วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 18
ที่ห้องเหม่ยอิง เหม่ยอิงจ้องสู้ตาทุกคนอย่างไม่มีความสลดทุกคนมอง รอคำตอบ
“หนี? ใครว่าหนูจะหนี ทำไมหนูต้องหนี”
“ก็ลูกไปทำอะไรมา ทำไมลูกต้องทำยังกับว่าจะหนีออกจากบ้าน แล้วอาจจะหนีไปต่างประเทศด้วย ใช่ไหม”
“แม่อย่ามาใส่ความหนูนะ หนูก็แค่จะไปเที่ยวไปพักผ่อนบ้างแค่นั้น”
“ย่องกลับบ้านมา ไม่ให้คนเห็นตอนเช้ามืด แล้วมาขนของ แถมยังโกยเครื่องเพชรไปหมดตู้เนี่ยนะ ไปเที่ยวพักผ่อน แล้วนั่นมีทั้งของๆ จ้าวไทไทที่ยืมมา แล้วมีทองคำของแม่กับพวกของแต่งตัวหนูที่ฝากไว้ในเซฟนี้ด้วยนี่นา ใช่ไหมคะแม่ ทองพวกนั้นของแม่ หนูรู้ นี่พี่จะขโมยของพวกเราเหรอ”
“อีผิงอัน หุบปาก”
“ทำแบบนี้มันก็ไม่ต่างอะไรกับโจรหรอก”
เหม่ยอิงเดินเข้าไป แล้วแย่งปืนจากผิงอันมา โยนทิ้งไปทางนึง ก่อนจะตบหน้าผิงอันอย่างแรง จนผิงอันทรุดลงไป แม่สี่รีบเข้าไปประคอง
“ซายหมุย”
“เล่นปืนกับชั้นเหรอ นังเด็กโง่ ฉันจะเป็นขโมยก็เรื่องของฉัน แกก็ไปแจ้งความเอาเองแล้วกันว่าฉันขโมยอะไรของบ้านนี้ไปบ้าง เอ่อ...แล้วก็อย่าลืมแจ้งข้อหาว่าโดนฉันทำร้ายร่างกายด้วยนะ”
เหม่ยอิงจะเดินออกไป แม่สี่เข้ามาขวางไว้
“เหม่ยอิง ลูกจะไปไหน”
“ฉันจะไปไหนก็ไม่เกี่ยวกับใคร หลีกไป”
เหม่ยอิงเดินกระแทกไหล่แม่สี่ ขนสมบัติทั้งหมดออกไปจากห้อง ทุกคนมองตาม แม่สี่ร้องไห้ ผิงอันมองตามเหม่ยอิงที่เดินออกไป จับแก้มด้วยความเจ็บปวด มองแบบเกลียดแค้นพี่สาวของตน
เหม่ยอิงลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่และถือกระเป๋าของมีค่ามาถึงรถที่จอดแอบข้างตึก จัดแจงรีบเปิดท้าย ยกของใส่รถอย่างทุลักทุเลเพราะหนักมาก หลังจากเอาของเข้าท้ายเสร็จ ปิดกระโปรงหลังลง ยืนหอบๆ พักเหนื่อยนิดนึง แล้วสูดลมหายใจลึก รวบรวมพลังเดินไปเปิดรถ จะไปอยู่แล้ว จังหวะนั้นอากงเดินหนีมาตามทางในสวนโดยมีบราลีเดินตาม
“อะไรนะคะ อากง คุณชายโทมาบอกอากงตั้งแต่เมื่อคืน แต่อากงไม่บอกหนู”
“เปล่า ก็คุณหนูขึ้นนอนแล้ว อากงก็ไม่อยากกวน”
“ถ้าเป็นเรื่องคุณชายจ้าวซัน อากงก็ควรจะถือเป็นเรื่องด่วน ปลุกหนูขึ้นมาสิคะ”
“ก็คุณชายบอกว่าเดี๋ยวก็จะกลับๆ ผมเลยวางใจ นึกว่าคุณชายจะมาในอีกประเดี๋ยวจริงๆ แน่ๆ แต่แล้ว...”
“ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ เค้าหายไปไหนทั้งคืนแบบนี้ เค้าต้องบอกกงแน่ๆ ว่าเขาทำอะไรอยู่ ใช่ไหมคะ”
ทั้งสองเดินพูดกันผ่านไป เหม่ยอิงเปลี่ยนใจ กำลังจะขึ้นรถ แต่ทนไม่ได้ที่เห็นบราลีทำตัวราวกับเจ้าของบ้านหญิง
“นี่แกทำตัวยิ่งใหญ่ราวกับจ้าวไทไท ที่ต้องรู้ทุกเรื่องงั้นเหรอ เลวมาก เลวหมดทุกคน”
เหม่ยอิงมองตามบราลีอย่างแค้นๆ
อากงกำลังจัดแจงอาหารเช้าให้บราลีอยู่ในห้องรับแขก
“เดี๋ยวคุณชายก็มาแล้ว เชื่อกงสิ คุณหนูรับประทานอาหารรอไปพลางๆ รับรอง ว่าข้าวยังไม่ทันหมดถ้วย คุณชายก็จะมาถึง ข้าวต้ม กับกับข้าวหลายอย่าง คุณหนูไปรับประทานก่อนดีกว่า อย่าลืมกินยาบำรุงด้วย จะได้แข็งแรงๆ”
บราลีดูสงบลง เชื่อฟัง อากงหยิบถ้วยโสมให้บราลี
“ขอบคุณมากนะคะอากง”
อีกด้านหนึ่งที่ห้องประชุมในโรงพัก ทุกคนมีกาแฟในมือ อาหลี่กำลังสัปหงก
“ถ้าไม่มีอะไร ผมว่าคุณชายกลับบ้านไปพักผ่อนก่อน ดีไหมครับ”
เต๋อเป่าบอก อเล็กซ์วิ่งเข้ามา
“เดี๋ยวครับ เดี๋ยวๆๆ” อล็กซ์เปิดจอแผนที่กูเกิ้ลถนนในฮ่องกง เอาขึ้นจอใหญ่ แล้วในนั้นมีมาร์คเป็นเส้นสีแดง วาบๆ “นี่ครับ ทุกคน นี่คือเส้นทางการเคลื่อนที่ของโทรศัพท์เบอร์ที่ไท้เผ่งให้มา”
“เบอร์ของไอ้เกาเฟย”
“นั่นล่ะครับ มันเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลาทั้งคืน แต่ตอนนี้ มันกำลังเข้าไปทางถนนสายนี้”
“ถนนสายนี้ นี่มันทางไปท่าเรือที่ 3 ที่ใช้ขนส่งสินค้าเกษตรเก่า ที่เวลานี้ถูกเวนคืน รอการสร้างเป็นท่าเรือน้ำลึกนี่”
“งานเข้าแล้ว ขอบคุณมาก ที่ให้ความร่วมมือกับเรา ข้อมูลทั้งหมดมีประโยชน์มากๆๆ เช้าแล้ว พวกคุณชายกลับบ้านกันไปพักผ่อนก่อนเถอะครับ แต่พวกผม สงสัย คงไม่มีใครได้กลับบ้านอาบน้ำนอนซะแล้ว”
ผู้กองเหลียงบอก ทุกคนดูตื่นตัว
บราลีดูนาฬิกาพลาง แล้วก็ตัดใจ กินข้าวไป อากงมองนาฬิกาบ้าง
“เอ่อ คุณหนูรับประทานคนเดียวไปก่อนนะ เดี๋ยวอากงขอไปดูจ้าวไทไทก่อน ป่านนี้คงกำลังจะตื่นละ”
“ตามสบายค่ะ อากง ฉันไม่เป็นไร อากงไปทำหน้าที่เถอะ ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะรอคุณชายของกงไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่มา ฉันจะไม่ขยับตัวไปไหนทั้งนั้น”
อากงหัวเราะ แล้วเดินออกไป
ในซอกมุมนึงภายในบ้าน อากงไม่เห็น เหม่ยอิงแอบอยู่ หน้าตาประสงค์ร้ายรุนแรง เหม่ยอิงตามดูจนเห็นอากงเดินลับตาไปตึกของไทไท บราลีกินข้าวไป ไม่วายดูนาฬิกาอีก
“เฮ้อ นี่มันเป็นเวลารถติดแล้วนี่นา แบบนี้จะมาถึงเมื่อไหร่”
ทันใดนั้นเหม่ยอิงวิ่งพรวดเข้าไปให้ห้องรับแขก พร้อมกับบีบน้ำตา
“อากงๆ แย่แล้วๆ เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ ช่วยพี่ชายใหญ่ด้วย”
บราลีตกใจ รีบวางแก้วน้ำที่กำลังจิบลง
“คุณเหม่ยอิง”
“บรี นี่ ชั้นจะบอกเธอยังไงดี”
“จ้าวซันเป็นอะไร”
“คุณช่วยพี่ชายด้วยนะคะ ฉันขอร้องล่ะ ฉันไม่รู้จะไปขอความช่วยเหลือใครแล้วจริงๆ นะคะๆๆ”
“ใจเย็นๆ ก่อนค่ะ เกิดอะไรขึ้น ค่อยๆ เล่านะคะ”
“พี่ชาย พี่ชายใหญ่โดนยิง”
“หาอะไรนะคะ”
“ตอนหัวค่ำเราไปทานดินเนอร์ด้วยกันมา แล้วก็ไปต่อกันที่ผับ” บราลีหน้าเสียไปเล็กน้อย เหม่ยอิงแอบทำหน้าสะใจ “แล้วๆ พี่ชายก็บอกว่าจะไปส่งฉันที่คอนโด ฉัน...ฉันเป็นต้นเหตุเอง”
เหม่ยอิงแกล้งร้องไห้โฮ
“ยังไงต่อล่ะคะ”
“เกาเฟย เกาเฟยมันจะฆ่าฉัน มันจะยิง แล้วพี่ชายใหญ่เขา...เขาพยายามปกป้องฉัน เอาตัวมาบังกระสุนไว้ เขาก็เลย...ก็เลย...”
“ตอนนี้คุณชายอยู่ที่ไหนค่ะ”
“ฉันผิดเองๆ ชั้นมันเลว ชั้นตังหากที่สมควรตาย”
เหม่ยอิงแกล้งร้องไห้ไม่หยุด บราลีมีสีหน้าวิตกกังวลสุดๆ แว่บนึงของหน้าเหม่ยอิง ยิ้มอย่างสะใจและเหี้ยมเกรียม
ผิงอันวิ่งลงบันไดมาอย่างรวดเร็ว แม่สี่นั่งร้องไห้อยู่ มีอาม่าพัดวีอยู่ข้างๆ
“คุณนาย อย่าร้องไห้นะคะ เขาก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เป็นบุคคลอีกคนนึงที่มีความคิดเป็นขอตัวเอง เราต้องปล่อยเขาไป ถือว่าเป็นเวรเป็นกรรมของเขา”
แม่สี่เช็ดน้ำตา หันไป เห็นผิงอันกำลังตรงไปจะออกจากบ้าน
“ผิงอัน จะไปไหน”
“หนูจะไปหาพี่ชายใหญ่ ที่บ้านโน้น หนูจะไปฟ้องพี่ชายใหญ่”
“ฟ้องอะไร”
“พี่ใหญ่ต้องรู้สิ ว่าพี่เหม่ยอิงทำอะไรกะพวกเราบ้าง”
“ไม่ได้นะ”
“ทำไมจะไม่ได้”
“คุณชายมีผู้หญิงคนนั้นอยู่ด้วย ทุกวันนี้ คุณชายก็มองเหม่ยอิงในแง่ไม่ดีอยู่แล้ว ถ้าลูกไปฟ้อง พี่ชายใหญ่เขาก็จะยิ่งเกลียดเหม่ยอิง แล้วถ้าผู้หญิงคนนั้นยุแยงตะแคงรั่ว ผสมโรงเข้าไปอีก เหม่ยอิงก็ยิ่งจะกลายเป็นหมาหัวเน่าสิ”
“แม่คะ แต่เรื่องนี้ ต้องถึงหูพี่ชายใหญ่นะคะ แม่จะปล่อยให้พี่เหม่ยอิงลอยนวลเหรอคะ”
“แม่บอกว่าห้ามไป ก็ห้ามไปสิ ผิงอัน ลูกชอบเข้าข้างผู้หญิงคนนั้น แล้วชอบทะเลาะกับพี่อยู่แล้วนี่ ลูกเห็นคนอื่นดีกว่าพี่สาวตัวเองมาตลอด เพราะฉะนั้น ลูกถึงอยากจะไปประจานเหม่ยอิงต่อหน้ามิสภีมะมนตรี ให้มันสะใจลูก”
“แม่”
“แม่ไม่ยอมหรอก..ห้ามลูกไปหาพี่ชายใหญ่ ห้ามให้คนนอกรู้เรื่องพฤติกรรมของเหม่ยอิงเข้าใจไหม ไม่งั้น ลูกกับแม่ ไม่ต้องมาพูดกันอีก”
ผิงอันมองแม่ผิดหวัง ร้องไห้ วิ่งขึ้นบ้านไป
เหม่ยอิงรอบราลีอย่างกระวนกระวาย กลัวใครมาขัด บราลีที่สวมชุดใหม่วิ่งลงบันไดมา
“ไปกันเถอะค่ะ”
“เร็วเข้า พี่ชายใหญ่อยากเจอเธอมาก”
“ค่ะๆ”
เหม่ยอิงเดินนำบราลีออกจากบ้าน บราลีนึกได้ ทำท่าจะเลี้ยวไปอีกทาง
“ไปชวนผิงอันไปด้วยเถอะค่ะ เค้าต้องอยากไปดูอาการพี่ชายใหญ่ของเค้าเหมือนกัน” เหม่ยอิงตกใจ
“ผิงอัน คุณจะพาผิงอันไปเห็นสภาพพี่ชายใหญ่แบบนี้เหรอ ไม่ได้หรอกนะ”
“ทำไมล่ะคะ”
“เพราะ...” เหม่ยอิงทำท่าจะร้องไห้ “ผิงอันเค้ารักพี่ใหญ่มาก เค้าต้องตายแน่ๆ ถ้าเห็นพี่ชายสาหัสขนาดนี้”
บราลีชะงัก
“จริงเหรอคะ”
“จริงสิ เธอว่าชั้นโกหกหรือไง”
“เปล่า” กำลังจะไปต่อ บราลีชะงัก “เดี๋ยวค่ะ ชั้นลืมโทรศัพท์”
“นี่ บราลี เธอเป็นอะไรของเธอ ไม่อยากรีบไปดูใจพี่ชายใหญ่เหรอ นี่ ถ้ามีธุระอะไรก็ใช่โทรศัพท์ชั้นก็ได้ เร็ว รีบไป เราไม่มีเวลาอีกแล้วนะ”
เหม่ยอิงลากบราลีไป บราลีร้อนใจ รีบไป
รถมอเตอร์ไซค์ของพันหงปิงและพวกขับเข้ามาในบริเวณท่าเรือร้าง และเข้าไปจอดด้านในตึก พันหงปิงลงจากรถ พาเกาเฟยลงมาอย่างทุลักทุเล
ภายในท่าเรือร้าง ลูกน้องพันหงปิงสองคนช่วยกันพาลากเกาเฟยเข้ามาในห้อง
“กองมันไว้ตรงนั้นแหละ”
ลูกน้องสองคนทิ้งเกาเฟยไว้กับพื้น
“โอ๊ย”
“ไม่น่าไปช่วยมันเลย เสียลูกน้องไปคนนึงอีก มันคุ้มกันไหมเนี่ย” พันหงปิงเดินเข้าไปจับหน้าเกาเฟยหันมา “คิดว่าจะได้เงินก้อนใหญ่มาใช้สักหน่อย แต่ดันมาโดนไอ้ฉินเจียงหลอกเอาซะได้ คนตระกูลนี้มันไว้ใจไม่ได้เลยจริงๆ ไอ้เกาเฟยนี่ก็โง่ เชื่อได้ไงว่าไอ้ฉินเจียงมันจะหันมาทำดีด้วย ในเมื่อตัวแกก็ทรยศไอ้คุณชายรองมันไปซะขนาดนั้น”
“เอาไงกับมันยังไงดีครับหัวหน้า”
“แกรู้ใช่ไหมว่าตอนนี้เหม่ยอิงของแกอยู่ไหน ในเมื่อแกไม่มีปัญหาหาเงินให้ชั้นเป็นทุนยามยากมั่ง ชั้นก็ว่าจะขอแบ่งปันคุณหนูใหญ่คนสวยคนนี้นี่แหละ”
เกาเฟยผงะ
ผิงอันนั่งร้องไห้อย่างสิ้นหวังมุมหนึ่งบนบ้าน แม่สี่ตามมา
“ผิงอัน ผิงอัน ลูกต้องฟังแม่นะ”
“ไม่ แม่นั่นแหละ ต้องฟังหนู”
“เรามีกัน 2 พี่น้องนะ มีอะไรพี่น้องกันก็ต้องช่วยๆ กัน”
“แต่ถ้าใครทำผิด เราก็ต้องหยุดเค้า ที่พี่เหม่ยอิงเป็นแบบนี้ก็เพราะแม่กลัวเค้า ตามใจเค้า ให้ท้ายเค้าทุกอย่าง”
“ซายหมุย อย่าว่าแม่ มันบาปนะ”
“เด็กไม่ดี ใครว่าแม่ ต้องตกนรก”
“ถ้าเด็กอย่างหนูต้องตกนรก แล้วเด็กอย่างพี่เหม่ยอิงล่ะคะ แม่คะ แม่รู้ไหม สักวันแม่จะต้องเสียใจ ถ้าเราไม่ช่วยกันหยุดเค้า พี่เหม่ยอิงจะต้องทำให้แม่ร้องไห้จนน้ำตาหมดตัวแน่ๆ หนูบอกเลย”
ทันใด เสียงหวีดร้องของจ้าวไทไทโหยหวนดังมา ทุกคนตกใจ
“อะไรน่ะ”
“แม่ใหญ่”
ที่ห้องไทไท ไทไทร้องกรี๊ดๆๆ ตีอกชกหัว อากงตกใจ ไม่กล้าเข้าใกล้
“น่ากลัวเหลือเกิน น่ากลัวจริงๆ มันกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว ไม่มีใครหยุดได้ จ้าวฉินเย่ว์ๆๆ ชั้นช่วยลูกคุณไมได้ ช่วยไม่ได้”
ผิงอัน แม่สี่ อาม่า วิ่งกันตกใจเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้นคะ อากง”
“ไม่รู้ ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย ทำไงดีๆ”
ไทไทหันขวับมา
“อีนังเมียน้อย อีพวกเสนียดจัญไร เพราะพวกแกที่ทำให้ตระกูลจ้าวต้องถึงจุดตกต่ำที่สุดวันนี้ เพราะพวกแก ชั้นเกลียดพวกแก เกลียดอีพวกเด็กๆ โง่เง่าเลวบัดซบ ลูกๆ ของพวกแกทุกคน ไปให้พ้น ไป ไป๊”
ไทไทหยิบอะไรได้ ขว้างใส่ทุกคน
“แม่ใหญ่คะ แม่ใหญ่ ใจเย็นๆ ค่ะ”
“จ้าวฉินเยว์ ชั้นทนไม่ไหวแล้ว ชั้นรับไม่ไหวอีกแล้ว”
ทุกคนทำอะไรไม่ถูก
พันหงปิงนั่งมองหน้าเกาเฟย พูดดีๆ
“เกาเฟย แกอย่าทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากได้ไหม แค่บอกชั้นมาว่าคุณหนูเหม่ยอิงอยู่ไหน”
“ไม่รู้”
“ปิ๊งป่อง! งั้นแกก็หมดประโยชน์แล้ว”
พันหงปิงพยักหน้ากับสมุน สมุนเข้าไปห้องข้างๆ ขนเชือกมา จับเกาเฟยมัด พันหงปิงเดินไปเอาปี๊ปน้ำมันก๊าดมา แล้วเทราดไปที่พื้น
“มัดให้แน่นๆ ไว้ อย่าให้มันเล่นกลหลุดออกไปได้เด็ดขาด เดี๋ยวพวกแกจะได้ดูพิธีย่างหมูสดๆ เป็นๆ นำแสดงโดย ไอ้เกาเฟย”
พันหงปิงหัวเราะเสียงดัง แล้วเทน้ำมันก๊าดไปรอบๆ เกาเฟย พวกลูกน้องปรบมือชอบใจ เกาเฟยพยายามดิ้นรน
“เฮ้ย อย่าสิวะ ปล่อยๆๆเฮ้ยพันหงปิง ไม่เล่นนะเว้ย” พันหงปิงหยิบกลักไม้ขีดเก๋ๆ ออกมาโชว์ “โอเคๆ ปล่อยชั้นไปก่อนสิวะ แล้วถ้าฉันเจอเหม่ยอิงนะ ฉันก็จะไปหลอกเอาเงินเขามาให้แก”
พันหงปิงหยุดเทน้ำมันก๊าด มองหน้าเกาเฟย
“ไม่มีสัจจะในหมู่โจรอยู่แล้ว คนอย่างแกนี่มัน...ฉันจะลองเชื่อดูสักครั้งก็ได้”
เกาเฟยโล่งอก
ไทไทเขวี้ยงของชิ้นสุดท้ายใส่ผิงอัน ผิงอันหลบ ของกระทบผนังและแตกกระจาย ไทไททรุดลง หมดแรง ร้องไห้เบาๆ
“จ้าวฉินเย่ว์ จ้าวฉินเย่ว์ เวรกรรม เวรกรรม อย่ามาโทษชั้น ความผิดไม่ได้เป็นของชั้น มันเป็นของคุณ” ทุกคนมองหน้ากันซีด อยู่ๆ ไทไทก็ลุกพรวดขึ้นมา เหมือนกลับมีแรงขึ้นมาใหม่ “มันต้องตายๆๆ เปล่านะ เปล่า ชั้นไม่ได้ทำอะไร มันทำตัวมันเอง มันฆ่าตัวตายเอง ไม่ อย่ามาโทษชั้น อย่ามาโทษช้าน”
“สงสัยจะบ้าไปแล้ว”
“พี่ชายใหญ่ล่ะ พี่ชายใหญ่ไม่อยู่หรือคะ อากง”
“เอ่อ...คุณชายใหญ่ ยังไม่กลับมาเลยครับ”
ทันใดจ้าวซันโผล่มาพอดี
“แม่ใหญ่ๆ เป็นอะไรไปครับ” จ้าวซันถามอย่างตกใจ
“สงสัยประสาทจะเสียไปแล้วค่ะ คุณชาย ดิฉันว่าน่าจะพาไปโรงพยาบาลประสาทจะดีกว่า” แม่สี่บอก
“ชั้นไม่ได้บ้านะ อีนังเมียน้อย แต่ลูกสาวแกนั่นแหละ ลูกสาวแก มันต้องตาย” ไทไทหันมาเจอหน้าจ้าวซัน ชะงัก หยุดกึก ค้าง
“แม่ใหญ่ครับ ไม่มีอะไรนะครับ ทุกอย่างเรียบร้อยเป็นปกติดี พวกเราทุกคนสบายดี ไม่มีใครเป็นอะไรนะครับ”
“จ้าวซัน”
“ครับผม”
ทุกคนโล่งใจ เพราะคิดว่าคงหมดปัญหาแล้ว
“มันต้องตาย”
“ไม่มีใครตายหรอกครับ แม่ใหญ่สบายใจได้นะครับ”
“ไม่มีใครตายเหรอ ไม่มีใครตายจริงๆ เหรอ ไม่จริงหรอก ไม่จริง”
แม่สี่รีบเข้ามาเกาะแขนจ้าวซัน
“เดี๋ยวอิฉันโทไปเรียกรถพยาบาลมาเอาตัวไปลองเช็คสมองดูไหมคะ” แม่สี่บอก ไทไทหันมามองหน้าแม่สี่ แล้วหัวเราะออกมา
“แกนั่นแหละ อีเมียน้อย จะมีรถพยาบาลมารับตัวแกไปเช็คสมอง”
แม่สี่หน้าซีด ถดถอย
“แม่ใหญ่ครับ เชื่อผมนะ แม่ใหญ่นอนพักก่อน ดีไหมครับ หลับซักตื่นนะครับ ตื่นมาจะได้อารมณ์ดี นะครับ”
“เจ้าหญิง เจ้าหญิง ม่านฟ้า ไปซะแล้ว”
“ม่านฟ้า บรีหรือครับ แม่ใหญ่อยากให้บรีมาหาหรือครับ”
“เจ้าหญิง ไม่อยู่แล้ว”
“อยู่สิครับ เดี๋ยวผมไปตามตัวมาให้นะครับ แม่ใหญ่รอสักครู่”
ไทไทเอนตัวลง ตามองเพดาน
“ไปแล้ว ไปแล้ว ไปไกลแล้ว ไม่อยู่แล้ว”
ทุกคนมองหน้ากัน งงๆ แม่สี่ขำ
“ไปกันใหญ่แล้ว”
“เชื่อถือไม่ได้แล้ว”
“เชื่อไม่ได้หรือคะ แต่แปลกนะคะที่แม่ใหญ่ส่งเสียงขนาดนี้ ทำไมพี่บรีไม่มาดูล่ะคะ ทีเรา...เรายังได้ยินเลย” ผิงอันบอก
“เออ...นั่นสิ”
อาหงเห็นด้วยแล้วมองหน้าจ้าวซัน จ้าวซันชักสังหรณ์ รีบไป
ที่โต๊ะอาหาร มีลักษณะเหมือนถูกทิ้งไปกะทันหัน
“ข้าวก็ยังเต็มถ้วย เพิ่งรับประทานไปไม่กี่คำเอง” อากงหยิบถ้วยยาโสมมาดู “แล้วยาเนี่ย คุณหนูบรีก็ไม่ได้กินเลย แล้วจะไปไหนได้ยังไง”
ผิงอันยืนหน้าซีด
“หนูก็วิ่งหาดู ในสวนก็ไม่มี”
จ้าวซันเดินถือโทรศัพท์มือถือลงมา หน้าวิตก
“ในห้องน้ำในห้องนอนไม่มีทั้งนั้น กระเป๋าก็ไม่อยู่ ทิ้งโทรศัพท์นี่ไว้บนเตียง”
อาหลี่ เต๋อเป่าเดินเข้ามา
“รถทุกคันยังอยู่นะครับ ไม่มีใครเอารถไปไหน”
“รอบๆ บริเวณบ้านไม่มีครับ”
“เค้าไปไหนของเค้า ทำไมไม่สั่งอะไรใครเลย”
ทุกคนหน้าซีด
เหม่ยอิงขับรถมาตามทางโดยมีบราลีนั่งข้างๆ รถแล่นมาจอดลงอย่างสงบ บราลีมองรอบๆ ไม่เห็นอะไร เปิดลงไป แล้วเดินไปรอบๆ มองหา เหม่ยอิงเปิดตามลงมา
“ไหนคะเจ้าพี่ เอ้อ...คุณชายจ้าวซันอยู่ไหน”
เหม่ยอิงยิ้มออกมา ถอนใจยาว
“ฉันหลอกเธอน่ะ คุณชายจ้าวซันไม่ได้เป็นอะไรหรอก แล้วก็เค้าไปธุระที่ไหนฉันก็ไม่รู้”
“อะไรนะ”
เหม่ยอิงหัวเราะสะใจ
“เธอโง่จัง หลอกง้ายง่าย แค่อ้างชื่อพี่ชายหน่อยก็ตาลีตาเหลือกออกมา น่าสงสารจริงจริ๊ง”
“นี่...คุณทำอะไรของคุณ คุณต้องการอะไร”
“ก็ต้องการตัวเธอไง”
“บ้าแล้ว คุณจะเอาตัวชั้นมาทำไม”
“เพราะเธอเป็นจุดอ่อนของพี่ชายใหญ่ไง เขาจะยอมทุกอย่าง ถ้าชั้นมีเธออยู่ในกำมือ”
“คุณเป็นบ้าเหรอ”
“ไม่หรอก ชั้นสติดีมากเลยล่ะ”
“คุณควรไปพบแพทย์แล้วนะ คุณป่วยมาก”
“ใช่...ชั้นป่วยมานานแล้ว ใจชั้นมันเจ็บมาก เพราะเธอ”
“คุณไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้กับคนอื่น อยากบ้าก็บ้าไปคนเดียว ชั้นไม่เล่นด้วยหรอก” บราลีหันกลับ เดินจ้ำอ้าวไปทางเดิมอย่างเร็ว เหม่ยอิงแสยะ
บราลีรีบเดินจ้ำอ้าวมาตามทาง บราลีเดินเร็วๆ มา มองชะเง้อ ถ้ามีรถผ่านจะโบก ทันใดเหม่ยอิงขับรถมาปาด
บราลีชะงัก ถอย เหม่ยอิงเปิดประตูรถออกมาในมือมีปืนด้วย
“ขึ้นรถ”
“เหม่ยอิง! เธอจะทำอะไร”
“ถ้าไม่ขึ้นมาดีๆ เธอก็ตายตรงนี้ เดี๋ยวนี้ก็แล้วกัน” เหม่ยอิงปลดไกปืน บราลีสะดุ้ง “เร็วสิ ขึ้นรถ”
เหม่ยอิงเอาจริง จี้ปืนจ้อง บราลีสบตา วัดใจ เหม่ยอิงจ้องตอบ เอาจริง บราลีอึ้ง
ที่บ้านสี่ฤดู หลินจื้อเหม่ยวิ่งหน้าตื่นเข้ามา จ้าวซันหันมา
“บรีไม่ได้โทรไปหาดิฉันเลยค่ะ เราไม่ได้นัดกันหรือว่าวางแผนจะไปไหนกันเลยค่ะ”
“แปลก นี่หลี่กับเต๋อเป่าเขาออกไปหาที่โบสถ์แล้วจะวนดูที่ที่บรีชอบไปกัน”
“แปลกนะคะ แม่ใหญ่เหมือนกับรู้ แล้วก็เหมือนจะบอกว่าพี่บรีไม่อยู่แล้ว” ผิงอันบอก
“แม่ใหญ่ก็พูดไปเรื่อยเปื่อย” แม่สี่แย้ง
“แต่พูดทีไร หนูว่ามันก็เป็นจริงทุกทีนะคะ”
“ทีแรก ก็พูดถึงคุณหนูใหญ่” อากงบอก
“คุณเหม่ยอิงเขาไม่ชอบบรีนี่นะ” หลินจื้อเหม่ยบอก
“พี่เหม่ยอิง คงไม่เกี่ยวหรอก เพราะพี่บรีไม่มีวันไปไหนมาไหนกะพี่เหม่ยอิง”
“ทำไม่ต้องพูดถึงเหม่ยอิงกันด้วย เหม่ยอิงไม่ได้กลับบ้านตั้งหลายวันละ”
ผิงอันแปลกใจ มองหน้าแม่
“แต่เมื่อเช้า”
แม่สี่บีบแขนผิงอัน
“ผิงอัน! เราไม่ได้เห็นหน้าเหม่ยอิงมาตั้งหลายวันแล้ว จริงไหม”
“แม่คะ ทำไม?”
“ทำไมอะไร คุณบรีเขาอาจจะไปเที่ยว ไปช้อปปิ้ง หรือไปหาใครก็ได้ เดี๋ยวเค้าก็มา จะตกใจกันไปทำไม เดี๋ยวเขาก็คงเดินหิ้วถึงเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋าเข้ามา สบายใจซะด้วยซ้ำ จริงไหมคะ คุณชายใหญ่”
จ้าวซันรู้สึกกังวล
“ลองไปแจ้งตำรวจกันไหมคะ คุณชาย ผู้กองเหลียงอะไรคนนั้นไง”
หลินจื้อเหม่ยบอก จ้าวซันอึ้ง
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 18 (ต่อ)
รถเข้ามาจอดที่ท่าเรือร้าง ผู้กองเหลียง อเล็กซ์ หมวดจาง จ่าหมง เปิดประตูรถออกมาเกือบพร้อมกัน และรีบเคลื่อนตัวไปหาที่กำบังหลบ พวกตำรวจอื่นๆ ตาม ผู้กองเหลียงทำสัญญาณให้แบ่งสาย หมวดจางกับตนจะไปทางนึง ชี้ให้อเล็กซ์กับจ่าหมงไปอีกทาง เพื่อกระจายตัวล้อม
พวกตำรวจเคลื่อนตัวไปใกล้ๆ แล้วคอยซุ่มอยู่ห่างๆ
ผู้กองเหลียงซุ่ม ชะเง้อดู ตำรวจทั้งหมดเงียบและหมอบต่ำ รอคำสั่ง
“ทำไมเงียบจัง ไม่ใช่มันลงเรือหนีไปหมดแล้วนะครับ”
“ให้ผมบุกเข้าไปก่อนไหม” อเล็กซ์ถามมาในวอ
“ใจเย็นๆ อย่าบุ่มบ่าม ถ้ามันจะลงเรือ ผมคิดว่ามันยังไม่ลงตอนกลางวัน”
ผู้กองเหลียงบอก ทันใดประตูเปิดออกมา สมุนพันหงปิงคนหนึ่งเดินออกมาหาที่ปัสสาวะและเดินใกล้เข้ามากับที่ที่พวกผู้กองเหลียงซ่อนอยู่ สมุนพันหงปิงยืนปัสสาวะอย่างสบายอารมณ์
สักพักโทรศัพท์มือถือของตำรวจคนหนึ่งดังขึ้น ตำรวจรีบปิดเสียง สมุนพันหงปิงคิดว่าเป็นโทรศัพท์ของตัวเอง ล้วงเอาออกมาดู ทำหน้างงๆ แอบชำเลืองมองซ้ายขวา
“มันรู้ตัวแล้ว”
ผู้กองเหลียงบอก ทุกคนมองหน้ากันเอายังไงดี
อีกด้านหนึ่ง ประตูโกดังเก็บสต็อกเสื้อผ้าของสื้อฉวนแฟชั่นถูกเปิด แสงจากข้างนอกสาดเข้ามาเต็มโกดัง
บราลีที่มีผ้าผูกตาและมือทั้งสองถูกผูกไว้ข้างหลัง โดนผลักเข้าไปหัวทิ่ม ล้มลงไป เหม่ยอิงเดินตาม จ้องปืนไม่ละลด
“ลุกขึ้น ลุก เร็ว”
“ที่นี่มันที่ไหน คุณเหม่ยอิง”
“ที่ชอบๆ ของเธอไงล่ะ ลุกขึ้น อย่ามาทำเป็นถ่วงเวลา”
เหม่ยอิงกระชากดึงบราลีจนลุกมายืน แล้วเดินต่อไป บราลีเดินอย่างระวัง พยายามฟัง สูดดม ใช้ประสาทสัมผัส เหม่ยอิงลากบราลีมาจนเข้ามาถึงห้องหนึ่ง ผลักเข้าไป ในห้องนั้น มีผ้าเป็นม้วนๆ เต็มห้องไปหมด เหม่ยอิงปิดประตูตามหลัง
“คุณเหม่ยอิง คุณจะไปไหน คุณเหม่ยอิง” เหม่ยอิงไม่ตอบ เดินกลับออกไป “คุณเหม่ยอิง”
เหม่ยอิงหัวเราะ เดินกลับไปทางหน้าโกดัง บราลีหยุดเรียก เงียบ เงี่ยหูฟัง แล้วพยายามขยับแขน จะให้ผ้าที่ผูกหลุด แต่ทำไงก็ไม่สำเร็จ
ที่ท่าเรือร้าง สมุนพันหงปิงที่ออกมาปัสสาวะข้างนอกหันหลังกลับ เดินกดโทรศัพท์มือถือโทรหาใครสักคนกลับเข้าไปข้างใน ผู้กองเหลียงมีสีหน้าครุ่นคิดไม่แน่ใจว่ามันจะรู้ตัวหรือเปล่า อเล็กซ์ร้อนใจ
“จัดการตอนนี้เลยดีกว่า”
ผู้กองเหลียงกับหมวดจางมองหน้ากันลังเล สมุนพันหงปิงแกล้งเดินมาได้สักพักก็เริ่มออกวิ่งทันที เพราะรู้ตัวตั้งแต่ทีแรกแล้ว พวกตำรวจผวา
“ว่าแล้ว ไอ้พวกนี้มันชั่ว แต่มันไม่ได้โง่”
หมวดจางบอก จากนั้นพวกตำรวจรีบกระจายกำลังกันออกวิ่งตาม
“ไปเร็ว”
“มีคนร้ายๆ” สมุนพันหงปิงตะโกนบอกพวก
“พวกแกต่างหากโว้ย คนร้าย” ผู้กองเหลียงบ่นขณะวิ่งตาม
สมุนพันหงปิงหยุดหันหลังกลับทันที ควักปืนออกมายิงสวนไปหลายนัด ตำรวจที่ตามมากลิ้งตัวหลบแทบไม่ทัน รีบหาที่กำบังและยิงตอบโต้ สมุนที่ออกมาปัสสาวะโดนยิงที่หัวไหล่ เพื่อนอีกคน รีบออกมาช่วยยิงสกัด และลากเพื่อนที่ถูกยิงเข้าไป อเล็กซ์บุ้ยใบ้ทำสัญญาณบอกผู้กองเหลียงว่าเข้าไปข้างในกัน ผู้กองเหลียงพยักหน้า อเล็กซ์นำบุกวิ่งเข้าไปข้างใน
บนชั้นสองของตึก พันหงปิงโผล่ออกมา ใช้อาวุธหนักยิงถล่มใส่ ผู้กองเหลียงกลิ้งหลบเข้าไปในตึกได้ แต่อเล็กซ์ต้องถอยออกมา จ่าหมงโดนกระสุนปืนเข้าไปที่ไหล่
“อาหมง”
“ผมไปช่วยเอง” หมวดจางบอก
“ไม่ต้องห่วงผม บุกเข้าไป”
สมุนพันหงปิงอีกคนโผล่มายิง จ่าหมงโดนกระสุนเข้าอีกนัดล้มลงทรุดกับพื้น ผู้กองเหลียงหันไปมอง เจ็บใจ ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ยิงต้านทาน และหลบลูกกระสุนอยู่หลังที่กำบัง หมวดจางน้ำตานอง กัดฟันฮึดสู้ ลุกออกไปอย่างบ้าระห่ำ
“ย้าก”
“อย่าไป”
อเล็กซ์ที่อยู่ใกล้กว่ารีบตามไปคว้าตัวมา โดยมีผู้กองเหลียงยืนขึ้นช่วยยิงสกัด อเล็กซ์ลากหมวดจางกลับมาที่กำบังได้
ด้านในเกาเฟยพยายามดิ้นรน
“เฮ้ย ปล่อยชั้นก่อนสิวะ ไอ้พวกบ้า ปล่อยกูๆ”
พันหงปิงอารมณ์เสีย
“ซวยแล้วไหมล่ะ เพราะไปช่วยเอ็งแท้ๆ พวกมันถึงแห่ตามกันมาได้”
พันหงปิงรีบหนีไป เกาเฟยโดนมัดทิ้งไว้อยู่กับพื้น มองดูเห็นท่าไม่ได้การ รีบหาทางกลิ้งตัวหนีออกไปอีกทางเพื่อเอาตัวรอด ผู้กองเหลียงเข้ามาข้างใน พันหงปิงเห็นรีบยิงสกัด ผู้กองเหลียงรีบหาที่หลบแล้วยิงตอบโต้
เกาเฟยกำลังหาทางแกะเชือกที่มัดมือออกโดยไปถูกับขอบประตูเหล็ก
“เก่งจริงก็เข้ามา หลบอยู่ทำไมวะ” พันหงปิงตะโกนบอก
“เก่งจริงก็อย่ายิงสิเว้ย”
“ไม่ยิงก็ได้”
พันหงปิงหยิบลูกระเบิดควันขว้างออกไป ลูกระเบิดกระเด็นไปตกอยู่ข้างๆ ระหว่างผู้กองเหลียงและเกาเฟย
ระเบิดควันฟู่ขึ้น ผู้กองเหลียงและเกาเฟยต้องกระโดดกลิ้งตัวหลบไปคนละทาง
“ไอ้บ้าเอ๊ย ยิงเหมือนเดิมเหอะ”
เชือกที่มัดมือเกาเฟยไว้เริ่มหลุดออกมาแล้ว ผู้กองเหลียงตั้งตัวได้ เริ่มเคลื่อนตัวแล้วรุกยิงเข้าไปใกล้พันหงปิงมาขึ้น
“แน่จริงก็อย่าใช้ปืนสิว่ะ มาชกกันตัวต่อตัวดีกว่า”
“ไม่! ไม่ใช่คนแน่จริงเว้ย”
พันหงปิงลนลาน ไม่รู้จะเอายังไงดี อเล็กซ์ตามขึ้นมา
“อยากจะโดนจับเป็นหรือจับตาย ถ้าไม่อยากโดนจับตายก็ออกมา”
ขณะนั้นมือเกาเฟยหลุดจากเชือกที่มัดแล้ว ผู้กองเหลียงเดินรุกเข้าไปเรื่อยๆ อย่างสุขุม เกาเฟยเหลือบไปเห็นกลักไม้ขีดที่พันหงปิงโยนทิ้งไว้แต่ทีแรก หยิบขึ้นมา เกาเฟยจุดไม้ขีดแล้วโยนลงไปบนพื้นที่พันหงปิงราดน้ำมันไว้แล้ว
ไฟลุกตามแนวน้ำมันขึ้นมาเป็นแนวกั้นระหว่างพันหงปิงและผู้กองเหลียง ผู้กองเหลียงผงะไปเล็กน้อย ถอยออกมาหนึ่งก้าว
พวกตำรวจวิ่งขึ้นมา แต่ควันและไฟเริ่มลาม เกาเฟย พันหงปิงโดดหน้าต่าง หนี ตกลงไปในน้ำ พวกตำรวจมองหน้ากัน
“โทรแจ้งดับเพลิงด่วนเว้ย หมวดจาง”
“ครับผม”
อล็กซ์วิ่งตามยิงพันหงปิงไปในน้ำ เกาเฟย พันหงปิง ดำน้ำหนีไป
จ้าวซันฟังโทรศัพท์ หน้าเครียด
“ขอบคุณครับผู้กอง หวังว่าจ่าหมงคงไม่เป็นอะไรมากนะครับ ครับๆๆ” จ้าวซันวางหูหันมา อาหลี่ส่ายหัว
“ไม่พบครับ ไม่ได้ไปที่โบสถ์ แล้วก็ไม่ได้โทรถึงหลวงพ่อด้วยครับ”
“ผมหาที่ต่างๆ ที่คุณบรีชอบไป แต่ไม่มีครับ”
“พันหงปิง กับเกาเฟย หนีตำรวจไปได้แล้ว”
“ต้องหาคุณหนูเหม่ยอิงให้พบครับ”
“ถึงจะจับไอ้พวกนั้นได้ ใช่ไหม”
“ผมหมายถึง ถึงจะพบตัวมิสภีมะมนตรีครับ”
“อะไรนะ”
“เชื่อผม ผมมั่นใจ ว่าการหายตัวของเธอต้องเป็นฝีมือของคุณหนูใหญ่ครับ ผมรู้ดีว่าคุณหนูทำอะไรได้ทุกอย่างเพื่อกำจัดคนที่เธอคิดว่าขวางทางความสำเร็จของเธอครับ”
เต๋อเป่าบอกอย่างมั่นใจ สีหน้าจ้าวซันเชื่อและเห็นด้วย เครียดขึ้นไปอีก
บราลีนั่งแบบเพลียมากอยู่ในโกดัง อากาศก็ไม่พอหายใจ บราลีพยายามขยับมือที่ถูกมัดไปมาๆ จนผ้ามันคลายตัวหลวมไปบ้าง บราลีพยายามหุบมือให้เล็กๆ แล้วค่อยๆ ถอนมือข้างนึงออกมาจากผ้าที่มัดได้ ข้อมือนั้นแดงช้ำมาก
พอที่ผูกมือหลุด บราลีก็รีบกระชากผ้าผูกตาออก บราลีกระพริบตา มองรอบๆ ในห้องนั้นมีแสงส่องมาทางช่องกระจกข้างบน ที่แสงไฟฟ้าจากเสาไฟข้างนอกเข้ามาได้ มีม้วนผ้าเต็มไปหมด บราลีลุกมา เข้าอ่อน ขาชา เซๆ นิดๆบราลีหาสวิชต์ไฟจนพบ กดเปิด ไฟในห้อง สว่างพึ่บๆๆ ติดสว่างขึ้น
บราลีมองรอบๆ หน้าตาแตกตื่นเมื่อเห็นว่าในห้องนั้นเต็มไปด้วยม้วนผ้า และอีกด้านนึง มีราวแขวนเสื้อผ้าสำเร็จรูปของสื้อฉวน ที่ยังอยู่ในพลาสติกห่อแต่ละชิ้น แขวนเรียงรายแน่นขนัดเต็มห้อง บราลีมอง งงๆ ตัดสินใจเดินไป หยิบดูตราของเสื้อ
“ท็อปป็อบ...บาย...จื้อชวอน...แฟชั่น อึ๊ย ไม่ใช่สิ นี่มัน สื้อฉวนแฟชั่นตังหาก”
บราลีมีสีหน้าตื่นเต้น
เหม่ยอิงนั่งอยู่บนรถที่จอดอยู่ในลานจอดของโกดังแห่งหนึ่ง ใต้แสงไฟจากเสาไฟสูง มีส้มสีสดสวยในมือ แกะส้มพลาง กรีดนิ้ว ปาเปลือกส้มลงกับพื้นหญ้าทีละชิ้นๆ
“ฆ่า...ไม่ฆ่า... ฆ่า... ไม่ฆ่า... ฆ่า... ไม่ฆ่า” ทันใดมือถือดังขึ้น เหม่ยอิงทำหน้ามึนชา ไม่สนใจ แกะส้มต่อ
“ฆ่า...ไม่ฆ่า... ฆ่า...ไม่ฆ่า”
เสียงโทรศัพท์เงียบไป เหม่ยอิงหัวเราะเบาๆ โยนส้มทั้งหมดทิ้ง แล้วเอื้อมหยิบกระเป๋ามาเอาโทรศัพท์ออกมาดู
“เบื๊อ เบื่อ เรตติ้งดี๊ดี เกิดมาไม่เคยมีใครต้องการคุยกับชั้นมากมายถี่ๆ เท่านี้มาก่อนเลย ฮะๆๆ” ที่หน้าจอโทรศัพท์โชว์ว่าเป็นจ้าวซันโทรมา 18 ครั้ง เหม่ยอิงหัวเราะ “จ้าวซัน 18 มิสคอล” สักพักเหม่ยอิงนึกได้ หน้าขรึมลงแล้วเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งไปที่เบาะข้างๆ แล้วแกะส้มต่อ “ฆ่า...ไม่ฆ่า...”
เหม่ยอิงมีสีหน้าเย็นชา
สีหน้าจ้าวซันดูเยือกเย็น น่ากลัวขณะวางโทรศัพท์ลง
“คุณหนูใหญ่ไม่รับสาย นี่ก็ผิดปกติแล้วล่ะครับ” เต๋อเป่าบอก
“นั่นสิ ลงเป็นจ้าวซันโทรหา มีหรือคุณหนูจ้าวเหม่ยอิงจะไม่ยอมรับ”
“เหม่ยอิง เธอกล้าไม่รับสายพี่เหรอ”
“แน่ๆ เลยครับ ไม่ต้องสงสัยแล้วล่ะ”
แววตาจ้าวซันดูร้ายขึ้นมา
เหม่ยอิงยังอยู่บนรถที่จอดอยู่ที่โกดัง
“ฆ่า... ไม่ฆ่า” ทันใดเสียงโทรศัพท์ดังอีก เหม่ยอิงนิ่งไป แล้วอยู่ๆ ของขึ้นร้องออกมา “อ๊า จ้าวซันๆๆ” เหม่ยอิงลุกขึ้นมา เขวี้ยงส้มไป “หึ จ้าวซัน ร้อยวันพันปี พี่ไม่เคยโทรหาน้องเลย มีแต่น้องที่เป็นฝ่ายโทรหาพี่ แต่พออีนังบราลีหายตัวมาอยู่กับน้อง พี่ก็โทรมาจนเป็นสิบยี่สิบมิสคอลเลยเหรอคะ พี่รู้อะไรเหรอคะ จะเชื่อมโยงอะไรได้เร็วเกินไปหรือเปล่าล่ะคะเนี่ย ฮิๆๆ แบบนี้ อินั่นมันก็น่าตายนะคะ สงสัยจะต้องฆ่ามันซะละล่ะ เป็นความผิดของพี่ใหญ่เองนะคะ อย่ามาโทษน้องนะ”
เหม่ยอิงน้ำตาไหล
เกาเฟยว่ายน้ำมาถึงฝั่ง มือเกาะที่ขอบฝั่งแล้วดันตัวขึ้นมา สีหน้าเจ็บปวดเพราะบาดแผลที่แขน เกาเฟยพยายามปีนจนขึ้นฝั่งมาได้อย่างทุลักทุเล เมื่อปีนขึ้นมาได้ก็มานอนแผ่หมดแรง สีหน้าดีใจอยู่ที่พื้นสักพัก เกาเฟยลุกขึ้น จะรีบหนีไปจากตรงนั้น
ทันใดนั้นก็มีปืนมาจ่อจากทางด้านหลัง เกาเฟยชะงัก ยกมือขึ้นแล้วค่อยๆ หันไปมองจึงเห็นพันหงปิงถือปืน ยืนยิ้มอยู่
“ขอบใจนะ ที่รอกัน ไม่รีบหนีไปซะก่อน เกาเฟยเพื่อนรัก แกคือมิตรแท้ๆ จริง แบบนี้ต้องนับเป็นลางดีสินะ ว่าเราต้องอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันอีกนาน”
“แกจะเอาอะไรอีก ต่างคนก็ต่างหนีไปสิ ไม่เห็นมีอะไรต้องเกี่ยวกัน”
พันหงปิงลดปืนลง เดินมาโอบบ่าเกาเฟย
“ไม่เกี่ยวกันได้ยังไง ตราบใดที่ฉันยังไม่ได้เงินจากยัยเหม่ยผู้สูงส่ง ฉันก็จะไม่มีวันปล่อยแกให้ลอยนวลไปไหนต่อไหนเด็ดขาด”
เกาเฟยหาจังหวะที่พันหงปิงกำลังพล่าม ถองไปที่สีข้างอย่างแรง พันหงปิงจุก เกาเฟยได้โอกาสพยายามเข้าไปแย่งปืนมา ทั้งคู่ต่อสู้กันอย่างพัลวัน แต่เกาเฟยสู้ได้ไม่ถนัดเพราะยังบาดเจ็บอยู่ พันหงปิงเห็นเกาเฟยสู้อย่างไม่ลดละ รู้สึกรำคาญ หาจังหวะยิงปืนขู่ไปที่พื้นใกล้ๆ เกาเฟยหนึ่งนัด พันหงปิงยกปืนขึ้นเล็งเกาเฟย เกาเฟยหยุด
“เลิกเล่นได้แล้ว ไม่สนุก”
“แกไม่กล้ายิงหรอก”
“ใช่ ยิงทำไมให้โง่ ในเมื่อแกยังมีประโยชน์อีกมาก เดินไป” เกาเฟยหันหลังกลับ เดินไปอย่างเจ็บใจและจำยอม พันหงปิงยิ้มพอใจ “คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตายน่ะ รักกันๆๆ”
พันหงปิงหัวเราะสะใจ
ที่ห้องบรรพบุรษ บ้านสี่ฤดู แม่สี่ส่งธูปให้อาม่าเดินเอาไปปักในกระถางแล้วจึงยกมือไหว้ปลกๆ อธิษฐาน
“ขอบรรพบุรุษช่วยคุ้มครองเหม่ยอิง ลูกสาวคนโตของตระกูลจ้าวด้วยเถิด” อามามองแม่สี่ด้วยความสงสาร “ขอให้มีอะไรไปดลใจเขาให้กลับมา ให้ทำแต่สิ่งที่ถูกที่ควร”
ทันใดนั้นประตูห้องบรรพบุรุษก็เปิดออก แม่สี่และอาม่าสะดุ้งตกใจ หันไปมอง อากงพาจ้าวซันเข้ามา อาหลี่เดินตามมาห่างๆ แม่สี่ชักสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย อาม่าพอเห็นว่าเป็นจ้าวซันก็ไม่กล้าสู้หน้า
“แม่สี่ แม่สี่ไม่เจอเหม่ยอิงมาหลายวันแล้วจริงๆ หรือครับ”
แม่สี่ลุกขึ้น รีบเดินไปหา
“คุณชายใหญ่พูดแบบนี้ก็หมายความว่า ไม่เชื่อที่ฉันบอกไป”
“เปล่าครับ ผมแค่อยากถามให้แน่ใจ”
“คุณชายใหญ่กำลังหาว่าแม่สี่โกหกใช่ไหม งั้นลองถามใครดูก็ได้ว่าจริงไหม อาม่า!” แม่สี่จ้องอาม่าสายตาดุดัน “อาม่าเห็นเหม่ยอิงมาที่นี่บ้างไหม”
“ไม่ ไม่ค่ะ คุณหนูใหญ่ไม่กลับบ้าน มาหลายวันแล้ว”
อาม่าไม่กล้าสบตาจ้าวซัน
“น่าแปลก”
“แล้วอากงล่ะ อากงบอกคุณชายไปสิ ว่าเห็นคุณหนูใหญ่ไหม”
“ผมก็ไม่เห็นคุณเหม่ยอิงมาที่นี่เลย จริงๆ นะครับ”
“บราลีหายไป แล้วเหม่ยอิงก็เกิดติดต่อไม่ได้ในเวลาเดียวกัน มันคือเรื่องบังเอิญงั้นหรือ”
“คุณชาย มิสภีมะมนตรีของคุณชายชอบหนีหายไปนั่นไปนี่บ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ และก็ชอบก่อเรื่องยุ่งวุ่นวายกี่ครั้งแล้วล่ะ แล้วคราวนี้จะต่างอะไร เธอก็คงเรียกร้องความสนใจด้วยการหนีไปไหนต่อไหนเองอีกนั่นแหละ”
“แต่คราวนี้ ไม่น่า”
“ทำไมจะไม่น่าล่ะคะ นี่มันเรื่องระหว่างคุณชายกับหญิงคนรักของคุณชาย ฉันไม่เข้าใจว่าคุณจะมาดึงเหม่ยอิงเข้าไปเกี่ยวข้องทำไมกัน” จ้าวซันถอนหายใจกลุ้ม มองหน้าอาหลี่ เอาไงดี “เหม่ยอิงไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้เด็ดขาด”
แม่สี่จ้องหน้าจ้าวซันยืนยันแข็งขัน
“ไม่จริง” เสียงผิงอันดังขึ้น ผิงอันยืนอยู่ที่หน้าประตู “ตอนเช้ามืดพี่เหม่ยอิงมาที่นี่ แถมยังมาขโมยข้าวของที่นี่ไปอีกด้วย”
แม่สี่รีบเดินเข้าไปบิดหู ลากผิงอันเข้ามา
“ซาหมุย! หุบปาก”
ผิงอันปัดมือแม่สี่ออก แล้วถอยไปยืนหลังจ้าวซัน
“ไม่ ใครจะโกหกก็โกหกไป แต่หนูจะไม่ยอมเป็นเด็กเลี้ยงแกะเด็ดขาด แม่กับอาม่าก็เคยสอนหนูไม่ใช่เหรอ ทำไมทำซะเองล่ะ”
จ้าวซันหันไปมองผิงอัน อึ้ง อาม่าตะลึง แม่สี่โกรธ มองผิงอันอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ
`ใต้สะพานแถวชายฝั่งเกาลูน หนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังเดินกอดกันมากระหนุงกระหนิง ชายหนุ่มกำลังเดินกินแฮมเบอร์เกอร์มา ผู้หญิงเดินถือแก้วน้ำอัดลมให้ ทั้งคู่กำลังเดินไปตามทาง ผ่านใต้สะพานมา พันหงปิงที่ซ่อนตัวอยู่หลังลังกระดาษเก่าๆ ก็พุ่งตัวออกมาพร้อมปืน
“ว้าย...”
“หุบปาก อย่าส่งเสียง ไม่งั้นตาย” พันหงปิงถือปืนหันไปทางทั้งสองคน “เอาโทรศัพท์มา”
“อะไรนะ”
“บอกให้ส่งโทรศัพท์มาไม่ได้ยินหรือไง”
พันหงปิงเดินเข้าไปชกท้องน้อยผู้ชายอย่างรวดเร็ว แบบไม่ทันตั้งตัว ผู้ชายจุก เจ็บจนตัวงอ ปล่อยแฮมเบอร์เกอร์ตกลงพื้น
“โอ๊ย รีบๆ ให้มันไปสิ ไม่ได้ยินหรือไง” ผู้หญิงยืนงง ตะลึงตะลาน สับสน “เร็วๆ สิ”
“ทำไมต้องเป็นฉันด้วยล่ะ”
ผู้หญิงรีบหาโทรศัพท์ในกระเป๋าถือ ลน หาไม่เจอ พันหงปิงรำคาญ เหน็บปืนใส่กระเป๋า แล้วกระชากกระเป๋าถือจากผู้หญิงมา พันหงปิงควานหามือถือจนเจอแล้วเขวี้ยงกระเป๋าทิ้งไป ผู้ชายได้โอกาส รีบวิ่งหนีไปคนเดียว ผู้หญิงงง รีบวิ่งไปเก็บกระเป๋าแล้ววิ่งตามผู้ชายไป
“อาเฉินๆ รอด้วย”
พันหงปิงได้มือถือของผู้หญิงมาอยู่ในมือ ยิ้มเหี้ยม พันหงปิงเหลือบไปเห็นแฮมเบอร์เกอร์ที่ตกอยู่ หยิบขึ้นมากัดหนึ่งคำ พันหงปิงเดินมาทางเกาเฟยที่ถูกมัดเอามือไพล่หลังและล่ามติดอยู่กับเสาเหล็กใต้สะพาน พันหงปิงดึงผ้าที่คาดปากเกาเฟยออก เกาเฟยถ่มน้ำลายออก
“ไม่นึกว่าแกมันจะชั่วขนาดนี้”
“นี่คำชมใช่ไหม ฉันอุตส่าห์หาโทรศัพท์ให้แกได้สำเร็จ รีบๆ โทรไปหานังเหม่ยอิงซะ”
“ไม่”
พันหงปิงเตะอัดไปที่เกาเฟยหนึ่งที
“ไม่เหรอ ถ้าไม่แกก็จะเป็นศพอยู่ใต้สะพานนี่แหละ จะลองดูไหมล่ะ”
พันหงปิงควักปืนออกมาเล็งเกาเฟยอีกครั้ง
“บอกแล้วไงว่าแกไม่กล้าหรอก”
“ใช่ ไม่กล้าฆ่าแกหรอก แต่การทรมานนี่สิเป็นของโปรดของพันหงปิงเลยล่ะ” พันหงปิงใช้ปืนลูบไล้ไปตามหน้าตาและลำตัวของเกาเฟยเรื่อยไป “ยิงที่ไหนก่อนดีน้า”
เกาเฟยเริ่มไม่ไว้ใจ กลัว เบี่ยงหน้าหลบไปอีกทาง
“เออๆๆ แก้มัดก่อน แล้วเดี๋ยวจะโทรให้”
“ดีมาก แต่ถ้าแก้แล้ว เพื่อนเล่นตุกติกล่ะก็...หึหึหึหึ”
พันหงปิงแก้มัดเกาเฟยออก เกาเฟยรีบคว้ามือถือจากมือพันหงปิงมา
“เอามานี่”
“ดีมาก ว่าง่ายๆ เลี้ยงเชื่องๆ แบบนี้”
พันหงปิงเก็บปืนแล้วลูบหัวเกาเฟยอย่างเอ็นดูในขณะที่เกาเฟยกำลังกดเบอร์โทรออก เกาเฟยโทรได้สักพัก กดโทรอีก ขมวดคิ้ว สีหน้าไม่สู้ดี กดโทรอีก
“โทรไม่ติด”
“อะไรนะ”
“เหมือนจะปิดเครื่อง”
พันหงปิงกระชากผมเกาเฟยจนหน้าแหงน
“โกหก อย่ามาลีลาให้มากนัก”
พันหงปิงจับหัวเกาเฟยกระแทกกับเสาเหล็ก เลือดไหลอาบ
“ก็มันโทรไม่ติดจริงๆ”
“ไม่เชื่อ ไม่ติดก็โทรจนกว่ามันจะติด เข้าใจไหม”
พันหงปิงเตะอัดเกาเฟยที่นั่งอยู่กับพื้นจนตัวงอ มือถือกระเด็นหลุดออกไปจากมือ เกาเฟยร้องโอดครวญ ค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบมือถือมากดใหม่ด้วยมือที่สั่นเทา
“ต้องอย่างนี้สิเพื่อนรัก”
พันหงปิงกัดกินแฮมเบอร์เกอร์ที่เหลืออย่างมีความสุข หน้าตาสะใจ
ผิงอันรีบจูงจ้าวซันพาเดินเข้ามาในห้องเหม่ยอิง ผิงอันเดินไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้าของเหม่ยอิงออก
“นี่ไงคะ หลักฐาน” ภาพภายในตู้เสื้อผ้าค่อนข้างว่างเปล่า มีเสื้อผ้ากระจัดกระจายเป็นบางส่วน “กระเป๋าเดินทางที่อยู่ตรงนี้ก็หายไป” ผิงอันเดินไปที่ตู้เซฟที่เหม่ยอิงเปิดทิ้งไว้ ไปยืนชี้ให้จ้าวซันดู “แล้วก็นี่อีก พี่เค้ามาขนของทุกอย่างไปหมดแล้วเมื่อเช้านี้ นี่ยังไม่รวมเครื่องเพชรของ...”
“เพ้อเจ้อ ไม่จริง”
แม่สี่รีบวิ่งเข้ามาในห้อง ตามมาด้วยอาม่า
“โอ๊ย พอได้แล้วค่ะ ถ้ามันไม่จริงแล้วนี่มันอะไร เมื่อคืนมีขโมยขึ้นบ้านเราเหรอคะ ดี เดี๋ยวหนูจะได้รีบโทรไปแจ้งความ เรื่องจะได้ไปถึงตำรวจ ดีไหมคะ?” แม่สี่อึ้งไม่ตอบ มองหน้าอาม่า “ไทไทพูดถูกทุกอย่าง ตระกูลจ้าวกำลังจะล่มสลาย ถ้าพี่เหม่ยอิงทำอะไรที่ไม่ดีก็จะต้องได้รับผลกรรม ไม่เชื่อแม่ก็คอยดูแล้วกัน”
แม่สี่เดินปรี่เข้าไปตบหน้าผิงอัน
“เหม่ยอิงเป็นพี่สาวแท้ๆ ของลูก ทำไมลูกถึงพูดแบบนี้”
“แล้วหนูล่ะ หนูเป็นลูกแท้ๆ ของแม่หรือเปล่า ทำไมถึงทำกับหนูแบบนี้ หนูไม่อยู่แล้วเหมือนกันบ้านนี้ หนูก็จะหนีไปอีกคน”
ผิงอันพูดจบแล้วก็รีบวิ่งออกไป
“คุณหนู เดี๋ยวค่ะ”
อาม่าจะวิ่งตามไป
“ไม่ต้อง ปล่อยมัน ปีกกล้าขาแข็งกันดีนัก” แม่สี่หันไปมองหน้าจ้าวซัน “รู้ความจริงแล้ว พอใจหรือยังล่ะคะ”
จ้าวซันอึ้ง หลบหน้า ถอนหายใจ กลุ้ม มองห้องเหม่ยอิงที่ว่างเปล่า
เกาเฟยนอนกองหมดสภาพอยู่ใต้สะพาน พันหงปิงกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ไม่ไกล
“ได้ๆ ดีมาก ส่งมาเลย”
พันหงปิงกดมือถือวางสาย เดินไปใช้เท้าเขี่ยเกาเฟยที่นอนไม่ได้สติอยู่ สักพักก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเป็นเสียงข้อความเข้า พันหงปิงกดเพื่อเช็คดู เมื่อเห็นแล้วก็หัวเราะเสียงดัง พันหงปิงก้มลงตบหน้าเกาเฟยเบาๆ ทั้งสองข้าง ยื่นจอมือถือไปตรงหน้า
“เฮ้ย ตื่นๆ มีอะไรให้แกดูแหนะ เห็นแล้วแกจะต้องดีใจจนน้ำตาไหลเลยล่ะ”
พันหงปิงหัวเราะ เกาเฟยลืมตาขึ้นดูรูปในมือถือ เป็นรูปลูกๆ และเมียเกาเฟยที่เวียดนาม กำลังยิ้มอย่างมีความสุข เกาเฟยตื่น ตาสว่าง ช็อก
“คิดถึงล่ะสิ”
“แก แกจะทำอะไร”
“ทำอะไร ยางงง ยังไม่ทำอะไร แค่ให้ลูกน้องที่อยู่เวียดนามถ่ายรูปครอบครัวแกส่งมาให้ดูเล่นๆ นั้นเอง”
พันหงปิงวางมือถือไว้กลับพื้นตรงหน้าเกาเฟย
“ครอบครัวฉันไม่เกี่ยวนะเว้ย”
“จะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวไม่รู้ แต่ถ้าฉันยังไม่ได้เงินในส่วนที่ฉันควรจะได้ล่ะก็ ครอบครัวแก เมียและลูกๆ สุดที่รักของแก ก็จะต้อง...” พันหงปิงใช้ด้ามปืนทุบไปที่จอโทรศัพท์ หน้าจอโทรศัพท์แตกกระจาย รูปครอบครัวเกาเฟยบนหน้าจอมีรอยแตกออกเป็นเสี่ยงๆ “เป็นแบบนี้”
พันหงปิงหัวเราะ เกาเฟยมองเห็นอยู่จะจะตรงหน้า ช็อก เจ็บแค้น ดิ้นรนสุดแรง
“ได้ งั้นก็ปล่อยฉันไปได้แล้ว ฉันสัญญาว่าจะไปหาเงินมาให้แกให้ได้ ด้วยวิธีของฉันเอง.”.
พันหงปิงหัวเราะ รีบเข้าไปแก้มัดให้เกาเฟย
“มันต้องอย่างนี้สิเพื่อนรัก และหวังเพื่อนคงจะรักษาคำพูดด้วยนะ อย่าคิดหนีไปไหนอีก เพราะถ้าไม่อย่างนั้นฉันคงต้องส่งเพื่อนให้ไปนอนรออยู่ในนรกคนเดียวก่อน”
เกาเฟยค่อยๆ ยันตัวเองแล้วลุกขึ้นมา แต่ยังดูไม่แข็งแรงเท่าไหร่นัก
“พอจะนึกออกแล้วว่า จะไปตามหา “เงิน” ได้จากที่ไหน” เกาเฟยค่อยๆ เดินออกไปจากใต้สะพาน พันหงปิงมองตามจนเกาเฟยเกือบจะลับสายตาไป เกาเฟยเดินสวนกับลุงแก่ๆ คนหนึ่งที่กำลังเดินโทรศัพท์สวนไป “เอามานี่”
เกาเฟยกระชากมือถือในมือลุงแก่ๆ แล้วรีบวิ่งไป
“ขโมยๆๆ ช่วยด้วย ขโมย”
“นึกไม่ถึงว่า ครอบครัว ลูก เมีย มันจะทำให้คนเรามีพลังฮึดได้ขนาดนี้ สงสัยเราคงต้องมีบ้างซะแล้ว”
พันหงปิงหัวเราะ แล้วเตะโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่กับพื้นลงอ่าวไป
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 18 (ต่อ)
เกาเฟยเดินกดโทรศัพท์เพื่อโทรหาเหม่ยอิงมาตลอดทาง
“ทำอะไรของเขาอยู่นะ” เกาเฟยมานั่งอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ และกดโทรศัพท์ต่อ “คุณเหม่ยอิง เปิดเครื่องสักทีสิ”
เกาเฟยเริ่มหงุดหงิดกดโทรศัพท์อีกหลายครั้ง แล้วเอาโทรศัพท์มาแนบหูเพื่อรอฟังสัญญาณเรียกเข้า สักพักเกาเฟยก็ดีใจ ยิ้มออกมา
“เหวย”
ในห้องที่โกดัง บราลีนั่งคุกเข่า พยายามเอาปลายของไม้แขวนเสื้อ พยายามแยง แหย่ ไขในลูกบิดประตูจนมือเจ็บ เหงื่อแตก ในที่สุดก็ท้อใจทรุดนั่งลงแปะ พิงผนังข้างประตู น้ำตาบราลีไหลอย่างเจ็บใจ
“เหม่ยอิง เธอไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้กับชั้น เธอไม่มีสิทธิ์”
สักพัก บราลีฮึดสู้ ลุกขึ้นมาอีก มองๆๆ หา ในที่สุดบราลีมาจ้องที่ราวแขวนผ้าที่เป็นแท่งโครเมี่ยมกลม มีความแข็งแรง บราลีรื้อเสื้อที่แขวนลงอย่างรวดเร็วแล้วถอดราวนั้นออกมา มันคือแท่งโลหะยาวอันนึง บราลีเอาแท่งราว ฟาดกับลูกบิด บราลีฟาดซ้ำอีก
เทเรซ่าถือแท็บเล็ตพาจ้าวซันเดินเข้ามาในห้องของเหม่ยอิงที่คอนโดแห่งใหม่ ซ่างกวานซิงถือซองเอกสารเดินตามมาติดๆ
“ดิฉันเจอคีย์การ์ดอันนี้ที่โต๊ะของคุณเหม่ยอิง เธอคงลืมทิ้งไว้ หรือไม่ก็คงไม่คิดจะเอาไปด้วย”
“เป็นคอนโดแห่งใหม่ที่คุณเหม่ยอิงแอบยักย้ายถ่ายโอนเงินของบริษัท เอามาซื้อเป็นของส่วนตัว หลักฐานทั้งหมดอยู่ในนี้ครับ”
ซ่างกวานซิงส่งซองเอกสารให้จ้าวซัน จ้าวซันรับมาถือไว้เฉยๆ ถอนหายใจ ระอา จ้าวซันเดินไปดูรอบๆ ห้อง พบว่ามีร่องรอยการเก็บของใช้ไปหมด บนโต๊ะเครื่องสำอาง พวกน้ำหอม และข้าวของต่างๆ ก็โดนเก็บไป จ้าวซันหยิบกรอบรูปที่มีรูปจ้าวซันถ่ายคู่กับเหม่ยอิงขึ้นมาดู อึ้งๆ
“ท่าทางเหมือนเตรียมตัวจะเดินทางไกลนะครับ”
“ไม่ใช่ท่าทางหรอก มาสเตอร์คะ นี่ค่ะ”
เทเรซ่ายื่นแท็บเล็ตส่งให้
“มีอะไรอีกเหรอ”
“ดูเองดีกว่าค่ะ”
จ้าวซันรับมา พิจารณาดู
“หลักฐานการซื้อตั๋วเครื่องบิน ไปอังกฤษเที่ยวบินพรุ่งนี้เช้า”
“ค่ะ เราพบมันในคอมพิวเตอร์ของคุณเหม่ยอิงที่บริษัท”
“พรุ่งนี้เช้า”
เช้าวันรุ่งขึ้น ลูกบิดประตูถูกบราลีทุบๆ เบาลงๆ ตามแรงที่ลดถอย ลูกบิดดูไม่สะทกสะท้านเลย
“เหม่ยอิง เธอยังอยู่หรือเปล่า เหม่ยอิง เธอมันขี้ขลาด แน่จริงปล่อยชั้นออกไปซี่”
บราลีหมดแรง ทรุดลง นอนฟุบไป บราลีหลับตาแล้วผล็อยหลับไป บราลีหลับนิดนึง แล้วสะดุ้งตื่นเอง
บราลีมองไปที่ลูกบิดประตูแล้ว กัดฟันลุกขึ้นมาใหม่ แรงแทบไม่มีแล้ว เซๆ บราลีคว้าแท่งราว เงื้อแบบสุดล้าอีกทีแล้วกัดฟัน ฟาดเปรี้ยง ลูกบิดหักกระเด็น บราลีเซ ล้ม แล้วรีบตะกายลุก วิ่งเปิดบานประตูนั้นออกมาได้
บราลีเดินดูมาในโกดัง มองรอบๆ สภาพที่เห็นเป็นโกดังร้างแต่กว้างขวาง บราลีมองหาทางออก ประตูต่างๆ อะไร อยู่ตรงไหน บราลีงง ไม่รู้จะไปทางไหนดี บราลีเดินไปรอบๆ เห็นประตูใหญ่ด้านหน้าที่ปิดสนิท มืดทึบ
บราลีรู้สึกว่าผิดทางจึงหันกลับ รีบเดินไปอีกด้าน บราลีเดินมา แล้วดีใจ เบิกตากว้างเมื่อเห็นแสงทอดเป็นลำมาจับบนพื้น เป็นช่องประตูสี่เหลี่ยม บราลีรีบเดินไป แล้วชะงักเมื่อเห็นโซฟาใหญ่เก่าๆ อันนึงตั้งอยู่ มีพัดลมตั้งพื้นอันใหญ่เปิด เหม่ยอิงนั่งพิงสบาย จิบกาแฟในถ้วยกระดาษ บนโต๊ะมีปืนวาง
บราลีชะงักยืนงง เหม่ยอิงหันมา หัวเราะ แล้วตบมือเบาๆ
“เก่งมาก บราลี เธอนี่มันไม่ธรรมดาจริงๆ หาทางเปิดออกมาได้ด้วย แต่ใช้เวลาทั้งคืนเลยนะ หมดแรงหรือยังยังไหวไหมเนี่ย”
“เหม่ยอิง คุณทำทั้งหมดนี้เพื่ออะไร คุณต้องการอะไร”
“ฉันต้องการฆ่าเธอไง”
“ฆ่าชั้น แล้วคุณจะได้อะไร”
“ทีแรก ชั้นก็ไม่อยากฆ่าเธอหรอกนะ แต่พอชั้นอยากฆ่าเธอเท่านั้นแหละ ชั้นอยากฆ่าเลย” เหม่ยอิงหัวเราะ บราลีมองแบบช็อกไปแล้ว เหม่ยอิงหยุดเบรกหัวเราะกึก “อ้าว นี่เธอไม่ขำหรอกเหรอ ฉันพูดตลกนะ”
“คุณเหม่ยอิง ชั้นไปทำอะไรให้คุณ”
“อีหน้าด้าน เธอแย่งพี่ชายใหญ่ไปจากชั้น อยู่ๆ เธอก็จะเข้ามาครอบครองบ้านสี่ฤดู จะมาเป็นจ้าวไทไทคนที่สองหรือไง เธอมาขโมยความฝันของชั้น เธอมาขโมยชีวิตชั้นไปทั้งหมด แล้วยังจะมีหน้ามาถามอีกเหรอ ว่าเธอทำอะไรให้ชั้น”
เหม่ยอิงคว้าปืนมา แล้วปลดล็อค ยิงใส่บราลีทันที บราลีตกใจ ผงะ นึกว่าตายแน่แล้ว แต่แล้วปรากฏว่าปืนด้าน ดังแชะ เหม่ยอิงตกใจ รีบตั้งท่าเล็งจะยิงใหม่ บราลีตัดสินใจในช่วงวินาทีนั้นกระโดดเข้าไป หมุนตัว เตะมือเหม่ยอิงที่ถือปืน ปืนกระเด็น เหม่ยอิงตกใจ ผงะ
ทั้งสองต่างหันมา จ้องกันแบบดูเชิงว่าอีกคนจะเอาไง เหม่ยอิงชำเลืองมองที่ปืนหล่น บราลีหันไปมองปืน แล้วตัดสินใน โดดไป จะเอา เหม่ยอิงกระโดดไปถึงก่อน จะคว้า บราลีวิ่งเอาปลายเท้าเตะปืนจนกระเด็นไปอีกไกล เหม่ยอิง
โกรธมาก
“นังตัวดี นึกว่าเก่งนักเหรอ”
เหม่ยอิงกระโดดใส่ ตบบราลีสุดแรง บราลีหน้าหันไป เจ็บมาก เหม่ยอิงตบซ้ำ บราลีโดนอีก เต็มๆ เซแซ่ด ล้มลง เหม่ยอิงตาม ยกข้าจะกระทืบ บราลีหันมาคว้าน่องเหม่ยอิงได้ จับแล้วผลักดันออกไป เหม่ยอิงเสียหลัก ล้มหงายลง
บราลีได้จังหวะ รีบหัน พุ่งตะกายไปคว้าปืน ในที่สุดบราลีคว้าปืนได้ ดีใจ หันมา แล้วผงะเมื่อปืนอีกกระบอก จ่ออยู่ตรงหน้า บราลีอึ้งปรากฏว่าเป็นเกาเฟย
“ฮัลโหล มิสภีมะมนตรี”
บราลีกลืนน้ำลาย หมดแรง เกาเฟยยึดปืนไปจากมือ เหม่ยอิงลุกได้ วิ่งเข้ามาเล่นงานบราลีด้วยความโมโห
“อีนี่ ฤทธิ์มากนัก”
เหม่ยอิงจิกหัวบราลีตบๆๆ เกาเฟยเข้ามาดึงแขนเหม่ยอิง
“พอแล้ว คุณหนู”
“ชั้นจะฆ่ามันๆ”
“คุณหนูควรจะไปแอร์พอร์ตได้แล้ว นี่มันใกล้เวลาบินแล้ว” เหม่ยอิงอึ้งงงๆ “คุณหนูต้องไปขึ้นเครื่องเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวจะไม่ทัน คุณหนูต้องไปก่อนที่ตำรวจมันจะตั้งข้อหาอะไรซักอย่างให้คุณหนูได้นะครับ” เหม่ยอิงหอบๆ พยายามตั้งสติ “คุณหนู อย่าเพิ่มคดีอะไรให้กับตัวเองอีกเลย ผมขอร้องล่ะนะครับ ส่วนอีนังนี่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง”
เหม่ยอิงนิ่งไป พยายามสงบใจ เกาเฟยมองมาที่บราลี ยิ้มโหด
ในรถ บนถนน จ้าวซันกำลังนั่งกระวนกระวายอยู่เบาะหลัง
“แกเคยขับเร็วแค่ไหน ขับให้มันเร็วกว่านั้นสิบเท่า”
“ผมก็อยากอยู่หรอกครับ ถ้ารถมันไม่ติดแบบนี้”
รถแล่นมาได้สักพัก ก็ค่อยๆ ชะลอลงและจอดสนิท จ้าวซันมองเห็นรถติดยาวอยู่ด้านหน้า
“ทำไมอยู่ดีมันถึงติดขึ้นมาได้ล่ะ”
“ผมก็ไม่ทราบครับ แต่ผมว่าถ้ามาสเตอร์ไปรถไฟฟ้าได้ละก็อาจจะทัน”
จ้าวซันหงุดหงิด หันรีหันขวางไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดี
“หาทางกลับรถข้างหน้า แล้วรีบพาฉันไปส่งที่สถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุด” อาหลี่เปิดไฟเลี้ยวขอทาง และหาทางแทรก ทันใดนั้นก็มีโทรศัพท์เข้ามา จ้าวซันกดรับ “เหวย” จ้าวซันฟังสักครู่ ชะงัก หน้าซีด “เกาเฟย”
อาหลี่ได้ยิน สะดุ้ง ตาเบิกกว้าง
เกาเฟยอยู่ที่หน้าร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง
“ได้ข่าวว่ากำลังตามหาคุณบราลีใช่ไหม”
“เกาเฟย บราลีอยู่กับแกเหรอ ขอฉันพูดกะเค้าสิ”
อาหลี่ตกใจ มองดูจ้าวซันผ่านกระจกหลัง
“จุ๊ๆ ไม่เอา พูดแบบนี้ ใครได้ยินเข้างจะเข้าใจฉันผิด”
“แกจะทำอะไรบราลี”
“ถ้าอยากเจอบราลีนักล่ะก็ มาเจอกันหน่อยดีไหม”
“ได้ แกจะให้ไปเจอที่ไหน”
“ท่าเรือ”
อาหลี่กำลังกลับรถตรงยูเทิร์น จ้าวซันรีบบอกอาหลี่
“ตรงไปก่อน ไม่ต้องกลับรถ” อาหลี่หักพวงมาลัยกลับแทบไม่ทัน เสียงรถคันอื่นบีบแตรดังสนั่น “ท่าเรือที่ไหน เมื่อไหร่”
เกาเฟยยิ้มอย่างผู้ชนะ
รถจ้าวซันแล่นมาจอดที่ท่าเรือแห่งหนึ่ง จ้าวซันเปิดประตูรถลงมาแล้วรีบวิ่งไป อาหลี่ลงจากรถวิ่งไปหาอีกทาง
ท่าเรือดูสงบ เงียบ ไม่มีอะไรผิดปกติ จ้าวซันชะงัก หมุนรอบตัว ทุกอย่างสงบ ไม่มีอะไรผิดปกติ อาหลี่วิ่งกลับมา
“ไม่มีอะไรเลยครับ”
“เราโดนหลอกแล้ว”
สองคนหน้าซีด
รถเหม่ยอิงแล่นมาในถนน ในรถ เกาเฟยขับอย่างรีบเร่ง เหม่ยอิงนั่งเคียง สวมแว่นดำ หน้านิ่งสงบ พวกกระเป๋าเดินทางตั้งอยู่ที่นั่งเบาะหลัง ส่วนที่กระโปรง บราลีถูกจับมัด นอนตะแคง หมดแรง ท้อ นอนอยู่ภายในกระโปรงท้ายรถ
หน้าบราลี สิ้นหวัง กลิ้งไปมา เวลารถเบรกกระชาก
ภาพป้ายบอกทางไปสนามบิน อีกไม่ไกล ทันใดนั้นก็มีเสียงทุบปึงปังมาจากหลังรถ เหม่ยอิงหันไปมองรำคาญ แสยะยิ้มด้วยความหมั่นไส้ เหม่ยอิงนิ่งครุ่นคิด
“แกจะจัดการกับมันยังไง”
“ผมก็มีวิธีของผมแล้วกัน ผมก็จะทำให้จ้าวซันมันเจ็บปวดมากที่สุด มากกว่าที่มันเคยเจอมาทั้งชีวิตเลย”
“ดี วิธีอะไรของแก”
“ผู้หญิงที่มันรักมากที่สุดกำลังอยู่ในมือเรา ไม่ว่าเราจะทำอะไร วิธีไหนมันก็เจ็บปวดทั้งนั้นไม่ใช่เหรอครับ” เกาเฟยหัวเราะสะใจ เหม่ยอิงอึ้ง หน้านิ่งไป ไม่หัวเราะด้วย เกาเฟยสังเกตเห็น “หรือว่า คุณมีแผนอะไรอยู่ในใจแล้ว”
“จอดรถ”
“อะไรนะครับ”
“ฉันบอกให้หาที่จอดรถ หูหนวกหรือไง”
“ครับๆ”
เกาเฟยตกใจ ลนลาน รีบหาทางจอดรถข้างทาง
เกาเฟยขับรถเลี้ยวลงมาข้างทาง ตรงเข้าไปเรื่อยๆ
“ตรงไปอีก”
เกาเฟยหันมามองหน้าเหม่ยอิง งง อ่านใจไม่ออก ไม่รู้ว่าเหม่ยอิงจะทำอะไรต่อ เสียงทุบรถจากกระโปรงหลังดังขึ้นมาอีก เหม่ยอิงหันไปตะโกน
“โอ๊ย รำคาญ”
“เราเข้ามาลึกไป เดี๋ยวจะไปสนามบินไม่ทันนะครับ”
“จอดตรงโน้น” เกาเฟยหยุดรถในที่ทางแยกห่างจากถนนใหญ่พอประมาณ “ลงไปได้แล้ว”
เกาเฟยหันมามองหน้าเหม่ยอิง แล้วเปิดประตูออกอย่างงงๆ
“จะให้ผมจัดการมันที่นี่เลยเหรอครับ”
เหม่ยอิงนิ่งสักพัก ไม่ตอบ มองตรงไปข้างหน้า แววตาดุดัน
“คนที่จะทำให้จ้าวซันเจ็บปวดที่สุด ต้องเป็นชั้น ไม่ใช่แก” เหม่ยอิงเปิดประตูออกมาจากรถ เกาเฟยมองงงๆ กดปุ่มเปิดกระโปรงหลังรถ แล้วรีบลงจากรถตาม “ใครใช้ให้แกเปิด”
เหม่ยอิงรีบเดินไปที่กระโปรงหลัง เปิดขึ้นออกมาดูชั่วขณะ บราลียังคงถูกมัดอยู่ เหงื่อโทรมกาย มองมาด้วยสายตาตื่นกลัว
“เหม่ยอิง เธอจะทำอะไรชั้น”
“มันยังไม่ถึงเวลาของแก อย่าเพิ่งขาดใจตายไปซะก่อนล่ะ”
เหม่ยอิงกระแทกปิดกระโปรงหลังรถเสียงดัง
“หมายความว่ายังไง คุณจะทำอะไร”
“หลีกไป”
เหม่ยอิงผลักเกาเฟยออก จะขึ้นไปนั่งที่คนขับ
“คุณจะทำอะไร”
เกาเฟยเข้ามาคว้าไหล่เหม่ยอิงไว้ เหม่ยอิงหันกลับแล้วบัดมือเกาเฟยออกอย่างแรง
“อย่าเอามือสกปรกๆ ของแกมาจับตัวฉันอีก ไปได้แล้ว”
“คุณหนู”
“แกหมดประโยชน์แล้ว”
เหม่ยอิงจะเข้าไปนั่งในรถ เกาเฟยรีบเข้ามาขวางไว้
“ผมขอร้องล่ะ หนีไปเถอะครับ ทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่ ปล่อยให้ผมจัดการเอง”
“นี่ไม่ใช่เรื่องของแกนะเกาเฟย งานของแกมันจบแล้ว”
เหม่ยอิงจะผลักเกาเฟยออกไป แต่เกาเฟยขืนตัวไว้ ไม่หลบ เหม่ยอิงตีๆๆ เกาเฟยก็ไม่ยอมหลีก เกาเฟยอ้อมไปกอดตัวเหม่ยอิงจากทางด้านหลัง แล้วล็อกตัวไว้ให้สงบสติอารมณ์
“ปล่อยฉัน ไอ้บ้า ปล่อย”
“ผมทำทุกอย่างเพื่อคุณหนูนะครับ เพื่อเราสองคน”
เหม่ยอิงดิ้นสะบัดทำทุกวิถีทาง เหม่ยอิงใช้ส้นสูงกระแทกไปที่เท้าเกาเฟย เกาเฟยเผลอคลายมือที่รัดไว้ออกเหม่ยอิงได้โอกาวรีบกระโจนเข้าไปในรถ แล้วปิดประตูทันที เกาเฟยทุบกระจกรถบอกให้เปิด เหม่ยอิงสตาร์ทรถ และถอยหลังกลับรถ เร่งเครื่อง เกาเฟยพยายามวิ่งตามไป เหม่ยอิงหักรถ พุ่งเข้าชน เกาเฟยหลบ เหม่ยอิงไล่ชนไปสักระยะ แล้วเหม่ยอิงก็รีบขับออกไป ทิ้งเกาเฟยให้อยู่คนเดียวริมทางเปลี่ยว
ไฟจากรถเหม่ยอิงค่อยหายไป ถนนค่อยๆ มืดลง
“โธ่เว้ย”
ทางไปสนามบิน ภายในรถจ้าวซัน อาหลี่ขับรถพาจ้าวซันนั่งไปด้วยความเร็ว จ้าวซันกำลังนั่งโทรศัพท์อยู่หลังรถ
“อะไรนะครับ เครื่องออกไปแล้ว” อาหลี่เหลือบมองผ่านกระจกหลัง “เช็คแน่นอนแล้วใช่ไหมครับ ครับๆ ขอบคุณครับ”
จ้าวซันกดโทรศัพท์วางสาย ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ไม่ทันแล้วใช่ไหมครับ” จ้าวซันพยักหน้าเบาๆ เซ็ง “แล้วเราจะทำยังไงต่อไปดีครับ คุณชายจะตามไปที่อังกฤษ”
“เหม่ยอิงไม่ได้ขึ้นเครื่องไป”
“หา...หมายความว่า...”
“เหม่ยอิงยังอยู่ในฮ่องกง”
จ้าวซันกลุ้มใจ มองออกไปนอกหน้าต่างรถ
เครื่องบินบินตัดฟ้าไป เหม่ยอิงที่ยืนข้างๆ รถ ที่จอดอยู่ริมหาดหิน ตามองดูเครื่องบิน ที่บินข้ามหัวไป สีหน้าเหม่ยอิงเหมือนตัดสินใจบางอย่างจึงดูเหี้ยมเกรียม เยือกเย็น
บริษัทฉินเย่ว์กรุ๊ป หมวดจางยืนรออยู่ในห้องทำงานจ้าวซัน ที่โต๊ะทำงาน เทเรซ่ากดข้อมูลในคอมพ์ หมวดจางรอดู แผนที่กูเกิ้ลที่บอกตำแหน่งโรงงานทั้งหมด และโกดังต่างๆ ปรากฏขึ้น เป็นโยงใยถนนในฮ่องกง หมวดจางรีบมาดู
“นี่คือแผนที่ของโกดัง โรงงาน และท่าเรือของบริษัทในเครือของฉินเย่ว์กรุปทั้งหมดค่ะ”
หมวดจางยืนดู แล้วเข้ามากดขยายดู ตรงจุดนั้นจุดนี้
“โอเค ผมขออนุญาติก็อปลิงก์หน้านี้ส่งไปที่ในอีเมล์ผมหน่อยนะครับ จะได้ให้หน่วยต่างๆ ช่วยกันไปค้นหาให้เร็วที่สุด”
เทเรซ่าหลีกที่ให้ หมวดจางจัดแจงเปิดหน้าจีเมล์ เทเรซ่ามอง เอาใจช่วย
หมวดจางขับรถพาผู้กองเหลียงเลี้ยวเข้ามาที่โกดังเก็บสต็อกเสื้อผ้าของสื้อฉวนแฟชั่น ผู้กองเหลียง หมวดจางและเต๋อเป่ารีบลงจากรถ เดินเข้าไปสำรวจรอบๆ
“ที่นี่แน่นะ”
“ไม่ผิดแน่ครับ”
ผู้กองเหลียงตรงไปที่ประตู บิดลูกบิดออก ลูกบิดหลุดออกมา
“ไม่ได้ล็อกนี่”
ผู้กองเหลียงหันมองหมวดจาง แล้วค่อยๆ เปิดประตูออก ผู้กองเหลียงหยุด มองไปรอบๆ สังเกตที่ประตูและลูกบิดที่หักจากด้านใน หมวดจางมองตาม
“ถูกทุบจนพังเลย”
เต๋อเป่ามองหาไปรอบๆ เห็นอุปกรณ์ที่บราลีใช้ทุบประตูตกอยู่ใกล้ๆ
“คงจะเป็นไอ้นี่”
หมวดจางเดินอ้อมไป หาทางเปิดไฟในโกดัง ไฟสว่างขึ้น เผยให้เห็นกองเสื้อผ้ามากมายอยู่ด้านใน ผู้กองเหลียง เต๋อเป่า และหมวดจางรีบเดินเข้าไปดู หยิบถุงเสื้อในลังออกมา
“เสื้อผ้าดีๆ พวกนี้ทำไมถึงเอามาเก็บไว้ที่นี่”
“นี่มัน...”
“เสื้อผ้าของสื้อฉวนที่ถูกปล้นไป ใช่ไหม”
เต๋อเป่าพยักหน้าเบาๆ ยังไม่แน่ใจนัก รีบไปค้นเสื้อที่อยู่ในลังต่างๆ อย่างรวดเร็ว
“ใช่ครับ ใช่แน่ๆ” รถจ้าวซันที่มีอาหลี่ขับมาถึงหน้าโกดัง “คุณชายมาแล้ว”
จ้าวซันกับอาหลี่รีบวิ่งลงมาจากรถ และเข้ามาในโกดัง
“โทษที มาช้าไปหน่อย ผมพลาดอะไรไปหรือเปล่า”
“ไม่น่าจะมีใครอยู่ที่นี่แล้วนะครับ”
“คุณชายครับ เราเจอนี่”
เต๋อเป่าส่งเสื้อให้จ้าวซันดู
“เสื้อที่เราจะส่งออกไปต่างประเทศนี่ ตรงตามสเป็คเดิมทุกอย่าง”
“น่าจะอยู่ครบด้วยนะครับ”
จ้าวซันกวาดตามองข้าวของที่อยู่รอบๆ โกดัง ดีใจขึ้นมาเล็กน้อย ยิ้มมุมปาก
“รีบติดต่อเทเรซ่าหรือซ่างกวานซิงใครก็ได้นะ ให้มาจัดการส่งเสื้อผ้าพวกนี้ไปให้ลูกค้าด่วนที่สุด”
“ครับ”
เต๋อเป่ารับคำแล้วรีบแยกตัวออกไปโทรศัพท์
“ไม่ต้องสงสัยเลยใช่ไหมครับว่าเป็นฝีมือใคร”
จ้าวซันพยักหน้า เสียใจลึกๆ
“ผู้กองมาดูนี่เร็วครับ”
ผู้กองเหลียงและจ้าวซันวิ่งตามเสียงของหมวดจางไป เห็นร่องรอยการต่อสู้ในโกดัง และเชือกที่มัดบราลีตกอยู่
“มีร่องรอยการต่อสู้ที่นี่ น่าจะยังไม่นานด้วย”
เต๋อเป่าวิ่งตามมาสมทบ จ้าวซันเหลือบเห็นของบางอย่างตกอยู่ในหลืบเสา จ้าวซันเดินไปหยิบขึ้นมาดูช้าๆ แล้วทำหน้าตกใจ อึ้ง ทุกคนมองตามว่าอะไร
“กระเป๋าถือ”
“ใช่ ของบราลี”
ทุกคนมองหน้ากัน จ้าวซันมั่นใจ สีหน้าร้อนรนยิ่งขึ้น
อเล็กซ์นั่งอยู่ในห้องคอมพิวเตอร์ที่สถานีตำรวจ มีคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊คสาม-สี่เครื่องเปิดอยู่รอบตัว อเล็กซ์กำลังคลิกดูรูปจากกล้อง CCTV ที่ถูกส่งมาผ่านเนตสลับกันไปมา พร้อมคุยโทรศัพท์ท่าทางร้อนรน
“ตอนนี้กล้องตามถนนใหญ่ที่จับภาพรถของคุณเหม่ยอิงได้มีอยู่สามตัวครับ”
จ้าวซันกำลังพูดสายอยู่อีกทาง มีพวกอาหลี่ ผู้กองเหลียง เต๋อเป่า และหมวดจางคอยยืนลุ้น
“ตกลงรถมุ่งหน้าไปทางไหน”
“ยังไม่ทราบแน่ชัดนะครับ ด้านหน้ามีทางแยกหลายทาง แต่ตำรวจทางหลวงกำลังติดตามและส่งข้อมูลมาให้อยู่ครับ”
“ตำรวจอะไรนะ เหวยๆ ผู้กองได้ยินผมไหม”
“คุณชายครับ สัญญาณในห้องนี้ไม่ค่อยดี”
“ตกลงว่าไงนะ ตกลงเหม่ยอิงอยู่ไหนแล้ว”
“เอ่อ...กล้องตัวล่าสุดจับภาพรถของคุณเหม่ยอิงได้บนถนน Cape Collison”
“Cape Collison เหรอ”
จ้าวซันพูดทวนประโยคพร้อมมองหน้าคนอื่นๆ
“ถนนเส้นนี้ยาวมาก” ผู้กองเหลียงบอก
“ใช่ จะเลี้ยวไปไหนก็ได้ ไม่มีทางรู้เลย”
“เหม่ยอิงผ่านช่วงไหนของ Cape Collison ไปแล้วบ้าง เหวยๆ ผู้กอง”
จ้าวซันเอาโทรศัพท์ออกมาดู
“ผมจะให้ตำรวจที่อ่าว Big Wave ขับรถย้อนขึ้นมานะครับ” อเล็กซ์บอกแต่จ้าวซันไม่ได้ยิน
“ไม่มีสัญญาณ ไม่ได้การแล้ว” จ้าวซันหันมองซ้ายขวา เห็นรถมอเตอร์ไซค์ของตำรวจ ตัดสินใจวิ่งไปกระโดดขึ้นคร่อม “ขอยืมไปก่อนนะ” จ้าวซันสตาร์ทเครื่องทันทีและบิดออกไป อาหลี่ หมวดจาง ผู้กองเหลียง เต๋อเป่า วิ่งตาม
“คืบหน้ายังไงแล้วโทรบอกด้วย หรือไม่ก็ส่งแมสเสจมา”
จ้าวซันบอกแล้วพุ่งรถออกไปขณะที่ยังพูดไม่จบประโยคดี
“คุณชายผมไปด้วย”
เต๋อเป่าวิ่งตามไปแต่ไม่ทัน ทันใดนั้นมีโทรศัพท์เข้ามาที่มือถือผู้กองเหลียง ผู้กองเหลียงรับหน้าเครียด
“ว่าไงอเล็กซ์”
จ้าวซันขี่มอเตอร์ไซค์มาตามถนนชายเมืองที่ ไกลออกไป ไม่มีผู้คน
“จะไปที่ไหนนะ ถ้าเป็นเหม่ยอิง เราจะพาบราลีไปที่ไหน คิดสิๆ” ถึงทางแยกจ้าวซันเหลือบมองป้ายข้างทางบอกทางไปถนน Cape Collison ให้เลี้ยวซ้าย จ้าวซันรีบหักเลี้ยวซ้ายทันที “ขอให้ตามทันทีเถิด” จ้าวซันเหลือบมองเข็มบอกระดับน้ำมันของรถมอเตอร์ไซค์ มีสัญญาณขึ้นมาเตือนว่าน้ำมันจะหมดถัง “ให้มันได้อย่างนี้สิ”
สักพักมีข้อความเข้ามายังมือถือจ้าวซัน จ้าวซันชะลอความเร็วลง แล้วหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋า จ้าวซันกดอ่านดู พยักหน้า สีหน้ามุ่งมั่น แล้วบิดมอเตอร์ไซค์พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
รถยนต์ของเหม่ยอิงพุ่งมาด้วยความเร็ว เหม่ยอิงหยิบแว่นกันแดดขึ้นมาใส่ และกดเปิดวิทยุในรถเพลงบรรเลงคลาสลิกดังลอยมา
“เธอคงไม่ชอบเพลงคลาสลิกหรอกใช่ไหมบราลี เดี๋ยวฉันจะเปิดเพลงสนุกๆ ให้” เหม่ยอิงเอาซีดีใหม่เป็นเพลงแนวแด๊นซ์ใส่ลงไปในเครื่อง เหม่ยอิงเร่งความดังของเสียงมากขึ้นสุดๆ แล้วแลตาไปพูดกับบราลีทางด้านหลัง “ดิ้นให้สนุกอยู่ในท้ายรถไปเลยนะจ๊ะ”
เหม่ยอิงหันกลับมาเห็นรถตำรวจจอดดักอยู่สองคัน พร้อมตำรวจลงมายืน 4-5 คนพร้อมด่านกั้น ตำรวจเห็นรถเหม่ยอิงกำลังแล่นเข้ามา ตำรวจคนหนึ่งรีบหยิบวอขึ้นแจ้งข่าวทันที เหม่ยอิงรีบเบรกรถอย่างรวดเร็ว แล้วหักพวงมาลัยรถ กลับรถที่ตรงข้างทาง ตำรวจทั้งหมดเห็นไม่ได้การ รีบกระโจนขึ้นรถแล้วขับตามออกไป เหม่ยอิงมองรถตำรวจผ่านกระจกหลัง
“มาลองดูซักตั้งก็ได้ ว่ารถตำรวจของรัฐบาลฮ่องกงกับรถยนต์ของฉันใครมันจะแรงกว่ากัน”
เหม่ยอิงเหยียบคันเร่งแทบมิด รถเหม่ยอิงทิ้งห่างรถตำรวจไปไกล
เหม่ยอิงขับรถมา กัดฟัน เครียด เห็นซอยเล็ก รีบหักหนีเข้าซอยไปแต่แล้วเหม่ยอิงก็ต้องผงะ เพราะข้างหน้ามีมอเตอร์ไซค์พุ่งสวนมา เหม่ยอิงเบิกตากว้าง คนที่ส่วนมานั้นคือ จ้าวซัน จ้าวซันเห็นรถเหม่ยอิงจึงทำหน้าสะใจ จ้าวซันหักรถจอดขวาง ยืนคร่อมค้ำรถไว้ แล้วมองมาว่าถ้าจะชนตนก็เอาเลย
เหม่ยอิงทำหน้าปวดใจ จะทำอะไรก็ไม่ทัน เบรกเอี๊ยด จ่อหน้ากันพอดี จ้าวซันจ้องมา แววตาเจ็บปวด ผิดหวัง เสียใจ แล้วลงมาจากรถ ยืนจังก้ามองมาว่าเหม่ยอิงจะทำไง เหม่ยอิงนั่งเกาะพวงมาลัย หน้าตามึนชา จ้าวซันตัดสินใจ เดินเข้าไปหา
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 18 (ต่อ)
“ลงมาเลย เหม่ยอิง ลงมาคุยกับพี่”
เหม่ยอิงดับเครื่อง แล้วรวบรวมกำลังใจ ฮึดสู้ กัดฟัน
“ได้ค่ะ พี่ชาย ได้เสมอ” เหม่ยอิงเปิดประตูรถลงไป
“ดีใจมากเลยนะ ที่ได้เจอน้อง”
เหม่ยอิงเข้ามาเผชิญหน้ากับจ้าวซัน เธอเชิดหน้า สง่า
“ปกติ พี่ชายไม่เคยกระหาย อยากเจอน้องมากขนาดนี้เลยนะคะ แหม...ถ้ารู้ว่าแบบนี้ จะทำให้พี่สนใจน้องได้ น้องคงทำไปซะนานแล้ว”
จ้าวซันเดินผ่านเหม่ยอิงมา ส่องๆ ในรถ เห็นกระเป๋าและของที่วางเต็ม
“เปิดท้ายให้พี่ดูหน่อย”
“ดูอะไรคะ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
“ไม่มีอะไร แล้วทำไมน้องต้องเอาของมาไว้ข้างหน้าแบบนี้ล่ะ”
“ไม่รู้สิ น้องทำอะไร ไม่ค่อยมีเหตุผล”
“เหม่ยอิง พี่ขอร้องล่ะ”
“แล้ว...ถ้าเกิดน้องเปิดออกมา แล้วพี่ได้พบว่า ข้างในคือศพคนตายล่ะคะ” จ้าวซันหน้าซีด
“เหม่ยอิง เปิดเดี๋ยวนี้” เหม่ยอิงยิ้มเยาะ
“ถ้าน้องหายตัวไปบ้าง พี่จะหน้าซีดขนาดนั้นไหมคะ”
เหม่ยอิงเอากุญแจมา กดรีโมทประตูหลังออก ในท้ายรถ บราลีนอนหมดสติ หน้าขาว เหงื่อท่วมตัว จ้าวซันช็อกรีบพุ่งเข้าไปจับตัวบราลี
“ม่านฟ้าๆๆ” บราลีหมดสติไปนานแล้ว จ้าวซันไม่สนเหม่ยอิงอีกต่อไป รีบดึงแขนบราลีขึ้นนั่ง แล้วพยายามยกตัวบราลีออกมา “ม่านฟ้า น้องต้องไม่เป็นอะไร ม่านฟ้าๆ”
จ้าวซันจะร้องไห้ บราลีลืมตาขึ้นมา เห็นหน้าจ้าวซัน เหมือนสมองไม่สั่งการ ว่าอยู่ที่ไหน อะไรยังไง เห็นหน้าจ้าวซัน เรียกออกมาเสียงแผ่ว
“เจ้าพี่ เจ้าพี่”
บราลีจะฟุบลงไปใหม่ จ้าวซันจับไว้ พยายามประคองร่างบราลีให้นั่ง ขยับท่าให้ถนัด แล้วอุ้มขึ้นมาในอ้อมแขน แต่พอทรงตัวได้ เงยมา ก็ชะงัก เพราะตรงหน้าเหม่ยอิงถือปืนหันปากกระบอกมา
“เหม่ยอิง พอเถอะน้อง แค่นี้มันก็มากเกินไปแล้ว ถ้าบรีตาย พี่ตาย แล้วยังไงต่อไปล่ะ น้องจะได้ประโยชน์อะไร ไม่มีเลย”
เหม่ยอิงใช้สองมือประคองปืน มือสั่น
“ใครจะตาย น้องก็ไม่ได้อะไรทั้งนั้น น้องรู้ น้องไม่ยิงพี่ชายใหญ่หรอก เพราะน้องรักพี่ ถึงพี่จะเกลียดน้องแค่ไหน น้องก็ยังรักพี่ แต่น้องจะตายให้พี่ดู”
เหม่ยอิงยกปืนมา จ่อข้างหัวตัวเอง
“ไม่ อย่า” จ้าวซันรีบหันหาที่ คุกเข่า วางบราลีลงกับพื้นหญ้าข้างทาง แล้วหันมามองนิ่ง แล้วสงบไปนิด เพราะเห็นอะไรบางอย่างก่อนลุกมา ก้าวเข้าหา เหม่ยอิงถอยๆๆ “พี่ขอร้องล่ะ เหม่ยอิง น้องต้องตั้งสติ ตั้งสติ อย่าเอาแต่อารมณ์ น้องจะตายเพื่ออะไร น้องเป็นคนสวย น้องเก่งทุกอย่าง น้องยังมีแม่สี่ มีผิงอันที่เขารักน้อง ฝากชีวิตไว้กับน้อง น้องจะยอมแพ้ชีวิตง่ายๆ แค่นี้เหรอ เหม่ยอิงต้องไม่แพ้สิ วางปืนเถอะเหม่ยอิง เราจะร่วมกันหาทางออกให้กับทุกปัญหานะ ยังไงๆ น้องก็คือน้องสาวของพี่ เหม่ยอิง ยังจำได้ไหมว่าเราเคยพูดกับเต้ว่า เราจะช่วยกัน ทำให้ตระกูลจ้าวของเรา เจริญรุ่งเรืองต่อไปไงล่ะ” เหม่ยอิงร้องไห้
“มันจบแล้ว พี่ใหญ่ ทุกอย่างมันจบแล้ว เพราะพี่ใหญ่ไม่รักน้อง พี่ใหญ่นั่นแหละที่เป็นคนผิด”
“ใช่ พี่ผิด พี่ไม่ดีเอง เหม่ยอิง พี่ไม่ดีเอง ถ้าน้องอยากจะยิงใครซักคน น้องก็ยิงพี่ก็แล้วกัน”
เหม่ยอิงปล่อยโฮ กวัดแก่งปืนมาข้างหน้า
“อย่ามาท้านะ อย่านึกว่าน้องไม่กล้านะ”
ทันใด จ้าวซันกระโดดกอดแย่งปืนได้ บิดมือรวบตัวเหม่ยอิงไว้ได้ หมวดจาง ผู้กองเหลียง และตำรวจอีก 2 คน
ถือปืนกันมารุมล้อม
“จ้าวเหม่ยอิง มอบตัวเถอะครับ”
“ผมขอจับคุณ ในข้อหา...”
“ไม่ต้องประกาศข้อหาหรอก มันคงมีมากมายหลายข้อหาจนผู้กองต้องใช้เวลาทั้งวัน กว่าจะเรียบเรียงได้ครบ”
ผู้กองเหลียงใส่กุญแจมือให้เหม่ยอิง เหม่ยอิงหันมาจ้องหน้าจ้าวซัน “พี่ชายใหญ่เก่งมาก กล้าท้าให้น้องยิง เพราะเห็นแล้วว่าตัวเองมีพวกตำรวจมาช่วยทันเวลานี่เอง” เหม่ยอิงหัวเราะใส่หน้าจ้าวซัน จ้าวซันมอง เศร้าใจ เหม่ยอิงมองหน้าจ้าวซัน แล้วปรายตาไปทางบราลี บราลีนอนหายใจระรวยที่พื้นหญ้า “ขอให้จ้าวซันมีความสุข กับอิผู้หญิงแพศยา”
จ้าวซันมอง ปวดร้าวใจ เหม่ยอิงเชิด เริด เดินนำพวกตำรวจไปที่รถตำรวจ จ้าวซันมองตาม แล้วรีบหันหลังมาประคองบราลี เหม่ยอิงหันมามองจึงเห็นจ้าวซันประคองกอดบราลี อุ้มขึ้น ห่วงใยมากมาย เหม่ยอิงกัดฟัน
รถตำรวจคันหน้า มีตำรวจ 2 นายนั่ง ขับนำมา รถของผู้กองเหลียง มีหมวดจาง ขับตามมา ด้านหลัง เหม่ยอิงที่มีกุญแจมือนั่งอยู่กับตำรวจอีกนายที่คอยคุมตัวอยู่ ทุกคนนั่ง เงียบกริบ เหม่ยอิงดูเหม่อลอย หมวดจางมองๆ ในกระจก แล้วหันมาสบตาผู้กองเหลียง ผู้กองเหลียงอดไม่ได้ ถามออกมา
“คุณหนูเหม่ยอิง ทำไมคุณหนูถึงต้องจับคุณบราลีมาด้วย คุณตั้งใจจะทำอะไรกันแน่” เหม่ยอิงเงียบ “คุณทราบไหม ว่าคุณชายจ้าวซัน ที่จริงคือ...”
“เงียบซะทีได้ไหมคะ ผู้กองเหลียง” ทุกคนสะดุ้ง “ไม่ต้องมาหลอกถามอะไรจากชั้นทั้งนั้น คุณสรุปสำนวนข้อหาของฉันให้ดีก็แล้วกัน ชั้นจะไม่ยอมพูดอะไรกับพวกตำรวจชั้นต่ำอย่างคุณเด็ดขาด ชั้นจะพูดแค่ในศาลเท่านั้น จำเอาไว้ด้วยล่ะ”
หมวดจางสะดุ้ง ผู้กองเหลียงซีด
บนเตียงเข็นในโรงพยาบาล บราลีลืมตาขึ้น มีแสงไฟผ่านหน้าไปมา บราลีกระพริบตา มองรอบๆ ตัว เจ้าหน้าที่พยาบาลกำลังเข็นบราลีไปอย่างรีบเร่ง มีการให้น้ำเกลือที่แขน ถุงน้ำเกลือแขวนกับเสาเตียง จ้าวซันเดินขนาบอยู่ข้างๆ บราลีมองอย่างดีใจ ไม่อยากเชื่อ
“เจ้าพี่”
“ม่านฟ้า เป็นไงบ้าง”
“นี่...โรงพยาบาลหรือคะ”
“ใช่จ้ะ โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด บนถนนเค้ปคอลลิซั่น โรงพยาบาลแรกที่พี่หาเจอ”
“หม่อมฉันเป็นอะไร”
“ม่านฟ้า พี่ขอโทษๆ”
“ขอโทษอะไรคะ”
“พี่เป็นต้นเหตุให้น้องต้องเคราะห์ร้ายอีกแล้ว อยู่ดีๆ น้องก็ต้องมีศัตรู โดนปองร้าย เพราะน้องใกล้ชิดกับพี่มากเกินไป แค่นี้เอง” จ้าวซันจับมือบราลีมาบีบ “ม่านฟ้าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
บราลียิ้ม บีบมือตอบ
“แล้วเหม่ยอิงล่ะคะ”
“ผู้กองเหลียง กำลังควบคุมตัวไป”
“ที่ของเค้าไม่ใช่โรงพักนะคะ แต่เป็นโรงพยาบาล เหม่ยอิงเค้าป่วย เค้าไม่ใช่คนธรรมดา”
“เหม่ยอิงไม่ได้บ้านะ เขาคิดแผนการทุกอย่างได้เป็นขั้นเป็นตอน มีลำดับที่ซับซ้อนมาก แต่เขาทำร้ายใครๆ ได้ โดยไม่รู้สึกว่าอะไรถูกผิดชั่วดี”
“นั่นล่ะค่ะ เขาต้องการความช่วยเหลือ เชื่อน้องสิคะ เขาต้องพบแพทย์ค่ะ”
“น้องอย่ากังวลเลย พักผ่อนเถอะนะม่านฟ้า หมอบอกว่าน้องขาดน้ำ ขาดอาหาร ร่างกายอ่อนแอมาก เรื่องเหม่ยอิงพี่จะจัดการเอง”
บราลีมองหน้าจ้าวซัน แล้วหลับตาลง จ้าวซันมีสีหน้ากังวล
รถตำรวจคันหน้า แล่นผ่านไป ในรถผู้กองเหลียง ทุกคนหน้าเครียดขรึม เหม่ยอิงนั่งมองมือตัวเองที่อยู่ในกุญแจมือผูกติดกัน มองมาข้างๆ ตำรวจที่นั่งข้างเหม่ยอิง นั่งมองไปข้างหน้าหน้าตาขึงขัง ทันใดนั้นเหม่ยอิงตัวเกร็ง ชูมือทั้งสองที่ติดกุญแจขึ้นมาดูแล้วร้องกรี๊ดทุกคนตกใจ เหม่ยอิงกุมขอ ทำตากลับ
“หายใจไม่ออก ฉัน...หาย –ใจ –ไม่ –ออก ช่วยด้วยๆ”
เหม่ยอิงชักอย่างแรง ดิ้นพราดๆ ตำวจที่นั่งข้างๆ ตกใจ ทำอะไรไม่ถูก
“ผู้กอง ทำไงดี”
“แย่แล้ว สงสัยจ้าวเหม่ยอิงเป็นลมบ้าหมู ผู้กอง” หมวดจางบอก ผู้กองเหลียงขับรถชิดขอบทางแล้วจอดรถเหม่ยอิงยังดิ้นปั้ดๆๆ ตำรวจลงมา ยืนดู อึ้งๆ เหม่ยอิงดิ้นปั้ดๆๆ เกร็งไปทั้งตัว
“คุณเหม่ยอิงๆๆ ได้ยินผมไหม ตั้งสติหน่อย คุณจ้าวเหม่ยอิง”
ทันใดเหม่ยอิงกระชากมือที่ติดกุญแจจากกันไปมาแรงๆ แบบไม่กลัวเจ็บ
“เฮ้ย คุณเหมยอิง อยู่นิ่งๆ ครับ เดี๋ยวได้มือขาดพอดี”
เหม่ยอิงกระชากมือสวนกันไปมา บิดๆ เนื้อแขนถลอกแดงทันที เลือดซิบ ผู้กองเหลียงตัดสินใจเอากุญแจมา ไขถอดกุญแจออก กุญแจหลุดจากกัน แต่เหม่ยอิงยังดิ้น มือเกร็งเหงิก กระโปรงถลกสูงเห็นขาอ่อน ตำรวจที่ดูอยู่มองจนตะลึง เหม่ยอิงสะบัดหน้าไปมา ที่มุมปากมีเลือดไหลออกมา ผู้กองเหลียงรีบเข้ามา
“เอาอะไรง้างปากออก ใครมีอะไรงัดปากด่วนเลย เดี๋ยวเค้ากดลิ้นตัวเองขาด”
“อะไรล่ะครับ”
ผู้กองเหลียงเข้ามาประกบตัว เข้าจับคาง บีบปากจะให้เหม่ยอิงอ้าปาก
“คุณเหม่ยอิง อ้าปาก เร็ว ฟังผมนะ หายใจลึกๆ อ้าปากๆ อย่ากัดลิ้นตัวเองนะ อ้าปากครับ อ้าปาก ได้ยินไหม”
เหม่ยอิงผงกตัวขึ้นมา จูบผู้กองเหลียงเต็มๆ ทุกคนช็อก ตกใจ ผู้กองเหลียงตาเหลือกแต่ก็งงจนตั้งสติไม่ถูก
ทันใดมือที่หงิกเกร็งของเหม่ยอิงลูบถูไถไปเจอปืนของผู้กองเหลียง อยู่ๆ มือเหม่ยอิงกลายเป็นปกติ ดึงปืนผู้กองเหลียงมาถือไว้ แล้วจี้ปืนที่ตัวผู้กองเหลียงกึก ปลดล้อกแกร๊ก หมวดจางชักปืน ตำรวจอีกนายชักปืน เหม่ยอิงพลิกตัวเอาตัวผู้กองเหลียงบังหน้าไว้ ถดตัวลงจากรถ ดึงผู้กองเหลียงเป็นเกราะกำบัง
“ทุกคน ทำตามที่ชั้นสั่ง ไม่งั้น ไอ้ผู้กองหน้ามืดตาย ทิ้งปืน บอกให้ทิ้งปืนเดี๋ยวนี้ นึกว่าคนอย่างชั้นไม่กล้าเหรอ”
ทุกคนมองหน้ากันไปมา ซีด ทิ้งปืน “เตะปืนมาข้างหน้า อย่าทำตัวเจ้าเล่ห์เด็ดขาด เพราะชั้นไม่ใช่คนใจอ่อนแน่ๆ”
แต่ละคน เตะปืนออกมา ผู้กองเหลียงชำเลือง เห็นปืนจี้สีข้าง ซีด เจ็บใจ
ผู้กองเหลียง หมวดจางและตำรวจอีกคน ถูกถอดกางเกง เหลือแต่บ๊อกเซอร์ แล้วเอากางเกงนั้นเองมาทำเชือกมัดระหว่างมือคนนึงกับมืออีกคน ผูกมือติดกันในท่ากอดโอบรอบต้นไม้ใหญ่ข้างทาง ทั้งสามต่างพยายามดิ้นรนแก้มัดให้หลุด
“เราประเมินจ้าวเหม่ยอิงต่ำเกินไป”
“มันใช่เวลาที่จะมาประเมินไหมผู้กอง ช่วยกันขยับสิ เร็วเข้า”
“เกิดมาไม่เคยตกในสภาพทุเรศอะไรขนาดนี้เลย”
“มดกัดๆๆ”
หมวดจางดิ้นทุรนทุราย ทำทุกวิถีทางให้เชือกหลุดออกจากตัว
“โทรศัพท์ก็โดนเอาไปอีก”
“โทรศัพท์น่ะช่างมันเหอะ แต่ปืนนี่สิ”
“ห่วงปืนเหรอครับ แล้วรถตำรวจที่โดนเอาไปล่ะ”
ผู้กองเหลียงหัวเสีย และกลุ้มใจสุดๆ
“ก็ผมถึงบอกไงว่าเราประเมินจ้าวเหม่ยอิงต่ำเกินไป”
ทันใดนั้นมีรถตำรวจผ่านมาหนึ่งคัน หมวดจางหันไปเห็นพอดี
“เฮ้ๆๆ ทางนี้ๆๆ” หมวดจางตะโกน ผู้กองเหลียงรีบหันไปดู แต่รถผ่านไปแล้ว
“รถตำรวจ”
“ครับ คงเป็นพวกเราสักคน”
หมวดจางรีบชะโงกคอขึ้นไปมอง และพยายามเรียก
“วู้ๆๆ” เสียงรถเงียบ “ไปซะแล้ว”
“ทั้งหมดนี้มันเป็นเพราะใคร”
“ผู้กอง ผู้กองเลยนะครับที่ไปหลงเชื่อมารยาของคุณเหม่ยอิงเข้า”
“อะไร ก็เห็นหลงเชื่อกันทุกคน”
“อ้าวๆ จะเถียงกันอีกนานไหม” ผู้กองเหลียงและหมวดจางหันไปดู เห็นอเล็กซ์ที่มากับตำรวจอีกคน อเล็กซ์ยืนนิ่งมองดูสภาพรอบๆ “น่าทึ่งจริงๆ ผู้หญิงคนเดียวทำเรื่องแบบนี้ได้”
“รีบๆ แก้มัดสิ จ้าวเหม่ยอิงหนีถึงไหนต่อไหนแล้ว”
“ต้นไม้นี่ใหญ่ใช่เล่น ขนาดตั้งสามคนโอบ”
อเล็กซ์หน้าเครียด เหมือนคิดอะไรได้ รีบหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงออกมากดโทรออก
“เดี๋ยวค่อยโทรได้ม้ายย”
จ้าวซัน เต๋อเป่าและอาหลี่นั่งดื่มกาแฟกระป๋องกันอยู่ที่มุมหนึ่งในโรงพยาบาล จ้าวซันยกกาแฟขึ้นดื่มรวดเดียวหมดกระป๋อง
“มาสเตอร์กลับไปพักก่อนดีกว่าไหมครับ ทางนี้ปล่อยให้พวกผมดูแลเอง”
เต๋อเป่ามองหน้าอาหลี่ แล้วยกกาแฟขึ้นจิบ
“ฉันยังไหว”
สักพักหมอเดินมา
“อยู่ที่นี่เอง”
ทั้งสามคนลุกขึ้น
“หมอ ว่าไงครับ”
“เท่าที่ตรวจดูอย่างละเอียดแล้วก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”
โทรศัพท์จ้าวซันดังขึ้น จ้าวซันรีบหยิบออกมา ก้มลงไปมอง เห็นว่าเป็นอเล็กซ์จึงกดรับ แล้วค่อยๆ ถอยออกมาให้เต๋อเป่ากับอาหลี่ฟังหมอพูดแทน
“ว่าไงครับ”
จ้าวซันถามอเล็กซ์เสียงเบา ขณะที่หมอบอกเต๋อเป๋ากับอาหลี่เรื่องอาการของบราลี
“มีแต่รอยฟกช้ำตามตัว และคนไข้ก็อ่อนเพลียมากเท่านั้นเอง”
“อะไรนะครับ” ทจ้าวซันเสียงดัง ทุกคนหันหน้ามองจ้าวซัน “ไม่มีอะไรครับ”
หมองงๆ ไปสักพัก
“วันนี้ผมออกเวรแล้ว ถ้าคนไข้อาการไม่ดีขึ้นยังไง คุณชายโทรหาผมได้ตลอด”
“ขอบคุณคุณหมอมากครับ”
หมอเดินออกไป เต๋อเป่ากับอาหลี่รีบหันมองจ้าวซัน
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”
“สงสัยว่าพวกแกจะไม่ได้พักแล้วล่ะ”
เต๋อเป่าและอาหลี่มองหน้ากัน งงๆ
พยาบาลเดินเข้ามาในห้องผู้ป่วยที่มีบราลีนอนไม่ได้หลับอยู่บนเตียง
“ขออนุญาตค่ะ” จ้าวซีน เต๋อเป่า อาหลี่รีบลุกพรวดขึ้นมาจนพยาบาลผงะ “เอ่อ มะ... มาฉีดยาให้คนไข้ค่ะ”
เต๋อเป่าและหลี่รีบพุ่งเข้าไป
“ขอดูบัตรหน่อยครับ”
พยาบาลงงๆ แล้วยื่นบัตรที่ห้อยคอไว้ให้ดู เต๋อเป่ากับอาหลี่เช็คดูรูปที่บัตรกับหน้าของพยาบาล แล้วส่งบัตรคืนให้
“ขอโทษนะครับ เชิญครับ”
พยาบาลเดินไปเติมยาในขวดน้ำเกลือให้อย่างหวาดระแวง เต๋อเป่าและอาหลี่จ้องดูพยาบาลไม่วางตา จ้าวซันพยักหน้าเรียกเต๋อเป่ามาใกล้ๆ
“แกกับหลี่ต้องคอยเฝ้าบราลีไว้ตลอดเวลานะ อย่าให้คลาดสายตาไปเป็นอันขาด ตอนนี้ไว้ใจใครหรืออะไรไม่ได้ทั้งนั้น”
“ผมเข้าใจครับ”
อาหลี่มองตามพยาบาลทุกอิริยาบถ พยาบาลรีบเก็บถาดยาและเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
ผู้กองเหลียง อเล็กซ์ และหมวดจาง กำลังเปิดประตูและเดินก้มหน้างุดๆ ออกจากห้องทำงานนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่
“ออกไป! ถ้าคิดหาวิธีลงโทษที่สาสมกับผลงานที่คุณทำได้แล้วค่อยกลับมาหาผม ไป!”
หมวดจางรีบปิดประตูทันที ทั้งสามคนรีบเดินออกไป
“ไงล่ะทีนี้ รถของนาย โดนจอดทิ้งไว้ที่ท่าเรือเฟอรี่ ไม่ใช่เหม่ยอิงหนีไปเมืองจีนแล้วล่ะ ปืนก็โดนนางเอาไปใช้สบายแฮ พวกเราไม่โดนสั่งพักงานทั้งทีมก็บุญเท่าไหร่แล้ว”
ผู้กองเหลียงหยุดเดิน ของขึ้น
“เฮ้ย เรื่องนี้มันต้องรับผิดชอบร่วมกันหรือเปล่า”
“เฮ้ยจาง ที่นายโกรธหนักขนาดนี้ก็เพราะว่ามีใครบางคนทำให้จ้าวเหม่ยอิงมันหลุดมือไปไม่ใช่เหรอวะ”
หมวดจางมองหน้าอเล็กซ์
“เหรอ นึกว่าเป็นเพราะมีตำรวจอ่อนหัดบางคนทำให้อาชญากรคนสำคัญอย่างไอ้พันหงปิงกับเกาเฟยมันหนีรอดไปได้ต่างหาก”
ผู้กองเหลียงบอกและอเล็กซ์มองหน้ากันอย่างท้าทาย หมวดจางระอา
“พอ พอกันทั้งคู่นั่นแหละ พวกคุณไม่ต้องโทษกันเองหรอก ผมผิดเอง” หมวดจางเดินแทรกผ่านหน้าสองคนนั้นออกไปสักพัก แล้วหันกลับมา “ผิดที่เลือกมาทำงานร่วมกับพวกคุณ บอกตรงๆ นะว่าซวยจริงๆ”
หมวดจางเดินกลับไปแล้วไม่หันมามองอีกเลย อเล็กซ์กับเหลียงมองหน้ากัน
“ทุกคนต้องซวยเพราะผู้กอง โธ่เอ๊ย...ไอ้หน้ามืด เจอมารยาหญิงเข้าหน่อยก็มืออ่อนตีนอ่อน ไอ้ผู้กองหน้ามืดๆๆ”
“ไอ้ปากชั่ว อย่าอยู่เลย” ผู้กองเหลียงกระโดดใส่ ทั้งสองชกกันนัว พวกตำรวจอื่นๆ มายืนมุง เชียร์กันยังกะเชียร์มวย หมวดจางโผล่มา
“คุณเล่นใคร ผมว่าอเล็กซ์ชนะ ใครจะต่อรองผมมั่ง”
วันต่อมาจ้าวซันเข็นรถที่บราลีนั่ง ออกมาสูดอากาศบนดาดฟ้าของโรงพยาบาล
“ที่ใดที่นึง ข้างนอกโน่น เหม่ยอิงยังเดินไปเดินมา ทำอะไรบางอย่างอยู่” บราลีถอนใจ
“เจ้าพี่เสด็จไปไหนมาไหน ต้องระวังพระองค์ เพราะเขาเป็นอันตรายกับทุกคนจริงๆ อย่าประมาทเด็ดขาด”
“มันอาจจะเป็นความผิดของพี่เองที่ทำให้เขากลายเป็นแบบนี้ เมื่อเด็กๆ เหม่ยอิงก็น่ารัก เหมือนเด็กๆทั่วไป อะไรคือจุดเปลี่ยน ที่ทำให้เด็กน่ารักคนหนึ่ง โตขึ้นมาเป็นอย่างนี้ได้”
“เจ้าพี่คงไม่ใช่ต้นเหตุหรอกค่ะ คุณเหม่ยอิงมีความขมขื่น คับแค้นบางอย่างที่รุนแรงมาก จนทำเขากลายเป็นคนที่มีแต่ความเกลียด ความโกรธขนาดนี้ได้”
“อาจเป็นเพราะพี่เอาแต่ทำงาน จนไม่ใกล้ชิดพวกน้องๆ มากพอ ปล่อยให้ทั้งฉินเจียง ทั้งเหม่ยอิงเป็นเด็กมีปัญหา พอหันกลับมาอีกที น้องๆ ก็โตเกินไป จนแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว”
“เจ้าพี่ทำดีที่สุดแล้วค่ะ อย่าโทษตัวเองเลย อะไรที่ผ่านมาแล้ว เราทำอะไรไม่ได้แล้ว เราน่าจะมาหาวิธีแก้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อไปดีไหมคะ”
จ้าวซันขรึมซึม
คืนนั้นที่ร้านขายข้าวต้มแถวปากซอย มีพวกจับกังและผู้ใช้แรงงานมานั่งกินข้าวต้มกันพูดคุยล้งเล้งเสียงดัง
เกาเฟยแต่งตัวเป็นฮิปฮอปเดินแฝงตัวเข้ามาทำเนียนๆ เด็กในร้านเดินเอาถาดข้าวต้มมายื่นให้ เกาเฟยหยิบไปสองชาม แล้วรีบกินอย่างหิวโหย เถ้าแก่ที่กำลังตักข้าวต้ม วางมือ เดินมาหยุดยืนอยู่หน้าเกาเฟย เกาเฟยกำลังกินอย่างเอาเป็นเอาตาย รู้สึกว่ามีคนมองจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นดู เกาเฟยเห็นเถ้าแก่ แล้วหลบตา รีบกินต่อไม่สนใจ
“ชื่อเกาเฟยใช่ไหม” เกาเฟยรีบวางชามข้าวต้มลง ล้วงเอาเหรียญเงินจากกระเป๋ากางเกงวางไว้ข้างๆ แล้วจะลุกออกไป “ไม่ต้องรีบก็ได้”
“อิ่มแล้ว”
เกาเฟยรีบหันหลังเดินไป
“เดี๋ยว” เกาเฟยหยุด แต่ไม่หันกลับมา “มีคนฝากไอ้นี่มาให้”
เกาเฟยหันไป เถ้าแก่ยื่นซองจดหมายสีขาวส่งให้ เกาเฟยลังเล เถ้าแก่พยักหน้าให้รับไป เกาเฟยค่อยๆ ยื่นมือออกไปรับมางงๆ
เกาเฟยรีบเดินไปหาที่ที่ไม่มีคน เกาเฟยเดินมาที่ใต้ต้นไม้ไม่ไกลจากบริเวณร้านข้าวต้มนัก หันมองซ้ายขวา แล้วรีบคลี่จดหมายออกดู เกาเฟยอ่านจดหมายฉบับนั้นอย่างรวดเร็ว ดีใจ รีบเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ หาใครสักคนอย่างร้อนรน
“คุณหนู”
เกาเฟยรีบวิ่งตามหารอบๆ บริเวณนั้น ชะเง้อมองหา เกาเฟยวิ่งกลับไปหาเถ้าแก่ที่กำลังง่วนกับการขายข้าวต้มอยู่ เกาเฟยตรงเข้าไปจับไหล่เถ้าแก่ทั้งสองข้างเขย่า คาดคั้นเอาความ
“คนที่ส่งจดหมายนี่ไปไหนแล้ว ไปนานหรือยัง บอกสิ”
ลูกค้าจับกังที่นั่งกินกันอยู่เงียบ หันมองที่เกาเฟยเป็นตาเดียว
“จดหมงจดหมายอะไรไม่รู้เรื่อง ไปๆๆ เกะกะๆ”
เถ้าแก่โบกไม้โบกมือไล่เกาเฟยไปเหมือนไม่เคยคุยกันมาก่อน เกาเฟยมองไปรอบๆ เห็นคนที่มองมาสายตาไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นักจึงตัดสินใจเดินออกจากที่ตรงนั้น เกาเฟยวิ่งไปรอบๆ เห็นผู้หญิงชุดดำคนหนึ่งเดินอยู่ไกลๆ ท่าทางคล้ายเหม่ยอิงมาก กาเฟยรีบวิ่งเข้าไป แตะไหล่ ผู้หญิงหันมาสีหน้าตกใจ และไม่ใช่เหม่ยอิง
“ขะ...ขอโทษครับ”
เกาเฟยมองรอบๆ เหนื่อย ถอนหายใจ ก้มหน้าผิดหวัง
เช้าวันรุ่งขึ้นที่บ้านสี่ฤดู ภายในห้องรับแขก ฉินเจียง เทเรซ่า ซ่างกวานซิง อากง พนักงานอาวุโสในบริษัท นั่งรอเวลาอยู่ สักพักจ้าวซันเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน ท่าทางอิดโรย
“ขอโทษทีที่ผมมาช้า”
“ช้ากว่านี้ก็รอได้ครับพี่ใหญ่”
จ้าวซันยิ้มมุมปากให้ฉินเจียง
“ที่เรียกทุกคนมาวันนี้เพราะว่ามีเรื่องสำคัญจะแจ้ง”
“เรื่องพี่เหม่ยอิงใช่ไหมคะ”
ทุกคนมองหน้าผิงอัน
“เรื่องนั้นก็...มีส่วน เทเรซ่า...”
จ้าวซันพยักหน้าให้เทเรซ่าพูด
“ค่ะ คือก่อนอื่นดิฉันอยากจะแจ้งให้ทุกท่านทราบถึงสถานการณ์ของบริษัทเราสักหน่อย”
“เอาเนื้อๆ เลยเทเรซ่าไม่ต้องเกริ่นนาน”
“ได้ค่ะ เมื่อคืนที่ผ่านมา หุ้นของบริษัทเราร่วงลงไปกว่า 500 จุดแล้ว”
“อะไรนะ” ฉินเจียงตกใจ
พนักงานอาวุโสมองหน้ากัน เครียด
“คือนักลงทุนต่างพากันเทขายหุ้นของบริษัทเราอย่างหนัก หลังจากที่มีข่าวของคุณเหม่ยอิงหลุดออกไป”
“แล้วเราจะทำยังไงกันดี”
“500 จุดนี่มันเยอะมากไหมอะ” ผิงอันถาม
“ก็ลดลงไปประมาณ 45% ค่ะ”
ผิงอันทำหน้างงๆ
“ผมเลยต้องเรียกทุกคนมาประชุมกันวันนี้ ว่าเราจะทำยังไงกันดี”
“ผมว่าเรื่องผู้บริหารสำคัญที่สุดตอนนี้ เราต้องเรียกความมั่นใจกลับคืนมา”
“ผมยังมีคดีติดอยู่ คงช่วยอะไรไม่ได้ใช่ไหม”
“คุณหนูจ้าวเหม่ยอิงก็มาเป็นแบบนี้อีก”
จ้าวซันหันมองไปที่ผิงอัน
“ไม่ต้องมามองหนูนะ หนูไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยนะ ไม่เอาๆ”
“มันถึงเวลาแล้วผิงอัน ไม่ช้าก็เร็วยังไงเธอก็ต้องมาดูแลบริษัทเราอยู่ดี”
“ผิงอันเนี่ยนะ มันจะเร็วไปไหม อายุแค่นี้ แถมยังไม่รู้ประสาอีกต่างหาก” ฉินเจียงบอก
“ไม่เรียนรู้ตอนนี้แล้วจะตอนไหน”
“ดิฉันจะเป็นคนสอนพื้นฐานทางธุรกิจให้คุณหนูผิงอันเองค่ะ” เทเรซ่าบอก
“หา ไม่เอาๆ”
“แต่ตอนนี้ พี่ชายใหญ่ต้องกลับมาเป็นหลักให้พวกเราก่อน”
“ไท้เผ่ง เอ๊ย...คุณชายรองพูดถูก”
“จริงด้วยๆ”
“ห้ามไปไหนอีกเด็ดขาด”
จ้าวซันอึ้งมองหน้าฉินเจียง
“มันก็คงต้องเป็นแบบนี้ล่ะพี่ เอาตามนี้ไปก่อน”
จ้าวซันหนักใจ
จบตอนที่ 18
อ่านต่อตอนที่ 19