xs
xsm
sm
md
lg

ไ ฟ ห ว น ตอนที่ 13

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ไฟหวน ตอนที่ 13

นายพลเทพเดินโอบบ่าบุปผาออกมาจากห้องฉุกเฉิน บุปผาหน้านิ่ง ไม่พูดจาใดๆ ไอศูรย์เดินเคียงมากับมัทนา ส่วนคุณหญิงมณีเดินมากับสร้อย ทั้งสองพยายามจับสังเกตท่าทีบุปผา สร้อยแอบกระซิบกระซาบกับคุณหญิง

“คุณหญิงว่าอีอิ่มมันได้พูดอะไรกับนังบุปผามันไม๊คะ”
มณีรู้สึกกังวลอยู่เหมือนกัน “ไม่รู้สิ”
“สร้อยกลัวว่า...มันจะบอกนังบุปผาเรื่องที่อีอุ่นตาย” สร้อยหน้าเครียด คุณหญิงมณียังไม่พูดอะไร พอดีนายพลเทพถามบุปผาขึ้นมาเสียก่อน
“เมื่อกี้...แม่อิ่มพูดอะไรกับบุปผาเหรอลูก พ่อเห็นบุปผาเอียงหูเข้าไปฟัง”
สร้อยกับคุณหญิงมณีสบตากัน อยากรู้คำตอบมาก
“ป้าอิ่มไม่ทันได้พูดอะไรเลยค่ะคุณพ่อ..ก็สิ้นใจเสียก่อน”
สร้อยกับคุณหญิงมณีลอบถอนใจ โล่งอกทั้งคู่
“สงสารป้าอิ่มจังนะคะคุณพ่อ เพิ่งจะมาอยู่สบายได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีอันเป็นไปเสียแล้ว” มัทนาผู้แสนดีเช็ดน้ำตาป้อยๆ
นายพลเทพหัวเสีย “ก็ไม่รู้ว่าไอ้งูเห่าบ้าตัวนั้นเข้าไปอยู่ในห้องแม่อิ่มได้ยังไงกัน”
“เป็นคราวเคราะห์ของป้าอิ่มจริงๆ นะคะคุณพ่อ” มัทนาผู้แสนซื่อใสบริสุทธิ์บอก
“นี่ขนาดคุณลุงพาป้าอิ่มมาส่งโรงพยาบาลทันทีนะครับเนี่ย” ไอศูรย์ถอนหายใจเซ็งๆ
มัทนาร้องไห้สงสารอิ่มอยู่อย่างนั้น ในขณะที่บุปผาหน้านิ่งตลอดเวลา แต่ไม่มองหน้าใครเลย คุณหญิงมณีมองบุปผาอย่างจับสังเกต ยิ่งสงสัย

บรรดาคนใช้บ้านเทพบริบาล รู้ข่าวอิ่มต่างก็ตกใจ
“โธ่..แม่อิ่มตายแล้วเหรอ” ทับทิมเอ่ยขึ้น
“เฮ้อ..ถึงจะเพิ่งมาอยู่ด้วยกันได้ไม่กี่วัน แต่อยู่ๆก็มาตายกะทันหันแบบนี้ มันก็ใจหายเนอะป้าเนอะ” สวิงว่า
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย หน้าเศร้าไปตามๆ กัน

ทุกคนกลับจากโรงพยาบาลเดินเข้ามาในโถงตึกใหญ่
“มัทกับบุปผา ขึ้นไปอาบน้ำอาบท่านอนเถอะ คืนนี้เหนื่อยกันมามากพอแล้ว พรุ่งนี้คงจะได้ตื่นแต่เช้า ไปจัดการเรื่องงานศพให้แม่อิ่มกัน”
สองสาวรับคำพร้อมกัน “ค่ะคุณพ่อ”
จากนั้นมัทนาเดินโอบบ่าบุปผาปลอบใจ พาขึ้นห้องไป นายพลเทพก็จะเดินขึ้นห้องตัวเองบ้าง โดยไม่สนใจคุณหญิงมณีเลย คุณหญิงมณีกับสร้อยมองตาม ลับร่างคนอื่นๆ สร้อยรีบเอ่ยขึ้นในรื่องที่คาใจทันที
“คุณหญิงว่านังบุปผามันโกหกรึเปล่าคะ...ที่ว่านังอิ่มมันไม่ทันได้พูดอะไรก่อนตายน่ะค่ะ เพราะสร้อยรู้สึกว่า นังบุปผามันก็ทำหน้าแปลกๆ ตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วค่ะ”
“ถ้านังอิ่มมันคิดจะบอกนังบุปผาเรื่องที่แกฆ่านังอุ่นน้องสาวมัน มันก็มีโอกาสบอกมาตั้งนานแล้ว ทำไมมันถึงไม่บอก ทำไมมันถึงคิดจะมาบอกเอาก่อนตายล่ะ” คุณหญิงตั้งข้อสังเกต
“ก็เพราะมันกำลังจะตายไงคะคุณหญิง คนจะตายน่ะ มันยังมีห่วงอะไรอยู่ มันก็ต้องรีบสั่งเสียคนที่อยู่ข้างหลังไว้ ไงคะ สร้อยกลัวว่านังบุปผาพอมันรู้แล้ว...มันจะล้างแค้นให้แม่มัน...”
สร้อยชักกังวล มีสีหน้าไม่สู้ดี
“แต่ถึงอีอิ่มมันจะบอกเรื่องนี้กับนังบุปผา แล้วนังบุปผามันจะทำอะไรแกได้ หลักฐานอะไรก็ไม่มีสักอย่าง แกสบายใจเถอะนังสร้อย นังบุปผาไม่มีทางทำอะไรแกได้หรอก
สร้อยเริ่มสีหน้าดีขึ้น

ด้านนายพลเทพกับมัทนาเดินมาส่งบุปผาที่หน้าห้องนอน
“ไม่ต้องห่วงนะบุปผา พ่อจะจัดการงานศพของแม่อิ่มให้อย่างดีที่สุด คิดเสียว่าแม่อิ่มหมดเคราะห์หมดโศก ไปสบายแล้วก็แล้วกัน...นะลูกนะ”
“ค่ะคุณพ่อ”
นายพลเทพกับมัทนาเดินกลับไปทางห้องใครห้องมัน บุปผาเดินหน้านิ่งเข้าห้องตัวเอง
บุปผานั่งอยู่บนเตียง สีหน้าครุ่นคิดถึงสิ่งที่อิ่มกระซิบบอก

โดยอิ่มพยายามจะพูดกับบุปผาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตาย
“ป้า..ต้อง..บอกแก”
“ป้าต้องบอกอะไรฉัน”
“อุ่น..ถูก...” อิ่มรวบรวมแรงพยายามจะบอกว่าถูกสร้อยเป็นคนฆ่า
“แม่อุ่นถูกอะไรจ๊ะป้า”
อิ่มพยายามฮึดเต็มที่ ก่อนจะขาดใจ “ถูก...” มองสร้อย “ฆ...ฆ...”
คุณหญิงมณีกับสร้อยแอบสบตากัน ใจคอไม่ดีว่าอิ่มจะพูดเรื่องอุ่นถูกสร้อยฆ่าออกมาได้หรือไม่
บุปผาถามอีก “ป้าอิ่มจะพูดว่าอะไรจ๊ะ”
อิ่มเกร็งไปทั้งร่าง พูดอะไรจะไม่ได้อยู่แล้ว บุปผาเอียงหูไปชิดริมฝีปากอิ่มเพื่อฟังว่าอิ่มจะพูดอะไร ไม่มีใครได้ยิน นอกจากบุปผาคนเดียว
“นังสร้อย...ฆ่า...อุ่น...ป้า...เห็น...กับตา”
ร่างของอิ่มก็กระตุกขึ้น 2-3 ครั้ง แล้วอิ่มก็สิ้นใจไป
ภาพอิ่มเลือนหายไป บุปผามีสีหน้าครุ่นคิด
“นังสร้อย...ฆ่าแม่อุ่นของเราเหรอ...ทำไม”

บุปผาคาใจ จึงนัดผกามาเจอที่สวนสาธารณะ ในวันต่อมา สองคนใส่ชุดดำไว้อาลัยอิ่มกันอยู่
บุปผาเอาเรื่องที่ข้องใจนี้มาคุยกับผกา
“นังสร้อยมันก็คงได้รับคำสั่งจากนังคุณหญิงมณีให้ไปฆ่าแม่อุ่นของแกน่ะสิ ก็ยุคนี้น่ะนะ..ถ้าไม่เมียหลวงสั่งเก็บเมียน้อย เมียน้อยก็ลวงเมียหลวงไปฆ่า เพื่อตัวเองจะได้ขึ้นแท่นแทน ไม่เห็นจะเข้าใจยากเลยบุปผา” ผกาบอกทันทีที่ฟังจบ
บุปผาคิดตาม “แม่บอกว่า..วันนั้นที่แม่เจอฉัน ก็คือตอนที่ป้าอิ่มอุ้มฉันวิ่งหนีอะไรมา แล้วรถของแม่ก็ไปชนป้าอิ่มเข้าใช่ไม๊”

ภาพจำผุดขึ้นในห้วงคิดผกาอีกครั้ง เป็นตอนที่อิ่มวิ่งอุ้มเด็กหนีกระเซอะกระเซิงมา เหลียวหันกลับไปมองข้างหลังอย่างหวาดกลัวจับหัวใจว่าสร้อยจะตามมาทำร้ายตนรึเปล่า แล้วรถของผกาที่แล่นมาจึงเบรกไม่ทัน พุ่งเข้าชนร่างของอิ่มเข้าให้ แม้จะพยายามเบรกแล้ว แต่ก็ยังกระแทกร่างของอิ่มอยู่ดี อิ่มล้มฟุบลงกับพื้นพร้อมเด็กที่ยังอุ้มแนบอกอยู่ ผกากับแขกวิ่งลงจากรถมาดูอิ่มด้วยความตกใจ
“วิ่งทะเล่อทะล่ามาไม่ดูรถเลยโว๊ย” แขกโวยวาย
“แหม..ท่านคะ..คนเขาบาดเจ็บนะคะท่าน แถมยังอุ้มเด็กมาด้วย”
ผกาพลิกตัวอิ่มให้หงายขึ้น ในขณะที่แขกไม่สนใจจะเข้ามาช่วยเลย ผกาคว้าตัวเด็กมาอุ้มไว้แทน ผกาก้มลงมองเด็ก
“ท่านคะ เราพาคนเจ็บไปส่งโรงหมอกันเถอะค่ะ” เห็นแขกลังเลผการีบอ้อน “นึกเสียว่า..ช่วยคนเอาบุญนะคะท่าน”
ภาพเลือนหายไปผกาบอกอย่างมั่นใจ
“ใช่”
“ท่านนายพลบอกฉันว่า...แม่อุ่นตายเพราะไฟไหม้บ้าน”
ภาพจำตอนที่นายพลเทพพูดกับบุปผาผุดขึ้น
“บุญรักษานะลูก พ่อเสียใจจริงๆ ที่ลูกต้องตกระกำลำบากมาตั้งแต่วันที่ลืมตาดูโลก วันที่พ่อเห็นบ้านแม่อุ่นวอดวายไปทั้งหลัง พ่อเข้าใจว่าพ่อสูญเสียไปหมดแล้วทั้งแม่อุ่นและลูก”
บุปผานิ่งคิด
“งั้นป้าอิ่มก็คงจะอุ้มฉันหนีอีสร้อยนี่ละ ฉันถึงได้รอดตายมาได้น่ะ”
“ก็คงงั้น”
บุปผามีสีหน้าเคียดแค้น “ถ้าป้าอิ่มไม่อุ้มฉันหนีมา งั้นฉันก็คงจะตายในกองไฟพร้อมกับแม่อุ่นไปแล้ว...แล้วเผลอๆ ที่ป้าอิ่มถูกงูกัดนี่ มันก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”
ผกางง “ทำไมแกคิดอย่างนั้นล่ะ”
เหตุการณ์ผุดขึ้นในหัวบุปผา ตอนที่ทุกคนวิ่งมาดูอิ่มที่ยังติดอยู่ในห้องกับงูเห่า บุปผาจะเปิดประตูเข้าไปดู แต่ติดล็อค คนอื่นๆเลยช่วยบุปผากระแทกประตูจนเปิดออก ทุกคนเห็นงูแผ่แม่เบี้ยอยู่กลางห้อง ทำให้อิ่มออกมาไม่ได้ แล้วสร้อยก็ดึงประตูปิด
“จะบ้าเรอะ ปิดประตูทำไม จะปล่อยให้ป้าอิ่มแกถูกงูกัดตายอยู่ในนั้นหรือยังไง”
“แต่ถ้าเปิดประตูแล้วงูออกมา แล้วเกิดมันเลื้อยขึ้นไปกัดคุณๆ บนตึก จะมิยุ่งกันใหญ่เหรอ”

บุปผานิ่งคิดทบทวน
“คนดีๆ มีแต่เขาคิดจะช่วยกันตีงูไม่ให้กัดคนได้ นี่อะไร กลับปิดประตูเฉยเลย ไม่ยังงั้นฉันก็คงเข้าไปช่วยป้าอิ่มทัน แล้วป้าอิ่มก็คงจะไม่ต้องมาตายอนาถอย่างนี้หรอก”
“อืม..จริง..นังสร้อยมันคงกลัวว่านังอิ่มจะเปิดโปงความลับเรื่องที่มันฆ่าแม่อุ่นน่ะสิ”
“แล้วทำไมป้าอิ่มไม่ยอมบอกฉันเรื่องนี้ก่อนหน้านี้ล่ะ”
“ไม่รู้สิ แต่ยังไงๆ เขาก็ยังบอกให้แกรู้ก่อนตายจนได้ละ”
“ยิ่งรู้อย่างนี้ นังคุณหญิงกับนังสร้อย มันจะต้องได้เห็นดีกับฉันแน่”
“แต่เรื่องมันก็ผ่านมาเกือบ 20 ปีแล้ว หลักฐานอะไรก็ไม่มี แล้วแกจะไปเอาเรื่องเอาความกับเขาได้ยังไง”
“แล้วแม่จะให้ฉันปล่อยให้แม่อุ่น กับป้าอิ่มต้องตายเปล่าไปอย่างนี้น่ะเหรอแม่”
“แล้วแกจะไปทำอะไรเขาได้ล่ะ”
บุปผาหงุดหงิดใจมากเมื่อคิดว่าจะทำอะไรคุณหญิงมณีกับสร้อย เพื่อชดเชยให้กับแม่อุ่นและป้าอิ่มไม่ได้เลย

วันต่อมานายพลเทพเอาพวงมาลัยวางลงตรงหน้าที่บรรจุกระดูก ซึ่งทำเป็น 2 ช่อง บรรจุกระดูกของอิ่มช่องหนึ่ง บรรจุกระดูกของอุ่นช่องหนึ่ง บุปผา มัทนา และไอศูรย์ นั่งคุกเข่าอยู่ใกล้ๆนายพลเทพ ในขณะที่คุณหญิงมณีกับสร้อย ยืนดูอยู่ไกลๆ คุณหญิงมณีไม่อยากทำบุญให้อุ่น แต่มาตามมารยาท
“ขอให้แม่อุ่น และแม่อิ่ม ไปสู่สุขคติเถอะนะ อย่าได้มีห่วง มีกังวลอะไรอีกเลย ฉันสัญญาว่าฉันจะดูแลบุปผาต่อไปอย่างที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้ละ”
นายพลเทพขยับออกไป บุปผาเข้ามาแทน บุปผาเอาพวงมาลัยวาง พูดในใจ
“ฉันสาบานว่า..ฉันจะไม่ยอมให้แม่อุ่น กับป้าอิ่ม ต้องตายเปล่าแน่”
บุปผาสีหน้ามุ่งมั่นจะแก้แค้นแทนแม่และป้าในสักวันหนึ่งที่มีโอกาส ไกลออกไปจากตรงนั้นคุณหญิงมณีและสร้อยยืนมองมาอย่างไม่สบายใจ
สักพักหนึ่งทั้งหมดกำลังจะเดินกลับ
“เดี๋ยวเราแวะหาอะไรทานกันก่อนเข้าบ้านดีไม๊ลูกพ่อต้นไปด้วยกันนะ”
“ผมต้องกลับบ้านครับ คุณแม่สั่งไว้ว่า..เสร็จจากงานที่นี่แล้ว ให้พาน้องมัทกับคุณลุง คุณป้าไปที่บ้านครับ”
“อ้าว..มีอะไรเหรอ”
คุณหญิงมณีเข้ามาสมทบ สร้อยตามมาด้วย
“คุณหญิงแจ่มจันทร์ให้คนไปรับคุณชไมมาจากเชียงใหม่น่ะค่ะ แต่...” มณีจ้องหน้าบุปผา พูดเน้นคำ “คนนอก” ไม่ต้องไป”
นายพลเทพโมโห “บุปผาไม่ใช่คนนอก บุปผาก็เป็นลูกของผมคนหนึ่งเหมือนกัน ถ้าไม่ให้บุปผาไป ผมก็ไม่ไป” ท่านนานพลหันมาพูดกับมัทนา “เข้าใจพ่อนะ”
มัทนารับคำอ่อยๆ “ค่ะคุณพ่อ”
นายพลเทพบอกกับไอศูรย์ “ลุงขอตัวนะพ่อต้น แล้วลุงจะหาโอกาสไปพบคุณหญิงแจ่มจันทร์วันหลัง ไป..ลูก”
แล้วนายพบเทพก็พาบุปผาเดินออกไป คุณหญิงมณีมองตามอย่างเจ็บใจ มัทนาพยายามชวนคุยเพื่อคลี่คลายบรรยากาศ ถามคุณหญิงมณีเสียงอ่อนโยน
“คุณป้ารับคุณชไมลงมาจากเชียงใหม่ทำไมคะคุณแม่”
“แม่กับคุณหญิงแจ่มจันทร์ตัดสินใจแล้วว่าจะให้คุณชไมหาฤกษ์หมั้นที่เร็วที่สุดให้ แม่ไม่อยากรอถึงปีหน้า”
มัทนาสีหน้าตื่นเต้น หันไปมองหน้าไอศูรย์ ไอศูรย์ก็ยิ้มอย่างตื่นเต้นพอกัน

นายพลเทพกับบุปผานั่งทานข้าวอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง
“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่พ่อมีโอกาสพาบุปผามากินข้าวนอกบ้านด้วยกันน่ะ ต่อจากนี้พ่อคงต้องหาเวลาพาบุปผากับยายมัท มาทานข้างนอกบ้านด้วยกันบ้างแล้ว ชดเชยกับที่เราไม่เคยมีโอกาสได้ทำอย่างนี้กัน”
บุปผายิ้ม ระหว่างนี้คุณหญิงประไพจอมทะลวงซ่อง กับพจน์ สามี เดินเข้าร้านมา
“เอ๊ะ นั่นมันท่านนายพลเทพ เทพบริบาล สามีคุณหญิงมณี ใช่ไม๊คุณ แล้วมากับผู้หญิงที่ไหนล่ะนั่น หน้าตาสะสวยเสียด้วย” ประไพตาโตทันที “หรือว่า..เมียน้อย”
“ถ้าใช่เมียน้อยจริง ท่านนายพลคงไม่กล้าพามานั่งกินในร้านหรูอย่างนี้หรอก คงจะลูกหลานมั้งคุณ”
“ไม่ใช่แน่ค่ะ คุณหญิงมณีกับท่านนายพล เธอมีลูกคนเดียว คือหนูมัทนา ซึ่งดิฉันรู้จักดีเพราะหนูมัทไปช่วยงานฉลองกึ่งพุทธกาลด้วย แต่นี่..ไม่ใช่หนูมัท ต้องเป็นเมียน้อยท่านนายพลแน่ๆ”
ประไพมองอย่างมั่นใจว่าบุปผาเป็นเมียน้อยแน่ๆ แต่นายพลเทพกับบุปผาไม่รู้ตัว
“ไม่ได้แล้ว ฉันจะต้องบอกเรื่องนี้ให้คุณหญิงมณีรู้ คุณหญิงจะได้จัดการอะไรได้ทันก่อนที่จะสายเกินไป”

เหตุการณ์ที่บ้านไอศูรย์ คุณหญิงมณีเอ่ยทักทายแม่หมอชไม
“ดิฉันดีใจจริงค่ะที่คุณชไมสละเวลา..ลงมาที่พระนครนี่ ทีแรกดิฉันกับคุณหญิงแจ่มจันทร์มีแผนจะขึ้นไปหาคุณชไมที่เชียงใหม่ แต่ก็มัวมีเรื่องยุ่งๆที่นี่เสียก่อน”
“ดิฉันทราบค่ะ”
“แต่ก่อนคุณชไมจะดูฤกษ์หมั้น ช่วยดูดวงยายมัทให้ก่อนได้ไม๊คะ ดิฉันอยากจะรู้ว่า...”
คุณหญิงมณีเหลือบมองมัทนาแล้วไม่อยากพูดว่าดวงร้าวต่อหน้าลูก
เหตุการณ์ตอนโดนชไมทักคุณหญิงมณีว่ามัทนากำลังดวงร้าว ผุดขึ้นมาในห้วงคิด
ชไมพยักหน้าอย่างเข้าใจ คุณหญิงมณีพูดต่อ
“ตอนนี้ยายมัทก็ใส่บาตร อาบน้ำมนต์ ครบตามที่คุณชไมบอกให้ทำเรียบร้อยแล้วค่ะ”
ชไมไม่พูดอะไร จับมือมัทนาไว้ แล้วหลับตาลง เพ่งจิต
แลเห็นภาพเหตุการณ์มัทนาใส่บาตรร่วมกับไอศูรย์ รวมทั้งตอนมัทนารับขันใส่น้ำมนต์เตรียมนำไปอาบ
ชไมที่ยังนั่งหลับตาอยู่ ด้วยสีหน้าพอใจ คุณหญิงมณีพลอยดีใจไปด้วย แล้วโดยที่ยังหลับตาอยู่ ชไมก็ขมวดคิ้วยุ่งขึ้นมา
เห็นผู้หญิงคนหนึ่งนุ่งผ้าถุงเดินคร่อมขันน้ำมนต์เพื่อให้น้ำมนต์เสื่อม แต่ไม่เห็นหน้าบุปผา

ชไมลืมตาขึ้น สีหน้าไม่สบายใจเอาเลย คุณหญิงมณีรีบถาม
“มีอะไรรึคะคุณชไม”
“อาบน้ำมนต์ครบทุกครั้งที่กำหนดก็จริง แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง...น้ำมนต์..เสื่อม”
“น้ำมนต์เสื่อม! หมายความว่ายังไงคะคุณชไม”
“มีคน...ทำให้เสื่อม”
“เป็นไปได้ยังไงกันคะ”
“แต่มันก็เป็นไปแล้วล่ะค่ะคุณหญิง”
“แล้ว..แล้วดิฉันต้องทำยังไงคะ”

ทุกคนรวมตัวกันอยู่ตรงมุมหนึ่งของบ้านไอศูรย์ พระพุทธรูปขนาดเล็กองค์หนึ่งถูกตั้งอยู่ในขันเงินขนาดใหญ่ ชไมกำลังเอาน้ำสะอาดรดลงที่องค์พระอย่างช้าๆ พลางบริกรรมคาถาเบาๆ คนอื่นๆ นั่งอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ
น้ำที่ถูกรดลงที่องค์พระไหลลงในขันเงินที่รองอยู่
หลังรดน้ำพระเสร็จ ชไมบริกรรมคาถาจบพอดี จึงยกเอาองค์พระออกจากขันเงินขนาดใหญ่นั้น ส่งคืนให้โฉมเอาพระไปเก็บที่ห้องพระ แล้วชไมก็เอาน้ำในขันเงินนั้นส่งให้มัทนาดื่ม และล้างหน้า
“น้ำมนต์นี้จะช่วยบรรเทาเคราะห์หนัก ให้เป็นเบาได้”
“แล้วเรื่องฤกษ์หมั้นละคะคุณชไม ดิฉันอยากได้ฤกษ์หมั้นให้พ่อต้นกับหนูมัทที่เร็วที่สุดน่ะค่ะ”
“ดิฉันเคยบอกแล้วฤกษ์ดีของหนูมัทกับพ่อต้นปีนี้ไม่มี”
คุณหญิงมณี คุณหญิงแจ่มจันทร์ มัทนา และไอศูรย์ หน้าเสียไปตามๆ กัน
ชไมเอ่ยขึ้น “ถ้าจะหมั้นกันจริงๆ ใช้ฤกษ์สะดวกก็แล้วกัน”
มณีรับเสียงอ่อยๆ “ค่ะ”
ชไมหันมามองมัทนา
“แล้วหนูมัทก็อย่าลืมถือศีล 5 อย่างเคร่งครัด และสวดแผ่เมตตาทุกวัน ความดีจะเป็นเกราะคุ้มกันภัยจากสิ่งเลวร้ายได้”
ชไมปรายตามองคุณหญิงมณี เพื่อเตือนสติคุณหญิงกรายๆ
“แล้วก็อย่าคิดร้ายกับคนอื่น ไม่อย่างนั้น..เรื่องร้ายจะย้อนกลับมาที่ตัวเอง”
มัทนายกมือไหว้ชไม “ค่ะคุณป้า”
คุณหญิงมณี ไม่เข้าใจในสิ่งที่ชไมพยายามจะเตือน
สร้อยกับโฉม ช่วยกันพาชไมไปพักผ่อน ส่วนคุณหญิงมณี คุณหญิงแจ่มจันทร์ ไอศูรย์ และมัทนา ยังอยู่ด้วยกัน
“คุณชไมบอกให้ใช้ฤกษ์สะดวกอย่างนี้ ตกลงเราจะเอายังไงกันดีคะคุณหญิง” แจ่มจันทร์ปรารภ
“ดิฉันก็คงต้องแล้วทางคุณหญิงแจ่มจันทร์ล่ะค่ะ..ว่าจะสะดวกเมื่อไหร่ เพราะถึงอย่างไรทางดิฉันก็เป็นฝ่ายหญิง คงต้องให้ทางฝ่ายชายเป็นฝ่ายดำเนินการ”
“ดิฉันก็ยังยืนยันว่าต้องการให้หมั้นกันเร็วที่สุด เพราะพ่อต้นน่ะร้อนใจ”
มัทนาหันไปมองไอศูรย์อย่างแปลกใจ

ครู่ต่อมาไอศูรย์กับมัทนามายืนคุยกันตามลำพังสองคน
“พี่ต้องร้อนใจสิ ในเมื่อพี่กำลังมีคู่แข่งที่น่ากลัว”
มัทนาน้อยใจ “พี่ต้นพูดเหมือนไม่ไว้ใจมัทเลย”
“พี่ไว้ใจน้องมัท แต่พี่ไม่ไว้ใจเพชร เพราะเพชรมาพูดกับพี่ว่า..ตราบใดที่เรายังไม่หมั้นกัน เขาจะไม่รามือจากน้องมัทเป็นอันขาด พี่ถึงต้องให้คุณแม่เร่งหาฤกษ์หมั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ หมั้นกันเรียบร้อยเมื่อไหร่ พี่จะได้อุ่นใจว่าเพชรจะเข้ามายุ่งกับน้องมัทไม่ได้อีกต่อไป”

ด้านเพชรอยู่ที่โรงพยาบาลประคองพลอยขึ้นนั่ง
“ค่อยยังชั่วขึ้นไม๊พลอย”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ แค่พี่เพชรอย่าเพิ่งบอกพี่ต้นนะ ถ้าพี่ต้นรู้ว่าพลอยค่อยยังชั่วแล้ว เขาคงให้พลอยกลับบ้าน พลอยอยากอยู่ที่โรงพยาบาลนี่ต่อไปก่อนค่ะ”
เพชรยิ้มขำ “ร้ายนักนะเรา แต่ยังไง..พลอยก็อยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้หรอกนะ”
“พลอยรู้ค่ะ เพราะฉะนั้น..พี่เพชรก็ต้องเร่งทำคะแนนกับยายมัท พลอยจะได้มีโอกาสกับพี่ต้นบ้าง ถ้าพี่เพชรคว้าตัวยายมัทไปได้ พลอยก็หมดคู่แข่งไป”
เพชรพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

บุปผากับนายพลเทพเพิ่งกลับถึงบ้านเทพบริบาลแล้ว
“บุปผามีอะไรก็ไปทำเถอะ เดี๋ยวพ่อจะอาบน้ำแล้วก็ว่าจะอ่านหนังสือสักหน่อย”
“งั้นบุปผาจะลงไปดูพี่สินหน่อยค่ะ มัวแต่วุ่นๆ เรื่องงานศพป้าอิ่ม เลยไม่ได้ไปเยี่ยมพี่สินเสียหลายวัน”
นายพลเทพพยักหน้ารับรู้

ขณะที่สินกำลังยกแขน ยกขา ออกกำลังกายเบาๆ อยู่อย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าดีใจที่ตัวเองขยับตัวได้มากขึ้น แม้ไม่ปกติอย่างเดิม แต่ก็ไม่ได้นอนเป็นผักอย่างเก่าแล้ว สินหัวเราะ
“อีก..ไม่นาน..หรอก..นัง..บุปผา”
เสียงหวานๆ ของบุปผาแหลมเข้ามา “พี่สินจ๋า...”
สินตกใจที่กำลังตั้งสมาธิประคองร่างอยู่ก็หลุดกะทันหัน ร่างตกจากเตียงดังโครม บุปผาวิ่งเข้ามาสีหน้าตกใจเพราะได้ยินเสียงดัง แต่พอเข้ามาเห็นว่านายสินตกเตียงลงมานั่งอยู่กับพื้น สีหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด บุปผาก็หัวเราะชอบใจ
“โถๆๆๆๆ ตกเตียงหรือคะพี่สิน เจ็บแย่เลยสิคะนั่น สงสัยจะตกใจที่เห็นฉันใส่ชุดดำมาหาเหรอจ๊ะ”
แล้วบุปผาก็ทำเป็นป้องปากตะโกนเรียกคน แต่เสียงเบามาก
“ใครก็ได้ มาช่วยพี่สินกันหน่อยเร้ว”
บุปผาหันกลับมาหาสิน แล้วแกล้งทำสีหน้าผิดหวัง
“ว๊า..ไม่มีใครมาเลย” บุปผาเดินกรีดกรายเข้าไปใกล้สิน “พี่สินก็ตัวหนักเสียด้วย ฉันคนเดียวก็พาพี่สินกลับขึ้นเตียงไม่ไหวหรอก พี่สินคงต้องนั่งอยู่อย่างนี้จนกว่าจะมีใครมาพบแล้วละมั้ง” จากนั้นอีกาที่กลายร่างเป็นหงส์ก็หัวเราะชอบอกชอบใจ
สินแค้นใจมาก ขยับมือไปจับข้อเท้าบุปผาเอาไว้หมับ
บุปผาตกใจ “ว้าย นี่แกขยับมือได้แล้วเหรอเนี่ย ดีละ”
บุปผาสลัดขาสุดแรงจนมือสินหลุดไป สินประคองร่างไว้ไม่อยู่ ล้มกลิ้งไปกับพื้น
บุปผาเดินเข้ามาใกล้แล้วจงใจเหยียบมือสินข้างที่จับขาเธอเอาไว้เมื่อกี้เต็มแรง
สินร้องครวญครางอยู่ในลำคออย่างเจ็บปวด แล้วมองหน้าบุปผาด้วยแววตาเคียดแค้นสุดขีด บุปผาทรุดลงนั่งในระดับเดียวกัน แล้วจ้องตาสินเขม็ง
“เกลียดฉันมากนักเหรอไอ้สิน จะบอกอะไรให้นะ เวลานี้แกหมดประโยชน์สำหรับฉันแล้ว ฉันก็ไม่รู้ว่าจะเก็บแกไว้ให้รกบ้านทำไม แกรอดตายจากน้ำมือฉันมาได้ถึง 2 ครั้ง แต่ฉันรับรองว่าคราวนี้ แกไม่รอดแน่”
พูดจบบุปผาก็เอามือข้างหนึ่งบีบจมูก และมืออีกข้างอุดปากสินไว้ กะจะให้ขาดใจตาย สินดิ้นพราดๆ แขนขาเปะปะป่ายไปทั่ว แต่บุปผาไม่สน จนในที่สุดมือเท้าของสินเริ่มอ่อนแรงลงเรื่อยๆ หมดแรงดิ้นสู้แล้ว
ทันใดนั้นไอศูรย์กับมัทนาก็วิ่งเข้ามา เห็นแต่ด้านหลังของบุปผา
“นายสิน” เสียงมัทนาเรียกดังขึ้น

บุปผาตกใจมากที่มัทนามาโดยที่เธอไม่ทันระวังตัว คิดหาทางเอาตัวรอดอย่างรวดเร็ว
บุปผารีบหันมาหาสองคน
“พี่มัท คุณหมอ ช่วยพี่สินด้วยค่ะ พี่สินตกเตียงลงมา”
ไอศูรย์รีบเข้ามาดูอาการสิน ซึ่งสินพยายามจะพูดบอก แต่พอเห็นบุปผามองมา
ก็เปลี่ยนใจ
“ไม่ จะให้มันรู้ไม่ได้ว่าเราเริ่มพูดได้”

สินคิดในใจ ได้แต่มองบุปผาอย่างแค้นเคือง ไอศูรย์รีบอุ้มนายสินกลับขึ้นเตียง โดยมีมัทนาช่วย

ส่วนบุปผามองอย่างเจ็บใจที่ฆ่าสินไม่สำเร็จดังใจหมาย

ต่อมาไม่นานนักบุปผากำลังยกมือไหว้ไอศูรย์

“บุปผาขอบคุณ-คุณหมอมากนะคะที่ช่วยพี่สินไว้ ลำพังแต่บุปผา เห็นพี่สินตกเตียงลงมาอย่างนั้นก็ทำอะไรไม่ถูกเลยค่ะ”
“ไม่เป็นไร แต่ต่อไปต้องช่วยกันดูแลอย่าให้นายสินตกเตียงลงมาได้อีกนะ เพราะอาการอาจจะทรุดหนักลงกว่าเดิมได้” ไอศูรย์กำชับ
“ค่ะคุณหมอ บุปผาจะดูแลพี่สินให้มากกว่าเดิมค่ะ”
“พี่รู้แล้วว่า..จะป้องกันยังไงไม่ให้นายสินตกเตียงอีกได้ยังไง”
ทุกคนหันไปมองมัทนาอย่างแปลกใจ

เหล่าคนใช้กำลังช่วยกันยกเตียงสินออก ส่วนตัวสินนอนบนฟูกที่ปูกับพื้นซึ่งที่นอนนี้จัดใหม่อย่างสวยงาม และสะอาดสะอ้าน
“มัทเข้าใจคิด”
มัทนายิ้ม นายพลเทพประกาศ
“แล้วต่อไปขอให้ผลัดเวรกันเข้ามาดูแลนายสินกันให้มากกว่าเดิมนะ” ท่านนายพลพูดกับคุณหญิงมณี “ฝากคุณหญิงดูเพิ่มเงินดาวน์เงินเดือนให้พวกเขาด้วย เพราะพวกเขาก็ต้องมีภาระกันมากขึ้นกว่าเดิม”
เหล่าคนใช้ยิ้มหัวชอบใจไปตามๆ กัน
คุณหญิงมณีรับเสียงห้วนๆ “ค่ะ” แล้วหันมาทางไอศูรย์ “ป้าขอตัวก่อนนะพ่อต้น”
แล้วคุณหญิงมณีก็เดินออกไป สร้อยตามติด บุปผาเข้าไปลูบแขนลูบตัวสินคล้ายปลอบใจ
“แล้วบุปผาจะมาดูพี่สินบ่อยๆ นะจ๊ะ” บุปผาจิกตาพูดกับสินโดยเฉพาะ “อย่าห่วงเลย”
สินกับบุปผาจ้องตา ต่างฝ่ายต่างวัดใจกัน

คุณหญิงมณีเดินมาอีกมุม สร้อยตามมา
“ดูท่านนายพลจะเอาอกเอาใจนังบุปผามันเสียเหลือเกินนะคะคุณหญิง นายสินเป็นแค่คนขับรถแท้ๆ แต่พอพ่อแม่มันเคยเลี้ยงดูนังบุปผา ท่านนายพลก็ทำเสียอย่างกับว่านายสินเป็นญาติคนหนึ่งอย่างนั้นแหละ”
คุณหญิงมณีไม่ตอบอะไรออกมา สายตามองออกไปหน้าตึก
เห็นบุปผากับมัทนาไหว้ลาไอศูรย์ที่ขึ้นรถแล้วขับออกไป และนายพลเทพโอบบ่าลูกสาวทั้งสองกลับขึ้นมาบนตึก เป็นภาพที่ทำให้คุณหญิงมณีเจ็บจี๊ดที่หัวใจ จนเลือดกำเดาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง !

ส่วนทางด้านพลอยนอนพักผ่อนอยู่บนเตียง ท่าทางดีขึ้นมากแล้ว แต่พอไอศูรย์เดินเข้ามา พลอยก็เลยทำท่าป่วยอีก
“วันนี้เป็นยังไงบ้างคะน้องพลอย” ไอศูรย์ตรวจดูอาการโดย ทั่วไปของพลอย “ดีจริง..ไข้ไม่มี ยังเจ็บตรงไหนอยู่ไม๊”
“ยังเจ็บที่ชายโครงอยู่ค่ะพี่ต้น แล้วก็เวียนหัวยังไงก็ไม่ทราบค่ะ”
“งั้นพี่จะเพิ่มยาบำรุงให้อีกตัวหนึ่ง แล้วบ่ายนี้น้องพลอยก็น่าจะกลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้”
“ขอพลอยนอนที่นี่ต่ออีกสักคืนได้ไม๊คะพี่ต้น กลับไปบ้านก็ไม่มีคนดูแล พี่เพชรน่ะมัวแต่วุ่นทำคดีอยู่ เมื่อกี้ก็มีลูกน้องมาตามตัวด่วน เพิ่งออกไปนี่แหละค่ะ”
“ก็ได้ครับ”
พลอยยิ้มพอใจ

ขณะเดียวกันเพชรวิ่งเข้ามาตรงหน้าบ้านกำพลพร้อมกับตำรวจลูกน้องคนหนึ่ง โดยมีลูกน้องอีก 2-3 คนยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น ขโมยขึ้นบ้านกำพลเหรอ” เพชรถาม
“ยังไม่ทราบครับ แต่เพื่อนบ้านเขาเห็นว่าเมื่อคืนนี้บ้านปิดไฟมืดตลอดทั้งคืน เช้านี้ก็ยังเงียบอยู่ แต่รถคุณกำพลอยู่ในโรงเรียบร้อย เขาก็เลยโทร.แจ้งให้เรามาดูหน่อย กลัวว่าจะเกิดเหตุร้ายในบ้านน่ะครับ” ลูกน้องรายงาน
“ลองกดออดเรียกรึยัง”
“กดหลายครั้งแล้วครับ ไม่มีใครมาเปิด”
เพชรพยักหน้ารับรู้ แล้วลองกดออดเรียกดูบ้าง ในบ้านยังเงียบอยู่ เพชรตัดสินใจเปิดประตูเล็กเข้าไป ค่อยๆ เดินเข้าไปในบ้าน

เพชรเดินเข้ามาในบ้าน กวาดตามอง ทุกอย่างยังอยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่มีอะไรผิดปกติ เพชรลองเรียกดู
“กำพล อยู่รึเปล่า”
ทุกอย่างในบ้านเงียบกริบ เพชรตัดสินใจเดินขึ้นไปชั้นบน ลูกน้องตำรวจตามไปด้วย

เพชรเดินขึ้นมาชั้นบน ลูกน้องตามมาด้วย พอขึ้นมาใกล้ห้องนอนกำพล ทุกคนก็ทำหน้าแบบได้กลิ่นเหม็นของอะไรบางอย่าง
เพชรหน้าเครียด มีลางสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นเสียแล้ว เพชรค่อยๆ เดินไปที่ห้องกำพล เอามือเคาะประตูห้องเบาๆ
“กำพล นี่ฉันเองนะ แกอยู่ในห้องรึเปล่า”
ไม่มีเสียงตอบออกมาจากในห้องเช่นเดิม เพชรลองเปิดประตูดู พบว่าประตูไม่ได้ล็อค เพชรเปิดประตูเข้าไปแล้วก็ต้องตะลึง เมื่อเห็นศพกำพลขึ้นอืดหน้าเปลี่ยนเป็นสีม่วงแล้ว ตายังเบิกโพลงเช่นเดิม เพชรวิ่งพรวดเข้าไปที่กำพล เห็นขวดปากฉลามยังคาอกกำพลอยู่
“กำพล”
ลูกน้องวิ่งตามมา แต่หยุดอยู่แค่หน้าประตูห้อง เพชรกวาดตามอง
เห็นแสงที่ยังนอนอยู่เพชรเข้าไปดู
“คนนี้ถูกยิง แต่ยังไม่ตาย! รีบพาไปส่งโรงพยาบาลเร็ว”
ลูกน้องรีบเข้าไปดูแสง ส่วนเพชรเหลียวมองดูกำพลอีกครั้ง แล้วส่ายหน้าอย่างสุดสลดที่เพื่อนรักต้องมาตายอย่างอนาถอย่างนี้ แสงยังไม่ตาย แต่หน้าซีดขาวแลดูน่ากลัว

ไอศูรย์เดินเร็วๆ เข้ามาที่เพชร ที่เดินตามแสงซึ่งกำลังจะถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉิน
“ผมพาคนถูกยิงคนหนึ่งมาครับ ท่าทางสาหัส พี่ต้นช่วยดูให้หน่อยครับ”
ไอศูรย์มองแสงแล้วขมวดคิ้ว แสงถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินไป ไอศูรย์มองตาม
“นี่มัน..นายแสงนี่”
“พี่ต้นรู้จักเขาด้วยเหรอครับ”
“ถ้าพี่จำไม่ผิด เขาเป็นคนที่บ้านน้องมัท แล้วแสงถูกยิงได้ยังไงเพชร”
“ผมยังบอกอะไรพี่ต้นตอนนี้ไม่ได้ครับ แต่ถ้าพี่ต้นคิดว่าเขาคือคนของบ้านเทพบริบาล ผมจะเชิญคนที่บ้านนั้นให้มาดูก่อนว่าใช่นายแสงที่พี่ต้นว่าจริงรึเปล่า”
ไอศูรย์พยักหน้าแล้วเดินเข้าห้องฉุกเฉินไป สมพลพ่อเพชรวิ่งเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้นเพชร ใครทำกำพล แล้วตอนนี้กำพลอยู่ที่ไหน มันเจ็บมากไม๊”
“เอ่อ..คุณอาครับ กำพล..เสียแล้วครับ”
สมพลตะลึง “อะไรนะ! กำพลตายแล้ว! ใครฆ่ามัน”
“คุณอารู้จักคนชื่อนายแสงไม๊ครับ”
“มันเป็นคนที่ไหนไม่รู้ กำพลมันรับเข้ามาอยู่ในบ้านด้วยเมื่อไม่นานมานี้เอง พ่อเคยเตือนมันแล้วว่าอย่ารับคนไม่รู้จักหัวนอนปลายตีนเข้ามาอยู่ในบ้าน มันเป็นคนฆ่ากำพลเหรอ”
“เรายังไม่ทราบแน่ชัดครับคุณอา แต่ถ้าทราบแน่ชัดเมื่อไหร่ ผมจะรีบบอกคุณอาทันที
สมพลร้องไห้ ชกกำแพงระบายอารมณ์แค้น เพชรมองดูอย่างเครียดๆ

ทุกคนที่บ่นเทพบริบาลตกใจเมื่อเพชรมาบอกเรื่องแสง โดยเฉพาะสร้อย ส่วนบุปผานั่งฟังอย่างสนใจ มั่นใจว่าแสงไม่เห็นหน้าตนตอนยิงแน่ เลยไม่กลัวแสงจะฟื้นมาซัดทอด
“นายแสงเหรอ” นายพลเทพย้อนถาม
“พี่ต้นว่าอย่างงั้นครับ แต่พี่ต้นก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ผมก็เลยต้องมาถามว่าที่บ้านนี้มีคนชื่อแสงรึเปล่าน่ะครับ”
“มี แต่ลุงไล่มันออกจากบ้านไปนานแล้ว เพราะมัน...” ท่านนานพลเหลือบมองไปที่บุปผาขณะบอกต่อ “คิดจะทำมิดีมิร้ายกับบุปผา”
“ผมรบกวนคุณลุงช่วยไปดูหน้านายแสงที่โรงพยาบาลหน่อยได้ไม๊ครับว่าใช่นายแสงคนเก่าของที่นี่จริงๆ รึเปล่า”
“ได้สิ” ท่านนายพลขยับลุกขึ้น
“มัทไปเป็นเพื่อนคุณพ่อด้วยดีไม๊คะ”
“อย่าเลย มัทเป็นผู้หญิง อยู่ที่บ้านนี่เถอะ พ่อไปเอง”
“ขอสร้อยไปด้วยค่ะท่าน สร้อยก็อยากรู้เหมือนกันว่าใช่ไอ้แสง ลูกของสร้อยรึเปล่า”
นายพลเทพพยักหน้าอนุญาต นายพลเทพ สร้อย ออกไปกับเพชร บุปผา มัทนา และคุณหญิงมณีมองตาม บุปผาพึมพำเบาๆ
“ถ้าแกไม่ตาย ก็ติดคุกหัวโตแน่...ไอ้แสง”
แล้วบุปผาก็ยิ้มร้ายอย่างสาสมใจออกมา

ที่หอโคมแดงมุกมีสีหน้าตกใจพอได้ฟังผกาเล่าจบ
“คุณกำพลตายแล้ว”
ผกาพยักหน้าอย่างสลดหดหู่ “อือ...”
“แม่รู้ได้ไง”
“ก็มีคนโทร.มาบอกน่ะสิ เขาบอกว่า..สงสัยจะถูกคนในบ้าน ที่คุณกำพลเพิ่งรับเข้าไปอยู่ด้วยเมื่อไม่นานมานี้..มันฆ่าเอา” ผกาบอก
มุกบ่นกับตัวเองคนเดียว “โธ่เอ๊ย..เงินเรื่องนังบุปผาก็ไม่ได้ หวังจะเต๊าะเล็กๆน้อยๆบ้าง ก็มาตายเสียนี่ ลูกค้าคนเดียวของฉัน”
มุกสุดเซ็ง คนอื่นพลอยเซ็งไปด้วย

ด้านแสงถูกช่วยชีวิตไว้ โดยผ่าตัดเอากระสุนออกเรียบร้อยแล้ว แต่ยังนอนไม่ได้สติอยู่ นายพลเทพกับสร้อยยืนมองอยู่
“ไอ้แสง ! ไอ้แสงจริงๆด้วย”
สร้อยพุ่งเข้าไปกอดแสง แทบขาดใจ
ไอศูรย์บอกกับเพชร “พี่ผ่าเอากระสุนออกจากตัวนายแสงเขาเรียบร้อยแล้ว พ้นขีดอันตรายแล้ว แต่คงต้องพักฟื้นสักระยะน่ะเพชร”
เพชรพยักหน้า
“ไอ้แสงมันไปทำอะไรมาเหรอเพชร มันถึงถูกยิงปางตายมาแบบนี้”
“คุณสมพล พ่อของกำพลบอกว่านายแสงเนี่ยไปอยู่ที่บ้านกำพลได้ระยะหนึ่งแล้วครับคุณลุง แล้วคนของผมบอกว่า…”
เพชรเล่าว่าก่อนหน้านี้ลูกน้องกำลังมารายงานกับเพชรที่สถานีตำรวจ
“เมื่อวานนี้..ก่อนเกิดเหตุ มีคนเห็นนายแสงก็ไปเข้าบ่อนเล่นเสียจนหมดตัว ยังติดหนี้ในบ่อนอยู่เลยครับ”
เพชรเล่าต่ออีก “ผมก็เลยสันนิษฐานว่า แสงคงจะกลับบ้าน แล้วไปขโมยข้าวของของกำพลเตรียมจะเอาไปขายหรือจำนำ เพื่อเอาเงินไปใช้หนี้ที่บ่อน เพราะเราพบข้าวของมีค่าค่าของกำพลหลายอย่าง อยู่ในกระเป๋าของนายแสงครับ แล้วกำพลมันคงมาเจอเข้า ก็เลยเกิดการต่อสู้กัน”
เพชรเล่าว่าเห็นกำพลนอนตาย ตาเบิกโพลง โดยมีขวดปากฉลามปักคาอกอยู่
“นายแสงเลยแทงกำพล”
พอเพชรเข้าไปดูแสง แล้วพบว่าแสงถูกยิง แต่ยังไม่ตาย
“ส่วนกำพลก็ยิงแสง”
“แต่กำพลมันไม่โชคดีอย่างแสงครับ” เพชรเล่าจบพอดี
แล้วทุกคนก็ต้องตกใจ เมื่อจู่ๆ สมพลก็พุ่งมาจากไหนไม่รู้ ผ่านกลุ่มของเพชร ไอศูรย์ และนายพลเทพ เข้าไปถึงตัวแสงที่นอนไม่ได้สติอยู่ โดยมีสร้อยนั่งอยู่ใกล้ๆ สมพลพุ่งเข้าไปทุบแสงอย่างไม่ปรานีปราศรัย
“มึงฆ่าลูกกู ! กูไม่เอามึงไว้หรอก”
แสงถูกสมพลทุบจนกระอักเลือดออกมา สร้อยตกใจมาก เพชร ไอศูรย์ และ
นายพลเทพ รีบพุ่งเข้าไปดึงตัวสมพลให้ห่างออกมาจากแสง สมพลดิ้นโวยวายใหญ่
“ปล่อยกู อย่ามาจับกู กูจะฆ่าคนที่มันฆ่าลูกกู”
เกิดความชุลมุนโกลาหล โดยมีสร้อยกอดแสงไว้ แล้วมองดูความวุ่นวายที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยความกลุ้มใจสุดๆ

นายพลเทพกับสร้อยเดินกลับเข้ามาในบ้าน มัทนารีบเข้ามาถามสร้อย ที่เดินเข้ามาหน้าเครียด ด้วยความเป็นห่วง
“ตกลงใช่แสง ลูกสร้อยรึเปล่าจ๊ะ”
“ใช่ค่ะคุณหนู”
“โธ่..แล้วตอนนี้แสงเป็นยังไงบ้างจ๊ะ”
“พ้นขีดอันตรายแล้วค่ะคุณหนู แต่มันอาจจะตายเพราะอย่างอื่นแทนได้”
“อะไรเหรอจ๊ะสร้อย”
สร้อยส่ายหน้ากลุ้มใจ พูดไม่ออก นายพลเทพเลยบอกแทน
“พ่อของกำพลจะเอาเรื่องไอ้แสงให้ถึงที่สุด โทษฐานที่ฆ่าลูกชายคนเดียวของเขา ทั้งขโมย ทั้งฆ่าคนตาย ถ้าไอ้แสงไม่ติดคุกหัวโต ก็อาจจะเจอโทษประหาร”
สร้อยร้องไห้โฮออกมา คุณหญิงมณีเดินไปปลอบ
“ไม่มีทางช่วยไอ้แสงเลยหรือคะคุณ” มณีพูดเป็นเชิงหารือสามี
“หลักฐานมันมัดตัวไอ้แสงมันแน่นหนาเหลือเกิน ท่าจะช่วยยากล่ะคุณหญิง”
สร้อยร้องไห้อีก คุณหญิงมณีระอา มัทนาสงสารสร้อย แต่บุปผาแอบยิ้มสะใจ ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของหล่อน


ตกตอนกลางคืนสร้อยกำลังนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่กับคุณหญิงมณีอย่างน่าเวทนา
บุปผามายืนดูสร้อยอยู่มุมหนึ่งด้วยสีหน้าสะใจ
“แกฆ่าแม่กับป้าฉัน กรรมมันก็เลยไปตกที่ลูกแกแล้วนังสร้อย สมน้ำหน้า”
พูดแล้วบุปผาก็เดินหนีไป
คุณหญิงมณีคุยอยู่กับสร้อย
“เรื่องมันเป็นแบบนี้แล้ว เราคงจะช่วยอะไรแสงมันไม่ได้หรอกนะสร้อย นอกจากทำใจ”
“ไม่ค่ะคุณหญิง สร้อยไม่มีวันยอมให้ไอ้แสงมันถูกขังตลอดชีวิต หรือโดนโทษประหารแน่ๆ สร้อยต้องช่วยมัน ยังไงๆ มันก็เป็นลูกสร้อย ถึงพ่อมันจะเลว ไข่ไว้แล้วก็ทิ้งไป แต่มันยังก็เป็นลูก คุณหญิงเองก็มีลูก คงเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นแม่เหมือนกัน คนเป็นแม่ไม่มีวันยอมเห็นลูกหายนะหรอกค่ะ”
คำพูดของสร้อยบาดใจคุณหญิงมณีมาก
“แล้วแกจะทำยังไง”
สร้อยกระซิบตอบ “พอไอ้แสงมันค่อยยังชั่ว สร้อยจะให้มันหนีค่ะคุณหญิง หนีไปที่ไหนก็ได้ในโลกนี้ แม้จะไม่ได้เจอหน้ากันอีก แต่ก็ยังดีกว่าต้องทนนั่งดูมันถูกโทษประหารหรอกค่ะ”
“งั้นฉันจะให้เงินแกเอาไปให้ไอ้แสงก้อนนึง ให้มันเอาไว้ใช้สำหรับหนี”
สร้อยมองคุณหญิงมณีน้ำตาปริ่ม ก้มลงกราบแทบเท้า
“สร้อยจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้ของคุณหญิงเลยค่ะ”
คุณหญิงมณีพยักหน้ารับ หน้านิ่งๆ ไม่บอกอารมณ์อะไร
“ไปนอนเถอะสร้อย”
สร้อยปาดน้ำตาแล้วเดินออกไป คุณหญิงมณีมองตาม สีหน้าครุ่นคิด พูดกับตัวเอง
“ฉันไม่ได้พิศวาสอะไรลูกแกนักหรอกนะนังสร้อย แต่ฉันเห็นแก่ความจงรักภักดีที่แกมีให้กับฉัน แล้วฉันก็ยังต้องใช้แกทำงานสกปรกให้ฉันต่อไป”
คุณหญิงมณีเผยความร้ายกาจที่แม้แต่สร้อยก็ไม่คาดคิด

ขณะที่ไอศูรย์กำลังคุยงานอยู่กับพยาบาล เพชรในชุดนายตำรวจเดินเข้ามาหา
“จะมารับน้องพลอยกลับบ้านใช่ไม๊” ไอศูรย์ทัก
“ครับพี่ต้น แต่ก่อนจะรับยายพลอยกลับ ผมขอแวะดูนายแสง กับนายเถาก่อน ถ้าอาการดีขึ้นพอจะพูดได้ จะได้เริ่มสอบปากคำกัน”
“นายเถาน่ะ..แผลที่ถูกน้ำมันเดือดลวกถึงจะดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้สติเลย”
“แล้วนายแสงละครับ” เพชรถาม

แสงลืมตาขึ้น เห็นหน้าสร้อยเป็นคนแรก
“แม่…”
สร้อยร้องไห้ น้ำตาไหลพรากๆ สงสารลูกจับใจ “แกเป็นยังไงบ้าง”
แสงยังงงอยู่ จับต้นชนปลายไม่ถูก “ฉันเป็นอะไรน่ะแม่”
“แกถูกยิง”
“ใครยิง”
“เขาว่าคุณกำพลยิงแก”
แสงอึ้ง ค่อยๆ นึกทบทวนเหตุการณ์ พร้อมกับเล่าเรื่องให้แม่ฟัง
ตอนที่แสงมาเรียกกำพลที่ห้อง
“คุณกำพลเป็นอะไรรึเปล่าครับ”
แล้วโดยที่แสงไม่ได้คาดคิด ประตูห้องกำพลก็เปิดออกโดยไม่เห็นตัวคนเปิด แสงงง ค่อยๆเดินเข้าไปในห้อง
พอแสงเดินเข้าไปในห้อง เห็นสภาพกำพลก็ตกตะลึง
“คุณกำพล”
แสงพุ่งเข้าไปดูกำพล แล้วได้ยินเสียงคนเดินข้างหลังจะเหลียวไปดู แต่ไม่ทันได้หันตัว ก็ถูกยิงเปรี้ยงเข้าให้ โดยไม่ได้เห็นหน้าคนยิง

แสงยืนยันหนักแน่น
“ไม่ใช่ คุณกำพลไม่ได้ยิงฉัน”
“แต่ตำรวจเขาพบปืนในมือคุณกำพล แล้วในกระเป๋ากางเกงแก ก็มีของมีค่าของคุณกำพลหลายอย่าง ตำรวจเขาก็เลยสันนิษฐานว่าแกเข้าบ่อนจนหมดตัว เลยกลับไปขโมยของของคุณกำพล แล้วก็เลยมีเรื่องกัน คุณกำพลยิงแก ส่วนแก..ก็เป็นคนแทงเขาตาย”
แสงตกตะลึง “ไม่ใช่นะแม่ ตอนที่ฉันเข้าไปในห้องของคุณกำพลน่ะ ฉันก็เห็นคุณกำพลนอนตายอยู่แล้ว ฉันไม่ได้ทำอะไรเขาเลยนะ”
“แต่หลักฐานมันมัดตัวแกแน่นหนาเหลือเกินนะไอ้แสง ท่าจะดิ้นหลุดยาก เห็นเขาว่า..ฆ่าคนตายอย่างงี้ ไม่ติดคุกตลอดชีวิต ก็ต้องโดนโทษประหาร”
แสงตาเหลือก “โทษประหาร”
“ถึงแกจะไม่โดนโทษประหาร แต่พ่อของคุณกำพลก็ท่าจะไม่เอาแกไว้แน่ แกก็รู้ว่าคุณสมพลน่ะมีอิทธิพลมากขนาดไหน แกไม่รอดแน่”
แสงกลัวจับจิต “แม่ แล้วฉันควรจะทำยังไงดีล่ะแม่”
สร้อยเหลียวไปดูที่ประตูห้อง เห็นยังไม่มีใครมา จึงล้วงเอาเงินที่คุณหญิงมณีให้มา ออกมายัดใส่มือแสง
“แกต้องหนีไอ้แสง หนีไปไหนก็ได้ แต่ต้องไปให้ไกลที่สุดแล้วต้องไม่กลับมาที่พระนครนี่อีก ได้ยินไม๊”
แสงก้มลงมองเงินในมือ แล้วมองหน้าแม่อย่างรู้กัน

สร้อยเดินออกมาหน้าห้อง แล้วพูดกับตำรวจเวร ที่มาเฝ้าและควบคุมตัวแสงที่โรงพยาบาลตลอด 24 ชั่วโมง เบนความสนใจ
“ฉันเยี่ยมลูกเสร็จแล้วจ้ะ”
ตำรวจพยักหน้ารับรู้ กำลังจะชะโงกหน้าเข้าไปดูว่าแสงยังอยู่ในห้องดีหรือไม่ แต่จู่ๆ สร้อยก็เอามือกุมท้อง ทำสีหน้าเจ็บปวดปางตาย แล้วทรุดลงนั่งแบบยืนไม่ไหว
“โอ๊ย..ทำไมปวดท้องอย่างงี้ โอ๊ย..ช่วยด้วย”
ตำรวจเวรเลยหันมาดูอาการของสร้อยก่อน จึงเป็นการเปิดโอกาสให้แสงที่แม้จะยังบาดเจ็บอยู่ มีจังหวะหนี ตำรวจเวรหันมาเห็นแสงกำลังออกมาจากในห้องก็เอะอะขึ้น
“เฮ้ย” ตำรวจตั้งท่าจะพุ่งไปตะครุบตัวแสงไว้
แสงหันมาเห็นก็ตกใจ สบตากับแม่ สร้อยรีบคว้ามือตำรวจเวรไว้
“อย่าทิ้งฉันไป ช่วยฉันก่อน ฉันปวดท้อง”
ตำรวจเวรเสียจังหวะ ทำให้แสงฉกเอาปืนพกไปได้ จากนั้นก็วิ่งหนีไป จังหวะนี้เพชรกับไอศูรย์เดินมาตรงทางเดินพอดี
สองหนุ่ม เห็นสร้อยยื้อยุดฉุดมือตำรวจเวรไว้ ไม่ให้วิ่งตามแสงไปได้
“เฮ้ย หยุด”
แสงหันมาเห็นเพชรในเครื่องแบบตำรวจ ก็ยิ่งรีบวิ่งเตลิดหนีไปใหญ่ เพชรกับไอศูรย์วิ่งตาม

แสงวิ่งซมซานมาแต่วิ่งไม่ได้เร็วมากเพราะยังเจ็บหนักอยู่ เพชรกับไอศูรย์วิ่งตามมาติดๆ ผู้คนที่เดินอยู่ใน โรงพยาบาล ต่างพากันร้องวี้ดว้ายด้วยความตกใจ แสงเห็นจวนตัว ก็เลยคว้าตัวผู้หญิงที่เดินอยู่แถวนั้นมาล็อคคอ แล้วเอาปืนจี้ไว้ ผู้หญิงดวงซวยตัวประกันตกใจกลัวจนตัวสั่น ทำอะไรไม่ถูก เพชรชักปืนออกมาเล็งที่แสง แต่ไม่กล้ายิงเพราะกลัวโดนตัวประกัน
“นายแสง อย่าทำอะไรผู้หญิงนะ”
“แกอย่าเข้ามานะ ไม่งั้นฉันยังอีนี่จริงๆ ด้วย”
เพชรไม่กล้ายิง และไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม แสงได้โอกาสค่อยๆ ลากตัวประกันผู้หญิงถอยหลังหนีเพชรและไอศูรย์ตามไปไม่ลดละ แต่ไม่รวดเร็วนัก เพราะกลัวแสงยิงตัวประกันตามที่ขู่
“นายแสงอย่าทำอะไรที่จะทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อนมากไปกว่านี้เลยนะ ปล่อยผู้หญิงเถอะ” ไอศูรย์พยาบามกล่อม
“ไม่ ถ้าฉันปล่อย ไอ้ตำรวจนี่” แสงชี้ไปที่เพชร “มันต้องจับฉันแน่ ฉันไม่ยอมถูกตำรวจจับหรอก ถูกจับเมื่อไหร่ ฉันก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้นแหละ”
จากนั้นแสงพยายามลากตัวประกันผู้หญิงถอยหลังหนีไปเรื่อยๆ โชคซวยที่เท้าแสงกับตัวประกันผู้หญิงสะดุดขั้นบันได สองคนล้มลง อะไรบางอย่างจากตัวแสง ตกลงพื้น พบว่าเป็นเงินที่แสงเพิ่งได้มาจากสร้อยเมื่อกี้
“โอ๊ย”แสงร้องลั่น เจ็บแผลที่โดนยิงมา แล้วหันไปเห็นว่าเงินหล่นอยู่ที่พื้น แสงพยายามจะตะกายไปเก็บเงินนั้นคืน ทำให้เป็นจังหวะให้ตัวประกันผู้หญิงมีโอกาสวิ่งหนี แสงไม่คิดจะตามไปจับตัวไว้ เพราะคิดเอาตัวรอดก่อน แสงหันปืนไปที่เพชรกับไอศูรย์
เพชรเล็งปืนตรงไปที่แสง ตั้งท่าจะยิงกัน แต่แสงมือสั่นเพราะเจ็บแผลจนไม่สามารถ
เหนี่ยวไกปืนไหว เพชรสีหน้าเหี้ยม ขึ้นไก จะยิงแสงจริงๆ
ไอศูรย์หันมามอง เห็นเพชรจะยิงแสง จึงตัดสินใจพุ่งเข้าปัดปืนให้ชี้ขึ้นฟ้า อันเป็นจังหวะเดียวกับที่เพชรเหนี่ยวไกพอดี เสียงปืนดังปัง ทุกคนชะงักไปชั่วขณะ แสงฉวยจังหวะนั้นวิ่งหนีไปทันที เพชรพยายามจะยิงแสงอีก แต่ไอศูรย์ก็ไม่ยอมปล่อยมือเพชรที่กำปืนอยู่ จนแสงหนีหลุดไปได้ เพชรสะบัดตัวออกจากไอศูรย์จนได้ แล้วหันมาชกไอศูรย์โครม ก่อนจะวิ่งตามแสงไป
เพชรวิ่งตามแสงมาตรงทางออกโรงพยาบาล แต่ไม่เห็นแล้ว เพชรโมโห เดินกลับที่ไอศูรย์

ไอศูรย์ลุกขึ้นมา ยังเจ็บไม่หายที่ถูกเพชรชกเต็มเหนี่ยว สร้อยกับตำรวจเวรวิ่งเข้ามา พอเห็นว่าแสงหนีไปได้แล้ว สร้อยก็ยิ้มดีใจ เพชรเดินอารมณ์เสียกลับเข้ามา แล้วพุ่งเข้าไปชกไอศูรย์อีกหมัด แล้วชี้หน้าด่าตะโกนดังลั่น
“พี่ต้นห้ามไม่ให้ผมยิงมันทำไม นายแสงมันเลยหนีไปได้เลยเห็นไม๊ ผมตั้งข้อหาขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่กับพี่ต้นได้นะครับ”
ไอศูรย์ชักทนไม่ไหวสวนกลับแรงพอกัน “เพชรจะจับพี่ก็จับไปเลย แต่ที่นี่คือโรงพยาบาล เป็นที่ที่ช่วยชีวิตคน ไม่ใช่ที่ฆ่าคน และพี่เป็นเจ้าของที่นี่ พี่ไม่มีวันยอมให้ใครมาฆ่าใครต่อหน้าต่อตาพี่ได้หรอก”
“ฮึ่ย”
เพชรหงุดหงิดมากหันไปเตะกระถางต้นไม้แถวนั้นระบายอารมณ์ แล้วหันมาเห็นสร้อยยิ้มอยู่ ก็ชี้หน้าทันที
“ป้าช่วยให้ลูกชายป้าหนีไปใช่ไม๊ ป้ารู้ไม๊ว่าป้าก็มีความผิดเหมือนกัน”
สร้อยทำหน้าไม่ยี่หระ เพชรยิ่งโมโหใหญ่

พอนายพลเทพรู้เรื่องก็ออกอาการหงุดหงิด ต่อว่าสร้อยอย่างรุนแรง
“ความจริงฉันไม่น่าต้องเสียเวลาไปประกันตัวสร้อยออกมาเลย ไอ้แสงมันผิดจริง มันก็ควรจะต้องรับโทษ สร้อยไปช่วยมันอย่างงั้น เท่ากับส่งเสริมมันในทางที่ผิดมากขึ้นไปอีกรู้ไม๊”
คุณหญิงมณีแรงใส่พอกัน “ไม่มีแม่คนไหนหรอกค่ะที่จะไม่ช่วยลูก ถ้ารู้ว่าลูกกำลังจะต้องพบกับหายนะของชีวิตน่ะ ถ้าคุณเสียดายเงินที่ประกันตัวสร้อยไป ฉันจะจ่ายคืนให้คุณเอง”
นายพลเทพถอนใจฮึดฮัด “ไม่ต้องหรอกคุณหญิง ยังไงสร้อยมันก็คนเก่าคนแก่ของคุณ ก็เหมือนเป็นคนของผมเหมือนกัน แต่หลังจากนี้..ถ้าไอ้แสงมันไปก่อเรื่องที่ไหนขึ้นมาอีก เราคงช่วยอะไรมันไม่ได้แล้ว”
สร้อยกลุ้มหนัก แต่บุปผาแอบยิ้มชอบใจ

บุปผามายืนคิดคำนึงถึงแสงด้วยความสะใจ
“ทั้งเจ็บ ทั้งต้องหนีตำรวจหัวซุกหัวซุนอย่างนั้น ไอ้แสงมันคงรอดยากหรอก ดีไม่ดีจะโดนตำรวจยิงตายเสียก็ไม่รู้ แล้วศัตรูในชีวิตของฉันก็ลดลงไปอีกหนึ่งคน”

ด้านสร้อยยกมือไหว้คุณหญิงมณีอย่างซาบซึ้งในน้ำใจ
“สร้อยต้องกราบขอบพระคุณ-คุณหญิงอีกครั้งนะคะเรื่องไอ้แสง สร้อยก็ได้แต่หวังว่ามันจะหนีไปได้ตลอดรอดฝั่ง ไม่หวนกลับมาในพระนครนี้อีก แม้ว่าชีวิตนี้สร้อยอาจ จะไม่พบหน้ามันอีก แต่ก็ดีกว่าต้องเห็นมันถูกลากขึ้นลานประหารล่ะค่ะ”
“ฉันเข้าใจสร้อย เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับลูก คนเป็นแม่ทุกคน ย่อมยอมทำทุกอย่างเพื่อเขา ไม่ว่าเรื่องที่ทำ จะเป็นเรื่องที่ถูกหรือผิดก็ตาม”
สร้อยมองคุณหญิงมณี อย่างเข้าใจคนหัวอกเดียวกัน

ฝ่ายแสงกำลังนั่งกอดเข่า ตัวสั่น ทั้งไข้ขึ้นและหวาดกลัว แล้วแสงก็มีสีหน้าเคียดแค้นขึ้นมา
“เพราะอีนังบุปผาคนเดียว มันทำให้เราต้องกระเด็นออก จากบ้านเทพบริบาล จนต้องมาเป็นอย่างนี้ก็เพราะมัน”
แสงเอามือลูบแผลเป็นที่เกิดจากน้ำมือของบุปผาที่หน้าตัวเองอย่างเจ็บใจ

เพชรมาเยี่ยมพลอยที่โรงพยาบาล
“พี่คงจะพาพลอยกลับบ้านด้วยตัวเองไม่ได้แล้ว” เพชรปรายตามองไอศูรย์อย่างโมโห แล้วพูดแดกดัน
“มีคนร้ายหนีออกไปจากที่โรงพยาบาลนี่ได้อีกแล้ว”
“คนร้ายที่ไหนกันคะ”
“คนร้ายที่ฆ่ากำพลตาย”
พลอยตกใจมาก “พี่กำพลตายแล้วเหรอคะ”
เพชรพยักหน้า พลอยหน้าสลดลง
“โธ่”
“เดี๋ยวพี่จะไปบอกให้คนรถพาพลอยกลับไปส่งที่บ้านนะ” เพชรเดินออกไป
พลอยหันมาทางไอศูรย์ “พี่ต้นอย่าถือสาพี่เพชรนะคะ พี่เพชรเป็นคนเจ้าอารมณ์อย่างนี้เสมอ”
“พี่ไม่โกรธเพชรหรอก เข้าใจเขา แล้วยิ่งมาเกิดเหตุที่โรง พยาบาลของพี่ พี่ก็ถือว่าพี่ต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย”
“ขอบคุณนะคะที่พี่ต้น พยายามเข้าใจพี่เพชร”
พลอยจับมือไอศูรย์อย่างจงใจ ไอศูรย์ค่อยๆ ดึงมือออกอย่างสุภาพ
“เดี๋ยวพี่ไปเอารถเข็นมารับพลอยดีกว่านะ พลอยจะได้ไม่ต้องเดินมาก” ไอศูรย์ออกไปเลย
พลอยอึ้ง “ฉันไม่มีวันจะเอาชนะใจพี่ต้นได้เลยเหรอเนี่ย”
พลอยมีสีหน้าเจ็บใจ
เพชรกับไอศูรย์มายืนส่งพลอยขึ้นรถกลับบ้าน พลอยยกมือไหว้ไอศูรย์
“ขอบคุณนะคะพี่ต้น”
ไอศูรย์รับไหว้ พลอยขึ้นรถ รถออกไป พยาบาลเข้ามาหาไอศูรย์
“คุณหมอคะ นายเถาได้สติแล้ว แต่ท่าทางไม่ค่อยดีค่ะ”
เพชรกับไอศูรย์รีบเข้าไปหาตาเถาทันที

ขณะที่ตาเถานอนร้องครวญครางอยู่ ไอศูรย์กับเพชรเข้ามา แล้วชะงักไปเมื่อเห็นหลงก็อยู่ในห้องนี้ด้วย แต่นั่งซุกตัวอยู่ที่มุมห้อง
ไอศูรย์ถามหมอปรีชา “พี่ปรีชาพาเด็กนี่มาที่นี่หรือครับ”
“เด็กเดินมาเองน่ะต้น พี่เลยเดินตามมาสังเกตการณ์ด้วย แล้วพอเด็กเดินมาเจอนายเถาเข้า ก็ทำท่ากลัวอย่างงี้ แต่ก็ไม่ยอมออกไปไหนอีก”
ไอศูรย์มองหลงอย่างพิจารณา เห็นหลงที่นั่งซุกตัวอยู่ที่มุมห้อง มีสีหน้าหวาดกลัว ตาจ้องตาเถาเขม็ง ไม่มองอะไรอื่นอีก
“เด็กนี่..รู้จักกับนายเถานี่แน่ต้น แล้วถึงจะกลัวนายเถายังไง แต่ในชีวิต คงไม่รู้จักคนอื่นอีก ก็เลยมานั่งเฝ้านายเถาอย่างที่เห็นนี่แหละ”
ส่วนตาเถาเริ่มได้สติ กวาดตามองไปรอบๆ ห้อง แต่พอเห็นเพชรซึ่งใส่เครื่องแบบตำรวจมายืนอยู่ใกล้ๆ ตาเถาก็เริ่มมีท่าทางหวาดกลัว
“จำฉันได้ไม๊นายเถา” เพชรถาม
ตาถาพยักหน้า แล้วก็มีอาการตาปรือๆ เหมือนจะหมดสติไป
“นายเถาใช้เด็กหลงนั่นทดลองยาบางอย่างใช่ไม๊”
ตาเถาหันไปมองหลง และทันทีที่หลงเห็นว่าตาเถามองมอง ก็ออกอาการสติแตกขึ้นมาอีก ส่งเสียงร้องอื้ออ้าๆ นัยน์ตาเหลือกลาน จนไอศูรย์ต้องบอกหมอปรีชา
“พาหลงออกไปก่อนเถอะครับพี่หมอ”
หลงจ้องตากับตาเถาแล้วออกอาการสติแตกมากขึ้นเรื่อยๆ จนไอศูรย์ต้องเข้าช่วยจับแขนไอ้หลงเอาไว้อีกข้าง คนละข้างกับหมอปรีชา
“ผมช่วยดีกว่า”
ไอศูรย์ช่วยหมอปรีชาพาหลงออกไป ตาเถามองตาม

ไอศูรย์กับหมอปรีชาช่วยกันพาหลงออกมาจากห้องตาเถาแล้ว
เพชรยังถามคาดคั้นตาเถาไม่เลิก
“ฉันรู้ว่านายเถาทดลองยาบางอย่างกับเด็กหลงนั่น มันถึงท่าทางไม่เต็มบาทอย่างนั้น แต่ฉันอยากรู้ว่านายเถาทำยาอะไร แล้วใช้ยานั่นกับใครบ้าง”
ตาเถาตาปรือเหมือนจะสิ้นใจแล้ว แต่เพชรจับตัวตาเถาเขย่าจะเอาคำตอบ
“บอกฉันมาก่อน นายเถารู้จักกับใครที่บ้านเทพบริบาล ฉันเจอเบอร์โทรศัพท์ของบ้านเทพบริบาลในย่ามของนาย นายรู้จักใครที่นั่น”
ตาเถาไม่ยอมพูด เพชรเขย่าตัวถามอีก
“นายเถาก็รู้ตัวเองดีนี่ว่าอาจจะไม่รอด เพราะฉะนั้นนายเถาควรจะใช้โอกาสนี้บอกความจริงกับฉัน เพื่อเป็นการไถ่บาปกับเรื่องเลวร้ายที่เคยทำมา บอกฉันมา...นายเถาติดต่อกับใครที่บ้านเทพบริบาล”
“นัง..สร้อย”
เพชรตกใจ “สร้อย คนสนิทของคุณหญิงมณีน่ะเหรอ นายเถารู้จักกับป้าสร้อยได้ยังไง”
“มันมา..ซื้อ..ยา..ไปให้..คุณหญิง”
“ยาอะไร”
“ยา..ทำให้..เป็นหมัน”
เพชรงง “คุณหญิงจะเอายาที่ทำให้เป็นหมันไปทำไมกัน”
“คุณหญิง..ไม่..อยากให้...” เริ่มพูดไม่ไหวมากขึ้นทุกที
“ไม่อยากให้อะไร”
“ไม่อยากให้..ท่าน..นายพล..มีลูก..กับ..ใครอีก”
พูดจบตาเถาก็ทำท่าเหมือนสะอึก แล้วก็เริ่มกระตุก นัยน์ตาเหลือกลาน เพชรตกใจ ทำอะไรไม่ถูก ไอศูรย์วิ่งเข้ามาดูอาการตาเถา
“เพชรหลีกทางพี่ก่อน นายเถาอาการวิกฤต”
เพชรขยับถอยออกไป แต่ไม่ยอมออกจากห้อง ยังอยากสอบปากคำตาเถาอีก แต่ทำไม่ได้ ไอศูรย์พยายามช่วยชีวิตตาเถาอย่างสุดความสามารถ แต่ตาเถาสะอึกอยู่ 2-3 ครั้งก็แน่นิ่งไป นัยน์ตายังเบิกโพลงอยู่
ไอศูรย์บอกอย่างสลด “สิ้นใจแล้ว”
เพชรอึ้งไปเลย

ที่หอโคมแดง มุกเดินถือวิทยุเข้ามา สีหน้าตื่นเต้นเข้ามาหาคนอื่นๆ
“แม่ ฟังสิ วิทยุเขากำลังประกาศข่าวผู้ร้ายหนีตำรวจเขาว่ามันชื่อแสง มันคือไอ้แสง คนเดียวกับที่เคยมาเที่ยวที่บ้านเรานี่บ่อยๆ น่ะแม่ เขาว่ามันทั้งขโมย แล้วก็ฆ่าเจ้าทรัพย์ด้วย”
“ฮู้ย..ไม่น่าเชื่อว่ามันจะร้ายได้ขนาดนั้นเลยนะแม่” พิกุลว่า
“ใจคน..ยากแท้หยั่งถึงล่ะแก” ผกาบอก

ตกกลางคืนพลอยนั่งกินข้าวอยู่คนเดียว เพชรเดินเข้ามา ยังติดใจคิดถึงเรื่องตาเถาบอกความลับเรื่องคุณหญิงมณีวางยานายพลเทพไม่หาย จนเดินผ่านพลอยไปโดยไม่ทักทาย
“พี่เพชร...ทำไมกลับเสียค่ำเลยคะ”
แต่เพชรก็มัวแต่หมกมุ่นอยู่กับความคิดจนไม่ได้ยิน เดินขึ้นห้องไปเลย พลอยมองอย่างแปลกใจ

เพชรเดินมานอนที่เตียง หน้ายังอึ้งๆ อยู่กับสิ่งที่ได้ยินมา ก่อนตาเถาจะขาดใจตาย
“นายเถาก็รู้ตัวเองดีนี่ว่าอาจจะไม่รอด เพราะฉะนั้นนายเถาควรจะใช้โอกาสนี้บอกความจริงกับฉัน เพื่อเป็นการไถ่บาปกับเรื่องเลวร้ายที่เคยทำมา บอกฉันมา...นายเถาติดต่อกับใครที่บ้านเทพบริบาล”
“นัง..สร้อย”
เพชรตกใจ “สร้อย คนสนิทของคุณหญิงมณีน่ะเหรอ นายเถารู้จักกับป้าสร้อยได้ยังไง”
“มันมา..ซื้อ..ยา..ไปให้..คุณหญิง”
“ยาอะไร”
“ยา..ทำให้..เป็นหมัน”
เพชรงง “คุณหญิงจะเอายาที่ทำให้เป็นหมันไปทำไมกัน”
“คุณหญิง..ไม่..อยากให้...” เริ่มพูดไม่ไหวมากขึ้นทุกที
“ไม่อยากให้อะไร”
“ไม่อยากให้..ท่าน..นายพล..มีลูก..กับ..ใครอีก”
เพชรงุนงงสงสัย
“คุณป้า..วางยาคุณลุงให้เป็นหมันเหรอเนี่ย”
เพชร อึ้งกับสิ่งที่รู้มา จนพูดอะไรไม่ออก

ทุกคนกำลังนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน
“นายเถาเป็นหมอทำคุณไสย ทำแต่เรื่องเลวร้ายกับผู้คนมามาก ถึงต้องมาตายอนาถอย่างนี้” นายพลเทพปรารภขึ้น
บุปผากับคุณหญิงมณีและสร้อย ต่างก้มหน้างุด ไม่มองหน้าใคร เพราะต่างมีความลับเรื่องตาเถาด้วยกันทั้งสามคน
“แต่ยังไงๆ มัทก็สงสารแกนะคะ โดนน้ำมันเดือดๆ ลวกเอาทั้งตัวอย่างนั้น คงเจ็บมากทีเดียว ใช่ไม๊คะพี่ต้น” มัทนาผู้แสนดีหันไปถามไอศูรย์
ไอศูรย์พยักหน้า “ครับ”
มัทนาถอนใจบอกเสียงเศร้า “ที่แกเคยทำร้ายมัท มัทจะอโหสิกรรมให้แกค่ะ”
“ลูกพ่อ เป็นคนดีจริงๆ” นายพลเทพเป็นปลื้ม
มัทนายิ้ม แล้วหันไปหาบุปผา “บุปผาก็อโหสิกรรมให้นายเถาแกด้วยนะ แกจะได้ไปดี”
บุปผาเหลือบมองไอศูรย์แล้วเลยต้องตีหน้าซื่อเป็นคนดี
“ค่ะพี่มัท บุปผาอโหสิกรรมให้แกค่ะ”
นายพลเทพกับไอศูรย์ยิ้ม บุปผายิ้มให้ไอศูรย์อย่างอ่อนหวาน ในขณะที่คุณหญิงมณีกับสร้อยไม่พูดอะไรสักคำ

ขณะเดียวกันแสงเดินมาตามทาง เหลียวหน้าเหลียวหลังอย่างระแวงตลอดเวลา แล้วพอเห็นตำรวจ แสงก็รีบหลบเข้ามุมมืดทันที ตำรวจเอ่ยขึ้น
“ไอ้แสงมันเจ็บออกอย่างนั้น มันจะหนีไปไหนได้ไกลกัน ฉันว่ามันยังอยู่ในพระนครนี่แหละ”
อีกคนไม่เห็นด้วย “แต่ถ้ามันยังอยู่ในพระนครนี่ก็บ้าแล้วละ แกไม่ได้ยินที่ชาวบ้านเขาพูดกันหรอกรึว่า นายพลสมพลพ่อของคุณกำพลน่ะ ให้ลูกน้องออกตามล่าอีกทาง ตั้งค่าหัวมันเสียสูงลิบ เขาว่า..ท่านอยากให้ไอ้แสงตายตกตามกันไป”
“งั้นก็เร่งหาตัวมันให้เจอก่อนคนของนายพลสมพลเถอะ” ตำรวจทั้งสองรีบเร่งเดินหาแสงต่อไป แสงที่ซ่อนตัวอยู่ มีสีหน้ากังวลจัด
“เราอยู่ในพระนครนี่ต่อไปไม่ได้แล้ว ต้องหนีไปให้ไกล” แสงออกอาการหงุดหงิด “แต่จะหนียังไงล่ะ ในเมื่อไม่มีเงินติดตัวสักบาทเดียว”
แสงพยายามคิดหาทางออก แล้วก็มีสีหน้าว่าคิดชั่วอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

เช้าวันนี้ผกากำลังนับเงินอยู่ คิดถึงตอนที่คุยกับบุปผา
“เอาเถอะ แม่เห็นแกได้ดิบได้ดีอย่างนี้แล้ว แม่ก็สบายใจแล้ว แล้วเงินที่ท่านให้แม่เป็นค่าที่แม่ใช้จ่ายเลี้ยงดูแกมาก็เป็นเงินไม่ใช่น้อย แม่คงอยู่สบายไปได้อีกนานละ”
“แม่จะเลิกหอโคมแดงไม๊”
“แม่เลิกแน่บุปผา เพราะแม่ไม่เคยอยากอยู่บนเส้นทางสายโลกีย์นี้หรอก แต่ตอนที่แม่ยังเด็ก มีความรู้น้อย แม่ไม่รู้ว่าจะทำมาหากินอะไรได้นอกจากขายตัว แต่เงินที่ท่านให้แม่มานี่...” ผกามองซองเงินหนาเป็นปึก ที่ถืออยู่ในมือ “มันก็มากพอที่แม่จะขยับขยายหาทางทำมาหากินอย่าง
อื่นได้ แม่จะเลิกหอโคมแดงทันทีที่แม่ส่งเด็กๆ ที่นั่นไปมีชีวิตใหม่กันได้เรียบร้อยแล้ว แม่ก็จะได้ตั้งต้นชีวิตใหม่เสียที”
ผกายังนับเงินอยู่ แล้วแบ่งเงินเอาใส่ซอง หลายซอง แต่ละซองจ่าหน้าชื่อคนต่างๆ ซอง 1 ชื่อ มุก, ซอง 2 ชื่อ พิกุล, ซอง 3 ชื่อ สิรี, ซอง 4 ชื่อ เพ็ญ
ใส่เสร็จผกาก็ยกซองขึ้นมาดู
“หวังว่าแต่ละคนจะเอาเงินนี่ไปเริ่มต้นใหม่ในชีวิต ในทางที่ดีทุกคนนะ”
ผกาเอาซองเงินใส่ลิ้นชัก ล็อคกุญแจแล้วเดินออกไป

ขณะเดียวกันแสงมาด้อมๆ มองๆ เข้าไปในหอโคมแดง
“ถ้ากูไม่จนตรอกอย่างกับหมายังงี้ละก็ กูไม่มาปล้นผู้หญิงหากินหรอกวะ”
แสงเหลียวมองไปรอบๆ แล้วพอมองว่าไม่มีใคร แสงก็ผลุบเข้าไปภายในบ้านหอโคมแดงทันที

แสงปีนป่ายลัดเลาะขึ้นมาจนถึงห้องผกา
“นังผกามันต้องมีเงินบ้างล่ะน่า”
แสงปีนหน้าต่างเข้าไปในห้องผกา เห็นไม่มีใครอยู่ จึงเดินเปิดลิ้นชักโน่นนี่ค้นหาเงิน แล้วก็พบลิ้นชักที่ล็อคอยู่ แสงกระชากลิ้นชักเบาๆ 2-3 ที จนแน่ใจว่ามันล็อคแน่ๆ
“มันล็อคลิ้นชักนี้ไว้ แสดงว่ามันต้องเก็บเงินหรือของมีค่าไว้ในลิ้นชักนี้แน่ๆ”
แสงตัดสินกระชากลิ้นชักที่ติดล็อคนั้นสุดแรง จนลิ้นชักเปิดออก แสงเห็นซองเงินที่มีชื่อต่างๆ จ่าหน้าอยู่ แสงเปิดซองดูแล้วตาโต
“โห...นังผกามันมีเงินมากขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย มันเป็นเศรษฐีนีเงียบนี่หว่า”
ทันใดนั้น ผกาก็เดินกลับเข้ามาในห้อง พอเห็นแสงก็โวยวายเสียงดังทันที“อ๊าย แก เข้ามาในนี้ทำไม” ผกามองของในมือแสง เห็นซองเงินต่างๆ อยู่ในมือแสง
“แกจะเอาซองพวกนั้นไปไม่ได้นะ”
ผกาพุ่งเข้าไปยื้อแย่งซองเงินจากมือแสง แสงตบสุดแรงเกิดจนผกากระเด็นออกไป แล้วแสงก็จะหนี ผกาลุกขึ้นได้ไม่ยอม พุ่งเข้าไปกระชากบ่าแสงหมับ แสงร้องโอ๊ย เจ็บแผลที่ถูกยิงมา แต่ไม่ยอมปล่อยซองเงิน ผกาก็ยื้อแย่งไม่ยอมให้สุดชีวิต แสงยกเท้าขึ้นถีบผกาออกไปสุดแรง ผกาล้มลง ข้าวของกระจายเกลื่อนเสียงดัง แสงฉวยจังหวะนั้นปีนหน้าต่างหนีออกไป คนอื่นๆ มุก เพ็ญ สิรี และพิกุล ได้ยินเสียงวิ่งเข้ามา พอเห็นผกาก็วิ่งเข้าไปช่วย แต่ผกาไม่สนใจตัวเอง ชี้ไปที่หน้าต่าง
“ตามไปจับมันเร็ว”
มุกลุกขึ้นวิ่งไปที่หน้าต่าง เห็นแสงวิ่งหายไปแล้ว
มุกรีบย้อนกลับมาบอกผกา
“ตามมันไม่ทันแล้วจ้ะแม่ มันเอาอะไรของแม่ไปเหรอ”
ผการ้องไห้โฮออกมาทันที

มุกตาโตด้วยความตกใจสุดขีด คนอื่นๆ ก็ไม่ต่างกัน
“แม่ไปเอาเงินมากขนาดนั้นมาจากไหนกัน”
ผกายังร้องไห้อยู่ “แม่จะไปเอามาจากไหน พวกแกไม่ต้องรู้หรอก แต่เงินนั่น เป็นเงินของเราทุกคน”
“เงินของเราทุกคน..แม่หมายความว่ายังไงจ๊ะ” พิกุลงง
“แม่แบ่งเงินให้ทุกคน คนละเท่าๆ กัน คนละหมื่นนึง”
ทุกคนอุทานลั่น “หมื่นนึง”
“ใช่ เพราะแม่ตัดสินใจแล้วว่าจะเลิกกิจการหอโคมแดงนี่ แล้วก็จะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทำอาชีพสุจริตอย่างคนอื่นเขาเสียที แล้วแม่ก็อยากให้พวกเราทุกคนได้เริ่มต้นชีวิตใหม่เหมือนกัน พอกันที..กับอาชีพที่ผู้คนเขารังเกียจเดียดฉันท์ แต่...” ผการ้องไห้พูดไม่ออก
“โธ่...” มุกเริ่มร้องไห้
คนอื่นๆ ก็เริ่มร้องไห้ตาม ทุกคนกอดกันร้องไห้ด้วยความเสียใจ

สร้อยนั่งร้องไห้อยู่ตรงหน้าคุณหญิงมณี
“สร้อยเป็นห่วงไอ้แสงมันจริงๆ ค่ะคุณหญิง ไม่รู้ป่านนี้มันหนีไปถึงไหนแล้ว ตอนที่มันหนีตำรวจที่โรงพยาบาล มันก็ทำเงินตกทิ้งไว้ มันเลยไม่มีเงินติดตัวไปสักบาท เฮ้อ...” บ่าวใจชั่วยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว “สาธุ..ขอให้มันหนีไปได้ตลอดรอดฝั่งที่เถอะ”
“ฉันก็หวังว่าอย่างนั้นนะสร้อย สร้อยมีอะไรก็ไปทำเถอะ”
สร้อยเดินเช็ดน้ำตาออกไป บุปผาเดินเข้ามาจากอีกทาง แอบฟังมาตลอด
“สมน้ำหน้าไอ้แสงมัน”
คุณหญิงมณีหันขวับไปมอง พอเห็นว่าเป็นบุปผาก็จ้องหน้าอย่างเกลียดชัง
“แกว่าอะไรนะนังบุปผา”
“บุปผาพูดว่า “สมน้ำหน้า” ค่ะ “คุณหญิงแม่” สมน้ำหน้าที่ไอ้แสงมันต้องหนีตำรวจหัวซุกหัวซุนเพราะความเลวของมันเอง แต่ที่ไอ้แสงมันเลว ก็เพราะมันมีแม่เลว และแม่มันเลว ก็เพราะว่าแม่มันมีนายที่เลว”
คุณหญิงมณีโกรธที่ถูกด่า “อีบุปผา” เงื้อมือจะตบ
บุปผาเชิดหน้าใส่อย่างไม่เกรงกลัว
“ตบบุปผาเลยสิคะคุณหญิง แล้วจะได้รู้กันว่า...ถ้าคุณหญิงตบบุปผาแล้ว “คุณพ่อ” จะว่ายังไง”
คุณหญิงโกรธจนตัวสั่น “แก”
บุปผาจ้องหน้าสู้สายตาคุณหญิงมณีอย่างไม่ยอมแพ้ แล้วแกล้งพูดลอยๆ
“แล้วบุปผาก็อยากรู้จริงๆเลยว่า..ถ้าคุณพ่อได้รู้ความจริงว่าแม่อุ่นของบุปผาตายยังไง จะเกิดอะไรขึ้นในบ้านนี้”
คุณหญิงมณีตัวชา ใจหล่นวูบ เดินตรงดิ่งเข้ามาที่บุปผา ถามเสียงเข้ม
“แกพูดอะไรของแก ! นังบุปผา”
“ทำไมคุณหญิงจะต้องถาม...ในเมื่อความจริงเรื่องนี้คุณหญิงน่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจตัวเองอยู่แล้ว” บุปผาย้อน
“ฉันรู้อะไร”
“ก็รู้ว่าแม่อุ่นตายเพราะคำสั่งของใคร”
“ฉันไม่รู้ และไม่คิดอยากจะรู้ด้วย ฉันไม่ควรจะพูดกับแกให้เป็นเสนียดปากเลย”
พูดจบคุณหญิงมณีก็เดินหนีไปเลย บุปผามองตาม
“แค่พูดดักคอ แกก็ออกอาการเสียแล้ว ในเมื่อแกฆ่าแม่ฉัน แกกับนังสร้อยต้องไม่ได้ตายดีแน่”
บุปผาตาลุกวาวมองตามมณีอย่างอาฆาตแค้น

คุณหญิงมณีเดินเข้ามาในห้องหน้าเครียดจัด
“มันพูดเหมือนมันรู้ว่าเราส่งสร้อยไปฆ่านังอุ่นยังงั้นแหละ ไม่ว่าแกจะรู้จริง หรือไม่จริง ฉันก็เห็นจะเก็บแกเอาไว้ไม่ได้แล้วอีบุปผา”

คุณหญิงมณีผู้แสนดีในสายตาคนภายนอกคำรามด้วยแววตาดุดัน

ไฟหวน ตอนที่ 13 (ต่อ)

วันต่อมาบุปผากำลังแต่งตัวอยู่ในห้อง มีเสียงเคาะประตู บุปผาเดินไปเปิด เห็นเป็นสร้อย บุปผาขมวดคิ้วทันที ถามเสียงห้วน

“มีอะไร”
“คุณหมอไอศูรย์โทร.มาหาแกแน่ะ”
บุปผาตาโต “คุณหมอโทร.มา”
บุปผาวิ่งผลุนผลันไปที่โทรศัพท์ของบ้านทันที สร้อยยิ้มร้าย แล้วค่อยๆ เดินตามไป

บุปผาวิ่งมาที่โทรศัพท์ เห็นหูโทรศัพท์ยังวางอยู่ที่ข้างเครื่อง คว้าหูโทรศัพท์มาพูด
“สวัสดีค่ะคุณหมอ บุปผาพูดค่ะ”
แล้วบุปผาก็ทำหน้าฉงน เมื่อเสียงในโทรศัพท์เป็นเสียงไม่มีสัญญาณ
“สายหลุดไปแล้ว”
“อ้าว” สร้อยทำเป็นงง
“รู้ไม๊ คุณหมอโทร.มาทำไม”
สร้อยแสร้งทำท่านึก “ก็เห็นว่าจะพูดเรื่องรักษานายสินน่ะนะ เห็นว่ามียาอะไรก็ไม่รู้ เข้ามาใหม่จากเมืองนอก อยากจะให้นายสินได้ทดลองใช้ดู ฉันก็ถามได้ความเท่านี้ละ ก่อนที่จะไปตามแกน่ะ”
บุปผาซักทันที “คุณหมอโทร.มาจากไหนรู้ไม๊”
“เห็นว่าโทร.มาจากที่บ้านนะ”
บุปผาหมุนโทร.ไปหาไอศูรย์ที่บ้านทันที
“ขอสายคุณหมอไอศูรย์หน่อยค่ะ” บุปผานิ่งฟังแล้วทำหน้าฉงน “เหรอคะ ค่ะ ขอบคุณค่ะ” บุปผาวางสาย แล้วหันมาพูดกับสร้อยอย่างเอาเรื่อง “หมอไม่ได้อยู่ที่บ้าน”
“เหรอ งั้นคงออกไปทำงานที่โรงพยาบาลแล้วมั้ง”
บุปผาเดินออกไปทันที ไม่สนใจสร้อยเลย สร้อยมองตามไปแล้วยิ้มร้ายออกมา คุณหญิงมณีเดินโผล่ออกมาจากมุมหนึ่งในบ้าน มองตามบุปผาไป สร้อยหันมายิ้มกับคุณหญิงมณีอย่างรู้กัน
“แผนของคุณหญิงท่าจะได้ผลจริงๆ ค่ะ”
“ฉันรู้..นังนี่มันแอบชอบพ่อต้นอยู่”

คุณหญิงมั่นใจ เพราะเคยเห็นบุปผาร้องไห้ซบอกไอศูรย์ แล้วตนกับสร้อยเข้ามาเห็น
“เพราะฉะนั้น..เมื่อฉันเอาพ่อต้นเป็นเหยื่อล่อ นังนี่มันจึงผลีผลามรีบฮุบเหยื่อ โดยไม่ทันคิดอะไรให้รอบคอบ ไม่ทันระวังตัวอะไรเลย”
คุณหญิงมณียิ้มเยาะบุปผา

ระหว่างทาง ในขณะที่บุปผากำลังจะรีบเร่งไปที่โรงพยาบาล ด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ
“คุณหมออุตส่าห์โทรมาหาเรา”
แล้วทันใดนั้น ชาย 2 คน เพิ่ม กับ ขจร ที่เคยฉุดไปจะข่มขืนก็พุ่งตัวออกมาจากข้างทาง คนหนึ่งโดดเข้าปิดปากบุปผาไว้ บุปผาดิ้นสู้สุดฤทธิ์ อีกคนจึงชกเข้าที่ท้อง บุปผาจุกจนร้องไม่ไหว แล้วชายทั้ง 2 คน ก็ช่วยกันอุ้มร่างบุปผาออกไปอย่างรวดเร็ว

ฟากไอศูรย์กับมัทนากำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะในร้านอาหารด้วยกัน ไอศูรย์ไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาลตามที่สร้อยบอกจริงๆ
“ตกลงคุณแม่พี่ตัดสินใจจะให้เราหมั้นตามฤกษ์สะดวกตามที่คุณชไมบอก คือสิ้นเดือนนี้”
“สิ้นเดือนนี้ เร็วจังคะพี่ต้น..แล้วนี่เราจะเรียนเชิญแขกผู้หลักผู้ใหญ่ทันกันหรือคะ”
“ไม่ทันก็ไม่เป็นไร เอาไว้งานแต่งงานของเรา ค่อยเชิญแขกผู้ใหญ่ให้ครบทุกฝ่ายก็ได้ แต่ที่พี่จะรีบหมั้นน้องมัทไว้ก่อน พี่จะได้หมดกังวลเรื่องนายเพชรจะมาฉกตัวน้องมัทไปจากพี่เสียที”
ไอศูรย์มองมัทนาอย่างรักใคร่ มัทนายิ้มเอียงอาย


ส่วนพลอยนั่งกินข้าวอยู่ในบ้าน เพชรเดินเข้ามา สีหน้ายังหมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องที่ตาเถาบอกก่อนตายไม่เลิก พลอยมองเพชรอย่างสงสัย
“พี่เพชรเป็นอะไรไปคะ พลอยเห็นพี่เพชรทำหน้าเหมือนคิดอะไรไม่ตกอย่างนี้มาหลายวันแล้ว มีอะไรรึเปล่าคะ”
เพชรลงนั่ง มองหน้าพลอยอย่างตัดสินใจไม่ตก ว่าจะพูดดีหรือไม่ดี
“ใช่เรื่องยายมัทรึเปล่า”
“ไม่ใช่เรื่องของน้องมัทเสียโดยตรงหรอกพลอย แต่มันก็เกี่ยวข้องกับน้องมัทด้วย”
พลอยยิ่งอยากรู้ “เรื่องอะไรคะพี่เพชร”
เพชรตัดสินใจเล่า “พลอยจำนายเถา คนร้ายที่โดนน้ำมันเดือดลวกเอาทั้งตัวได้ไม๊”
พลอยนึก แล้วพยักหน้าเป็นเชิงว่าจำได้ “ว่าแต่…นายเถาไปเกี่ยวข้องอะไรกับยายมัทคะพี่ต้น”
เพชรทำท่าอึกอัก เกิดไม่แน่ใจว่าควรจะเล่าให้พลอยฟังไม๊
“พี่เพชร นี่พลอยน้องสาวคนเดียวของพี่นะคะ พี่เพชรมีเรื่องอะไรกลุ้มใจก็เล่าให้พลอยฟังได้ทุกเรื่องค่ะ ว่าไงคะ”
“คือว่า..ก่อนที่นายเถาจะตาย..แกสารภาพกับพี่ว่า..แม่สร้อย คนสนิทของคุณหญิงมณี คุณแม่ของน้องมัท..ไปซื้อยากับแก”
ภาพที่เพชรคาดคั้นตาเถาก่อนตายผุดขึ้นมา
“ยาอะไร”
“ยา..ทำให้..เป็นหมัน”
เพชรงง “คุณหญิงจะเอายาที่ทำให้เป็นหมันไปทำไมกัน”
“คุณหญิง..ไม่..อยากให้...” ตาเถาเริ่มพูดไม่ไหวมากขึ้นทุกที
“ไม่อยากให้อะไร”
“ไม่อยากให้..ท่าน..นายพล..มีลูก..กับ..ใครอีก”
พลอยรู้เรื่องจากเพชร ก็ตกใจมาก
“โอ๊ย..จริงเหรอคะเนี่ย”
“แต่พี่เชื่อนะว่า...คนใกล้ตาย ไม่น่าจะโกหก ก็นี่ละ ที่พี่ถึงได้อึ้งอยู่เนี่ย เพราะพี่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณแม่ของน้องมัทจะกล้าทำอย่างนี้”
“เชื่อเถอะค่ะพี่เพชร ผู้หญิงเรากล้าทำอะไรที่คนอื่นคาดไม่ถึงได้เสมอ ถ้าเรื่องนั้น..มันเกี่ยวข้องกับคนที่เรารักยายมัทเคยเล่าให้พลอยฟังว่า...”
พลอยเล่าถึงเหตุการณ์ ที่ตนกับมัทนานั่งคุยเล่นอยู่ในสวนที่บ้านเทพบริบาลกัน 2 คน ตอนยังดีกันอยู่
“แม่ฉันมีฉันได้เพียงคนเดียว เพราะมีสภาพครรภ์เป็นพิษ ท่านจึงมีลูกอีกไม่ได้ คุณพ่อฉันก็เลยเสียใจมากเพราะท่านอยากมีลูกหลายๆ คน”
พลอยออกความเห็นต่อ
“เพราะฉะนั้น..คุณหญิงมณีก็คงจะทำจริงอย่างที่นายเถาบอกพี่เพชรล่ะค่ะ”
“แต่เรื่องนี้...ท่าทางน้องมัทคงไม่รู้เรื่อง น่าจะมีแต่แม่สร้อย คนสนิทของคุณหญิงมณีเท่านั้น ที่รู้กัน”
“ก็คงจะอย่างนั้นแหละค่ะพี่เพชร”
“นี่ถ้าเรื่องนี้เป็นข่าวแพร่กระจายออกไป ตระกูลเทพบริบาลก็คงจะเสียชื่อเสียงมาก คนบ้านนั้นคงต้องอับอายผู้คนจนแทบแทรกแผ่นดินหนีกันทีเดียว พี่นึกๆ แล้วก็สงสารน้องมัทจริง ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรกับแม่ด้วยเลย แต่ก็ต้องมาอับอายขายหน้าคนไปด้วยแน่ๆ”
พลอยนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“พี่เพชรยังรักแล้วก็อยากแต่งงานกับยายมัทอยู่ไม๊คะ”
“พลอยก็รู้คำตอบอยู่แล้ว ยังจะถามทำไมอีก ถ้าพี่ไม่อยากแต่งงานกับน้องมัท พี่ก็คงไม่พยายามแย่งน้องมัทมาจากพี่ต้นจนมีเรื่องมองหน้ากันไม่สนิทอย่างทุกวันนี้หรอก”
“งั้นพลอยมีวิธีที่จะทำให้พี่เพชรได้แต่งงานกับยายมัทแล้วล่ะค่ะ”
พลอยยิ้มเจ่าเล่ห์ ในขณะที่เพชรมองหน้าน้องสาว ด้วยความสงสัยเต็มที่

ด้านมัทนาเดินกลับเข้ามาในบ้าน โดยมีไอศูรย์เดินตามมาส่ง คุณหญิงมณีเดินมารับ
“ผมพาน้องมัทกลับมาส่งแล้วนะครับคุณป้า”
คุณหญิงมณียิ้มพอใจ “รอน้องเรียนจบอีกสักหน่อยนะพ่อต้น พอแต่งกันแล้ว พ่อต้นก็ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา รับส่งกันอย่างนี้อีก”
มัทนายิ้มเขิน คนอื่นยิ้มชื่นมื่น
“แล้วนี่บุปผาไม่อยู่หรือคะคุณแม่”
คุณหญิง พยักหน้า แล้วบอกหน้าตาเฉย “เห็นว่าจะออกไปซื้อเสื้อผ้าน่ะ”
มัทนาพยักหน้ารับรู้

บุปผาสลบคอพับอยู่ในกระท่อมร้างแห่งหนึ่ง เพิ่งจะค่อยๆ ได้สติขึ้นมา บุปผาพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง สองมือถูกมัดไพล่หลัง ที่คอมีเชือกบ่วงหนึ่งคล้องไว้ บุปผาตกใจ มองไปรอบๆ เห็น ขจร กับ เพิ่ม กำลังมองมา
ขจรส่ายหน้าด้วยความเสียดาย “สวยๆอย่างนี้ น่าเสียดายจริงๆ ที่จะต้องมาตายอย่างน่าอนาถ”
ว่าพลางขจรเดินเข้ามาลูบไล้เนื้อตัวบุปผาอย่างหลงใหล เพิ่มเข้ามากระชากแขนให้ออกห่างมาจากบุปผา
“รีบๆจัดการมันเถอะน่า จะได้ไปรับเงินค่าจ้างกันสักที”
ขจรยังเสียดายไม่หาย แต่ก็ต้องตัดใจ แล้วยกขาเตรียมจะถีบเก้าอี้ที่บุปผายืนเหยียบอยู่ บุปผานึกรู้ทันทีว่าเขากำลังจะทำอะไร พยายามหว่านล้อม
“อย่านะ อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ถ้าพวกแกอยากได้เงิน ฉันจะให้ แกรู้ไม๊ฉันเป็นใคร ฉันเป็นลูกสาวของท่านนายพลเทพ เทพบริบาลเชียวนะ”
ขจรชะงัก “ลูกสาวท่านนายพลเทพ เทพบริบาล”
“ใช่ แล้วถ้าพวกแกปล่อยฉันไป ฉันจะให้คุณพ่อให้เงินรางวัลพวกแกอย่างงามเลย”
เพิ่มระแวง “ขืนปล่อยแกไป แทนที่พวกฉันจะได้เงินรางวัลอย่างงาม มีหวังได้ติดตะรางหัวโต ไม่ก็โดนโทษประหารน่ะสิวะ ไม่เอาละ ไอ้ขจร ถ้าแกไม่ทำ ฉันทำเอง”
ว่าแล้วเพิ่มก็ยกเท้าขึ้นถีบเก้าอี้ที่บุปผายืนอยู่ดังโครม เก้าอี้ล้มลง เท้าบุปผาลอยเหนือพื้น แกว่งไปมาอย่างแรง
บุปผานัยน์ตาเหลือลานอย่างคนหายใจไม่ออก
ขจรมองอย่างเสียดายที่ต้องฆ่าบุปผา แต่เพิ่มยืนมองบุปผาดิ้นอยู่อย่างหน้าตาเฉยชามาก สักครู่เพิ่ม ก็หันมาเห็นหน้าขจร
“แกทนดูไม่ได้ก็ออกไปข้างนอกไป๊ เดี๋ยวค่อยกลับมาดูให้แน่ใจว่ามันตายทีหลัง ไป๊”
แต่ขจร ยังยืนมองร่างบุปผาที่ยังดิ้นพราดๆ อยู่อย่างสยดสยอง เพิ่มเลยลากตัวออกไป ทิ้งให้บุปผาดิ้นอยู่อย่างทุรนทุรนหายใจไม่ออก นัยน์ตาเหลือกลานใกล้จะสิ้นลมเต็มที

ชายชื่อเพิ่ม เดินลากตัวชายชื่อขจร ออกมาจากด้านในกระท่อมร้าง มานั่งตรงริมบ่อน้ำข้างกระท่อม
“แกนี่บ้าแท้ รับจ้างเขาฆ่าคน แต่ดันมาใจอ่อนกับอีนังหน้าสวยนี่ซะได้ ไก่อ่อนจริงๆ”
“ทุกทีเคยแต่ยิงนี่ แล้วฆ่าคนด้วยวิธีนี้ กว่ามันจะตาย นังนั่นยังต้องทรมานอีกพักใหญ่เลย” ขจรบอก
“ก็นายจ้างเขาสั่งมาอย่างนั้นนี่ เขาอยากให้มันทรมานก่อนตาย” เพิ่มส่งขวดเหล้าให้ “เอ้า ! ไอ้ไก่อ่อน กินฆ่าเวลาไปพลางๆ”
ขจร รับขวดเหล้าไป แล้วยกขวดขึ้นกรอกเหล้าใส่ปากอั้กๆ ย้อมใจ

ส่วนบุปผายังดิ้นทุรนทุรายจะขาดใจอยู่แล้ว
“แม่อุ่น! ป้าอิ่ม! ช่วยบุปผาด้วย” บุปผาร้องขึ้นในใจ
ทันใดนั้นเชือกที่ผูกอยู่กับขื่อก็ขาดผึงอย่างไม่น่าเชื่อ บุปผาลงมานอนกระอักกระไออยู่ที่พื้น สักพักก็พยายามรวบรวมกำลังที่เหลืออยู่พยายามจะแก้ผ้าที่มัดมือไว้ ค่อยๆคลายปมอยู่หลุดออก
บุปผายังหอบแฮ่ก ดึงเชือกที่ยังคล้องคออยู่ออกโยนทิ้งไป แล้วรวบรวมกำลัง
หันมองซ้ายขวา เห็นมีดพร้าที่เหน็บอยู่ที่ข้างฝากระท่อมก็ฉวยมาถือ บุปผามองมีดพร้าในมือ
สีหน้าแค้นใจจัด แล้วค่อยๆ เปิดประตูกระท่อมย่องออกไปเงียบๆ

บุปผาเดินย่องเงียบออกมาจากด้านในกระท่อม กระชับมีดพร้าในมือมั่น ชาย 2 คน นั่งกินเหล้าหันหน้ามองไปที่ริมน้ำ ไม่รู้ตัวว่าบุปผาย่องเข้ามาข้างหลัง ทันใดนั้นชายชื่อเพิ่ม ก็หันมาเห็นบุปผาพอดี
“เฮ้ย มันหลุดออกมาได้ยังไงวะ” เพิ่มจะลุกขึ้นจับบุปผา
แต่บุปผาเร็วกว่า เหวี่ยงมีดพร้าในมือใส่ทีเดียว โดนกลางอกเพิ่มจังๆ มันถึงกับล้มกลิ้งแล้วแน่นิ่งไป ขจรตกใจ ยกมือไหว้บุปผาปลกๆ
“อย่าฆ่าฉันนะ”
“แกสองคนชื่ออะไร”
“ฉันชื่อขจรจ้ะ ส่วนไอ้นั่นมันชื่อเพิ่ม”
“งั้นตอบมา เมื่อกี้ฉันได้ยินพวกแกสองคนพูดว่ามีคนจ้างพวกแกให้มาฆ่าฉัน ใคร”
ชายคนแรก อึกอักๆ ไม่ยอมบอก บุปผาเงื้อมีดพร้าขู่ มันจึงรีบบอก
“มันชื่อสร้อย”
“อีสร้อยที่เป็นคนสนิทของคุณหญิงมณี เทพบริบาลใช่ไม๊” บุปผาถาม
“ใช่จ้ะ ใช่จ้ะ”
บุปผามีสีหน้าแค้นใจสุดๆ แล้วโดยที่ชายชั่วคนแรก ไม่ทันคาดคิด บุปผาก็เหวี่ยงมีดพร้าในมือใส่ชายคนนั้นดังผัวะ มันล้มฟุบไปกับพื้นทันที”
“ใครคิดจะฆ่าฉัน”
แล้วบุปผาก็ยกเท้าถีบร่างชายทั้ง 2 กลิ้งหล่นลงน้ำดังตู้ม ร่างทั้งสองค่อยๆ จมหายไปในน้ำแล้วไม่ผุดขึ้นอีก
“ฉันไม่เอาไว้หรอก โดยเฉพาะ..อีคุณหญิงมณีกับอีสร้อย”
บุปผาเคียดแค้นสุดๆ

ด้านเพ็ญมาเคาะประตูเรียกผกา
“คุณผกาคะ จะบ่ายแล้วนะคะ ยังไม่ตื่นอีกหรือคะคุณผกา”
เงียบกริบ ไม่มีเสียงตอบมาจากภายในห้อง มุกเดินมา
“มีอะไรเหรอเพ็ญ”
“คุณผกาน่ะสิคะ สายจนป่านนี้แล้วก็ยังไม่ออกมาจากห้องเลยค่ะ”
มุกขมวดคิ้ว แล้วช่วยเพ็ญเคาะเรียก
“แม่..แม่”
ภายในห้องยังเงียบอยู่ มุกเริ่มสีหน้าไม่ดี ตัดสินใจถีบประตูห้องเข้าไป
มุกถีบประตูห้องเข้ามาแล้ววิ่งเข้าไปดูผกาภายใน เพ็ญวิ่งตามมาด้วย ทั้งคู่เห็นผกานอนฟุบอยู่ที่เตียงแบบหมดสติ หน้าตาซีดเซียว
“แม่”
สักครู่หนึ่งผกาปรือตาขึ้นอย่างมึนงง เห็นมุกกำลังเอายามดมให้ผกาดมอยู่ ส่วนคนอื่นๆ พากันมุงดูอาการผกาอย่างเป็นห่วง
“แม่..เป็นไงมั่งจ๊ะ” มุกช่วยประคองผกาลุกขึ้นนั่ง
“แม่นั่งคิดอะไรอยู่ แล้วก็หน้ามืดไปน่ะ”
พิกุลถามขึ้น “แม่คิดถึงเรื่องเงินที่ถูกขโมยไปใช่ไม๊จ๊ะ”
ผกาพยักหน้าซึมๆ แล้วน้ำตารินร่วง
“เงินนั่น..มันคือชีวิตใหม่ของพวกเราทุกคน แม่หวังจะให้พวกเราทุกคนได้เดินออกจากเส้นทางสายโลกีย์นี่กัน เสียที แต่...” ผการ้องไห้จนพูดต่อไม่ได้
“มันเสียไปแล้วก็ช่างมันเถอะแม่ คิดไปก็เท่านั้น ไม่มีเงินก้อนนั้น เราก็อยู่ของเราอย่างนี้กันต่อไปแหละ” ผกาว่า
“แต่เงินนั่น...ส่วนหนึ่งแม่กำลังจะเอาไปจ่ายคุณนายเจ้าของบ้านนี้เขา” ผกาเสียงอ่อย “แม่ค้างค่าเช่าเขามาเป็นปีแล้ว”
คราวนี้มุกร้อง “หา”
ผกาพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าจริง แล้วพูดต่อเสียงอ่อยๆ
“นอกจากเราจะไม่มีเงินไปตั้งต้นชีวิตใหม่กันแล้ว ชีวิตเก่าที่เป็นอยู่นี่ มันก็จะอยู่ไม่ได้ด้วย ไม่รู้นังคุณนายเจ้าของบ้านมันจะมาเฉดหัวเราออกไปวันไหน”
“โธ่”
ทุกคนเศร้าและเป็นทุกข์ตามๆ กัน โดยเฉพาะผกา

ตกตอนกลางคืนคุณหญิงมณีกำลังยืนคิดอะไรบางอย่างอยู่คนเดียวเงียบๆ
ภาพจำผุดขึ้นในห้วงคิด ตอนที่แม่หมอชไมบอกคุณหญิงมณีว่าลูกท่านนายพลเทพที่เกิดจากหญิงอื่นจะย้อนมาทำร้ายมัทนาจนถึงแก่ชีวิต
ภาพนั้นเลือนหายคุณหญิงมณีมีสีหน้าสบายใจ พึมพำกับตัวเอง
“ไม่มีวันที่นังบุปผามันจะมาทำอะไรลูกมัทได้อีกแล้ว ไม่มีวัน”
คุณหญิงยิ้มแย้มมีความสุข มัทนาเข้ามาหา
“คุณแม่กำลังคิดอะไรอยู่รึคะ ท่าทางมีความสุขกว่าทุกวันเลย”
คุณหญิง ยิ้มอ่อนโยนให้มัทนา “แม่มีความสุขก็เพราะกำลังจะได้เห็นมัทหมั้นกับผู้ชายที่ดีอย่างพ่อต้นไงล่ะจ๊ะ”
มัทนายิ้มเขิน คุณหญิงมณีลูบหัวลูกสาวอย่างรักใคร่และเอ็นดู เธอเชื่อมั่นว่าบุปผาจะต้องตายแน่คราวนี้ และจะไม่มีวันย้อนกลับมาทำร้ายมัทนาอย่างที่ชไมทำนายเอาไว้ได้เป็นอันขาด

บุปผาเดินคลำคอ เพราะยังเจ็บคอที่ถูกเชือกรัดแขวนคออยู่เข้ามา แล้วผลุบเข้าบ้านเลย โดยไม่มีใครเห็น

บุปผาเดินเข้ามาในห้อง แล้วตรงไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง มองดูเงาตัวเองในกระจก เห็นที่คอตัวเองมีรอยเขียวคล้ำอย่างเห็นได้ชัด บุปผามีสีหน้าแค้นใจจัด พูดกับเงาตัวเองในกระจก
“อีคุณหญิงมณี แกคิดจะฆ่าฉันใช่ไม๊ แต่คนอย่างอีบุปผา มันไม่ตายง่ายๆ หรอกโว๊ย! แกเคยจะฆ่าฉัน ตั้งแต่วันที่ฉันลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรก ฉันก็ยังรอดตายมาได้ ฉันรอดตายมา ก็เพื่อจะมาจองล้างจองผลาญกับแก เพื่อมาทวงความยุติธรรมให้กับแม่อุ่นและป้าอิ่ม แกจะต้องเจ็บ..ยิ่งกว่าที่ฉันเป็น และฉันรู้ดีว่าจะทำให้แกเจ็บ จนเหมือนตายทั้งเป็นได้ยังไง อีมณี”
บุปผาจ้องหน้าตัวเองในกระจก สีหน้าเคียดแค้นสุดชีวิต

รุ่งเช้าคุณหญิงมณีเดินออกมาจากห้องนอน ท่าทางแช่มชื่น สร้อยมาคอยรับใช้
“เมื่อคืนฉันนอนหลับสบายดีจังเลยสร้อย หลับสบาย เพราะฉันได้กำจัด เสี้ยนหนาม ในชีวิตฉันไปหมดแล้ว”
สร้อยพลอยแช่มชื่นไปด้วย “ค่ะ คุณหญิง”
คุณหญิงมณีเดินยิ้มย่องไปที่ห้องอาหาร สร้อยเดินตามไป

พอคุณหญิงมณีกับสร้อยมาถึงห้องอาหาร แล้วทั้งสองก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นบุปผานั่งกินข้าวอยู่กับมัทนา และนายพลเทพ ด้วยท่าทางปกติดี แต่ที่คอมีผ้าพันคอพันเอาไว้ คล้ายเป็นแฟชั่นเก๋ๆ แต่ความจริงคือบุปผาเอาพันไว้เพื่อปิดบังรอยเขียวคล้ำจากการถูกแขวนคอมาเมื่อวานนี้ บุปผาหันมามองคุณหญิงมณีกับสร้อยพร้อมกับยิ้มเย็นอย่างน่ากลัว แล้วถามเสียงหวานผิดปกติ
“ทำไมคุณหญิงมองบุปผา..แล้วทำท่าอย่างกับเห็นผี อย่างนั้นล่ะคะ”
คุณหญิงมณีได้สติ รีบระงับกิริยาอย่างรวดเร็ว แล้วลงนั่งที่โต๊ะ บุปผามองแล้วทำหัวเราะๆในคอ มัทนาตักอาหารให้แม่อย่างเอาใจ
“วันนี้ป้าทับทิมทำอาหารเช้าแบบฝรั่งนะคะคุณแม่” มือมัทนาโดนมือแม่เข้าโดยบังเอิญ “ อุ๊ย..ทำไมคุณแม่มือเย๊นเย็นอย่างนี้ละคะ คุณแม่จะเป็นลมรึเปล่าคะ”
นายพลเทพหันมามองคุณหญิงมณีอย่างสนใจ
“ไม่สบายรึเปล่าคุณ หน้าซีดอยู่นะ”
คุณหญิงสะกดอารมณ์เต็มที่ “ดิฉันไม่เป็นอะไรค่ะ ดิฉันสบายดี”
คุณหญิงมณีกับบุปผามองหน้าสู้สายตากันอย่างวัดใจกัน คุณหญิงมณีหน้าเครียด ในขณะที่บุปผายิ้มเหี้ยมให้อย่างรู้ทัน
ไม่นานต่อมาคุณหญิงมณีจิกลากตัวสร้อยมาคุยเป็นการส่วนตัว เสียงเกรี้ยวกราด แต่ไม่ดังมาก
“นังบุปผามันยังมาเสนอหน้าอยู่ในบ้านอย่างงี้ได้ยังไงกัน หา สร้อย ไหนแกว่าคนของแกมือดีนักหนายังไงล่ะแล้วทำไมเรื่องแค่นี้ก็ทำพลาดได้ ทำไมอีนั่นมันยังไม่ตาย”
“สร้อย..สร้อยไม่รู้ค่ะคุณหญิง ก็เห็นมันสองคนเงียบไป สร้อยก็คิดว่ามัน จัดการ เรียบร้อยแล้ว สร้อยก็ไม่นึกว่า…”
“มันรอดมาได้ยังงี้...มันก็เหมือนงูที่ถูกตีจนหลังหัก แต่ไม่ตาย มันต้องอาฆาตพยาบาทเราแน่ อีสร้อย..ฉันละหวั่นใจจริงๆว่ามันจะทำอะไรลูกมัทของฉัน”
คุณหญิงมณีมีสีหน้าวิตกกังวลอย่างหนัก สองคนไม่รู้ว่าเวลานี้บุปผายืนมองอยู่ แล้วหัวเราะเหี้ยมๆ พูดกับตัวเอง
“แกคอยดูก็แล้วกันว่าฉันจะทำอะไรลูกสาวคนเดียวของแก ที่แกรักเหมือนดวงใจ ฉันจะทำให้ ดวงใจ ดวงนี้ของแกแตกยับเยินไม่มีชิ้นดีเลย อีคุณหญิงมณี”
บุปผายิ้มเหี้ยมออกมา

ครู่ต่อมาบุปผายืนรอมัทนาอยู่แถวหน้าห้อง พอเห็นมัทนาเดินผ่านมา บุปผาก็รีบวิ่งกลับเข้าไปในห้อง แล้วทำทีเป็นเก็บเสื้อผ้าเอาใส่ลงในกระเป๋าเสื้อผ้า มัทนาเดินมาเห็นเข้าก็แปลกใจ
“นั่นบุปผาจะไปไหนเหรอจ๊ะ”
บุปผาหันมาหน้าเศร้า
“บุปผาตัดสินใจแล้วค่ะว่าบุปผาจะไปจากบ้านนี้ บุปผาจะกลับบ้านนอก บุปผาอยู่บ้านนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้วค่ะพี่มัท”
มัทนาตกใจมาก “กลับทำไม เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอบุปผา” บุปผาค่อยๆ เปิดผ้าพันคอออก ให้มัทนาเห็นรอยเขียวช้ำรอบคอ
“บุปผาไปโดนอะไรมาเนี่ย” มัทนาตกใจกว่าเดิม
“บุปผาถูกคนทำร้ายมาค่ะพี่มัท”
“ใครทำร้ายบุปผา แล้วทำไมบุปผาไม่บอกใคร นี่ถ้าคุณพ่อรู้ คุณพ่อต้องเอาเรื่องแน่ๆ”
“บุปผาไม่กล้าบอกใครหรอกค่ะพี่มัท โดยเฉพาะคุณพ่อ เพราะคนที่ทำร้ายบุปผามันขู่ว่าถ้าบุปผาบอกใคร มันจะฆ่าบุปผา”
มัทนาผู้แสนดีตกตะลึง “ฆ่า ใครกัน จะอยากฆ่าบุปผา”
บุปผาก้มหน้านิ่ง น้ำตารินไหล มัทนาเขยิบเข้ามาใกล้ จับมือบุปผาไว้
“บอกพี่มาสิจ๊ะว่าใครคิดจะฆ่าบุปผา”
บุปผามองหน้ามัทนานิ่งอยู่อย่างนั้น

คุณหญิงมณียืนรออยู่อย่างกระวนกระวาย สร้อยเดินเร็วๆ หน้าตาตื่นเข้ามา
“สร้อยลองไปตามไอ้ขจร กับไอ้เพิ่มที่บ้าน แต่พวกมันสองคนไม่ได้กลับบ้าน แต่หายตัวไปไหนก็ไม่รู้ค่ะคุณหญิง”
“พวกมันหายไป แต่นังบุปผามันกลับมาลอยหน้าอยู่ที่บ้านได้ มันยังไงกันเนี่ย”
สีหน้าคุณหญิงมณียามนี้ วิตกกังวลหนัก

มัทนามีสีหน้าตกตะลึง เมื่อรู้เรื่องจากบุปผา
“คุณแม่น่ะเหรอ..ส่งคนไปฆ่าบุปผา เป็นไปไม่ได้”
“แต่มันก็เป็นไปแล้วล่ะพี่มัท บุปผาคงไม่ได้ทำร้ายตัวเองจนมีรอยช้ำที่คออย่างนี้หรอกค่ะ”
“แล้วคุณแม่จะฆ่าบุปผาทำไม”
“พี่มัทไม่น่าถาม คุณหญิงท่านมองหน้าบุปผาเมื่อไหร่ ท่านก็ต้องช้ำใจเมื่อนั้นว่าครั้งหนึ่งคุณพ่อเคยนอกใจท่าน ถ้าพี่มัทไม่เชื่อที่บุปผาพูด พี่มัทก็ลองไปถามท่านถึงคนที่ชื่อเพิ่มกับขจรสิคะ”
“เพิ่มกับขจรเป็นใคร” มัทนาฉงน
บุปผาไม่ตอบ

พอถูกถามคุณหญิงมณี ก็ตอบมัทนาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“แม่ไม่รู้จักจ้ะลูกมัท..เขาเป็นใคร แล้วลูกมัทไปเอาชื่อสองคนนี้มาจากไหนเหรอจ๊ะ”
“มีคนบอกว่าคุณแม่รู้จักกับสองคนนี้ แต่ถ้าคุณแม่บอกว่าไม่รู้จัก ก็ช่างมันเถอะค่ะ คงจะเข้าใจผิดกันน่ะค่ะคุณแม่ งั้นมัทขอตัวก่อนนะคะ”
คุณหญิงมณีพยักหน้า พอมัทนาเดินพ้นไป คุณหญิงก็รีบเดินไปตามหาสร้อยอย่างร้อนใจ มัทนาแอบโผล่หน้ามาดู แล้วแอบเดินตามหลังแม่ไป โดยที่คุณหญิงมณีไม่รู้ตัว

คุณหญิงคว้าตัวสร้อยมาอีกมุม พูดด้วยความร้อนใจ
“นังสร้อย เมื่อกี้ยายมัทมาถามฉันเรื่องคนชื่อเพิ่มกับขจร ยายมัทจะไปรู้จักกับสองคนนั้นได้ยังไง ถ้าไม่ใช่...” สีหน้าคุณหญิงไม่สู้ดี “นังบุปผามันบอก”
สร้อยหน้าเสียพอกัน “แล้วนังบุปผามันจะรู้ชื่อไอ้สองคนนั้นได้ยังไงล่ะคะคุณหญิง แล้วยิ่งมันหายหัวไปทั้งสองคนอย่างนี้ด้วย จะเกิดอะไรขึ้นกับมันรึเปล่าก็ไม่รู้นะคะ”
“ฉันไม่สนใจหรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับมันสองคน ฉันสนใจแต่ว่า นังบุปผามันรู้อะไรแค่ไหนจากไอ้สองคนนั่น และมันเอาเรื่องไอ้สองคนนั่นมาบอกยายมัททำไม”
คุณหญิงมณีไม่สบายใจมาก ส่วนมัทนาแอบฟังอยู่ในอาการตื่นตะลึง คาดไม่ถึง

มัทนาเดินหน้าตาตื่นๆเข้ามาตรงมุมหนึ่ง แล้วนั่งแปะลงอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง
“คุณแม่รู้จักนายเพิ่มกับนายขจรจริงๆ ด้วย แล้วคุณแม่จะโกหกเราว่าไม่รู้จักทำไม..ถ้าไม่ใช่...” มัทนาเริ่มปะติดปะต่อเรื่องได้ น้ำตารินไหลด้วยความสะเทือนใจ “ทำไมคุณแม่ทำอย่างนี้”
มัทนาหันไปเห็นบุปผาที่เดินเข้ามาเงียบๆ จึงรีบวิ่งเข้าไปคว้ามือบุปผาไว้
“บุปผา..พี่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า..คุณแม่จะกล้าทำเรื่องเลวร้ายอย่างนั้น” มัทนาอึ้งๆ มึนๆ “มันไม่เหมือน..คุณแม่ที่พี่เคยรู้จักมาตลอดชีวิตเลย”
บุปผาชี้รอยเขียวคล้ำที่คอให้มัทนาดู
“แต่รอยนี่..คงจะยืนยันได้มั้งคะพี่มัท..ว่าท่านทำเรื่องเลวร้ายอย่างนั้นจริงๆ นี่ถ้าบุปผาไม่เกลี้ยกล่อมไอ้สองคนนั้นจนมันใจอ่อน ยอมปล่อยบุปผามา ป่านนี้บุปผาก็คงตายไปแล้วล่ะค่ะ”
“พี่ขอร้องนะบุปผา ว่าบุปผาอย่าเอาเรื่องคุณแม่เลยนะ ถ้ามีคนอื่นรู้เรื่องนี้ มันต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ บุปผาบอกมาสิว่าจะให้พี่ทำอะไรเพื่อชดใช้ความผิดให้คุณแม่ได้บ้างน่ะ”
บุปผามองหน้ามัทนานิ่ง พูดช้า ชัด “ยกเลิกการหมั้นกับคุณหมอไอศูรย์ซะ”
มัทนาตกตะลึง “อะไรนะ”
“ถ้าพี่มัทไม่ยอมยกเลิกการหมั้นกับคุณหมอไอศูรย์ บุปผาจะเอาเรื่องนี้ไปบอกคุณพ่อ แล้วเรามาคอยดูกันสิว่าถ้าคุณพ่อรู้เรื่องนี้แล้ว อะไรจะเกิดขึ้น”
พูดจบบุปผาก็เดินยิ้มร้ายออกไป ปล่อยให้มัทนายังนั่งอึ้งตะลึงงันอยู่ที่เดิม คิดอะไรไม่ออกเลย สวิงเข้ามาพอดี
“คุณหนูคะ..คุณเพชรโทร.มาค่ะ”

เพชรยืนคอยมัทนาอยู่แล้วตามนัด มัทนาเดินหน้าตาเซื่องซึมเข้ามา
“พี่เพชรโทร.นัดมัทให้ออกมาพบทำไมหรือคะ”
“พี่มีเรื่องสำคัญจะต้องคุยกับน้องมัท แต่พี่ไม่อยากเข้าไปคุยที่บ้านน้องมัท”
มัทนาเห็นเพชรสีหน้าขึงขังก็ใจคอไม่ดี “เรื่องอะไรหรือคะ”
“เรื่องนายเถา” เพชรบอก
“นายเถา..ทำไมคะ แกเสียไปแล้วนี่คะ”
“พี่ขอพูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อมละ คุณแม่น้องมัทให้ป้าสร้อยไปซื้อยาจากนายเถา เอามาให้คุณพ่อน้องมัทกิน”
“ก็อาจจะใช่มั้งคะ มัทเห็นคุณแม่ให้คุณพ่อกินยาสมุนไพรทุกคืน คุณแม่บอกว่ามันเป็นยาบำรุงกำลังค่ะ” มัทนาว่า
“มันไม่ใช่ยาบำรุง แต่เป็นยาที่กินแล้วจะทำให้เป็นหมัน เพราะคุณแม่น้องมัทไม่อยากให้ท่านนายพลไปมีลูกกับใครได้อีก นายเถาสารภาพเรื่องนี้กับพี่เองก่อนสิ้นใจ”
มัทนาทำหน้าไม่เชื่อ
เพชรยืนยัน “แล้วพี่ก็ยังพบกระดาษจดเบอร์โทรศัพท์ของบ้านเทพบริบาลในย่ามของนายเถาด้วย ซึ่งทำให้ยืนยันได้ว่านายเถามีการติดต่อกับคนที่บ้านเทพบริบาลจริงๆ”
มัทนาแข้งขาอ่อนยืนไม่อยู่ เจอเรื่องโหมกระหน่ำเข้าใส่ไม่หยุด เพชรเข้าประคอง
มัทนาพึมพำเสียงเบาหวิว “มัทไม่อยากจะเชื่อ”
“พี่ก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าคุณแม่น้องมัทจะทำเรื่องแบบนี้” เพชรเริ่มแผนทันที “นี่พี่ก็คงต้องไปเรียนถามเอาความจริงเรื่องนี้กับคุณพ่อกับคุณแม่ของน้องมัทด้วย”
มัทนาตกใจ “อย่านะคะ ถ้าคุณพ่อรู้เรื่องนี้เข้า มีหวังได้มีเรื่องกับคุณแม่แน่ๆ เลยค่ะ”
“ใช่ และเรื่องแบบนี้ รู้ถึงไหน..ก็อายเขาถึงนั่น”
“แล้วคุณแม่ก็ต้องอับอายจนไม่รู้เอาหน้าไปไว้ที่ไหนเลย”
“แต่พี่อาจจะทำไม่รู้ไม่เห็นเรื่องนี้ก็ได้...” เพชรมองหน้ามัทนานิ่ง “ถ้าน้องมัท...”
มัทนามองหน้าเพชรด้วยความสงสัยว่าเพชรจะให้เธอทำอะไร

พอกลับบ้านมามัทนานอนหงายอยู่บนเตียงอย่างคนไม่มีเรี่ยวมีแรงจะทำอะไรเลย เอาแต่หมกมุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เหตุการณ์ตอนคุยกับเพชรผุดขึ้นมาในห้วงคิด
“แต่พี่อาจจะทำไม่รู้ไม่เห็นเรื่องนี้ก็ได้” เพชรมองหน้ามัทนานิ่ง “ถ้าน้องมัท..จะเลิกคบกับพี่ต้น แล้วยอมหมั้นกับพี่ แทนพี่ต้น”
“อะไรนะคะ”
“หรือว่าน้องมัทอยากให้เรื่องของคุณแม่น้องมัทกลายเป็นที่โจษจันของผู้คนในสังคมล่ะครับ” เพชรข่มขู่กลายๆ
มัทนาอึ้ง พูดอะไรไม่ออก
อีกเหตุการณ์ผุดขึ้นมาติดๆ ตอนที่ถูกบุปผาขู่
“พี่มัทก็ลองคิดเอาเองก็แล้วกันค่ะ แต่ถ้าพี่มัทไม่ยอมยกเลิกการหมั้นกับคุณหมอไอศูรย์ บุปผาจะเอาเรื่องนี้ไปบอกคุณพ่อ แล้วเรามาคอยดูกันสิว่าถ้าคุณพ่อรู้เรื่องนี้แล้ว อะไรจะเกิดขึ้น”
มัทนา ร้องไห้โฮออกมาอย่างอัดอั้นตันใจสุดขีด
“ทำไมคุณแม่ทำอย่างนี้ ! ทำไมๆๆๆๆๆๆ”
มัทนาร้องไห้แทบขาดใจ ไม่เห็นทางออกอื่นใดอีกแล้ว
เวลาเดียวกัน บุปผาซึ่งยืนแอบฟังอยู่ที่หน้าประตู ได้ยินเสียงมัทนาร้องไห้แว่วออกมา
“ทำไมคุณแม่ทำแบบนี้”
แม้จะไม่รู้ว่าเพชรก็ขู่มัทนาอีกทางหนึ่ง แต่เดาได้ว่ามัทนาไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องร้ายกับแม่แน่ๆ และต้องยอมเลิกคบกับไอศูรย์ตามแผนของหล่อนในที่สุด

บุปผายิ้มร้ายออกมาด้วยความสะใจ

อ่านต่อตอนที่ 14 อวสาน
กำลังโหลดความคิดเห็น