอย่างก็หันกลับมาบอกก่อนที่ตะวันฉายจะพูดจบ
“ขอโทษนะคะคุณตะวัน”
แล้วไผ่พญาก็รีบวิ่งตามภูวนัยออกไป ตะวันฉายมองตามรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน
ภูวนัยเดินออกมาจากประตูรั้วกำลังตรงไปที่รถ ไผ่พญาเดินตามมาพยายามเรียกเอาไว้
“เดี๋ยว” ภูวนัยไม่หยุด ไม่หัน ไม่มอง จนไผ่พญาต้องคว้ามือเอาไว้ “นี่”
ภูวนัยมองมือที่ไผ่พญาจับ
“ผมว่าคุณปล่อยมือผมดีกว่า เดี๋ยวคุณตะวันจะเข้าใจผิด”
“มันไม่ใช่อย่างที่นายคิดนะ”
“เหรอ...คิดอะไร ผมไม่ได้คิดอะไรเลย”
“ฉันรู้ว่านายคิด ไม่อย่างนั้นนายจะเดินหนีมาอย่างนี้เหรอ”
“ทำไม อย่าบอกนะว่าคุณคิดว่าผมหึงคุณ”
ไผ่พญาอึ้งไปกับท่าทางของภูวนัย
“นายไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไง”
“จะให้ผมรู้สึกอะไร...อ๋อ” ภูวนัยยื่นมือออกไปจะเช็คแฮนด์ “ดีใจด้วยนะ อย่างนี้ใช่มั้ยที่เธอต้องการ”
ไผ่พญามองมือของภูวนัย หัวใจเธอเจ็บปวดก่อนที่ไผ่พญาจะเดินผ่านภูวนัยกลับเข้าไปในบ้าน ภูวนัยสีหน้าเปลี่ยนเป็นเศร้าหลังจากที่ไผ่พญาจากไป
รถของภูวนัยจอดที่ริมถนน ภูวนัยฟุบหน้ากับพวงมาลัยรถก่อนจะยันตัวขึ้นพิงกับเบาะรถระบายลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ
“พูดอะไรออกไปวะเรา”
ระหว่างนั้นภูวนัยเหลือบไปเห็นหนุ่มสาวคู่รักคู่นึงเดินจับมือกันมาคุยกันอย่างมีความสุข ภูวนัยมองภาพนั้นก่อนจะพยายามแข็งใจ
“ดีแล้ว ต่อไปเธอจะได้มีชีวิตเหมือนคนปกติซะที”
ไผ่พญายืนครุ่นคิดถึงภูวนัยอยู่ที่สนามหญ้า ระหว่างนั้นตะวันฉายเดินเข้ามาด้านหลังก่อนจะมองไผ่พญาด้วยความเป็นห่วง
“คุณไผ่”
ไผ่พญาหันมาก็เห็นตะวันฉาย
“ยังไม่นอนอีกเหรอคะ”
“ครับ ผมเห็นคุณกับ...เอ่อ...คุณภู”
“ขอโทษนะคะคุณตะวัน ตอนนี้ฉันยังไม่พร้อมที่จะคุย”
ตะวันฉายได้ยินอย่างนั้นก็เข้าใจ
“ครับ ถ้างั้นอย่ายืนตากน้ำค้างนานนะครับ เดี๋ยวจะไม่สบาย”
ตะวันฉายยิ้มให้ก่อนจะเดินออกไป ไผ่พญามองตะวันฉายด้วยความรู้สึกผิดเช่นกัน
อ่านต่อหน้า 3
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 15 (ต่อ)
ที่บ้านพายัพคืนเดียวกันนั้น พายัพกำลังรินไวน์ใส่แก้ว ระหว่างนั้นเสียงของชาติกล้าดังขึ้น
“ตกลงแกมีเรื่องอะไรกันแน่พายัพ”
ชาติกล้ายืนอยู่ พายัพยิ้มมุมปาก
“อะไร เดี๋ยวนี้ทำตัวห่างเหินนะ เพื่อนจะเจอเพื่อนหน่อยไม่ได้หรือไง”
“ถ้าแกคิดว่าฉันสามารถคุยกับท่านวศินให้ยกเลิกเรื่องเมื่อเช้าได้ละก็...”
“ฉันอยากให้พวกมันจ่ายใจจะขาด” ชาติกล้าได้ยินอย่างนั้นก็แปลกใจกับท่าทีของพายัพ “แกคิดว่าไอ้วศินมันจะได้เงินจากพวกฉันมั้ย”
พายัพพูดจบแล้วหยิบปืนลูกโม่ขึ้นมาวางตรงหน้าพร้อมกระสุนปืนหนึ่งนัด ชาติกล้าเหล่มองพายัพอย่างระวังตัว
“แกก็รู้ว่าไม่ควรขัดใจท่าน”
“ฉันก็คิดอย่างนั้นแหละ” พายัพยกแก้วไวน์ขึ้น “ที่ฉันเรียกแกมา เพราะอยากฉลองล่วงหน้าต่างหาก ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่ฉันคิดมันจะมาถึงเร็วขนาดนี้”
“แกจะทำอะไร”
พายัพไม่ตอบแต่หันไปหยิบปืนขึ้นมาก่อนจะใส่ลูกปืน แล้วปั่นลูกโม่จนหมุนติ้ว
“สิ่งที่ฉันจะทำวันพรุ่งนี้ มันไม่ต่างอะไรกับการเล่นรัสเซียนรูเล็ต” แล้วพายัพก็เอาปืนจ่อขมับตัวเองก่อนจะเหนี่ยวไก เสียงดัง คลิ๊ก! ชาติกล้ามองพายัพนิ่ง พายัพวางปืนลง “รู้มั้ยก่อนที่แกจะมา ฉันทำอย่างนี้เป็นสิบครั้ง แต่ฉันก็ยังอยู่ มันเลยทำให้ฉันมั่นใจว่าตอนนี้ฟ้าต้องการให้ฉันครอบครองทุกอย่าง...ดื่ม”
พายัพยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มอย่างมีความสุข ชาติกล้าเหล่มองพายัพด้วยความสงสัยว่าพายัพจะทำอะไร
เช้าวันรุ่งขึ้นที่สนามหญ้าหน้าเซฟเฮาส์ สมสุขเดินเล่นอยู่ที่ริมรั้วมีตำรวจนอกเครื่องแบบเดินตามไม่ห่าง สมสุขมองไปที่ริมรั้วต่างๆ เหมือนกำลังหาช่องทางบางอย่างก่อนที่สมสุขจะก้มมองกำไลอิเลคโทนิคที่ติดอยู่ที่ข้อเท้า
“นี่คุณตำรวจ ถ้าผมยื่นเท้าออกไปข้างนอกจะเป็นยังไง”
ระหว่างนั้นเสียงอภิวัฒน์ดังขึ้น
“หน่วยอรินทราชก็จะยกกำลังมาปิดล้อมที่นี่ก่อนจะระดมยิงใส่นายด้วยกระสุนนับร้อย”
สมสุขหันไปก็เห็นอภิวัฒน์เดินเข้ามา
“แหม...ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“อยากลองดูก็เชิญ”
“ผมมันไม่ชอบลอง ทำอะไรก็ทำจริงๆ ไปเลย ท่านก็เคยเห็นแล้วนี่”
“ฉันรู้ว่านายฉลาด แต่ฉันลืมบอกไปว่าถึงนายจะหนีออกไปจากที่นี่ได้ รอดตายจากหน่วยอรินทราช แต่ยังไงนายก็อยู่ข้างนอกนั่นไม่ได้นานหรอก”
“ดูเหมือนท่านจะมีแผนสำรองเยอะนะครับ”
“ไม่หรอก ที่ฉันมั่นใจว่านายไม่รอดเพราะทั้งวศินกับสี่เสือที่เหลือ ถ้ารู้ว่านายยังอยู่คงไม่เก็บนายไว้แน่”
สมสุขไม่พูดอะไร เพียงแต่ยิ้มเหมือนมีแผนบางอย่างในหัว ระหว่างนั้นสมสุขเหลือบไปเห็นภูวนัยกำลังวิ่งออกกำลังกายอยู่ สมสุขโบกมือเรียกอย่างสนิทสนม
“วู้...หมวด...ทางนี้” ภูวนัยวิ่งมาหยุดที่หน้าบ้านพอดี ก่อนจะหันไปเห็นอภิวัฒน์อยู่กับสมสุข สมสุขเดินเข้ามา อภิวัฒน์เดินตาม “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะหมวด”
“ฉันไม่ได้อยากเจอ”
“อ้าวเหรอ แหม...ผมก็พูดไปตามมารยาทนั่นแหละ เพราะคนที่ผมอยากเจอจริงๆ คือน้องไผ่มากกว่า ตกลงหมวดถามให้ผมหรือยังว่าใครเป็นคนยิงผมคืนนั้น”
“ถ้านายยังไม่เลิกถามเซ้าซี้ ฉันจะเป็นคนยิงนายอีกที”
สมสุขสังเกตท่าทางของภูวนัย
“แหม...นี่งอนอะไรกันกับน้องไผ่หรือเปล่าหมวด” สมสุขหันไปพูดกับอภิวัฒน์ “ท่านครับ หมวดภูเขาไม่สนใจคดีผมอย่างนี้ ผมขออนุญาตไปถามน้องไผ่เองได้มั้ยครับ” สมสุขหันมายั่วภูวนัย “รับรองว่าผมจะถามทุกซอกทุกมุมทั้งวันทั้งคืน ไม่ให้น้องไผ่เขาได้พักเลย”
ภูวนัยเข้าไปกระชากคอเสื้อสมสุข อภิวัฒน์เข้ามาห้าม
“หมดเวลาของนายแล้วสมสุข” อภิวัฒน์หันไปบอกตำรวจติดตาม “พาตัวขึ้นไป” สมสุขยิ้มกวนให้ภูวนัยก่อนจะเดินผิวปากขึ้นไปอย่างสบายอารมณ์ อภิวัฒน์หันมาบอกกับภูวนัย “หมวด...ผมอยากให้หมวดเป็นคนดูแลคุณไผ่พญา”
“แต่ตอนนี้เธอมีคนดูแลอยู่แล้ว คงไม่เป็นไรหรอกครับ”
“คุณไผ่พญาเป็นพยานและเป็นคนที่สำคัญกับทีมเรามาก ผมไม่รู้ว่าหมวดมีปัญหาอะไรกับเธอหรือเปล่า แต่ผมอยากให้หมวดแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว”
ภูวนัยได้ยินอภิวัฒน์พูดอย่างนั้นก็หนักใจ
ไผ่พญา ขิง กระดังงา ตะวันฉายกำลังนั่งกินข้าวกัน ขิงกับกระดังงาเหล่มองไผ่พญากับตะวันฉาย
“แล้วคุณตะวันลางานมาอย่างนี้ ไม่โดนว่าเหรอครับ”
“ไม่หรอกครับ ผมว่าผมกำลังจะทำเรื่องลาออกอยู่พอดี”
ทุกคนได้ยินก็ตกใจ
“ทำไมละคะ”
“พอดีคุณพ่อคุณแม่ผม ท่านอยากให้ผมรับช่วงต่อธุรกิจที่บ้าน แล้วอีกอย่างผมก็มีเรื่องที่ผมอยากจะทำด้วยครับ”
ไผ่พญาเหลือบมองตะวันฉาย ตะวันฉายมองมาก็เห็นไผ่พญาหลบตาไป ตะวันฉายตักปลาทูให้กับไผ่พญา
“อุ้ย คุณตะวันทานเถอะคะ”
“ไม่ชอบทานปลาเหรอครับ”
“เอ่อ...คะ ก้างมันเยอะฉันกลัวติดคอ”
ขิงกับกระดังงาถึงกับสะดุ้ง
“ก้างปลาหรือก้างขวางคอจ้ะไผ่” ไผ่พญามองกระดังงาตาขวาง ระหว่างนั้นตะวันฉายตักเนื้อปลาทูใส่จานไผ่พญาอีกครั้ง
“ผมแกะก้างออกให้แล้วครับ”
ขิงกับกระดังงาถึงกับตาร้อนผ่าวๆ
“แหม...คุณตะวันนี่เป็นสุภาพบุรุษจริงๆ นะคะ นี่ถ้าเป็นไอ้ขิงคงจะให้ฉันกินก้างส่วนมันกินเนื้อ”
“อ้าว เคยมีดีอะไรกับเขามั้งมั้ยเนี่ย”
ระหว่างนั้นตะวันฉายมีเลือดกำเดาไหลออกมาทางจมูก ไผ่พญาเห็นก็ตกใจ
“คุณตะวัน”
ทุกคนมองไปที่ตะวันฉายแล้วก็เห็นตะวันฉายเลือดกำเดาไหล ตะวันฉายคลำแล้วก็เห็นเลือด
“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมเป็นคนร้อนในง่าย เอ่อ...ขอตัวก่อนนะครับ”
ตะวันฉายรีบลุกออกไป ไผ่พญาจะลุกตามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันไปดูเอง”
ขิงบอกแล้วตามตะวันฉายออกไป ไผ่พญามองตามอย่างเป็นห่วง
ภูวนัยเปิดประตูบ้านแล้วเดินเข้ามาตามทางเดิน ภูวนัยเดินเข้ามาในบ้านกำลังจะถึงประตู ระหว่างนั้นได้ยินเสียงกระดังงาดังออกมาจากประตูซึ่งไผ่พญานั่งคุยกับกระดังงา กระดังงาถามไผ่พญาด้วยความอยากรู้
“ไผ่...แกบอกฉันมาเดี๋ยวนี้ว่าแกกับคุณกิ๊กกันใช่มั้ย”
ภูวนัยชะงักหยุดเดินแล้วหยุดยืนฟังอยู่ที่หน้าประตู
“อะไรของแก”
“อย่ามาปากแข็ง ฉันเห็นที่แกทำให้คุณตะวันแล้วคุณตะวันก็ทำให้แกฉันว่าแกสองคนต้องกิ๊กกันแน่ๆ แกชอบคุณตะวันใช่มั้ย”
ภูวนัยรอฟังคำตอบ
“ไม่รู้ซิ คุณตะวันเขาก็เป็นคนดี” ภูวนัยเศร้าลง “แล้วฉันก็คิดว่าถ้าฉันเป็นแฟนกับเขาจริงๆ เขาก็คงดูแลฉันได้”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกใจหายวาบตัวชาไปทั้งตัว ภูวนัยก้มหน้ารับรู้ความรู้สึกของไผ่พญาก่อนจะก้มหน้าเดินออกไป ขณะที่กระดังงาซักไซ้ไผ่พญาต่อ
“ก็ดีแล้วนี่ แล้วทำไมไม่เห็นแกดีใจเลย”
“เพราะฉันไม่ได้ชอบเขา”
ไผ่พญาพูดแล้วนึกไปถึงภูวนัย
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่บ้านแม่เลี้ยงรัญญา ลูกน้องของแม่เลี้ยงรัญญาพาพายัพเดินเข้ามาภายในบ้าน
“รอซักครู่นะครับ เดี๋ยวผมไปตามแม่เลี้ยงให้”
พายัพพยักหน้า ลูกน้องเดินจากไป พายัพเดินดูบรรยากาศรอบๆ บ้าน ระหว่างนั้นแม่เลี้ยงรัญญาเดินเข้ามาพร้อมกับลูกน้อง
“แหม...นี่มาเก็บเงินฉันเป็นคนแรกเลยเหรอพายัพ”
“ก็ตามคิวเหมือนทุกครั้งนั่นแหละแม่เลี้ยง”
แม่เลี้ยงรัญญายิ้มมุมปากก่อนจะเดินมานั่ง
“ส่วนของแม่เลี้ยงเรียบร้อยมั้ยครับ”
“ไม่” พายัพชะงัก “ฉันว่าฉันจะไม่จ่าย”
พายัพได้ยินอย่างนั้นก็เห็นสีหน้าของพายัพเปลี่ยนไป
“ไม่จ่าย...ก็เราตกลงกันแล้วนี่”
ระหว่างนั้นเสียงนายหัวคึกดังขึ้น
“พวกฉันก็ไม่จ่าย”
พายัพมองไปตามเสียงแล้วก็เห็นนายหัวคึกกับเสี่ยแคนเดินออกมาจากมุมหนึ่งของบ้าน เหมือนว่าทั้งหมดได้คุยกันก่อนหน้านั้นก่อนที่พายัพจะมา
“พายัพ พวกเราคิดกันแล้วบางทีการจ่ายให้คนใหม่ที่ขึ้นมาแทนวศิน เราน่าจะจ่ายน้อยกว่า”
“เสี่ยหมายความว่าไง”
“ฉันว่าเราเก็บเงินสี่ร้อยล้านเอาไว้ไม่ดีกว่าเหรอ แล้วก็เอาเงินแค่หมื่นสองหมื่นไปจ้างพวกมือปืนมูเซอชาวเขาดีกว่า”
พายัพได้ยินอย่างนั้นก็รู้ทันทีว่าทั้งสามเสือคิดอะไร
“พวกเราจะฆ่ามัน แกว่าไงพายัพ”
พายัพมองทั้งสามเสือ
“ผมจะว่าอะไรได้ ผมมันเป็นน้องเล็ก พวกพี่ๆ ว่าไงก็ว่าตามกัน”
แม่เลี้ยงรัญญา เสี่ยแคนและนายหัวคึกสีหน้าเหี้ยมเอาจริงกันทุกคน
พายัพครุ่นคิดแผนในหัวก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
ไผ่พญากำลังตากผ้าอยู่ที่สนามหญ้า ตะวันฉายเอื้อมมือมาหยิบผ้าขึ้นมาจะช่วย ไผ่พญาหันมาพอเห็นตะวันฉายก็ตกใจ
“คุณตะวัน”
“ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วยครับ”
“เอ้า...ก็คุณตะวันไม่สบาย ออกมาตากแดดอย่างนี้เดี๋ยวก็เป็นอะไรอีกหรอก”
“ผมแค่เป็นมะเร็ง ไม่ได้พิการนะครับ...ผมช่วยนะ” ตะวันฉายหันไปตากผ้าช่วยไผ่พญา ไผ่พญามองด้วยความเป็นห่วง ตะวันฉายหันมาถามไผ่พญา “เพราะอย่างนี้ใช่มั้ยครับ คุณไผ่ถึงได้บอกว่าคุณภูไม่ใช่คนร้าย”
“หื๊อ”
“ครูขิงกับครูงา เล่าให้ผมฟังหมดแล้วครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ยังไม่หมดหรอกคะ” ตะวันฉายทำหน้าแปลกใจ “ฉันเป็นโคโยตี้” ตะวันฉายได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไป “รู้อย่างนี้แล้ว คุณตะวันยังจะชอบฉันอยู่หรือเปล่า”
ตะวันฉายตอบแบบไม่ต้องคิด
“ถึงคุณจะเป็นอะไร แต่ถ้าคุณยังเป็นคุณไผ่พญาคนที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้ผมก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจ”
ไผ่พญาชะงักอึ้งไป
“คุณตะวันนี่เป็นคนดีจริงๆ นะคะ”
ตะวันฉายรวบรวมความกล้าถามออกไป
“แล้วคุณไผ่จะให้คำตอบผมได้หรือยังครับ”
“ขอเวลาฉันหน่อยนะคะ แล้วฉันจะบอกคุณ”
ตะวันฉายยิ้มให้ไผ่พญาเพื่อไม่ให้ไผ่พญากดดันเกินไป
ตะวันฉายเดินเข้ามาในบ้าน ขิงเดินปรี่เข้ามาลากตะวันฉายทันที
“ว่างมั้ยครับคุณตะวัน ต้องว่างอยู่แล้ว”
“มีอะไรเหรอครับ”
“มาเล่นหมากฮอสกับผมหน่อย เล่นกับผู้หญิงมันไม่ได้อรรถรสเลย”
“โห...เล่นแพ้แล้วก็บอกว่าไม่ได้อรรถรส สู้ไม่ได้ก็ยอมรับดีกว่า” กระดังงาบอกอย่างรู้ทัน
“ใครสู้ไม่ได้ ฉันแค่ไม่อยากชนะต่างหาก นี่เดี๋ยวดูฝีมือที่แท้จริง มาเลยคุณตะวันขอแบบเต็มมือไม่ต้องยั้ง”
ไผ่พญายืนอยู่นอกบ้าน มองดูตะวันฉายกำลังเล่นอยู่กับขิงและกระดังงาแล้วคิดถึงภูวนัย
อีกด้านหนึ่งที่บ้านวศิน วศินกำลังคุยโทรศัพท์ด้วยท่าทางอารมณ์ดีอยู่ภายในสวน ชาติกล้ายืนห่างออกไปทางด้านหลัง
“แหม...ใครจะยอมปล่อยให้โปรเจ็คต์อย่างนี้หลุดมือละท่าน เย็นนี้แน่นอนท่านซาหม่องส่งคนมารับเงินได้เลย”
วศินวางสายไปแล้วหันมาถามชาติกล้าด้วยสีหน้าเครียดทันที “ไอ้พายัพติดต่อมาหรือยัง”
“ยังเลยครับ”
“อะไรของมันวะ ท่าทางจะอั้วต้องเตือนความจำมันหน่อย”
วศินกำลังจะกดโทรศัพท์ แม่บ้านก็เดินเข้ามา
“ท่านคะ”
“มีอะไร”
วศินเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงาน ชาติกล้าเดินตามเข้ามา
“ไว้ใจแกได้จริงๆ นะพายัพ”
วศินยิ้มกว้างทักพายัพที่นั่งอยู่ภายในห้องทำงาน พายัพลุกขึ้นยิ้มให้วศิน
“ขอโทษที่มาช้าไปหน่อย”
“ไม่เป็นไร จะช้าจะเร็วไม่สำคัญ...สำคัญที่ว่า...” วศินมองไปรอบๆ “ตอนนี้อั้วอยากเห็นเงินสี่ร้อยล้านแล้ว”
พายัพยิ้ม “ยิ้มอะไร เงินอยู่ไหนพายัพ”
พายัพนั่งลงไขว้ห้างแล้วพูดขึ้นเหมือนไม่มีอะไร
“พวกมันไม่ให้”
“อะไรนะ นี่พวกมันกล้าแข็งข้อกับอั้วเหรอ”
“ไม่ใช่แค่นั้นซิครับ” วศินกับชาติกล้าสงสัยว่ามีอะไรอีก “พวกมันอยากให้ท่านตายด้วย”
วศินได้ยินอย่างนั้นถึงกับทุบโต๊ะด้วยความโกรธ
“โธ่เว้ย”
ชาติกล้าเดินเข้ามาหาพายัพ แล้วถามด้วยความอยากรู้
“แล้วแกเอาเรื่องนี้มาบอกท่านทำไม ไม่เอาด้วยกับพวกมันหรือไง”
“ผมรู้สึกว่าประเทศนี้ มีเสือเพียงตัวเดียวก็พอครับ” วศินหันมองพายัพรู้ความหมายที่พายัพบอก “ถ้าท่านตกลง ผมจะรับผิดชอบเงินสี่ร้อยล้านให้ท่านเอง”
วศินมองพายัพที่ยิ้มอย่างเหนือชั้น ชาติกล้าหรี่ตามองพายัพรู้แล้วว่าพายัพต้องการทำอะไร
พายัพเดินมาตามทางเดิน แต่แล้วพายัพก็ต้องชะงักเมื่อเห็นชาติกล้าเดินออกมาจากมุม
“มีอะไร”
“นี่ใช่มั้ยที่แกบอกกับฉันเมื่อคืน”
“ถึงมันจะผิดคาดไปหน่อย แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม”
“แกคิดว่าพวกสามเสือจะยอมจ่ายเงิน แล้วแกก็จะเก็บเงินพวกนั้นไว้เอง พอหลังจากที่แกได้เงินแล้วแกก็จะมาปั่นหัวให้ท่านวศินลงมือจัดการกับสามเสือนั่น”
“แหม...สมกับที่คบหาดูใจกันมานาน บอกแล้วไงว่าประเทศนี้มีเสือแค่เพียงตัวเดียวก็พอ”
“แต่เสือก็ยังเป็นเสือ ถ้าแกคิดว่าจะจัดการกับสามเสือพวกนั้นได้ง่ายๆ ละก็ฉันว่าแกคิดผิดไปหน่อย”
พายัพยิ้มก่อนจะเดินมาตบไหล่ชาติกล้า
“นั่นน่ะซิ ฉันถึงต้องให้นายพรานมือฉมังอย่างแกล่าพวกมันไง ฉันทำในส่วนของฉันแล้ว ตอนนี้เป้าหมายเราจะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่ที่แกแล้วนะพ่อนายพราน”
พายัพเดินออกไป ชาติกล้ามองตามแววตาของชาติกล้าฉายความอำมหิตขึ้นมา
อภิวัฒน์กำลังนั่งทำงานอยู่ภายในห้อง ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้นภูวนัยเปิดประตูเข้ามา
“เข้ามาซิหมวด” ภูวนัยเดินเข้ามาด้วยสีหน้าจริงจัง อภิวัฒน์เห็นอย่างนั้นก็ทักขึ้น “มีอะไรหรือเปล่า”
“ผมจะมาขอลาออกครับ”
“ลาออก...มีเหตุผลมั้ย”
“ผมอยากจะทำงานคนเดียวครับ”
“ทำอย่างนั้นนี่ ไม่ต่างจากการฆ่าตัวตายเลยนะ” ภูวนัยรู้ว่าเป็นอย่างที่อภิวัฒน์พูด “หรือหมวดต้องการทำอย่างนั้นจริงๆ”
“เอ่อ...ไม่ใช่ครับ ผมรู้สึกว่าถ้าผมทำคนเดียวน่าจะจัดการพวกนั้นได้เร็วกว่า”
“หมวด การตัดต้นไม้น่ะง่าย แต่การโค่นต้นไม้ยากกว่ากันหลายเท่านะ สิ่งที่เรากำลังทำกันอยู่คือการโค่นต้นไม้ที่ต้องขุดรากถอนโคน ไม่อย่างนั้นมันก็จะมีคนแบบวศินขึ้นมาอีกเรื่อยๆ” ภูวนัยกำลังจะพูด แต่เสียงมือถือของอภิวัฒน์ดังขึ้น อภิวัฒน์มองเบอร์ก่อนจะรับสาย “ว่าไง” อภิวัฒน์ฟังแล้วสีหน้าเครียดลง “อย่างนั้นเหรอ...อืม...เข้าใจละ...ขอบใจมากที่โทรมาบอก”
อภิวัฒน์วางสายด้วยสีหน้าหนักใจ
“มีอะไรเหรอครับ”
“พรรคพวกผมที่เป็นกก.ตร.โทรมาบอกว่า วศินอาจจะได้ขึ้นเป็นรอง” ภูวนัยถึงกับอึ้ง
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องรีบทำทุกอย่างก่อนที่วศินมันจะได้ตำแหน่ง” อภิวัฒน์พยักหน้า “ท่านอนุมัติคำขอของผมเถอะครับ ผมจะจัดการเรื่องนี้เอง”
“ไม่ได้ ยิ่งสถานการณ์เป็นอย่างนี้ เราก็ยิ่งต้องการหมวด ตอนนี้ทุกตาที่เราเดินต้องระวังยิ่งกว่าเดิม”
“แต่ท่านครับ...”
ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา”
ตำรวจนอกเครื่องแบบเปิดประตูเข้ามา
“ขออนุญาตครับ มีคนมาขอพบหมวดภูครับ”
ภูวนัยสงสัยว่าเป็นใคร
ไผ่พญายืนอยู่ที่สวนของเซฟเฮาส์อภิวัฒน์ ภูวนัยเดินเข้ามาทางด้านหลัง
“มีอะไร”
ไผ่พญาได้ยินเสียงภูวนัยก็หันไป
“เอ่อ...ฉันมากวนนายหรือเปล่า”
“ไม่หรอก มีอะไร”
“ฉันจะมาบอกเรื่องฉันกับคุณตะวันที่นายเห็นวันนั้น”
“เลิกยุ่งกับผมซะที” ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับอึ้งไป ภูวนัยเดินเข้ามาจ้องหน้าไผ่พญา “คุณจะอะไรกับใครยังไง ทำไมต้องมาบอกผม ผมจะบอกคุณอีกแค่ครั้งเดียว อย่ามาที่นี่อีก”
ภูวนัยผลักไผ่พญาออก แล้วหันหลังเดินเข้าบ้าน ระหว่างนั้นเสียงไผ่พญาดังขึ้น
“นายชอบฉันหรือเปล่า”
ภูวนัยได้ยินคำถามของไผ่พญาถึงกับชะงักไปก่อนจะหันกลับมา
“ถามฉันทำไม”
“เพราะฉันกำลังจะให้คำตอบคุณตะวัน...คุณตะวันเขาบอกว่าชอบฉัน” ไผ่พญาตัดสินใจบอก
ภูวนัยอึ้งไปรู้สึกถึงหัวใจที่กระเพื่อนแรง แต่ภูวนัยกลับบอกว่า
“ก็ดีแล้วนี่ หมดเรื่องแล้วใช่มั้ย”
ภูวนัยจะเดินต่อ ไผ่พญาเสียใจกับคำพูดของภูวนัย
“นายไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไง” ภูวนัยชะงัก “เราผ่านความยากลำบาก ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน สิ่งเหล่านั้นมันไม่ได้ทำให้นายรู้สึกอะไรเลยเหรอไง”
“คุณคิดว่ามันจะเหมือนกับในละครที่พระเอกนางเอกหนีผู้ร้ายแล้วพอรอดมาได้ก็เลยทำให้รักกัน”
“ถ้าอย่างนั้น มันไม่มีค่าอะไรกับนายเลยใช่มั้ย”
ภูวนัยกลั้นใจตอบ
“ใช่...แล้วฉันเองก็รู้ว่าเธอไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น” ไผ่พญาไม่เข้าใจว่าภูวนัยจะพูดอะไร “เพราะโคโยตี้อย่างเธอน่าจะเจอผู้ชายมาหลายคน ฉันไม่คิดว่าเรื่องแค่นี้คงไม่ทำให้เธออ่อนไหวชอบฉันหรอกนะ”
ทันทีที่ภูวนัยพูดจบไผ่พญาก็ตบหน้าภูวนัย เผียะ!
ภูวนัยหันกลับมาแล้วอึ้งไปเมื่อเห็นน้ำตาของไผ่พญาคลอเบ้า ไผ่พญาเดินจากมาด้วยความเสียใจภูวนัยเองก็แทบใจสลายเมื่อได้ทำให้ผู้หญิงที่ตนรักต้องเสียใจ
ไผ่พญาเดินออกมาจากเซฟเฮาส์อภิวัฒน์ ทันทีที่พ้นประตูมาจนไม่เห็นภูวนัยแล้วไผ่พญาก็ปล่อยความเสียใจออกมากับน้ำตาทันที
วศินกำลังวิ่งออกกำลังอยู่ที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งที่มีคนมาวิ่งออกกำลังกันพอสมควร ชาติกล้าวิ่งตามมาอารักขาทางด้านหลังไม่ห่าง ระหว่างนั้นมีชายคนนึงนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่ม้านั่งข้างทาง ชายคนนั้นเหลือบมองไปก็เห็นวศินกำลังวิ่งมาอีกไม่ไกล ชายคนนั้นค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบถุงกระดาษที่วางอยู่ข้างๆ ก่อนจะเอามาวางไว้กับตัว แล้วหยิบปืนออกมาเตรียมพร้อม
ชาติกล้าที่วิ่งตามด้านหลังวศินมามองไปที่ชายคนนั้นที่นั่งอยู่ แล้วเห็นสายตาของชายคนนั้นจับจ้องมาที่วศินไม่วางตาทำให้ชาติกล้ารู้ได้ทันทีว่าต้องมีอะไรผิดปกติ วศินวิ่งเข้ามาใกล้ม้านั่งที่ชายคนนั้นนั่งอยู่ ทันใดนั้นชายคนนั้นก็ลุกขึ้นพร้อมกับวาดปืนเล็งมาที่วศิน
“เฮ้ย”
แต่กระสุนย่อมเร็วกว่าคน วศินโดนยิงจนล้มลงทันที ผู้คนที่วิ่งออกกำลังต่างร้องด้วยความตกใจวิ่งหนีกันวุ่นวาย ชาติกล้าหยิบปืนออกมาจะยิงสวนแต่เพราะคนวิ่งบังทางปืนจนวุ่นวายจึงยิงไม่ได้ ชาติกล้าหันมาประคองวศิน
“ท่าน...ท่านวศิน”
ภูวนัยกำลังนั่งคิดถึงภาพที่ไผ่พญาต้องร้องไห้ ภูวนัยเอามือจับแก้มที่โดนไผ่พญาตบด้วยความรู้สึกผิด ระหว่างนั้นอภิวัฒน์เดินเข้ามาด้านหลัง
“หมวดภู”
ภูวนัยหลุดจากภวังค์ก่อนจะหันมาเห็นอภิวัฒน์เดินสีหน้าเครียดเข้ามา
“ครับท่าน”
“ผมเพิ่งได้รับรายงานว่าวศินถูกยิง”
“ว่าไงนะครับ”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป
มุมหนึ่งของโรงพยาบาลถูกจัดไว้เป็นที่สำหรับแถลงข่าว นักข่าวหลายสำนักนั่งรอกันอยู่เต็มไปหมด ชาติกล้าเดินเข้ามาพร้อมกับตำรวจติดตาม 2- 3นาย ชาติกล้านั่งลงแล้วเริ่มแถลงถึงอาการของวศิน
“ตอนนี้อาการของท่านวศิน ได้พ้นขีดอันตรายแล้ว ขอให้ทุกท่านสบายใจได้”
“พอจะระบุคนที่ยิงท่านวศินได้หรือยังครับ”
“เบื้องต้น เราพอจะรู้แล้วว่าคนที่ลงมือเป็นมือปืนรับจ้างที่อยู่ในซุ่มของผู้มีอิทธิพลคนนึง ซึ่งจะเป็นเจ้าพ่อคนไหน ตอนนี้เรายังเปิดเผยไม่ได้”
“แล้วมูลเหตุละครับ”
“คงเป็นเพราะการทำหน้าที่ของท่านวศินที่กำลังผลักดันนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลครับ จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้เราตัดสินใจที่จะดำเนินนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลอย่างจริงจัง” นักข่าวทั้งหลายต่างเงียบไปเพราะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ตึงเครียด “ก่อนที่จะปิดการแถลงข่าว ท่านวศินได้ฝากคำพูดมาบอกกับทุกคนว่า ท่านจะไม่ยอมให้ประเทศไทยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลมืดอีกต่อไป”
ชาติกล้าพูดด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว
อ่านต่อหน้า 4
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 15 (ต่อ)
อภิวัฒน์นั่งดูการแถลงข่าวอยู่ที่เซฟเฮ้าส์ อภิวัฒน์กดปิดโทรทัศน์ซึ่งภายในห้องมีภูวนัยและสมสุขนั่งอยู่ด้วย
“การที่วศินถูกลอบยิงในครั้งนี้ ผมว่าน่าจะมาจากการปฏิบัติการของเรา”
“ไม่คิดว่าพวกสี่เสือจะกล้าทำถึงขนาดนี้”
ระหว่างนั้นสมสุขที่นั่งอยู่ด้วยก็หัวเราะขึ้น
“แกจะขำอะไรนักหนา...ห๊ะ สมสุข”
“เอ้า นี่ยังอ่านไม่ออกกันอีกเหรอครับคุณตำรวจ” ภูวนัยกับอภิวัฒน์สงสัยและอยากฟังความเห็น “ถ้าไอ้สี่เสือคิดจะเก็บวศินจริงๆ ละก็ ไม่เห็นจำเป็นต้องมายิงกลางสวนสาธารณะอย่างนี้เลย คิดดูซิมันต้องการยิงในที่คนเยอะๆอย่างนั้นทำไมน้า...ติ๊กต๊อก...ติ๊กต๊อก”
อภิวัฒน์กับภูวนัยคิดตาม
“มันต้องการให้เป็นข่าว”
“ถูกต้อง เพราะอะไร...เพราะมันจะได้หาเหตุเพื่อที่จะกำจัดไอ้พวกสี่เสือไง”
“แกกำลังจะบอกว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเป็นการจัดฉากงั้นเหรอ”
สมสุขพยักหน้ายิ้มๆ แทนคำตอบ
ที่โรงพยาบาล วศินนั่งอยู่ที่โซฟากำลังดูตารางหุ้นผ่านไอแพด
“ลื้อว่าที่หุ้นมันขึ้นนี่ จะเกี่ยวกับนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลหรือเปล่า”
ชาติกล้ากำลังทำความสะอาดปืน
“เรื่องนั้นผมไม่ทราบครับ แต่ผมว่าประชาชนต้องชอบใจผลงานนี้แน่ๆ ครับ”
“แล้วไอ้คนที่จัดฉากมายิงอั้วละ ปิดปากมันหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วครับ”
“ดี...อั้วไม่อยากตายน้ำตื้น”
“แล้วท่านจะเอายังไงต่อครับ”
“นโยบายก็มอบไปแล้วนี่ ทำตามซิ”
ชาติกล้าพยักหน้าอย่างเลือดเย็น ขณะนั้นประกอบปืนเสร็จพอดีชาติกล้าหันมาถามวศิน
“จะเริ่มที่ใครก่อนครับ”
คืนนั้นนายหัวคึกคุยโทรศัพท์กับเสี่ยแคนด้วยสีหน้าเครียดๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับวศิน
“เสี่ย...เสี่ยเป็นคนส่งมือปืนไปยิงมันหรือเปล่า”
“จะบ้าหรือไงนายหัว เราเพิ่งคุยกันเมื่อเช้าจะเอาเวลาที่ไหนไปจ้างมือปืน นี่ฉันเพิ่งวางสายจากแม่เลี้ยง แม่เลี้ยงก็แปลกใจเหมือนกันว่าเป็นฝีมือใคร”
“แล้วตอนนี้เสี่ยว่าไง พวกเราจะเอายังไงกันดี”
“คงต้องหลบไปอยู่ที่อื่นซักพัก ลองถ้าไอ้วศินมันประกาศออกมาอย่างนี้ฉันว่ามันตั้งใจจะเก็บพวกเราแน่นอน”
นายหัวคึกคิดตามเสี่ยแคน
“ก็ดีเหมือนกัน มีข่าวอะไรบอกกันด้วยนะเสี่ย”
นายหัวคึกวางสายไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด
นายหัวคึกเดินมาตามทางภายในบ้าน
“เฮ้ย! ไปไหนกันหมดวะ ไม่ได้ยินที่เรียกหรือไง” ระหว่างนั้นคึกเดินมาถึงห้องรับแขกเห็นลูกน้องคนนึงนั่งอยู่
“อ้าวเฮ้ย! เรียกไม่ได้ยินหรือไง ไปบอกไอ้โก้ให้เอารถออก” นายหัวคึกสั่งเสร็จจะเดินไป แต่ก็ต้องชะงักด้วยความสงสัยว่าทำไมลูกน้องไม่ตอบรับจึงเดินเข้ามาตบหัว “เฮ้ย! ไม่ได้ยินหรื...”
ทันทีที่นายหัวคึกตบหัวลูกน้องที่นั่งอยู่ ลูกน้องไหลตกเก้าอี้ไปตามแรงตบ นายหัวคึกตกใจเมื่อเห็นว่าลูกน้องคนนั้นถูกยิงแสกหน้าเลือดไหลนอง
“เฮ้ย”
นายหัวคึกรีบวิ่งออกมาจากบ้านอย่างตกใจแต่สะดุดบางอย่างหกล้ม นายหัวคึกมองไปแล้วก็เห็นศพของลูกน้องอีกคนนอนอยู่ที่พื้น
“เฮ้ย”
นายหัวคึกมองไปบริเวณหน้าบ้านจนถึงประตูรั้วก็เห็นศพลูกน้องของตนนอนตายกันเกลื่อน นายหัวคึกตกใจรีบคว้าปืนของลูกน้องที่หล่นอยู่ขึ้นมา แต่ทันทีที่นายหัวคึกลุกขึ้นก็เห็นปากกระบอกปืนที่ติดที่เก็บเสียง ค่อยๆ จ่อเข้ามาที่หัวด้านหลังของนายหัวคึก นายหัวคึกสะดุ้งรีบหันกลับมา
“แกเองเหรอ”
ชาติกล้าใส่ถุงมือดำยืนถือปืนอยู่ นายหัวคึกเห็นอย่างนั้นก็ใช้ปืนยิงใส่ชาติกล้า แต่แล้วนายหัวคึกก็ต้องแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงแต่คลิ๊กๆๆ
ชาติกล้าหยิบแม๊กกาซีนที่ถอดออกโชว์ให้นายหัวคึกดู นายหัวคึกหน้าซีดรู้ชะตาตัวเอง ชาติกล้าเหนี่ยวไก ปุ!
นายหัวคึกถูกยิงแสกหน้าหงายหลังล้มลง
ชาติกล้าเดินเข้ามาก่อนจะกระหน่ำยิงใส่ร่างของนายหัวคึกอีกหลายนัดเพื่อความชัวร์
ที่เซฟเฮาส์ภูวนัย ตะวันฉายกำลังร้อนใจเมื่อไม่เห็นไผ่พญากลับมา
“เราจะไม่ออกไปตามหาคุณไผ่จริงๆ เหรอครับ”
“โอ๊ย ไม่ต้องหรอกครับ อย่างมากไอ้ไผ่มันก็ไปหาคุณภู”
ขิงพูดจบก็เพิ่งนึกได้ ตะวันฉายสะดุดกับคำพูดของขิง
“ไปหาคุณภู”
“เอ่อ...ก็แต่ก่อนเราต้องทำงานกับคุณภูก็เลยต้องไปหาคุณภูไงคะ แต่ตอนนี้ไม่มีงานไอ้ไผ่ก็คงไม่ได้ไปหรอกคะ...ใช่มั้ยขิง” กระดังงารีบพูดแก้
“ใช่ครับใช่”
ระหว่างนั้นไผ่พญาเดินกลับเข้ามาในบ้าน ทุกคนหันมาเห็นไผ่พญาก็ดีใจรีบกรูกันเข้ามาหา
“ไผ่ ไปไหนมาทั้งวันเนี่ย”
ไผ่พญายิ้มแกนๆ ให้ ไม่อยากจะตอบ ตะวันฉายเข้ามาหาไผ่พญาก่อนจะสังเกตเห็นว่าไผ่พญาเหมือนผ่านการร้องไห้มา
“คุณไผ่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่เป็นไรคะ ขอฉันอยู่เดียวนะ”
ไผ่พญาพูดแล้วก็เดินขึ้นห้องไป ขิงกับกระดังงาแปลกใจว่าไผ่พญาเป็นอะไร ตะวันฉายมองตามอย่างเป็นห่วง
ไผ่พญาเข้ามาในห้องนอน สิ่งที่ภูวนัยพูดยังก้องอยู่ในหัว
“เพราะโคโยตี้อย่างเธอ น่าจะเจอผู้ชายมาหลายคน ฉันไม่คิดว่าเรื่องแค่นี้ คงไม่ทำให้เธออ่อนไหวชอบฉันหรอกนะ”
ไผ่พญาน้ำตาไหลออกมาอีก ไผ่พญาพยายามยิ้ม
“จะร้องไห้ทำไม เราน่าจะดีใจซิที่รู้ว่าเขาคิดยังไงกับเธอ”
ไผ่พญาพยายามปาดน้ำตา แต่น้ำตาก็ยังไหลออกมาไม่ขาดสาย
วันต่อมานักข่าวรอการทำข่าวอยู่ที่หน่วยปราบปรามยาเสพติด ระหว่างนั้นวีระและราชัยเดินออกมาที่หน้าประตู ชาติกล้าเดินตามมา นักข่าวหันไปเห็นก็รีบเข้าไปรุมล้อมชาติกล้าทันที
“การตายของนายหัวคึกเกี่ยวข้องกับการลอบทำร้ายท่านวศินหรือเปล่าคะ”
“จะว่าเกี่ยวก็เกี่ยว แต่จะว่าไม่เกี่ยวก็ได้” นักข่าวพากันสงสัย “การตายของนายหัวคึกคือการแสดงให้เห็นว่านโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลที่เรากำลังดำเนินการ...มันได้ผล”
“แสดงว่าการตายยกครัวของนายหัวคึก เป็นฝีมือของตำรวจเหรอครับ” ชาติกล้าหันมองนักข่าวคนนั้น ขณะที่นักข่าวคนอื่นๆ ก็รอฟังคำตอบ “เข้าใจกันใหม่นะครับ ที่ผมบอกว่านโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลกำลังได้ผลเนี่ยหมายความว่าการที่เริ่มเอาจริงก็ทำให้พวกผู้มีอิทธิพลเหล่านั้นกดดัน ซึ่งผลการสืบสวนเบื้องต้นเราพบว่านายหัวคึกฆ่าตัวตาย”
ชาติกล้าพูดอย่างมั่นใจ ท่ามกลางแสงแฟลชและเสียงชัตเตอร์ที่ทำให้ชาติกล้าได้ความดีความชอบไป
ขณะนั้นอภิวัฒน์อยู่ในห้องทำงานของชาติกล้ากำลังหาข้อมูลการตายของนายหัวคึก ด้านนอกบริเวณทางเดิน ชาติกล้าเดินมาตามทาง ภายในห้องอภิวัฒน์กำลังเปิดลิ้นชักที่โต๊ะทำงานของชาติกล้า อภิวัฒน์อึ้งไปเมื่อเห็นถุงมือดำอยู่ภายในลิ้นชัก
ชาติกล้าเดินมาถึงหน้าห้องตัวเองก่อนจะเปิดประตูเข้าไปแล้วชาติกล้าก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นอภิวัฒน์กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โซฟา
“สวัสดีครับท่าน”
“สวัสดีหมวด ผมเห็นหมวดกำลังแถลงข่าวเลยไม่อยากกวน”
“มีอะไรให้ผมรับใช้เหรอครับ”
“ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่จะถามว่าวศินเขาพักอยู่ที่โรงพยาบาลไหน ผมอยากไปเยี่ยมซักหน่อย”
“ต้องขอโทษด้วยครับท่าน ท่านวศินอยากให้เรื่องนี้เป็นความลับ ท่านคงเข้าใจนะครับว่าตอนนี้เรากำลังทำสงครามกับพวกผู้มีอิทธิพล”
อภิวัฒน์ได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะลุกขึ้น
“ไม่เป็นไร งั้นฝากบอกหมวดไปบอกแล้วกันว่าหายเร็วๆ ละ”
“ได้ครับ”
อภิวัฒน์จะเดินออกไปก่อนจะนึกได้ว่าถือหนังสือพิมพ์ติดมือมาด้วย
“อ้าว...ลืมไปเลย” อภิวัฒน์หันไปยื่นหนังสือพิมพ์คืน “ผมเห็นข่าวการฆ่าตัวตายของนายหัวคึกแล้ว หมวดทำได้ดีมาก” ชาติกล้าไม่พูดอะไร “แต่ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าแค่ทางเราบอกว่าจะปราบพวกผู้มีอิทธิพลถึงกับทำให้นายหัวคึกเครียดจนฆ่าตัวตาย แหม...ถ้าเป็นอย่างนี้ทุกรายก็ดีนะหมวด เราจะได้ไม่ต้องเอาภาษีประชาชนไปซื้อลูกกระสุนปราบพวกมัน” ชาติกล้ายิ้มให้น้อยๆ อภิวัฒน์ตบไหล่เชิงชื่นชม “ทำได้ดีมากหมวด”
“ขอบคุณครับ”
อภิวัฒน์ยิ้มให้ก่อนจะเดินออกไป ชาติกล้ามองตามอย่างสงสัยก่อนจะเดินไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองแล้วตรวจดูข้าวของทุกอย่างให้แน่ใจว่าอยู่ที่เดิม ชาติกล้าดึงลิ้นชักออกมาก่อนจะเห็นว่าถุงมือดำยังอยู่ที่เดิม ชาติกล้าครุ่นคิดสงสัยว่าอภิวัฒน์จะเห็นหรือไม่
ที่บ้านแม่เลี้ยงรัญญา พายัพกำลังรินเหล้าใส่แก้วตรงหน้าแม่เลี้ยงรัญญา ก่อนจะไปรินให้เสี่ยแคนโดยมีแก้วใบนึงวางอยู่ตรงกลางโต๊ะ
“ดื่มให้นายหัว”
แม่เลี้ยงรัญญา เสี่ยแคนยกแก้วขึ้นดื่ม ส่วนพายัพยกกระดกทั้งขวด
“ฉันไม่เชื่อว่านายหัวจะฆ่าตัวตาย” เสี่ยแคนบอก
“ไม่ต้องพูดหรอกเสี่ย พวกเราต่างก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
พายัพที่นั่งฟังนิ่งมาตลอดก็พูดขึ้น
“อย่าอาลัยอาวรณ์กับคนที่จากไปแล้วเลย ตอนนี้ผมว่าเราน่าจะห่วงตัวเองจะดีกว่า” เสี่ยแคนกับแม่เลี้ยงรัญญาตั้งใจฟัง “ตอนนี้ไอ้วศินมันตีไพ่มาหน้านี้ แสดงว่ามันตั้งใจกำจัดพวกเราทุกคนแล้วกินรวบทั้งวง”
“ถ้าเราชิงลงมือก่อนมันละ”
“ยากมากเสี่ย ตอนนี้วศินมันตั้งใจทำตัวให้เป็นข่าวเพราะมันรู้ว่าไม่มีมือปืนคนไหนที่จะรับงานแบบนี้”
“แล้วจะรอให้มันมาฆ่าพวกเราหรือไง” เสี่ยแคนหันไปทางพายัพ “พายัพ...แกว่าเราควรทำยังไง”
พายัพนิ่งไปอย่างครุ่นคิด
“ผมมีเพื่อนอยู่ที่เกาะสอง พวกเราอาจจะไปอยู่ที่นั่นก่อนซักพัก”
“แกจะให้พวกเราหนีเหรอ”
“หรือแม่เลี้ยงอยากจะตายละ”
แม่เลี้ยงรัญญากับเสี่ยแคนจำนนกับหนทางที่ไม่มีให้เลือกแล้วเช่นเดียวกับพายัพที่แกล้งทำสีหน้าเครียดเช่นกัน
วีระ ราชัยและตำรวจคนอื่นๆ กำลังนั่งอยู่ภายในห้องประชุม ระหว่างนั้นชาติกล้าเดินเข้ามา ทุกคนยืนทำความเคารพ ชาติกล้ายกมือห้ามประมาณว่าไม่ต้องมากพิธีก่อนจะยิงคำถามทันที
“ได้เรื่องอะไรบ้าง”
“ตอนนี้เรากำลังรวบรวมรายชื่อผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศรวมทั้งมือปืนต่างๆ เพื่อขอหมายจับกับศาลครับ”
“ดี...ดำเนินการต่อได้เลย”
ชาติกล้าจะเดินออกไป แต่วีระกลับถามขึ้น
“หัวหน้าครับ” ชาติกล้าหยุดแล้วหันมา “คือขอไปชัณสูตรศพของนายหัวคึกที่ตำรวจพื้นที่แล้วครับ แต่ว่า...”
“มีอะไร”
“เหมือนตำรวจพื้นที่บ่ายเบี่ยงไม่ให้เราชัณสูตร แค่ผมขอปลอกกระสุนในที่เกิดเหตุยังไม่ให้เลยครับ”
“น่าแปลกนะครับหัวหน้า ในเมื่อเป็นการฆ่าตัวตายธรรมดา ทำไมต้องทำลับๆ ล่อๆ อย่างนั้น”
ชาติกล้าไม่พอใจ แต่เก็บอารมณ์อยู่
“ผมให้พวกคุณทำคดีอะไร” ตำรวจในห้องต่างก้มหน้าก้มตา “ตอนนี้เราต้องเร่งปราบพวกผู้มีอิทธิพล ส่วนเรื่องการชัณสูตรศพไม่ใช่หน้าที่ของเรา” ระหว่างนั้นเสียงมือถือของชาติกล้าดังขึ้น ชาติกล้ามองเบอร์ก่อนจะหันมาบอกกับทุกคน “เย็นนี้เอารายชื่อทั้งหมดไปวางไว้บนโต๊ะผม”
ชาติกล้าพูดเสร็จก็รีบเดินออกไปทันที
ชาติกล้าเดินเข้ามาในห้องทำงานตัวเองก่อนจะรีบกดรับสาย
“ว่าไง”
พายัพเป็นคนโทรหาชาติกล้า
“ฉันจะโทรมาบอกว่า เดี๋ยวฉันจะเอารถมูลค่าสี่ร้อยล้านไปจอดไว้ที่บ้านท่านวศิน ในเมื่อท่านทำตามสัญญาฉันก็ยินดีจ่าย”
“แค่นี้ใช่มั้ย”
“คืนนี้พวกมันจะหนีไปที่เกาะสอง”
ชาติกล้าได้ยินอย่างนั้นแววตาก็ฉายแววอำมหิตขึ้นมาทันที
ที่เซฟเฮาส์ภูวนัย ตะวันฉายกำลังตากผ้าอยู่ที่หน้าบ้าน ไผ่พญาเดินมาข้างหลัง ไผ่พญาลอบมองตะวันฉายทางด้านหลัง ก่อนจะพยายามฝืนยิ้มออกมาแล้วเดินเข้าไปหาตะวันฉาย
“คุณตะวัน”
ตะวันฉายหันมาก็เห็นไผ่พญาเดินเข้ามา
“คุณไผ่”
ไผ่พญามองไปที่ตะกร้าผ้า
“ไอ้ขิงไอ้งาใช้คุณตะวันซักผ้าเหรอ”
“เปล่าหรอกครับ ผมเห็นว่าผมมานั่งๆ นอนๆ ที่นี่ไม่ได้ทำอะไรก็อยากจะช่วยน่ะครับ”
ไผ่พญามองไปในตะกร้าผ้าแล้วก็ตกใจ
“นี่คุณซักให้ฉันด้วยเหรอ”
“อ้าว...ของคุณไผ่เหรอครับ ผมนึกว่าของคุณขิงซะอีก”
“นี่”
“ผมล้อเล่นน่ะครับ ไม่เป็นไรหรอกครับผมไม่ถือ”
ไผ่พญาหน้ามุ่ยรีบเก็บกกน.ของตัวเองแล้วทำเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วตัวแสบสองคนนั่นไปไหนแล้วคะ”
“เห็นบอกว่าจะไปซื้อกับข้าวน่ะครับ” ไผ่พญาพยักหน้ารับรู้ ตะวันฉายตัดสินใจถาม “เมื่อวานคุณไปหาคุณภูมาเหรอครับ” ไผ่พญาชะงักไป
“เอ่อ...เอ่อ...คะ” ตะวันฉายยิ้มเศร้าๆ
“คุณไผ่กับคุณภูชอบกันเหรอครับ”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจ
“เปล่านะคะ ไม่ใช่คะ” ไผ่พญารีบปฏิเสธ
“ถ้าอย่างนั้นคุณไผ่ก็ชอบผมได้ใช่มั้ยครับ”
ไผ่พญาชะงักไป แต่ยังไม่ทันที่ไผ่พญาจะตอบขิงกับกระดังงาก็วิ่งโวยวายเข้ามา
“ไอ้ไผ่...ไอ้ไผ่เว้ย”
ไผ่พญาหันไปก็เห็นขิงกับกระดังงาวิ่งถือหนังสือพิมพ์เข้ามา
“มีอะไร” กระดังงารีบกางหนังสือพิมพ์
“แกเห็นข่าวนายหัวคึกตายหรือยัง”
ไผ่พญาตกใจรีบดึงหนังสือพิมพ์ไปดู
“เขาคือใครเหรอครับ” ตะวันฉายถามอย่างแปลกใจ ขิงตอบอย่างพาซื่อ
“อ๋อ...เจ้าของอาบอบนวดที่พวกเราเคยไปทำงานน่ะครับ”
“อาบอบนวด” กระดังงาหันไปดุขิง
“แกนี่...คือ...ไม่ได้ไปทำงานอย่างนั้นนะคะ” แล้วกระดังงาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นตะวันฉายมีเลือดกำเดาไหล “คุณตะวันฉายเลือดคะ”
ตะวันฉายเอามือจับที่จมูกตัวเองก็เห็นเลือดกำเดาที่ไหลออกมาเยอะกว่าทุกครั้ง ไผ่พญาเลิกสนใจหนังสือพิมพ์แล้วเข้ามาดูตะวันฉายด้วยความเป็นห่วง
“เข้าไปพักในบ้านก่อนดีกว่าคะ”
“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ”
ทันทีที่ตะวันฉายพูดจบ ตะวันฉายก็หมดสติกลางอากาศ ไผ่พญา ขิงและกระดังงารับร่างของตะวันฉายไว้ได้ทัน
“คุณตะวัน”
ไผ่พญา ขิง กระดังงารีบพาตะวันฉายส่งโรงพยาบาล ที่โรงพยาบาลขิงกับกระดังงานั่งอยู่ที่ม้านั่งทางเดิน ท่าทางเป็นห่วงตะวันฉายน่าดู
“ฉันว่าคุณตะวันต้องเป็นโรคอะไรแน่ๆ เลยวะ”
“โรคอะไร คุณตะวันเขาอาจจะไม่ชอบอากาศร้อนๆ ก็ได้”
“เหรอ...หรือว่าคุณตะวันเขาจะเหมือนพระเอกเกาหลีที่เป็นเนื้อร้ายในสมอง” กระดังงาตบปากขิงดัง เผียะ! ขิงถึงกับกุมปาก “เฮ้ย! ตบฉันทำไมเนี่ย”
“ก็ปากแกไม่สร้างสรรค์ไง”
ขิงหน้ามุ่ย แล้วนึกออก
“อ๋อ ฉันรู้แล้ว คุณตะวันเขาได้ยินที่เราบอกว่าไอ้ไผ่มันทำงานในอาบอบนวดไง ฉันว่าคุณตะวันต้องจินตนาการถึงไอ้ไผ่ตอนทำงานแน่ๆ เลือดกำเดามันก็เลยไหล” กระดังงาตบปากขิงอีก เผียะ! “เฮ้ย อะไรอีกเนี่ย”
“ถ้าขืนแกยังอ้าปากเดามั่วอย่างนี้ ทีต่อไปจะเป็นไม้หน้าสามไม่ใช่มือละนะ” ขิงกุมปากหน้างุ่ม ระหว่างนั้นไผ่พญาเดินเข้ามา กระดังงาเห็นก็รีบเข้าไปถาม “ไอ้ไผ่...คุณตะวันเป็นยังไงบ้าง”
ไผ่พญารู้อยู่แล้ว แต่ไม่อยากบอก
“ยังไม่รู้ซิ หมอยังไม่ได้บอกอะไรเลย แกสองคนกลับบ้านไปเถอะ เดี๋ยวฉันอยู่เฝ้าคุณตะวันเอง”
“ฉันว่าคุณตะวันต้องเป็นอะไรมากแน่ๆ เลย ถึงต้องนอนโรงพยาบาลอย่างนี้”
ขิงสันนิฐาน กระดังงาเข้าไปบิดหู
“บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าพูด งั้นฉันพานายปากพล่อยนี่กลับก่อนแล้วกันนะ...มานี่เลย”
กระดังงาดึงขิงออกไป ไผ่พญามองตามก่อนจะนึกไปถึงตอนที่คุยกับหมอ
ไผ่พญานั่งคุยกับหมอในห้องแล้วเธอก็ต้องตกใจ
“ต้องผ่าตัดเหรอคะ”
“ครับ ถ้าคุณตะวันไม่ได้รับการผ่าตัดในเร็วๆ นี้ บางทีคุณตะวันอาจจะอยู่ได้ไม่ถึงหกเดือน”
ไผ่พญาหน้าเครียดด้วยความเป็นห่วงตะวันฉาย
เหตุการณ์อีกด้านหนึ่งที่เซฟเฮาส์อภิวัฒน์เวลานั้น สมสุขยิ้มร่าเดินเข้ามา
“ใครเชื่อว่านายหัวฆ่าตัวตายก็โง่แล้ว” ภูวนัยกับอภิวัฒน์นั่งสีหน้าเครียดอยู่ภายในห้องทำงานอภิวัฒน์ สมสุขหันไปแซวภูวนัย “อย่าบอกนะว่าหมวดภูเชื่อ”
“ฉันรู้ว่าเป็นฝีมือของไอ้วศิน แต่คนเป็นตำรวจต้องเชื่อเพราะพยานหลักฐานไม่ใช่เพราะการคาดเดา”
“แต่การคาดเดามันก็ทำให้เรานำหน้าคนอื่นก้าวนึงนะหมวด ไม่สังเกตเหรอว่าแต่ก่อนทำไมหมวดจับผมไม่เคยได้ เพราะผมรู้ว่าหมวดคิดอะไรไง”
“งั้นแกก็คงคาดเดาแต่ฉัน จนลืมคาดเดาลูกน้องที่รักอย่างไอ้พายัพจนถูกยิงลิ้นชาอย่างนี้ละซิ”
อภิวัฒน์เห็นภูวนัยกับสมสุขต่อปากต่อคำไม่เลิกก็รีบขัดขึ้นเดี๋ยวจะบานปลายอีก
“พอได้แล้ว”
ภูวนัยคุมสติ ไม่สนใจสมสุขหันมาถามอภิวัฒน์
“ท่านครับ ตอนนี้สถานการณ์มันชักเกินความควบคุมของเราแล้วผมเกรงว่าถ้าขืนเราปล่อยให้ไปอย่างนี้ต่อไปพวกมันอาจจะฆ่ากันโดยไม่สนใจกฎหมายบ้านเมือง”
“อะไรของหมวดเนี่ย ตอนแรกก็จะยุให้พวกมันกัดกัน พอพวกมันกัดกันแล้วก็จะไปห้ามมันอีก”
“ไม่ว่าจะเป็นกำนันเต่าหรือนายหัวคึก ถึงแม้ว่าสองคนนั่นจะเป็นคนเลวแต่เราก็ควรจะจัดการพวกนั้นด้วยกฎหมาย ไม่ใช่ความรุนแรงแบบนี้”
อภิวัฒน์ฟังเหตุผลของภูวนัยก็เห็นด้วย
“ผมเห็นด้วยกับหมวด สมสุข...นายคิดว่าคนต่อไปที่วศินมันจะจัดการน่าจะเป็นใคร”
สมสุขยิ้มมุมปาก
“แม่เลี้ยงรัญญา”
“ทำไมนายคิดว่าเป็นแม่เลี้ยง”
สมสุขชะงักไปเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนที่สมสุขจะตัดสินใจบอก
“เพราะว่าแม่เลี้ยงมีสิ่งที่ไอ้วศินมันกลัวไง”
ภูวนัยกับอภิวัฒน์ได้ยินอย่างนั้นก็สงสัยว่ามันคืออะไร
ที่บ้านแม่เลี้ยงรัญญา แม่เลี้ยงรัญญาเปิดตู้เซฟก่อนจะหยิบกล่องเครื่องประดับออกมา แม่เลี้ยงรัญญาเปิดกล่องเครื่องประดับออกแล้วเห็นสร้อยและแหวนต่างๆ มากมาย แม่เลี้ยงรัญญาหยิบแหวนหัวทับทิมวงหนึ่งขึ้นมา แล้วเปิดหัวทับทิมออกจึงเห็นเมมโมรี่การ์ดขนาดเล็กอยู่ในหัวแหวน
ภูวนัยกับอภิวัฒน์มีสีหน้าจริงจังกับสิ่งที่สมสุขบอก
“คลิปวิดีโอที่วศินฆ่าคนตายงั้นเหรอ”
“เท่าที่ได้ยินมาเห็นว่าเป็นอย่างนั้น”
“แล้วทำไมนายเพิ่งมาบอกเรื่องนี้กับพวกเรา”
“ตอนแรกผมก็คิดว่าจะใช้ไอ้คลิปนั่นล่อไอ้พายัพมา แล้วฆ่ามันกับมือแต่พอคิดไปคิดมา จัดการไอ้วศินได้ ไอ้ลูกหมานั่นจะเหลืออะไร”
ภูวนัยนึกอะไรออก
“ท่านครับ ถ้าเราได้คลิปนั่นมา เราอาจจัดการวศินง่ายกว่าที่คิดนะครับ”
อภิวัฒน์คิดไตร่ตรอง
“จะทำอะไรก็รีบทำนะครับ ผมว่าไอ้วศินน่าจะจัดการกับเสือที่เหลือในคืนนี้”
ภูวนัยหนักใจขึ้นมาทันที
คืนนั้นแม่เลี้ยงรัญญากำลังนั่งครุ่นคิดอยู่ภายในห้องทำงาน แม่เลี้ยงรัญญานึกบางอย่างขึ้นมาได้คว้ามือถือขึ้นมา แต่แล้วเสียงมือถือก็ดังขึ้นพอดี
“ฉันกำลังจะโทรหาเสี่ยอยู่พอดี”
เสี่ยแคนโทรหาแม่เลี้ยงรัญญา ซึ่งขณะนั้นเสียแคนอยู่ที่ท่าเรือ
“มีอะไรเหรอ”
“ฉันมาคิดๆ ดูแล้ว ทำไมวศินมันถึงได้จัดฉากยิงตัวเอง นั่นแสดงว่ามันต้องมีคนไปบอกเรื่องที่เราคิดจะเก็บมันก่อน”
“เธอกำลังสงสัยใคร”
“พายัพ”
เสี่ยแคนได้ยินอย่างนั้นก็คิดตาม แต่เห็นแย้งกับแม่เลี้ยงรัญญา
“ถ้ามันเป็นนกสองหัวอย่างที่เธอว่าจริงๆ มันคงไม่เตรียมเรือให้เราหนีหรอก”
“ฉันอาจจะคิดมากไปเองก็ได้”
“รีบมาแล้วกัน ตอนนี้ฉันอยู่ที่ท่าเรือแล้ว”
แม่เลี้ยงรัญญาวางสายก่อนจะหยิบแหวนทับทิบใส่แล้วลุกขึ้นเดินออกไปทันที
เสี่ยแคนวางสายลงแล้วพูดขึ้น
“ฉันทำตามที่แกต้องการแล้ว เรามาคุยกันดีๆ ก็ได้นี่พายัพ”
พายัพยืนอยู่พร้อมกับลูกน้องที่กำลังเอาปืนจี้เสี่ยแคนอยู่
“แต่ผมว่า เราเลยจุดนั้นมาไกลแล้วนะเสี่ย”
“แกอยากได้อะไร โรงงานยามั้ย...บอกมาซิว่าแกจะเอาอะไร ฉันให้แกหมดเลย”
“จริงเหรอ แล้วถ้าผมบอกว่าอยากได้ชีวิตเสี่ยละ”
“ไอ้พายัพ”
พายัพคว้าปืนจากลูกน้องมาก่อนจะลั่นกระสุนใส่เสี่ยแคนทันที ปังๆๆๆ !
ภูวนัยกำลังกดกริ่งอยู่ที่หน้าประตูรั้วของบ้านแม่เลี้ยงรัญญา ไม่นานก็เห็นแม่บ้านเดินเข้ามา
“มาหาใครคะ”
“แม่เลี้ยงอยู่มั้ยครับ”
“ออกไปเมื่อกี้เองคะ”
“เมื่อกี้เหรอครับ ขอบคุณมากครับ”ภูวนัยรีบกลับมาที่รถ ก่อนจะกดโทรศัพท์โทรหาอภิวัฒน์ “ผมคลาดกับแม่เลี้ยงครับท่าน ท่านพอจะตามรอยรถแม่เลี้ยงได้มั้ยครับ...ครับ”
ภูวนัยวางสายก่อนจะรีบวิ่งขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที
แม่เลี้ยงรัญญาเดินมาตามทางในท่าเรือ ด้านหน้าเห็นรถภูวนัยขับเข้ามาจอดภูวนัยมองเข้าไปด้านใน ภูวนัย
ดับไฟหน้ารถก่อนจะขับรถเข้าไปในบริเวณท่าเรือ ภูวนัยขับรถเข้ามาจอดดับเครื่องแล้วลงมามองไปรอบๆ ภูวนัยออกตามหาแม่เลี้ยงทันที
แม่เลี้ยงรัญญาเดินมาตามทาง แต่แล้วเธอก็ต้องชะงักเพราะพายัพก้าวออกมาขวางทางเอาไว้
“สวัสดีแม่เลี้ยง”
“เสี่ยละ”
“เสี่ยแคนน่ะเหรอ ไปแล้วละ”
“ไปไหน” พายัพยิ้ม แม่เลี้ยงรัญญาเริ่มเอะใจ “หมายความว่าไงพายัพ”
ภูวนัยตามเข้ามาจึงเห็นแม่เลี้ยงรัญญาคุยกับพายัพ ภูวนัยชะงักรีบหลบก่อนจะแอบชำเลืองมอง...พายัพยิ้มขำ
“แหม...แม่เลี้ยงก็ถามได้ว่าเสี่ยเขาไปไหน คนชั่วๆ อย่างเสี่ย ตายไปก็ต้องไปนรกซิแม่เลี้ยง”
“พายัพ ฉันนึกแล้วว่าแกต้องเป็นคนหักหลังพวกเรา”
“นึกได้ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วมั้งแม่เลี้ยง เอาน่า...เดี๋ยวเพื่อนผมจะช่วยแม่เลี้ยงให้ตามเสี่ยไปเร็วๆ”
แม่เลี้ยงรัญญาได้ยินอย่างนั้นก็หันหลังไป แล้วก็เห็นชาติกล้าเดินออกมา ภูวนัยเห็นชาติกล้าก็ใช้ความคิดอย่างหนักว่าจะทำยังไง
แต่แล้วพายัพกับชาติกล้าก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นแม่เลี้ยงรัญญาหัวเราะออกมา
“พวกแกฆ่าฉัน ก็เท่ากับฆ่าตัวตายเหมือนกันนั่นแหละ วศินไม่ได้บอกพวกแกเหรอ”
“เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องที่ฉันมีคลิปที่สามารถทำให้มัน...แก(ชาติกล้า) แล้วก็แก (พายัพ)...เข้าไปอยู่ในตารางได้ไง”
ภูวนัยหยิบปืนออกมาก่อนจะเล็งไปที่ชาติกล้า
“คลิปอะไร ทำไมฉันไม่รู้เรื่อง”
“พายัพ อย่าคิดว่าตัวเองฉลาดคนเดียวซิ”
“ไอ้ชาติ ไม่ต้องไปฟังมัน ฆ่ามันเลย”
“ไม่เชื่อเหรอพายัพ...ลองโทรหาวศินดูซิ”
ภูวนัยกำลังจะเหนี่ยวไก ชาติกล้าจ้องตาแม่เลี้ยงรัญญาแล้วชาติกล้าก็ลดปืนลง แม่เลี้ยงรัญญาอาศัยจังหวะนั้นถีบไปที่ชาติกล้า เป็นจังหวะเดียวกับที่ภูวนัยตัดสินใจลั่นไกพอดี ชาติกล้าถูกแม่เลี้ยงถีบเลยทำให้งอตัวรอดคมกระสุนจากภูวนัยไปได้ กระสุนภูวนัยพุ่งไปถูกลูกน้องของพายัพล้มลงทันที
พอได้ยินเสียงปืน ทุกคนก็แตกกระจาย แม่เลี้ยงรัญญาอาศัยจังหวะนั้นหนี
“เฮ้ย! จับตัวเอาไว้”
พายัพตะโกนบอก เหล่าลูกน้องจะจับตัวแม่เลี้ยง ภูวนัยเห็นอย่างนั้นก็ยิงลูกน้องของพายัพเพื่อให้แม่เลี้ยงหนีไป
ชาติกล้าลุกขึ้นก่อนจะยิงมาที่ภูวนัย แต่ชาติกล้าไม่เห็นว่าเป็นภูวนัยเพราะมืดและภูวนัยก็หลบอยู่
ภูวนัยหลบ พายัพเห็นแม่เลี้ยงรัญญาจะวิ่งไปที่รถก็จะวิ่งตาม ภูวนัยออกมายิงสกัดพายัพไม่ให้ตามแม่เลี้ยงไป
ชาติกล้าเห็นประกายไฟจากปากกระบอกปืนของภูวนัยจึงยิงสวนกลับมา แม่เลี้ยงรัญญารีบวิ่งไปขึ้นรถแล้วรีบขับออกไปทันที
ชาติกล้า พายัพและลูกน้องของพายัพที่เหลือแค่คนเดียวหลบอยู่หลังตู้คอนเทรนเนอร์ ชาติกล้ามองไปที่ลูกน้องของพายัพก่อนจะเอาปืนจี้
“วิ่งออกไป” ลูกน้องพายัพกลัวเพราะออกไปก็ตาย “ไม่งั้นตาย”
ลูกน้องพายัพคนนั้นกลัวว่าจะถูกชาติกล้ายิง จึงวิ่งออกจากที่ซ่อน ภูวนัยเห็นเงาตะคุ่มวิ่งออกมาจึงยิงใส่ ชาติกล้าเห็นประกายไฟจากกระบอกปืนจึงยิงสวนมาทันที ลูกกระสุนของชาติกล้าพุ่งเฉียดที่ต้นแขนของภูวนัย
“อ้ากกก”
ภูวนัยเห็นว่าตัวเองบาดเจ็บเลยตัดสินใจถอย ชาติกล้ากับพายัพหลบอยู่หลังตู้คอนเทรนเนอร์ได้ซักพักก็ได้ยินเสียงสตาร์ทรถ ชาติกล้าจึงเดินออกไปก่อนจะกระหน่ำยิงไปที่รถของภูวนัย แต่รถของภูวนัยกลับขับออกไปอย่างรวดเร็ว
“มันเป็นใครวะ”
พายัพเจ็บใจที่เสียแผนจนได้ ชาติกล้ามองตามรถคันนั้นไปอย่างสงสัยเช่นกันว่าใครมาช่วยแม่เลี้ยงรัญญาเอาไว้
อ่านต่อตอนที่ 16