นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 9
ฤทธิ์ยืนเหม่ออยู่บนดาดฟ้าบริษัทมาดามหลิว ที่ชาญชอบมายืนเป็นประจำ และรู้ว่าณัฐชาเดินเข้ามายืนข้างหลังเขา
“ปกติเวลาที่ผมไม่สบายใจ ผมจะขึ้นมาปรึกษากับชาญบนนี้ แต่ตอนนี้…เขาไม่อยู่แล้ว”
ฤทธิ์ไม่พูดอะไรอีก ณัฐชามองหน้าเขาก่อนจะเดินมาโอบกอดแผ่นหลังของเขาเอาไว้ ฤทธิ์แปลกใจ
“ณัฐชา”
“คุณต้องไม่ตาย คุณอย่าตายนะ”
ฤทธิ์หันมา
“นี่คุณได้ยินเรื่องที่ผมกับโซเฟียคุยกัน”
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ…แล้วคนที่เหลือจะทำยังไง ฉันกับคนอื่นจะสู้พรายพิฆาตได้ยังไง”
ฤทธิ์ปลอบ
“ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าหรอกณัฐชา นั่นคือสิ่งเดียวที่ผมได้เรียนรู้จากเรื่องที่เกิดขึ้น เวลาของผมกำลังสิ้นสุดลงแล้ว”
“ไม่...ไม่ใช่ตอนนี้ ฉันไม่ยอมเสียคุณไปตอนนี้”
“ณัฐชา” ชายหนุ่มประคองใบหน้าหญิงสาวให้มองมาที่ตน “ถึงไม่มีผม ก็ยังมีคุณ ยังมีคนอื่นที่พร้อมจะสู้กับพรายพิฆาต แค่มีความกล้า มีศรัทธาไม่ว่าใครก็เป็นนักสู้มหากาฬได้ทั้งนั้น รับปากกับผมสิณัฐชา ว่าคุณจะไม่ยอมแพ้”
ณัฐชาร้องไห้ยอมรับความจริงเรื่องนั้นไม่ได้ เธอโผกอดเขาด้วยความสะเทือนใจ
ไมตรีกับปรีดามาถึงหน้าห้องคอนโดณัฐชา ปรีดาลองบิดลูกบิดประตูห้องแล้วพบว่าแง้มเปิดได้
“ไม่ล็อกจ่า”
“ลองเรียกดูสิ”
“คุณไอริณ คุณไอริณครับ”
ไม่มีเสียงตอบ
“คุณไอริณ อยู่ในนั้นรึเปล่า” ปรีดาใจเสีย “ท่าทางไม่ค่อยดีแล้วจ่า เอาไง”
“ต้องเกิดเรื่องแน่นอน พวกเรากลับ”
ไมตรีหันหลังจะเผ่นหนี ปรีดารีบคว้าตัวไว้
“เย้ย ไม่ได้นะจ่า เราเป็นตำรวจนะ เกิดเรื่องก็ต้องเข้าไปดูสิ”
“รู้ ก็เนี่ยจะไปตามกำลังเสริม”
“ไม่ต้องตามแล้ว ลงมือเถอะ”
ปรีดาว่าพลางชักปืน ไมตรีพยักหน้าก่อนจะชักปืนออกมา และกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ...ทั้งสองถือปืนย่องเข้ามาในคอนโดซึ่งปิดไฟมืดอย่างระแวดระวัง ไมตรีลองเปิดสวิทซ์ไฟ
“หมู่ ไฟเสีย”
“ระวังตัวด้วยครับจ่า พวกมันอาจอยู่แถวนี้”
ทั้งคู่แยกย้ายกันสำรวจไปรอบๆ ไมตรีเจอเงาตัวเองในกระจกก็สะดุ้งตกใจเล็กน้อย พอเห็นว่าเป็นเงาตัวเองก็ปาดเหงื่อ ขณะที่ปรีดาสำรวจห้องอื่นแล้วก็ไม่เจออะไร เหลือแต่ห้องนอนที่ยังเปิดประตูแง้มอยู่ในห้องมีแสงสว่าง จึงบุ้ยหน้าให้ไมตรีเข้าไปดูด้วยกัน ไมตรีกับปรีดาผลักประตูเข้ามาในห้อง แล้วเจอไอริณนอนตาค้างอยู่ในสภาพที่จมูกและปาก มีคราบเลือดเปื้อนเกรอะกรัง ปรีดาตกใจ
“คุณไอริณ ต…ต…ตายรึยังจ่า”
ไมตรีลองเอามืออังจมูก
“รีบโทรตามหมอ เร็วเข้าหมู่”
ราเมศนั่งคอตกหลังจากโดนโซเฟียสอบปากคำโดยใช้ไฟฟ้าช๊อตจนหมดสภาพ เสียงกังวานของคลื่นพลังบางอย่างถูกส่งเข้ามา ราเมศได้สติทันที
“พรายพิฆาต ข้ากำลังรอท่านอยู่ พรายพิฆาตรีบมาช่วยข้าที พรายพิฆาต”
ณัฐชากับฤทธิ์เดินลงจากดาดฟ้า แต่แล้วก็มีแสงสว่างปรากฏขึ้น เห็นกายทิพย์ของใจทิพย์ยืนอยู่ในแสงนั้น ณัฐชาชะงัก
“ใจทิพย์”
ฤทธิ์ส่ายหน้า
“ไม่...พรายพิฆาตต่างหาก”
“ฉันจะรอพวกแกที่โรงงานร้าง ที่แกจับบอสไป แกต้องพาเขาไปส่งคืนที่นั่น”
ฤทธิ์เห็นร่างนั้นกำลังเลือนหาย
“เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน”
แสงสว่างหายไปพร้อมกับกายทิพย์ของใจทิพย์
ฤทธิ์เข้ามาในห้องนอนเปิดที่ซ่อนชุดและอาวุธของนักสู้มหากาฬออกมา ณัฐชารีบขวาง
“เดี๋ยว คุณจะบุกไปแบบนี้ไม่ได้นะ พวกมันต้องวางกับดักเอาไว้แน่”
“ถ้าผมไม่ไป มาดามหลิวต้องตาย”
“ถึงไปมาดามหลิวก็ตายอยู่ดี แล้วถ้าบอสหลุดไปได้เมื่อไหร่คนทั้งประเทศจะต้องเดือดร้อน”
ขณะเดียวกันนั้นเสียโซเฟียดังขึ้น
“ผู้หมวดณัฐชาพูดถูก”
ณัฐชากับฤทธิ์มาที่โซเฟียซึ่งกำลังยืนอยู่
“เราจะปล่อยบอสไปไม่ได้เด็ดขาด”
ณัฐชามองหน้า
“นี่...อย่าบอกนะว่าเธอจะฆ่าผู้ต้องหา”
“ฉันมีวิธีที่ง่ายกว่านั้น”
ประตูเปิดออก ราเมศเห็นโซเฟียเดินนำ ฤทธิ์ กับณัฐชาเข้ามาในห้อง
“พร้อมจะเดินทางรึยัง” โซเฟียเข้าไปถาม
ราเมศเชิดหน้าอย่างหยิ่งยะโส ณัฐชาเข้ามาบอก
“โทษทีนะคุณราเมศ ช่วยแปลงร่างเป็นบอสอีกครั้งนึงจะได้มั้ย”
ราเมศไม่สน
“ฉันไม่จำเป็นต้องเชื่อพวกแก”
ฤทธิ์ขัดขึ้น
“ใช่...แต่นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่แกจะมีโอกาสเป็นบอส”
ราเมศเอะใจขณะที่โซเฟียดึงเข็มฉีดยาที่เตรียมไว้ออกมา ในหลอดบรรจุของเหลวสีแดงคล้ายเลือด ราเมศชะงัก
“นั่นอะไร”
โซเฟียยิ้มให้อย่างเหี้ยมเกรียม
ในห้องโถงโรงงานร้าง...นักรบพรายพิฆาตช่วยกันติดตั้งระเบิดซ่อนไว้ที่ใต้เก้าอี้รถเข็น มาดามหลิวถูกมัดมืออุดปากโดนพวกมันอุ้มมาพันธนาการไว้กับรถเข็น ใจทิพย์เข้ามา
“ยินดีด้วยนะมาดาม อีกเดี๋ยวจะมีคนมารับตัวคุณ” ใจทิพย์ยิ้มเหี้ยม “ไปลงนรก และฉันก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วม”
มาดามหลิวมองใจทิพย์ด้วยความแค้น ขณะที่ใจทิพย์หันไปบอกนักรบพรายพิฆาต
“ถ้าเห็นสัญญาณเมื่อไหร่ ให้กดรีโมทจุดชนวนได้ทันที”
เหล่านักรบพรายพิฆาตคำนับรับคำ ขณะที่นักรบอีกนายหนึ่งที่เฝ้าเวรอยู่ด้านนอกรีบเข้ามารายงาน
“ท่านพรายพิฆาต พวกมันมากันแล้ว”
ใจทิพย์หันมองไปเห็นนักสู้มหากาฬลากตัวราเมศที่อยู่ในคราบของบอสเข้ามาในห้องโถง บอสล้มลุกคลุกคลานอย่างหมดสภาพ ใจทิพย์แปลกใจ
“นักสู้มหากาฬ ฉายเดี่ยวงั้นเหรอ”
“นี่เป็นเรื่องระหว่างแกกับฉัน ปล่อยตัวมาดามหลิวไปซะ”
“ก็ได้ ถ้าแกยอมปล่อยบอสมาก่อน”
นักสู้มหากาฬกระชากคอบอส แล้วผลักมันจนถลาไปฟุบตรงหน้าใจทิพย์
“หวังว่าแกคงรักษาคำพูด”
“ไม่มีทาง”
ใจทิพย์ใช้พลังจิตผลักร่างนักสู้มหากาฬจนกระเด็นไป
“แกมันโง่”
นักสู้มหากาฬไม่ทันตั้งหลักก็โดนใจทิพย์ใช้พลังจิตเหวี่ยง.ซ้ำจนกลิ้ง
“รนหาที่ตาย”
ใจทิพย์ใช้พลังดันร่างนักสู้มหากาฬกระเด็นไปติดผนัง
“ถ้าแกยอมศิโรราบให้ฉันแต่แรกก็คงไม่เป็นแบบนี้”
“แบบไหนเหรอท่านพรายพิฆาต”
ใจทิพย์ชะงักมองไปที่เจ้าของเสียงนั้นและเห็นบอสตัวปลอมพลิกตัวกลับมา พร้อมกับปืนลูกซองยาวที่ซ่อนเอาไว้
“แก”
บอสตัวปลอมเหนี่ยวไกตูม ใจทิพย์รีบใช้พลังกันกระสุน แต่แรงระเบิดของกระสุนปืนก็ยังมากพอที่จะดันร่างเธอจนกระเด็นไป บอสตัวปลอมสลัดหน้ากากและผ้าคลุมออก เผยให้เห็นว่าเป็นณัฐชานั่นเอง
“ปืนแรงอัดสูง ต่อให้ช้างยังล้ม พลังจิตเธอขวางไม่อยู่หรอก”
ใจทิพย์หันไปสั่งการ
“กดระเบิด”
นักรบพรายพิฆาตยกรีโมทขึ้น แต่ไม่ทันกดพวกมันก็ถูกกราดยิงด้วยปืนกลจากด้านหลังโดยแทบไม่มีโอกาสต่อสู้ ปืนกลอันทันสมัยนั้นเจาะเข้าเป้าหมายอย่างแม่นยำ โดยไม่ระคายถูกมาดามหลิวแม้แต่ละอองฝุ่น ชั่วพริบตานักรบพรายพิฆาตก็ตายเกลี้ยง ขณะที่โซเฟียปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับปืนกลในมือ
“แกประมาทเกินไปแล้วพรายพิฆาต แกเชื่อในพลังของตัวเองมากเกินไป”
ใจทิพย์ยืนอึ้ง นักสู้มหากาฬตั้งหลักได้อีกครั้ง ส่วนณัฐชาเล็งปืนคุมเชิงเธออยู่ ขณะที่โซเฟียรีบผละไปช่วยปลดเทปที่ปิดปากมาดามหลิวออก
“โซเฟีย”
“มาดาม คุณมาดามปลอดภัยแล้ว”
“ใต้รถเข็นของฉันมีระเบิด”
โซเฟียอึ้งไป ฤทธิ์หันมาหาใจทิพย์
“ยอมแพ้เถอะพรายพิฆาตแกหนีไม่พ้นหรอก”
“เกิดอะไรขึ้นกับบอส”
ณัฐชามองไปที่โซเฟีย ใจทิพย์มองตามไปและเห็นโซเฟียกำลังยิ้มให้อย่างสะใจ
“หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง ตอนนี้เขาไม่มีค่าสำหรับเธออีกแล้วพรายพิฆาต”
ใจทิพย์นิ่วหน้าด้วยความประหลาดใจ
ก่อนหน้านี้ เมื่อโซเฟียคว้าเข็มฉีดยาออกมา ราเมศตกใจ
“นั่นอะไร”
โซเฟียยิ้มให้อย่างเหี้ยมเกรียม ฤทธิ์จึงเฉลยแทน
“เลือดของฉันเอง เลือดที่มีไวรัสจากพรายพิฆาต”
ราเมศหน้าตื่น
“เฮ้ย...อย่าทำอะไรบ้าๆนะ”
โซเฟียไม่ฟังเสียง เธอปักเข็มใส่คอราเมศทันที ราเมศถึงกับผงะตาค้าง
“เราเพาะไวรัสเพิ่มให้แกเป็นพิเศษ อีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมงแกจะกลายเป็นคนธรรมดา”
ราเมศตาค้างก่อนจะฟุบร่วงไปกับพื้น ณัฐชาได้แต่มองสภาพของราเมศอย่างสมเพช
ใจทิพย์กวาดมองไปรอบๆตัวด้วยความแค้น
“มันยังไม่จบแค่นี้หรอก ข้ายังไม่แพ้”
ณัฐชารีบยิงใส่ใจทิพย์ทันที ใจทิพย์ใช้พลังปัดกระสุนไปทางมาดามหลิว
“มาดามระวัง”
โซเฟียกระโจนผลักมาดามหลิวออกจนตัวเองถูกยิงแทน ณัฐชาตะลึง
“โซเฟีย”
นักสู้มหากาฬชักมีดคู่กายออกมา ก่อนจะกดปุ่มกลไกยิงใบมีดจู่โจมทันที ใจทิพย์หันมาซัดพลังเหวี่ยงนักสู้มหากาฬจนกระเด็นไป แต่วินาทีนั้นนักสู้มหากาฬก็เหลือบเห็นระเบิดที่ติดอยู่กับรถเข็นของมาดามหลิวจึงเหวี่ยงใบมีดไปพันรถเข็นเอาไว้
“ณัฐชายิง”
ณัฐชาพอเดาทางออก เธอรีบยกปืนขึ้นเล็งรอจังหวะ พอนักสู้มหากาฬเหวี่ยงรถเข็นมาตรงหน้าใจทิพย์ เธอก็เหนี่ยวไกยิงระเบิดทันที แรงระเบิดทำให้ทุกคนกระเด็นไปคนละทางรวมทั้งใจทิพย์ นักสู้มหากาฬมีโอกาสที่จะฆ่าเธอจากด้านหลัง เขารีบยิงใบมีดออกไปอีกครั้ง แต่เวลานั้นใจทิพย์ก็หันมาเสียก่อน ภาพอดีตเมื่อครั้งที่ใจทิพย์ยังเป็นคนเดิมและเป็นคนรักของฤทธิ์ ราวีแว่บเข้ามา นักสู้มหากาฬไม่อาจทำใจได้ เขารีบดึงใบมีดกลับมา ทั้งที่เกือบจะเล่นงานใจทิพย์ได้สำเร็จ มาดามหลิวร้องเตือน
“โทมัส”
ใจทิพย์แสยะยิ้ม
“มันคือจุดอ่อนของแกใช่มั้ยฤทธิ์ ราวี จุดอ่อนที่ไม่เคยเปลี่ยนไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือปัจจุบัน ถึงจะตายและเกิดใหม่อีกกี่ครั้ง หัวใจของแกก็ยังไม่ลืมใจทิพย์”
ฤทธิ์รีบบอก
“ทุกคนหนีไปก่อน”
ณัฐชาเป็นห่วง
“แล้วคุณล่ะ”
“พามาดามหลิวหนีไป” นักสู้มหากาฬมองใจทิพย์ “ผมจะหยุดเธอเอง”
ณัฐชาตะลึงไป ขณะที่โซเฟียรีบเข้าไปประคองมาดามหลิว
“ผู้หมวด”
ณัฐชาได้สติรีบเข้าไปช่วยโซเฟีย ทั้งสามช่วยกันพามาดามหลิวหลบไปทางหนึ่ง ใจทิพย์ตั้งหลักประคองตัวยืนขึ้นอีกครั้ง
“แกทำไม่ได้หรอกฤทธิ์ ราวี แกมันใจเสาะเกินกว่าจะทำแบบนั้น”
ใจทิพย์ใช้พลังจิตยกเศษอิฐและวัตถุต่างๆที่อยู่รอบตัวจนลอยขึ้น
“ความอ่อนแอคือจุดจบของนักสู้”
ใจทิพย์คำรามก่อนจะใช้พลังจิตทุ่มวัตถุต่างๆพุ่งเข้าหา นักสู้มหากาฬรวบรวมความกล้าก่อนจะแผดร้องออกมา เขาวิ่งเข้าหาใจทิพย์อย่างบ้าบิ่นก่อนจะกระโจนตัวไปในอากาศเพื่อหลบวัตถุที่พุ่งเข้าหา ก่อนจะยิงใบมีดทั้งสองเล่มออกไป ใจทิพย์หลบคมมีดได้ แล้วใช้พลังตรึงร่างของนักสู้มหากาฬไว้กลางอากาศ
“เมื่อไหร่แกจะสำนึกซะที ว่าไม่มีใครฆ่าฉันได้ฉันคือพรายพิฆาต ฉันคือเทพเจ้าแห่งโลกใหม่”
ใจทิพย์อัดร่างของนักสู้มหากาฬเข้ากับผนังอย่างแรงจนยุบ เขากระอักเลือดออกมา
“ใจทิพย์ ผมรู้ว่าคุณยังอยู่ในนั้น ผมรู้ว่าคุณได้ยินผม”
พลังความรักของฤทธิ์ทำให้พรายพิฆาตชะงักไป คลื่นพลังที่มันควบคุมใจทิพย์อยู่เหมือนกับขาดตอน พรายพิฆาตหลับตาลงก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง…ในสภาพของใจทิพย์ที่ควบคุมร่างกายส่วนอื่นไม่ได้
“ฤทธิ์ ช่วยฉันด้วย ปล่อยฉันออกไป”
“ใจทิพย์ ผมรักคุณ”
นักสู้มหากาฬกดปุ่มกลไกที่ด้ามมีด ดึงใบมีดกลับคืนที่ เขารีบควงมันเพื่อให้กระชับมือก่อนจะจ้วงแทงใส่ใจทิพย์อย่างรวดเร็ว ใจทิพย์สะเทือนใจ
“ฤทธิ์”
“อีกไม่นาน ไม่ว่านรกหรือสวรรค์ ผมจะตามไปอยู่กับคุณ ผมจะตามหาคุณ ใจทิพย์”
ใจทิพย์ค่อยๆสิ้นใจในอ้อมกอดของนักสู้มหากาฬ คลื่นพลังแสงของพรายพิฆาตล่องลอยออกมาจากร่างของเธอ เสียงพรายพิฆาตดังก้อง
“มันยังไม่จบแค่นี้ มันยังไม่สิ้นสุดแค่นี้ ข้าจะสร้างโลกใหม่ให้สำเร็จ และแกจะต้องชดใช้”
พลังแสงระเบิดออกอย่างรุนแรง จนโครงสร้างของโรงงานเริ่มสั่นสะเทือน
นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 9 (ต่อ)
พื้นดินสะเทือนราวกับเกิดแผ่นเดินไหว ณัฐชาซึ่งหลบอยู่ในที่กำบังกับมาดามหลิว และโซเฟีย พอเห็นโครงสร้างของอาคารเริ่มทรุดตัวก็ได้สติเธอรีบวิ่งออกไป
“โทมัส”
มาดามหลิวตกใจ
“ผู้หมวดอย่าเข้าไป โซเฟียรีบหยุดเธอเอาไว้”
โซเฟียรีบวิ่งไปคว้าตัวณัฐชาก่อนที่เธอจะวิ่งเข้าไปในโรงงาน อาคารกำลังถล่มขณะที่นักสู้มหากาฬยังคงกอดร่างของใจทิพย์อยู่ข้างใน ณัฐชาเรียก
“โทมัส คุณโทมัส” แล้วเธอก็ตะโกน “ฤทธิ์ ราวี”
ณัฐชาเห็นฤทธิ์หันมามองเธอและยิ้มให้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่อาคารโรงงานจะถล่ม ณัฐชาทรุดเข่าลงอย่างหมดแรง ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไป
“ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า นั่นคือสิ่งที่ฤทธิ์ ราวีบอกกับฉัน”
เช้าวันต่อมา...รถของณัฐชาแล่นมาตามถนนโล่งๆในยามเช้าแสงพระอาทิตย์สาดส่อง ณัฐชากำลังขับรถท่าทางอิดโรย มอมแมมจากศึกหนักเมื่อคืน เธอรำพึงในใจ
‘คำพูดง่ายๆที่ทุกคนเคยได้ยิน แต่จะมีกี่คนที่กล้ายอมรับพรายพิฆาตต้องการสร้างกองทัพที่เป็นอมตะ มาดามหลิวต้องการแก้แค้นให้กับครอบครัวหรือแม้แต่ฤทธิ์เองที่ไม่เคยลืมใจทิพย์จนถึงวาระสุดท้าย’
ณัฐชาดูสงบเยือกเย็น รำพึงในใจ
‘น่าแปลก ที่มนุษย์เรามักวุ่นวายกับอดีตและอนาคตจนลืมไปว่า เรามีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน…นั่นต่างหากที่เป็นตัวกำหนดทุกสิ่ง’
หน้าอาคารกองปราบ...ปรีดากับไมตรีตามสิงหาออกมาดูเหตุการณ์
“ทางนี้ครับสารวัตร” ปรีดาเรียก
ไมตรีชี้ไป
“นั่นไงครับ ผู้หมวดกลับมาแล้ว”
สิงหาอึ้ง
“ณัฐชา”
ณัฐชาคุมตัวราเมศกลับมาที่กองปราบ ราเมศถูกสวมกุญแจมือมีสภาพอ่อนแรงเพราะเชื้อไวรัส
ในห้องทำงานเมธา...ณัฐชากับเมธากำลังคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
“นี่คุณจะให้ผมเชื่อตามนี้จริงๆเหรอผู้หมวด”
“แน่นอนค่ะผู้กำกับ”
“แปลว่าพรายพิฆาตถูกนักสู้มหากาฬฆ่าตาย”
“ค่ะ น่าจะเป็นแบบนั้น”
“แล้วนักสู้มหากาฬล่ะ ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”
“ฉันไม่ทราบค่ะผู้กำกับ บางทีร่างของเขาอาจจะถูกฝังอยู่ใต้ซากอาคาร”
เมธาขยับมองอย่างครุ่นคิดว่าควรเชื่อณัฐชาหรือไม่
ราเมศถูกคุมตัวกลับเข้าห้องขัง คราวนี้สวมแต่กุญแจมือไม่มีเสื้อกั๊กไฟฟ้าอีกแล้ว สิงหาเข้ามาหา
“ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับคุณนะราเมศ ต่อไปนี้คุณไม่ต้องสวมเสื้อไฟฟ้าอีกแล้ว และอีกไม่ช้า คุณจะต้องถูกประหารชีวิตในฐานะของมนุษย์ธรรมดา”
“มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอกสารวัตร พรายพิฆาตจะต้องกลับมาผมรับรองได้”
สิงหามองอย่างเย้ยหยัน
เจ้าหน้าที่เข็นรถเข็นพามาดามหลิวมาเยี่ยมอาการของฤทธิ์ ซึ่งกำลังแช่ตัวอยู่ในกล่องกรรแสงและมีโซเฟียคอยดูแล มาดามหลิวเข้ามาถามโซเฟีย
“อาการของเขาเป็นยังไงบ้าง”
“สาหัสมากค่ะมาดาม บาดแผลสมานตัวช้ากว่าเดิมหลายเท่า พลังของน้ำตามัจจุราชแทบไม่มีเหลือในตัวของเขา”
“แล้วอาการป่วยล่ะ”
“เจ้าหน้าที่ของเราพยายามผลิตวัคซีนอยู่ค่ะ แต่เกรงว่า…”
โซเฟียละคำพูดที่ไม่เป็นมงคลนั้น มาดามหลิวได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างปลงๆ
“นั่นอาจจะเป็นข่าวดีสำหรับเขา ที่จะได้ไปหาใจทิพย์เร็วๆนี้”
ฤทธิ์ยังคงนอนหลับใหลไม่ได้สติ
ในโรงชำแหละเนื้อ...กรณ์ลืมตาโพลงตื่นขึ้นจากการหลับใหล มองไปรอบๆตัวอย่างมึนงง โลกของเขาในวันนี้เปลี่ยนไป กรณ์มีระยะการมองเห็นไกลกว่าธรรมดา เมื่อจะเพ่งสิ่งใดแม้แต่มดหรือแมลงที่ไต่อยู่ลิบๆก็ยังสามารถเพ่งจนเห็นได้ราวกับอยู่ใกล้
โรงชำแหละเนื้อซึ่งเคยเป็นที่เก็บพืชผลการเกษตร ตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าละเมาะเปลี่ยวห่างไกลบ้านคน ได้ยินเสียงนกการ้องน่ากลัว กรณ์เดินออกมาสำรวจดูข้างนอก ก่อนจะมองกลับไปที่โกดังและพยายามครุ่นคิดว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน
เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา กรณ์กำลังฉีดน้ำตามัจจุราชให้ศพของวัฒน์ ยักษ์ และเอมี่ ก่อนจะบอกกับทุกคน
“ไม่ว่าน้ำตามัจจุราชจะได้ผลหรือไม่ ฉันก็ยินดีที่ได้ร่วมงานกับพวกแกและหวังว่าคงได้ร่วมงานกันอีกในอนาคต”
ศพของ วัฒน์ ยักษ์และเอมี่ยังคงนอนนิ่ง
เวลาผ่านไป กรณ์กลับออกมาจากห้องแช่แล้วเจอลุงโจที่กำลังยืนรออยู่ถามขึ้น
“แล้วผมล่ะหัวหน้า”
“ยังไม่ต้อง”
“อ้าว”
“น้ำตามัจจุราชอาจมีปัญหา ถ้าการกลายพันธุ์ไม่สมบูรณ์ล่ะก็ อย่างน้อยก็น่าจะมีคนปกติอยู่ในทีมสักคน ไว้คอยดูแลคนอื่น”
ลุงโจพยักหน้ารับ
“ถ้างั้นก็โชคดีนะหัวหน้า ผมเอาใจช่วย”
กรณ์เดินไปนั่งที่โซฟาเก่าๆขาดๆตรงมุมหนึ่ง หยิบเข็มน้ำตามัจจุราชอย่างทำใจก่อนจะปักใส่หัวใจของตนเองแล้วกดทีเดียวหมดหลอด ลุงโจมองกรณ์อย่างตื่นตะลึง น้ำตามัจจุราชเริ่มแสดงปฎิกริยาออกมาตามผิวหนัง และสีของนัยน์ตา สักครู่กรณ์ก็คำรามร้องออกมาราวกับสัตว์ร้าย
กรณ์ใช้พลังเคลื่อนย้ายมวลสารของร่างกายได้เช่นเดียวกับบอส เขากระโจนขึ้นมาบนหลังคาโกดังใด้ในพริบตา กรณ์ยิ้มพอใจ
“ในที่สุดเราก็ทำสำเร็จ ทีนี้ต่อให้นักสู้มหากาฬหรือพรายพิฆาตก็ทำอะไรเราไม่ได้ ฮ่าๆ”
ในความฝันของฤทธิ์ เขาเดินฝ่าม่านหมอกออกมา และเห็นใจทิพย์กำลังยืนรออยู่
“ใจทิพย์”
“ฤทธิ์...อย่าเข้ามา”
ฤทธิ์หยุดชะงัก
“มันยังไม่ถึงเวลาของคุณ คุณต้องกลับไปช่วยคนอื่น”
“ไม่...ผมไม่สู้กับใครอีกแล้ว ผมจะทิ้งทุกอย่างเพื่อคุณ”
“ฉันยอมให้คุณทำแบบนั้นไม่ได้ เชื่อฉันเถอะทุกคนกำลังรอคุณอยู่”
ร่างของใจทิพย์ค่อยๆเลือนหายไป ฤทธิ์รีบโผไปด้วยความตกใจ
“ใจทิพย์”
ในห้องทดลองบริษัทมาดามหลิว...เจ้าหน้าที่พบว่าชีพจรของฤทธิ์เต้นถี่ขึ้น จึงรีบรายงานโซเฟีย
”คุณโซเฟียครับ ร่างกายของคุณโทมัสเริ่มมีการตอบสนองแล้วครับ”
โซเฟียมองอุปกรณ์วัด
“ชีพจรดูเหมือนจะเป็นปกติแล้ว...อดทนเข้านะคุณโทมัส ฉันไม่ยอมให้คุณตายตอนนี้เด็ดขาด”
ฤทธิ์ยังไม่ฟื้น แต่นิ้วเริ่มขยับ
ลุงโจมาทานอาหารเช้าและซื้อเสบียงที่ตลาด เขาอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ระหว่างดื่มกาแฟ ลุงโจพับหนังสือพิมพ์วางลงที่โต๊ะอย่างหนักใจ เมื่อเห็นพาดหัวข่าวพิมพ์ว่า “จุดจบพรายพิฆาตและนักสู้มหากาฬ อาคารถล่มฝังร่างทั้งเป็น”
ลุงโจขับรถแล่นจากไปอย่างรวดเร็ว
สามคนงาน ย่องมาดูลาดเลาแถวหน้าโรงชำแหละเนื้อ
“จะเอาแน่เหรอวะ” คนงานคนหนึ่งถามอย่างไม่แน่ใจ
“ท่าทางพวกมันมีเงิน เอ็งไม่เห็นหรือไง มาอยู่หลบๆซ่อนแบบนี้ ต้องหนีตำรวจมาแหง”
คนงานอีกคนเสริม
“ข้าว่าเป็นพวกค้ายาว่ะ ถ้าเราปล้นมัน คงได้เงินเยอะอื้อซ่า”
“ค้ายาเสพติด แล้วมันจะเอาห้องแช่เย็นไปทำอะไรวะ”
“ไม่รู้โว้ย เข้าไปเดี๋ยวก็เห็นเองนั่นแหละ”
คนงานทั้งสามแอบย่องเข้ามาในโรงชำแหละเนื้อ แต่พบกับความว่างเปล่า
“ไม่มีคนอยู่”
คนงานอีกคนบอกเพื่อน
“เอ็งลองไปดูห้องแช่ซิ ว่ามันเก็บอะไรเอาไว้”
“ทำไมต้องเป็นข้าด้วยวะ มาด้วยกันก็ไปด้วยกันสิ”
“ไอ้นี่ ทำปอดไปได้ ไปก็ไปสิวะ”
สามคนงานย่องไปที่ห้องแช่ เปิดประตูห้องแช่เข้ามาแล้วก็พบกับความหนาวสุดขั้ว หนาวจนเป็นไอหมอก
“โอ้โหเฮ้ย...เย็นอะไรขนาดนี้วะเนี่ย”
คนงานอีกคนชะเง้อดูแผงควบคุม
“เร่งเครื่องซะแรงสุดเลยนี่หว่า”
คนงานคนหนึ่งเดินฝ่าไอหมอกเข้าไปดูห้องแช่เย็นแล้วพบกับศพของวัฒน์กับยักษ์ ที่ยังนอนนิ่งอยู่
“คนตาย มีศพอยู่ในนี้”
คนงานรีบถอยกลับแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อพบกับเอมี่ ที่มีดวงตาเป็นสีประกายราวกับสัตว์ร้าย คนงานตกใจร้องลั่น
“เย้ย ผี”
เพื่อนตบหัว
“เอ็งจะบ้าหรือไงวะ ผีที่ไหนมาโผล่กลางวันแสกๆ”
คนงานมองรูปร่างหน้าตาเอมี่แล้วเริ่มสนใจ
“น้องสาวมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงจ๊ะ ถูกใครจับมารึเปล่า ให้พี่ช่วยเอามั้ย”
เอมี่มองคนงานไปมาเหมือนสัตว์ป่ามองมนุษย์เมื่อแรกเห็น พอได้จังหวะก็แยกเขี้ยวคว้าคอคนงานคนนั้นมากัดเพื่อดูดเลือดเลือดกระเซ็นเปรอะน้ำแข็งที่เกาะตรงผนังจนแดงฉาน เพื่อนสองคนแผดร้องออกมาอย่างตื่นกลัว ยักษ์และวัฒน์ลืมตาโพลงขึ้นทันที ดวงตาเป็นสีประกายของอมนุษย์
สองคนงานวิ่งหนีตายออกมาอย่างหวาดกลัว คนงานคนหนึ่งเสียหลักล้มลง
“เฮ้อ รอก่อน รอข้าด้วย”
คนงานโกยแนบไม่ฟังเสียง เพื่อนแข็งใจลุกขึ้นวิ่งกะโผลกกะเผลกตามไปบ้างแต่แล้วยักษ์ก็โผล่มากระชากร่างของมันเหวี่ยงไปอย่างไม่ปรานี คนงานหน้าตื่นตกใจ
“เอ็งเป็นผีหรือคนกันแน่วะ”
ยักษ์คำรามใส่ คนงานคว้าเจอท่อนไม้
“สู้ตายโว้ย”
ท่อนไม้ทั้งท่อนฟาดหัวยักษ์จนหักแต่ยักษ์ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน มันบิดคอไล่ความเมื่อยขบ
“ซวยแล้ว”
ยักษ์หันมามองคนงาน ก่อนจะคำรามแยกเขี้ยวออกมา
คนงานวิ่งหนีตายอย่างบ้าคลั่ง วิ่งจนเหนื่อยหมดแรงทรุดไปกับพื้น มันเหลียวหลังไปและพบว่าไม่มีใครติดตามมาแล้วระหว่างที่โล่งใจอยู่นั้นเอง ก็มีเงาคนผ่านมันแวบๆ
“ใครวะ นั่นพวกเอ็งรึเปล่า”
เงาคนผ่านวูบไปทางด้านหลัง คนงานสะดุ้งเฮือก
“เฮ้ย อย่าเล่นบ้าๆนะโว้ย โผล่ออกมาเดี๋ยวนี้”
ไม่มีเสียงตอบ คนงานชักมีดของมันออกมาเตรียมพร้อม แต่แล้วมันก็ต้องตะลึงเมื่อเห็นร่างของวัฒน์ปรากฏออกมาจากที่ซ่อนตามจุดต่างๆ นับไปนับมามีวัฒน์ถึง 6-7 คนด้วยกัน คนงานมีดร่วงจากมือ มันหันหลังจะวิ่งหนีแต่แล้วก็เจอวัฒน์อีกคนโผล่มาคว้าคอเอาไว้แล้วบิดจนหักกร๊อบ
ไอริณถูกนำตัวส่โรงพยาบาล...หมอเจ้าของไข้ของไอริณเล่าอาการของเธอให้ณัฐชาฟัง
“ตอนนี้คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้วครับ แต่ที่เราเป็นห่วงก็คือ ในสมองของคนไข้ดูเหมือนจะมีสิ่งแปลกปลอมบางอย่าง”
ณัฐชาแปลกใจ
“สิ่งแปลกปลอมเหรอคะ”
“ภาพเอ็กซ์เรย์ยังบอกได้ไม่ชัดเจนครับว่ามันคืออะไรกันแน่ คงต้องรอให้คนไข้อาการดีขึ้นกว่านี้ แล้วค่อยใช้เครื่องซีทีแสกนตรวจสอบให้ละเอียด”
ณัฐชาพยักหน้าด้วยท่าทีกังวล
ไอริณกำลังนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง ณัฐชาเข้ามากุมมือเพื่อนเอาไว้
“เธอต้องเข้มแข็งนะไอริณ ตอนนี้ฉันเสียใจทิพย์ไปคนหนึ่งแล้ว ฉันไม่ยอมเสียเธอไปอีกคนเด็ดขาด อดทนหน่อยนะ”
ณัฐชาเอื้อมมือไปลูบศีรษะไอริณ
มาดามหลิวนั่งอยู่บนรถเข็น และเก็บตัวเงียบในห้องของชาญ ก่อนที่โซเฟียจะเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง
“มาดามคะ”
มาดามหลิวหันมา
“ศพของชาญเรายังเก็บไว้รึเปล่า”
โซเฟียพยักหน้า
“ค่ะ ฉันคิดว่าตอนนี้ทางเราก็มีศักยภาพมากพอที่จะผลิตน้ำตามัจจุราชเองได้ ถ้ามาดามต้องการชุบชีวิตของชาญฉันก็เห็นด้วยค่ะ”
มาดามหลิวคิดแล้วส่ายหน้า
“ฉันคิดถึงเขาโซเฟีย แต่คนที่ได้รับน้ำตามัจจุราชหลังจากเสียชีวิตไปแล้ว มีแค่โทมัสคนเดียวเท่านั้นที่ไม่กลายเป็นผีดิบ...ฉันไม่ต้องการให้ชาญตกอยู่ในสภาพแบบนั้น”
“ถ้างั้น…”
“เขาเหนื่อยมาพอแล้วโซเฟีย ให้เขาได้พักผ่อนเถอะ”
บนดาดฟ้าบริษัทมาดามหลิว ดวงตะวันลับขอบฟ้า ทุกอย่างเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ดอกไม้ที่ชาญปลูกไว้ในกระถาง ร่วงโรยเฉกเช่นสิ่งมีชีวิตทั่วไป
ค่ำนั้น ฤทธิ์รู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง เขากวาดมองไปรอบๆเพื่อตั้งสติ โซเฟียเดินมาดู
“คุณโทมัส คุณรู้สึกตัวแล้ว"
ฤทธิ์มาพบมาดามหลิวในห้องสมุด มาดามหลิวอึ้งไปเมื่อฤทธิ์บอกเจตนาของตนให้ทราบ
“สรุปว่าเธอจะไปแล้วจริงๆ”
“สภาพผมตอนนี้คงช่วยอะไรคุณไม่ได้”
“อย่าพูดแบบนั้นสิ ถึงยังไงฉันก็ยังเห็นเธอเป็นเพื่อนคนหนึ่งเสมอ”
“อาการป่วยของคุณไม่รู้ว่าจะกำเริบเมื่อไหร่ ทางที่ดีคุณน่าจะรักษาตัวที่นี่” โซเฟียแนะ
“ทันทีที่จัดการเรื่องศพของใจทิพย์เรียบร้อย ผมจะออกเดินทาง”
มาดามหลิวสบตากับฤทธิ์ และรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่เปลี่ยนใจแน่ เธอจึงยื่นมือให้เขา
“โชคดีนะ ฤทธิ์ ราวี”
ฤทธิ์พยักหน้า
“มาดาม”
โซเฟียรู้สึกใจหายเมื่อฤทธิ์จะจากไปจริงๆ
ฤทธิ์เดินกลับห้อง แต่แล้วโซเฟียก็รีบตามมา
“คุณโทมัส”
ฤทธิ์หันมาเห็นโซเฟียส่งกล้องโพลาลอยด์ให้เขา
“กล้องของชาญไม่ใช่เหรอ”
“กล้องโบราณแบบนี้คงไม่มีใครอยากเก็บไว้นอกจากคุณ ชาญคงต้องการแบบนั้น”
“ผมไม่รู้ว่าจะรักษามันได้นานแค่ไหน เผลอๆผมอาจจะไปก่อนมันก็ได้”
“ถือว่าฉันฝากไว้ละกัน”
ฤทธิ์ยิ้ม
“แล้วจะคืนให้ทีหลัง”
โซเฟียพยักหน้า ฤทธิ์เดินจากไป โซเฟียมองตามอย่างอาลัย บริษัทของมาดามหลิวในวันนี้ดูวังเวงเกินบรรยาย
มาดามหลิวนั่งจิบไวน์ตามลำพัง อย่างเงียบเหงา ไม่มีความแค้นหลงเหลืออีกไป ชีวิตที่เหลืออยู่ดูว่างเปล่า เธอมองไปที่รูปถ่ายของลูกและสามี
“แม่เสร็จงานแล้วนะลูก คงอีกไม่นาน เราจะได้เจอกันแล้ว”
มาดามหลิวเอื้อมมือไปสัมผัสที่รูปถ่ายนั้น
วัฒน์ ยักษ์ เอมี่ยืนรวมกลุ่มกัน แต่ละคนมีเลือดเปื้อนปากอยู่เกรอะกรัง ทั้งหมดกำลังเผชิญหน้ากับกรณ์ ซึ่งมีลุงโจหลบอยู่ข้างหลังอย่างหวาดๆ
“ฉันไม่ได้ปลุกพวกแกขึ้นมา เพื่อมาเป็นผีดูดเลือดนะ สหายพวกเรามีงานใหญ่ต้องทำ”
ยักษ์ไม่ได้พูดนาน ขากรรไกรแข็ง
“ง…ง…งาน”
วัฒน์คำรามในคอ มองไปรอบๆ เหมือนจำอะไรไม่ได้ กรณ์มองสมุน
“ถามจริงๆ พวกแกยังจำฉันได้รึเปล่า”
“ฉันยังไม่ลืมหัวหน้า” เอมี่พูดขึ้น
ลุงโจนึกขึ้นได้
“เอมี่เพิ่งตายไม่กี่วัน ก็เลยฟื้นตัวเร็วกว่าไอ้สองคนนั่น”
กรณ์เข้าใจ
“ดีนะที่เราใช้น้ำตามัจจุราชชนิดบริสุทธิ์ ถ้าใช้แบบผสมยาเสพติดมีหวังไอ้พวกนี้คงกลายเป็นสัตว์ประหลาดเหมือนไอ้มาวินแน่”
“เราจะทำยังไงต่อไป” เอมี่ถาม
“ตอนนี้ไม่มีพรายพิฆาต ไม่มีนักสู้มหากาฬอีกแล้ว รู้มั้ยว่ามันหมายถึงอะไร...ทุกอย่างเป็นของเรา ตอนนี้พวกเรานี่แหละคือพรายพิฆาต พวกเรานี่แหละคือเทพเจ้าผู้สร้างโลกใหม่...โลกของเรา”
วันต่อมา...ศพของใจทิพย์ถูกเคลื่อนย้ายเข้าสู่เตาเผา โดยมีฤทธิ์กับณัฐชายืนมองอยู่ด้วย
“ไปสู่สุคตินะใจทิพย์ แล้วเจอกันเพื่อนรัก ณัฐชาถอนใจก่อนจะหันมามองฤทธิ์ที่ยังคงยืนนิ่ง
“คุณมีแผนรึยังว่าจะไปที่ไหน”
“ผมจะพาใจทิพย์กลับบ้าน” ฤทธิ์มองณัฐชา “นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้พบกัน”
ณัฐชาเมิน
“ก็ดีสิ ต่อไปฉันคงไม่ต้องปวดหัวเพราะคุณอีก”
“ณัฐชา” เขารอจนอีกฝ่ายหันมา “ผมจะคิดถึงคุณนะ”
ณัฐชายิ้มกลั้นน้ำตา
“ฉันก็เหมือนกัน”
ฤทธิ์ยื่นมือให้ณัฐชา แต่อีกฝ่ายกลับโผเข้ากอดเขาไว้อย่างอาวรณ์ ฤทธิ์มองท้องฟ้าอย่างโล่งใจ
“ในที่สุด ทุกอย่างก็จบลงซะที”
คำพูดของฤทธิ์ทำให้ณัฐชาที่กอดเขาอยู่รู้สึกสังหรณ์ใจบางอย่าง…มันไม่น่าจะจบลงง่ายๆแค่นี้
ไอริณนอนหลับอยู่ เสียงพรายพิฆาตดังแว่วมา
“ไอริณ ไอริณ ไอริณ…”
ข้าวของในห้องเริ่มสั่นสะเทือนด้วยคลื่นพลังบางอย่าง ก่อนที่แจกันแก้วน้ำ จะระเบิดแตกกระจาย
สมองไอริณมีไมโครชิพติดตั้งอยู่เมื่อถูกกระตุ้นด้วยพลังจิตมันก็เริ่มทำงาน ไอริณลืมตาขึ้น
อ่านต่อตอนที่ 10