คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 18
ภูวนัยนั่งรออยู่อย่างกระวนกระวายจนในที่สุดก็ตัดสินใจบุกเข้าไป ระหว่างนั้นชาติกล้าพาไผ่พญาออกมาจากหน่วยปราบปรามยาเสพติด ภูวนัยเห็นอย่างนั้นก็พยายามจะวิ่งข้ามถนนไปช่วยไผ่พญา แต่ก็มีรถวิ่งขวักไขว่ขวางทางไปหมด
ชาติกล้าพาไผ่พญาขึ้นรถแล้วขับออกไป ภูวนัยวิ่งข้ามถนนมาแต่ก็ไม่ทันซะแล้ว ภูวนัยเจ็บใจและเป็นห่วงความปลอดภัยของไผ่พญา ครุ่นคิดว่าจะช่วยเธอยังไง
ตำรวจซึ่งเป็นลูกน้องวศินยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องน้ำ อภิวัฒน์เดินเช็ดมือออกมาจากห้องน้ำ
“นี่...นายยืนเฝ้าหน้าห้องก็ได้มั้ง ฉันรู้สึกไม่ค่อยเป็นส่วนตัวเท่าไหร่”
“ไม่ได้ครับ ท่านวศินบอกให้ผมจับตาดูท่านตลอดเวลา”
“หึ” อภิวัฒน์ส่ายหน้าเซ็งๆ ระหว่างนั้นมีเสียงโวยวายดังขึ้นก่อนจะเห็นตำรวจหลายนายกำลังวิ่งไปตามทางเดิน “มีอะไรกัน”
ตำรวจคนนั้นเรียกตำรวจอีกคนที่กำลังวิ่งไปเพื่อถาม
“มีอะไร”
“รถท่านวศินไฟไหม้”
อภิวัฒน์ได้ยินอย่างนั้นก็สงสัย
“ไม่ไปช่วยเขาดับเหรอไง ผมว่าวศินมันยิ่งโมโหง่ายอยู่ด้วยนะ”
ตำรวจคนนั้นลังเลก่อนจะตัดสินใจวิ่งออกไป อภิวัฒน์มองตามอย่างครุ่นคิด
อภิวัฒน์รีบเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานก่อนจะรีบเดินมาที่โต๊ะทำงานเพื่อหยิบมือถือขึ้นมา ระหว่างนั้นเสียงของภูวนัยดังขึ้น
“ท่านครับ”
อภิวัฒน์หันไปก็ต้องตกใจเมื่อเห็นภูวนัยยืนอยู่
“หมวดภู ผมกำลังจะโทรหาคุณอยู่พอดี คุณเข้ามาในนี้ได้ยังไง” อภิวัฒน์ถามอย่างแปลกใจแล้วนึกได้ “หรือว่ารถไอ้วศินที่ไฟไหม้เป็นฝีมือคุณ”
“ผมจำเป็นต้องทำอย่างนั้นครับ ท่านครับพวกมันจับตัวไผ่ไป”
“อะไรนะ”
“ผมผิดเอง ผมใช้เธอปลอมตัวเข้ามาเพื่อสืบดูว่าไอ้ชาติมันซ่อนสมสุขไว้ที่ไหน...ท่านครับ...ผมอยากให้ท่านช่วย ท่านมีกำลังให้ผม...”
“ผมช่วยอะไรไม่ได้”
อภิวัฒน์ขัดขึ้นก่อนที่ภูวนัยจะพูดจบ ภูวนัยถึงกับอึ้งไป
“อะไรนะครับ”
“ตอนนี้มันตัดมือตัดไม้ผมหมด แถมมันยังให้คนมาเฝ้ายี่สิบสี่ชั่วโมง”
“ท่านไม่มีวิธีอื่นเลยเหรอครับ”
“ผมอยากช่วยคุณไผ่นะหมวด แต่ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ได้ ขอโทษจริงๆ หมวด” ภูวนัยกัดฟันด้วยความโกรธก่อนจะหันหลังแล้วเดินจากไป แต่แล้วจู่ๆ อภิวัฒน์ก็พูดขึ้นก่อนที่ภูวนัยจะออกจากห้อง “ผมไม่มีกำลังที่จะช่วยหมวด...แต่ผมมีวิธี”
ภูวนัยชะงัก หันมา
“วิธีอะไรครับ”
“พวกมันรู้ว่าคุณไผ่สำคัญกับหมวด ถ้าหมวดอยากได้ตัวเธอคืนหมวดก็ต้องเอาของสำคัญจากมันมาเหมือนกัน”
ภูวนัยนิ่งคิดตามคำพูดของอภิวัฒน์
วศินเดินเข้ามาหาสมสุขที่นอนอาบแดดอยู่ที่สระว่ายน้ำ แล้วยื่นหนังสือที่ถือมาให้
“อั้วอยากให้ลื้ออ่านเป็นคนแรก” สมสุขหันมอง เห็นวศินยืนยื่นหนังสือให้อยู่ “อาทิตย์หน้าจะมีงานเปิดตัวหนังสือ อั้วรู้ว่าลื้อคงไปไหนไม่ได้เลยเอามาให้ลื้ออ่านเป็นคนแรก”
“อะไร...หนังสือสวดมนต์เหรอครับ” สมสุขรับมาดู “เขาคือวีรบุรุษ” สมสุขอ่านชื่อหนังสือแล้วอ่านคำโปรยต่อ “มือปราบที่ได้ชื่อว่าเป็นตำรวจผู้ซื่อสัตย์แห่งทศวรรษ ผู้ที่จะนำพาเรารอดพ้นจากยุคมืดของผู้มีอิทธิพล...” สมสุขขำ
“เฮ้ย! นี่ท่านเอาจริงเหรอ”
“ทำไม ไหนๆ ไอ้พวกห้าเสือก็ตายไปแล้ว พวกมันคงดีใจที่อย่างน้อยความตายของพวกมันก็ยังทำประโยชน์ให้กับอั้ว”
“นับถือจริงๆ”
“แล้วลื้อละ เมื่อไหร่จะทำประโยชน์ให้กับอั้ว”
สมสุขหันมองวศิน
“ทำไมครับ กลัวเงินเดือนจะไม่ออกเหรอครับ”
“พูดดีๆ อั้วไม่ใช่ลูกจ้างลื้อ แล้วเรื่องเงินอั้วก็ไม่สน เพราะไม่ว่ายังไงลื้อก็ต้องจ่าย”
“ครับ...ครับ...รู้แล้วครับ...แต่ผมเพิ่งกลับมาอยู่บ้าน ขอผมเตรียมตัวเตรียมใจอีกซักสองสามวันนะ”
ระหว่างนั้นลูกน้องของวศินเดินเข้ามา
“ท่านครับ ผมได้รับแจ้งว่ารถของท่านที่จอดอยู่ที่ปปส.เอ่อ...”
“เอ่ออ่าอะไร รถอั้วทำไม”
“รถท่านไฟไหม้ครับ”
“อะไรนะ แล้วมีใครรู้บ้างว่าเพราะอะไร” วศินถามอย่างโกรธจัด
“คนของเราที่นั่นกำลังตรวจสอบอยู่ครับ”
“ดี...หาตัวคนทำมาให้ได้ อยู่ๆ ไฟมันคงไม่ติดเองหรอก” ลูกน้องวศินรีบเดินออกไป วศินขัดใจ ระหว่างนั้นเสียงมือถือของวศินดังขึ้น วศินรับสายอย่างหงุดหงิด “เฮ้ย! อยู่กันยังไงให้รถอั้วไฟไหม้วะ...อะไรนะ” สมสุขเห็นท่าทางวศินอย่างนั้นก็สนใจขึ้นมาทันที “จับตัวมันไว้ก่อน เดี๋ยวอั้วจะเป็นคนรีดนังนั่นเอง”
วศินวางสายไป สมสุขพูดขึ้นเหมือนคนอ่านเกมออก
“นังนั่นที่ท่านว่า คงจะเป็นผู้หญิงที่อยู่ในทีมของท่านอภิวัฒน์ใช่มั้ยครับ”
“ลื้อไม่ต้องรู้หรอก ไปทำในสิ่งที่ลื้อต้องทำเถอะ” วศินบอกแล้วจะเดินออกไป
“ไม่มีอะไร ผมก็แค่อยากเตือนท่านเอาไว้ เวลาที่หมามันจนตรอกน่ะ น่ากลัวที่สุด”
“ก็ดูแล้วกันว่ามันจะสู้ลูกปืนได้มั้ย”
วศินเดินออกไป สมสุขมองตามกำลังครุ่นคิดแผนบางอย่าง
วศินกำลังเดินออกมาจากบ้านสมสุข มีลูกน้อง 3 คนเดินตามมา ระหว่างนั้นเสียงมือถือดังขึ้น วศินมองเบอร์ที่ไม่คุ้นก่อนจะกดรับ
“ฮัลโหล อะไร...จากไหนนะ...หน่วยดับเพลิง มีอะไร”
ภูวนัยยืนอยู่ที่มุมหนึ่งบนถนนที่อยู่ในซอยบ้านวศินกำลังคุยมือถืออยู่
“ตอนนี้บ้านท่านกำลังถูกไฟไหม้ครับ แม่บ้านเหรอครับ ตอนนี้คนในบ้านปลอดภัย แต่เราพาส่งโรงพยาบาลหมดแล้วครับ ตอนนี้เราเลยขอให้ท่านกลับมาดูความเสียหายครับ”
ภูวนัยวางสายไปด้วยสีหน้าเครียด
ไผ่พญาถูกจับมัดอยู่กับเก้าอี้ที่ตึกร้างแห่งหนึ่ง ถูกชาติกล้าขู่หนัก
“เธอจะโทร.หามันหรือจะให้ฉันส่งนิ้วเล็กๆ ของเธอไปให้มันแทน”
“ฉันไม่โทร แกมันไอ้เพื่อนชั่ว...เพื่อนเลว...เพื่อนทรยศ”
“ด่าไปเถอะ ถ้าคิดว่าฉันจะรู้สึกกับคำพูดพวกนั้นละก็ฉันคงยืนอยู่ในจุดที่ฉันอยู่ไม่ได้” ชาติกล้าจิกหัวไผ่พญาขึ้นมา “ปกป้องมันไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร จะช้าจะเร็วมันก็ต้องตายอยู่ดี โทรหามัน”
“ถุย”
ไผ่พญาถ่มน้ำลายใส่หน้าชาติกล้า ชาติกล้าเหลืออดคว้าปืนขึ้นมาเล็งใส่ ไผ่พญาเห็นอย่างนั้นก็หลับตาเหมือนเตรียมใจแต่แล้วชาติกล้ากลับลดปืนลง
“แหม...อย่าดีกว่า” ไผ่พญาลืมตา ใจหายที่รอดตาย “ฉันจะเก็บเธอไว้ แล้วฆ่าเธอต่อหน้ามัน อย่างนี้ซิทรมานกว่า เธอว่าจริงมั้ย”
ชาติกล้าเก็บปืนก่อนจะเดินออกไป ไผ่พญาเต็มไปด้วยความกลัว
รถของวศินแล่นมาตามทางที่เป็นถนนแถวบ้าน อยู่ๆ ภูวนัยก็เดินออกมาจากข้างทางแล้วยืนขวางทางรถเอาไว้
ลูกน้องของวศินที่ขับมาพอเห็นภูวนัยก็ตกใจหักหลบ เบรกเอี๊ยด! วศินถึงกับหน้าคะมำ ภูวนัยเดินเข้ามาที่รถของวศิน ระหว่างนั้นลูกน้องของวศินเดินลงมาจากรถ
“เฮ้ย เป็นบ้าอะไรวะ”
ภูวนัยไม่พูดพร่ำทำเพลงซัดลูกน้องวศินคว่ำลงภายในพริบตา วศินเห็นอย่างนั้นก็ตกใจ
“เฮ้ย ลงไปจัดการมันซิวะ”
ลูกน้องอีกสองคนลงมาจากรถ ก่อนจะชักปืนเข้ามาเพื่อจะจัดการ ภูวนัยวิ่งปรี่เข้ามาก่อนจัดการกับลูกน้องวศินโดยไม่เกรงกลัวปืน ภูวนัยจับมือคนแรกหักบิดก่อนจะเอาตัวลูกน้องนั่นมาบังกระสุนที่อีกคนยิงใส่เข้ามา
ลูกน้องคนหนึ่งล้มลง ภูวนัยรีบเข้าไปจัดการกับลูกน้องอีกคนที่กำลังจะยิงใส่เขา วิ่งเข้าไปจับปืนก่อนจะกดปลดแมกกาซีนในชั่วพริบตา ลูกน้องคนนั้นยังไม่ทันหายตกใจก็โดนภูวนัยสอยปลายคางจนร่วงกลางอากาศ วศินเห็นอย่างนั้นก็ตกใจจะเปิดประตูลงจากรถ แต่แล้วภูวนัยก็เข้าไปยืนขวาง
“แกเป็นใครวะ”
“ท่านจำผมไม่ได้หรือไง”
วศินมองที่ภูวนัยก่อนจะเห็นสีหน้าวศินตกใจขึ้นมา ภูวนัยแววตาแข็งกร้าวพร้อมชน
ส่วนที่ตึกร้างชาติกล้ากำลังรอคอยการมาของวศิน ไผ่พญานั่งระโหยโรยแรงอยู่ที่เก้าอี้ ระหว่างนั้นเสียงมือถือดังขึ้น ชาติกล้ามองเบอร์แล้วเห็นว่าเป็นวศินจึงรีบกดรับสาย
“ครับท่าน” ชาติกล้าฟัง แล้วตกใจ “ไอ้ภู”
ไผ่พญาได้ยินที่ชาติกล้าอุทานชื่อภูวนัยก็ถึงกับหันขวับ
ขณะนั้นภูวนัยยืนอยู่ข้างรถวศิน
“ฉันต้องการตัวผู้หญิงของฉัน”
“แกทำอะไรท่าน”
ภูวนัยเดินมาที่ท้ายรถจึงเห็นวศินถูกจับมัดอยู่ในกระโปรงหลังรถ
“ตอนนี้ยัง แต่ถ้าแกไม่พาคนของฉันมาให้ในอีกหนึ่งชั่วโมงละก็ ทั้งมันแล้วก็แกได้เจอในสิ่งที่แกไม่อยากเจอแน่”
ชาติกล้ากำหมัดแค้น
“ได้...บอกสถานที่มา”
ชาติกล้าพาไผ่พญาเดินเข้ามาในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ไผ่พญาพยายามหาทางหนี ชาติกล้ารู้ทันบีบแขนไผ่พญา
“อย่าตุกติก ไม่งั้นเธอไม่ได้เจอไอ้ภูแน่” เสียงมือถือของชาติกล้าดังขึ้น ชาติกล้ารับสาย “ฉันมาถึงแล้ว”
ภูวนัยยืนอยู่ที่มุมหนึ่งมองดูชาติกล้ากับไผ่พญาจากชั้นสาม
“แกมาคนเดียวหรือเปล่า”
“คิดว่าไงละ รีบบอกมาว่าให้พาคนของแกไปที่ไหน”
“เดินลงบันไดเลื่อนไปชั้นใต้ดิน แล้วเดินออกไปทางด้านหลังของห้าง”
ชาติกล้ากวาดตามองหาไปรอบๆ เพราะรู้ว่าภูวนัยมองเขาอยู่ แต่จำเป็นต้องเดินไปตามคำสั่งของภูวนัยก่อน ภูวนัยมองดูชาติกล้าที่พาไผ่พญาเดินไปทางบันไดเลื่อน ก่อนจะมองไปรอบๆ ตัวชาติกล้าเพื่อดูว่ามีใครติดตามชาติกล้ามาหรือเปล่า แล้วภูวนัยก็เดินหลบไปอีกทาง
ชาติกล้าพาไผ่พญาเดินมาตามทางที่ชั้นใต้ดิน เดินออกมาทางประตูด้านหลังของห้าง ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นคุย
“ฉันออกมาแล้ว ทำยังไงต่อ”
ภูวนัยยืนมองอยู่บนลานจอดรถ
“เลี้ยวขวาแล้วเดินตรงไป”
“ท่านเป็นยังไง”
ภูวนัยอยู่ที่ลานจอดรถเดินมาที่รถจึงเห็นวศินถูกใส่กุญแจมือนั่งอยู่ภายในรถ ภูวนัยยื่นมือถือให้วศิน
“ทักทายลูกน้องหน่อย”
“มัวทำอะไรอยู่วะ เร็วๆ ซิเว้ย”
ภูวนัยเอาโทรศัพท์มาคุยต่อ
“จะไปต่อได้หรือยัง” ชาติกล้าต้องจำใจพาไผ่พญาไปตามคำสั่ง ภูวนัยมองตามชาติกล้า ชาติกล้าพาไผ่พญามาถึงที่หน้าลิฟต์ “หยุด” ภูวนัยสั่ง ทันใดนั้นเสียงลิฟต์ก็ดังขึ้น “ปล่อยเธอเข้าไปในลิฟต์คนเดียว” ชาติกล้าหันมาเห็นลิฟต์ขนของเปิดออก ไม่มีคนอยู่ ชาติกล้าไม่อยากปล่อยไผ่พญาเข้าไป “เร็ว ให้เธอเข้าไป”
ชาติกล้ารีบผลักไผ่พญาเข้าไปในลิฟต์ทันที
ภูวนัยรีบวิ่งมาที่ลิฟต์แล้วกดเรียกลิฟต์ ชาติกล้ามองตัวเลขลิฟต์ที่กำลังขึ้นไป แล้วเดินออกมามองที่ลานจอดรถก่อนจะรีบส่งสัญญาณทางวิทยุให้กับคนที่แอบซุ่มเอาไว้
“มันอยู่ที่ลานจอดรถ ปิดลานจอดรถเอาไว้” ชาติกล้าหันไปมองตัวเลขแล้วเห็นว่าลิฟต์ไปหยุดที่ชั้นสาม “ชั้นสาม...มันอยู่ชั้นสาม”
ลิฟต์หยุดที่ชั้น 3 ไผ่พญาที่อยู่ในลิฟต์เต็มไปด้วยความหวั่นใจ ระหว่างนั้นประตูลิฟต์เปิดออก แล้วไผ่พญาก็แทบจะร้องไห้ออกมาเมื่อเห็นภูวนัยยืนอยู่ สองคนต่างโผเข้ากอดกัน ภูวนัยดูใบหน้าของไผ่พญา
“มันซ้อมคุณเหรอ”
“มันต้องการให้ฉันโทร.หานาย แต่ฉันไม่โทร. รีบไปจากที่นี่เถอะ ฉันได้ยินหมวดชาติพากำลังมาด้วย”
ภูวนัยกับไผ่พญารีบวิ่งกันออกไป
ภูวนัยจับมือไผ่พญาวิ่งมาตามทาง
“แล้วนายเอาตัววศินไว้ไหน”
“อยู่ในรถ”
“แล้วนายจะไม่คืนตัวตัววศินให้พวกมันใช่มั้ย” ภูวนัยพยักหน้า
“รีบไปเถอะ”
ภูวนัยกับไผ่พญากำลังจะวิ่งมาถึงรถ แต่แล้วทั้งสองก็ต้องชะงักเมื่อเห็นกำลังของชาติกล้าวิ่งเข้ามา
ทันใดนั้นคนของชาติกล้าก็ยิงใส่ภูวนัยกับไผ่พญาทันที ปังๆๆ ภูวนัยรีบดึงไผ่พญาหลบ ชาติกล้าวิ่งมาที่ลานจอดรถแล้วเห็นรถของวศินที่จอดอยู่ ชาติกล้ารีบเข้ามาช่วยวศิน
“ไปล่ามัน...ฆ่ามันให้ได้”
วศินสั่ง เมื่อชาติกล้าปลดผ้าที่มัดปากออก ชาติกล้ารีบออกไป ภูวนัยหันมองไปรอบๆ ดูทางหนีทีไล่แล้วภูวนัยก็เห็นบันไดอยู่ไม่ไกล
“ลงบันได”
ภูวนัยรีบดึงไผ่พญาวิ่งลงบันไดไป ชาติกล้าสั่งวิทยุสกัด
“ชั้นสอง...พวกมันลงไปที่ชั้นสองแล้ว”
ชาติกล้าสั่งเสร็จแล้วรีบวิ่งตามภูวนัยกับไผ่พญาไป
ภูวนัยกับไผ่พญาวิ่งกันมาที่บันไดที่ลานจอดรถชั้น2 มีพวกชาติกล้าวิ่งไล่ยิงมาด้านหลัง ภูวนัยจะพาไผ่พญาวิ่งไป แต่แล้วทั้งคู่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นกำลังอีกกลุ่มของชาติกล้าวิ่งเข้ามา ภูวนัยจะพาไผ่พญาวิ่งไปอีกทางแต่กลุ่มของชาติกล้าก็วิ่งมาพอดี ภูวนัยกับไผ่พญาหันรีหันขวางจนมุม
“ยอมให้จับเถอะไอ้ภู”
ภูวนัยกับไผ่พญาจับมือกันแน่น ภูวนัยหมดสิ้นหนทางหนีแล้ว แต่แล้วทันใดนั้นก็มีรถตู้สีดำคันหนึ่งแล่นเข้ามาทำท่าจะชนกลุ่มของชาติกล้า ทำให้พวกชาติกล้าต้องหลบกันพัลวัน
รถตู้เปิดออก ภูวนัยกับไผ่พญาเห็นชายชุดดำออกมาพร้อมกับปืนแล้วชายชุดดำก็ระดมยิงไม่ยั้ง
ภูวนัยกับไผ่พญางงเพราะเป้าหมายไม่ใช่พวกเขาสองคนแต่เป็นกลุ่มของตำรวจที่อยู่อีกด้านก่อนที่ชายชุดดำจะบอกกับภูวนัย
“ขึ้นรถ”
สองคนรีบขึ้นรถทันที รถตู้ขับฝ่าเหล่าตำรวจนอกเครื่องแบบออกไปอย่างรวดเร็ว
ภูวนัยกับไผ่พญาโล่งอกที่รอดมาได้ แล้วภูวนัยก็หันไปถามกับเหล่าชายชุดดำที่อยู่บนรถ
“ท่านอภิวัฒน์ส่งพวกนายมาช่วยเราใช่มั้ย”
“พวกเราไม่ได้มาช่วยแกสองคน”
ทันใดนั้นชายชุดดำบนรถก็ยกปืนจี้ภูวนัยกับไผ่พญาเอาไว้
“เฮ้ย! แล้วพวกแกเป็นใคร”
ชายชุดดำคนอื่นเข้ามาใส่กุญแจมือภูวนัยกับไผ่พญาเอาไว้
“ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง”
แล้วชายชุดดำที่อยู่ด้านหลังก็เอาถุงผ้าคลุมหัวสองคนทันที
เมื่อถึงจุดหมายภูวนัยกับไผ่พญาถูกดึงถุงผ้าคลุมหน้าออก ทั้งสองคนมองไปรอบๆ เพื่อตั้งสติแต่ที่ทั้งสองคนเห็นก็คือเหล่าชายชุดดำที่ยืนห้อมล้อม ระหว่างนั้นเสียงสมสุขดังขึ้น
“หวังว่าคนของฉันคงไม่ทำให้ตกใจนะ”
ภูวนัยกับไผ่พญามองไปที่ต้นเสียงจึงเห็นสมสุขเดินเข้ามา ก็ตกใจ
“สมสุข แกช่วยพวกเราไว้ทำไม”
“ช่วยเหรอ ใครช่วยแก ฉันช่วยน้องไผ่ของฉันต่างหาก”
สมสุขยื่นหน้าเข้ามาหาไผ่พญา ไผ่พญาร้องวี้ดว้าย
“ไอ้สมสุข ไอ้ทรยศ”
“ทรยศเหรอ ไม่ใช่มั้งเพราะฉันไม่เคยคิดว่าฉันเป็นพวกเดียวกับแกเลย” สมสุขลากเก้าอี้มานั่ง “ถ้าให้ฉันเดา...ตอนนี้พวกเธอคงกำลังหาตัวฉันอยู่ใช่มั้ย”
“เสี่ยรู้ได้ยังไง” ภูวนัยสะกิดเพราะไม่อยากให้สมสุขรู้ความต้องการ
“ทำไมจะไม่รู้ ตอนนี้พวกเธอกำลังถูกวศินมันรุกหนัก ทางเดียวที่จะพลิกกลับมาชนะได้ก็คือคลิปฉาวโฉ่ของมันที่อยู่กับฉัน ถูกต้องมั้ยหมวดภู”
“สมสุข ฉันจะฆ่าแก”
“เหรอ ก่อนพูดอะไรน่ะดูสารรูปตัวเองหน่อยซิหมวด ฉันนึกอะไรดีๆ ออกแล้ว เอาอย่างนี้มั้ยถ้าให้น้องไผ่ขึ้นไปอยู่ฉันสักชั่วโมงนึง ฉันจะปล่อยแกไปพร้อมกับคลิปนั่น”
ภูวนัยกับไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป
“เสี่ยพูดจริงเหรอ”
“จะบ้าหรือไง” ภูวนัยขัดแล้วพูดกับสมสุข “ไม่มีทาง ยังไงพวกเราก็ไม่ทำตามข้อเรียกร้องของแก แกมันไอ้โรคจิต”
“ก็แล้วแต่ ฉันจะบอกอะไรให้อย่างแล้วกัน ตอนนี้ไอ้วศินมันกำลังจะเปิดตัวหนังสืออัตชีวประวัติวีรกรรมห่าเหวอะไรของมัน ถ้ามันขายหนังสือได้ ไอ้คลิปที่พวกเธออยากได้ก็อาจจะไม่ค่อยมีผลเท่าไหร่” ภูวนัยกับไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจ “เอาละ...ฉันจะให้เวลาพวกเธอตัดสินใจ แต่รีบหน่อยนะ เพราะยิ่งช้าไอ้คลิปนั่นก็มันก็ยิ่งหมดประโยชน์”
สมสุขเดินหัวเราะออกไป ภูวนัยกับไผ่พญาเต็มไปด้วยความกังวล
ภูวนัยกับไผ่พญาพยายามแก้มัดเชือกแต่ก็แก้ไม่ได้
“ทำไมมันมัดแน่นอย่างนี้นะ นายว่าเสี่ยสมสุขเขาจะฆ่าพวกเรามั้ย”
“ไม่หรอก ถ้ามันจะทำก็คงทำไปนานแล้ว”
ไผ่พญานิ่งคิด แล้วเหมือนตัดสินใจ
“ฉันจะยอมทำตามที่มันต้องการ”
“จะบ้าเหรอไง ใครให้คุณทำอย่างนั้น”
“แต่มันเป็นทางรอดเดียวของเรา”
“คุณเคยบอกไม่ใช่เหรอ ว่าที่เรารอดมาได้ทุกครั้งเพราะเราอยู่ด้วยกัน”
ไผ่พญานิ่งไป รู้ว่าภูวนัยเป็นห่วง ทั้งสองต่างนิ่งไม่รู้จะพูดอะไรก่อนที่ภูวนัยจะพูดให้ไผ่พญาฟัง
“หลังจากที่ผมเสียคนที่รักที่อยู่รอบข้างผมไป ผมเหมือนคนที่ตายทั้งเป็น” ไผ่พญาแปลกใจที่ภูวนัยพูดเปิดใจ “มันเลยทำให้ผมรู้ว่า การเสียคนที่เรารักไปมันคือความเจ็บปวดที่สุดในชีวิต เพราะฉะนั้นผมเลยไม่อยากเสียคุณไปอีก” ไผ่พญาได้ยินก็ถึงกับอึ้งหัวใจเต้นเร่า “คุณสัญญากับผมเรื่องนึงได้มั้ย”
“เรื่องไร”
“ไม่ว่ายังไงคุณจะต้องมีชีวิตออกไปให้ได้”
ไผ่พญาสะอึกเมื่อเห็นท่าทีภูวนัยจริงจัง
“ฉันไม่สัญญาหรอก” ภูวนัยนิ่งฟัง “ก็นายบอกให้ฉันมีชีวิตกลับไป แล้วนายละ ฉันไม่ยอมกลับไปคนเดียวหรอก”
“ทำไม...คุณห่วงผมเหรอ” ไผ่พญาเขิน
“บ้าละ”
“คุณรักคุณตะวันหรือเปล่า”
ไผ่พญานิ่งก่อนจะตอบ
“เขารักฉัน”
“คุณตอบไม่ตรงคำถาม”
“คุณตะวันเขาเป็นคนดีแล้วก็รักฉันมาก แต่ฉันไม่ได้รักเขาเพราะฉันมีคนที่ฉันรักอยู่ในใจอยู่แล้ว”
ภูวนัยนิ่งคิดตัดสินใจถาม
“แล้วคนที่คุณรัก...”
ไผ่พญานิ่งคิดถามหัวใจตัวเองก่อนจะตัดสินใจบอกภูวนัย
“ฉัน...ฉัน...”
ระหว่างนั้นลูกน้องของสมสุขเปิดประตูเข้ามา
“เฮ้ย! คุยอะไรกัน”
“คนที่ฉันรักคือ...เสี่ยสมสุข”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป
“คุณพูดอะไรของคุณ” ไผ่พญาไม่สนใจภูวนัยแต่บอกกับลูกน้องสมสุข
“ช่วยพาฉันไปหาเสี่ยที”
“ไม่...คุณจะทำอะไร” ภูวนัยถามอย่างตกใจ
“แน่ใจนะ” ลูกน้องสมสุขถาม ไผ่พญาพยักหน้า ลูกน้องสมสุขเลยเข้ามาแกะเชือกให้ไผ่พญา
“ไอ้บ้า...อย่าแตะต้องตัวเธอ” ภูวนัยพยายามดิ้นรน ขณะที่ลูกน้องสมสุขพาไผ่พญาออกไปจากห้อง ไผ่พญามองภูวนัยอีกครั้ง “ไผ่...อย่า...อย่าทำอย่างนั้น ไผ่”
ลูกน้องสมสุขพาไผ่พญาเข้ามาในห้อง สมสุขกำลังรินไวน์ขาวใส่แก้ว สมสุขพยักหน้าให้ลูกน้องออกไป
“เสี่ยไม่ชอบการบังคับขืนใจ ช่วยบอกเสี่ยทีว่าน้องไผ่เต็มใจ”
“เสี่ยมีคลิปนั่นจริงหรือเปล่า”
สมสุขยิ้มก่อนจะหยิบ SD CARD ขึ้นมาให้ไผ่พญาดู
“ไม่มีหรอก เสี่ยโกหกน่ะ” สมสุขพูดแบบกวนๆ ไผ่พญาเห็น SD CARD ก็ตาลุกวาว ปรี่จะเข้ามาแต่สมสุขก็รีบเก็บ “ไม่เอาซิจ้ะน้องไผ่ ทำแบบนี้มันง่ายไปหน่อยเหรอ ทีเสี่ยอยากได้น้องไผ่ยังต้องใช้ความพยายามเลย เสี่ยอยากเห็นความพยายามของเราบ้าง”
ทันใดนั้นสมสุขก็หย่อนการ์ดลงในปาก ไผ่พญาเห็นก็ตกใจ
“เสี่ย”
สมสนุขแลบลิ้นออกมาจึงเห็นว่าสมสุขไม่ได้กลืนลงไป
“อยู่นี่...เข้ามาหยิบซิ แต่ห้ามใช้มือนะ” ไผ่พญารู้ว่าสมสุขหมายถึงอะไร ไผ่พญาไม่มีทางเลือกจึงเดินเข้าไปยืนอยู่ต่อหน้าสมสุข “ดีมาก”
“เสี่ยสัญญากับฉันอีกอย่างได้มั้ย” สมสุขทำหน้าอยากรู้ “เสี่ยต้องปล่อยคุณภูด้วย”
“ไม่มีปัญหา”
ไผ่พญารวบรวมความกล้าเสียสละตัวเอง แต่แล้วไผ่พญาก็เหลือบไปเห็นขวดไวน์ที่อยู่ด้านหลังสมสุข ทันใดนั้นไผ่พญาก็ตัดสินใจพุ่งไปล็อกคอเสี่ยสมสุขก่อนจะคว้าขวดไวน์ขึ้นมาแทนอาวุธ
“เธอจะทำอะไร”
“คายออกมาเดี๋ยวนี้ เร็ว ไม่อย่างนั้นเสี่ยหัวแตกแน่”
“เธอไม่กล้าฟาดหรอก”
“เสี่ยก็รู้ ว่าฉันผ่านภารกิจพวกนี้มาแค่ไหน เรื่องแค่นี้คิดว่าฉันทำไม่ได้หรือไง” ไผ่พญาแอบเหล่เพราะใจจริงก็ไม่กล้าหรอก “เร็ว” ไผ่พญาหันไปหยิบกระดาษทิชชูส่งให้สมสุข “คายออกมา”
“ได้ๆ” สมสุขคาย SD CARD ลงในกระดาษทิชชูก่อนจะส่งให้ไผ่พญา “ไผ่ ถึงเธอได้ไปเธอคิดว่าจะออกไปจากที่นี่ได้เหรอ ฉันแค่ตะโกนเรียกลูกน้อง เธอกับหมวดภูก็กลายเป็นอาหารจระเข้แล้ว”
“งั้น...ฉันขอโทษด้วยนะเสี่ย”
ไผ่พญาเงื้อขวดไวน์ขึ้นจะตีสมสุข แต่สมสุขร้องห้ามเอาไว้
“เดี๋ยวๆ ขวดนั่นบางทีมันอาจจะทำให้หัวแตกอย่างเดียวแต่ไม่สลบนะ เคยเห็นในหนังที่เขาใช้มือสับไปที่ต้นคอมั้ย”
“มือเหรอ อย่างนี้ใช่มั้ย” แล้วไผ่พญาก็ใช้สันมือสับไปที่ต้นคอของสมสุข สมสุขร้องออกมาก่อนจะสลบเหมือดลงไปกับพื้น ไผ่พญามองมือตัวเองอย่างทึ่งๆ “เราทำได้เหมือนกันเหรอเนี่ย”
ไผ่พญาทึ่งกับตัวเองเสร็จก็นึกได้ว่าต้องรีบแล้ว ไผ่พญารีบวิ่งไปที่ประตู
ไผ่พญาออกไปจากห้องได้สักพัก สมสุขที่นอนสลบอยู่ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนมีแผนบางอย่าง
อ่านต่อหน้า 2
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 18 (ต่อ)
ภูวนัยที่อยู่ในห้อง กำลังพยายามหาทางแก้มัด แต่ไม่ว่าจะพยายามยังไงก็ไม่สามารถดิ้นหลุดได้ แล้วภูวนัยก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นไผ่พญาเปิดประตูพรวดพราดเข้ามา ล็อกประตูแล้วรีบเข้ามาหาภูวนัย
ที่หน้าห้องขณะนั้นลูกน้องของสมสุขเดินถือแก้วกาแฟเข้ามานั่งเฝ้าหน้าห้องเหมือนเดิม
“ไผ่! ไอ้สมสุขมันปล่อยคุณมาได้ยังไง”
“เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟัง”
ลูกน้องที่กำลังนั่งดื่มกาแฟอยู่หน้าห้องได้ยินเสียงก็ชะงัก ลุกขึ้นไปเปิดประตูแล้วพบว่าประตูล็อก ไผ่พญารีบแก้มัดให้ภูวนัย ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังปึงปังอยู่หน้าห้อง
“ใครให้แกล็อกประตู...เปิดประตู”
ภูวนัยกับไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจ
“เร็วหน่อยคุณ”
“อย่าเร่งซิ มือฉันสั่นไปหมดแล้ว” แล้วไผ่พญาก็แก้มัดให้ภูวนัยได้สำเร็จ “แล้วจะหนียังไง”
ภูวนัยหันไปรอบๆ ก่อนจะหันไปเห็นหน้าต่าง
“ทางนี้”
ภูวนัยรีบดึงไผ่พญามาที่หน้าต่างก่อนจะรีบดันไผ่พญาขึ้น ไผ่พญาหันมาแว้ด
“นี่...ใครให้นายจับก้นฉัน”
“อย่าเพิ่งคิดอะไรตอนนี้ได้มั้ยคุณ...ไปเร็ว”
ไผ่พญาทำหน้าค้อนก่อนจะรีบกระโดดออกจากหน้าต่างไป ภูวนัยรีบปีนหน้าต่างออกไปอีกคน หลังจากที่ทั้งคู่ออกไปได้แล้ว ลูกน้องของสมสุขก็พังประตูเข้ามาแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นห้องว่างเปล่า ลูกน้องรีบวิ่งมาที่หน้าต่างจึงภูวนัยกับไผ่พญากำลังวิ่งไปที่ประตูบ้าน
ภูวนัยกับไผ่พญาวิ่งมาที่ประตูรั้ว ภูวนัยให้ไผ่พญาปีนข้ามไปก่อน พอไผ่พญาข้ามไปเสร็จภูวนัยกำลังจะปีนตามจังหวะนั้นเสียงปืนก็ดังขึ้น ปัง...ปัง
ภูวนัยหันไปก็เห็นลูกน้องสมสุขกำลังจะวิ่งออกมาจากตัวบ้าน ภูวนัยรีบปีนข้ามประตูรั้วไป ลูกน้องสมสุขกำลังจะวิ่งตามแต่เสียงสมสุขดังขึ้นซะก่อน
“ไม่ต้องตาม”
ลูกน้องทั้งหมดหันไปมองเห็นสมสุขเดินเข้ามา ลูกน้องแปลกใจ
“อ้าว...ทำไมครับเสี่ย จะปล่อยพวกมันไปเหรอครับ” สมสุขพยักหน้า
“ก็แผนต่อไปของฉันต้องใช้พวกมันนี่”
สมสุขยิ้มเจ้าเล่ห์
ภูวนัยกับไผ่พญาวิ่งหนีมาตามทาง
“ฉันวิ่งไม่ไหวแล้ว”
ภูวนัยวิ่งตามเข้ามา หันไปมอง
“พวกมันไม่ตามมาแล้วละ” ภูวนัยเข้ามาดูไผ่พญาด้วยความเป็นห่วง “คุณไม่เป็นไรนะ” ไผ่พญาพยักหน้า “แล้วคุณหนีรอดจากไอ้สมสุขมาได้ยังไง”
“นี่ไง” ไผ่พญาโชว์มือที่ทำท่าคาราเต้ให้ดู “ฉันสับไปที่ต้นคอเสี่ยสมสุข ป๊อกเดียว สลบเลย”
“คุณเนี่ยนะ” ภูวนัยทำหน้างง
“อ้ะ...หน้าตานายบอกว่าไม่เชื่อ ฉันรู้แต่ว่าฉันยังมีเรื่องที่นายไม่อยากจะเชื่ออีก” ภูวนัยยิ่งอยากรู้ ไผ่พญาเลยหยิบห่อกระดาษทิชชูออกมาก่อนจะส่งให้ภูวนัย “ลองดูซิว่าอะไร”
ภูวนัยเปิดออก จึงเห็นว่าเป็น SD CARD
“คุณทำได้”
ภูวนัยดีใจจนลืมตัวเข้าไปยกตัวไผ่พญาขึ้น
“จะทำอะไรนะ “
“คุณทำได้”
ภูวนัยดีใจจับตัวไผ่พญาลอย ไผ่พญาเขินยกใหญ่
“ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้ ปล่อย”
คืนนั้นขณะที่วศินนั่งอยู่ในห้องทำงานที่บ้าน ชาติกล้าเปิดประตูเข้ามา
“ขออนุญาตครับ”
“รู้ตัวหรือยังว่าใครมาช่วยพวกมันเอาไว้”
“ยังไม่ทราบครับ แล้วผมก็คิดว่าไม่น่าจะใช่คนจากท่านอภิวัฒน์ เพราะเราแอบติดเครื่องดักฟังที่มือถือก็ไม่พบอะไรที่น่าสงสัย”
“แล้วพวกมันเป็นใคร” เสียงมือถือของวศินดังขึ้น วศินมองเบอร์เห็นว่าเป็นสมสุขโทรมานั่นเอง “ว่าไง”
สมสุขกำลังเปิดๆ หนังสือของวศินเล่นอยู่
“คงไม่รบกวนเวลานอนท่านใช่มั้ยครับ”
“มีอะไรก็รีบพูดมา”
“หมวดภูมาหาผม”
วศินตกใจ
“อะไรนะ หมวดภูไปหาลื้อเหรอ” ชาติกล้าได้ยินก็สนใจขึ้นมาทันที “แล้วลื้อจัดการพวกมันได้แล้วใช่มั้ย...ถึงได้โทร.มาหาอั้ว...ว่าไงนะ” วศินปามือถือทิ้งด้วยความโมโหสุดๆ
“เกิดอะไรขึ้นครับท่าน”
“ไอ้หมวดภูนั่นมันพาพวกที่ช่วยมันบุกไปหาไอ้เสี่ยสมสุข แล้วมันก็ได้คลิปของอั้วไปแล้ว”
ชาติกล้าได้ยินอย่างนั้นอึ้งไป
ด้านสมสุขปิดหนังสือของวศินก่อนจะโยนลงถังขยะ
“หวังว่าหมวดภูคงไม่ทำให้ฉันผิดหวังนะ”
สมสุขมองหนังสือของวศินที่อยู่ในถังขยะแล้วยิ้มร้ายออกมา
ฟากภูวนัยกับไผ่พญาเดินเข้ามาในห้องพักของโรงแรมแห่งหนึ่ง ภูวนัยล็อกประตูแล้วต้องตกใจเมื่อหันมาเห็นไผ่พญายืนอยู่
“ดูยัง”
“ดูอะไร”
“เอ้า...ก็คลิปของมันไง ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าไอ้คลิปเจ้าปัญหานั่นนะมันมีอะไร คนถึงได้อยากได้มันนัก”
ภูวนัยพยักหน้าก่อนจะเดินลงมานั่งที่เตียงแล้วหยิบมือถือออกมาพร้อมกับ SD CARD ภูวนัยใส่เสร็จเรียบร้อยแล้วกดเปิดเครื่องจะเปิดดูคลิป เห็นมีแต่รูปของไผ่พญาอยู่ในนั้น
“เฮ้ย” ภูวนัยรีบเก็บ
“ทำไมมีแต่รูปฉัน ไหนขอดูหน่อยซิ”
ภูวนัยโกรธกลบเกลื่อนความเขิน
“อะไร ใช่ที่ไหน”
“ก็ฉันเห็นนี่” ภูวนัยเอาโทรศัพท์ไปซ่อนไว้ข้างหลัง ไผ่พญาจะแย่งแล้วทั้งคู่ก็ต้องชะงักไปเมื่อสบตากัน ไผ่พญารีบดึงตัวกลับ “ไม่ดูก็ได้ สระผมดีกว่า”
ไผ่พญาค้อนก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป ภูวนัยมองตามจนเห็นไผ่พญาเข้าห้องน้ำไปก็โล่งอก รีบหยิบมือถือมาแล้วเห็นรูปของไผ่พญาอยู่ในนั้นเยอะจริงๆ ระหว่างเสียงไผ่พญาร้องขึ้นด้วยความเจ็บตามด้วยเสียงของหล่น
“โอ๊ย”
ภูวนัยตกใจรีบลุกไป
ภูวนัยรีบเข้ามาในห้องน้ำจึงเห็นไผ่พญากุมมืออยู่ ยาสระผมตกอยู่ที่พื้นห้องน้ำ
“เป็นอะไรคุณ”
“สงสัยฉันจะสับคอตาเสี่ยสมสุขนั่นแรงไปหน่อย”
“ขอผมดูหน่อย” ภูวนัยเข้ามาจับข้อมือของไผ่พญาดู “คงจะช้ำน่ะ คุณอย่าใช้มือข้างนี่ซักพักแล้วกัน”
“อ้าว ก็ฉันอยากสระผมนี่”
“นี่คุณ ไม่สระแค่วันสองวันมันไม่เน่าหรอกน่า”
“ก็ฉันอยากสระนี่” ภูวนัยทำหน้าเซ็ง แล้วไผ่พญาก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ “นายสระผมให้ฉันหน่อยซิ”
“จะบ้าเหรอไง”
“อะไร ก็มือฉันเจ็บนี่...นะนะ...ถือว่าเป็นรางวัลที่ฉันเอาคลิปนั่นมาให้นายได้”
ภูวนัยส่ายหน้าเขินๆ
“หือ”
ไผ่พญาย่างเท้าเข้าไปหาภูวนัย
“นะ” ภูวนัยถอยตามจังหวะก้าวของไผ่พญา “นะ...นะ” ภูวนัยถอยจนติดกำแพง ไผ่พญาเดินเข้ามาอ้อนตรงหน้า “นะ”
“ก็ได้ๆ”
ไผ่พญายิ้มกริ่มดีใจ ภูวนัยทำหน้าแปลกๆ ไม่รู้จะปั้นหน้ายังไง
อ่านต่อตอนต่อไป
สองคนอยู่ในห้องน้ำของห้องพักโรงแรม ภูวนัยกำลังสระผมให้กับไผ่พญาในอ่างน้ำ
“นั่นแหละๆ...ฮ้า...สบายจริงๆ”
ภูวนัยมองไผ่พญาที่กำลังหลับตาอย่างสบายแล้วอมยิ้มออกมา
“คุณนี่ จริงๆ เลย”
ไผ่พญาลืมตามองภูวนัย ไม่เข้าใจ “อะไร”
“เอ้า ก็เราเพิ่งผ่านความเป็นความตายมา...แต่ตอนนี้คุณกลับทำเหมือนไม่ได้ผ่านเหตุการณ์พวกนั้นมา”
ไผ่พญานิ่งไปอย่างสำรวจตัวเอง ก่อนจะพูดขึ้น
“ฉันคงผ่านเรื่องร้ายๆ พวกนี้มาตั้งแต่เด็กมั้ง”
“แล้วคุณไม่โกรธที่พ่อคุณทิ้งไปเหรอ”
“พ่อฉันคงจะมีความจำเป็นแหละ...ไม่มีพ่อคนไหนไม่รักลูกหรอก...จริงมั้ย”
ภูวนัยนิ่งไป
“เอ่อ...ขอโทษ...ฉันไม่ได้ตั้งใจพูดให้นายคิดถึงคุณลุง”
“ไม่เป็นไร”
ไผ่พญาเปลี่ยนเรื่อง “นี่นายรู้มั้ยว่า นายเป็นผู้ชายคนที่สองที่สระผมให้ฉันนะเนี่ย”
ภูวนัยชะงัก “คนที่ 2 หึ” มีหึง “คุณตะวันเขาคงสระดีกว่าผมใช่มั้ย”
“คุณตะวันอะไร...พ่อฉันต่างหาก” ภูวนัยชะงักเพราะหลุดหึงไปซะแล้ว “นายนี่สระผมเหมือนพ่อฉันเลยรู้มั้ย”
ภูวนัยเขินเมื่อโดนชม “เหรอ”
“ถ้าอย่างนั้นฉันเรียกนายว่าปะป๊าได้มั้ย”
“จะบ้าเหรอไง”
ไผ่พญายิ่งยั่ว “นะปะป๊า...ปะป๊า”
ภูวนัยหมั่นไส้ไผ่พญาเลยเอามือที่เปื้อนยาสระผมป้ายหน้าเลย
“นี่ เป็นไง ยังจะเรียกอยู่มั้ย”
“โอ๊ย แสบตา น้ำๆๆ”
ไผ่พญารีบเปิดก๊อกน้ำที่อ่างล้างหน้า จนหายแสบตาแล้วมองภูวนัยอย่างหมั่นไส้
“เล่นใช่มั้ย”
แล้วไผ่พญาก็วักน้ำสาดใส่ ภูวนัยไม่ยอมก็เอาน้ำในอ่างสาดคืน สองคนเล่นกันอย่างมีความสุข
วันต่อมา วศินเดินไปมาในห้องอย่างร้อนใจ ระหว่างนั้นชาติกล้าเปิดประตูเข้ามา
“ขออนุญาตครับท่าน”
“ว่าไง พวกมันโผล่หัวออกมาหรือยัง”
“ยังครับ ไม่มีความเคลื่อนไหว ไม่มีข้อเรียกร้องอะไรเลยครับ”
วศินนั่งลงอย่างครุ่นคิดสีหน้าเครียด
“พวกมันจะเล่นเกมอะไรอีก”
“ผมว่าที่หมวดภูยังเงียบอยู่ เพราะหมวดภูรู้ว่าเรากุมอำนาจสื่อส่วนใหญ่ไว้ในมือ ถึงมันจะเอาเผยแพร่ยังไงก็ทำอะไรเราไม่ได้”
“อย่าประมาทมัน ที่มันทำให้เรามาถึงจุดนี้ได้เพราะอะไร เพราะเราประมาทเห็นว่ามันเป็นมดตัวเล็กๆ” ชาติกล้านิ่งไม่โต้แย้ง “ไม่ว่ายังไง ก็ต้องเอาคลิปนั่นมาให้ได้”
ชาติกล้ารับคำสั่งสีหน้าเครียด
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นภูวนัยกำลังเปิดมือถือก่อนจะทำขั้นตอนการเปิดคลิป ไผ่พญานั่งลุ้นอยู่ข้างๆ
“นายว่ามันจะเป็นคลิปอะไรอ่ะ คงไม่ใช่ไอ้วศินนั่นจะเป็นคู่เกย์กับเพื่อนนายนะ”
“คิดได้ยังไงเนี่ยคุณ”
“เอ้า...ไม่รู้ซิ ฉันก็แค่คิดว่ามันต้องสำคัญมากแน่ๆ พวกมันถึงได้ต้องการขนาดนี้”
ระหว่างนั้นมือถือของภูวนัยพร้อมเปิด
“เสร็จแล้ว...” ภูวนัยหันไปถามไผ่พญา “พร้อมมั้ย”
ไผ่พญาพยักหน้า ภูวนัยจึงกดเปิดคลิปออกดู ไม่นานก็เห็นเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ในคาราโอเกะแห่งหนึ่ง วศินกำลังเมากร่างมีเรื่องกับโต๊ะข้างๆ วศินหันไปดึงปืนจากลูกน้องที่ติดตามก่อนจะกวาดปืนไปมาผู้คนที่อยู่ในนั้นต่างพากันวิ่งหนีบ้าง เข้ามาห้ามบ้าง
วศินเดินถือปืนเข้าไปหาคู่กรณีที่อยู่โต๊ะข้างๆ คู่กรณีเอาผู้หญิงที่เป็นเด็กนั่งดริ้งค์เข้ามาขวาง วศินยิงเด็กนั่งดริ้งค์ที่เป็นผู้หญิงทันที คู่กรณีเห็นอย่างนั้นก็จะวิ่งหนี วศินเหนี่ยวไกยิงจนล้มตายอีกคน วศินโยนปืนให้กับลูกน้องที่ติดตามก่อนจะเห็นวศินชี้นิ้วสั่งโน่นสั่งนี่
ไผ่พญากับภูวนัยต่างอึ้งไปเมื่อเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
“ทำไมมันถึงได้ชั่วอย่างนี้ เราเอามันไปให้พวกหนังสือพิมพ์ดีมั้ย”
“ไม่ได้ผลหรอก พวกมันคุมสื่อเอาไว้หมด ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้คงจะดังไปนานแล้ว”
“โห...แล้วทำยังไงถึงเปิดโปงความเลวของมันได้”
ภูวนัยนิ่งไปอย่างครุ่นคิด
ที่ร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง สุทินกับวศินนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร มีตำรวจติดตามของวศินยืนอารักขาอยู่ไม่ไกล
“ผมแปลกใจมากที่พี่อยากทานข้าวกับผมวันนี้”
“ก็ไม่มีอะไร ฉันก็แค่อยากเลี้ยงฉลองให้นายล่วงหน้า” สุทินหยิบหนังสือของวศินขึ้นมาอ่าน “ฉันอ่านหนังสือนายแล้ว ดีใจที่ประเทศไทยมีตำรวจอย่างนาย”
“ขอบคุณครับ เพราะผมมีพี่สุทินเป็นแบบอย่าง จึงทำให้ผมมีวันนี้”
“ไม่หรอก ฉันเป็นตำรวจมาเกือบสี่สิบปี รู้เห็นอะไรมาก็เยอะตัดสินใจถูกตัดสินใจผิดก็ไม่ใช่น้อย แต่เรื่องที่ทำให้ฉันเสียใจที่สุดคืออะไรรู้มั้ย” วศินทำหน้าอยากรู้ “ฉันมองอภิวัฒน์เขาผิดไป ไม่คิดเลยว่าอภิวัฒน์เขาจะเป็นสายให้กับห้าเสือพวกนั้น”
“พี่ไม่ต้องห่วงครับ ปล่อยให้ผมจัดการเรื่องนี้เอง”
“ดี...ถ้านายรับปากอย่างนี้ ฉันจะได้เกษียณอย่างสบายใจ” วศินทำท่าจะถาม สุทินรู้ทัน “ไม่ต้องห่วง ถึงฉันจะเกษียณ แต่ฉันก็ได้เบิกทางให้นายขึ้นเป็นท่านรองฯไว้แล้ว”
วศินดีใจ รีบเก็บอารมณ์
“พี่พูดอะไร พี่ยังมีอายุราชการอีกตั้งหลายปี”
“นายจะไม่ให้ฉันไปรักษาโรคหัวใจหน่อยเหรอวศิน เอาน่า...ยิ่งฉันเกษียณเร็ว นายก็ยิ่งขึ้นเร็วนะ อ้ะ”
สุทินกินข้าวต่อ วศินแอบมองสายตาเต็มไปด้วยความดีใจ
สุทินเดินเข้ามาในห้องทำงาน ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูตามหลังมา สุทินเดินเข้ามาที่โต๊ะทำงานพร้อมกับพูดขึ้น
“เชิญ”
ตำรวจหน้าห้องเดินถือกล่องบางอย่างมาให้สุทิน
“มีคนฝากกล่องนี่มาให้ท่านครับ”
“ขอบใจมาก วางไว้นั่นแหละ”
ตำรวจคนนั้นวางกล่องเอาไว้ที่โต๊ะ สุทินนั่งลงหยิบแฟ้มมาดูโดยยังไม่สนใจกล่อง แต่แล้วจู่มีเสียงมือถือดังขึ้น สุทินมองไปรอบๆ แล้วแปลกใจเพราะเสียงมันใกล้นิดเดียว จนสุทินพบว่ามันอยู่ในกล่องใบนั่นเอง
“มือถือใคร” สุทินมองมือถือด้วยความแปลกใจ ก่อนจะกดรับมัน “สวัสดีครับ”
ภูวนัยยืนอยู่ในตู้โทรศัพท์สาธารณะ ไผ่พญายืนอยู่ด้วย
“ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น ผมมีบางอย่างอยากให้ท่านดู มันอยู่ในโทรศัพท์เครื่องที่ท่านกำลังถืออยู่”
“เดี๋ยวๆ นี่มันเรื่องอะไร จะให้ผมดูอะไร”
“ข้อพิสูจน์ว่าลูกน้องท่านไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่ท่านคิด”
ภูวนัยพูดจบก็วางหูไป
สุทินนึกออกทันทีว่าเป็นภูวนัยจึงเปิดดูในมือถือตามที่ภูวนัยบอก แล้วสุทินก็เห็นคลิปที่วศินฆ่าคน สุทินมีสีหน้าตกใจ
ภูวนัยกับไผ่พญากำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวกันอยู่
“จะแน่ใจได้ยังไงว่าตำรวจคนนั้นไม่ใช่พวกเดียวกับไอ้วศิน”
“ท่านอภิวัฒน์เป็นคนบอกผมเองว่าท่านสุทินเป็นตำรวจที่ท่านไว้ใจที่สุด”
“อ้าว...แต่เขาเป็นคนสั่งให้วศินจับท่านอภิวัฒน์ไม่ใช่เหรอ”
“เรื่องนั้นผมไม่รู้ บางทีอาจจะเป็นเพราะท่านฟังความจากวศินมันข้างเดียว”
ไผ่พญานั่งทานก๋วยเตี๋ยวอย่างอร่อย ภูวนัยแปลกใจ
“ไม่น่าเชื่อว่าการรำไทเก๊กมันจะทำให้เหนื่อยขนาดนี้”
“อย่างที่คุณทำเขาไม่ได้เรียกว่าไทเก๊กหรอก เขาเรียกว่าเล่นตลก”
ไผ่พญาถึงกับชะงักทั้งที่เส้นก๋วยเตี๋ยวยังคาปากอยู่
“นายว่าใคร”
“เอ้า...ไทเก๊กที่ไหนมีกระจงหลงทาง”
“งั้นทีหลังไม่ต้องมาขอให้ฉันช่วยนะ”
ไผ่พญางอน ภูวนัยอมยิ้มขำแล้วจู่ๆ ภูวนัยก็ถามขึ้น
“ตอนที่เราถูกจับอยู่ที่บ้านสมสุข คุณยังไม่ได้บอกผมเลยว่าคุณรักใคร”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นถึงกับติดคอ
“แค่กๆ ถามอะไรดูมั้งซิ เกิดลูกชิ้นติดคอตายไปว่าไง”
“ตกลงคุณรักใคร”
ไผ่พญาไม่รู้จะเลี่ยงตอบยังไงเลยหันไปคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวใส่ปาก จ้วงเอาๆ จนแก้มตุ่ย แล้วพูดแบบไม่รู้เพราะก๋วยเตี๋ยวเต็มปาก
“ฉันพูดไม่ได้แล้ว”
ไผ่พญาลุกขึ้นแล้วทำมือให้ภูวนัยจัดการจ่ายเงินด้วย ก่อนที่ไผ่พญาจะเดินหนีภูวนัยออกไป
“อ้าว...เดี๋ยวซิคุณ ผมยังไม่ได้ทานเลย”
ภูวนัยมองตามไผ่พญาแล้วอดขำไม่ได้
วันต่อมาที่ห้องทำงานวศิน วศินกำลังลองเสื้อสูทตัวใหม่อยู่
“ลื้อว่าเป็นไง” วศินถามชาติกล้า
“ผมว่า...ท่านน่าจะลองเปลี่ยนเป็นชุดที่ดูสบายกว่านี้ดีกว่ามั้ยครับ ไม่อย่างนั้นอาจจะดูไม่ใกล้ชิดกับผู้อ่าน”
“ใครว่าอั้วตัดสูทมาเปิดตัวหนังสือ” ชาติกล้าแปลกใจ “ลื้อก็เหมือนกัน ถ้ามีเวลาก็ไปตัดสูทใหม่ซะ หึ...อั้วอาจจะได้ขึ้นเร็วกว่าที่คิด”
“จริงเหรอครับท่าน”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา”
สุทินเปิดประตูเข้ามา วศินกับชาติกล้าเห็นก็รีบทำความเคารพ
“สวัสดีทุกคน เราออกไปก่อน...ฉันอยากคุยกับวศินเป็นการส่วนตัว” สุทินบอกชาติกล้า วศินได้ยินอย่างนั้นก็สงสัย ชาติกล้ารับคำก่อนจะเดินออกไป
“มีอะไรหรือเปล่าพี่ ดูพี่เครียดๆ นะวันนี้”
สุทินไม่ตอบ แต่ยื่นมือถือให้กับวศิน
“ฉันอยากให้นายดูอะไรซะหน่อย”
วศินหยิบมือถือไปกด สีหน้าวศินซีดเผือดเมื่อเห็นคลิปของตน
“พี่...ผมอธิบายเรื่องนี้ได้ครับ”
“อธิบาย...อธิบายว่าแกจัดการปิดข่าวยังไงน่ะเหรอ” วศินกำลังจะพูด “แกไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ตอนนี้ฉันกำลังทำหนังสือพักราชการแกอยู่ พรุ่งนี้แกเข้ามาเซ็นรับทราบแล้วกัน”
สุทินพูดจบก็เดินออกไปจากห้องทันที วศินถึงกับเข่าอ่อนที่ทุกอย่างพังครืนลงในพริบตา
ภูวนัยเดินออกมาจากห้องน้ำหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย แต่แล้วภูวนัยก็ต้องแปลกใจเมื่อไม่เห็นไผ่พญาอยู่ในห้อง
“ไปไหนของเขา”
ภูวนัยนึกเป็นห่วงไผ่พญาขึ้นมารีบพุ่งไปที่ประตูกำลังจะเปิดประตูแต่แล้วไผ่พญาก็เปิดประตูสวนเข้ามา
“เอ้า...นายจะไปไหน”
“ยังจะถามอีก ก็ไปตามคุณน่ะซิ ไปไหนมา”
“ไปซื้อข้าวเช้ามาให้นายไง”
“ใครให้คุณไป ทีหลังถ้าคุณจะไปไหน ต้องมีผมไปด้วย เข้าใจมั้ย”
ภูวนัยสีหน้าเครียด แต่ไผ่พญากลับยิ้มออกมา
“เป็นห่วงฉันเหรอ”
“อะไร”
“เอ้า...ก็ที่นายพูดเมื่อกี้ แสดงว่านายเป็นห่วงฉันใช่มั้ย” ภูวนัยทำหน้าไม่ถูก
“ผมห่วงตัวผมเองต่างหาก เกิดคุณโดนพวกนั้นจับตัวไปแล้วบังคับให้บอกที่ซ่อนผมก็แย่น่ะซิ” ไผ่พญายี้ปากหมั่นไส้ ระหว่างนั้นเสียงมือถือของภูวนัยดังขึ้น ภูวนัยมองเบอร์ก็ตกใจ “ท่านอภิวัฒน์”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจเหมือนกัน
อภิวัฒน์ยืนรออยู่ที่ดาดฟ้าบนตึกร้างแห่งหนึ่ง ระหว่างนั้นเสียงภูวนัยดังขึ้น
“ท่านครับ”
อภิวัฒน์หันไปก็เห็นภูวนัยกับไผ่พญาเดินเข้ามา
“สวัสดี...สบายดีกันนะ”
“พวกนั้นปล่อยตัวท่านมาได้ยังไงคะ”
อภิวัฒน์มองไปที่ภูวนัยกับไผ่พญาแล้วยิ้ม
“เรื่องนี้ฉันคงต้องขอบใจพวกนาย” ภูวนัยกับไผ่พญางง “พวกนายเป็นคนที่เอาคลิปของวศินไปให้พี่สุทินไม่ใช่เหรอ”
“แล้วมันเป็นยังไงบ้างครับ ท่านสุทินว่ายังไง”
“ฉันได้ข่าวมาว่า พี่สุทินสั่งพักราชการวศินทันที คำสั่งจะมีผลในวันพรุ่งนี้”
ภูวนัยกับไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ดีใจ
“จริงเหรอคะท่าน...เยส...เยส” ไผ่พญาเผลอกระโดดกอดภูวนัย แต่พอนึกได้ก็รีบสำรวม “อย่างนี้ก็แสดงว่าเรื่องจบแล้วใช่มั้ยคะ”
“ก็ทำนองนั้น...หมวดภู...คุณไผ่...พวกคุณทำงานได้ดีมาก”
ภูวนัยกับไผ่พญายิ้มอย่างมีความสุข
ที่บ้านวศิน วศินกำลังอารมณ์เสียปาข้าวของใส่ชาติกล้า
“โธ่เว้ย ทำไมมันเป็นอย่างนี้วะ”
“ท่านสุทินไม่ยอมฟังท่านพูดเลยเหรอครับ”
“ฟัง...ลื้อจะให้ฟังอะไร ภาพมันทนโท่อย่างนั้น ทั้งหมดมันเป็นเพราะลื้อ ลื้อปล่อยให้ไอ้บ้าพวกนั้นมันลอยนวลแล้วเป็นไง พังกันหมด”
ชาติกล้านิ่งไปเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
“ผมขอแก้ตัวครับท่าน”
“ลื้อยังจะแก้ตัวอะไรอีก พรุ่งนี้มันก็เซ็นคำสั่งพักราชการอั้วแล้ว”
“แล้วถ้าท่านสุทินเซ็นคำสั่งไม่ได้ละครับ”
วศินชะงัก มองหน้าชาติกล้า
“ลื้อจะทำอะไร”
“ทำสิ่งที่ต้องทำครับ”
แววตาของชาติกล้าอำมหิตขึ้นมาทันที
คืนนั้นภูวนัยกับไผ่พญาเดินมาตามทางเดิน
“คิดไม่ถึงเลยนะว่าวันที่ทุกอย่างจะจบ มันจะมาถึงเร็วขนาดนี้”
“ไม่ดีใจหรือไง”
“แล้วนายละ ไม่ดีใจเหรอ”
“ทำไม”
“เอ้า...ก็ฉันเห็นนายทำหน้าเดียวตลอดเลย” แล้วไผ่พญาก็ทำหน้าเครียดเลียนแบบภูวนัย ภูวนัยยิ้มน้อยๆ ขำ
“น่าน...ดูซิ...ขนาดยิ้ม...หน้ายังเหมือนเดิมเลย”
“เอ้า...แล้วให้หน้าเปลี่ยนเป็นอะไร ผมไม่ใช่เอเลี่ยนนะคุณ”
ไผ่พญาหมั่นไส้ แล้วนึกขึ้นได้
“เออ...ฉันว่าเราไปฉลองกันดีมั้ย”
“ไม่”
“น่านะ ทำงานสำเร็จแล้วไม่ฉลองหน่อยหรือไง นะๆๆ”
ภูวนัยไม่สน เดินออกไปเลย ไผ่พญาหน้าง้ำแล้วภูวนัยก็หันมา
“เอ้า...ยืนอยู่อย่างนั้นไม่ไปใช่มั้ย”
ไผ่พญายิ้มออกมาได้
“เย้”
ภูวนัยกับไผ่พญากำลังนั่งทานอยู่ที่ร้านหมูกระทะ ท่าทางไผ่พญามีความสุขกับการทานมาก
“เนี่ยนะที่คุณอยากกิน” ภูวนัยถามอย่างแปลกใจ
“ฮือ...ทำไมเหรอ ฉันน่ะฝันอยากกินหมูกระทะมานานแล้ว”
“หืม อย่าบอกนะว่าคุณไม่เคยกินหมูกระทะ”
“เคย...แต่ฉันไม่เคยกินกับคนที่ฉันอยากกิน” ไผ่พญาพูดเสร็จก็นึกได้ “คือ...ฉันหมายความว่าตอนนั้นไง ที่นายซื้อหมูกระทะมาแล้วไม่ได้กินน่ะ ฉันรู้ว่านายอยากกินกับฉัน ฉันเลยมากินเป็นเพื่อนนายนะเนี่ย”
“ใครอยากกินกับคุณ”
“เหรอ...แล้วตอนนั้นนายซื้อมาทำไม” ภูวนัยกำลังอ้าปากเถียง ไผ่พญาชี้นิ้วสั่งทันที “หยุด...ไม่ต้องเถียงเลย”
ไผ่พญาพูดแล้วรีบก้มหน้างุดๆ กิน ภูวนัยถามขึ้น
“แล้วคุณยังจะไปเมืองนอกกับคุณตะวันหรือเปล่า”
ไผ่พญาชะงัก ถึงกับกินไม่ลงเลย
“เอ่อ...ฉันสัญญากับเขาไว้แล้ว”
ภูวนัยยิ้มเศร้าๆ บรรยากาศเครียดลงภูวนัยเลยพูดขึ้น
“ที่ผมถามก็เพราะคิดว่าคุณจะโกหกเขาไง เห็นว่าคุณชอบโกหก”
“อ้าว...ใครชอบ ที่ฉันโกหกเพราะความจำเป็นทั้งนั้น”
“ทุกคนก็มีข้ออ้างว่าจำเป็นทั้งนั้นแหละ ถ้าคุณไม่อยากไปคุณก็จะมีข้ออ้างว่าไม่อยากไปเพราะอะไร แต่นี่คุณอยากไปไง”
“นี่ ฉันอยากไปหรือไม่อยากไปแล้วมันเกี่ยวอะไรกับการโกหกด้วย”
“เพราะผมไม่อยากให้คุณไปไง” ไผ่พญากับภูวนัยต่างชะงักกันไปก่อนที่ภูวนัยจะพูดขึ้นเพราะคิดว่าไผ่พญาชอบตะวันฉาย “นี่ต่างหากเขาเรียกว่าการโกหก เมื่อกี้คุณเชื่อผมใช่มั้ยว่าผมไม่อยากให้คุณไปจริงๆ” ไผ่พญาอึ้งไปที่ภูวนัยบอกว่าโกหก “อย่าลืมซิ ผมน่ะผ่านหลักสูตรเอาชนะเครื่องจับเท็จมาแล้วนะ”
ไผ่พญาเศร้า แต่ต้องทำเหมือนไม่เศร้า
“นายนี่ชอบทำให้ฉันตกใจอยู่เรื่อย ถ้านายห้ามฉันไม่ให้ไปจริงๆ คุณตะวันต้องเสียใจมากแน่ๆ” ภูวนัยแอบเศร้า
“นั่นซิ เอ่อ...ถ้าอย่างนั้นมื้อนี้ผมเลี้ยงส่งลาคุณก็แล้วกัน”
ไผ่พญาทำหน้าดีใจ
“เหรอ...ขอบคุณนะ”
ภูวนัยกับไผ่พญาต่างยิ้มให้กัน แต่ทั้งสองกลับเศร้าอยู่ภายใน
ภูวนัยกับไผ่พญาเดินเข้ามาในห้อง ทั้งสองเหมือนมีกระจกใสมากั้นกลางความรู้สึกแล้วทั้งคู่ก็เอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน
“เอ่อ...”
“คือว่า...”
ภูวนัยกับไผ่พญาต่างชะงักไป
“คุณพูดก่อนแล้วกัน”
“อ๋อ...ฉันจะถามนายว่านายจะเข้าห้องน้ำก่อนมั้ย แล้วนายจะถามอะไรฉัน”
“เอ่อ...ผมกำลังจะบอกให้คุณเข้าห้องน้ำก่อนพอดี ผมจะขอเก็บของหน่อย พรุ่งนี้เราคงต้องไปแล้ว”
ไผ่พญารับคำก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปแบบเศร้าๆ ภูวนัยมองตามแล้วใจหายเหมือนกัน
ไผ่พญาเข้ามาในห้องน้ำอย่างเศร้าๆ ไผ่พญาเดินมาที่หน้าอ่างล้างหน้าแล้วมองตัวเองในกระจก
“พรุ่งนี้เขาจะไปแล้วนะ เธอจะไม่บอกให้เขารู้หรือไง”
“บอก” ไผ่พญาพูดกับตัวเอง ไผ่พญาในกระจกกับพูดว่า “ไม่บอก”
สุดท้ายแล้วไผ่พญาตัวจริงก็ยืนยันกับตัวเอง
“ฉันจะบอก”
แล้วไผ่พญาก็เดินออกจากห้องน้ำไป ไผ่พญาออกมาจากห้องน้ำตั้งใจจะบอกความในใจแต่แล้วกลับไม่เห็นภูวนัยอยู่ในห้อง
“อ้าว...ไปไหนแล้ว” ไผ่พญาเดินมาที่ประตูห้องกำลังจะเปิดออกไปตามภูวนัย ระหว่างที่มือของไผ่พญากำลังจะเอื้อมไปจับลูกบิดไผ่พญาก็ชะงัก “ถ้าเราบอกไป แล้วใครจะพาคุณตะวันไปผ่าตัดที่อเมริกาล่ะ”
ไผ่พญาล้มเลิกความตั้งใจก่อนจะเอาหลังพิงประตูอย่างหมดแรง ด้านนอกขณะนั้นภูวนัยก็เอาหลังพิงประตูอีกฝั่งเช่นกัน
อีกด้านหนึ่งที่บ้านสุทิน สุทินนั่งทำงานอยู่ภายในห้องทำงาน ส่วนที่ทางเดินชาติกล้าในชุดของไอ้มือดำเดินเข้ามาตามทาง
สุทินหยิบแฟ้มออกมาเพื่อเซ็นเอกสาร หัวจดหมายเป็นเรื่องสั่งพักราชการวศิน สุทินถอดถอนใจก่อนจะเซ็นคำสั่งอนุมัติ ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น สุทินมองไปแล้วแปลกใจ
“ใคร...คุณเหรอ”
ทุกอย่างเงียบไม่มีเสียงตอบ สุทินจึงลุกขึ้นมาเปิดประตูออกดู สุทินมองไปแล้วไม่เห็นใครแต่แล้วทันใดนั้นชาติกล้าในชุดถุงมือดำก็เดินออกมา สุทินถอยกรูด
“แกเป็นใคร”
ด้วยความตกใจทำให้สุทินถึงกับช็อค สุทินเอามือกุมหัวใจร้องอย่างเจ็บปวด ชาติกล้าที่กำลังเอาปืนเล็งสุทิน พอเห็นอาการของสุทินก็ลดปืนลง สุทินพาร่างที่กำลังต้องการยามาที่โต๊ะ เปิดลิ้นชักแล้วหยิบยาออกมาด้วยมืออันสั่นเทา สุทินอาการหนักจนมือสั่นไปหมด
ร่างสุทินทรุดฮวบลงกับพื้น เม็ดยากระจายเกลื่อนพื้น สุทินหายใจรวยรินพยายามจะหยิบเม็ดยาที่ตกอยู่ไม่ไกลตรงหน้า สุทินเอื้อมมือจะไปหยิบยาแต่แล้วชาติกล้าก็เดินมาเหยียบมือของสุทิน สุทินค่อยๆ ชัก ก่อนจะแน่นิ่งไป
ชาติกล้าเห็นอย่างนั้นก็เดินเข้ามาดูที่แฟ้มที่สุทินเซ็นเอาไว้บนโต๊ะก่อนจะหยิบเอกสารที่พักราชการวศิน
แล้วเดินผ่านร่างของสุทินที่นอนหายใจรวยรินอย่างไม่ใยดีออกไป
อ่านต่อหน้า 3
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 18 (ต่อ)
วันต่อมาอภิวัฒน์เดินมาที่หน้าหน่วยปราบปรามยาเสพติด ระหว่างนั้นเห็นวศินกับชาติกล้าเดินเข้ามาอีกทาง
“เจอท่านวศินก็ดีแล้ว ผมกำลังอยากจะขอบคุณท่านอยู่พอดี”
“เรื่องอะไร”
“ก็ช่วงที่ผ่านมา ท่านอุตส่าห์ให้ตำรวจน้องๆ ท่านมาช่วยดูแลความเป็นอยู่ให้ผมเป็นอย่างดี”
“ไม่เป็นไร ก็ถ้าน้องๆ เขาดูแลดีก็ให้เขาดูแลต่อซิ”
วศินพยักหน้าให้กับชาติกล้า ชาติกล้าตรงเข้ามาหาอภิวัฒน์พร้อมกับตำรวจติดตาม
“ท่านถูกจับข้อหาใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ โปรดมากับผมด้วย”
“อะไรกัน พวกนายจะฝืนคำสั่งพี่สุทินหรือไง”
“คำสั่งเหรอ หึ...สายข่าวของท่านคงไม่ได้รายงานท่านใช่มั้ย”
“รายงานอะไร”
“เมื่อคืนท่านสุทินช็อกเพราะโรคหัวใจไงครับ”
อภิวัฒน์ได้ยินอย่างนั้นถึงกับอึ้งไป
ภูวนัยกับไผ่พญายืนอยู่ที่ล็อบบี้ของโรงแรมทั้งสองยืนล่ำลากัน
“คุณจะอยู่ที่นี่ต่อจริงๆ เหรอ”
“อืม...ไม่ต้องห่วงหรอก ตอนนี้พวกตัวร้ายก็ถูกจัดการไปหมดแล้วฉันดูแลตัวเองได้ แล้วนายล่ะจะไปไหน”
“คงไปหาท่านอภิวัฒน์ ผมจะทำเรื่องกลับเข้ารับราชการอีกครั้ง”
“ดีใจด้วยนะ ต่อไปฉันคงต้องเรียกนายว่าหมวดภูจริงๆ แล้วซิ โชคดีนะคะหมวดภู” ไผ่พญาทำท่าตะเบ๊ ภูวนัยยิ้มให้ไผ่พญา ระหว่างนั้นโทรทัศน์ที่เปิดอยู่ที่ล็อบบี้กำลังรายงานข่าว
“ตอนนี้ดิฉันอยู่ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดหรือว่าป.ป.ส.นะคะ”
ภูวนัยกับไผ่พญาหันมาดูด้วยความสนใจทันที
“นี่ไงๆ เขาคงแถลงเรื่องที่นายวศินนั่นโดนพักราชการแน่ๆ”
ภูวนัยหันไปดูโทรทัศน์อย่างสนใจ
“ซึ่งตอนนี้กำลังจะมีการแถลงข่าวเรื่องการเข้าโรงพยาบาลอย่างกะทันหันของท่านสุทินเมื่อคืนนี้ เราไปฟังการแถลงข่าวกันเลยคะ”
ภูวนัยกับไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับอึ้งไป
ชาติกล้ากำลังยืนแถลงข่าวอยู่ที่ด้านหน้าป.ป.ส.มีวศินกับตำรวจอื่นๆ อยู่ด้วย
“ตอนนี้อาการของสุทินยังอยู่ในขั้นโคม่า เพราะหัวใจของท่านหยุดเต้นไปนานก่อนที่จะถึงโรงพยาบาล”
“สรุปคือ ค่อนข้างจะร้ายแรงใช่มั้ยครับ”
“จากการสอบถามแพทย์ประจำตัวของท่าน เราได้รับข่าวดีก็คือสามารถช่วยชีวิตท่านให้กลับมาหายใจอีกครั้งได้”
ภูวนัยกับไผ่พญายืนฟังอยู่ ไผ่พญาเข้ามาจับมือภูวนัย
“ท่านคงไม่เป็นไรมาก”
ภูวนัยบอกไผ่พญา
ชาติกล้าแถลงข่าวต่อ
“แต่เราก็มีข่าวร้ายเช่นกัน คือ...ท่านสุทินอาจจะไม่รู้สึกตัวอีกเลย เพราะเลือดไม่ขึ้นไปเลี้ยงสมองเป็นเวลานาน” ภูวนัยได้ยินก็รู้สึกใจหายขึ้นมา “แต่สำหรับเรื่องงานแล้ว ทุกท่านไม่ต้องเป็นห่วงเพราะท่านสุทินทราบดีถึงโรคหัวใจที่ท่านเป็น ท่านจึงได้มอบหมายอำนาจและความรับผิดชอบภารกิจต่างๆ ให้กับท่านวศินเป็นผู้ดำเนินการต่อได้ทันที”
วศินเดินเข้ามาที่ไมโครโฟน
“ตอนนี้ผมได้อำนาจให้รักษาการแทนท่านสุทิน โดยไม่รู้ว่าท่านสุทินของพวกเราจะกลับมาเหมือนเดิมได้เมื่อไหร่ แต่ผมขอสัญญากับทุกท่านไว้ตรงนี้ว่าผมจะเป็นตำรวจที่ดีอย่างที่พี่สุทินของพวกเราเป็น สิ่งแรกที่ผมอยากทำตอนนี้ก็คือ อยากให้พวกเราทุกคนช่วยกันภาวนาขอให้พี่สุทินกลับมาเป็นเหมือนเดิม”
ภูวนัยกับไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ใจหายขึ้นมาทันที
“นี่มันอะไรกัน นอกจากมันจะไม่ได้ถูกพักราชการ มันยังได้อำนาจมากกว่าเดิมเหรอ”
ภูวนัยถึงกับหลับตาลงไม่อยากจะเชื่อว่าทุกอย่างมันกลับตาลปัตรอย่างนี้
ภูวนัยกำลังโทรศัพท์หาอภิวัฒน์ ไผ่พญายืนรอลุ้นอยู่ข้างๆ ภูวนัดกดวางสายอย่างหงุดหงิด
“ติดต่อท่านอภิวัฒน์ไม่ได้เหรอ”
“พวกมันคงคุมตัวท่านเอาไว้”
ไผ่พญาเป็นกังวล
“แล้วเราจะทำยังไง”
“คุณไปเถอะ”
“อะไรนะ”
“ผมอยากให้คุณไปอเมริกากับคุณตะวัน...ส่วนเรื่องนี้ผมขอจัดการเอง”
“ไม่...ฉันไม่ทิ้งนายไปหรอก ถ้าคุณตะวันติดต่อมา ฉันจะขอให้เขาเลื่อนการเดินทางออกไปก่อน”
“ผมอยากอยู่คนเดียว” ภูวนัยพูดขึ้นอย่างตัดเยื่อใย
ไผ่พญาถึงกับชะงักที่ภูวนัยพูดอย่างนั้น ไผ่พญาเดินออกไปแต่ไม่วายหันกลับมามองภูวนัยด้วยความเป็นห่วง
ภูวนัยมองไปยังเบื้องหน้าตอนนี้เขาเหมือนคนโดนหมัดสวนจนคิดอะไรไม่ออก
ที่บ้านวศิน วศินเลื่อนกระเป๋าใบนึงให้กับชาติกล้า
“อะไรครับท่าน”
“เปิดดูซิ” ชาติกล้าเปิดกระเป๋าออกดูจึงพบว่ามีเงินอยู่ในกระเป๋าจำนวนมาก “สิ่งที่ลื้อทำ..มันเหมือนทำให้อั้วได้เกิดใหม่ นั่นเป็นรางวัลสำหรับลื้อ”
“ขอบคุณครับท่าน”
“ตอนนี้มันถึงเวลาที่อั้วจะผงาดขึ้นครองทุกอย่างแล้ว”
“แล้วเรื่องท่านอภิวัฒน์กับพวกมันที่ลอยนวลอยู่ละครับ”
“ไม่ต้องสนใจ ตอนนี้มันไม่มีอะไรที่จะเล่นงานอั้วได้แล้ว แต่อั้วไม่ได้บอกให้ปล่อยมันถ้าเกิดเจอมันที่ไหนก็จัดการตามวิธีของลื้อได้เลย”
ระหว่างนั้นเสียงมือถือของชาติกล้าดังขึ้น ชาติกล้ามองเบอร์ก่อนจะรายงาน
“สมสุขโทรมาครับท่าน” วศินรับโทรศัพท์ไปคุย
“ว่าไง...อั้วกำลังอยากเจออยู่พอดี”
วศินยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
วศินมาหาสมสุขที่บ้าน สมสุขยกแก้วไวน์ขึ้น
“ขอดื่มให้กับความเป็นอมตะของท่านครับ” วศินยกแก้วไวน์ดื่มตามอย่างอารมณ์ดี ชาติกล้ายืนอยู่ด้วยภายในห้อง “ว่าแต่ท่านทำยังไง ท่านสุทินถึงได้หัวใจวายในวันที่ท่านกำลังจะถูกพักราชการครับ ผมอยากรู้จริงๆ”
“ลื้อไม่คิดบ้างเหรอว่า ฟ้ากำลังจะให้อั้วยิ่งใหญ่”
“ผมก็อยากจะเชื่ออยู่หรอกครับ แต่ผมเป็นคนไม่เชื่อเรื่องโชคชะตา...” สมสุขมองไปที่ชาติกล้า “ผมเชื่อการกระทำ แล้วผมก็คิดว่าการที่ท่านสุทินหัวใจวายเมื่อคืน ต้องมาจากการกระทำ”
วศินกับชาติกล้าเหล่มองกันอย่างระวังตัว
“ไม่ว่าจะเป็นการกระทำ หรือโชคชะตา แต่คนเราก็ควรทำในสิ่งที่ต้องทำ” ชาติกล้าบอก
“แหม...ตอบได้เหมือนนักการเมืองจริงๆ”
“เอาละ งั้นเรามาคุยในสิ่งที่ลื้อสมควรทำกันดีกว่า ตอนนี้อั้วอยากได้เพิ่มขึ้นอีกเท่านึง”
“แหม...นี่ท่านใช้อำนาจของผู้รักษาการกับผมเป็นคนแรกเลยเหรอครับ”
“นี่ไม่ใช่การขอร้อง แต่เป็นคำสั่ง” วศินดื่มไวน์ก่อนจะลุกขึ้นยืน “นี่แหละคำว่าอำนาจ ตอนแรกอั้วก็สงสัยว่าคนเราแย่งชิงอำนาจกันทำไม จนตอนนี้อั้วถึงได้รู้ว่าคนที่มีอำนาจในประเทศนี้ จะทำอะไรก็ได้โลกนี้มันมีคนอยู่แค่สองประเภท...คนที่ใช้อำนาจ...กับคนที่เป็นเหยื่อของอำนาจนั่น” วศินเดินเข้ามาตบไหล่สมสุข “เข้าใจแล้วใช่มั้ย ว่าคนอย่างลื้อหรือไอ้พวกชาวบ้านที่อยู่ข้างนอก มันก็เป็นแค่เหยื่อให้อั้ว”
วศินพูดโดยไม่รู้ว่าแจกันที่อยู่ตรงข้าม มีกล้องเข็มหมุดซ่อนอยู่อย่างแนบเนียน
ภูวนัยรู้สึกสิ้นหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“พ่อ...ฟ้า...ขอโทษ...ผมแพ้แล้ว...ผมแพ้พวกมันแล้ว” ภูวนัยรู้สึกท้อแท้และสิ้นหวัง ระหว่างนั้นภูวนัยได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา “ผมบอกแล้วไงว่าผมอยากอยู่คนเดียว” ภูวนัยหันไปจะว่าไผ่พญา แต่แล้วภูวนัยก็ต้องชะงักเพราะคนที่เดินมากลายเป็นสมสุข “สมสุข”
“อยากซบอกอุ่นๆ ของผมร้องไห้มั้ยครับ”
“แกเจอฉันได้ยังไง”
“แล้วหมวดไม่สงสัยเหรอว่าทำไมหมวดถึงได้หนีจากผมง๊ายง่าย”
“แกกำลังจะบอกว่า แกต้องการให้ฉันหนีหรือไง”
“ถูกต้อง ผมต้องการให้หมวดเอาคลิปที่ได้จากผมไปโค่นไอ้วศิน แต่หมวดก็ทำซะเหลวเป๋ว”
“นี่แกหลอกใช้ฉันเหรอ”
ทันใดนั้นภูวนัยก็ปรี่เข้าไปหาสมสุขก่อนจะต่อยไปที่หน้าสมสุข สมสุขหน้าหันเมื่อหันกลับมาจึงเห็นเลือดออกที่มุมปาก
“ผมจะให้หมวดต่อยแค่หมัดนี้หมัดเดียว ไม่อย่างนั้นหมวดจะไม่ได้ไอ้นี่” สมสุขโชว์แฟลชไดฟ์ให้ภูวนัยดู ภูวนัยสงสัย
“แกจะมาลูกเล่นอะไรกับฉันอีก”
“ก็แล้วแต่หมวดนะ ถ้าไม่เชื่อก็ตามใจ แต่ผมจะบอกว่าผมอาจจะช่วยหมวดได้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย เพราะถ้าหมวดทำไม่ได้ ไอ้วศินก็จะมีอำนาจเกินกว่าที่เราจะล้มมันได้อีก”
สมสุขโยนแฟลชไดฟ์ให้กับภูวนัย ภูวนัยมองมันอย่างสงสัย
ภูวนัยนั่งอยู่ที่ร้านอินเตอร์เนต ภูวนัยเสียบแฟลชไดฟ์เข้ากับเครื่องแล้วกดเพื่อเปิดดู ไม่นานภาพแอบถ่ายก็ปรากฏขึ้น เป็นภาพที่สมสุขนั่งคุยกับวศินและชาติกล้าตอนที่วศินมาหาสมสุขที่บ้านแล้วสมสุขถามวศินเรื่องการตายของสุทิน ภูวนัยนั่งมองจอไม่กระพริบ
ขณะนั้นไผ่พญานั่งรอภูวนัยอยู่ในห้องพักอย่างกระวนกระวาย
“ไปไหนของเขา”
ไผ่พญามองนาฬิกาที่บอกเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว ไผ่พญาทอดถอนใจด้วยความเป็นห่วงภูวนัย
ภูวนัยยืนอยู่ที่ริมน้ำ กำลังครุ่นคิดที่จะกระทำการบางอย่าง ภูวนัยดูแฟลชไดฟ์ในมือก่อนจะเห็นแววตาของภูวนัยมุ่งมั่นขึ้นมา
วันต่อมาไผ่พญายังนั่งอยู่ที่เตียงเหมือนเดิม แล้วไผ่พญาก็ลุกขึ้นจากเตียงไปยืนอยู่ริมหน้าต่าง
“หรือว่านายจะไปแล้ว” ระหว่างนั้นภูวนัยก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง ไผ่พญาหันไปมองก็ดีใจเมื่อเห็นว่าเป็นภูวนัย “นายหายไปไหนมาทั้งคืน”
ภูวนัยไม่ตอบ แต่เปลี่ยนเป็นถามกลับ
“วันนี้ช่วยอยู่กับผมได้มั้ย”
ไผ่พญาแปลกใจกับท่าทางของภูวนัย
อีกด้านหนึ่งที่ห้องทำงานวศิน วศินกำลังอ่านเอกสารคำบรรยายอยู่ที่โต๊ะ ก่อนที่จะปิดแฟ้มลงอย่างพอใจ
“ใช้ได้”
ชาติกล้ายืนอยู่ในห้อง
“อยากให้แก้อะไรตรงไหนหรือเปล่าครับ”
“ไม่ต้อง แค่นี้อั้วก็แทบจะเป็นเทวดาแล้ว ไอ้พวกนักศึกษาที่ฟังอยากเป็นตำรวจก็เพราะคำปาฐกถาของลื้อนี่แหละ”
“ขอบคุณครับท่าน เอ่อ...แล้วท่านอยากให้ผมไปตรวจสอบสถานที่ก่อนหรือเปล่าครับ”
“ไปดูแค่ความพร้อมก็พอ งานนี้ท่านผบ.แล้วก็พวกผู้หลักผู้ใหญ่ทางการเมืองจะมาด้วย อั้วไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาด”
ชาติกล้ารับคำสั่งอย่างตั้งใจ
ภูวนัยเดินมากับไผ่พญาตามทาง ไผ่พญาแอบมองภูวนัยที่ท่าทางแปลกๆ
“นายเป็นอะไรหรือเปล่า”
ภูวนัยหันมาแล้วยิ้มให้ ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ที่อยู่ข้างทาง ไผ่พญาเดินตามเข้าไปนั่งข้างๆ
“รู้มั้ยวันนี้ฉันพาเธอมานี่ทำไม” ไผ่พญาส่ายหน้า ภูวนัยเอื้อมมือไปจับมือของไผ่พญา ไผ่พญาหัวใจพองโต แต่แล้วภูวนัยกลับเอ็ดขึ้น “นี่...ทำไมเธอไม่ดึงมือกลับ” ไผ่พญางง “เวลาที่มีคนมาจับมือ เธอต้องทำแบบนี้”
ว่าแล้วภูวนัยก็บิดข้อมือของไผ่พญา
“โอ๊ย นี่นายเป็นบ้าอะไรของนายเนี่ย”
“ลองใหม่”
ภูวนัยเอื้อมมือไปจับมือไปจับมือของไผ่พญา ไผ่พญาดึงมือออก
“ไม่...ฉันไม่ทำ”
ไผ่พญาลุกเดินออกไปอย่างโมโห ภูวนัยเดินตามมาก่อนจะดึงมือไผ่พญาเอาไว้
“ต่อยผม” ไผ่พญางง “ผมบอกให้ต่อยผมไง”
“นายเป็นอะไร อยู่ดีก็อยากให้ฉันต่อย หรือว่า...นายไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกผิด”
ภูวนัยทำหน้าเซ็ง ก่อนจะบอกกับไผ่พญา
“ผมจะสอนวิชาป้องกันตัวให้คุณ”
“วิชาป้องกันตัว นี่นายคิดจะสู้กับพวกนั้นอีกยกใช่มั้ย”ภูวนัยชะงักไป “ก็นายมาสอนวิชาป้องกันตัวให้ฉัน เพราะนายจะพาฉันไปช่วยนายใช่มั้ยล่ะ”
ภูวนัยนิ่งไปไม่อยากโกหก
“เริ่มเลยดีกว่า”
ภูวนัยปรี่เข้ามาหาไผ่พญา ไผ่พญาร้องเสียงหลง
“อ๊ายยยย! เดี๋ยวก่อน ฉันยังไม่ตั้งตัว”
เวลาต่อมา ไผ่พญาล้มลงไปกองกับพื้นในสภาพสะบักสะบอม
“พอแล้ว...ฉันไม่ไหวแล้ว”
“บอกให้ลุกขึ้นมา แค่นี้ก็ยอมแล้วหรือไง”
“ก็ฉันไม่ไหวจริงๆ นี่ กระดูกฉันจะหักหมดแล้ว”
“หักก็ต้องลุกขึ้น ถ้าคุณไปเจอไอ้พวกที่มันจะฆ่าคุณจริงๆ มันไม่สนคำอ้อนวอนของคุณหรอก” ไผ่พญาลุกไม่ไหว ภูวนัยเดินเข้าไปดึงมือขึ้น “ผมบอกให้ลุกไง ถ้าผมไม่อยู่แล้วคุณต้องดูแลตัวเอง”
ไผ่พญาถึงกับชะงัก
“หมายความว่าไง”
“เอ่อ...”
ไผ่พญาลุกขึ้นมาถาม
“นายไม่อยู่ นายจะไปไหน”
“ไม่ใช่อย่างนั้น เอ่อ...ผมหมายความว่าถ้าเกิดเราแยกกันทำงานแล้ว คุณก็ต้องดูแลตัวเองไง”
“นายก็พูดซะให้ฉันตกใจหมด ไม่ต้องห่วงถึงเวลานั่นจริงๆ ฉันจะเป็นคนไปช่วยนายเอง”
ไผ่พญายิ้มให้ ภูวนัยหน้าเครียดไม่อยากจะบอกความจริง
คืนนั้นขณะที่ไผ่พญานอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ไผ่พญาพลิกตัวทำให้ผ้าห่มร่นลงมาอยู่ที่ขาแต่แล้วจู่ๆ ก็มีมือเข้ามาจับที่ผ้าห่ม เจ้าของมือนั้นก็คือภูวนัยที่ดึงผ้าห่มเข้ามาห่มให้กับไผ่พญา ภูวนัยมองไผ่พญาด้วยสายตาแห่งความรัก
“ดูแลตัวเองดีๆ นะ”
ภูวนัยเอื้อมมือจะไปลูบศรีษะไผ่พญาแต่แล้วก็ชะงักมือ ก่อนที่จะรีบเดินออกจากห้องไป
อ่านต่อหน้า 4
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 18 (ต่อ)
เช้าวันรุ่งขึ้น ไผ่พญางัวเงียตื่นขึ้นมา
“โอ๊ย...ทำไมมันปวดไปทั้งตัวอย่างนี้เนี่ย”
ไผ่พญาพยายามยันตัวขึ้นนั่งแล้วก็แปลกใจเมื่อมองไปที่โซฟาแล้วไม่เห็นภูวนัยนอนอยู่ ไผ่พญามองไปทางห้องน้ำ
“นายอยู่ในห้องน้ำหรือเปล่า”
เงียบ...ไม่มีเสียงตอบใดๆ ไผ่พญาลุกขึ้นไปแล้วเปิดประตูห้องน้ำออกดูก็ไม่พบภูวนัย ไผ่พญาหันกลับมาแล้วก็เห็นกระดาษโน้ตวางอยู่ที่โต๊ะ จึงเดินเข้ามาหยิบอ่าน
“ผมกำลังไปทำเรื่องที่สำคัญ ถ้ามันสำเร็จคุณจะได้กลับไปมีชีวิตปกติ แต่ถ้าผมไม่ได้กลับมา ผมอยากให้คุณรีบไปอเมริกากับคุณตะวันทันที”
ไผ่พญาอ่านโน้ตแล้วก็เริ่มเอะใจ
“เรื่องสำคัญอะไร เขียนอย่างกับจดหมายลาตาย” แล้วไผ่พญาก็นึกได้ “เฮ้ย! หรือว่าคุณภูจะไปจัดการพวกนั้น”
ไผ่พญามีสีหน้าตกใจขึ้นมาทันที
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นที่หน่วยปราบปรามยาเสพติด เจ้าหน้าที่รับโทรศัพท์
“สวัสดีค่ะ...ป.ป.ส.ค่ะ”
ไผ่พญากำลังโทรศัพท์อยู่บนห้อง
“ค่ะ...คือจะสอบถามกำหนดการวันนี้ของท่านวศินน่ะค่ะ...อ๋อ...คือดิฉันเป็นนักข่าวจะไปทำข่าวท่านนะค่ะ แต่พอดีสมุดนัดหมายของดิฉันหาย แล้วดิฉันจำไม่ได้ว่าวันนี้ท่านจะไปไหนบ้างน่ะค่ะ...ค่ะค่ะ...รอได้ค่ะ...ค่ะ...ที่ไหนนะค่ะ”
ไผ่พญาฟังความจากปลายสาย ถึงสถานที่ที่วศินจะไป
ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ภูวนัยเดินเข้ามาบริเวณหน้างานมองสำรวจไปที่ประตูทางเข้าเห็นตำรวจเดินไปมาอยู่จำนวนนึง ระหว่างนั้นภูวนัยเห็นวศินกับชาติกล้าเดินเข้ามา ภูวนัยรีบหันหลังทำเป็นยืนอ่านป้ายประกาศ
“เรียบร้อยมั้ย”
“ครับ ผมวางคนเอาไว้ในจุดสำคัญๆ หมดแล้วครับ” วศินพยักหน้า
“แต่อย่าให้มันเยอะเกินไป เดี๋ยวคนเขาจะตกใจว่ามีเรื่องอะไร”
ระหว่างนั้นรัฐมนตรีกับนักการเมืองเดินเข้ามา
“สวัสดีครับ”
วศินหันไปเห็นรัฐมนตรีกับนักการเมืองเดินเข้ามาจึงหันไปพยักหน้าให้ชาติกล้าออกไป
“สวัสดีครับท่าน เป็นเกียรติจริงๆ ที่ท่านมาในวันนี้”
“ตอนแรกก็กะไม่มาหรอก แต่เจ้าลูกชายผมมันบอกว่าท่านเป็นองค์ปาฐก ผมก็เลยอยากมาฟังแนวคิดของตำรวจตงฉินแห่งยุคว่ามีแนวคิดยังไง จะได้กลับไปสอนลูกชายผมบ้าง”
ภูวนัยชำเลืองมอง เมื่อเห็นชาติกล้าเดินออกไป ภูวนัยรีบแฝงตัวเข้าไปในห้องประชุมทันที
ภูวนัยเข้ามาในห้องประชุมเห็นนักศึกษายังนั่งกันอยู่ประปรายเหมือนงานยังไม่เริ่ม บนเวทีเห็นป้ายบอกว่าเป็นงานบรรยาย “คุณธรรมนำชีวิต สำหรับนักศึกษาปริญาตรีที่ต้องการสอบโรงเรียนนายร้อย”
ภูวนัยมองไปด้านบนแล้วก็เห็นห้องควบคุมอยู่ชั้นบน
ภูวนัยเดินตรงขึ้นไปบนห้องควบคุม พยายามทำตัวเนียนเป็นเจ้าหน้าที่ห้องโสตที่ควบคุมแสงสีเสียง ระหว่างนั้นตำรวจที่อยู่แถวนั้นก็เรียกเอาไว้
“จะไปไหนคุณ”
ภูวนัยหันมา ชี้ไปที่ห้องควบคุม
“ทำงานครับพี่”
ตำรวจมองสำรวจ
“บัตรอยู่ไหน”
ภูวนัยทำท่าเพิ่งนึกได้
“อ้าว...สงสัยผมจะลืมไว้ที่รถ แต่ไม่เป็นไรมั้งพี่พวกกันทั้งนั้น”
“ไม่ได้ ต้องมีบัตร แค่ลืมไว้ในรถก็เดินไปเอาหน่อย”
ภูวนัยรับคำก่อนจะเดินจากไป แต่ไม่วายชำเลืองมองอย่างครุ่นคิดว่าจะเข้าไปในห้องควบคุมยังไง
เจ้าหน้าที่คนนึงเดินเข้ามาในห้องน้ำแล้วเปิดก๊อกล้างมือที่อ่าง ระหว่างนั้นอยู่ๆ ก็มีท่อนแขนเข้ามาล็อกคอเจ้าหน้าที่คนนั้น เจ้าหน้าที่คนนั้นพยายามดิ้น แต่ดิ้นได้ไม่นานก็หมดสติไป ภูวนัยลากเจ้าหน้าที่คนนั้นเข้าไปในห้องส้วมก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับป้ายห้อยคอ ภูวนัยหยิบถังน้ำและไม้ถูพื้นมาวางไว้หน้าห้องส้วมให้รู้ว่าห้องน้ำชำรุด
ภูวนัยเดินมาตามทาง ระหว่างนั้นชาติกล้าก็เดินออกมาอีกทาง ชาติกล้ามองไปแล้วก็เห็นภูวนัยจากทางด้านหลัง ชาติกล้ารู้สึกคลับคล้ายคลับคราจึงเดินตาม
ภูวนัยเดินมาด้านหน้าที่มีตำรวจคอยยืนเฝ้าอยู่ ภูวนัยยกบัตรเจ้าหน้าที่ให้ดู ตำรวจคนนั้นให้เข้าห้องประชุมไป
ชาติกล้าเห็นภูวนัยผ่านตำรวจไปได้ก็คิดว่าตัวเองคิดไปเองจึงเดินไปอีกทางเพื่อสำรวจความเรียบร้อย พอชาติกล้าเดินออกไปก็เห็นไผ่พญาเดินเข้ามา ไผ่พญาตรงเข้ามากำลังจะเข้างาน แต่พอเห็นตำรวจก็มีชะงักนิดนึงก่อนจะทำใจดีสู้เสือเดินเข้าไป
“ขอดูบัตรด้วยครับ”
“บัตรอะไรคะ”
“บัตรนักศึกษาไง”
“เอ่อ...พอดีน้องชายฉันชวนมาฟังท่านวศินบรรยายน่ะค่ะ”
“งั้นก็ให้น้องคุณพาเข้าไป”
ไผ่พญาหน้ามุ่ยที่เข้างานไม่ได้ ไผ่พญาพยายามมองเข้าไปในงานเพื่อหาภูวนัย
ราชัยเดินกุมท้องเข้ามาในห้องน้ำ ก่อนจะมองหาห้องส้วมที่ว่าง ราชัยรีบผลุบหายเข้าไปในห้องน้ำข้างๆ ห้องที่ภูวนัยวางถังน้ำเอาไว้ ราชัยเข้ามากำลังหย่อนตัวลงนั่งแต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นมือของคนโผล่มาจากห้องน้ำห้องข้างๆ
“เว้ย”
ชาติกล้ายืนสังเกตการณ์อยู่ที่มุมหนึ่งหน้างาน ระหว่างนั้นเสียงวิทยุดังขึ้น
“หัวหน้าครับหัวหน้า”
“ว่าไง”
“เกิดเรื่องแล้วครับ”
ชาติกล้าได้ยินอย่างนั้นก็แปลกใจกึ่งตกใจ
ภูวนัยเดินขึ้นมาบนห้องควบคุม ก่อนจะยกป้ายห้อยคอให้ตำรวจดูว่ามีแล้วนะ ตำรวจคนนั้นเห็นก็โบกมือผ่านๆ ให้ภูวนัย ภูวนัยเดินตรงเข้าไปในห้องควบคุม เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในห้องหันมามองแล้วสงสัย
“คุณเป็นใคร”
“ผมเป็นเจ้าหน้าที่เทคนิคของท่านวศินครับ ท่านต้องการให้ผมมาดูแลระบบให้ แหม...พี่ก็รู้ว่าท่านเป็นห่วงเรื่องภาพลักษณ์จะตาย”
“ก็ดี เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าท่านต้องการแสงเสียงแบบไหน”
ภูวนัยพยักหน้าก่อนจะลงนั่งที่แผงควบคุม
ที่ห้องน้ำ ราชัยกำลังปฐมพยาบาลเจ้าหน้าที่คนที่ภูวนัยทำให้สลบอยู่
“ไม่เป็นไรมากครับหัวหน้า แค่สลบเท่านั้น” ราชัยบอกชาติกล้า
“ดูจากการแต่งตัวแล้วน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ในนี้ จ่าพบเขาที่ไหน”
“ห้องน้ำข้างๆ ครับ ตอนแรกผมก็คิดว่าห้องน้ำนั่นเสียเพราะเห็นมีถังน้ำวางไว้อยู่ข้างหน้า แต่พอเปิดเข้าไปก็เห็นเจ้าหน้าที่คนนี้นอนสลบอยู่ครับ”
ชาติกล้าประมวลทุกอย่างเข้าด้วยกัน ก่อนจะรีบหยิบวิทยุสื่อสารออกมา
ภูวนัยนั่งอยู่ในห้องควบคุมพยายามพูดให้เหมือนเจ้าหน้าที่เทคนิคจริงๆ
“ผมว่าน่าจะลดแสงบนเวทีอีกหน่อยนะ แล้วพอท่านขึ้นมาก็ค่อยเปิดไฟฟอลโล่ว์ ท่านชอบเด่นๆ น่ะ”
เจ้าหน้าที่ควบคุมคนนั้นพยายามปรับตามที่ภูวนัยบอก ภูวนัยหันไปมองคอมพิวเตอร์ที่อยู่อีกมุมก่อนที่ภูวนัยจะหยิบแฟลชไดฟ์ออกมา ระหว่างนั้นภูวนัยเหลือบไปเห็นตำรวจคนที่ยืนอยู่หน้าห้องควบคุมหยิบวิทยุขึ้นมาเหมือนฟังคำสั่ง ภูวนัยเห็นความผิดปกติ ตำรวจคนนั้นเหมือนได้รับคำสั่งเสร็จก็เดินเข้ามาที่ห้องควบคุม ภูวนัยค่อยๆ เก็บแฟลชไดฟ์ลง
“มีเจ้าหน้าที่หายไปหรือเปล่า”
“ไม่มีครับ อ๋อ...มีๆ เพื่อนผมไปหาอะไรกินยังไม่กลับมาเลย มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตรวจบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่อีกครั้งแล้วกัน”
ภูวนัยเห็นท่าไม่ดีก็ลุกขึ้น
“เดี๋ยวผมมานะ พูดถึงห้องน้ำเลยปวดขึ้นมาเลย บัตรผมวางไว้อยู่ตรงนี้นะ”
ภูวนัยพูดเสร็จแล้วก็รีบเดินออกไปเลย ตำรวจมองตามก่อนจะหันมาตรวจบัตรของเจ้าหน้าที่คนนั้นแล้วจึงเดินเข้ามาหยิบบัตรของภูวนัยที่วางไว้ขึ้นมาตรวจ แต่แล้วตำรวจคนนั้นก็แปลกใจ
“ไม่ใช่บัตรเขานี่”
“นี่มันบัตรเพื่อนผมนี่”
ตำรวจได้ยินอย่างนั้นก็รีบวิ่งออกมาทันที
ภูวนัยกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงบันไดมาเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต ก่อนจะหันไปเห็นตำรวจคนนั้นวิ่งตามออกมาจากห้อง
“พบตัวผู้ต้องสงสัยอยู่ในห้องประชุม”
ภูวนัยรีบออกไปจากห้องประชุม ตำรวจคนนั้นวิ่งตามไปติดๆ
ด้านชาติกล้าได้รับรายงานจากลูกน้อง
“คนร้ายกำลังออกมาจากห้องประชุม...รีบไป”
ชาติกล้ากับตำรวจคนอื่นๆ รีบวิ่งไปทางห้องประชุมทันที
ภูวนัยวิ่งมาตามทางเดิน ก่อนจะปะเข้าให้กับตำรวจที่กำลังหันมอง ภูวนัยรีบกลับหลังหันแล้ววิ่งไปอีกทาง
ภูวนัยเลี้ยวมาตามทางก่อนจะตกใจเมื่อเห็นว่าเป็นทางตัน ภูวนัยหันไปเห็นว่ามีห้องนึงอยู่ข้างๆ ภูวนัยจะเปิดแต่ประตูก็ดันล็อก แต่แล้วห้องนั่นก็เปิดประตูเปิดออกมาก่อนที่ภูวนัยจะตกใจเมื่อเห็นไผ่พญา
“คุณมาทำอะไรที่นี่”
ยังไม่ทันที่ภูวนัยจะได้คำตอบก็มีเสียงวิ่งไล่ตามมาของตำรวจ ภูวนัยจึงรีบผลุบเข้าไปในห้องนั้นทันที ตำรวจวิ่งมาถึงทางแยกแล้วก่อนจะมองมาทางห้องที่ภูวนัยเข้าไป พอเห็นว่าไม่มีจึงพากันวิ่งไปอีกทาง
ภูวนัยแน่ใจแล้วว่าตำรวจไม่ตามมาทางนี้จึงหันไปถามไผ่พญา
“คุณมาทำอะไร”
“ก็มาช่วยนายไง”
“ทำไมคุณไม่เชื่อผม กลับไปซะเรื่องนี้ผมจัดการคนเดียวได้”
“วิ่งมาอย่างนี้ยังจะบอกว่าจัดการได้อีกเหรอ” ภูวนัยเถียงไม่ออก “ให้ฉันช่วยเถอะนะ” สีหน้าของภูวนัยฉายแววเป็นห่วงออกมา “ ไม่ต้องห่วงนะ ฉันสำเร็จวิชาจากนายแล้วไง ฉันรู้ว่านายเป็นห่วงฉัน แต่ถ้าเราอยากจะกระชากหน้ากากมัน นายต้องให้ฉันช่วย”
ภูวนัยมองไผ่พญาอย่างครุ่นคิดตัดสินใจ
ชาติกล้าวิ่งเข้ามาหยุดอยู่ที่มุมหนึ่งพร้อมกับตำรวจสองสามนาย ขณะเดียวกันก็มีตำรวจอีกกลุ่มวิ่งตามเข้ามาสมทบ
“ไม่เจอเลยครับหัวหน้า”
“ปิดทางเข้าออกทุกประตูแล้วใช่มั้ย”
“ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นมันก็ยังอยู่ในนี้แน่นอน”
ระหว่างนั้นตำรวจคนนึงเรียกชาติกล้า
“หัวหน้าครับ”
ชาติกล้าหันไปมองตามที่ตำรวจคนนั้นมองแล้วชาติกล้าก็อึ้งไปเมื่อเห็นภูวนัยเดินเข้ามา
“ไอ้ภู...แกนี่เอง”
“อยากจับฉันใช่มั้ย เข้ามาจับเลยซิ”
“รออะไร จับมันซิ” ชาติกล้าหันไปตวาดลูกน้อง
ตำรวจห้าหกคนกรูกันเข้ามาหาภูวนัย ภูวนัยเองก็ปรี่เข้ามาก่อนจะจัดการคนแรกด้วยการเตะ ตำรวจคนแรกจุกลงไปกองกับพื้น คนอื่นกรูกันเข้ามาจัดการ ภูวนัยจับคนที่สองแล้วดันใส่อีกคนก่อนจะต่อยเข้าปลายคางจนสลบไป ตำรวจทั้งสามสลบเหมือดภายในพริบตา
ภูวนัยตั้งท่าพร้อมรับกับตำรวจที่เหลือ
อ่านต่อตอนที่ 19 (อวสาน)