ดาวเรือง ตอนที่ 8
สุวรรณเคืองสุดๆ จึงพูดเสียงเหี้ยมเพราะตะบะแตก “เห็นเป็ดดีกว่าข้าเหรอ...ได้เห็นดีกันแน่! ไอ้เรือง!”
ดาวเรืองชูมือที่ถือมีดขึ้นกลางอากาศตั้งท่ากะจะฟันฉับ ทั้งสามวิ่งปรู๊ดกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศ
สุวรรณวิ่งถือถาดอาหารเข้ามากระแทกลงบนโต๊ะ โดยมีแหลมกับกรอดวิ่งตามมา บานชื่นเดินลูบท้องมาจากอีกทางพร้อมกับพูดไปด้วย
“โอ๊ย ขี้ออกสักที อึดอัดมาหลายวันแล้ว” บานชื่นเห็นสุวรรณ แหลม และกรอด “อ้าว...พอดีเลย” บานชื่นชี้นิ้วสั่ง “ไอ้วรรณ ไปล้างจาน ไอ้แหลม ไปเช็ดโต๊ะ ไอ้กรอด เอาขยะไปทิ้ง เสร็จแล้วไอ้วรรณไปถูพื้น”
สุวรรณโมโห “พอที! ไม่ทนแล้วโว้ย”
สุวรรณเดินกระทืบเท้าออกไป แหลมกับกรอดวิ่งตามลูกพี่ไปทันที ทั้งสามจับมอเตอร์ไซค์แล้วขี่ออกไปฝุ่นตลบ บานชื่นยืนเท้าสะเอวมองตามไปอย่างงงๆ
“ไอ้พวกนี้ ผีเข้าผีออก” บานชื่นว่า
รถมอเตอร์ไซค์สุวรรณ แหลม และกรอดเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน สุวรรณลงจากรถแล้วทรุดนั่งกับพื้นก่อนจะทำหน้าโศก
“ฝนเว้ย! ตกลงมาสิวะ ตกลงมาเดี๋ยวนี้”
“จะถ่ายมิวสิคหรือพี่” กรอดถาม
“ไอ้เรืองมันก็ด่าพี่เป็นหมาทุกวัน ยังไม่ชินหูอีกเหรอ” แหลมบอก
สุวรรณร้องไห้ฟูมฟาย “ฮือๆ”
“ผู้หญิงด่าแปลว่าผู้หญิงรัก” กรอดบอก
“รักอะไรวะ ข้าไม่ไหวแล้วเว้ย ข้าช้ำใจมามากพอแล้ว หมดไอ้ปลัดนั่น ก็ยังเหลือเป็ดของมันไว้ดูต่างหน้าอีกฝูง มารหัวใจกูจริงๆเลย”
กรอดพูดซื่อๆ “งั้นเราก็ต้องกำจัดเป็ด”
แหลมตาลุกวาว “สับเป็ดก่อนที่มันจะสับเรา จะได้ตัดสายสัมพันธ์ระหว่างไอ้ปลัดกับไอ้เรืองให้ขาดสะบั้นด้วย”
แหลมกับกรอดลุกขึ้นเต้นท่าเจมส์
“ตัดให้ขาดเลยชับๆๆ...ตัดให้ขาดเลยชับๆๆ”
สุวรรณหน้าเด้งขึ้นมาทันที เขาหรี่ตาอย่างผู้ร้ายหนังไทยแล้วลุกขึ้นมาเต้นพร้อมทั้งสองคน
เจ๊หมวยรับโพยหวยจากดาวเรืองที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ขายของ
“สองสามงวดมานี่ คนไม่ค่อยเล่นหวย ยอดตกฮวบๆ” เจ๊หมวยบอก
“อืม ช่วงนี้อำเภอเขาไฟแรง ส่งเสริมให้คนทำมาหากินสุจริต”
เจ้ามือหวยต่างตำบลเดินเข้ามายื่นโพยหวยให้เจ๊หมวย
“เอ็งมาก็ดีแล้ว ไอ้ชาติกับไอ้ศักดิ์มันอยากได้คนเพิ่ม เอ็งมีเส้นสายฝั่งโน้น ก็จัดมาให้สักสิบยี่สิบสิ เผื่อข้าได้ค่าหัวคิวกับเขาบ้าง”
เจ้ามือหวยต่างตำบอลตอบ “หายากแล้วเจ๊ เขาส่งไปออกเรือทางใต้หมดแล้ว”
ดาวเรืองหูผึ่งแต่แกล้งทำเป็นไม่สนใจฟัง
เจ๊หมวยหันมาถาม “ไอ้เรือง เอ็งรู้จักใครที่ฝั่งโน้นบ้างมั้ย หัวละเป็นหมื่นเชียวนะ”
ดาวเรืองทำเป็นไม่สน “ฉันจะไปรู้จักใครล่ะเจ๊ ไม่เคยข้ามไปฝั่งนู้นเลย นี่ถ้ารู้ว่าค้าคนมันกำไรงามขนาดนี้ คงหาลู่ทางไว้บ้างแล้ว”
ดาวเรืองยิ้มเหนื่อยๆ
แหลมกับกรอดขี่มอเตอร์ไซค์กลับมาที่ร้านของดาวเรือง ทั้งคู่นั่งบังสุวรรณซึ่งนั่งซ้อนท้ายมา สุวรรณกระโดดลงจากมอเตอร์ไซค์แล้ววิ่งไปทางเล้าเป็ด แหลมกับกรอดเดินเท่ๆเข้ามาในร้าน บานชื่นหันไปเห็นก็ตาขวาง
“ถ้าไอ้วรรณส่งพวกเอ็งมารับใช้ข้าเพื่อไถ่โทษล่ะก็ ใสเจียเสียใจ ร้านบานชื่น ไม่ต้อนรับหมูหมากาไก่ มาทำงานโว้ย”
“พี่วรรรณสำนึกผิดแล้วจ้ะน้าบาน ให้อภัยด้วยเถอะจ๊ะ” แหลมบอก
“มันคิดได้เมื่อไหร่” บานชื่นถาม
“เมื่อกี้” กรอดตอบ
“ข้าไม่เชื่อ ไปให้พ้น”
แหลมกับกรอดพูดพร้อมกัน “ไปไม่ได้จ้ะ”
“น้าบานไม่มีเรื่องจะใช้พวกฉันก็ไม่เป็นไร แต่พวกฉันมีเรื่องจะใช้น้าบาน” แหลมบอก
บานชื่นงงว่าอะไรของพวกมัน
สุวรรณก้าวเข้ามายืนหน้าเล้าเป็ดแล้วจ้องมองพวกมันด้วยสายตาอำมหิตเหมือนฆาตกรโรคจิต
สุวรรณหรี่ตา “ไปลงหม้อน้ำร้อนกับข้าซะดีๆไอ้พวกศัตรูหัวใจ ฮึ่ม! ข้าจะสับๆๆ พวกเอ็ง ให้จำสภาพศพไม่ได้เลยคอยดู”
บานชื่นตกใจจนผงะ
“พวกเอ็งนะเรอะ จะประกวดเอเอฟ”
“ใช่จ้ะ” แหลมตอบ
บานชื่นถามทันที “เค้าไม่คัดหน้าตาเหรอ”
แหลมกับกรอดช่วยกันตอบ “ถูก”
ทันใดนั้น เสียงเป็ดร้องดังแคว๊กๆๆ ก็ดังขึ้น บานชื่นหันขวับ กรอดกับแหลมรีบแหกปากร้องเพลงกลบเสียงเป็ดทันที
“ฟ้ายังมีหม่น ฝนยังมีวันแล้ง สลากยังมีกินแบ่ง แต่จะให้แบ่งใจนี้ ไม่มีทาง”
สุวรรณวิ่งไล่จับเป็ดตัวใหญ่ในฝูงอย่างอุตลุด เขาล้มลุกคลุกคลานโดนเป็ดไล่งับ ไล่ตี ไล่จิกพัลวัน จนมาดฆาตกรโรคจิตมลายหายไปสิ้น
สุวรรณขู่เสียงเบาๆ “หยุดเดี๋ยวนี้นะ ไม่หยุด เจอดีแน่”
สุวรรณหันไปเห็นมีดพร้าที่ปักอยู่บนหยวกกล้วยก็ตาวาว เขารีบคลานทุลักทุเลมาหยิบ เสียงเพลงที่กรอดกับแหลมร้องดังเข้ามา สุวรรณรำคาญมาก
“หนวกหูฉิบเป๋ง ทั้งเป็ด ทั้งคน กรูจะบ้า”
สุวรรณใช้มีดพร้าคอยกันฝูงเป็ดแล้วพยายามไล่จับตัวใหญ่ให้ได้ แต่ก็ไม่สำเร็จซะที เขาหอบแฮ่กๆ แล้วหันไปเห็นจี๊ดจ๊าดนั่งจุมปุ๊กอยู่ตัวเดียว สุวรรณตาเป็นประกาย
“นั่งให้ท่าซะขนาดนี้ เอานังตัวเล็กนี่แล้วกัน มามะๆ มาให้ข้าจับซะดีๆ”
จี๊ดจ๊าดมองสุวรรณอย่างให้ท่า
กรอดกับแหลมยืนแหกปากร้องเพลงที่ข้างหูบานชื่นดังลั่น
บานชื่นเอามืออุดหู “โอ๊ย ข้าทนไม่ไหวแล้ว พวกเอ็งหยุดเดี๋ยวนี้”
แหลมกับกรอดหยุดกึก!
“เอ็งสองตัวไม่ต้องไปแข่งกับใครเลย ใครเขาจะเอาพวกเอ็ง หน้าก็เหมือนหมา แถมเสียงยังเหมือนควายถูกเชือดอีกต่างหาก”
“ไม่ได้ น้าบานต้องฟัง ต้องฟังให้จบ” แหลมว่า
“ข้าไม่ฟังแล้ว แสบแก้วหู”
“ให้โอกาสเด็กได้แจ้งเกิดบ้างเหอะนะ” กรอดบอก
แหลมหันไปเห็นสุวรรณที่มุมหนึ่ง สุวรรณโผล่มากวักมือเรียกพร้อมเป็ดแล้วเอาเป็ดซ่อนในเสื้อ แหลมกับกรอดกระโดดผลุงลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งหน้าตั้งออกจากร้าน สุวรรณกระโดดขึ้นซ้อนหลังรถมอเตอร์ไซต์แล้วขี่ออกไป
บานชื่นงง “มันเป็นอะไรของมันวะไอ้พวกนี้ คิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป”
ดาวเรืองถือถุงกล้วยแขกกำลังจะเดินเข้าไปที่ห้องผู้กำกับ จ่าแม่นเข้ามาขวาง
“ฮันแน่ ไอ้เรือง เตือนไม่รู้จักจำ ทำผิดกฎหมายยังไม่พอ ยังจะผิดศีลอีกใช่มั้ย ข้าพูดปากเปียกปากแฉะว่าท่านมีลูกมีเมียแล้ว เอ็งฟังไม่รู้เรื่องรึไง”
ดาวเรืองไม่ปฎิเสธแต่ส่งถุงกล้วยแขกให้
“ถ้าไม่อยากให้เข้าไปก็ฝากกล้วยแขกไปให้ผู้กำกับด้วยแล้วกัน บอกว่าฉันเอามาให้”
ดาวเรืองเดินออกไป
จ่าแม่นหัวเราะ “เสร็จข้า” จ่าแม่นจะหยิบกิน
ดาวเรืองกลับเข้ามาใหม่
“จ่าแม่น!”
จ่าแม่นสะดุ้งโหยง “อะไรอีกวะไอ้เรือง”
“เดี๋ยวก็เจอข้อหาลักทรัพย์หรอก”
จ่าแม่นแก้เก้อ “ข้าจะกินที่ไหน ข้าแค่หยิบมาพิจารณาว่าเอ็งใส่ยาพิษมากับกล้วยรึเปล่า หน็อย คิดจะข่มขู่เจ้าพนักงาน ระวังจะเจอข้อหาหมิ่นประมาทนะเว้ย”
จ่าแม่นเดินเข้าห้องผู้กำกับ ดาวเรืองยิ้มก่อนจะเดินออกมา
จ่าแม่นส่งถุงกล้วยแขกให้สันติสุขที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน
“ไม่รู้ช่วงนี้มันคิดจะทำอะไร ท่าทางมีพิรุธ น่าสงสัย ท่านต้องระวังตัวด้วยนะครับ” จ่าแม่นเตือน
“ขอบใจที่เตือน” สันติสุขบอก
“ผมได้เป็นพ่อเลี้ยงมันเมื่อไหร่ ผมจะกำราบมันให้เป็นพลเมืองดีให้ได้”
“จบยัง”
“ผมจะบังคับมันให้นุ่งกระโปรง ให้พูดคะขา”
“ฉันจะทำงาน”
“ผมจะ...” จ่าแม่นเห็นสันติสุขทำหน้านิ่งเลยหุบปาก “จบก็ได้ครับผ๊ม” จ่าแม่นตะเบ๊ะแล้วเดินออกไป
พอประตูปิด สันติสุขรีบคว้าถุงกล้วยแขกมาดู เขาเทกล้วยแขกใส่ในถุงก๊อปแก๊ปแล้วฉีกกระดาษออกก่อนจะหยิบกระดาษอีกแผ่นที่ก้นถุงขึ้นมาดูเห็นลายมือดาวเรืองเขียนว่า “ต่างด้าว ชายแดน ล็อตใหญ่”
สุวรรณหอบเป็ดย่องเข้าบ้าน ตามด้วยแหลมกับกรอด
เสียงผันดังขึ้น “เอ็งขโมยลูกไก่ข้าไปขายอีกแล้วเหรอไอ้วรรณ”
ผันกระโดนผลุงเข้าล็อคคอสุวรรณ
“ไก่ที่ไหนพ่อ นี่มัน ป สระเอ็ด เป็ด!!”
“เป็ดใคร เป็ดข้ารึเปล่า”
แหลมกับกรอดพูด “ไม่ใช่จ้ะ เป็ดบ้านอื่น”
“ไปขโมยบ้านไหนอีก เขาเห็นหน้าเอ็งรึเปล่า ติดคุกไม่คุ้มนะหนูวรรณ”
เสมอใจที่กำลังตัดเล็บเท้าให้เวียงอยู่หยุดตัดแล้วเงยหน้าขึ้นมอง เมียคนอื่นๆกำลังม้วนผม ทาเล็บกันอยู่
“เปล่าขโมยนะแม่ หนูไปซื้อมา หนูอยากกินกระเพราเป็ด น้าปลอดผัดอร่อย ไปทำให้หน่อยสิ” สุวรรณบอก
“น้าไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ตัวเป็นๆแบบนี้น้าทำไม่ได้...ปาณาติปาตา เวรมณีสิกขาปะทัง สมาธิยามิ “ บุญปลอดกราบ
“น้าปลีก” สุวรรณเรียก
บุญปลีกรีบออกตัว “ช่วงนี้น้าลิ้นชา ชิมอะไรไม่ค่อยรู้รส ให้เมียเบอร์สุดท้าย แต่แก่สุดของพ่อทำก็
แล้วกันนะ”
ไสวทำไม่รู้ไม่ชี้ “ใคร”
สุวรรณ แหลม และกรอดพูดพร้อมกัน “ก็ป้าไหวนั่นแหละ!!”
“เอ็นมือข้าพลิก ก็พี่ผันน่ะสิ เรียกไปนาบ เอ๊ย นวดอยู่เรื่อย” ไสวบอก
เสมอใจยกมือที่ถือตะไบขัดเล็บขึ้น
“ฉันทำให้จ้ะ ไปผัดให้เดี๋ยวนี้เลย”
“เออ รสมือนังเหมอมันยังไงวะ ชักอยากชิม!” ผันว่า
เมียๆ กระแอมพร้อมกัน “ฮะแฮ่ม!!”
สุวรรณเหยียด “เสนอหน้าอีกละ ตัดมากี่ตีนแล้วล่ะนั่น”
“ทั้งบ้านเลยจ้ะ แต่ไม่ต้องห่วง ฉันจะล้างมือให้สะอาดเลย”
สุวรรณคิดแต่ในที่สุดก็ยื่นเป็ดให้เสมอใจ
พฤกษ์รับยาที่เคาเตอร์แล้วเดินมาหาสุดาวดีซึ่งนั่งใส่แว่นดำพรางตัวอยู่ที่มุมหนึ่ง
“ผมจะไปส่งคุณที่คอนโด”
“แหงล่ะ...ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว”
“แต่วันนี้วันสุดท้ายนะ”
“รู้แล้วน่า”
พฤกษ์ประคองสุดาวดีให้ยืน ญาติคนไข้ที่มารอรับยาอยู่แถวนั้นหันมาเพ่งมองสุดาวดีจนแน่ใจ เลยพากันมาขอถ่ายรูป
“คุณโรส ใช่มั้ยคะ ขอถ่ายรูปหน่อยนะคะ”
“เอ่อ...คือ...คุณโรสไม่สบายอยู่น่ะครับ” พฤกษ์บอก
“ไม่เป็นไร...เชิญค่ะ” สุดาวดีพูด
พฤกษ์ผละออกมา สุดาวดียังไม่ชินกับการถ่ายเทน้ำหนักจึงจะเซล้ม พฤกษ์ต้องเข้าไปประคองเธอไว้อีกทำให้ทั้งสองเหมือนกำลังโอบกอดกันอยู่ ทุกคนพากันกดชัดเตอร์ถ่ายภาพจากโทรศัพท์มือถือกันยกใหญ่ พฤกษ์ทำหน้าไม่ถูก
ญาติคนไข้พูด “ยิ้มหน่อยสิคะ ทั้งคู่เลยค่ะ”
พฤกษ์หันมาหากล้องแล้วยิ้มเจื่อนๆ สุดาวดียิ้มอย่างมืออาชีพเพราะลืมตัว เธอคิดว่ากำลังถ่ายแบบอยู่
พฤกษ์ประคองสุดาวดีเข้ามาในห้อง เขารู้สึกเกร็งที่ต้องเข้ามาในห้องผู้หญิง
“หมดหน้าที่ผมแล้ว ขอตัวนะ”
สุดาวดีวางกระเป๋ากับโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ “ได้ แต่ก่อนกลับ อุ่นอาหารให้ฉันก่อนได้มั้ย หิวจะแย่อยู่แล้ว อาบน้ำเสร็จ จะได้กินเลย มียาหลังอาหารด้วยอะ...นะ”
“นี่...ผมไม่ใช่ทาสคุณนะ”
“หัดมีน้ำใจกับผู้หญิงบ้างสิ ถึงนายจะชอบผู้ชายก็เถอะ ฉันเจ็บขนาดนี้ จะใจจืดใจดำได้ลงคอรึไง รบกวนแค่นี้คงไม่ทำให้นายเสียเวลามากหรอก”
สุดาวดีเดินเขยกเข้าห้องนอน พฤกษ์มองตามอย่างระอาก่อนจะหันไปมองรอบๆ ห้องที่รกมาก
“ถ้าห้องผู้หญิงรกขนาดนี้ ก็สมควรจะชอบผู้ชายกันหรอก”
พฤกษ์เดินไปที่มุมแพนทรีแล้วเปิดตู้เย็นดึงลาซานญ่าออกมา
“หมดอายุแล้วนี่” พฤกษ์หยิบอาหารอย่างอื่นออกมา “อ้าว...นี่ก็หมด...นี่ก็ด้วย”
พฤกษ์คิดๆ ว่าจะทำยังไง เขาเปิดตู้บานเกล็ดเห็นถุงข้าวสารก็มีดวงตาเปล่งประกาย พฤกษ์ตั้งหม้อต้มน้ำ
“ดีนะที่เป็นลูกของแม่ครัวมือหนึ่ง ไม่งั้น โรส สุดาวดีได้กินของหมดอายุแหงๆ”
พฤกษ์เก็บข้าวของที่วางเกะกะจนเป็นระเบียบ เสร็จแล้วเขาก็ยืนกอดอกชมห้องที่เรียบร้อยขึ้น โทรศัพท์ของสุดาวดีที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขกดังขึ้น พฤกษ์หันไปมองประตูห้องของสุดาวดีก็เห็นว่าห้องยังปิดเงียบ
พฤกษ์ไม่สนใจโทรศัพท์ เขาวิ่งไปคนข้าวในหม้อที่กำลังเดือด เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง พฤกษ์มองโทรศัพท์ โทรศัพท์หยุดแล้วดังขึ้นเป็นครั้งที่สาม พฤกษ์สลัดความลังเล เขาวางทัพพีแล้ววิ่งมาหยิบโทรศัพท์
“สวัสดีครับ อ๋อ ใช่ครับ เบอร์คุณโรสสุดาวดีครับ...ครับ...ตอนนี้คุณโรสติดธุระ...คือ...อาบน้ำอยู่น่ะครับ...มีธุระอะไรจะฝากไว้มั้ยครับ”
จินตวัฒน์ยืนโทรศัพท์อยู่ที่หน้าฟร้อนของโรงแรมในตัวจังหวัดสระแก้วโดยใช้โทรศัพท์ของโรงแรม
จินตวัฒน์อึ้ง “เอ่อ...ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมโทรไปใหม่ ขอบคุณครับ” จินตวัฒน์วางโทรศัพท์ลง เขามีสีหน้าไม่ค่อยดีเหมือนคนเพิ่งได้รับข่าวร้ายมาหมาดๆ
พฤกษ์วางโทรศัพท์แล้ววิ่งไปเอาหม้อลงจากเตา
สุดาวดีในชุดคลุมอาบน้ำสีขาวสั้นเต๋อเดินออกมาจากห้อง เธอเอาผ้าขนหนูที่พันผมออกแล้วเช็ดผมที่เปียกโชกด้วยผ้าขนหนูที่อยู่ในมือ
“หอมเชียว”
พฤกษ์หันมาเห็นสุดาวดีก็ตะลึง ใจสั่น และหน้าแดงซ่าน สุดาวดีขยับจะปลดเสื้อคลุมออก พฤกษ์เห็นก็ทำหน้าเหรอหรายืนมือไม้สะเปะสะปะเพราะจินตนาการว่าร่างที่อยู่ภายในเสื้อคุลมนั้นเปลือยเปล่า
“ข้าวต้มสุกแล้ว คุณกินได้เลย ผมกลับล่ะ มีธุระต้องทำต่อ”
“ไม่กินด้วยกันล่ะ ไหนบอกวันนี้ไม่มีธุระไง”
“มีสิ มีแล้ว ไปนะ”
พฤกษ์รีบวิ่งไปที่ประตู แต่ยังไม่ทันเปิดเขาก็นึกได้ว่าลืมกระเป๋าสะพายเอาไว้เลยเดินกลับมาหยิบ สุดาวดีมองอย่างงๆ ว่าเขาเป็นอะไร พฤกษ์ได้กระเป๋าแล้วก็วิ่งปรู๊ดออกไปทันที
“อะไรของเขานะ ทำอย่างกับฉันจะปล้ำ”
สุดาวดีปลดเสื้อคลุมออก โดยที่เธอสวมกางเกงขาสั้นกับเสื้อกล้ามอยู่ด้านใน
จินตวัฒน์ยืนกระสับกระส่ายอยู่ที่หน้าฟร้อน ปลัดคนหนึ่งเดินมาทักทาย
“คุณจิ๋น โทรกลับบ้านรึยังครับ ใช้โทรศัพท์ของผมก่อนก็ได้” ปลัดคนนั้นยื่นโทรศัพท์ให้
“ไม่เป็นไรครับ โทรเรียบร้อยแล้ว ไม่รบกวนล่ะครับ”
ปลัดคนนั้นยิ้มแล้วพยักหน้า ก่อนจะเดินไปพร้อมกับปลัดอีกสองสามคนที่เดินมาสมทบ จินตวัฒน์ลังเลชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจกดโทรหาสุดาวดีอีกที
สุดาวดีกำลังกินข้าวต้มอย่างเอร็ดอร่อย โทรศัพท์มีสายโทรเข้า สุดาวดีแปลกใจเพราะเป็นเบอร์แปลก
“สวัสดีค่ะ...อ้าว จิ๋น ทำไมใช้เบอร์นี้โทรมาล่ะ”
“แบตหมดน่ะ แต่เป็นห่วง ก็เลยหาที่โทร โรสเป็นยังไงบ้าง”
“เพิ่งออกจากโรงพยาบาลเมื่อบ่ายนี้เอง ตอนนี้อยู่คอนโดแล้ว ค่อยยังชั่วขึ้นแล้วด้วย”
“แล้วโรสจะทำยังไง พี่น้ำหวานไม่อยู่แบบนี้ ใครจะดูแล ใครจะขับรถให้”
สุดาวดียิ้ม “เป็นห่วงก็กลับมาอยู่กับโรสสิ”
จินตวัฒน์อึกอัก “ผม...”
“งานยุ่ง...จิ๋นไม่ยอมกลับมาแบบนี้ สงสัยโรสต้องหาคนมาขับรถ มาป้อนข้าวแทนแล้วล่ะ”
จินตวัฒน์อึ้งไปหลายอึดใจ
สุดาวดีอ้อล้อต่อ “เงียบเชียว โรสล้อเล่นน่ะค่ะ”
จินตวัฒน์แย๊บถาม “ไม่ใช่ว่าตอนนี้มีใคร มาดูแลแทนผมแล้วจริงๆเหรอ”
สุดาวดีหัวเราะบริหารเสน่ห์ “ไม่เอาน่า อย่าคิดมากสิคะ...แค่นี้ก่อนนะ โรสต้องกินข้าว กินยา ต้องรีบหาย เดี๋ยวไม่สวย ขอให้ทำงานให้สนุกนะคะ”
สุดาวดีวางโทรศัพท์แล้วยิ้มคิกคักอย่างมีความสุข “หึงล่ะซี่”
จินตวัฒน์วางโทรศัพท์ด้วยความรู้สึกหลายอย่างที่ประดังประเดเข้ามา ทั้งกลุ้มใจ ลังเล ผิดหวัง ไม่แน่ใจ เสียใจ หรือโล่งใจ
บานชื่นกำลังจัดอาหารเย็นเรียงบนโต๊ะ ดาวเรืองกับเพี้ยนขี่มอเตอร์ไซค์ออกมาจอดหน้าร้าน ทั้งสองลงจากรถแล้วเข้าร้านมาพร้อมกัน เพี้ยนไหว้บานชื่น
บานชื่นบ่น “ตะวันไม่ตกดิน ไม่กลับบ้านนะ หายหัวทั้งวัน”
“ว่าจะเอาหัวไว้ที่บ้านก็เกรงใจ เลยเอาหัวไปทำมาหารับประทานด้วย ไปส่งโพยมาจ้ะแม่จ๋า นี่จ้ะ หนึ่งพันห้าร้อยบาทถ้วน”
ดาวเรืองส่งเงินให้บานชื่น บานชื่นหน้าเด้งขึ้นมาทันตา
“อารมณ์ดีขึ้นมากะทันหัน” เพี้ยนว่า
“แต่จะเสียก็เพราะปากเอ็ง ไปล้างไม้ล้างมือให้เรียบร้อย แล้วมากินข้าว วันนี้ข้าตำน้ำพริกมะอึกของโปรดเอ็งด้วยนะ”
“โอ๊ยยย อยากกิน แต่ขอเวลาแป๊ป ไปเตรียมข้าวให้เป็ดก่อน เดี๋ยวมา” ดาวเรืองบอก
“ชาติที่แล้ว แม่มันคงชื่อเป็ดนะ ถึงได้ตามดูแลกันอยู่ได้” บานชื่นแขวะ
“แหมแม่ ก็เป็ดมันตำน้ำพริกกินเองไม่เป็นนี่ ถ้ามันทำได้ ฉันก็คงไม่เป็นนังแจ๋วคอยเสิร์ฟมันเช้า กลางวัน เย็น แบบนี้หรอก”
ดาวเรืองเดินออกไป บานชื่นสะบัดหน้างอนๆ ก่อนจะหันมานับเงินในมืออย่างมีความสุข
ดาวเรืองนำหยวกกล้วยที่สับแล้วผสมกับอาหารในกะละมังเข้าไปให้เป็ดในเล้า
“มาแล้วๆ มากินกันให้ไวเลย จ๋อมแจ๋ม พาน้องๆมาเร้ว”
ดาวเรืองเคาะกะละมังเรียกเป็ดมากินอาหาร เธอเห็นเป็ดกินอาหารกันสนุกก็สบายใจ แต่สักครู่ก็เอะใจเมื่อไม่เห็นจี๊ดจ๊าด
“เจ้าตัวเล็กล่ะ จี๊ดจ๊าดๆๆ อยู่ไหนลูก ออกมาเร็ว” ดาวเรืองมองดูจนทั่วก็ไม่เห็น “เฮ้ย หายไปไหนวะ...จุบจิบ เจย์โจ แจจุง จุ๊กจิ๊ก เห็นน้องมั้ย น้องหายไปไหน!”
ดาวเรืองใจคอไม่ดีจึงวิ่งแนบออกไป
ดาวเรืองวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในบ้าน บานชื่น เพี้ยน และเสมอใจกำลังนั่งกินข้าวด้วยกัน
“มาไอ้เรือง มาชิมแกงนังเหมอดู” บานชื่นชวน “ฝีมือเป็นรองข้านิดหน่อย แต่ก็ถือว่าใช้ได้”
“น้ำพริกน้าบานนี่แซ่บสะเด็ด มื้อนี้พุงกางแน่” เสมอใจบอก
“ตักข้าวให้พี่เรืองสิไอ้เพี้ยน” บานชื่นสั่ง
“กินไม่ลงแล้วแม่ จี๊ดจ๊าดมันหายไป แม่เห็นมั้ย” ดาวเรืองถาม
เสมอใจงง “จี๊ดจ๊าดไหน”
“ข้าจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ข้าไม่ได้มีเวลาไปฟักเป็ดฟักไก่อย่างเอ็งนี่ มันตัวเล็กสุด มันคงจะแอบอยู่แถวๆนั้นแหละ” บานชื่นบอก
“ตกลงเป็ดหรือไก่” เสมอใจถาม
“เป็ด” เพี้ยนตอบแทน
“ไม่มี หาทั่วแล้ว” ดาวเรืองบอก
“ใครจะเอาไปทำอะไร ตัวกะเปี๊ยกแค่นั้น มากินกระเพราเป็ดดีกว่าไอ้เรือง ไอ้วรรณอุตส่าห์มีน้ำใจแบ่งมาให้” บานชื่นชวน
“ลงจากกระทะปั๊บ ก็แบ่งมานี่เลย ไม่รู้ไอ้วรรณมันไปเอาเป็ดมาจากไหน เป็ดสาว เนื้ออ๊อนอ่อน” เสมอใจบอก
ดาวเรืองชะงัก “แม่ พวกไอ้วรรณมันมาที่นี่รึเปล่า”
“เออ มาๆไปๆ หลายรอบ” บานชื่นบอก
ดาวเรืองใจหายวาบก่อนจะหันไปหาเสมอใจ
“เป็ดที่ไอ้วรรณเอาไปให้ทำ หน้าตาเป็นยังไง”
เสมอใจงง “ก็หน้าตาเหมือนเป็ด แต่มันตัวเล็ก สีขาวปลอด”
เพี้ยนสูดปากซู่ซ่า “ซู๊ด...สุดยอด...ตัวเล็ก สีขาวปลอด อืม...เหมือนไอ้จี๊ดจ๊าด” เพี้ยนผงะ “เอ๊ยยย!!!! หรือว่า...มันคือไอ้จี๊ดจ๊าด”
บานชื่นที่เพิ่งตักกระเพราะเป็ดเข้าปากถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ดาวเรืองอึ้ง “ไม่จริง!”
เสียงสุวรรณดังก้องในหัวดาวเรือง “เห็นเป็ดดีกว่าข้าใช่มั้ย ได้เห็นดีกันแน่ ไอ้เรือง”
ดาวเรืองโกรธจนตัวสั่น เธอวิ่งไปหยิบมีดอีโต้สับหมูที่เคาน์เตอร์
“ไอ้วรรณ!!”
ดาวเรืองถืออีโต้วิ่งออกจากร้าน บานชื่น เสมอใจ และเพี้ยนวางช้อนโดยพร้อมเพรียงกัน!
ดาวเรืองวิ่งถืออีโต้ไปตามถนนจนเหนื่อยหอบ เธอมาหยุดพักหายใจที่กลางสะพานแล้วปล่อยโฮ
ดาวเรืองนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตตอนที่คุยกับจินตวัฒน์
“...ชื่อ...” จินตวัฒน์นึก “...จี๊ดจ๊าดแล้วกัน ซ้ำมั้ย”
ดาวเรืองยิ้มร่าถูกใจ “ไม่ซ้ำ” ดาวเรืองพูดกับเป็ด “เจ้าตัวเล็ก หนูชื่อจี๊ดจ๊าดนะลูก”
ดาวเรืองนึกถึงตอนที่พาจี๊ดจ๊าดไปว่ายน้ำ
ดาวเรืองนึกถึงตอนที่รู้ว่าจินตวัฒน์ไปแล้วมาพูดกับเป็ด “เอ๊ย ไม่ใช่พ่อแม่ นี่พี่นะ...พี่เรืองยังอยู่ทั้งคน ยังไงก็ไม่อดตาย”
ดาวเรืองน้ำตาไหลพราก เธอเอาแขนเช็ดน้ำตาเหมือนเด็กๆ ครู่หนึ่งก็มีมือหนึ่งมาแตะบ่า ดาวเรืองตกใจหันขวับ แล้วเธอก็ต้องแปลกใจสุดๆ
“นาย!!”
จินตวัฒน์ยืนอยู่ข้างๆดาวเรือง รถกระบะของเขาจอดอยู่ห่างออกไป
จินตวัฒน์เอ่ยถาม “ร้องไห้ทำไม”
“นายกลับมาทำไม”
“ก็ฉันอยู่ที่นี่แล้วจะให้ไปไหน”
“นายไม่ได้ย้ายกลับกรุงเทพฯเหรอ”
“ย้าย ไปเอามาจากไหน”
“ก็...น้าจรบอกไอ้เพี้ยน ว่าปลัดขอย้ายเข้ากรุงเทพฯ”
จินตวัฒน์หัวเราะ “ไม่ใช่ฉัน ปลัดธีรเดชต่างหากที่ขอย้ายกลับกรุงเทพ ฉันเอากระเป๋าไปส่งเขาที่ท่ารถ แล้วก็ไปประชุมที่จังหวัด ประชุมเสร็จก็กลับมาเนี่ย อ๋อ นี่เธอคิดว่าฉันย้ายกลับบ้านเลยเสียใจงั๊นสิ พึ่งรู้นะเนี่ยว่าฉันสำคัญมากขนาดนี้”
ดาวเรืองยิ่งร้องไห้ไปกันใหญ่ จินตวัฒน์ลูบหัวปลอบเธอ
“ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องร้องไห้ ฉันกลับมาแล้ว”
ดาวเรืองตวาด “ฉันไม่ได้ร้องไห้เพราะนาย”
จินตวัฒน์เอ๋อ “อ้าว แล้วร้องทำไม”
“เจ้าจี๊ดจ๊าดมันตาย ได้ยินมั้ย เจ้าจี๊ดจ๊าดมันตายแล้ว”
จินตวัฒน์ตกใจ “ห๊า!!”
“ไอ้วรรณ ไอ้ฆาตกร!!! ฉันจะฆ่ามัน”
ดาวเรืองประกาศกร้าวแล้วพุ่งออกไปทันที
อ่านต่อหน้าที่ 2
ดาวเรือง ตอนที่ 8 (ต่อ)
สุวรรณอุ้มจี๊ดจ๊าดขึ้นมาชื่นชม
“ไง...ตัวเล็กลูกพ่อ...เดี๋ยวพ่อจะพาหนูกลับไปสู่อ้อมอกแม่แล้วนะ ดีใจมั้ยตัวเล็ก”
“ไอ้เรืองมันต้องปลื้มแน่ที่เป็ดของมันยังอยู่ พี่วรรณนี่นะ ปกติคิดอะไรไม่ค่อยเป็น” แหลมบอก
สุวรรณหรี่ตาเหล่มองแหลมเพราะคำพูดของเขาไม่ค่อยเข้าหู
แหลมรีบพูดต่อ “...แต่บทจะคิดได้ขึ้นมา โอ้โฮ..พระเอกมั๊กๆ ดูซิ หลอกให้นางเอกเสียใจ แล้วกลับไปทำให้มีความสุข ฉากจบมันช่างแฮปปี้ดี๊ด๊า อู๊ยยย...ขนลุก”
“ไอ้เรืองไม่เห็นพี่เป็นพระเอกตอนนี้ ก็ไม่รู้จะเห็นตอนไหนแล้ว” กรอดว่า
สุวรรณปลื้มจึงฉีกยิ้มจนถึงรูหู จี๊ดจ๊าดแอบค้อนสุวรรณ
ดาวเรืองวิ่งถือมีดกระหืดกระหอบมาเรื่อยๆ จินตวัฒน์ตามมาคว้าแขนดาวเรืองไว้ ดาวเรืองหยุดยืนหอบ จินตวัฒน์เดินมาหยุดยืนตรงหน้าดาวเรือง เขาจับต้นแขนดาวเรืองไว้ทั้งสองข้าง
“เธอต้องทำใจให้ได้ว่าเป็ดมันเป็นอาหารของคน ตอนนี้เจ้าจี๊ดจ๊าดมันไปสวรรค์แล้ว ต้องคิดซะว่ามันหมดเวรหมดกรรมแล้ว”
“แต่มันยังเล็กอยู่เลย มันยังไม่สมควรจะไปสวรรค์ตอนนี้ แล้วก็ไม่สมควรที่จะเป็นอาหารของคนใจบาปอย่างไอ้วรรณด้วย ฉันจะฆ่ามัน!!!”
ดาวเรืองชูมีดอีโต้แล้วทำท่าจะออกวิ่งไปอีกครั้ง จินตวัฒน์รีบคว้าแขนดาวเรืองไว้
ดาวเรืองโวยวาย “ปล่อยนะ! ฉันจะเอามีดไปเจี๋ยน..เจี๋ยน..เจี๋ยน”
ดาวเรืองเอามีดในมือปาดซ้ายปาดขวา จินตวัฒน์หลบไปมาแบบเฉียดฉิว
ดาวเรืองพูดต่อ “แล้วสับๆๆๆ มันเป็นชิ้นๆ!!”
ดาวเรืองทำท่าเหมือนจะสับจินตวัฒน์แทนสุวรรณ จินตวัฒน์ทำหน้าหวาดเสียว เขารีบจับข้อมือดาวเรืองไว้แน่น
จินตวัฒน์พูดไปก็ค่อยๆ ปลดมีดในมือของดาวเรืองไป “เธอจะไปฆ่านายวรรณเพราะเรื่องนี้เหรอ จริงอยู่ที่มันอาจจะทำให้เธอหายแค้น แต่ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น เธอคิดบ้างรึเปล่า ถ้าเขาตายหรือบาดเจ็บ เธอก็ต้องติดคุกข้อหาพยายามฆ่า คนที่เสียใจที่สุดจะเป็นใคร...ไม่ใช่แม่กับพี่ชายเธอเหรอ”
จินตวัฒน์จ้องลึกลงไปในดวงตาดาวเรือง ดาวเรืองนิ่งฟังแล้วก็สงบลง
เสียงสุวรรณดังขึ้น “น้องเรืองจ๋า...พี่วรรณมาแล้ว”
สุวรรณขี่รถมอเตอร์ไซค์เข้ามาโดยมีกรอดซ้อนท้าย แหลมขี่มาอีกคัน กรอดเป็นคนอุ้มเป็ดจี๊ดจ๊าด ดาวเรืองจึงไม่เห็น
ดาวเรืองเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ฮึ่ม! มาได้เวลาพอดีเลย”
สุวรรณจอดรถแล้ววิ่งเข้ามาหาดาวเรืองด้วยความเสน่หาสุดๆ
“น้องเรือง” สุวรรณหันไปหากรอด “ไอ้กรอด เอ็งเอา...” สุวรรณจะบอกให้กรอดเอาเป็ดมาให้ดาวเรือง
จังหวะที่สุวรรณเหลียวไปทางกรอด ดาวเรืองยกเท้าขึ้นถีบยอดอกสุวรรณเต็มๆ จนสุวรรณล้มก้นจ้ำเบ้าท่ามกลางสายตาจินตวัฒน์และลูกน้องทั้งสองที่กำลังจะตามมา
สุวรรณนั่งเงยหน้ามองดาวเรืองตาปริบๆ ดาวเรืองแย่งมีดจากมือจินตวัฒน์มาเงื้อขึ้นสูงแล้วยืนจ้องสุวรรณ สุวรรณตกใจและทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่นั่งช็อกอยู่กับที่
กรอดกับแหลมเห็นแล้วก็ตกใจ ทั้งสองหนีเอาตัวรอดไปหลบหลังต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกล
“เอ็งทำกับเป็ดข้ายังไง เอ็งต้องชดใช้กรรมยังงั้น!” ดาวเรืองว่า
“ปะ..เป็ดเอ็ง..มันยังอยู่!” สุวรรณเหลียวไปมองหาลูกน้อง
แหลมกับกรอดโผล่หน้าออกมาจากหลังต้นไม้อย่างกลัวๆ
“เอาไอ้เป็ดเวรนั่นคืนมันไปสิโว้ย เดี๋ยวมันได้สับข้าเป็นชิ้นๆ หรอก!”
ดาวเรืองชะงัก “จี๊ดจ๊าดยังไม่ตาย? จริงเหรอวะ!!”
อารามดีใจ ดาวเรืองจึงปล่อยมีดหลุดจากมือทำให้มีดดิ่งลงหาสุวรรณ สุวรรณเบิกตากว้างด้วยความตกใจสุดๆ มีดพุ่งปักกลางหว่างขาสุวรรณโดยเฉียดเป้าไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด ปลายมีดปักที่พื้น
ดาวเรืองเสียงดัง “ไหนวะเป็ดข้า”
ดาวเรืองจ้องไปที่ต้นไม้ที่แหลมกับกรอดหลบอยู่ ทั้งสองคนกลัวจึงได้แต่ยื่นหน้าผลุบๆ โผล่ๆ
“พวกเอ็งหลอกข้าใช่มั้ย ไม่มีเป็ดใช่มั้ย” ดาวเรืองถาม
ดาวเรืองหันกลับไปหยิบมีด แหลมกับกรอดวิ่งเตลิดไปหลบหลังต้นไม้ไกลออกไปอีก
ดาวเรืองเห็นจี๊ดจ๊าดในมือกรอดจึงเผลอเงื้อมีดสูง “เฮ้ยยย!! เอาจี๊ดจ๊าดคืนมานะ!!”
ดาวเรืองทำท่าจะวิ่งตาม แหลมกับกรอดทำท่าจะหนีต่อ จินตวัฒน์เลยรีบคว้าแขนดาวเรืองไว้
“หยุดอยู่ตรงนี้แหละ! เดี๋ยวฉันจัดการเอง” จินตวัฒน์บอก
ดาวเรืองยอมหยุดเพื่อดูว่าจินตวัฒน์จะทำอะไร จินตวัฒน์เดินไปหาแหลมกับกรอด กรอดส่งจี๊ดจ๊าดให้จินตวัฒน์ จินตวัฒน์อุ้มจี๊ดจ๊าดเดินกลับมา
“จี๊ดจ๊าด...มาหาแม่มาลูก ขวัญเอ๊ยขวัญมานะลูกนะ” ดาวเรืองรับเป็ดมาจากมือจินตวัฒน์ “มา..เอ้า ธุจ้าพ่อเขาสิลูกที่ช่วยชีวิตหนูจากไอ้คนใจบาปหยาบช้าไว้ได้”
สุวรรณจ้องจินตวัฒน์กับดาวเรืองที่ประคบประหงมจี๊ดจ๊าด
สุวรรณใจสลาย “พ่อ...แม่...ลูก...”
“ใช่จ้ะ” กรอดชี้จินตวัฒน์กับดาวเรือง “พระเอก นางเอก” กรอดชี้สุวรรณ “ผู้ร้าย”
สุวรรณโมโห “ไอ้กรอด!! เอ็ง!”
“ไอ้กรอด! เอ็งคิดแล้วไม่ต้องพูดบ้างก็ได้นะ” แหลมบอก
สุวรรณลุกขึ้นไล่ถีบกรอด กรอดวิ่งหนีกระเจิงเข้าป่าข้างทาง สุวรรณไปถึงรถมอเตอร์ไซค์แล้วสตาร์ทรถขี่ออกไปอย่างสติแตก กรอดกับแหลมรีบวิ่งขึ้นมอเตอร์ไซค์แล้วขี่ตาม
“พี่วรรณ รอพวกเราด้วยยย!”
จินตวัฒน์ ดาวเรืองและลูกเป็ดหันไปมองทั้งสาม
ดาวเรืองวางจี๊ดจ๊าดลงในเล้าท่ามกลางแสงสุดท้ายของวัน จี๊ดจ๊าดเดินเตาะแตะเข้าไปหาพี่ๆ เป็ด
“ทีหลังพวกหนูต้องดูแลกันดีๆ นะจ๊ะ พี่ๆ ต้องคอยดูแลน้องๆ น้องๆ ก็ต้องเชื่อฟังพี่ๆ รู้มั้ย จีจ้า..ทีหลังถ้าไอ้วรรณมาวุ่นวายอีก หนูตีลังกากระโดดถีบมันเลยนะ”
จินตวัฒน์มองดาวเรืองคุยกับเป็ดแล้วยิ้มเอ็นดู ดาวเรืองเงยหน้ามาเห็นก็แอบเขิน
ดาวเรืองพูดแก้เก้อ “ทำไมนายไม่ย้ายกลับกรุงเทพฯ หรือย้ายไปอยู่ที่อื่นห๊า”
“ฉันบอกเธอแล้วไง..ฉันจะไม่ย้ายไปไหนจนกว่าจะทำให้เธอคิดดีทำดีได้”
“แต่นายก็รู้ว่าที่นี่มันอันตรายแค่ไหน”
“ฉันรู้ ถ้าฉันคิดจะกลับก็คงกลับตั้งแต่วันแรกที่เจอลูกปืนที่ตู้โทรศัพท์แล้ว ฉันเป็นข้าราชการนะดาวเรือง ถ้ารักตัวกลัวตายก็คงไม่คิดจะมาทำงานรับใช้ประชาชนตั้งแต่แรกหรอก อยู่ที่นี่มันอันตรายมากก็จริง แต่อยู่ที่ไหนมันก็ตายได้ทั้งนั้น เพียงแต่ถ้าก่อนตายเราได้ทำประโยชน์ให้กับแผ่นดินให้กับคนอื่นบ้าง ชีวิตเราก็น่าจะมีคุณค่า ไม่ใช่เหรอ”
ดาวเรืองอึ้งแต่ก็ยังหยั่งเชิง “นายยังมีโอกาสที่จะเลือก”
“ฉันเลือกแล้ว...ฉันจะอยู่ที่นี่ และจะไม่ย้ายไปไหน จนกว่าเราจะกระชากหน้ากากเสี่ยกำพลให้ทุกคนเห็น”
จินตวัฒน์กับดาวเรืองจ้องตากัน จินตวัฒน์ส่งสายตามุ่งมั่นให้ดาวเรือง ดาวเรืองนิ่งเพราะยอมรับในความจริงใจและความตั้งใจจริงของจินตวัฒน์เป็นครั้งแรก
สุดาวดีดึงประตูตู้เย็นเปิดทำให้เห็นว่าในตู้มีแต่ขวดน้ำดื่ม เธอพยายามค้นจนทั่วตู้และในช่องฟรีซแต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากน้ำดื่มและน้ำแข็ง
สุดาวดีกระแทกตัวนั่งลงที่โซฟาอย่างหงุดหงิด เธอเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะหน้าโซฟามากด
สุดาวดีกำลังจะกดโทรหาชื่อ “พี่น้ำหวาน” แต่ก็ชะงักมือไว้ได้ทัน
สุดาวดีถอนใจเฮือก “ว้าย! เกือบไปแล้ว โก๊ะจริงเรา”
สุดาวดีนิ่งคิดเครียดอยู่ 2 วินาทีว่าจะโทรหาใครดี แล้วเธอก็ยิ้มออกก่อนจะกดโทรศัพท์อีกครั้ง
พฤกษ์จอดมอเตอร์ไซค์ที่หน้าร้านดอกไม้จันทรา หลังจากที่เพิ่งไปส่งดอกไม้มา เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น พฤกษ์ล้วงมือถือจากกระเป๋ากางเกงออกมาดู พอเห็นเป็นชื่อสุดาวดีก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าโทรมาทำไม
พฤกษ์ลงจากรถแล้วจะผลักประตูเข้ามาในร้านแต่เหลือบเห็นหนังสือพิมพ์ม้วนอยู่ในกล่องรับหนังสือพิมพ์ พฤกษ์หยิบหนังสือพิมพ์ออกมาแล้วผลักประตูเข้าไป
พฤกษ์เดินคุยโทรศัพท์เข้ามาในร้าน จันทราที่ใช้ฟ็อกกี้ฉีดน้ำดอกไม้อยู่มุมหนึ่งหันมามองพฤกษ์ แต่พฤกษ์ไม่ทันเห็นจันทรา
“เมื่อวานผมบอกแล้วไงว่าจะดูแลคุณเป็นวันสุดท้าย ตอนนี้คุณก็ดีขึ้นเยอะแล้ว...ไม่มี... คุณก็โทรสั่งสิครับ เดี๋ยวนี้มีบริการส่งถึงบ้านเยอะแยะ ผมมีงานต้องทำ ไม่มีเวลาไปคอยซื้อน้ำซื้อข้าวให้คุณหรอกนะ”
พฤกษ์กดวางสายก่อนจะวางหนังสือพิมพ์และเอกสารที่เคาน์เตอร์
สุดาวดีจ้องมือถือด้วยความโกรธ
“นายพฤกษ์! ฉันยังพูดไม่จบ นายกล้าตัดสายฉันทิ้งเหรอ!”
สุดาวดีกดมือถือหาพฤกษ์อีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้
จันทราที่อยู่ที่เคาน์เตอร์กำลังเก็บเอกสารที่พฤกษ์เอามาใส่แฟ้ม
“เดี๋ยวช่วยยกกล่องดอกไม้ตรงมุมนั้นมาไว้หน้าตู้ทีนะจ๊ะ”
พฤกษ์รับคำ “ครับ”
พฤกษ์เดินไปที่กล่องดอกไม้ที่สั่งมาจากเมืองนอก โทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้นอีกครั้ง พฤกษ์ล้วงกระเป๋าแล้วหยิบมือถือออกมาพอเห็นเป็นเบอร์โรสพฤกษ์ก็เซ็งและไม่ยอมรับ เขาจัดแจงยกกล่องดอกไม้ไปวางไว้หน้าตู้แช่จนเสร็จขณะที่เสียงเรียกเข้ามือถือยังคงดังต่อเนื่อง
จันทราที่กำลังคลี่หนังสือพิมพ์ออกอ่านตรงเคาน์เตอร์แอบเหล่พฤกษ์อย่างงงๆ ว่าทำไมไม่รับสาย
พฤกษ์ยิ้มเจื่อนๆ ให้จันทราก่อนจะล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงออกมากดรับสายแล้วเดินเลี่ยงไปคุยอีกมุม
สุดาวดีโกรธจัดจึงตะเบ็งเสียงใส่มือถือ
“นายกล้าตัดสายแล้วยังกล้าไม่รับสายฉันอีกเหรอ!!! คิดว่าคนอย่างสุดาวดีจะง้อคนอย่างนายเหรอ!”
สุดาวดีเอาโทรศัพท์ไปจ่อที่เคาน์เตอร์ก่อนจะเอามือปัดหม้อสเตนเลสไปกระทบหม้อเคลือบจนเกิดเสียงดังโครมคราม จากนั้นเธอก็คีบแก้วไวน์แล้วหย่อนลงพื้นจนเกิดเสียงแก้วแตกดังเพล้ง! ปิดท้ายด้วยการกระแทกนิตยสารลงพื้นดังโครม!!
สุดาวดีแหกปาก “ว้าย!”
พฤกษ์ตกใจ “คุณโรส!!! เป็นอะไร!”
จันทราเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ขึ้นมามองพฤกษ์ด้วยความแปลกใจ
สุดาวดีร้องไห้กระซิกๆ “ฉันไม่ตายหรอก..ล้มแค่นี้!!”
“คุณโรส!” พฤกษ์มองโทรศัพท์ก็เห็นว่าสายหลุดไปจึงวิ่งไปหาจันทรา “คุณจันทราครับ ผมขออนุญาตลาครึ่งวันนะครับ พอดีเพื่อนผมกำลังมีปัญหา”
จันทราอึ้งๆ งงๆ “เอ่อ ได้จ้ะ ได้”
พฤกษ์รีบวิ่งออกไปจากร้าน จันทรามองตามไปอย่างสงสัย
“โรส?”
จันทราพลิกหนังสือพิมพ์ไปถึงหน้าบันเทิงโดยไม่ได้ตั้งใจจนกระทั่งเห็นภาพสีในหน้าบันเทิงก็ถึงกับอึ้งเมื่อเห็นรูปพฤกษ์กำลังประคองสุดาวดีที่โรงพยาบาลรูปใหญ่บึ้มพร้อมพาดข่าวตัวโตว่า “โรส สุดาวดีเปิดตัวหนุ่มรู้ใจนอกวงการ ควงกันออกจากโรงพยาบาลไม่แคร์สื่อ” จันทราถึงกับพูดไม่ออก
สุดาวดียืนอยู่ท่ามกลางหม้อหลายขนาดที่ล้มระเนระนาดอยู่บนพื้น มีเศษแก้วแตกกระจายอยู่ใกล้ๆ กัน เธอกวาดตามองทุกสิ่งทุกอย่างแล้วค่อยๆ คลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์...
“ต๊าย! ปีนี้เธอต้องได้ตุ๊กตาทองแน่เลย..สุดาวดี”
สุดาวดีหัวเราะให้กับความฉลาดของตัวเอง แล้วเดินเขย่งผ่านกองข้าวของแตกกระจายไปอย่างระมัดระวัง
จินตวัฒน์เดินโทรศัพท์ลงจากรถแล้วตรงไปที่หน้า สน.
จินตวัฒน์พูดเสียงเครียด “ผมทราบครับแม่ ผมจะระวังตัวครับ”
จันทราจัดดอกไม้พร้อมกับใช้สมอลทอล์กคุยโทรศัพท์ไปด้วย
“อย่าประมาทนะจิ๋น แม่เชื่อว่ากำนันเทิ้มเขาก็คงระมัดระวังตัวอย่างดี แต่ก็ยัง... เอาเถอะ เห็นท่าไม่ดีก็รีบกลับมานะลูก อยากทำงานที่รักแม่ก็เข้าใจ แต่จิ๋นก็ต้องเห็นใจหัวอกคนเป็นแม่ด้วย แม่มีจิ๋นแค่คนเดียวนะลูก”
จันทราจัดดอกไม้เป็นพวงหรีดแล้วเธอก็มองพวงหรีดนั้นด้วยหน้าตาที่เต็มไปด้วยความกังวล
จินตวัฒน์เดินขึ้นบันไดโรงพัก
“คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ผมดูแลตัวเองได้ครับ เอ้อ แล้วโรสแวะไปหาคุณแม่บ้างรึเปล่า”
จันทรามีสีหน้าอึดอัด
“แม่เจอล่าสุดก็ตอนที่จิ๋นให้แม่ไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลแทนจิ๋นนั่นแหละ แต่แม่รู้จากหนังสือพิมพ์ว่าเขาออกจากโรงพยาบาลแล้ว จิ๋นไม่ต้องเป็นห่วงหรอก...แล้วจิ๋นล่ะลูก โทรคุยกับโรสบ้างรึเปล่า”
จินตวัฒน์เดินเข้ามาในโรงพัก พวกตำรวจทำงานกันตามปกติ หมู่จ้อยนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะ จ่าแม่นถือแฟ้มจากห้องผู้กำกับกลับมาที่โต๊ะตัวเอง
“คุยครับ เมื่อวานก็เพิ่งคุยกัน” จินตวัฒน์เอะใจ “มีอะไรรึเปล่าครับคุณแม่”
จันทราหน้าเจื่อน
“ไม่มีอะไรหรอกลูก จิ๋นตั้งใจทำงานน่ะดีแล้ว เรื่องความรัก..เรายังมีเวลาตัดสินใจอีกเยอะ อะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลงได้ จริงมั้ยลูก”
จินตวัฒน์อึ้งไปกับคำพูดที่เหมือนจะแฝงนัยอะไรบางอย่างของแม่
“ครับคุณแม่...คุณแม่ดูแลสุขภาพตัวเองด้วยนะครับ ครับ..สวัสดีครับ” จินตวัฒน์กดวางสาย
จินตวัฒน์เก็บโทรศัพท์มือถือและกำลังจะเดินผ่านโต๊ะจ่าแม่นกับหมู่จ้อย จ่าแม่นเหลือบมองหมู่จ้อยที่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือพิมพ์
“วางก่อนเลย หนังสือพิมพ์น่ะอ่านเมื่อไหร่ก็ได้ มาช่วยข้าหาสำนวนคดีเก่าๆ ของกำนันเทิ้มก่อน” จ่าแม่นบอก
จ่าแม่นยื่นแฟ้มให้หมู่จ้อย หมู่จ้อยยื่นมือไปรับแฟ้มโดยไม่ละสายตาจากหนังสือพิมพ์ จ่าแม่นชะโงกหน้ามองหนังสือพิมพ์บ้าง
“ข่าวอะไรวะถึงได้สนใจนักหนา” จ่าแม่นถาม
“ก็ดาราในดวงใจน่ะสิ” หมู่จ้อยบอก
“อ๋อ...โรส สุดาวดีน่ะเหรอ ทำไมวะ แอบไปควงกิ๊กที่ไหนอีก”
จินตวัฒน์ชะงักเท้าแล้วหยุดฟัง จ่าแม่นหันมาเห็นจินตวัฒน์
“คงไม่ใช่กิ๊กแล้วล่ะ...เขียนข่าวซะขนาดนี้ หมอนี่หล่อเกาหลีซะด้วย โอ๊ยยย...อกหักๆๆ” หมู่จ้อยว่า
จ่าแม่นเอ่ยถาม “คุณปลัด มาพบผู้กำกับเหรอครับ”
“ครับ”
จินตวัฒน์ขยับเข้าไปมองหนังสือพิมพ์ของหมู่จ้อยพอเห็นภาพสุดาวดีกับพฤกษ์แล้วก็รู้สึกวูบวาบ
“อยู่ในห้องน่ะครับ” จ่าแม่นบอก
หมู่จ้อยยังวิจารณ์ต่อ “ไอ้นี่ตัวจริงแหง เห็นมีภาพหลุดมาตั้งเยอะ อิจฉาจริงจริ๊ง”
จ่าแม่นสังเกตเห็นจินตวัฒน์จ้องหนังสือพิมพ์ไม่วางตา
“ท่าทางคุณปลัดจะเป็นแฟนคลับของโรส สุดาวดีเหมือนไอ้หมู่จ้อยมัน จะยืมไปอ่านก่อนก็ได้นะครับ ไอ้จ้อย ให้คุณปลัดยืมก่อน ส่วนเอ็งทำงานได้แล้ว” จ่าแม่นว่า
“ไม่เป็นไรครับ ผมจะทำงานเหมือนกัน” จินตวัฒน์เดินหงอยๆ อึ้งๆ ไปที่ห้องผู้กำกับ
จ่าแม่นชะโงกหน้ามาดูรูปชนิดเพ่งแล้วเพ่งอีก “ใครวะ..หน้าเหมือนเจ้าพฤกษ์”
“พฤกษ์ไหน” หมู่จ้อยถาม
“ลูกชายแม่บาน พี่ชายไอ้เรืองน่ะสิ เอ็งเพิ่งย้ายมา 2 ปีเอ็งไม่เคยเห็นมันหรอก มันไปเรียนที่กรุงเทพฯ”
“โธ่!! นึกว่าดารานายแบบที่ไหน..ไม่ใช่หรอก...น้องโรสเขาจะควงผู้ชายดอนล้อมแรดทำไม บ้านน๊อก บ้านนอก ถ้าจะควงพี่ชายไอ้เรือง ควงฉันไม่ดีกว่าเรอะ เท่กว่าเยอะ...จริงมั้ย”
จ่าแม่นเสียงเข้ม “ทำงาน!”
จินตวัฒน์กับสันติสุขนั่งถกเครียดอยู่ที่โต๊ะ
“ที่ผมไปประชุมมาเมื่อวาน...มีรายงานการลักลอบตัดไม้พะยูงจากอุทยานแห่งชาติหลายแห่ง แล้วพวกนั้นก็ใช้อำเภอของเราเป็นทางผ่านส่งไม้เถื่อนไปจีนครับ”
“ผมก็กำลังตามเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน จริงๆ กำนันเทิ้มแกก็เกาะติดเรื่องนี้อยู่” สันติสุขบอก
“งั้นที่แกถูกลอบฆ่าครั้งแล้วครั้งเล่าก็น่าจะเกี่ยวกับเรื่องไม้เถื่อนด้วยใช่มั้ยครับ” จินตวัฒน์ถาม
“คงจะอย่างนั้น เสียดายที่เวลาแกจะสืบอะไร แกชอบลุยเดี่ยวทำคนเดียว แกอาจจะได้หลักฐานอะไรมาบ้าง แต่ด้วยความที่แกไม่ยอมประสานงานกับตำรวจ ทำให้เราไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะมัดเสี่ยกำพลได้”
“ถ้าเราสามารถหาหลักฐานจากกำนันเทิ้มได้บ้าง ก็น่าจะทำให้รูปคดีมีความชัดเจนขึ้นใช่มั้ยครับ”
“ครับ”
จินตวัฒน์และสันติสุขสบตากัน แววตาของจินตวัฒน์เป็นประกายอย่างมีความหวัง
จินตวัฒน์เปิดประตูตู้ออกแล้วรื้อค้นภายในของตู้เก็บเอกสารต่างๆ โดยที่ลิ้นชักโต๊ะทำงาน ลิ้นชัก ตู้ต่างๆ อยู่ในสภาพถูกรื้อค้นออกมาดูหมดแล้ว จินตวัฒน์ถอยออกมายืนเท้าเอวกลางบ้านเมื่อไม่พบอะไรที่น่าสนใจ เขายืนคิดเครียดอยู่ 2-3 วินาทีว่าจะทำอะไรต่อไปจนกระทั่งคิดออก จินตวัฒน์เก็บของเข้าที่แล้วรีบเดินออกจากบ้าน
ดาวเรืองยื่นเงินปึกหนึ่งให้กำพล กำพลรับเงินและส่งให้ชาติซึ่งยืนประกบอยู่ด้านหลัง
ดาวเรืองพูดหน้านิ่ง “สามหมื่นนะเสี่ย”
กำพลเลิกคิ้ว “หืม...? งวดนี้เยอะนี่ ได้มาจากหวย ไพ่ หรือว่าเหล้าล่ะ”
“ทั้งสามอย่างแหละเสี่ย อย่างว่า...คนมันทำเลวขึ้น”
กำพลหัวเราะชอบใจ “ชอบจริงๆ คำนี้...ทำเลวขึ้น”
“ใช่ คนบางคนมันทำเลวขึ้น..เลยเจริญเอาๆ แต่จะว่าไปช่วงนี้ก็ลำบากอยู่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นอย่างฉันรึเปล่า...ตอนตื่นก็กลัวตำรวจจับ ตอนหลับก็ฝันว่าไม่มีแผ่นดินอยู่”
กำพลร้อนตัวตงิดๆ “ทำไมวะ!”
“ก็ฉันทำบาปไว้เยอะนี่เสี่ย เลยกลัวไม่ได้อยู่บนแผ่นดิน ต้องไปอาศัยนรกแทน นี่ก็กะว่าใช้หนี้เสี่ยหมดเมื่อไหร่ จะไปบวชชีล้างบาปสักพรรษาสองพรรษา แต่ถึงจะทำบุญทำทานขนาดไหน มันก็ล้างบาปไม่ได้หรอกเนอะ..เสี่ยว่าปะ”
“เออ เอ็งก็ระวังตัวไว้ให้ดีก็แล้วกัน เดินไปไหนก็ดูตาม้าตาเรือ อย่าไปเหยียบตาปลาใครเข้า”
“ขอบคุณมากเสี่ยที่อุตส่าห์เตือน ฉันระวังตัวอยู่ตลอดแหละ คนเขาชอบพูดกันว่าคนเลวมักตายไม่ดี...ก็กลัวๆ อยู่”
ดาวเรืองจ้องตากำพลแบบปิดบังความเกลียดชังเอาไว้ไม่มิด
“เสร็จธุระแล้ว ฉันไปก่อนนะ งวดหน้าฉันจะพยายามหามาใช้ให้ได้เยอะๆ แบบนี้”
ดาวเรืองหันหลังเดินออกไป กำพลมองตามดาวเรืองไปด้วยแววตาที่มีความกังขาและระแวงสงสัย
จินตวัฒน์ขับรถมาจากบ้านเทิ้มที่ดอนล้อมช้าง ส่วนดาวเรืองขี่มอเตอร์ไซค์ออกมาจากปางไม้ เธอมองเห็นรถจินตวัฒน์แต่ไกลจึงชะลอรถและจับตามองรถจินตวัฒน์ รถจินตวัฒน์แล่นแยกเข้าไปในทางดินลูกรังแคบๆ ที่เต็มไปด้วยต้นไม้รกครึ้ม ดาวเรืองขมวดคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะรีบขี่รถตามเข้าไป
จินตวัฒน์เดินลงจากรถโดยเอาปืนพกเหน็บเอวไว้แล้วขยับเสื้อให้ปิดด้ามปืน ดาวเรืองขี่มอเตอร์ไซค์ตามมาจอดข้างๆ จินตวัฒน์แปลกใจ
ดาวเรืองเอ่ยถาม “ปลัดจะไปไหน”
“ไปหาหลักฐานมัดตัวคนที่ฆ่ากำนันเทิ้มน่ะสิ ฉันพยายามหาที่บ้านกำนันแล้ว แต่ไม่เจออะไรที่เป็นประโยชน์เลย ว่าจะลองไปดูตรงที่ที่แกโดนยิงอีกครั้ง อาจจะพบเบาะแสอะไรบ้าง”
“ไม่ได้ ถ้านายเข้าไป นายได้เป็นไข้โป้งแบบกำนันเทิ้มแน่” ดาวเรืองบอก
“ฉันไม่เป็นไรหรอก เธอกลับบ้านไปเถอะ เด็กอย่างเธอไม่ควรมาเกี่ยวข้องกับเรื่องอันตรายแบบนี้”
จินตวัฒน์เดินฝ่าเข้าไปในป่า ดาวเรืองมองตามอย่างกังวลแล้วตะโกนตามหลัง
“ไปทางนั้นไม่ได้”
จินตวัฒน์หันกลับมามองดาวเรือง
ดาวเรืองพูดต่อ “ถึงนายจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ถ้านายไม่รู้จักทางหนีทีไล่ นายจะทำอะไรได้! คนรู้จักเส้นทางดียืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ ถ้าอยากได้หลักฐานจริงๆ ก็ตามมา”
ดาวเรืองเดินอาดๆ นำไปในทิศทางตรงกันข้าม จินตวัฒน์เชื่อใจดาวเรืองจึงเดินตาม
สุดาวดีนอนเอกเขนกอ่านแมกกาซีนอยู่บนเตียงอย่างสบายอารมณ์ สักครู่เธอก็เอามือลูบท้องที่ร้องจ๊อกเพราะความหิวแต่ก็ยังทนอ่านแมกกาซีนต่อไปอย่างขี้เกียจ สักครู่เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ใกล้ตัวก็ดังขึ้น สุดาวดีชะโงกมองหน้าจอ พอเห็นเป็นชื่อพฤกษ์เธอก็ยิ้มพอใจแล้วคว้ามากดรับ
สุดาวดีแกล้งทำเสียงเป็นคนป่วยใกล้ตาย “นายอยู่ไหนแล้ว”
พฤกษ์ยืนคุยโทรศัพท์อยู่หน้าเคาน์เตอร์
“ข้างล่าง คุณช่วยโทรลงมาที่ล็อบบี้ด้วยว่าอนุญาตให้ผมขึ้นไป”
สุดาวดีตกใจจึงเด้งตัวขึ้นนั่งบนเตียงแล้วหลุดเสียงเป็นปกติ “ทำไมมาเร็วนักล่ะ!”
“อ้าว! ก็คุณลื่นล้มเสียงดังขนาดนั้น ผมก็รีบบึ่งมาเลย เผื่อต้องลากคุณเข้าโรงพยาบาลอีก ว่าไง ทำไมเงียบไป ตกลงคุณเป็นอะไรมากรึเปล่า”
สุดาวดีกลับมาเล่นละครด้วยการโอดครวญต่อ “ปะ..เป็นสิ อูย...โอ๊ย เจ็บ!”
พฤกษ์ตกใจ “คุณโรส คุณรีบโทรลงมาบอกข้างล่างเลยนะ เดี๋ยวผมขึ้นไป!”
สุดาวดีแทบจะวิ่งออกมาจากห้องนอน เธอมองซ้ายมองขวาอย่างลนลานในขณะที่มือยังกำโทรศัพท์ สุดาวดีทำท่าจะวิ่งไปที่ประตูแล้วก็เบรกก่อนจะวิ่งกลับมาที่เดิมแล้วยืนคิด
สุดาวดีกดน้ำร้อนจากกระติก แล้วหย่อนผ้าขนหนูผืนเล็กลงแช่น้ำร้อน จากนั้นก็บิดก่อนเอามาโปะทั่วหน้า
“อู๊ย..! โอ๊ยยย...อู๊ยยย...อ๊ายยย...ร้อน” สุดาวดีซู้ดปากไปมือก็โปะผ้าขนหนูไปทั่วหน้า “ร้อนๆ”
สุดาวดีเอาผ้าขนหนูแช่น้ำร้อนมาบิดแล้วเอามาโปะตามแขนและซอกคอ
“อู๊ย...อู๊ย..” สุดาวดีบ่น “ทำไมฉันต้องมาทรมานอะไรแบบนี้ด้วย..อู๊ย..โอ๊ย..อ๊าย”
เสียงกริ่งที่ประตูห้องดังขึ้น สุดาวดีผงะแล้วรีบเทน้ำร้อนทิ้งก่อนจะโยนผ้าขนหนูไว้บนเคาน์เตอร์แบบส่งๆ
สุดาวดีวิ่งมาถึงหน้าประตูก็ใส่แอ๊กติ้งเป็นคนป่วยทันทีเหมือนเปิดสวิตช์ด้วยการค่อยๆ ยื่นมือไปจับลูกบิดเปิดประตู ประตูห้องเปิดออกช้าๆ พฤกษ์ยืนอยู่หน้าห้อง เขาแปลกใจเมื่อมองซ้ายมองขวาแล้วไม่เห็นคนเปิด
สุดาวดีพูดเสียงอ่อนระโหย “นาย...”
พฤกษ์มองหาสุดาวดีจนเห็นสุดาวดีนั่งเอามือเท้าผนังอยู่ด้านหลังประตูด้วยท่าทางไม่สบายหนัก
“คุณโรส!”
พฤกษ์รีบวางถุงข้าวต้มที่ซื้อมากับพื้นแล้วก้มลงไปอุ้มสุดาวดีขึ้นมา เขาแอบสะดุ้งที่สัมผัสความร้อนที่ตัวของเธอ พฤกษ์อุ้มสุดาวดีมาที่โซฟาด้วยสีหน้าเครียด แต่สุดาวดีแอบยิ้ม พฤกษ์วางสุดาวดีที่โซฟา สุดาวดีปรับสีหน้าเป็นคนป่วยอีก
พฤกษ์เอาหลังมือแตะหน้าผาก แล้วเลื่อนลงมาแตะที่ขา “ทำไมตัวคุณร้อนจี๋แต่ขาเย็นเฉียบยังงี้ แบบนี้คุณต้องไปหาหมอแล้วล่ะ”
“ฉันไม่เป็นไรมากหรอก เมื่อกี้รู้สึกไม่ค่อยสบายเลยนอนห่มผ้า แต่สงสัยนอนดิ้นขาเลยโผล่ออกนอกผ้าห่ม”
“แล้วคุณกินยารึยัง” พฤกษ์ถาม สุดาวดีส่ายหน้าช้าๆ และทำตาละห้อย “ผมซื้อข้าวต้มมาให้ คุณจะกินเลยมั้ย”
“กินสิ ฉันหิว”
“ดี กินเสร็จแล้วคุณจะได้กินยา เดี๋ยวผมไปเอามาให้”
พฤกษ์เอาเป้ออกจากหลังแล้ววางไว้ที่โซฟาก่อนจะเดินกลับไปหยิบถุงใส่ข้าวต้มที่วางทิ้งไว้ที่ประตู
พฤกษ์แวะที่แพนทรี เขากวาดตามองสภาพสิ่งของและเศษแก้วแตกระเนระนาดที่พื้นแล้วเดินอย่างระมัดระวังไปที่เคาน์เตอร์ ก่อนจะหยิบชาม แกะถุงข้าวต้ม แล้วเทใส่ชาม สุดาวดีผงกหัวขึ้นมาแอบมองพฤกษ์แล้วยิ้มมีชัยที่ตบตาพฤกษ์ได้สำเร็จ
ดาวเรืองเดินนำจินตวัฒน์ลึกเข้าไปในป่า จินตวัฒน์หยุดยืนแล้วกวาดตามองไปรอบๆ
“เธอจะพาฉันไปที่ไหนกันดาวเรือง”
ดาวเรืองเหลียวกลับมามอง
“เหอะน่า ไม่พาไปขายหรอก แก่ๆ แบบปลัดถึงขายออกก็ได้ไม่กี่ตังค์”
“อย่ายั่วโมโหน่า นี่มันไม่ใช่ทางไปปางไม้เสี่ยกำพลนี่...หรือว่าทางลัด?”
“ถูก ลัดไปเขตป่าสงวนที่ไอ้เสี่ยมันลอบเข้าไปตัดไม้”
จินตวัฒน์ตกใจ “ห๊า! เธอรู้ได้ยังไง”
“ก็ไอ้จ่าแม่นมันชอบไล่ตามจับฉันตอนต้มเหล้า ฉันเลยเปลี่ยนที่ต้มไปเรื่อย ในหลุม ในบ่อ ในแพ บนนา ตีนเขา ยอดเขา ฉันไปมาทั่ว แล้วจะไม่เห็นใครทำอะไรชั่วๆ ได้ไง”
“เสี่ยกำพลลักลอบตัดไม้พะยูงที่นี่ใช่มั้ย” จินตวัฒน์ถาม
“ถูก..และด้วยความที่ราคามันโคตรแพง เลยขอเตือนไว้ก่อนนะ ว่าลูกน้องเสี่ยมันมีทั้งปืนสั้น ปืนยาว สไนเปอร์ เอ็ม...”
จินตวัฒน์หยิบปืนออกมาโชว์ “ไม่ต้องกลัว ฉันก็มีปืน”
ดาวเรืองเห็นปืนปลัดปุ๊บก็ตบหน้าผากตัวเองปั๊ป “แค่เนี้ย! กลับดีกว่า”
ดาวเรืองหมุนตัวจะเดินย้อนกลับทางเดิมแต่จินตวัฒน์รีบคว้าแขนเธอไว้
จินตวัฒน์มองปืนในมือ “เถอะน่า... มีแค่นี้ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย”
ดาวเรืองชำเลืองมองปืนจินตวัฒน์อย่างเซ็งๆ “เอาวะ อย่างน้อยก็ใช้ปาหัวหมาได้”
ดาวเรืองเดินนำหน้าไปทางเดิม จินตวัฒน์มองปืนในมืออีกครั้งอย่างเสียความมั่นใจก่อนจะเก็บปืนไว้ที่เอวตามเดิมแล้วเดินตามดาวเรืองไป
สุดาวดีอ้าปากรอรับข้าวต้มที่พฤกษ์กำลังป้อน พฤกษ์วางช้อนลงในชามเปล่าแล้วหันไปหยิบแก้วน้ำบนโต๊ะมาป้อนสุดาวดี สุดาวดีดื่มไปหนึ่งอึก
“ฉันมึนหัวมากเลย นั่งไม่ไหวแล้ว นายช่วยหยิบยาที่หลังเคาน์เตอร์ให้ที”
พฤกษ์ลุกไปหยิบซองยา แล้วเทยาออกมาให้สุดาวดีกิน 1 เม็ดพร้อมกับน้ำ
“วางไว้ที่นี่แหละ เผื่อปวดหัวมากๆ จะได้ตื่นมากิน ขอบคุณนายมากนะ เดี๋ยวนายออกไปแล้วช่วยปิดประตูให้ด้วยก็แล้วกัน”
สุดาวดีเอี้ยวตัวมาหยิบหมอนอิงหนุนหัวแล้วทิ้งตัวนอนโดยแกล้งทำเป็นสลบไสล พฤกษ์เอื้อมมือไปแตะหน้าผากสุดาวดี
พฤกษ์แปลกใจ “ไข้ลดแล้วนี่...หรือว่ายังเพลียอยู่”
พฤกษ์ยืดตัวขึ้นแล้วมองสภาพห้องที่รกสุดๆ ก่อนจะส่ายหน้า พฤกษ์เดินไปหยิบบรรดาหม้อที่วางระเกะระกะมาวางให้เป็นระเบียบ พฤกษ์หยิบไม้กวาดกับที่โกยผงมาเก็บกวาดเศษแก้ว แล้วห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ทิ้งขยะ
สุดาวดีค่อยๆ หรี่ตาขึ้นมาทีละข้างเพื่อแอบมองพฤกษ์ก่อนจะยิ้มดีใจที่หลอกพฤกษ์มาใช้งานได้ทุกอย่าง พฤกษ์กลับมาหยิบเสื้อผ้าของสุดาวดีทั้งชั้นนอกชั้นในที่พาดไว้ตามมุมต่างๆ ในห้องไปใส่ตะกร้า สุดาวดีมองพฤกษ์นิ่ง แล้วสายตาและรอยยิ้มกระหยิ่มเจ้าเล่ห์ของเธอก็เปลี่ยนเป็นสายตาและรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความชื่นชมโดยไม่รู้ตัว
พฤกษ์ถือตะกร้าแล้วหมุนตัวมามองหาเครื่องซักผ้า สุดาวดีสะดุ้งแล้วรีบล้มตัวลงนอนก่อนที่พฤกษ์จะเห็นแบบเฉียดฉิว พฤกษ์หยิบผ้าห่มบางๆ ที่พาดอยู่แถวนั้นมาห่มให้สุดาวดี สุดาวดีนอนนิ่งไม่ไหวติงแต่ใบหน้าอมยิ้มนิดๆ
อ่านต่อหน้าที่ 3
ดาวเรือง ตอนที่ 8 (ต่อ)
จินตวัฒน์กับดาวเรืองเดินมาหยุดบนเนินสวยๆ จินตวัฒน์ปาดเหงื่อที่เกาะเต็มหน้าผาก
“ไกลเหมือนกันนะ” จินตวัฒน์บอก
“อ้าว ถ้าไม่ไกล ตำรวจก็คงมาลากคอไอ้พวกนั้นเข้าตะรางไปนานแล้ว แค่นี้เหนื่อยแล้วเหรอ ขนาดมาทางลัดนะเนี่ย ว่าแต่จะมาหาหลักฐานน่ะ มีเครื่องมือเก็บหลักฐานมาด้วยรึเปล่า”
“ทำไมจะไม่มี”
จินตวัฒน์หยิบกล้องดิจิตอลตัวเล็กๆ บางๆ ออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วยักคิ้วให้ดาวเรือง
“มีแล้วมันใช้ได้รึเปล่า ลองถ่ายดูยัง ไม่ใช่ว่าแบตหมดนะ”
“นั่นสิ ตั้งแต่มาอยู่นี่ก็ยังไม่เคยหยิบมาใช้เลย” จินตวัฒน์กดปุ่มเปิดกล้อง “ดาวเรือง ขยับมาทางนี้หน่อยซิ”
จินตวัฒน์เล็งกล้องจะถ่ายดาวเรือง
“เฮ้ย ไม่เอา ฉันไม่ชอบถ่ายรูป ถ่ายกบไปละกัน นั่นน่ะรูกบ เดี๋ยวมันก็ออกมา”
ดาวเรืองชี้ตรงเนินที่มีรูห่างจากจุดที่ยืน 2-3 เมตร
จินตวัฒน์สงสัย “รู้ได้ไงว่ารูกบ อาจจะเป็นรูงูก็ได้”
“ฮีโธ่ ทำไมจะไม่รู้” ดาวเรืองเดินนำจินตวัฒน์ไปยืนดูใกล้ๆ “รูงูมันแห้ง รูกบมันมีเมือก เนี่ยรูกบตัวผู้”
“เฮ้ย!! รู้ขนาดนั้นเลยเหรอ...ทำไม รูกบตัวผู้มันใหญ่กว่ากบตัวเมียรึไง”
“ฮู้ยย...อ่อนจริงๆ... ไม่ใช่คนซะหน่อยที่ผู้ชายจะตัวโตกว่าผู้หญิง กบตัวผู้มันออกมาร้องอ๊บๆ ที่ปากรูบ่อยกว่าต่างหาก ปากรูมันเลยมีเมือกมากกว่า”
จินตวัฒน์รู้แต่แกล้งลองเชิง “แล้วทำไมกบตัวผู้มันต้องออกมาร้องที่ปากรูบ่อยๆ ล่ะ”
“ถามจริง จับไม้สั้นไม้ยาวมาเป็นปลัดปะเนี่ย ไม่รู้อะไรเล้ย... กบตัวผู้มันก็ออกมาร้องหากบตัวเมียน่ะสิ”
ดาวเรืองหยิบไม้จากพื้นมาแหย่รู
“คอยดูนะ เดี๋ยวมันจะออกมาร้องอ๊บๆ”
จินตวัฒน์ยกกล้องขึ้นจะถ่ายดาวเรือง
“เงยหน้าหน่อย”
ดาวเรืองเงยหน้ามองจินตวัฒน์ “ก็บอกแล้วไงว่าไม่ถ่ายๆ”
“ขอลองกล้องหน่อยน่า เกิดไปเจอหลักฐานสำคัญจะได้ถ่ายปรื๊ดๆ ไม่ติดไม่ขัด เอ้า ยิ้มหน่อย”
“แค่ลองกล้องทำไมต้องให้ยิ้มด้วย”
“เถอะน่า ยิ้มนิดนึง”
จินตวัฒน์ปรับกล้อง ดาวเรืองมองที่เลนส์อย่างเด๋อๆ ด๋าๆ และยิ้มตลกๆ เพราะทำหน้าไม่ถูก รูบนเนินที่เหมือนโคกมีงูจงอางโผล่หัวออกมาเล็กน้อย
จินตวัฒน์ที่มองกล้องอยู่ขมวดคิ้วแล้วเอากล้องออกจากตา เขาจ้องเขม็งไปที่งู
“ดะ...ดาวเรือง...นั่น กบหรืองู”
ดาวเรืองตอบทันทีโดยไม่ได้หันไปมอง “กบ!”
“แต่ฉันว่า...งูนะ”
ดาวเรืองหันไปมองรูบนเนินก็เห็นงูจงอางโผล่หัวออกมาแลบลิ้นแผล็บๆ
“อื้มมม...งู” ดาวเรืองบอก
จินตวัฒน์พยายามมีสติ “ไม่ต้องกลัว ฉันมีปืน!”
“นี่มันงูนะ ไม่ใช่ผู้ร้าย!! เผ่น..เร้ว”
ดาวเรืองคว้าข้อมือจินตวัฒน์ออกวิ่ง ทั้งสองคนโกยอ้าวอย่างไม่คิดชีวิต งูจงอางเลื้อยออกจากรูแล้วตามทั้งสองไป
จินตวัฒน์กับดาวเรืองจับมือพากันวิ่งป่าราบ
จินตวัฒน์แหกปากถาม “เราจะหนีมันทันเหรอ”
ดาวเรืองแหกปากตอบ “ทันไม่ทันก็ต้องหนี...เร้ว!”
งูจงอางเลื้อยตามอย่างมุ่งมั่น ดาวเรืองเหลียวกลับไปมองแล้วผมแทบตั้งที่เห็นงูจงอางยกตัวสูงเป็นเมตรพร้อมกับเลื้อยใกล้เข้ามา
“จงอาง แจ๊ก”
ดาวเรืองตัดสินใจถอดเสื้อเชิ้ตที่สวมอยู่ออกจนเหลือเพียงเสื้อแขนกุดที่อยู่ข้างใน
จินตวัฒน์ตาเหลือก “ทำอะไรน่ะ!”
ดาวเรืองเหวี่ยงเสื้อไปที่งู เสื้อของดาวเรืองคลุมลงบนงูพอดิบพอดี จินตวัฒน์มองไปที่เนินเตี้ยๆ ด้านข้างที่ลาดลงไปจากแนวถนนก่อนจะหันไปตะโกนบอกดาวเรืองที่ยังเหลียวไปมองงูด้านหลัง
“มาทางนี้!”
จินตวัฒน์คว้าข้อมือดาวเรือง ดาวเรืองก้าวตามจินตวัฒน์แต่เพราะไม่รู้ว่าเป็นเนินที่ลาดลงไปข้างทางเลยเสียหลัก ดาวเรืองพาจินตวัฒน์พลอยเสียหลักล้มไปด้วย
ทั้งสองกอดกันล้มกลิ้งลงมาตามเนินหลายตลบ งูดิ้นจนหลุดจากเสื้อแล้วชูคอมองหาเหยื่อแต่ก็ไม่พบ ครู่เดียวมันก็เลื้อยไปอีกทาง
จินตวัฒน์ที่นอนกอดดาวเรืองอยู่ชะเง้อคอมองเห็นงูเลื้อยไปทางอื่นก็ถอนใจอย่างโล่งอก เขาก้มมองดาวเรืองซึ่งยังหลับตาปี๋และกอดเขาแน่น จินตวัฒน์ยิ้มเอ็นดูเพราะคิดในใจว่าถึงจะแก่น เซี้ยว เปรี้ยว ซ่ายังไงแต่ดาวเรืองก็ยังเป็นผู้หญิงวันยันค่ำ
จินตวัฒน์บอกดาวเรือง “มันไปทางอื่นแล้ว”
ดาวเรืองลืมตา ทั้งสองคนมองตากันอย่างดีใจและยิ้มให้กัน ดาวเรืองเริ่มรู้สึกตัวว่าหน้าตัวเองแทบจะจ่อติดกับหน้าของจินตวัฒน์ แถมแขน ขา และอกที่มีเพียงเสื้อแขนกุดยังแนบชิดกับแขน ขา และอกของจินตวัฒน์อีกต่างหาก
ดาวเรืองหน้าแดงซ่านด้วยความเขินอาย เธอรีบผลักจินตวัฒน์แล้วลุกขึ้นยืนปัดเนื้อปัดตัว
ดาวเรืองพูดแก้เก้อ “ฉันจะกลับไปเอาเสื้อ”
“แล้วถ้ามันย้อนกลับมาล่ะ จะกลับไปขอเสื้อคืนจากงูจงอางเนี่ยนะ”
“แต่...” ดาวเรืองก้มหน้ามองสภาพตัวเองอย่างเขินๆ
จินตวัฒน์เข้าใจจึงรีบถอดเสื้อเชิ้ตของตัวเองมาคลุมให้ดาวเรือง ดาวเรืองยิ่งเขินจึงรีบเดินหนีไปข้างหน้า แต่เธอก็ชะงักเมื่อมองเห็นป่ารอบๆ ตัว ดาวเรืองขมวดคิ้ว จินตวัฒน์เดินตามมา
จินตวัฒน์สังเกตอาการดาวเรือง “มีอะไรเหรอ...หรือว่า..หลงทาง”
ดาวเรืองพยักหน้า “อื้ม.. เราหลงมาทางใต้”
“แต่ถ้าเราต้องย้อนกลับไปทางนั้น” จินตวัฒน์ชี้ไปทางที่งูเลื้อยหายไป “งู...จะกลับมาจ๊ะเอ๋เรามั้ย”
“ไม่เป็นไร จากทางใต้ก็เดินอ้อมไปทางเหนือได้เหมือนกัน แต่ไกลหน่อย ไปเถอะ เสียเวลาไปเยอะแล้ว”
ดาวเรืองเดินนำลิ่วไปข้างหน้า จินตวัฒน์รีบเดินตาม
สุดาวดีที่เผลอหลับไปจริงๆ ค่อยๆ รู้สึกตัวลืมตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะขยับตัวมานั่งบนโซฟาจนหายงัวเงียแล้วเธอก็ลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เย็น สุดาวดีดื่มน้ำพลางกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง เธอเห็นบรรยากาศรอบห้องสะอาดเอี่ยมอ่องและเป็นระเบียบอย่างผิดหูผิดตาจนกระทั่งมาหยุดที่พฤกษ์ซึ่งกำลังนั่งกอดอกไขว่ห้างมองมาจากเก้าอี้ที่วางอยู่มุมห้องอีกด้าน
สุดาวดีเบิกตากว้างเพราะช็อกที่เห็นพฤกษ์ เธอค่อยๆ ลดแก้วน้ำลงแล้วยิ้มแหยๆ ให้ชายหนุ่ม
“ตกลงหายดีแล้ว หรือไม่ได้เป็นอะไรตั้งแต่แรก”
“เป็นสิ..เป็น เนี่ยข้อเท้ายังเจ็บแปล๊บๆ อยู่เลย แล้วทำไมนายยังไม่กลับล่ะ” สุดาวดีบอก พฤกษ์นิ่ง สุดาวดีรีบเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง “ขอบคุณนะที่ช่วยจัดบ้านให้” สุดาวดีมองไปรอบห้องอีกครั้ง “นายนี่สมกับเป็นแม่บ้านแม่เรือนจริงๆ แบบนี้ผู้ชายที่ไหนก็ชอบ”
พฤกษ์ขมวดคิ้วแล้วถอนหายใจเฮือก “ไม่จบนะเรื่องนี้ เอาเป็นว่า ก็แล้วแต่คุณจะคิดแล้วกัน อาหารกลางวันกับอาหารเย็นผมเตรียมไว้ให้แล้ว คุณจะกินเมื่อไหร่ก็อุ่นเอา”
โทรศัพท์มือถือของสุดาวดีที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขกดังขึ้น สุดาวดีเดินสวบๆ มารับแต่นึกได้ว่าพฤกษ์มองอยู่ก็เลยทำเป็นเดินเขยกเข้ามารับสาย
“โรสค่ะพี่ต้อยติ่ง...ค่า...ค่อยยังชั่วแล้วค่ะ อู๊ย...ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องเลื่อน แหม..ปกใหญ่ขนาดนี้ถ้าไม่รับ โรสเสียดายแย่ เอ่อ...” สุดาวดีแอบเครียด “เหรอคะ แต่ไม่เป็นไรค่ะ โรสแก้ปัญหาได้ โรสจะไปนะคะ..คอนเฟิร์ม..ขอบคุณค่ะ” สุดาวดีกดวางสาย
พฤกษ์หยิบเป้ที่โซฟาขึ้นมาสะพาย
“ผมไปนะ หวังว่าคงไม่มีอะไรทำให้คุณต้องโทรหาผมอีก...ดูแลตัวเองด้วยแล้วกัน”
พฤกษ์เดินคล้อยหลังไปได้เพียงสองก้าว สุดาวดีก็แสดงสีหน้าเหมือนปิ๊งไอเดียอะไรขึ้นมา
“ฉันจะไม่โทรหานายอีก ถ้านายจะช่วยฉันอีกสักครั้ง” สุดาวดีบอก พฤกษ์ชะงักแล้วหันกลับมาหาเธอ “นิตยสาร Idol ติดต่อให้ฉันไปถ่ายแบบ ขึ้นปกฉบับพิเศษครบรอบ 5 ปีของเขา นายต้องช่วยฉันนะ”
“จะให้ช่วยยังไง ขับรถไปส่งคุณเหรอ”
“ใช่ ขับรถ แค่ชั่วโมงเดียว นะๆ พรุ่งนี้นายมารับฉันที่นี่เก้าโมง ขอบคุณมาก นายนี่เป็นคนดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอเลย...จริงๆ นะ”
พฤกษ์มองสุดาวดีแล้วส่ายหน้าด้วยความระอาก่อนจะถอนใจเฮือกใหญ่
ดาวเรืองกับจินตวัฒน์แหวกพงหญ้าที่สูงท่วมหัวออกมาเรื่อยๆ จนสุดแนว แล้วทั้งคู่ก็ต้องผงะ ตกใจเมื่อเห็นลูกน้องของกำพลที่แต่งตัวด้วยชุดดำทะมัดทะแมงกำลังถือปืนยาวเดินลาดตระเวนอยู่ 6 คน หนึ่งในนั้นจูงหมาตัวใหญ่ตรวจตามแนวป่ายาวและกว้างสุดลูกหูลูกตา
ดาวเรืองกับจินตวัฒน์รีบผลุบกลับเข้ามาซ่อนตัวเพื่อตั้งสติในพงหญ้า ก่อนจะหันกลับไปแหวกพงหญ้าแอบดูสถานการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง
ดาวเรืองอึ้ง “นี่มันตัดมาถึงทิศใต้แล้วเหรอเนี่ย เมื่อ 2 ปีก่อนตอนฉันขึ้นมาต้มเหล้าแถวนี้ มันยังตัดกันแค่ทางเหนืออยู่เลย แป๊บเดียวลามมาถึงนี่แล้ว เลวจริงๆ”
“พวกนั้นมีอาวุธครบมือแบบนี้ เราคงฝ่าเข้าไปไม่ได้แน่...”
จินตวัฒน์คิดนิดหนึ่งก่อนจะหยิบกล้องถ่ายรูปออกมา
“ยังไงก็ต้องถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน”
จินตวัฒน์ยกกล้องขึ้นถ่ายรูป ด้วยความที่ยังไม่ได้เทสต์กล้องแสงแฟลชจึงวาบขึ้น
หมาที่ลูกน้องกำพลจูงอยู่หันมาเห็นก็เห่าขู่แล้ววิ่งลากคนจูงให้หันมาทางพงหญ้าที่จินตวัฒน์กับดาวเรืองซ่อนตัวอยู่ จินตวัฒน์กับดาวเรืองหน้าเครียดเมื่อได้ยินทั้งเสียงคน เสียงปืนขู่ และเสียงหมาเห่าใกล้เข้ามา ทั้งสองคนสบตากันแล้วพากันวิ่งเตลิดออกมาโดยไม่ต้องนัดแนะอะไรทั้งสิ้น
จินตวัฒน์กับดาวเรืองวิ่งหน้าตั้งลงเนินมาจนสุดปลายเนิน แล้วทั้งคู่ก็ทิ้งตัวลงนั่งลิ้นห้อยหมดแรงที่ใต้ต้นไม้ใหญ่
“เจองูไล่งาบ เจอหมาไล่ฟัด เจอโจรไล่ยิง...ที่สุดของความซวยแล้ววันนี้ ยังจะมีที่สุดกว่านี้อีกมั้ย”
สิ้นประโยคดาวเรือง รถกระบะคันหนึ่งก็แล่นมาตามทางลูกรัง
จินตวัฒน์หันไปมอง “น่าจะมี”
จินตวัฒน์ดึงดาวเรืองไปหลบหลังต้นไม้ด้วยกัน รถกระบะแล่นมาจอดที่ตีนเขา ชาติกับศักดิ์นั่งมาข้างหน้าพร้อมคนขับรถ ด้านหลังบรรทุกคนงานต่างด้าวมาแน่นเอี้ยด ส่วนท้ายรถกระบะมีมือปืนหน้าเหี้ยมสองคนนั่งคุ้มกันมาด้วย ชาติกับศักดิ์ลงจากรถ
“ลงตรงนี้เว้ย รถขึ้นเขาไม่ได้ ต้องเดินเท้าเข้าไป” ชาติบอก
มือปืนคนหนึ่งหันไปตะโกนถ่ายทอดคำสั่งเป็นภาษาเขมรให้พวกแรงงานต่างด้าวฟัง มือปืนทั้งสองต้อนคนงานลงจากรถ ชาติกับศักดิ์เดินนำกลุ่มคนงานเข้าไปในป่า โดยมีมือปืนเดินปิดท้าย คนขับรถถอยรถแล้วขับออกไป จินตวัฒน์กับดาวเรืองจับตาดูเหตุการณ์
จินตวัฒน์หันไปถามดาวเรือง “แรงงานเถื่อน?”
ดาวเรืองพยักหน้า
ผันนั่งเป็นประธานที่หัวโต๊ะประชุมกรรมการหมู่บ้าน คณะกรรมการรอบโต๊ะได้แก่ บานชื่น เวียง บุญปลีก บุญปลอด ไสว และคณะกรรมการหมู่บ้านอาวุโสอีก 3 คน
ผันมีท่าทีเศร้าสลดและพูดเป็นทางการกว่าทุกครั้ง “ที่กำนันเทิ้มเสียไป เราทุกคนก็เสียใจไม่น้อย...ฉันเองก็รู้สึกไม่ต่างจากทุกคน”
ผันหยุดพูดเหมือนกับว่ากำลังสะกดกลั้นความสะเทือนใจ บุญปลีก บุญปลอด และไสวหยิบผ้าเช็ดหน้ามาทำเป็นซับน้ำตา เวียงจับมือผันให้กำลังใจให้พูดต่อราวกับสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของอเมริกา
ผันพูดอย่างเอาจริงเอาจังขึ้นมา “แต่ภารกิจของชาติสำคัญมากกว่าความรู้สึกส่วนตัว ตำบลของเราจะหยุดพัฒนาไม่ได้! ในเมื่อตอนนี้ตำแหน่งกำนันว่างลง ฉันจะขออาสาเป็นตัวแทนหมู่บ้านเราเข้าชิงตำแหน่งกำนันแข่งกับอีก 6 หมู่บ้าน ดอนล้อมแรดของเราจะต้องลุกขึ้นมาเป็นผู้นำ!!”
บุญปลีก บุญปลอด และไสวหายเศร้าเป็นปลิดทิ้งแล้วชูมือขวา “เย้..เย้..เย้”
ผันฮึกเหิม “ถ้าฉันได้เป็นกำนัน ฉันจะพลิกโฉมตำบลของเราให้โดดเด่นที่สุดในอำเภอ ตำบลของเราจะต้องเป็นที่รู้จักไปทั่วจังหวัด ทั่วประเทศ และทั่วโลก...ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ยุโรป และอเมริกา องค์การค้าโลก องค์การนาซ่าจะต้องหันมามองดอนล้อมแรดของเรา!”
บุญปลีก บุญปลอด และไสวชูมือขวา “เย้ๆๆ!”
เวียงกับไสวจ้องผันตาวิ้งๆ อย่างปลาบปลื้มในวิสัยทัศน์อันเลอเลิศของสามี
บานชื่นแอบกัด “ตำแหน่งกำนันมันมีบทบาทขนาดนี้เลยเหรอวะ ตกลงผู้ใหญ่จะลงสมัครเป็นกำนันหรือเป็นนายกกันแน่”
ผันกวาดตามองรอบโต๊ะประชุมก็เห็นคณะกรรมการคนอื่นๆ หาวหวอดๆ ส่วนบางคนก็สัปหงก
ดาวเรืองที่กำลังดูดน้ำแดงถึงกับกระแทกแก้วลงบนโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์
“ขืนปล่อยให้พวกโจรห้าร้อยครองเมืองแบบนี้ ประเทศชาติได้ล่มจมแน่!”
จินตวัฒน์ที่กำลังดื่มกาแฟเย็น บานชื่นที่กำลังเด็ดผัก และเพี้ยนที่กำลังทำการบ้านสะดุ้งตกใจพร้อมกัน
“ไม่เลวร้ายขนาดนั้นมั้ง...ไอ้เรือง” บานชื่นว่า
“แม่ก็เห็น..ว่ามันเป็นลิ่วล้อไอ้เสี่ยกำพล ในเมื่อลูกพี่มันเลวขนาดนั้น ลูกน้องมันก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ ขนาดมีกำนันเทิ้มเป็นก้างขวางคอ ไอ้เสี่ยมันยังเขมือบตำบลของเราได้ตามอำเภอใจ ถ้าผู้ใหญ่ผันได้เป็นกำนันเมื่อไหร่ ก็เท่ากับเรายกตำบลนี้ให้ไอ้เสี่ยไปแล้ว”
จินตวัฒน์พูด “ฉันว่าเธออย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลยดาวเรือง ถึงผู้ใหญ่ผันอยากจะเป็นกำนันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นได้เลยซะเมื่อไหร่ ยังต้องให้ผู้ใหญ่บ้านที่เหลือลงคะแนนเลือกเขาอีกนะ”
“ปลัดคิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะทำได้บริสุทธิ์ผุดผ่องงั้นเหรอ อยู่มาจนป่านนี้ก็น่าจะรู้นะว่าบ้านเราซื้อเสียงกันจนเป็นเรื่องปกติ ผู้ใหญ่ผันมีเสี่ยกำพลหนุนหลังก็เท่ากับมีทั้งอิทธิพลและอำนาจเงินที่จะทำให้ผู้ใหญ่บ้านที่เหลือเลือกมันอยู่แล้ว”
“ลงแบบนี้แล้วพี่เรืองจะทำยังไงล่ะ” เพี้ยนถาม
ดาวเรืองประกาศกร้าว “ตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้ แต่ที่รู้ คือข้าจะทำทุกอย่างไม่ให้คนชั่วมันครองเมือง”
พอประกาศเจตนารมณ์เสร็จดาวเรืองก็หันมาหาบานชื่นแล้วก็พบว่าบานชื่นนั่งจ้องเธอตาไม่กะพริบ
“ทึ่งกับความคิดและอุดมการณ์ของฉันล่ะสิแม่” ดาวเรืองถาม
“เออ...นั่นก็ส่วนหนึ่ง...แต่ข้ากำลังสงสัยมากกว่า” บานชื่นบอก
“สงสัยอะไร”
“เอ็งไปเอาเสื้อใครมาใส่วะ ตัวโคร่งขนาดนั้น ยังกะเสื้อผู้ชาย”
“นั่นดิ...ว่าจะถามอยู่เหมือนกัน เสื้อใครอะพี่เรือง” เพี้ยนถาม
ดาวเรืองกับจินตวัฒน์แอบเหล่มองกัน แล้วดาวเรืองก็ลุกขึ้นเดินชิ่งออกมาก่อนจะหน้าแดงซ่านจนทุกคนสังเกตเห็น บานชื่นกับเพี้ยนมองตามไปอย่างงงๆ ในขณะที่จินตวัฒน์แอบยิ้ม
ดาวเรืองกับบานชื่นกำลังเลือกซื้อผักอยู่ที่แผง ผันเดินทักทายชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมา โดยมีเวียง บุญปลีก บุญปลอด และไสว ตามหลังมาเป็นขบวน ทั้งหมดคอยยกมือไหว้คนโน้นคนนี้ตามผันยังกับกำลังฝึกทหารเกณฑ์
“หวัดดีจ้ะ แม่สร้อยอยู่ดอนล้อมวัวใช่มั้ย ฝากไปบอกผู้ใหญ่ลีด้วยนะว่าฉัน..ผู้ใหญ่ผัน ขยันสอย ยินดีทำงานเพื่อตำบลของเรา” ผันบอก
“ตำบลเราไม่มีสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งมานานแล้ว ตอนนี้ฉันพร้อมจะทำหน้าที่นั้นเพื่อแม่บ้านในตำบลเราแล้วจ้ะ” เวียงว่า
“ถ้าพี่ผันได้เป็นกำนัน ฉันจะเปิดร้านให้ซดยาดองฟรีๆ 3 วัน 3 คืนนะจ๊ะทุกคน” ไสวบอก
ชาวบ้านคนหนึ่งเดินผ่านมา
“อ้าว เจ้ายอด เอ็งอยู่บ้านไหนนะ” ผันถาม
บุญปลอดกระซิบผัน “คนดอนล้อมหมีจ้ะ”
“อ้าว เรอะ ไม่เป็นไร จะไปธุระไหนก็ไปเถอะ” ผันว่า ยอดเดินไป “ฮ่าๆ ยังไงผู้ใหญ่ไฝบ้านดอนล้อมหมีก็ต้องเลือกข้าอยู่แล้ว”
บุญปลีกสนับสนุน “จ้า...ลุงฉันไม่เลือกพี่แล้วจะเลือกใครล่ะจ๊ะ”
ดาวเรืองมองกลุ่มของผันที่หาเสียงกับชาวบ้านอย่างหมั่นไส้
“ผู้ใหญ่บ้านคนอื่นเขายังไม่ได้ขยับอะไรเล้ยย... ผู้ใหญ่ผันเสนอหน้ายังกับเป็นกำนันแล้วงั้นแหละ” ดาวเรืองว่า
ผันเดินเข้าไปสู่วงล้อมชาวบ้านกองเชียร์ที่ตัวเองจ้างมา ชาวบ้านมอบดอกกุหลาบและพวงมาลัยให้ผัน ผันทักทายจับไม้จับมือทุกคน ชาวบ้านชูป้ายกระดาษแข็งเขียนว่า “ให้กำลังใจผู้ใหญ่ผัน” / “เรารักผัน คนดีแห่งดอนล้อมแรด” ฯลฯ
ผันพูดเสียงดัง “ฝากไปบอกผู้ใหญ่บ้านพวกเอ็งด้วยนะว่า วันนี้ผู้ใหญ่ผันมาเยี่ยม ฉันมีความตั้งใจอยากจะทำงานเพื่อส่วนรวมจริงๆ ช่วยให้โอกาสคนดีได้รับใช้ตำบลเราและพัฒนาประเทศชาติด้วยนะ”
กลุ่มชาวบ้านหน้าม้าส่งเสียงเฮและปรบมือชื่นชมผันเป็นการใหญ่ บานชื่นจ่ายเงินให้แม่ค้าผัก ดาวเรืองหิ้วผักเดินตามแม่แต่ยังเหลียวมองผันไม่วางตา
“แบบนี้มันผิดกฎหมายเลือกตั้งรึเปล่าเนี่ย” ดาวเรืองสงสัย
“ไม่ผิดมั้ง ข้าเคยดูในทีวี ถ้าจ้างมาน่ะผิด แต่ไอ้พวกนั้นมันคงมาเพราะรักชอบผู้ใหญ่ผันจริงๆ มั้ง” บานชื่นบอก
“รักชอบเหรอ ตั้งแต่มันเป็นผู้ใหญ่บ้าน ฉันไม่เคยเห็นมันทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับชาวบ้านจริงๆ จังๆ สักที ใครเอาดอกไม้ไปให้มันฟรีๆ ก็บ้าแล้ว”
หน้าม้าบางคนหยิบมือถือออกมาถ่ายรูปผันและขอถ่ายรูปคู่ราวกับผันเป็นซุปเปอร์สตาร์ เมียๆ ผันปลาบปลื้มในความฮอตของผัว
ดาวเรืองกับบานชื่นวางถุงผักที่ซื้อมาในซาเล้ง
เสียงกรอดดังขึ้น “ทางนี้ๆ !”
ดาวเรืองได้ยินเสียงเอะอะจึงหันไปมอง แล้วย่องไปแอบดู บานชื่นย่องตามหลังดาวเรืองอีกที กรอดเดินนำกลุ่มหน้าม้ากองเชียร์ของผันไปที่มุมเปลี่ยวหลังตลาดใกล้ที่จอดรถซึ่งสุวรรณกับแหลมรออยู่ที่นั่น กลุ่มหน้าม้าไปรุมล้อมสุวรรณ สุวรรณหยิบแบงก์ 50 ขึ้นมาแจกทีละคน
“ได้เงินแล้วก็รีบไป” แหลมบอก
“ใกล้ๆ วันเลือกตั้ง ข้าจะเรียกพวกเอ็งอีกทีนะ” สุวรรณบอก
ดาวเรืองที่แอบมองอยู่ยิ้มเยาะแล้วหันไปหาแม่
“เห็นมั้ยแม่ ฉันบอกแม่แล้ว! ใครจะไปยืนเชียร์มันฟรีๆ”
กลุ่มหน้าม้าทยอยเดินออกไปพร้อมๆ กับดาวเรืองและบานชื่น
ดาวเรืองเดินกลับมาที่รถซาเล้ง บานชื่นเดินตามมา สุวรรณ แหลม และกรอดเห็นดาวเรืองก็เดินกางแขนถ่างขาเป็นนักเลงภูธรเข้ามาหา
“หวัดดีแม่บาน หวัดดีน้องเรือง ซื้อของเสร็จยังเนี่ย” สุวรรณถาม
“มีตาก็ดูเองสิวะว่าเสร็จรึยัง” บานชื่นสวน
“แหม...เสียดายจริงๆ ที่พี่วรรณลูกกำนันผันมารับใช้ว่าที่เมียกับว่าที่แม่ยายไม่ทัน โอกาสหน้ามีเรื่องเดือดร้อนอะไร เรียกพี่วรรณ ลูกกำนันผันนะจ๊ะ ยินดีรับใช้แม่บานกับน้องเรืองตลอด 24 ชั่วโมงจ้ะ”
“ลูกกำนัน? เอ็งฝันไปรึเปล่า ถ้ายังไม่ตื่นข้าช่วยถีบให้ตื่นมั้ย” ดาวเรืองว่า
แหลมเป็นเดือดเป็นแค้นแทนลูกพี่ “ไอ้เรือง! ข้าเตือนไว้ก่อนนะเว้ย ถ้าอยากจะถีบพี่วรรณก็ให้รีบถีบซะเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นอีก 30 วัน พี่วรรณได้เป็นลูกกำนันแล้ว เอ็งจะมาลบหลู่ไม่ได้นะเว้ย”
“ถูก... เอ็งมีเวลาตัดสินใจอีกแค่ 30 วันเท่านั้นนะเว้ยไอ้เรือง” กรอดบอก
บานชื่นงง “ทำไมต้อง 30 วันวะ”
“ก็อีก 30 วันจะมีการเลือกตั้งกำนันใหม่แทนกำนันเทิ้มน่ะสิจ๊ะแม่บาน ถ้าพ่อฉันได้เป็นกำนันล่ะก็ ไอ้เรืองมันจะเสียใจนะถ้าไม่รีบตกลงปลงใจกับฉันตั้งแต่ตอนนี้” สุวรรณมั่นใจ
“ทำไมข้าต้องเสียใจ” ดาวเรืองถาม
“คิดดูนะเว้ย แค่ข้าหล่อรากแตกรากแตนอย่างเดียว สาวๆ ก็รุมจีบข้าหัวกระไดไม่แห้ง ถ้าพ่วงตำแหน่งลูกกำนันขึ้นมา จะมีสาวๆ แห่มารุมรักข้าขนาดไหน ถึงวันนั้นข้าก็ไม่แน่ใจนะ ว่ายังจะรักเอ็งอยู่รึเปล่า”
“ถ้าเอ็งไม่แต่งงานกับพี่วรรณซะวันนี้พรุ่งนี้ เอ็งจะน้ำตาเช็ดหัวเข่านะเว้ย” แหลมว่า
“ใช่ ตำแหน่งลูกสะใภ้กำนันมันเท่น้อยซะเมื่อไหร่” กรอดบอก
“ต่อให้เอ็งเป็นลูกนายก ข้าก็ไม่คิดจะยกลูกสาวให้เอ็ง” บานชื่นว่า
“ทำไมพูดยังงี้ล่ะจ๊ะว่าที่แม่ยาย” สุวรรณถาม
ดาวเรืองตอกหน้า “เพราะแม่ข้ากลัวหลานจะเกิดมาปัญญาอ่อนเหมือนเอ็งน่ะสิ”
ดาวเรืองพูดจบก็สตาร์ทรถ บานชื่นขึ้นซ้อนท้ายแล้วสองแม่ลูกก็พากันออกไป สุวรรณมองตามอย่างเจ็บใจ
รถของสุดาวดีแล่นเข้ามาจอด พฤกษ์ลงจากรถแล้วเดินอ้อมมาเปิดประตูให้สุดาวดี สุดาวดีเกาะแขนพฤกษ์แล้วก้าวลงมา
พฤกษ์ส่งกุญแจคืนให้สุดาวดี “หมดธุระผมแล้ว คุณเข้าไปข้างในเองนะ”
สุดาวดีเริ่มแผน 2 “คือ...ฉันมีกระเป๋าเสื้อผ้าใบเบ้อเริ่ม กับรองเท้าอีกตั้ง 4-5 คู่ที่ท้ายรถอะ ฉันหิ้วคนเดียวไม่ไหว นายช่วยหิ้วเข้าไปให้หน่อยนะ”
“ทำไมคุณต้องขนสมบัติมาขนาดนี้ด้วย เขาไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ารองเท้าไว้ให้คุณเหรอ”
“ก็..เตรียม แต่แหม...ฉันต้องขึ้นปกนะ เกิดเสื้อผ้ามันไม่พอดีขึ้นมาก็ขายหน้าแย่สิ ไหนๆ นายก็อุตส่าห์ช่วยฉันแล้ว ก็ช่วยให้มันตลอดรอดฝั่งเถอะนะ”
สุดาวดีส่งกุญแจให้พฤกษ์เพื่อเปิดท้ายรถ พฤกษ์ถอนหายใจเฮือก
สุดาวดีเดินเข้ามาในห้อง พฤกษ์หิ้วเสื้อผ้าและกล่องรองเท้าตามมา
“สวัสดีค่ะพี่ต้อยติ่ง พี่ลูกเป็ด”
สไตลิสต์และช่างแต่งหน้าเก้งกวางชะงักแล้วมองพฤกษ์ตาเป็นมัน พฤกษ์ยิ้มและพยักหน้าทักทายทั้งคู่
พฤกษ์พูดกับสุดาวดี “วางไว้ตรงไหนครับ”
ลูกเป็ดกับต้อยติ่งรีบบอก “มา พี่จัดการเอง”
ลูกเป็ดกับต้อยติ่งเข้าไปรับของจากพฤกษ์แล้วถือโอกาสลามเลียด้วยสายตาพร้อมทั้งแตะเนื้อต้องตัว ลูบมือแตะแขน
สุดาวดีนั่งลงที่เก้าอี้ ลูกเป็ดขยับมาถามพร้อมอุปกรณ์แต่งหน้า
“ใครจ๊ะ น้องโรส”
สุดาวดีประกาศแผน 3 “ผู้จัดการส่วนตัวของโรสเองค่ะ ชื่อพฤกษ์”
ลูกเป็ดกับต้อยติ่งฮือฮา “อ๊าย!!”
พฤกษ์เหวอและพูดไม่ออก
“ต๊าย! ไปได้มาจากไหนจ๊ะน้องโรส นี่เป็นผู้จัดการที่หล่อที่สุดเท่าที่พี่เคยเห็นเลย งั้น..เดี๋ยวพี่เปลี่ยนคอนเซ็ปต์เลยดีกว่า ให้คู่ของน้องโรสกับผู้จัดการถ่ายแบบเซ็กซี่ๆ น้องพฤกษ์จะได้โชว์ซิกซ์แพ็กด้วย”
ลูกเป็ดถูกใจ “อ๊าย! เริ่ดดด...เอาแบบจัดเต็มเลยนะหล่อน”
พฤกษ์รู้สึกหน้าตึงจึงพยายามหาจังหวะแทรก “คุณโรส”
สุดาวดีไม่สนพฤกษ์ “ดูพี่สองคนจะเป็นเอามากนะคะ ถ้าโรสบอกความจริง จะเป็นการดับฝันพี่ๆ รึเปล่าเนี่ย”
ลูกเป็ดงง “อะไรยะ”
พฤกษ์หงุดหงิด “คุณโรส...”
“นายพฤกษ์...เอ๊ย พฤกษ์ซี่เขาอยู่ป่าเดียวกับพี่ๆ ค่ะ”
ต้อยติ่งรับไม่ได้ “กรี๊ดด... ไม่จริ๊ง... หล่อนทำลายสุขภาพจิตฉันแต่หัววันเลยนะยัยโรส อ๊าย ใจสลาย รับไม่ด้าย”
ต้อยติ่งกระทืบเท้าเดินออกไป
“รอด้วยสินังต้อย” ลูกเป็ดสะบัดหน้าใส่พฤกษ์ “หือ! รมณ์เสีย เป็นผู้ชายดีๆ ไม่ชอบ” ลูกเป็ดหันกลับมา “อ๊าย...เห็นแล้วเสียดายน้ำลายหก”
ลูกเป็ดวางพัฟและเก็บพู่กันก่อนจะลุกขึ้นตามต้อยติ่งออกจากห้องไป พฤกษ์หันมาขึงตาดุสุดาวดีด้วยความโกรธ
“คุณหลอกผมมาตั้งแต่ต้นใช่มั้ย คุณเอาความเห็นใจของผมมาหลอกใช้ผมงั้นเหรอ คุณเห็นผมเป็นอะไร!”
“ฉันอธิบายได้นะ คือ... ฉันจำเป็นจริงๆ”
พฤกษ์พูดเสียงเข้ม “ผมไม่ยอมให้คุณมัดมือชกหรอกนะ คุณก่อปัญหาเองก็ต้องแก้เอง ผมจะไม่ทำงานนี้กับคุณเด็ดขาด”
พฤกษ์เดินออกจากห้องไปอย่างโกรธๆ สุดาวดีหน้าเหวอและเครียดจนเส้นเลือดปูด
พฤกษ์เดินพรวดพราดจากห้องแต่งตัวออกไปทางหน้าสตูดิโอ สุดาวดีวิ่งตามออกมาอย่างลืมตัว ทำให้ข้อเท้าของเธอเจ็บแปล๊บขึ้นมาอีก
“พฤกษ์ โอ๊ย! นายพฤกษ์! ฟังฉันก่อน!”
ต้อยติ่ง ลูกเป็ด และช่างภาพที่กำลังคุยเรื่องคอนเซ็ปต์งานกันอยู่หันมามองคอยืดคอยาวเพราะอยากรู้อยากเห็นสุดๆ
พฤกษ์เดินออกไปนอกประตูสตูดิโอโดยสวนกับน้ำหวานและจัสมินที่เดินเข้ามา น้ำหวานมองตามพฤกษ์เพราะจำได้และแปลกใจที่เห็นพฤกษ์อีกครั้ง สุดาวดีเดินเขยกตามพฤกษ์มาแล้วก็ชะงักที่เจอน้ำหวาน
สุดาวดีอึดอัด “พี่น้ำหวาน?” สุดาวดีชะเง้อมองพฤกษ์ที่เดินลับตาไปแล้วเพราะอยากจะเดินตาม
น้ำหวานพูดแบบเชือดนิ่มๆ “ไงจ๊ะ ได้ข่าวว่าแขนขาเดาะ...สงสัยจะเป็นเพราะตกจากที่สูง”
“พี่น้ำหวานรับเงินห้าแสนไปแล้ว ก็น่าจะเลิกปากเสียกับโรสซะทีนะ อีกอย่างเราก็ทำสัญญาเลิกจ้างกันแล้ว จะมาตอแยโรสอีกทำไม”
“อู๊ย...เข้าใจอะไรผิดก็เข้าใจซะใหม่นะจ๊ะ ฉันไม่ได้มาดูแลเธอ ฉันมาในฐานะผู้จัดการส่วนตัวของจัสมิน นางแบบดาวรุ่งที่ฉันจะดันขึ้นมาแทนพวกรุ่นเก่าขี้เหวี่ยง ขี้วีน แถมไม่รู้จักบุญคุณคนอีกต่างหาก” น้ำหวานดันตัวจัสมินมาตรงหน้าสุดาวดี “จัสมินไหว้ป้าเขาสิลูก”
จัสมินในวัย 15 ไหว้สุดาวดี สุดาวดีรับไหว้พอเป็นพิธี
“ป้าเขาเข้าวงการก่อนหนูหลายปี ยังไงก็หายให้ทันงานเปิดตัวน้ำดื่มที่เธอแอบลักไก่ไปรับงานเองล่ะ ถ้าเจ้าของสินค้าเขารอนางแบบพิการอย่างเธอไม่ไหวมาติดต่อจัสมินไปแทน จะมาว่ากันไม่ได้นะ”
สุดาวดีอึ้งไปเล็กน้อย “พี่น้ำหวานคงต้องเช็ดน้ำหมากรอไปก่อนนะคะ มืออาชีพกับเด็กใหม่ งานมันต่างกันอยู่แล้ว เจ้าของสินค้าเขาคงไม่เสี่ยง”
“มันก็ไม่แน่ อย่าหลงตัวเองนักเลย มันหมดยุคของเธอแล้วโรส ใครๆ ก็อยากได้ของใหม่ สด ซิง มาแทนของปลดระวางทั้งนั้นล่ะ”
สุดาวดีโกรธ
อ่านต่อหน้าที่ 4
ดาวเรือง ตอนที่ 8 (ต่อ)
พฤกษ์เดินล้วงกระเป๋ากางเกงเตรียมเงินค่ารถเมล์ เขาหยิบเหรียญขึ้นมานับแล้วพบว่าเงินไม่พอ จึงตบกระเป๋าอีกข้าง พฤกษ์ล้วงกระเป๋าอีกข้างแล้วนึกขึ้นได้ว่าลืมคืนกุญแจรถให้สุดาวดี เขาดึงกุญแจรถออกมา
ต้อยติ่งกับลูกเป็ดเดินมาหาสุดาวดีกับน้ำหวาน ส่วนช่างภาพแยกเข้าสตูดิโอไปอีกทาง
“มัวมายืนเมาท์มอยอะไรตรงนี้ เข้าไปแต่งหน้าสิยะหล่อน” ต้อยติ่งว่า
ลูกเป็ดถามสุดาวดี “ผู้จัดการหล่อนล่ะ.. ไปไหนแล้ว”
สุดาวดีอึกอัก
น้ำหวานพูดแทน “เห็นโทรไปขอให้คนนั้นคนนี้เป็นผู้จัดการ แต่ก็โดนปฏิเสธไปหมดไม่ใช่เหรอ แล้วไปมีผู้จัดการกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ เรื่องเธอมันฉาวโฉ่ไปทั่ววงการ ใครจะอยากมาทำงานให้ดาราขาวีนแถมขี้โกงแบบเธอ!”
“อ้าว... ก็น้องพฤกษ์ซี่ไง” ต้อยติ่งบอก
“พฤกษ์ซี่ไหนคะ” น้ำหวานถาม
“ก็คนที่เดินออกไปตอนที่เธอสวนเข้ามาไงยะ”
น้ำหวานนึกอยู่ 2-3 วิ แล้วก็นึกออก “ผู้ชายคนนั้น...นั่นมันทนายฝึกหัดที่มาไกล่เกลี่ยคดีให้เธอนี่”
พฤกษ์เดินเข้ามาแล้วชะงักฟัง
“อ้าว...อะไรยังไงกันห๊า ! ตกลงน้องพฤกษ์ซี่เป็นใครกันยะ ไม่ใช่ผู้จัดการหล่อนเหรอโรส”ลูกเป็ดถาม
“โอ้โห... อยากถ่ายรูปขึ้นปกจนตัวสั่น ถึงกับอุปโลกน์ทนายมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวหลอกพี่ต้อยติ่งเลยเหรอเนี่ย!” น้ำหวานว่า
สุดาวดีหน้าซีดเพราะจนมุมและเถียงไม่ออก สุดท้ายเธอก็เดินกลับเข้าห้องแต่งตัวไปด้วยความอับอาย ต้องติ่งกับลูกเป็ดเดินตามสุดาวดีไปด้วยความรู้สึกโมโหที่ถูกหลอก ในขณะที่น้ำหวานรีบจูงมือจัสมินตามไปสังเกตการณ์ พฤกษ์มองตามทุกคนไป
สุดาวดีเปิดประตูห้องแต่งตัวเข้ามาแล้วจะงับปิด แต่ยังไม่ทันจะปิด ต้อยติ่ง ลูกเป็ด น้ำหวาน และจัสมินก็ตามเข้ามายืนล้อมเธอไว้
“เดี๋ยว!” ต้อยติ่งพูด “หล่อนก็รู้แต่แรกแล้วว่าคอนเซ็ปต์แฟชั่นฉบับนี้คือดารากับผู้จัดการ ฉันรู้ว่าหล่อนไม่พร้อมก็อุตส่าห์เปิดทางให้หล่อนไปถ่ายปกรับปีใหม่ แต่หล่อนก็ยืนยันนอนยันว่าแก้ปัญหาได้ เพราะหล่อนมีผู้จัดการใหม่แล้ว แล้วตอนนี้มันยังไงยะ”
“ก็คงเพราะอยากขึ้นปก Idol ฉบับครบรอบ 5 ปีน่ะซี้! ไอ้นิสัยชอบเหยียบหัวคนอื่นเพื่อเป็นที่หนึ่งตลอดนี่เมื่อไหร่จะหายสักทีห๊า!! ไม่เห็นหัวใครแบบนี้ มิน่า...ถึงได้ทะเลาะกับคนที่เขาปลุกปั้นหล่อนมา” ลูกเป็ดว่า
พฤกษ์เดินมายืนข้างประตูที่เปิดอ้าอยู่
น้ำหวานสะใจ “พี่ลูกเป็ดอย่าคุ้ยเรื่องอดีตมาต่อว่าเด็กมันเลยค่ะ ที่น้ำหวานช่วยเหลือน้องก็ไม่ได้ถือเป็นบุญคุณอะไร แค่เห็นใจที่โรสเป็นเด็กสู้ชีวิต ปากกัดตีนถีบตั้งแต่หนีออกจากบ้านที่ต่างจังหวัดมา”
สุดาวดีตัวเย็นเฉียบที่ถูกน้ำหวานแฉอดีต น้ำหวานซ่อนรอยยิ้มร้ายไว้บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเมตตา
“อ้าว!!! ก็ไหนหล่อนว่าหล่อนเป็นนักเรียนนอกไง” ลูกเป็ดว่า
“ก็นอกไง นอกเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล” ต้อยติ่งบอก
ทุกคนฮาครืน
น้ำหวานเสริม “ที่จบมาจากนอกจริงต้องนี่ค่ะ น้องจัสมิน...อิมพอร์ตมาจากอเมริกาสดๆ ซิงๆ ไม่มีย้อมแมว”
สุดาวดีทั้งเจ็บทั้งอายจนน้ำตาซึม น้ำหวานแอบกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างสะใจ
“ไม่ต้องเหยียบโรสให้จมดินขนาดนี้ก็ได้” สุดาวดีบอก
ต้อยติ่งแดกดันต่อ “อย่ามามาหยารัศมีอะไรแถวนี้นะ น้ำตาหล่อนน่ะสั่งได้ฉันรู้ ในเมื่อหล่อนไม่พร้อมจะขึ้นปกวันนี้ก็ให้คนที่พร้อมเขาทำงานก่อน”
น้ำหวานยังกัดไม่เลิก “ไม่มีผู้จัดการส่วนตัว มันก็โดดเดี่ยวเดียวดายอย่างนี้ล่ะ”
พฤกษ์เดินเข้ามาในห้องแต่งตัว
“ใครบอกครับว่าคุณโรสไม่มีผู้จัดการ”
ทุกคนหันขวับไปมองพฤกษ์เป็นตาเดียว
พฤกษ์พูดต่อ “ผมนี่แหละผู้จัดการคุณโรส”
“ไม่จริง นายเป็นทนายฝึกหัด..ฉันจำได้” น้ำหวานบอก
“แล้วมันผิดตรงไหนล่ะครับถ้าคุณโรสจะมีผู้จัดการเป็นทนายฝึกหัดน่ะ”
ต้อยติ่ง ลูกเป็ด และน้ำหวานมองหน้ากันไปมาว่าตกลงใครตอแหลกันแน่ สุดาวดีมองพฤกษ์แล้วก็น้ำตาคลอด้วยความซึ้งใจ
ที่ร้านขายของชำ เจ๊กฮวดยื่นเงินให้ดาวเรือง 2,000 บาท
“งวดหน้าเอามาสักสิบโหลนะ”
ดาวเรืองรับเงินมานับ
“คงไม่ได้ขนาดหรอก มีใครสั่งไปอาบเหรอเฮีย” ดาวเรืองถาม
“ลื้อไปมุดหัวอยู่ที่ไหน อีกไม่กี่วันเขาจะเลือกตั้งกำนันกันแล้ว”
ดาวเรืองรู้ แต่แกล้งถามกวนๆ “แล้วไง พวกผู้ใหญ่บ้านเขามาสั่งเหล้าเฮียเลี้ยงซื้อเสียงกันรึไง”
“ใครจะมาสั่งเองให้ผิดกฎหมายวะ เขาก็สั่งลูกหลานญาติโยมมาสิเว้ย ใครจะสั่งก็ช่างมัน อั๊วขายทั้งนั้น เซ็งลี้ฮ้อ...555”
ดาวเรืองหน้านิ่ว “ไม่รับปากนะว่าจะได้ถึงสิบโหล”
“ใครๆ ก็ติดใจเหล้าลื้อทั้งนั้น เอาเป็นว่าอั๊วให้ลื้อเพิ่มโหลละ 200”
“จะพยายามต้มไป หนีไอ้จ่าแม่นไปละกัน ฉันไปล่ะ”
ดาวเรืองเดินออกไปทางหน้าร้านสวนกับผันที่เดินคุยกับกำพลเข้ามาในร้านอย่างสนิทสนมและไม่สนใจใคร ในขณะที่เจ๊กฮวดยกลังเหล้าไปเก็บหลังร้าน
“รีบสั่งเลยผู้ใหญ่ทั้งเหล้าทั้งบุหรี่..จะได้เริ่มแจกตั้งแต่เนิ่นๆ พอใกล้วันก็เต็มที่ไปเลย เท่าไหร่เท่ากันฉันออกให้ก่อน ขอให้ผู้ใหญ่ได้เป็นกำนัน..เรื่องค่าใช้จ่ายค่อยว่ากันทีหลัง” กำพลบอก
ผันยิ้มแก้มปริ เจ๊กฮวดได้ยินเสียงคนคุยกันจึงเดินออกมาหน้าร้าน
“สวัสดีครับเสี่ย” เจ๊กฮวดรีบเลียทันที “สวัสดีคร้าบ...กำนัน”
ผันหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ กำพลหน้าบาน ในขณะที่ดาวเรืองซึ่งแอบฟังอยู่ที่หน้าร้านยั๊วะสุดๆ
ดาวเรืองผลักประตูห้องเข้ามาดังโครมจนจินตวัฒน์ที่นั่งเซ็นเอกสารอยู่ตกใจ
“ทนไม่ไหวแล้วเว้ย!! คนบ้านนี้เมืองนี้เป็นอะไรกันไปหมด คนโฉดคนชั่วมันจะครองเมืองอยู่แล้ว ยังนั่งทำงานกันหน้าตาเฉย!”
“เธอหมายถึงใคร” จินตวัฒน์ถาม
“ก็ไอ้ผู้ใหญ่ผันกับไอ้เสี่ยกำพลน่ะสิ ไอ้เสี่ยต้องดันลิ่วล้ออย่างไอ้ผันขึ้นมาเป็นกำนันแน่ๆ ถ้าตำบลเรามีคนอย่างไอ้ผันเป็นกำนัน ประเทศชาติจะเป็นยังไง โว้ย! ไม่อยากจะคิด”
“แล้วเธอจะทำยังไง จะไปพูดกับผู้ใหญ่อีก 6 หมู่บ้านที่มีสิทธิ์ลงคะแนนงั้นเหรอ ใครเขาจะเชื่อเด็กแว๊นอย่างเธอล่ะ”
“ก็รู้ไงถึงได้มาหา ปลัดฉลาด...ก็ช่วยกันคิดหน่อยสิ”
“ในเมื่อเธอคิดว่าผู้ใหญ่ผันไม่ดี แถมยังมีผู้มีอิทธิพลอย่างเสี่ยกำพลหนุนหลัง เธอก็ต้องหาคนที่มีอิทธิพลต่อชาวบ้านมากกว่าหรือเท่ากับเสี่ยกำพลมาสู้”
“นั่นแหละปัญหา ตำบลนี้ใครมันจะมีอิทธิพลเท่ากับไอ้เสี่ยกำพลวะ”
ดาวเรืองเดินไปเดินมาอย่างใช้ความคิด
“ใครวะ...คิดไม่ออกโว้ย!”
ดาวเรืองเงยหน้าขึ้นทำให้เห็นข้างฝาตรงหน้ามียันต์สกรีนรูปหลวงตาคงแปะอยู่ ดาวเรืองมีแววตาเป็นประกายวิ้งๆ
ตุ๊กตากุมารทองดินเหนียวหลุดจากมือหลวงตาคงหล่นลงบนพื้นดังแผละ พร้อมๆ กับเสียงร้องลั่นของหลวงตาคง
“ข้าไม่อยากเป็นกำนัน!”
หลวงตาคงใจหายที่ตุ๊กตากุมารทองหล่นจึงรีบเก็บขึ้นมาปั้นให้เข้ารูปแล้วส่งให้ดาวเรือง ดาวเรืองหันไปบุ้ยใบ้ให้จินตวัฒน์มารับตุ๊กตากุมารทอง จินตวัฒน์เดินมารับและเอาตุ๊กตาไปเรียงกลางแจ้งที่มีตุ๊กตากุมารทองดินเหนียวเกือบ 10 ตัววางบนกระดาษหนังสือพิมพ์ตากแดดเรียงรายอยู่แล้ว ดาวเรืองนวดดินเหนียวแล้วส่งให้หลวงตาคงปั้นอีก
“ถึงหลงตาไม่อยาก แต่หลงตาจะขัดบัญชาสวรรค์ได้เหรอ คิดดูนะ..ในตำบลนี้ไม่มีใครหน้าไหนมีคนกราบไหว้บูชาเท่ากับหลงตา หลงตาเป็นผู้มีบารมีที่ฟ้าประทานมาให้พวกเรา หลงตาเกิดมาเพื่อปราบมาร..ดับทุกข์บำรุงสุขให้คนดอนพัฒนา”
หลวงตาคงภูมิใจแต่ทำเป็นขรึม “เว่อร์ไปแล้วไอ้เรือง”
“ไม่เว่อร์นะ ไปถามใครก็ได้...ในตำบลนี้ อำเภอนี้ จังหวัดนี้ ภูมิภาคนี้..ไม่มีใครไม่รู้จักหลงตาคง ผู้นำทางจิตวิญญาณของพวกเรา เพราะฉะนั้นหลงตานั่นแหละที่เหมาะจะเป็นผู้นำตำบลที่สุด”
หลวงตาคงปั้นไปพูดไป “สำหรับข้า..ยศฐาบรรดาศักดิ์เป็นแค่ของนอกกาย ข้าละเรื่องทางโลกแล้ว ไม่งั้นจะไปบวชทำไม แต่ที่ต้องลาสิกขามาก็เพราะคนมันชอบมาขอของดีนั่นนี่ ข้าก็เลยสึกออกมาทำเครื่องรางสอนคนไปเลย ดีกว่านุ่งห่มจีวรพระให้ศาสนาแปดเปื้อน ข้าอยากเป็นแค่ฆราวาสที่คิดดีทำดีเท่านั้น...ไม่เคยคิดมักใหญ่ใฝ่สูงเป็นกำนันกำนัยอะไรกับเขา”
จินตวัฒน์รับตุ๊กตากุมารที่หลวงตาปั้นเสร็จไปตากแล้วเดินกลับมา ดาวเรืองส่งดินเหนียวที่นวดแล้วให้หลวงตาคงอย่างเอาใจ
“สิ่งที่หลวงตาทำ แม้จะเป็นคนละเส้นทางกับพระครูจ้อย แต่ก็มีจุดหมายปลายทางเดียวกัน คือสั่งสอนให้ชาวบ้านเป็นคนดี...ไม่ใช่เหรอครับ แต่ถ้าคนดีๆ ต้องมาถูกครอบงำด้วยผู้นำที่ไม่ดี สิ่งที่หลวงตาทำมาตลอดก็จะสูญเปล่านะครับ” จินตวัฒน์พูด
หลวงตาคงนิ่งคิดว่ามันก็จริงอย่างที่จินตวัฒน์พูด
“หลงตาจะทนเห็นตำบลเราย่อยยับในช่วงอายุของหลงตาได้เหรอ ฉันทนไม่ได้จริงๆ นะ แค่เห็นผู้ใหญ่ผันกับไอ้วรรณกร่างไปทั่ว ฉันก็อดเป็นห่วงอนาคตตำบลเราไม่ได้ ไม่ใช่แค่นั้นนะ พอได้ยินไอ้วรรณมันคุยข่มหลงตาฉันยิ่งเป็นเดือดเป็นแค้นแทน!” ดาวเรืองบอก
จินตวัฒน์เงยหน้ามองดาวเรืองทันทีเพื่อรอฟังโดยที่ในใจรู้ว่าเป็นแผนปลุกปั่นของดาวเรือง
หลวงตาคงออกอาการ “หา! มันข่มข้าว่าไงวะ”
จินตวัฒน์รับลูกดาวเรือง “พอเถอะดาวเรือง เธอพูดไปหลวงตาจะไม่สบายใจเปล่าๆ กลับกันดีกว่า หลวงตาท่านละเรื่องทางโลกแล้ว เราอย่าไปกวนท่านเลย”
หลวงตาคงรีบบอก “ไม่เป็นไรคุณปลัด ให้ไอ้เรืองมันเล่าเถอะ การนินทากาเลเหมือนเทน้ำ แต่ถ้ารู้ไว้บ้างก็จะได้เอาไปปรับปรุงตัว ว่าไงไอ้เรือง ไอ้วรรณมันพูดอะไร”
“หลงตาอยากรู้จริงๆ เหรอ” ดาวเรืองถาม
“เออ!”
ดาวเรืองทำท่าไม่อยากเล่า “อย่าดีกว่า...”
“ถ้ามันแย่ขนาดนั้น เอ็งไม่ต้องเล่าก็ได้”
หลวงตาคงเดินหนีทำท่าตัดใจไม่ฟัง ดาวเรืองจึงรีบดึงมือไว้
“เล่าก็เล่า ไอ้วรรณมันอวดสรรพคุณพ่อมันไปทั่วตลาดว่าตอนหนุ่มๆ ใหญ่แค่ไหน เพราะถ้าพ่อมันไม่แน่ นักเลงเก่าบางคนคงไม่หนีไปบวช”
“ชะ! ไอ้วรรณ ไอ้เด็กเมื่อวานซืน ที่ข้าบวชก็เพราะไม่อยากยิงพ่อมันไส้ทะลุหรอกเว้ย ก็หมาตัวไหนที่มันแย่งสมบัติพ่อข้าไปหมด ไม่ใช่พ่อไอ้ผันปู่มันหรอกเรอะ ฝากระดานเรือนที่มันอยู่ตอนนี้ก็มรดกข้าทั้งนั้น เดี๋ยวปั๊ดยิงมันไส้แตกทั้งบ้านเลยนี่”
“อย่าพูดเรื่องมรดกเลยครับ มันหมดอายุความไปแล้ว ยังไงหลวงตาก็ทำอะไรไม่ได้” จินตวัฒน์บอก
“จริงของปลัด ไม่มีใครเขาสนหรอกว่าบ้านที่ผู้ใหญ่ผันอยู่เป็นสมบัติของหลงตา เขาสนกันแต่ว่าทุกวันนี้ใครใหญ่สุดในตำบล”
หลวงตาคงหมดความอดทน “มันจะใหญ่ที่ไหนไม่ว่า แต่อย่ามาใหญ่ที่นี่!”
ดาวเรืองทำหน้าซื่อ “แต่ถ้าผู้ใหญ่เขาเป็นกำนันขึ้นมา เขาก็ต้องใหญ่ที่นี่แน่”
“ข้าไม่ยอมเด็ดขาด!!”
จินตวัฒน์ชงให้ “แล้วหลวงตาจะทำยังไงล่ะครับ”
หลวงตาคงไม่ตอบแต่ยืนมองฟ้าด้วยแววตามุ่งมั่น จินตวัฒน์กับดาวเรืองสบตาและยิ้มให้กัน
พฤกษ์กับสุดาวดียืนโพสต์อยู่กลางฉาก โดยทั้งคู่แต่งตัวคอนเซ็ปต์สีดำ เรียบ เท่ และเซ็กซี่ ต้อยติ่งที่คอยจัดท่าให้ทั้งคู่แอบดี๊ด๊าที่ได้แตะเนื้อต้องตัวพฤกษ์ที่สวมเสื้อเชิ้ตปลดกระดุมโชว์แผงอก ลูกเป็ดยืนดูอยู่ห่างๆ พร้อมอุปกรณ์เติมหน้าและซับหน้าแต่ก็มองพฤกษ์ตาเป็นมัน
น้ำหวานกับจัสมินที่แต่งตัวคอนเซ็ปต์สีขาวบริสุทธิ์ ชุดฟูฟ่องสุดแสนอินโนเซนต์และดูเป็นนางฟ้า ออกจากห้องแต่งตัวมายืนเมาท์ต้อยติ่งกับลูกเป็ดที่เอาใจพฤกษ์จนออกนอกหน้า
น้ำหวานหมั่นไส้ “รู้ทั้งรู้ว่าพันธุ์เดียวกับตัวเองยังจะเอาใจกันอยู่ได้ เมื่อกี้เหวี่ยงนังโรสยังกับจะไม่เผาผี ผ่านไปชั่วโมงเดียวเอาใจผู้จัดการมันเหมือนจะคาบไปกินที่บ้านซะให้ได้”
ต้อยติ่งถอยออกมาโดยปล่อยให้ช่างภาพเก็บภาพสุดาวดีกับพฤกษ์ น้ำหวานเดินไปหาต้อยติ่ง ส่วนจัสมินตามน้ำหวาน
“ทำไมคู่นั้นได้ถ่าย...แบบว่า...แอบเซ็กซี่ล่ะคะพี่ต้อย แล้วทำไมของน้ำหวานกับจัสมินถึงได้ปิดหัวปิดหางปิดกลางตลอดตัวเป็นแม่ชียังงี้ล่ะคะ”
ต้อยติ่งขัดใจที่ถูกวิจารณ์ “หล่อนมีแผงอกโชว์แบบน้องพฤกษ์เขามั้ยล่ะ ฉันจะได้แหวกกระดุมตั้งแต่ต้นคอยันสะดือให้”
น้ำหวานรีบเอาใจ “น้ำหวานไม่ได้หมายความยังงั้นค่ะพี่ต้อย แต่แหม...จัสมินก็หุ่นเซี๊ยะ ผิวก็ดี น่าจะได้ใส่ชุดเซ็กซี่เรียกเรตติ้งให้หนังสือฉบับครบรอบวันเกิดได้นะคะ”
“ขอบใจย่ะ แค่นี้โฆษณาก็ล้นไปสามชาติแล้ว ถามจริงน้ำหวาน หล่อนจะรีบขายเด็กของหล่อนไปถึงไหนยะ เด็กมันเพิ่ง 14-15...อีก 2-3 ปีค่อยให้เซ็กซี่ มันก็ไม่มีอะไรยานหรอกนะ” ต้อยติ่งบอก
ต้อยติ่งเดินกลับไปหาสุดาวดีกับพฤกษ์โดยที่ปากก็บ่นไป
“โถ...ชะนีน้อยเพิ่งหัดโหน...จะให้มาเปิดผ้าเปิดผ่อน สิ้นคิดจริงๆ”
น้ำหวานได้ยินแล้วก็หน้างอ ก่อนจะจับตาดูต้อยติ่งกับลูกเป็ดวุ่นวายอยู่กับพฤกษ์กับสุดาวดีด้วยความหมั่นไส้
กระดานบนฝาบ้านของผัน มีตัวหนังสือเขียนด้วยชอล์ก ดังนี้
ตำบลดอนพัฒนา
หมู่ 1 ดอนล้อมแรดผู้ใหญ่ผัน
หมู่ 2 ดอนล้อมช้างกำนันเทิ้ม
หมู่ 3 ดอนล้อมควายผู้ใหญ่วงศ์
หมู่ 4 ดอนล้อมหมีผู้ใหญ่ไฝ
หมู่ 5 ดอนล้อมเก้งผู้ใหญ่หาญ
หมู่ 6 ดอนล้อมวัวผู้ใหญ่ลี
หมู่ 7 ดอนล้อมหมูผู้ใหญ่เดช
ผันยืนเคร่งขรึมอยู่หน้ากระดาน บรรดาเมียๆ สุวรรณ กรอด แหลม และเสมอใจนั่งจ้องผันหน้าสลอนเหมือนนักฟุตบอลรอฟังผู้จัดการทีมวางแผน
ผันบรรยาย “ตำบลดอนพัฒนามี 7 หมู่บ้าน คือ ดอนล้อมแรด ดอนล้อมช้าง ดอนล้อมควาย ดอนล้อมหมี ดอนล้อมเก้ง ดอนล้อมวัว แล้วก็ดอนล้อมหมู ตอนนี้ข้ามี 3 คะแนนแล้วแน่ๆ จากตัวข้าเอง พี่ชายแม่เวียง..ผู้ใหญ่วงศ์บ้านดอนล้อมควาย”
เวียงที่โบกพัดให้ตัวเองอยู่หยุดพัดแล้วยิ้มรับเชิดๆ
ผันพูดต่อ “แล้วก็จากผู้ใหญ่ไฝบ้านดอนล้อมหมี”
บุญปลีกกับบุญปลอดชูไม้ชูมือด้วยความภูมิใจ “ลุงฉันเองจ้า”
“ขาดอีกเสียงเดียว ข้าก็จะชนะ 4 ต่อ 3 ตำแหน่งกำนันต้องตกเป็นของข้า” ผันว่า
“ตำแหน่งคุณนายที่หนึ่งก็คือฉัน” เวียงบอก
บุญปลีกพูดต่อ “ฉันคุณนายที่ 2”
“ฉัน 3” บุญปลอดบอก
เมีย 7-8-9 บอกตำแหน่งของตัวเองเซ็งแซ่ “ฉันคุณนายที่ 7 / 8 / 9”
ไสวหัวเราะ “ส่วนฉัน...คุณนายที่ 10”
บุญปลีก บุญปลอด และเมีย 7-8-9 ร้องพร้อมกัน“แหวะ!”
“เงียบโว้ยคุณนายทั้งหลาย ฉะนั้นอีก 1 เสียงที่ข้าต้องการจะต้องมาจากดอนล้อมช้าง ดอนล้อมเก้ง ดอนล้อมวัว หรือไม่ก็ดอนล้อมหมู” ผันว่า
“พอกำนันเทิ้มตาย ตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านดอนลอมช้างก็ว่าง แล้วเท่าที่หนูดูๆ ก็ไม่เห็นแววว่าใครจะขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่แทนกำนันเทิ้มได้” สุวรรณบอก
“สักพักก็คงต้องเอาหมูหมากาไก่ขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ล่ะมั้ง” แหลมแสดงความเห็น
“เออว่ะ ผู้ใหญ่หมู...หมูในอวย 5555” สุวรรณหัวเราะ
ผันหัวเราะชอบใจตามลูกและเมียๆ
“ลากมาเข้าพวกกับเราไม่ยากร้อก... เชื่อหนูสิพ่อ”
“แสดงว่าเอ็งไปสืบมาแล้วใช่มั้ยไอ้วรรณ” เสมอใจถาม
กรอดกระหยิ่มยิ้มย่อง “ถูก... อีกไม่กี่วันพี่สุวรรณได้เป็นลูกกำนันใสๆ”
เสมอใจมองสุวรรณตาวิ้งๆ “ข้ารักคนไม่ผิดจริงๆ”
สุวรรณถลึงตาใส่เสมอใจ ทุกคนส่ายหน้าระอากับรักที่ออกนอกหน้าของเสมอใจ
หลวงตาคงนั่งพร้อมกับพูด
“ว่ามา..ข้าต้องทำอะไรบ้าง”
“หลงตาต้องลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านดอนล้อมช้างที่ยังว่างอยู่ เพราะหลงตาเกิดที่นั่น มีทะเบียนบ้านอยู่ที่นั่น” ดาวเรืองบอก
“ทางผมก็จะประสานงานกับนายอำเภอให้จัดการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านให้เร็วที่สุด” จินตวัฒน์เสริม
“แต่จะมีคนมาเลือกข้าเหร๊อ” หลวงตาคงไม่มั่นใจ
“โธ่... ถ้าชาวบ้านไม่เลือกผู้นำทางจิตวิญญาณอย่างหลงตาแล้วจะเลือกใคร” ดาวเรืองบอก
“เออ ถ้าข้าลงสมัครแล้วไม่มีใครเลือก ก็อย่ามาด่ากันนะโว้ย”
จินตวัฒน์กับดาวเรืองหันมายิ้มให้กัน
พฤกษ์สวมเสื้อกั๊กโชว์หุ่นฟิตแอนด์เฟิร์มโพสท่าคู่กับสุดาวดี พฤกษ์มีท่าทางขัดเขินกับการแต่งตัวของตัวเองอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่สุดาวดีโพสท่าเป็นมืออาชีพมากๆ ช่างภาพกดชัตเตอร์ตลอดเวลา ต้อยติ่งยืนคุมงานหลังช่างภาพด้วยท่าทางแฮปปี้และแอบหันมากรี๊ดกับลูกเป็ดเป็นระยะ
“เอาล่ะ ทีนี้พี่อยากให้น้องพฤกษ์ช่วยถอดเสื้อกั๊กโชว์ซิกซ์แพ็กหน่อยจ้ะ”
“อะไรนะครับ”
พฤกษ์อึ้ง สุดาวดีชำเลืองมองพฤกษ์
“มีของฟิตๆ เฟิร์มๆ ขนาดนี้ก็ต้องโชว์กันหน่อย..จริงมะ” ลูกเป็ดบอก
พฤกษ์ละล้าละลัง “เอ่อ...”
สุดาวดีขยับเข้าใกล้พฤกษ์แล้วแอบกระซิบอย่างเห็นใจเขา
“ถ้านายไม่สบายใจ ฉันจะบอกพี่ต้อยติ่งให้ว่าพอแค่นี้ ถ้าพี่เขาโกรธ ไม่เอารูปฉันขึ้นปก..ฉันก็ไม่สนแล้วล่ะ แค่นี้นายก็ช่วยฉันมากพอแล้ว”
ต้อยติ่งเริ่มหงุดหงิด “เอ้า!!!...คุยอะไรกัน...จะถอดไม่ถอด”
พฤกษ์มองสุดาวดี สุดาวดีพยักหน้าให้พฤกษ์อย่างจะสื่อความหมายว่าไม่ต้องห่วงเธอ พฤกษ์ลังเลเล็กน้อยก่อนจะถอดเสื้อกั๊ก สุดาวดีอึ้ง ต้อยติ่งกับลูกเป็ดตาค้าง ต้อยติ่งรีบเข้ามารับเสื้อแล้วเอามือหลอกแตะแผงอกของพฤกษ์
“หือ... แผ่กว้างยังกะปลากระเบน” ต้อยติ่งตัดใจเดินกลับมายืนข้างช่างภาพ
“หน้ามันแล้ว ซับหน้าหน่อยนะจ๊ะ”
ลูกเป็ดกระโจนเข้าไปหาพฤกษ์ แล้วใช้มือซับหน้าแต่ตามองกล้ามจนแทบจะถลนออกมานอกเบ้า จากนั้นก็เริ่มลามลงมาซับตามซอกคอ
“ซับหน้า ไม่ใช่ซับกล้าม! ออกมาได้แล้วนังลูกเปรต” ต้อยติ่งว่า
ลูกเป็ดยอมถอยออกมาแต่ก็บ่นกระปอดกระแปด “ไม่ใช่ของตัวเองซะหน่อย ทำหวง”
“โรส หล่อนขยับเข้าไปใกล้น้องพฤกษ์อีกนิดสิยะ” ต้อยติ่งสั่ง
สุดาวดีขยับเข้าใกล้พฤกษ์
สุดาวดีกระซิบเบาๆ โดยปากแทบไม่ขยับและตายังมองกล้อง “ขอบคุณนะ”
จบตอนที่ 8