หมายเหตุ : ในตอนที่ 16, 17 และ 18 ตัวหนังสือสีแดง คือ เนื้อเรื่องที่เพิ่มเข้ามาใหม่
โดมทอง ตอนที่ 17
รุ่งเช้าท่านผู้หญิงพลิกตัวแล้วชะงัก เมื่อไม่เห็นท่านเจ้าคุณนอนอยู่ ผ้าห่มและหมอนอยู่ในสภาพเดิม ท่านผู้หญิงกำมือแน่น แล้วลุกขึ้นจับข้าวของขว้างลงพื้นระบายความเคียดแค้น
พิศกำลังจัดโต๊ะอาหารเพื่อเตรียมวางอาหารเช้า ขณะที่ท่านผู้หญิงเดินเข้ามา
“เจ้าคุณล่ะ”
“ยังไม่เห็นเลยเจ้าค่ะ...เมื่อกี้พิศเข้าไปกวาดถูในห้องทำงานก็ไม่มี”
ท่านผู้หญิงหันหลังเดินกลับออกไปเงียบๆ พิศรีบตามด้วยความเป็นห่วง
“ค่อยๆ เดินเจ้าค่ะ”
ที่แท้ท่านเจ้าคุณนอนขดตัวเหมือนไม่สบายอยู่บนเตียงในห้องของพลับพลึง ประตูหน้าต่างยังคงปิดอับทึบ
ประตูเปิดออกช้าๆ พร้อมกลุ่มควันจางๆ เห็นเท้าคู่หนึ่งเดินเข้ามาช้าๆ จนกระทั่งถึงเตียง แล้วเจ้าของเท้าคู่นั้นคุกเข่าลง เรียกเสียงแผ่วโหย
“เจ้าคุณพี่”
ท่านเจ้าคุณค่อยๆ ลืมตาขึ้น ทั้งตื่นเต้นดีใจ ระคนแปลกใจเมื่อพบว่าเป็นใคร
“พลับพลึง”
พลับพลึงสีหน้าเศร้าหมองซีดเซียวราวกับกระดาษขาว น้ำตาคลอเต็มตา ขณะก้มลงกราบ
“ดิฉันมากราบลา”
ท่านเจ้าคุณลุกขึ้นนั่ง “พลับพลึงจะไปไหน แม่มณฑาบอกว่า พลับพลึงไปอยู่ที่อื่น...แล้วทำไม”
“ดิฉันต้องไปแล้วเจ้าค่ะ”
พลับพลึงลุกขึ้นช้าๆ แล้วหันหลังเดินออกไป
ท่านเจ้าคุณขยับก้าวขาจะตาม แต่ขากลับติดอยู่กับที่
“พลับพลึง จะไปไหน พลับพลึง พลับพลึง!”
“เจ้าคุณพี่” เสียงท่านผู้หญิงดังก้องขึ้น
ท่านเจ้าคุณสะดุ้ง ลืมตาตื่น เห็นท่านผู้หญิงนั่งอยู่บนเตียง
“พลับพลึง พลับพลึงหายไปไหน” ท่านเจ้าคุณถามอย่างร้อนใจ
พิศซึ่งคุกเข่าอยู่หน้าประตู ยกมือทาบอกตกใจ
ท่านผู้หญิงพยายามข่มความโกรธ “พลับพลึงที่ไหนคะ มันหนีไปตั้งหลายวันแล้ว”
“แต่ฉันเห็นจริงๆ พลับพลึงมาลา”
พิศที่อยู่ตรงประตูลูบแขนตัวเอง
“ขนลุก”
“เจ้าคุณพี่คงคิดถึงมันมากจนเก็บเอามาฝัน ดูซิ อุตส่าห์เข้ามานอนในนี้ทั้งคืน ทั้งอับทั้งทึบ ฝุ่นเต็มไปหมด ไปอาบน้ำอาบท่าเถอะค่ะ...พิศมันเตรียมอาหารเช้าไว้ให้แล้ว”
ท่านเจ้าคุณถอนใจยาว...ลุกขึ้นเดินออกไปเงียบๆ ท่านผู้หญิงมองตามอย่างหงุดหงิด ขณะที่พิศรีบคลานเข้ามาหา ท่าทีหวาดๆ
“ที่ท่านเจ้าคุณพูดเมื่อกี้น่ะเจ้าค่ะ”
“แกอย่าบ้าไปอีกคนเลย...นังพิศ”
ท่านผู้หญิงเดินออกไป พิศมองไปโดยรอบห้องอย่างหวาดๆ แล้วรีบวิ่งตาม
ในห้องทานอาหาร บ่าวคนหนึ่งกำลังวางเครื่องปรุงข้าวต้มบนโต๊ะ แล้วเดินออกไป ท่านผู้หญิงและพิศเดินเข้ามา โดยท่านผู้หญิงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้
พิศทรุดตัวลงคุกเข่าข้างๆ กระซิบกระซาบหวาดๆ “ท่าทางจะเฮี้ยนนะเจ้าคะ”
ท่านผู้หญิงตวาด “นังพิศ”
“เจ้าคะเจ้าขา”
“ห้ามพูดเรื่องพวกนี้เด็ดขาด”
“แต่ว่า...พิศ...พิศกลัวผี”
“เอ็งจะกลัวผีหรือว่ากลัวถูกตำรวจจับ” ท่านผู้หญิงขู่
“กลัวทั้ง 2 อย่างเลยเจ้าค่ะ”
“ฟังให้ดีนะ นังพิศ...ผีก็แค่เรื่องที่คนเขาพูดกัน”
“แต่เมื่อกี้ท่านเจ้าคุณ...”
ท่านผู้หญิงจ้องเขม็ง “เจ้าคุณพี่ฝันไป จิตใจท่านหมกหมุ่นครุ่นคิดถึงแต่มันจนเก็บเอาไปฝัน!...นังพลับพลึงมันถูกจองจำอยู่บนโดมนั่น! แม้แต่วิญญาณของมันก็ออกมาไม่ได้ จำใส่หัวเอาไว้” แล้วท่านผู้หญิงก็จิ้มหน้าพิศจนหน้าหงาย
“เจ้าค่ะ พิศจะจำไว้เจ้าค่ะ”
“ปล่อยให้ทุกอย่างมันถูกกลืนหายไปกับวันเวลา อีกไม่กี่ปีทุกคนก็จะลืมนังพลับพลึงสนิท”
ใต้ใบหน้าสวยงาม สีหน้าและแววตาท่านผู้หญิงมาดหมายแน่วแน่ นัยน์ตาเป็นประกายแข็งกร้าว
ค่ำคืนนั้น ดวงจันทร์ข้างแรมแก่ๆ ส่องอยู่เหนือยอดโดม พิศเดินฉายไฟหาของบางอย่างในบริเวณนอกโดมทอง
“หายไปไหน”
พิศเดินฉายไฟไปเรื่อยๆ ปากก็บ่นไป
“มันน่าจะตกอยู่แถวๆนี้”
พิศทรุดตัวลงฉายไฟดูกับพื้นเมื่อพบบางอย่างตกอยู่ หยิบขึ้นมา พบว่าเป็นสร้อยทองเส้นเล็กๆ
“อยู่นี่เอง ! ถ้าหายไปละ ท่านผู้หญิงด่าตาย”
จู่ๆ เสียงเพลง นางครวญ ดังเบาๆ ขึ้นมาจากที่ใดที่หนึ่ง พิศชะงัก เงยหน้าขึ้นมอง แล้วเบิกตากว้าง ทั้งไฟฉายและสร้อยตกจากมือ เมื่อบนยอดโดมเหมือนมีแสงเทียนสว่างวับแวมออกมา พร้อมเสียงเพลงแผ่วๆ
พิศตัวสั่นเทา จะก้าวขาก็ก้าวไม่ออกด้วยความกลัว
ไม่นานนักพิศผลักประตูเปิดออกก้าวพรวดพราดเข้ามากอดท่านด้วยความหวาดกลัว
ท่านผู้หญิงตกใจ “ว้าย นังพิศ”
“ท่านผู้หญิงเจ้าขา พิศโดนแล้วเจ้าค่ะ...คุณพลับพลึงเล่นนังพิศเข้าแล้ว”
ท่านผู้หญิงปลดแขนพิศออกจนได้ แล้วผลักจนพิศเซถลาล้มลงไปกระแทกฝาผนังล้มโครม
“ว้าย”
เสียงท่านเจ้าคุณดังขึ้น “นั่นอะไรกัน”
สองคนสะดุ้งเฮือก หันขวับมา ท่านเจ้าคุณมองมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“นังพิศน่ะซีคะ เอะอะโครมคราม ออกไปได้แล้ว นังพิศ”
“ท่านเจ้าคุณเจ้าขา!... พิศเห็นผีคุณพลับ…”
ท่านผู้หญิงขัดขึ้น “เหลวไหล ออกไปเดี๋ยวนี้....นังพิศ”
“พิศกลัวนี่เจ้าคะ”
“เอ็งจะออกไปดีๆ มั้ย” ท่านผู้หญิงเสียงเขียว
“เจ้าค่ะ ไปเดี๋ยวนี้ล่ะเจ้าค่ะ”
พิศออกไป ด้วยความหวาดกลัว
ท่านเจ้าคุณมองตาม แล้วเดินตามมาทรุดตัวลงนั่ง
ท่านผู้หญิงรีบกลบเกลื่อน “คุณพี่ทำงานเสร็จแล้วหรือคะ”
ท่านเจ้าคุณถอนใจยาว “พลับพลึงอาจจะตายแล้วจริงๆ”
“ฮื้อ.... เขาหนีไปต่างหากคะ...ผ้าผ่อนขนไปหมด”
“ฉันก็เห็นพลับพลึง”
“คุณพี่ฝันไปต่างหาก”
ท่านเจ้าคุณเอนตัวลงนอน หันหลังให้ ท่านผู้หญิงเม้มปาก มองท่าทีนั้นอย่างน้อยใจแค้นใจ
เช้านั้นท่านผู้หญิงเดินผ่านบริเวณหนึ่ง
“ท่านผู้หญิงเจ้าขา”
ท่านผู้หญิงชะงัก แล้วหันมามอง เห็นสภาพพิศหัวหูรุงรัง หน้าตาซีดเซียว
“นั่นเอ็งเป็นอะไร ท่าทางเหมือนคนอดนอน”
“ก็ใช่น่ะซิเจ้าคะ พิศได้หลับได้นอนเสียที่ไหน หลับก็เห็นแต่หน้าคุณพลับพลึง”
“เดี๋ยวเถอะ! นังพิศ!” ท่านผู้หญิงเหลียวหน้าเหลียวหลังแว่บหนึ่ง “ข้าบอกแล้วไงว่า ห้ามพูดถึงชื่อนั้นเด็ดขาด”
พิศยังไม่เลิกพูด แต่ลดเสียงลง “นี่พิศพูดจริงๆ นะเจ้าคะ...พิศกลัวผีคุณพลับพลึง”
ท่านผู้หญิงจิกเนื้อต้นแขนบิดเต็มแรง “เอ็งจะกลัวข้าหรือว่ากลัวนังนั่น”
พิศร้องลั่น “โอ๊ย! พิศกลัวแล้วค่า ! พิศกลัวท่านผู้หญิง”
ท่านผู้หญิงยอมปล่อย “ดี! เพราะแม้แต่นังพลับพลึงยังกลัวข้า! มันกล้ามาหลอกข้าเสียที่ไหน! คราวหน้าถ้ามันมาหาเอ็งอีก ... ก็บอกไปเลยว่าจะมาฟ้องอะไรข้า”
พิศทอดถอนใจเหมือนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
“เมื่อสองวันก่อน...มีคนบอกข้าว่าเห็นไอ้พันมันแถวๆ ตลาด”
“อุ๊ย! ไม่จริงเจ้าค่ะ!... เท่าที่รู้พี่พันอยู่บางกอก”
“ให้มันจริงเถอะ! ถ้ามันติดต่อมาก็เตือนด้วยว่าอย่าลืมคำสัตย์ที่ให้ไว้กับข้า”
“บ่าวรับรองเจ้าค่ะว่า พี่พันเป็นคนรักษาสัจจะเท่าชีวิต” พิศการันตี
ท่านผู้หญิงมีสีหน้าเหมือนพอใจ
ใบหน้าท่านผู้หญิงในวัยสาว ค่อยๆ กลายเป็นหญิงชราขณะผุดลุกขึ้นนั่ง พร้อมเสียงตะโกนลั่นตื่นจากฝันร้าย
“ลบ ลบอยู่ไหน นังอุไร! นังอุษา! นังแสงแข!...หายหัวไปไหนกันหมด ไปตามตาลบมาหาข้าเดี๋ยวนี้”
อุษาและอุไรรีบเร่งเข้ามา
“คุณย่าตื่นแล้วหรือคะ”
“ยังจะมาถาม ไปตามตาลบมาหาข้า! ไป๊”
อุษาหันมาพยักหน้ากับอุไร อุไรรีบคลานออกไป แล้วจึงจัดหมอนซ้อนกันให้ท่านผู้หญิงขยับพิง
ท่านผู้หญิงคร่ำครวญด้วยความเจ็บแค้น “นังพลับพลึงมันมาอีกแล้ว...ทำไมมันไม่รู้จักไปผุดไปเกิดเสียที ! ยามอยู่มันก็ทำให้ข้าทุกข์เหลือเกิน...ยามตายยังจะมาหลอกหลอนข้าอีก”
“คุณย่าคงฝันไปน่ะค่ะ”
“ไม่ได้ฝัน ข้าเห็นมันจริงๆ เห็นเหมือนที่เจ้าคุณพี่เคยเห็นมัน อุษา! หยิบพระมาให้ข้า”
“นี่ค่ะ” อุษาหยิบจากหัวนอนมาส่งให้
ท่านผู้หญิงยื่นพระออกมาข้างหน้า แกว่งไปมา “มาเลย นังพลับพลึง มาเลย ฉันมีพระ ฉันไม่กลัวแก เก่งจริงก็เข้ามาเลย! เข้ามา! บอกให้เข้ามา”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์นัยน์ตาวาววับ หัวเราะเหมือนคนบ้า
“คุณย่าขา...ไม่มีใครเข้ามาหรอกค่ะ...คุณย่าน้อยก็ไม่เคยมา”
ท่านผู้หญิงตวาด “อย่าเถียง”
อุษาสะดุ้งเฮือก
“มันมาหาฉัน แกมันตาเซ่อถึงได้ไม่เห็น ตาเซ่อ”
ท่านหัวเราะดังลั่น แล้วเปลี่ยนเป็นร้องไห้คร่ำครวญ
“นังพลับพลึง! เมื่อไหร่แกจะไปผุดไปเกิดเสียที นังพลับพลึง”
อุษามองหญิงชราอย่างเอน็จอนาถใจ ทำได้แต่ปลอบโยน
สักครู่หนึ่งอุษาเปิดประตูออกมา แสงแขซึ่งท่าทางเหมือนกระวนกระวายรออยู่ รีบเดินมาดึงแขนอุษาให้เดินห่างออกมาอย่างร้อนใจ จนอุษาเกือบหน้าคะมำ
“อุ๊ย! อะไรน่ะ แสงแข!”
“คุณย่าพูดอะไรบ้าง!”
“ก็อย่างเดิมนั่นแหละ...คุณย่าน้อยมาหลอกมาหลอน!”
“แค่นั้นแน่นะ!”
“เอ๊ะ! เธอเป็นอะไรไป...หมู่นี้ทำไมชอบถามอะไรแปลกๆ”
แสงแขรีบปฏิเสธ “เปล่า! ไม่มีอะไร...พี่อุษาจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ...แขจะดูคุณย่าให้เอง!”
“แน่ใจเหรอ!...คุณย่าอารมณ์ไม่ค่อยดี!”
“แขคุ้นกับอารมณ์คุณย่าแล้ว”
แสงแขเดินไปที่ประตูห้องและเปิดเข้าไป
พอเดินเข้ามาในห้องแสงแขก็ถูกท่านผู้หญิงก็หันมาตวาดใส่
“เข้ามาทำไม นังแสงแข!”
“เข้ามาคุมคุณย่าไม่ให้สติแตกไงคะ!”
“นังบ้า”
“อ้าว! แขพูดจริงๆ นะค่ะ! ถ้าคุณย่าสติแตกขึ้นมาเมื่อไหร่ละก็...เข้าคุกยกเข่งเลย!...แล้วไอ้ที่เอาเรื่องคุณย่าน้อยมาเรียกร้องความสนใจน่ะ...เลิกเสียทีเถอะค่ะ!”
“คนอย่างแกมันจะไปรู้อะไร! นังพลับพลึงมันมาจริงๆ”
“แขไม่เชื่อหรอกค่ะ!”
ท่านผู้หญิงเหลือกตากลอกกลิ้งมองเพดาน “นังพลับพลึง! นังแสงแขมันไม่เชื่อว่าแกมาหลอกหลอนฉัน! ถ้าแน่จริง...แกก็ต้องมาหลอกมันด้วย! มันจะได้เชื่อ!”
แสงแขสะดุ้ง “แน้! คุณย่านี่! พูดออกมาได้! ดูซิ! ขนลุกหมดเลย!”
ท่านผู้หญิงแสยะยิ้ม “ไหนว่าไม่กลัวไงล่ะ!”
“ไม่กลัว...แต่ก็ไม่อยากเห็น! ต่างคนต่างอยู่ดีกว่า!”
“นังพลับพลึงมันรับคำฉันแล้ว! เราจะได้ถูกผีหลอกเหมือนๆกัน!”
ท่านผู้หญิงหัวเราะชอบอกชอบใจ
แสงแขมีท่าทีหวาดๆ “หยุดนะ คุณย่า! คุณย่านั่นแหละ น่ากลัวยิ่งกว่าผีอีก!”
ท่านผู้หญิงยิ่งหัวเราะขบขันท่าทางของแสงแข
“แกสติแตกแล้ว...นังแสงแข”
แสงแขยกสองมืออุดหู เพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงหัวเราะอันน่าขนลุกขนพองของท่านผู้หญิงสรรักษ์
โดมทอง ตอนที่ 17 (ต่อ)
ครู่ต่อมาแสงแขเดินเข้ามาในห้องนอนด้วยอารมณ์หวาดผวา และปิดประตูดังปัง
“นังแก่นั่นต้องเป็นบ้าแน่ๆ ฉันไม่เคยรู้จักคุณย่าน้อย...แล้วเรื่องอะไรจะมาหลอกฉัน”
แสงแขเดินมาทรุดตัวลงนั่งที่เตียง พยายามตั้งสติ สลัดความกลัวและคำขู่ของท่านผู้หญิงออกจากหัว
ส่วนที่คุ้มภูไท หลวงพ่อเล่ามาถึงตอนนี้แล้วถอนใจยาว ขณะที่ทุกคนต่างมีสีหน้าสลดหดหู่ โดยเฉพาะพันธุ์สูรย์ถึงกับน้ำตาซึม เมื่อนึกถึงปู่พันของเขา
“ผมไม่รู้เลยว่า ปู่พันจะมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ด้วย...”
ภูไทตบไหล่พันธุ์อย่างปลอบใจ
“หลวงพ่อเองก็รับรู้เรื่องราวเหล่านี้เหมือนกัน แต่ความกตัญญูที่ท่านผู้หญิงเคยให้ข้าวแดงแกงร้อน และความกลัวว่าป้าพิศจะมีความผิด เลยต้องปิดปากเงียบ” หลวงพ่อบอกหน้าเศร้า
“ตอนนั้นหลวงพ่อยังเด็กนี่คะ” ลานนาปลอบ
“ที่เขาพูดว่า สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจนั้นเป็นความจริง...นายพันพ่อของอาตมากลายเป็นคนอมทุกข์จนตลอดชีวิต...ถึงแม้ในบั้นปลาย ท่านจะบวชอุทิศตนให้พระศาสนา แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ท่านสงบเลย” หลวงพ่อนิ่งคิดไปอีกนิด “อาตมาก็เหมือนกัน...พอพันธุ์สูรย์โตพอที่จะรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้ ...ก็ออกบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ท่านเจ้าคุณกับคุณพลับพลึง ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย”
ขณะพูดหลวงพ่อเริ่มไออีกแล้ว
“หลวงพ่อพักผ่อนก่อนดีกว่าครับ” อดิศวร์บอก
“อีกไม่นานอาตมาก็คงจะได้พักผ่อนตลอดไปแล้วละ...” หลวงพ่อมองอดิศวร์อย่างแน่วนิ่ง ขอให้คุณอโหสิให้กับครอบครัวของอาตมาด้วย โดยเฉพาะพันธุ์สูรย์ซึ่งไม่ได้รับรู้เรื่องราวอะไรกับเขา”
“ผมอโหสิครับ แล้วก็ต้องขออโหสิกับหลวงพ่อแทนคุณย่าด้วย” อดิศวร์บอกหน้าหมอง
“อาตมาอโหสิ” หลวงพ่อไออีก
คฤหาสน์โดมทอง ตกอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์กระจ่าง รถอดิศวร์แล่นเข้ามาภายในบริเวณโดมทอง แล้วหยุดตรงหน้าตัวบ้าน ประตูเปิดออก ทั้ง 3 คน อดิศวร์ วิรงรอง และ ปรางก้าวลงมา
“คุณน้าคงเหนื่อยมาก”
“ค่ะ...หัวถึงหมอนคงหลับเลย” ปรางว่า
ปรางมองไปโดยรอบ ยกแขนขึ้นกอดอก แล้วห่อตัว
“หนาวหรือคะ คุณ...”
ปรางทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ จูงวิรงรองเดินเข้าข้างใน อดิศวร์เดินตาม
สองแม่ลูก เดินเข้ามาในห้อง วิรงรองเปิดไฟ
ปรางมองลูกสาวอย่างเพ่งพิศ “แม่หนูแน่ใจหรือลูกว่าจะอยู่ที่นี่ได้”
“คุณคิดว่ายังไงล่ะคะ”
ปรางส่ายหน้า “ไม่รู้ซิ...คุณแค่รู้สึกว่า...โดมทองเต็มไปด้วยความรักความหลัง...ความลึกลับน่ากลัว”
วิรงรองนิ่งไปครู่หนึ่ง “หนูคิดว่าอยู่ได้ค่ะ”
“แล้ว...ท่านผู้หญิงล่ะ...ไหนจะคุณแสงแขคนนั้นอีก”
“เราก็ต่างคนต่างอยู่” วิรงรองบอก
ปรางท้วงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แม่หนู...อย่าลืมว่าแม่หนูเกือบจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่”
วิรงรองนิ่งอึ้ง
“บอกตามตรง...คุณอยากให้แม่หนูกลับบ้านเราเสียที ที่นี่ไม่เหมาะสมกับแม่หนูเลย”
“คุณคะ”
“ถ้าคุณลบรักแม่หนูจริง เขาต้องเข้าใจ”
“ไหนเมื่อกี้คุณบอกว่าง่วง” วิรงรองเย้า
“นี่คุณซีเรียสนะ”
“คุณจะอาบน้ำไหมคะ”
“แม่หนู...”
วิรงรองถอนใจยาว
“ทั้งหมดที่คุณพูดไปก็เพราะห่วงแม่หนูเพียงอย่างเดียว” ปรางว่า
วิรงรองเข้ามากอดแม่ “หนูเข้าใจค่ะ...แล้วหนูก็ซาบซึ้งมากด้วย”
สองแม่ลูกกอดกัน ปรางหนักใจ ในขณะที่วิรงรองเองก็กังวลอยู่มาก
ขณะเดียวกันท่านผู้หญิงเบือนหน้ามาทางอุษาซึ่งนอนอยู่หน้าเตียง
“อุษา...หลับหรือยัง”
อุษานอนนิ่ง...ทำเหมือนหลับ
ท่านผู้หญิงขยับตัวลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง
อุษาลืมตามองตาม ท่านผู้หญิงยืนมองออกไปข้างนอก ซึ่งเห็นแต่ความว่างเปล่า
“ไปผุดไปเกิดกันแล้วเรอะ ถึงได้เงียบกันไปหมด”
อุษาห่อตัวในผ้าห่มด้วยรู้สึกหวาดกลัวท่านผู้หญิงขึ้นมาอย่างประหลาด
ท่านผู้หญิงตะโกนเรียก “คุณพี่ นังพลับพลึง”
ทุกอย่างเงียบสงัด
“หายหัวไปไหนกันหมด”
อุษาพยายามนอนให้นิ่งที่สุด
“ทุกคนทิ้งฉันไปหมดแล้ว ไม่มีใครอยู่กับฉันเลย ไม่มีเลย”
ท่านผู้หญิงทรุดตัวลง ร้องไห้คร่ำครวญ อุษายังคงนอนตัวแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัว
บรรยากาศยามเช้าของบริเวณชายหาด เกลียวคลื่น ซัดเข้าฝั่งเป็นระลอก ทุกอย่างดูสุขสงบ ส่วนภายในห้อง แสงแขซึ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วนั่งอยู่บนเตียง โดยมีโอบอ้อมนั่งเจ่าจุกอยู่ข้างล่าง
“ทีนี้จะเอายังไงดีล่ะคะ”
“ก็แกไง! นังโง่!”
“โอ๊ย! โอบไม่กล้าลงไปหรอกค่ะ ไม่อยากเผชิญหน้ากับใคร”
“แกไม่ลงแล้วใครจะลง”
“ก็คุณแขไงคะ คุณแขเป็นญาติ เป็นลูกเป็นหลาน...ถึงจะทำผิด ก็เป็นการทำผิดแบบลูกๆ หลานๆ ผิดแบบน่าเอ็นดู๊....แต่นังโอบนี่ซิคะ...นังโอบคนนี้มันเป็นคนอื่น ใครที่ไหนจะให้อภัย”
แสงแขฉุนกึก ผุดลุกขึ้น “นี่แกจะให้ฉันลงไปเอาข้าวขึ้นมาให้แกกินเรอะ”
“มันเป็นความจำเป็นค่ะ ไม่อย่างนั้น มีหวัง เราต้องผลัดกันกินเนื้อกันและกันเป็นแน่ ถ้าเกิดหิวจนตาลาย”
“แกนั่นแหละลงไป”
“คุณแขขา” โอบอ้อมครวญ
“เจอใครก็ไม่ต้องสบตา...จะได้ไม่มีเรื่อง”
โอบอ้อมร้องโอดโอย “โธ่...”
“ไปซิ ไม่อย่างนั้นฉันคงได้เชือดเนื้อแกกินก่อนแน่”
โอบอ้อมอิดออดโอ้เอ้ต่อครู่หนึ่ง แต่ก็ยอมลงไป
ส่วนอุษาจัดโต๊ะวางข้าวต้มให้ย่าเงียบๆ ท่านผู้หญิงเหล่มองอุษาด้วยหางตาพออุษาจัดโต๊ะเรียบร้อย แล้วลุกขึ้นจะเดินออกไป
“นี่แกจะไม่พูดกับฉันสักคำเชียวเรอะ...นังอุษา”
อุษาทรุดตัวลงนั่ง แล้วก้มหน้าตอบเบาๆ “เปล่าค่ะ”
“หรือแกคิดว่าฉันเป็นฆาตกรเหมือนคนอื่น”
อุษาก้มหน้านิ่ง
ท่านผู้หญิงตวาด “ใช่มั้ย นังอุษา!”
อุษารีบตอบปากคอสั่นด้วยความกลัว “เปล่าค่ะ”
“โกหก”
อุษานิ่งยังคงหวาดกลัวอยู่อย่างนั้น
“ให้ใครไปตามนังแสงแขมาอยู่กับฉัน”
“ค่ะ”
อุษาลุกเดินไปที่ประตู โดยพยายามบังคับตัวเองให้นิ่ง ไม่รีบร้อนลนลานจนผิดสังเกต
“ฆาตกรมันต้องอยู่กับฆาตกรถึงจะเหมาะเหม็ง” ท่านผู้หญิงพึมพำ
อุษาเปิดประตูออกไป
พอก้าวออกมาแล้วรีบปิดประตู อุษาสูดลมหายใจยาว แล้วรีบเดินออกไปจากที่นั้นทันที
สักครู่หนึ่งอุษาเดินเข้ามาในครัว ขณะที่โอบอ้อมกำลังรีบตักสำรับกับข้าวจะเอาขึ้นไปกินกับแสงแข
“ทำอะไรน่ะ”
โอบอ้อมสะดุ้งเฮือก หันกลับมา “คุณอุษา”
“ฉันถามว่าทำอะไร”
“คุณแขให้โอบมาเอาข้าวขึ้นไปรับประทานค่ะ”
“ไม่ต้องเอาไป”
“โอ๊ย! เดี๋ยวคุณแขก็ด่าโอบตายเลย”
“ฉันจะขึ้นไปพูดกับเขาเอง”
อุษาเดินออกไป โอบอ้อมถอนใจเฮือก
“พี่น้องพูดกันเองเถอะ”
จากนั้นโอบอ้อมเหลียวซ้ายแลขวา พอเห็นว่าปลอดคนดีแล้วก็รีบตักข้าวปลาอาหารของตัวเอง
แสงแขกำลังเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องอย่างใช้ความคิด เสียงเคาะประตูดังขึ้น แสงแขเดินไปเปิดล็อค แล้วพูดโวยโดยที่ยังไม่ทันเปิดบานประตู
“หายหัวไปไหน”
แสงแขชะงัก เมื่อเห็นอุษายืนมองเคร่งขรึม
“มาทำไม”
“คุณย่าให้มาตามไปอยู่เป็นเพื่อน”
แสงแขแหวใส่ “ธุระไม่ใช่ พี่อุษาเป็นหลานรัก ทำไมไม่ไปอยู่ด้วยล่ะ”
“ถ้าท่านบอกให้พี่อยู่...พี่ก็จะอยู่ แต่นี่ท่านให้มาตามเธอ”
“ไม่” แสงแขบอกอย่างแน่วแน่
“ก็ตามใจ แต่ระวังท่านจะบอกคุณลบก็แล้วกัน”
แสงแขเย้ย “คุณย่าน่ะเรอะ จะกล้าพูดกับคุณลบ เฮอะ”
“ทำไมจะไม่กล้าล่ะ คุณลบเป็นหลานท่านนี่ พี่มาบอกเท่านี้แหละ”
อุษาเดินจากไป แสงแข ลอยหน้าลอยตามองตาม พร้อมกับเย้ยหยัน แต่แล้วรอยยิ้มนั้นค่อยๆ หุบลง สีหน้าแววตา
ใคร่ครวญครุ่นคิดอย่างหนัก
ที่สุดแสงแขเปิดประตูเข้ามาในห้องท่านผู้หญิง แล้วตรงมายืนท้าวสะเอวหน้าเตียง
“เรียกทำไมอีกละคะ...คุณย่า”
“แกต้องมาอยู่เป็นเพื่อนฉัน”
“จะขำตาย! นางแม่มดกระดูกเหล็กอย่างคุณย่ายังต้องกลัวอะไรอีก อ้อ! หรือว่ากลัวคุณปู่กับคุณย่าพลับพลึงมาหักคอ”
“หักคอแกน่ะซิ...” ท่านผู้หญิงด่า ประโยคต่อไปทั้งเย้ยทั้งหยัน “นังหมาหัวเน่า”
แสงแขตอกกลับ “มันก็เน่ากันทั้งสองคนนั่นแหละ ที่เข้ามานี่ แขไม่ได้จะมาอยู่กับคุณย่าตามคำสั่ง แต่จะมาย้ำให้มันชัดเจนอีกครั้งว่า ต่อไปนี้คุณย่าอย่ามาใช้อำนาจกับแขอีก เพราะมันสิ้นมนตร์ขลังเสียแล้ว แขขอตัวนะคะ...ต่อไปนี้ต่างคนต่างอยู่!”
“นังแสงแข”
แสงแขหัวเราะลั่น แล้วเดินออกไป
“นังแสงแข กลับมาเดี๋ยวนี้ ฉันบอกให้กลับมา”
ประตูห้องปิดสนิท ไม่มีการตอบรับจากแสงแข
อุราสาวใช้อีกคนในบ้านโดมทอง กำลังยกจานที่ทานกันเสร็จแล้วออกไป
“วิมีเรื่องจะปรึกษาทุกๆคน”
อุษาขยับตัวจะลุกขึ้น
“พี่อุษาอย่าเพิ่งไปค่ะ”
อุษาทรุดตัวลงนั่งตามเดิม
“วิคิดว่า เราน่าจะเข้าไปเล่าความจริงให้ท่านผู้หญิงท่านฟัง”
“ความจริงอะไรหรือลูก” ปรางตกใจระคนแปลกใจ
“ความจริงที่ว่า ท่านผู้หญิงท่านเข้าใจคุณพลับพลึงผิด ความจริงที่ว่า ท่านเจ้าคุณกับคุณพลับพลึงรักกันมาก่อน...ยิ่งกว่านั้นคุณพลับพลึงยิ่งเป็นฝ่ายเสียสละด้วยซ้ำ”
อดิศวร์ออกความเห็น “ฉันก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่า คุณปู่ชื่อน้อยเหมือนกับคุณย่าพลับพลึง...แต่ฉันไม่เห็นด้วยกับเธอ...” เขาเว้นไปอีกนิด “ฉันอยู่กับคุณย่ามาตลอดชีวิตจึงย่อมรู้ดีว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะไปบอกความจริงกับท่าน”
“คุณก็คิดเหมือนคุณอดิศวร์จ้ะ...แม่หนู...ท่านผู้หญิงท่านเต็มไปด้วยทิฐิ... ยิ่งเวลาผ่านไป...ขอโทษนะคะ คุณอดิศวร์...” ปรางหันมาทางคู่หมั้นลูกสาว
“ไม่เป็นไรครับ”
ปรางพูดต่อ “ท่านก็ยิ่งถูกห่อหุ้มด้วยทิฐิมากขึ้น เรียกว่า ขัดเกล้ายาก ...ว่างั้นเถอะ”
ประโยคของปรางอยู่ในลักษณะได้โอกาสแดกดันประชดประชัน อดิศวร์อึ้ง เช่นเดียวกับอุษาซึ่งก้มหน้าลงมองมือของตัวเอง
วิรงรองบอกด้วยเสียงหนักแน่น ท่าทีแน่วแน่ “ถึงอย่างนั้นวิก็ยังอยากจะลองค่ะ…นะคะ”
วิรงรองมองคนรักและแม่สลับกัน อดิศวร์มีสีหน้าหนักใจไม่เห็นด้วย ขณะที่ปรางเอื้อมมือมาจับมือลูกอย่างเข้าใจ
วิรงรองเดินก้าวเร็วๆ มาที่หน้าห้องท่านผู้หญิง ตามด้วยอดิศวร์ที่ดึงแขนไว้
“เดี๋ยว วิรงรอง คิดให้ดีก่อน”
“วิคิดดีที่สุดแล้วค่ะ คุณยังไม่ว่า”
“นั่นเพราะท่านยังไม่รู้จัก...ไม่เคยพบกับคุณย่า”
“แต่ลูกของท่านก็เกือบถูกคุณย่าของคุณย่าฆ่าตายนะคะ”
อดิศวร์นิ่งอึ้ง วิรงรองรู้สึกตัวว่าพูแรงไป รีบยกมือแตะปาก อดิศวร์หันหลังกลับเดินออกไปท่าทางฉุนๆ
วิรงรองพูดไล่หลัง “ในเมื่อไม่มีวิธีอื่นแล้ว ทำไมไม่ลองวิธีนี้ดูบ้างล่ะคะ”
ร่างอดิศวร์เลี้ยวลับตัวไปแล้ว วิรงรองถอนใจเฮือก เบือนหน้ากลับมามองประตูห้องเหมือนเริ่มลังเลครู่หนึ่ง เหมือนตัดสินใจ
ท่านผู้หญิงถึงกับสะดุ้ง เมื่อเห็นวิรงรองที่เดินเข้ามาหาอย่างตกใจ วิรงรองตั้งสติสบตาท่านผู้หญิงครู่หนึ่ง แล้วเดินเข้ามาทรุดตัวลงตรงหน้าท่าน
“ออกไป๊ เข้ามาทำไม...ออกไป๊”
“ดิฉันอยากเข้ามาอธิบายความจริงบางอย่างให้ท่านผู้หญิงทราบ...”
“ฉันไม่ฟัง”
“ได้โปรดฟังสักนิดเถอะค่ะ ท่านผู้หญิงจะได้เข้าใจคุณพลับพลึง”
“ไม่ต้องมาสาระแน”
ท่านผู้หญิงลุกขึ้นนั่งห้อยขา เอานิ้วจิ้มหน้าวิรงรองจนหน้าหงาย
“ทำไมแกไม่ตายไปเสียให้พ้นๆ เฮอะ ทำไมแกไม่ตายตามอีนังพลับพลึงไป”
จู่บรรยากาศในห้องเหมือนสลัวลง ท่านผู้หญิงสะดุ้ง เหลียวมองโดยรอบ
“นี่มันอะไรกัน”
สีหน้าท่านผู้หญิงขณะพูด มีไอเย็นพวยพุ่งออกจากปากและลมหายใจ
มีเสียงพลับพลึงดังขึ้น “เพราะวิรงรองยังไม่ถึงฆาตค่ะ”
ท่านผู้หญิงสะดุ้งอีก หันขวับมามอง วิรงรองซึ่งก้มหน้าอยู่ ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ทั้งทรงผมและเสื้อผ้าเปลี่ยนจากวิรงรองมาเป็นพลับพลึงในบัดดล
ท่านผู้หญิงชักขาขึ้น แล้วกระถดกระถอยหลังทันที “นังพลับพลึง แก ...แกยังไม่ไปปีนต้นงิ้วเรอะ”
“น้องรอคุณพี่ค่ะ รอเวลาของคุณพี่ที่ใกล้จะมาถึงมาถึงแล้ว” พลับพลึงในร่างวิรงรองบอก
“นังผีบ้า แกไม่ต้องมาแช่งฉัน”
“ไม่มีใครแช่งใครได้ ทุกคนต่างมีกรรมของตัวเอง กรรมของคุณพี่หนักนัก”
พลับพลึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
“แกจะทำอะไรฉัน”
พลับพลึงเดินเข้าหาท่านผู้หญิงช้าๆ ท่านโบกไม้โบกมือไล่พัลวัน
“ไป๊ ไปให้พ้น บอกให้ไป”
จากใบหน้าสวยสวย ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นกระดูกในชุดสวย ท่านผู้หญิงกรีดร้องลั่นห้อง
อดิศวร์เดินแกมวิ่งกลับมาด้วยเสียงร้องของย่าดังไปถึงห้องทำงาน อุษารีบวิ่งมาจากอีกมุมหนึ่งเช่นกัน
อดิศวร์รีบเปิดประตูเข้าไป ตามด้วยอุษา
วิรงรองกำลังจับตัวท่านผู้หญิงที่ดิ้นร้องโวยวาย ขณะที่อดิศวร์และอุษาเข้ามา
“ท่านผู้หญิงคะ ท่านผู้หญิงคะ”
สองคนกลับเห็นเหมือนว่าวิรงรองจะทำร้ายท่าน
อดิศวร์เข้ามาดึงตัววิรงรองออกไปค่อนข้างแรง “ทำอะไรน่ะ วิรงรอง คุณย่าครับ”
“ลบ...ช่วยย่าด้วย”
วิรงรองมองอดิศวร์ด้วยสีหน้าน้อยใจ แล้วเดินออกไปเงียบๆ
“อุษา...จัดหมอนให้คุณย่าหน่อย”
“ค่ะ”
ท่านผู้หญิงยังคงโบกไม้โบกมือดิ้นรน ขณะสองคนซึ่งจัดหมอนท่านเสร็จแล้วช่วยกันจับท่านให้นอนลง
“นังพลับพลึงมันจะบีบคอย่า มันจะฆ่าย่า”
“ไม่มีอะไรแล้วครับ...คุณย่านอนเถอะนะครับ”
“ลบอยู่กับย่านะลูก...อยู่เป็นเพื่อนย่า” ท่านผู้หญิงออดอ้อน
“ครับ...คุณย่านอนเถอะนะครับ”
หญิงชราหลับตาลง โดยมือยังคงจับมือหลานไว้
“อุษา...จะไปทำอะไรก็ไป”
อุษารับคำเบาๆ แล้วออกไป
สักครู่หนึ่งอุษาเดินเหลียวซ้ายแลขวามองหาวิรงรองมาเรื่อยๆ
“อยู่ไหนนะ”
ในที่สุดอุษาเดินมาพบวิรงรองนั่งร้องไห้อยู่มุมหนึ่ง อุษาถอนใจโล่ง
“คุณวิมาอยู่ที่นี่เอง”
อุษานั่งลงข้างๆ แล้วจับมือวิรงรองบีบเบาๆอย่างปลอบโยน
“อย่าเสียใจเลยนะคะ...คุณลบไม่ได้ตั้งใจ...เธอแค่ห่วงคุณย่าเท่านั้น”
“วิจะกลับบ้านกับคุณวันพรุ่งนี้ค่ะ”
อุษาตกใจ “ไปกันใหญ่แล้ว”
“วิพยายามหลอกตัวเองว่า ทุกอย่างดีขึ้นแล้ว...วิสามารถอยู่ที่นี่ได้...วิจะพยายามลืมเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด...แต่...”วิรงรองร้องไห้อีก
อุษากอดวิไว้ “คุณวิจะต้องทำได้ค่ะ พี่เชื่อมั่นในตัวคุณวิ”
วิรงรองตั้งสติแล้วผละตัวจากอุษา ย้ำคำเดิม “วิจะกลับบ้านกับคุณพรุ่งนี้อย่างที่บอก”
“คุณลบคงไม่ยอม...”
วิรงรองแค่นหัวเราะเยาะออกมานิดหนึ่ง “พี่อุษาไม่เห็นสีหน้าท่าทางของเขาเมื่อกี้นี้หรือคะ”
ว่าพลางวิรงรองลุกขึ้นยืน อุษาลุกตาม
“พี่อุษาเป็นคนเดียวที่ดีกับวิเสมอต้นเสมอปลาย...ขอบคุณมากค่ะ...ถ้าป้าอุไรกลับมา ฝากลาด้วยนะคะ”
วิรงรองเดินไป
“คุณวิคะ”
อุษาถอนใจยาว เมื่อวิรงรองไม่ยอมหันกลับมา
สองแม่ลูกอยู่ในห้องด้วยกัน ปรางย้อนถามลูกสาวออกมา
“แม่หนูแน่ใจนะลูก”
“ค่ะ หนูแน่ใจ”
“ถ้าอย่างนั้นก็โล่งใจ...คุณเชื่อว่า ท่านผู้หญิงคงไม่มีวันปล่อยคุณอดิศวร์ แล้วคุณอดิศวร์เองก็ทิ้งคุณย่าของเขาไม่ได้ ยังไงลูกก็ไม่มีวันมีความสุข หากแต่งงานกับเขา”
“หนูทราบค่ะ”
ปรางเปลี่ยนท่าทีเป็นกระฉับกระเฉง “เก็บเสื้อผ้าข้าวของกันเถอะลูก”
วิรงรองและปรางลุกขึ้นดึงกระเป๋าเดินทางออกมาจัด
ส่วนท่านผู้หญิงนอนหลับสนิท โดยที่มือยังจับมือหลานชายอยู่ อดิศวร์มองย่า แล้วค่อยดึงมือออกมา ค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วเดินออกไปด้วยฝีเท้าแผ่วเบา ท่านผู้หญิงยังคงหลับต่อด้วยความอ่อนเพลีย
อดิศวร์เดินออกมาหน้าห้อง อุษาซึ่งรออยู่ด้วยสีหน้าท่าทางกระวนกระวาย รีบเดินตรงมา
“คุณลบคะ”
“อะไรหรืออุษา”
“คุณวิรงรองจะกลับกรุงเทพฯกับคุณแม่วันพรุ่งนี้ค่ะ”
อดิศวร์ชะงัก “ทำไม”
ภาพตอนที่ตนที่ตวาดวิรงรองด้วยความเข้าใจผิดเมื่อครู่ ผุดเข้ามาในห้วงความคิดแว่บหนึ่ง
อดิศวร์ถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อน ยุ่งยากใจ
“ถ้าคุณลบรักเธอ ก็ควรจะรีบไปทำความเข้าใจกับเธอนะคะ”
อดิศวร์ทอดถอนใจยาว
2 แม่ลูกกำลังช่วยกันเก็บเสื้อผ้าข้าวของ สักพักหนึ่ง มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น วิรงรองมองสบตาแม่
“วิรงรอง...ขอพูดด้วยหน่อย”
ปรางแตะแขนวิรงรองแล้วพูดเบาๆ “แม่เอง”
ปรางลุกเดินไปที่ประตู แล้วเปิดออกไป
“มีอะไรหรือคะ”
“ผมต้องพูดกับวิรงรอง” อดิศวร์บอก
“แม่หนูไม่ว่างค่ะ กำลังเก็บข้าวของเสื้อผ้า จะกลับบ้านพรุ่งนี้...ยังไงก็ต้องขอบคุณ คุณอดิศวร์”
อดิศวร์ขัดขึ้นทันที “กลับไม่ได้ครับ”
“คุณไม่ใช่คุณพ่อของเขานะคะ...” ปรางบอก
วิรงรองอดขำคำพูดมารดาไม่ได้ ทั้งๆ ที่อยู่ในอารมณ์เคร่งเครียด
“ขนาดดิฉันเป็นแม่...ดิฉันยังไม่บังคับเขาเลย”
“ผมทราบครับว่าวิรงรองเป็นคนยังไง...ถึงได้มาขอร้องให้เขาฟังผมสักนิด ถ้าเขาจะไปจริงๆ อย่างน้อย ผมก็ยังพอใจที่ได้พูดกับเขาแล้ว”
ปรางนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วหันมาทางวิรงรอง
“ว่ายังไงลูก”
วิรงรองก้มหน้าลงครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้าขึ้น
ตรมุมภายนอก ซึ่งต้นไม้ออกดอกไม้สวยงาม 2 คนเดินมาด้วยกันช้าๆ สีหน้าแววตาเคร่งเครียด ท่าทางของทั้งสองเหมือนต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเองครู่หนึ่ง
วิรงรองพูดขึ้นในที่สุด “ไหนคุณอดิศวร์บอกว่ามีอะไรจะพูดกับดิฉันไงคะ”
อดิศวร์หยุดเดินแล้วหันมา “อย่ากลับไปเลยนะ วิรงรอง”
วิรงรองมองเลยอดิศวร์ไปแล้วถอนใจยาว
“ตอนที่อยู่ในห้องคุณย่า...ฉัน ...”
วิรงรองต่อคำทันที “นึกว่าดิฉันจะฆ่าท่านผู้หญิง”
“ไม่ใช่อย่างนั้น”
วิรงรองนิ่งไปครู่หนึ่ง “ดิฉันคิดว่า เราควรจะกลับไป ทบทวนให้ดีอีกครั้ง”
“ฉันทั้งคิดแล้วก็ทบทวนดีแล้ว ความจริง ถ้าเธอกับคุณย่าต่างคนต่างอยู่มันก็ไม่มีอะไร เธอต้องยอมรับว่า ฉันห้ามไม่ให้เธอเข้าไปพบคุณย่า แต่เธอก็ดื้อที่จะเข้าไปให้ได้ แล้วมันก็เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ”
“หมายความว่าดิฉันผิด”
“ใช่”
วิรงรองเม้มปาก
“ถ้าเชื่อฉันเสียตั้งแต่แรก มันก็ไม่มีเรื่อง”
เสียงวิรงรองอ่อยลงนิดเดียว “ดิฉันหวังดี”
“จำที่เธอแอบนินทาฉันกับอุไรได้ไหม เธอน่ะรั้นเสียยิ่งกว่าฉันอีก”
“ป้าอุไรเป็นคนพูด...ดิฉันเปล่า”
อดิศวร์พูดเสียงหวานขึ้น “เธอเปลี่ยนใจไม่กลับกรุงเทพฯ แล้วใช่ไหม”
“ยังไม่ได้พูดสักหน่อย”
อดิศวร์โอบวิรงรองเข้ามา “เราสองคนผ่านอะไรต่อมิอะไรด้วยกันมามาก...พอทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง..เรื่องอะไรจะมาทิ้งกันไป ..จริงไหม”
วิรงรองนิ่ง อดิศวร์พาออกเดินช้าๆ ทั้งสองไม่ต้องพูด แต่ท่าทางเข้าใจกัน บรรยากาศดีขึ้น
ปรางซึ่งยืนมอง 2 หนุ่มสาวเดินคู่กันช้าๆ ท่าทางมีความสุข ทอดสายตามองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันกลับมา
“นึกอยู่แล้วทีเดียว เฮ้อ ! แม่หนูนะแม่หนู...” ปรางมองไปที่กระเป๋าเสื้อผ้าขำๆ “รื้อเข้ารื้อออกอยู่นั่นแล้ว”
ขณะเดียวกันภูไทและพันธุ์สูรย์กำลังนั่งทำงานอยู่ด้วยกัน เสียงโทรศัพท์พันธุ์สูรย์ดังขึ้น พันธุ์สูรย์มองแล้วชะงัก
ภูไทเงยหน้ามอง “ใครโทร.มา”
“โรงพยาบาลครับ”
ภูไทชะงักไป ขณะพันธุ์สูรย์รับสาย
“สวัสดีครับ...ใช่ครับ...” สีหน้าพันธุ์สูรย์ขรึมลง “ครับ...ครับ...ขอบคุณมาก”
พันธุ์สูรย์วางโทรศัพท์ลง แล้วอึ้งอยู่ครู่หนึ่งโดยภูไทเหมือนจะรู้ แต่ไม่ถาม ปล่อยให้พันธุ์สูรย์พูดเอง
“หลวงพ่อมรณภาพแล้วครับ”
ภูไทพยักหน้าช้าๆ “ฉันเสียใจด้วย”
พันธุ์สูรย์ลุกขึ้น “ผมต้องไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้”
ภูไทลุกตาม “ฉันไปด้วย”
สองหนุ่มคนพากันเดินออกไป
สองสามวันต่อมา ลานนาเดินออกมารับ 2 สาว ซึ่งก้าวลงจากรถ โดยอุษายังคงมีท่าทางลังเล แกมหวาดกลัวคำสั่งอดิศวร์อยู่ แต่วิรงรองจับแขนไว้แน่นให้ก้าวลงมา เพื่อไม่ให้กลับขึ้นไปอีก
“สวัสดีค่ะ...พี่อุษา”
อุษายิ้มแห้งๆ รับไหว้ “สวัสดีค่ะ”
“พี่อุษาเป็นอะไรหรือคะ” ลานนาถามงงๆ
อุษาอึกอักไม่กล้าตอบ
“เป็นโรคกลัวคุณอดิศวร์ ซึ่งดีกว่าโรคกลัวน้ำนิดหน่อย” วิรงรองเย้า
ลานนาหัวเราะชอบอกชอบใจ ขณะที่อุษานิ่วหน้ากับวิรงรอง
“ฮื้อ...คุณวิล่ะก็”
วิรงรองหันมาอธิบายกับลานนา “ไอ้เราน่ะอุตส่าห์อธิบายแล้วอธิบายอีกว่า คุณอดิศวร์ไม่ว่าอะไรหรอก เพราะตอนฌาปณกิจหลวงพ่อคุณพันธุ์สูรย์ คุณอดิศวร์ยังไป แถมยังอนุญาตให้พี่อุษาไปด้วยเลย”
“แน่ะ ใครมาโน่น” ลานนาพยักเพยิด
อุษาและวิรงรองหันไปมอง เห็นพันธุ์สูรย์เดินอ้อมมาจากอีกทาง
ลานนาหลิ่วตากับวิรงรอง แล้วดึงแขนลากไป
“มานี่ ขอสัมภาษณ์เรื่องของตัวเองหน่อย”
อุษาพะว้าพะวัง “เดี๋ยวค่ะ คุณวิ...เจ้า...”
พันธุ์สูรย์เอ่ยขึ้น “คุยกับผมบ้างได้ไหมครับ...คุณอุษา”
อุษาหันมาทางพันธุ์สูรย์ สีหน้าแววตายังคงเต็มไปด้วยความกังวล
โดมทอง ตอนที่ 17 (ต่อ)
ส่วนลานนาจูงแกมลากวิรงรองเข้ามาในบ้าน แล้วจับตัวให้นั่งลง
“เฮ้ย! ลานนา! ทำอะไรเนี่ย”
“ก็บอกแล้วว่าจะสัมภาษณ์”
“ทำยังกับจะสอบสวนแน่ะ”
“บอกมาเสียดีๆว่า...จะแต่งงานกับคุณอดิศวร์เมื่อไหร่กันแน่”
“ก็ทีแรกว่าจะมาขอฤกษ์จากหลวงพ่อ...แต่บังเอิญท่านเกิดมรณภาพเสียก่อน”
“เฮ้อ...นี่ยังดีนะที่คุณของตัวเองไปอยู่ที่โดมทองด้วย...ไม่อย่างนั้นละก็ เราเป็นห่วงตายเลย นี่ขนาดคุณไปอยู่ด้วย เราก็ยังเป็นห่วง ห่วงทั้งตัวเอง...ห่วงทั้งคุณ”
“ขอบใจจ้ะ...แต่คงไม่เป็นอะไรหรอก”
ลานนาโวยเสียงดังลั่น “โห...ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรได้ไง มาตกรต่อเนื่องยังลอยนวลอยู่ที่นั่นตั้ง 2 คน”
วิรงรองถอนใจเฮือก
ลานนาลดเสียงลง “ขอโทษที่โวยวายเสียงดังไปหน่อย”
“ไม่เป็นไรจ้ะ...วิเข้าใจ”
“วิเก่งนะ ที่ทำใจได้”
วิรงรองถอนใจเฮือก “ขอสารภาพว่ามันยากมาก” หญิงสาวลากและเน้นเสียง “เพราะวิเป็นคนประเภทถ้าร้ายมาก็ร้ายตอบ ยิ่งในกรณีแบบนี้ มันต้องถึงไหนถึงกัน แต่นี่ ...เฮ้อ...”
ลานนาต่อให้ “เห็นแก่คุณอดิศวร์”
วิรงรองนิ่งเป็นเชิงยอมรับ แต่นัยน์ตายังคงมีความอัดอั้นตันใจ
ลานนาลูบหลังวิรงรองเป็นเชิงปลอบใจ “ดีแล้วละ...ชนะอะไรมันก็ไม่เท่า...ชนะใจตัวเอง แต่ลานนาแน่ใจว่าฝ่ายแพ้จะยอมแพ้หรือเปล่า”
วิรงรองนิ่ง สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
สองคนนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งในสวน ดอกไม้ชูช่อเบ่งบานสวยงาม พันธุ์สูรย์มองอุษาที่นั่งอึดอัดอยู่เหมือนจะน้อยใจนิดๆ
“ถ้าคุณอุษาอึดอัด ไม่อยากอยู่ตามลำพังกับผมก็ไม่เป็นไรนะครับ” พันธุ์สูรย์ขยับลุกขึ้น “ผมจะพาไปหาเจ้าลานนากับคุณวิ”
อุษารีบพูดด้วยความลืมตัว “ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ”
พันธุ์สูรย์นั่งลงใหม่ “หรือว่ายังเกรงใจคุณลบ”
อุษานิ่งไป
“ผมว่าเขาลดทิฐิไปได้ตั้งเยอะแล้ว”
“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นค่ะ...แต่...อุษาก็ยังไม่อยากทำอะไรที่...เอ้อ...ที่คุณลบยัง...ยังไม่อนุญาต” อุษาว่า
พันธุ์สูรย์หมั่นไส้เยาะหยันขึ้นมา “คุณนับถือเขาเป็นพระเจ้าเลยนะ ผมว่ามันเกินไป”
อุษาบอกอย่างอัดอั้น “แล้วจะให้อุษาทำยังไงล่ะคะ คุณลบเป็นเหมือนพระเจ้าของอุษาจริงๆ”
“ไม่น่าเชื่อว่าจะยุค พ.ศ. นี้แล้วยังจะมีคนคิดแบบนี้อีก แถมยังทำท่าจะเปลี่ยนยากด้วย”
“อุษาเคยบอกกับคุณวิว่า โลกของอุษามีแค่...โดมทอง”
“แต่โลกจริงๆ มันกว้างใหญ่ไพศาลกว่านั้นมากนัก ผมจะพยายามดึงคุณออกมาให้ได้”
สีหน้าพันธุ์สูรย์ขณะพูดแน่วแนวจริงจัง
ด้านอดิศวร์นั่งทำงานอยู่ในห้องทำงาน จนสักครู่หนึ่ง เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น
“สวัสดีครับ...ใช่ครับ...สารวัตร...มีอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่า”
“เราพบข้าวของส่วนหนึ่งของคุณวิรงรองแล้วครับ มีพวกเสื้อผ้า แล้วก็เครื่องสำอางที่ยังไม่ได้ใช้ เลยโทร.มาเชิญให้ไปดูที่สถานีตำรวจ” เสียงจากปลายสายบอก
“ขอบคุณมาก...ผมจะไปเดี๋ยวนี้เลย”
อดิศวร์ลุกเดินออกไปทันที
ขณะที่อดิศวร์เดินออกมาจากในห้อง แสงแขที่ยืนลังเล ว่าจะเข้าไปหาดีหรือไม่ ถึงกับสะดุ้งเฮือก อดิศวร์ทำเหมือนแสงแขไม่มีตัวตน จะเดินเลยไป
แสงแขรีบเรียกไว้ “คุณลบค่ะ”
อดิศวร์หันมามอง ด้วยแววตาว่างเปล่า
แสงแขกลืนน้ำลาย “เอ้อ...คุณ...คุณลบจะไปไหนหรือคะ”
อดิศวร์ยังคงมีท่าทีเย็นชา “ตำรวจเขาโทร.มาบอกว่า พบข้าวของเครื่องใช้ส่วนหนึ่งของวิรงรองแล้ว”
แสงแขผงะเล็กน้อย แล้วหน้าซีด
“อีกไม่นานก็คงจับไอ้คนที่มันร่วมมือได้ ภาวนาไว้ให้ดีเถอะว่าอย่าให้มันซัดทอดถึงใครเลย”
อดิศวร์มองใบหน้านั้นเหมือนจะสะใจแว่บหนึ่ง แล้วเดินออกไป แสงแขกลืนน้ำลาย
อดิศวร์เดินออกมาหน้าคฤหาสน์ พูดสายโทรศัพท์กับวิรงรอง ขณะคนรถขับรถมาจอดรอ
“วิรงรอง ฉันกำลังจะไปรับเธอไปสถานีตำรวจ...สารวัตรกิตติโทร.มาเมื่อกี้”
วิรงรองอยู่ที่คุ้มภูไทกำลังพูดโทรศัพท์ด้วยสีหน้าดีใจ
“หรือคะ ดีจัง ค่ะ...ขอบคุณค่ะ”
วิรงรองวางสาย ลานนาพลอยตื่นเต้นไปด้วย
“อะไรหรือวิ”
“ตำรวจเขาโทร.มาบอกคุณอดิศวร์ว่า พบเสื้อผ้ากับเครื่องสำอางของวิแล้วที่ตลาดขายของมือสอง”
“ว้าว! ว้าว! ว้าว! ถ้าจับไอ้คนที่เอาไปขายได้...คราวนี้ต่อให้วิช่วยเต็มที่ก็ไม่สำเร็จ หลักฐานชัดเจนขนาดนั้น!... และแล้วท่านผู้หญิงสรรักษ์ไกรณรงค์ก็จะได้ชิมรสชาติของชีวิตให้มันสะใจไปเล้ย”
สีหน้าดีใจของวิรงรองกลับคลายลง กลายเป็นกังวล
“อ้าว! เป็นอะไรไปล่ะ”
วิรงรองส่ายหน้าเหมือนเริ่มลังเล และสับสนอีก
ขณะเดียวกันภายในห้องท่านผู้หญิง แสงแขและโอบอ้อมมีสีหน้าท่าทางหวาดกลัวสุดๆ
“เราจะทำยังไงดีคะ คุณย่า” แสงแขหันขวับมาเล่นงานโอบ “เพราะแกทีเดียวนังโอบ...ที่ไม่รู้จักกำชับไอ้อ๊อดให้ดี ! ฉันสั่งแล้วสั่งอีกว่าให้เอาไปทำลาย ไม่ใช่เอาไปขาย แล้วนี่เรื่องพอจะเงียบๆ อยู่แล้ว ก็ต้องถูกขุดคุ้ยขึ้นมาอีก”
“โอบน่ะกำชับแล้วกำชับอีกนะคะ แต่ไอ้พี่อ๊อดมันโลภ โธ่เอ๊ย ถ้าถูกจับได้ละมีหวังซัดกันตามลำดับขั้น ตั้งแต่ขี้ข้าจนถึงเจ้านายแน่ๆ”
“ฉันไม่เกี่ยว ยังไงตาลบก็ไม่มีวันยอมให้ฉันติดคุก แต่พวกแกไม่แน่” ท่านผู้หญิงเยาะหยัน เต็มที่
“ถ้าจะติดมันก็ต้องติดหมดนั่นแหละค่ะ! เรื่องอะไรเขาจะเว้นให้”
“ตาลบต้องเว้นฉัน”
“แต่ถ้ามันซัดมาถึงแข...แขก็จะแฉแหลก...เพราะฉะนั้นคุณย่าก็ต้องพูดกับคุณลบให้ช่วยแขด้วย” แสงแขต่อรอง
“ช่วยโอบด้วยค่ะ ไม่งั้นโอบก็จะแฉแหลกเหมือนกัน” โอบอ้อมว่า
ท่านผู้หญิงหยิบสิ่งของบนโต๊ะข้างเตียง ปาใส่ ทั้ง 2 คน หลบกันวูบวาบ
“ไปให้พ้น ออกไป๊”
สองคนตาลีตาลานออกไป ท่านผู้หญิงหอบหายใจเหนื่อยด้วยความแค้นใจ
สองคนหัวซุกหัวซุนออกมาหน้าห้อง โอบอ้อมร้อนใจหนัก
“ทำยังไงดีคะ”
“โทร.หาพี่ชายแกซิ บอกมันว่าให้หลบเข้าประเทศเพื่อนบ้านไปก่อน”
โอบอ้อมพยายามโทร.แล้วโทร.อีก แต่ไม่มีสัญญาณตอบ
“ติดต่อไม่ได้เลยค่ะ ว้ายตาย หรือว่าถูกตำรวจซิวไปแล้ว”
“บ้า! ถ้าถูกจับ ตำรวจก็ต้องมาที่นี่แล้วน่ะซิ”
“งั้นก็หนีไปกบดานที่ไหนสักแห่ง”
“ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ”
สองคนยังคงสีหน้ากลุ้มสุดๆ
โอบอ้อมเดินเข้ามาในครัว ขณะที่อุรากำลังล้างผักอยู่
“ล้างให้สะอาดนะยะ เดี๋ยวเจ้านายกินเข้าไปแล้วท้องร่วงเป็นมะเร็ง”
“จะเป็นอะไรก็เป็นมันสักอย่างซิ พี่โอบ ท้องร่วงก็ท้องร่วง มะเร็งก็มะเร็ง” อุราบอก
“แหม...แกนี่ปากคอไม่ผิดญาติแกเลยนะ”
“รำคาญก็ไปให้พ้นๆ บ่นอยู่ได้”
อุราเดินไปเปิดตู้เย็น ซึ่งโอบอ้อมยืนขวางอยู่
“ถอย” อุราบอก
“ต๊าย นังอุไร”
อุราเปิดตู้เย็นหยิบของ “อุไรน่ะพี่...ฉันชื่ออุรา...เป็นน้อง...เบื่อจั๊ง! พวกคนแก่ขี้ลืม”
อุราทำงานคล่องแคล่ว โอบอ้อมอ้าปากจะพูด
อุราหันมาเอานิ้วแตะปากโอบอ้อม “ห้ามพูด ถ้าจะอยู่ในนี้ก็ยืนดูเฉยๆ”
โอบอ้อมโมโห “วะ”
ส่วนพันธุ์สูรย์ขับรถพาอุษามาส่งหน้าบ้าน โอบอ้อมเดินมาชะโงกแอบมองตรงข้างๆ ประตูแล้วเบิกตากว้าง
“อุ๊ยตายแล้ว”
ภาพที่โอบอ้อมเห็น คือพันธุ์สูรย์กำลังเปิดประตูรถให้อุษาก้าวลงมา
อุษาไม่กล้าสบตา “ขอบคุณค่ะ !
อุษาหันหลังจะเดินเข้าบ้าน พันธุ์สูรย์จับแขนไว้อย่างนุ่มนวล
“อุษา”
“ปล่อยค่ะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
“โอ๊ยตาย ทนดูไม่ได้”
โอบอ้อมเดินออกไปจากครัวทันที
พันธุ์สูรย์เอ่ยขึ้น “ผมมาหาที่นี่บ้างได้ไหม”
“ต้องขออนุญาตคุณลบก่อนค่ะ”
“เฮ้อ! อะไรๆ ก็คุณลบ”
“คุณลบอนุญาตให้คุณมาส่งอุษาถึงโดมทองแล้ว...ต่อไปก็อยู่ที่คุณแล้วละค่ะ...อุษาขอตัวนะคะ”
อุษาเดินเข้าไปในบ้าน พันธุ์สูรย์มองตาม ด้วยสีหน้าอ่อนโยน
ท่านผู้หญิงตัวสั่นเทาไปหมดพอฟังที่โอบอ้อมมาฟ้อง
“ไปบอกไอ้พันธุ์สูรย์ว่าอย่าเพิ่งไป รอให้ฉันด่ามันก่อน เรียกน้องนังอุไรมาเข็นรถฉันไปเดี๋ยวนี้เร็วๆเข้า”
“เจ้าค่ะ”
โอบอ้อมรีบออกไปอย่างว่องไว
“ไอ้พัน ตัวเอ็งตายไปแล้วแต่ยังไม่วายส่งลูกหลานมารังขวานข้าอีก”
พันธุ์สูรย์ขึ้นรถ แล้วสตาร์ทเครื่องออกรถ โอบอ้อมวิ่งล้มลุกคลุกคลานมาขวางไว้อย่างรีบร้อน จนพันธุ์สูรย์ต้องรีบเบรก
“อยากตายเรอะไง” พันธุ์สูรย์ฉุนกึก
โอบอ้อมกางแขนไว้ หอบเหนื่อยครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาได้ “ท่านผู้หญิงยังไม่ให้ไป”
พันธุ์สูรย์ชะงัก “ใครนะ”
ท่านผู้หญิงแผดเสียงดังขึ้น “เรียกมันลงมา”
พันธุ์สูรย์และโอบอ้อมหันไปมอง เห็นอุราเข็นท่านผู้หญิงออกมาจากประตูเล็กน้อย พันธุ์สูรย์เปิดประตูก้าวลงมา
เดินเข้ามาอยู่ในระยะพอสมควร แล้วยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“เอาไหว้ของแกคืนไป ฉันไม่ต้องการ”
พันธุ์สูรย์สะอึกอึ้ง ในขณะที่อุรายกมือทาบอกแล้วเบิกตากว้าง ส่วนโอบอ้อมยิ้มเยาะๆ แล้วรีบอ้อมไปยืนเยื้องๆแสงแขที่เดินทอดน่องออกมามอง
“แล้วก็ห้ามมาเหยียบอาณาเขต “โดมทอง” ของฉันเด็ดขาด...ปู่แก...พ่อแก...โคตรเหง้าของแกไม่เคยบอกเรอะว่า โดมทองเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับพวกแก”
พันธุ์สูรย์สวนกลับ “อดีตก็คืออดีต...ไม่ควรเอามาปะปนกับปัจจุบัน...ท่านอาจจะมีเรื่องขุ่นเคืองกับคุณปู่ผม..คุณพ่อผม...แต่ตัวผมไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย”
“แต่พวกแกมันสายเลือดเดียวกัน”
พันธุ์สูรย์ขัดขึ้นทันที “สายเลือดผมมันเป็นยังไงหรือครับ เท่าที่ทราบ...คนในตระกูลผมไม่เคยทรยศหรือเนรคุณอะไรท่านเลย! มีแต่ก้มหัวรับใช้งกๆ ไม่ว่าจะถูกหรือผิด”
“ไอ้พันธุ์สูรย์” ท่านผู้หญิงเสียงดัง
“เอ!...หรือว่าคุณปู่ผมกับคุณพ่อผมเกิดไปรู้ความลับอะไรของท่านเข้า” พันธุ์สูรย์จ้องตาท่านผู้หญิงเขม็ง
ท่านผู้หญิงโกรธจนหน้าเขียวหน้าเหลือง ชี้นิ้วสั่นเทาพูดไม่ออก
“ไอ้...ไอ้”
ท่านผู้หญิงเป็นลมหมดสติ ทุกคนตกใจร้องเอะอะโวยวาย อุษาวิ่งออกมา พันธุ์สูรย์รีบเข้าไปอุ้มร่างท่านขึ้นรถ
“อย่านะ! ฉันรู้ว่า คุณย่ายอมตายมากกว่าจะยอมขึ้นรถแก” แสงแขแว้ดใส่
“รีบพาไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ!” อุษาไม่สน
พันธุ์สูรย์อุ้มท่านผู้หญิงขึ้นรถ อุษาตาม
“พี่อุษา” แสงแขแหวใส่อีก
“พี่รับผิดชอบเอง!”
พันธุ์สูรย์รีบขับรถออกไป แสงแขตะโกนโหวกเหวกเรียก
ไม่นานต่อมาเห็นพันธุ์สูรย์เดินเข้ามามุมหนึ่งในบ้านเจ้าภูไท ด้วยสีหน้าท่าทางอ่อนอกอ่อนใจ เจอสองเจ้าพี่เจ้าน้องที่นั่งอยู่แล้ว ลานนาถามอย่างกระตือรือร้น
“เป็นไงบ้างคะพี่พันธุ์สูรย์! โอ๊ย! ตื่นเต้น..ตื่นเต้น!”
“ยัยน้อง...จะต้องตื่นเต้นอะไรนักหนา” ภูไทปราม
“ไม่ตื่นเต้นได้ไง! พี่พันธุ์ได้เผชิญหน้ากับยากูซ่าแห่งโดมทองทั้งที”
พันธุ์สูรย์อดหัวเราะไม่ได้ ทั้งๆ ที่กำลังอ่อนอกอ่อนใจ ในขณะที่ภูไททุบหัวน้องเบาๆ อย่างเอ็นดู
“ไปว่าเขา! อย่าไปพูดให้อดิศวร์ ได้ยินเชียวนะ...ไม่ว่าคุณย่าเขาเป็นยากูซ่า”
“ว่าไงคะ...พี่พันธ์สูรย์” ลานนาซักอีก
“ไม่ว่ายังไงหรอกครับ...พอท่านผู้หญิงฟื้นเท่านั้นแหละ รวมหัวกันไล่ผมเลยทั้งย่าทั้งหลาน”
“อ้าว …แล้ววิไม่ว่าอะไรหรือค่ะ”
“โอ๊ย! จะว่าอะไรได้ล่ะครับ...คุณวิเองยังเอาตัวไม่รอดเลย! นี่ผมก็เพิ่งพาไปส่งที่บ้าน...พอดีคุณแม่กลับจาก Shopping กับเพื่อนๆ พอดี!”
“คุณแม่คุณวิมีเพื่อนที่นี่ด้วยหรือ!” ภูไทแปลกใจ
“เขามาเที่ยวกันค่ะ เลยโทรศัพท์นัดกัน” ลานนาบอกแล้วหันมาทางพันธุ์สูรย์ “แล้วนี่ท่านผู้หญิงมิต้องอยู่โยงโรงพยาบาลนานเลยหรือค่ะ”
“โอ๊ะ ไมนานหรอกครับ! หวงบ้านหวงสมบัติขนาดนั้น ตอนที่ผมจะกลับมานี่ก็เห็นว่าจะกลับโดมทองแล้วละครับ”
“หนังเหนียวจริงๆ เลย!” ลานนาบอกอย่างขัดใจ
“เดี๋ยวเถอะ...เรานี่”
ลานนาหัวเราะชอบอกชอบใจ
ขณะเดียวกันท่านผู้หญิงสรรักษ์ซึ่งเพิ่งกลับจากโรงพยาบาล นอนอยู่บนเตียงด้วยความอ่อนระโหยจับมืออดิศวร์แน่น มีเสียงเคาะประตูเบาๆ แล้วเห็นอุษาเดินเข้ามา ท่านผู้หญิงปรี๊ดแตก ของขึ้นอีก
“ออกไป๊ นังตัวดี วันนี้ฉันเกือบตาย เพราะความใจง่ายของแกแล้ว”
อุษาตกใจ หน้าซีดเผือด ยืนตัวแข็งทื่อ
“อุษา...ออกไปก่อน” อดิศวร์บอก
“ค่ะ” อุษาพึมพำรับคำแล้วออกไป
“คืนนี้ไม่ต้องให้มันมานอนเป็นเพื่อนย่า ย่าไม่อยากเห็นหน้ามัน” ท่านผู้หญิงบอก
“ถ้าอย่างนั้น...”
“นังแสงแขกับนังโอบก็ไม่เอา เห็นพวกมันแล้วย่าจะตายเสียก่อน”
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้อุรามาอยู่ก็แล้วกันนะครับ”
ท่านผู้หญิงหลับตาลง แล้วพยักหน้า อดิศวน์มองอย่างหนักใจ
ฝ่ายอุษานั่งกอดเข่า น้ำตาไหลเงียบๆอยู่มุมหนึ่ง อดิศวร์เดินตรงมา ชะงักนิดหนึ่งเมื่อเห็นภาพนั้น อดิศวร์มองอุษาครู่หนึ่งแล้วจึงเข้ามาทรุดตัวลงนั่งตรงหน้า
อุษาสะดุ้งแล้วรีบเช็ดน้ำตา “ขอประทานโทษค่ะ”
อดิศวร์บอกเสียงอ่อนโยน “พี่ต่างหากต้องขอโทษ ที่ทำเหมือนปล่อยปละละเลย ให้เธอต้องอดทนรองรับอารมณ์ของคุณย่าตลอดมา”
“คุณลบไม่ต้องขอโทษค่ะ...มันเป็นหน้าที่ที่จะต้องตอบแทนพระคุณ...”
อดิศวร์ขัดขึ้น “ตอบแทนด้วยการปรนนิบัติรับใช้นั่นมันก็พอสมควรแล้วไม่จำเป็นต้องรองรับอารมณ์ด้วย”
“คุณย่าคงโกรธที่เห็นพันธุ์สูรย์มาส่งอุษา”
“เป็นความผิดของพี่เองที่อนุญาตให้ไอ้เจ้านั่นมันมาส่ง...เพราะพี่ต้องรีบพาวิรงรองไปสถานีตำรวจ...ไอ้พันธุ์สูรย์มันก็ไม่ใช่ย่อย คนแก่คนเฒ่าไม่มีละเว้น”
อุษาจะอธิบาย “ความจริง...”
อดิศวร์เสียงเข้ม “อย่าแก้ตัวแทนมัน”
อุษาก้มหน้าลง น้ำตาปริ่มขึ้นมาอีก
“ระหว่างนี้ อุษาไม่ต้องเข้าไปให้คุณย่าเห็นหน้าเห็นตา รอให้ท่านลืมๆ เรื่องวันนี้ไปก่อน”
อุษาเป็นกังวล “แล้วใครจะคอยดูแลคุณย่าล่ะคะ เพราะแสงแขก็...เอ้อ...”
“ให้อุไรไปอยู่ประจำกับคุณย่าเลย...พี่เองก็จะให้เวลากับท่านมากขึ้น...” อดิศวร์ลุกขึ้น “ไปบอกกับอุไรตามนี้”
“ค่ะ”
อุษากับอุไรอยู่ในครัวสองคน คำพูดอดิศวร์ถูกถ่ายทอดให้อะไรฟังแล้ว อุไรเบิกตากว้าง
“อยู่ประจำหรือคะ แค่ไปกลับยังเกือบตาย”
อุษาดุ “อุไร”
“ให้นังโอบมาสลับกันบ้างก็ยังดี”
“นี่เป็นคำสั่งของคุณลบ...ถ้าทำไม่ได้ก็ไปบอกเอง”
อุษาเดินไป อุไรบ่นงึมงำ
“โธ่เอ๊ย...ช่างไม่เวทนาสงสารอุไรบ้างเล้ย...ย ....เฮ้อ”
อุษาเดินน้ำตาคลอก้มหน้าก้มตาขึ้นบันไดมาจนถึงหัวบันไดด้านบน เสียงเย้ยเยาะของแสงแขดังขึ้น
“ขอต้อนรับเข้าสมาคมหมาหัวเน่า”
อุษาหยุดเงยหน้าขึ้นมอง แสงแขยืนกอดยิ้มเยาะ
แสงแขสูดลมหายใจยาว “เฮ้อ...รู้สึกอบอุ่นขึ้นเยอะเลย มีเพื่อนเพิ่มขึ้นอีกคน”
อุษาเดินไปขึ้นบันไดต่อ โดยไม่ต่อปากต่อคำ แล้วผ่านแสงแขจะไปห้อง
“จะไม่แสดงความคิดเห็นสักหน่อยเรอะ” แสงแขดึงแขนเอาไว้
อุษากระชากแขนกลับ “อย่ามายุ่งกับฉัน”
แสงแขหัวเราะลั่น “อุ๊ยต๊าย รู้จักโกรธเป็นเหมือนกันนี่ คุณพี่อุษากลายร่างจากแม่พระมาเป็นมนุษย์แล้ว ไชโย้”
อุษากัดปาก สะกดกลั้นความโมโห เดินต่อ
“เป็นไง รู้สึกดีขึ้นมากใช่มั้ยล่ะ! นี่ขนาดแค่แขนะ! ลองประทะกับยัยแม่มดมณฑาดูบ้างซิรับรองว่า พี่อุษาจะหายเครียดไปเลย”
อุษาเร่งฝีเท้าหนี แต่แสงแขตามมาขวางไว้
“เอาเลย! พี่อุษา แขสนับสนุนเต็มที่”
อุษาผลักแสงแขอย่างแรงจนเซถลาล้มลง แล้วเดินเร็วๆ ไปเข้าห้อง
แสงแขระเบิดเสียงหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ
อุษาเปิดประตูเข้ามาทิ้งตัวพิงประตู ระเบิดเสียงร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะอดกลั้นอีกต่อไป
อารมณ์เก็บกดของอุษาพุ่งทะลักออกมา หลังจากเก็บอัดไว้มาตลอดชีวิต
โดมทอง ตอนที่ 17 (ต่อ)
ขณะที่ปรางและวิรงรองเดินคุยกันออกมาหน้าห้อง ทั้งสองชะงักเมื่อเห็นแสงแขเดินตรงมา แม่ลูกหันมามองหน้ากันแว่บหนึ่ง
“มาดีค่ะ...มาใช่มาร้าย...ไม่ต้องระแวง”
สองคนยังมองหน้าแสงแขนิ่ง วิรงรองจับมือปรางไว้แน่น
แสงแขหันหน้ามาจ้องวิรงรอง
“พี่อุษากำลังร้องห่มร้องไห้ปานฟ้าจะถล่มโลกจะทลายแน่ะ ! ฉันว่าเธอควรจะไปดูหน่อยนะในฐานะเพื่อนสนิท!”
แสงแขหันหลังกลับ เดินลอยหน้าออกไป วิรงรองมองตาม แล้วหันมามองแม่
“ไปหน่อยก็ดีนะลูก ไม่ต้องเป็นห่วงคุณ”
“ค่ะ”
วิรงรองเดินเลยไป ปรางมองตามด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
วิรงรองเร่งฝีเท้าเดินเลยหน้าแสงแขมาจนถึงห้องอุษา แสงแขทอดฝีเท้าลงแล้วหยุดพูดพร้อมกับยักไหล่
“ที่พูดจากใจจริงเลยนะ...ถ้าพี่อุษาขืนอยู่ที่โดมทองต่อไป ต้องเป็นบ้าแน่ๆ หรือถ้าไม่บ้าก็คุ้มดีคุ้มร้าย”
จากนั้นแสงแขก็เดินย้อนกลับไป ด้วยสีหน้ามีเลศนัย วิรงรองเหลียวมองตามครู่หนึ่ง แล้วจึงเคาะประตูเบาๆ เปิดเข้าไป
อุษารีบลุกขึ้นยืนหันหลังให้ทันที ที่วิรงรองเข้ามา
“พี่อุษา เป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ”
อุษาส่ายหน้า
“พี่อุษาคะ”
วิรงรองเรียกพลางเดินอ้อมมาตรงหน้า อุษารีบหันหลังให้
“ทะเลาะกับคุณแสงแขใช่ไหมคะ”
อุษาส่ายหน้าอีก
“ถ้าอย่างนั้นก็ถูกท่านผู้หญิงดุ!”
อุษาบอกเสียงเครือๆ “อย่าเดาเลยค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นพี่อุษาก็เล่าให้วิฟังซิคะ...ให้วิได้ตอบแทนบุญคุณบ้างตั้งแต่วิก้าวเข้ามาโดมทอง...ก็มีพี่อุษานี่แหละที่เป็นกำลังใจให้วิ...ช่วยเหลือวิมาตลอด นะคะ...พี่อุษา...เล่าให้วิฟัง ...วิอาจจะช่วยได้บ้าง”
อุษาส่ายหน้าแล้วร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะอดกลั้น แล้วทรุดลงนั่งตัวงออย่างน่าสงสาร
ด้านอดิศวร์ถอนใจยาวเมื่อฟังปรางพูดจบ แล้วลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง
“น้าคิดว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด”
อดิศวร์เบือนหน้ากลับมา “แล้วถ้าผมจะขออนุญาตแต่งงานกับวิรงรองเลยล่ะครับ”
“คุณยังไม่พร้อม...แม่หนูเองก็ยังไม่พร้อม ... “โดมทอง” ไม่ต้อนรับลูกสาวของน้า...คุณคงไม่เถียงใช่ไหมคะ”
อดิศวร์นิ่ง
“เหตุการณ์เปลี่ยนไป...ถ้าหากให้แม่หนูรอกำหนดแต่งงานอยู่ที่โดมทองนี่...ชาวบ้านจะนินทาเอาได้โลกทุกวันนี้ข่าวกระจายไปเร็วมาก...จริงหรือไม่จริงไม่รู้...แต่คนก็เชื่อไปครึ่งค่อนเมืองแล้ว...ไอ้ครั้นจะไปแก้ข่าวจะมีใครสักกี่คนที่เชื่อ”
“ผมขอเวลาปรึกษากับวิก่อนได้ไหมครับ”
“ตามใจค่ะ...แต่น้าคิดว่าลูกคงไม่คิดต่างไปจากแม่หรอก”
ปรางลุกเดินออกไป อดิศวร์มีสีหน้าเคร่งเครียด
อุษาเช็ดน้ำตาเมื่อเล่าจบ
“ไม่รู้พี่เป็นบ้าอะไร ถึงได้มานั่งร้องไห้เล่าเรื่องให้คุณวิฟังเป็นวรรคเป็นเวร”
“ไม่เป็นไรค่ะ...อะไรที่ทำให้พี่อุษาสบายใจแล้ว วิยินดีทำทุกอย่าง... แค่นั่งฟังพี่อุษาเล่าแค่นี้ยิ่งเรื่องเล็ก”
“พี่สบายใจขึ้นแล้ว! ขอบคุณคุณวิมาก”
“ถ้าอย่างนั้นพี่อุษาก็ล้างหน้า อาบน้ำให้สบายใจก่อนนะคะ...วิจะลงไปรอข้างล่าง”
“ค่ะ”
วิรงรองบีบมืออุษาแล้วลุกขึ้นเดินออกไป
อุษาเสยผม เช็ดน้ำตา สีหน้าดูสบายใจขึ้น
ไม่นานต่อมา วิรงรองเดินมามุมหนึ่งในบ้าน มองซ้ายมองขวา แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“วิมีเรื่องสำคัญมากค่ะ...คุณพันธุ์สูรย์ 3 ทุ่มคืนนี้ คุณพันธุ์สูรย์มาพบวิหน่อยได้ไหมคะ”
“ได้ครับ...เรื่องเกี่ยวกับคุณอุษาหรือเปล่า...” พันธุ์สูรย์อยู่ที่บ้านภูไท
“ใช่ค่ะ...ที่เดิมนะคะ”
“ครับ”
วิรงรองเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง มองซ้ายมองขวา แล้วเดินออกไป
ทิวทัศน์ยามค่ำของอาณาเขตโดมทองสวยงามอย่างเคย ส่วนภายในห้องทานข้าว มื้อค่ำผ่านไปเรียบร้อย อุษาช่วยอุไรยกชามออกไป
“ขออนุญาตนะครับ คุณน้า...” อดิศวร์หันมาทางปราง ขณะลุกขึ้น
ปรางพยักหน้า
อดิศวร์หันหน้ามามองวิรงรอง “เชิญทางนี้หน่อย...วิรงรอง”
วิรงรองชะงัก มองนาฬิกาข้อมือแว่บหนึ่ง ด้วยจะถึงเวลานัดกับพันธุ์สูรย์แล้ว “มีอะไรหรือคะ”
“คุณอดิศวร์เขามีธุระจะคุยกับแม่หนู” ปรางบอก
วิรงรองกังวลที่นัดกับพันธุ์สูรย์ไว้ “เอ้อ...หนู”
อดิศวร์จับตามองท่าทีนั้นอย่างเพ่งพิศ “มีอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ เชิญคุณอดิศวร์ก่อนนะคะ...เดี๋ยววิตามไป”
อดิศวร์มีสีหน้าแปลกใจนิดหนึ่ง แต่ก็พยักหน้ารับรู้ เดินออกไปโดยดี
ปรางมองลูกสาวอย่างรู้ทัน “แม่หนู”
“หนูไปก่อนนะคะ”
วิรงรองรีบเดินออกไป โดยปรางมองตามแปลกใจ
อุษาเดินกลับเข้ามาทันเห็นหลังวิรงรองไวๆ “มีอะไรหรือคะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน...น้าจะขึ้นข้างบนคะ”
“หนูจะขึ้นไปอยู่เป็นเพื่อนค่ะ”
“รบกวนหนูเปล่าๆ”
“ไม่เลยค่ะ...หนูก็ไม่มีอะไรทำเหมือนกัน”
“งั้นก็ขอบใจนะจ๊ะ”
อุษายิ้มนิดๆ แล้วออกไปกับปราง
อดิศวร์เดินเข้ามาในห้องทำงาน ทรุดตัวลงนั่งรอวิรงรอง
เหมือนมีใครคนหนึ่งกำลังมองเขามาจากมุมสลัวภายในห้อง
สักครู่ อดิศวร์เหมือนรู้สึกตัว หันไปมอง มีควันที่เกิดจากความหนาวเย็นออกมาจากลมหายใจของเขา
เงาของใครคนนั้นซึ่งที่แท้คือวิญญาณพลับพลึง วูบหายไปบริเวณนั้น อดิศวร์ยังคงเพ่งมองด้วยแววตาใคร่ครวญครุ่นคิด ควันเย็นหายไปแล้ว
ส่วนวิรงรองกำลังแอบโทรศัพท์กับพันธุ์สูรย์ซึ่งเดินมาที่มีมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ หน้าบ้านในคุ้มภูไท
“วิขอโทษจริงๆนะคะ เดี๋ยวพอคุยกับคุณอดิศวร์เสร็จแล้วจะรีบโทร.มาใหม่”
พันธุ์สูรย์หยุดเดิน
“ไม่เป็นไรครับ...แต่ขอถามหน่อยว่าเป็นเรื่องร้ายแรงหรือเปล่า”
วิรงรองเหลียวหน้าเหลียวหลัง “แหม...เรื่องมันยาว เอาไว้จะเล่าให้ฟังหลังจากที่คุยกับคุณอดิศวร์แล้ว แค่นี้ก่อนนะคะ”
วิรงรองปิดมือถือ เก็บใส่กระเป๋ากางเกง เหลียวซ้ายแลขวา แล้วเดินออกไปจากบริเวณนั้น
ฝ่ายอดิศวร์เหลือบมองนาฬิกาด้วยความแปลกใจ ที่วิรงรองมาช้า เขาลุกขึ้นจะเดินไปที่ประตู แต่แล้วเสียงเคาะดังขึ้นก่อนประตูจะเปิดออก เห็นวิรงรองเดินเข้ามารีบพูด
“ขอโทษค่ะ ที่มาช้านิดหน่อย ! วิไปเข้าห้องน้ำมา”
อดิศวร์พยักหน้าขรึมๆ “นั่งลงซิ”
วิรงรองมองอดิศวร์อย่างแปลกใจ เมื่อเห็นสีหน้านั้นถนัด “คุณอดิศวร์เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“เปล่า”
อดิศวร์ตัดสินใจเดินมาใกล้ แล้วจับมือวิรงรองมากุมไว้ด้วยสีหน้าจริงจังที่สุด
“วิรงรอง...เธอจะแต่งงานกับฉันเร็วๆ นี้ได้ไหม ฉันให้เวลาเตรียมตัว 1 อาทิตย์”
วิรงรองตกใจ แปลกใจ เบิกตากว้าง “ทำไมต้องรีบร้อนขนาดนั้นคะ”
อดิศวร์นิ่งไปเหมือนกำลังคิดคำตอบ
ที่สุดริงรงรองมองอย่างเพ่งพิศครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าช้าๆ เหมือนจะเข้าใจ
“เรื่องนี้เกี่ยวกับคุณของวิใช่ไหมคะ”
อดิศวร์สบตา แล้วพยักหน้า
สีหน้าวิรงรองใคร่ครวญครุ่นคิดแล้วพูดอย่างไตร่ตรอง “ถ้าจะให้พูดตรงๆ วิขอตอบว่า ยังไม่พร้อม”
อดิศวร์ปล่อยมือทันทีแล้วหงุดหงิด “ทำไมถึงไม่พร้อม”
วิรงรองถอนใจเฮือก “คุณอดิศวร์ก็น่าจะทราบดีนี่คะ”
อดิศวร์เริ่มพาล “คงไม่เกี่ยวกับนายพิชญ์ หรือนายทหารคนนั้นหรอกนะ”
“ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้นค่ะ เกี่ยวแค่เรา 2 คน”
อดิศวร์มองนัยน์ตาวิรงรองอย่างจะค้นหาความจริง วิรงรองสบตาแน่วแน่
ไม่นานต่อมา ปรางมองลูกสาวอย่างพอใจ
“หนูทำถูกแล้วที่ตอบไปอย่างนั้น”
วิรงรองน้ำตารื้นขึ้นมา “คุณอดิศวร์ไม่พูดอะไรสักคำ...เขาคงคิดว่าหนูไม่รักเขา”
ปรางกอดลูกไว้ “ถ้าเขารักหนูจริง เขาจะต้องเข้าใจ หนูยังไม่ได้แต่งงานกับเขา แล้วจะมาอยู่บ้านเดียวกันนานๆ ได้ยังไง...ถึงคุณจะอยู่ด้วยก็เถอะ”
วิรงรองหยิบทิชชูมาเช็ดน้ำตา
ปรางลูบผมลูกเบาๆ “พรุ่งนี้เราจะกรุงเทพฯ ด้วยกันนะลูก...แม่เป็นห่วงบ้าน”
“ค่ะ”
2 แม่ลูกกอดกันอยู่ในอิริยาบถนั้นนิ่งนาน
กลางดึกคืนนั้นวิรงรองลากกระเป๋าเสื้อจะเดินออกจากห้อง พอเปิดประตูแล้วต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นวิญญาณพลับพลึงคล้ายยืนรออยู่
วิรงรองอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วกลืนน้าลาย “คุณ...คุณพลับพลึง”
พลับพลึงเลื่อนสายตามาที่กระเป๋าเสื้อผ้า แล้วมองวิรงรองเป็นเชิงห้ามไม่ให้ไป
วิรงรองตั้งสติได้ “เลิกยุ่งกับดิฉันสักทีเถอะค่ะ ดิฉันเกือบตายก็เพราะคุณ เวรกรรมอะไรก็ไม่รู้ที่ต้องเกิดมาหน้าตาเหมือนคุณเปี๊ยบ เหมือนจนต้องซวยไปด้วย”
พลับพลึงไม่ตอบโต้ มองวิรงรองอย่างวิงวอน
“ยังไงดิฉันก็ต้องไป คุณเองก็ควรจะไปเหมือนกัน เพราะคุณถูกปลดปล่อยแล้ว ได้พบกับท่านเจ้าคุณแล้ว”
ร่างพลับพลึงลอยช้าๆ เหมือนจะเบี่ยงทางให้
วิรงรองเดินเลยออกไป ได้ 3-4 ก้าว แล้วหันกลับมาอย่างนึกได้
“ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยคะ ...ดิฉันสงสัยมานานแล้ว...ทำไมคุณถึงปล่อยให้ท่านเจ้าคุณมารอรับครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งๆ ที่คุณก็น่าจะไปกับท่านได้...”
พลับพลึงก้มหน้าลงนิดหนึ่งแล้วเงยขึ้น น้ำตาคลอดวงตาดูวาววับในความมืด
“ดิฉันอยากทราบจริงๆ”
พลับพลึ่งยังคงอยู่ในอิริยาบถเดิม
“หรือว่าผี...เอ๊ย! คุณพูดไม่ได้! อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะคะ...ดิฉันขอแนะนำให้คุณไปรับท่านเจ้าคุณเสีย...ทุกอย่างจะได้จบลง”
ผีพลับพลึงเอาแต่ส่ายหน้าช้าๆ น้ำตาหยดลงมา แล้วร่างค่อยกลืนหายไปในความมืด
วิรงรองถอนใจเฮือก “ดิฉันก็จนปัญญาจะช่วยเหมือนกัน”
วิรงรองหันหลังกลับเดินไป
มีเสียงท่านเจ้าคุณดังขึ้น “อย่าไปเลย...วิรงรอง”
วิรงรองสะดุ้งหันขวับมาอีกครั้ง เห็นท่านเจ้าคุณยืนอยู่แทนที่พลับพลึง
วิรงรองสะดุ้งตกใจตื่น ผุดลุกขึ้นนั่ง พบว่าเป็นเวลารุ่งเช้าอีกวัน
“ตื่นแล้วหรือลูก”
วิรงรองหันไปมองตามเสียง เห็นแม่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วกำลังแปรงผม
“หนูไม่เคยตื่นสายอย่างนี้เลย”
“สายที่ไหน...เพิ่งจะหกโมงครึ่งเอง...หนูจะนอนต่อก็ได้...คุณป้ามยุรีโทร.มาบอกเมื่อกี้ว่า...จองตั๋วเครื่องบินให้ไม่ได้
ต้องเลื่อนเป็นไฟล้ท์พรุ่งนี้บ่าย”
“อ้าว!”
“เดี๋ยวคุณป้าจะมารับแม่ไปขึ้นดอย ...หนูจะไปด้วยไหม”
“หนูขอติดรถไปบ้านเจ้าภูไทดีกว่าค่ะ...”
“ได้! งั้นไปล้างหน้าล้างตา อาบน้ำอาบท่าได้แล้ว”
“ค่ะ”
วิรงรองลุกจากเตียงอย่างว่องไวไปเข้าห้องน้ำ
เช้านั้นอุษากำลังจัดโต๊ะอาหารอยู่ ขณะปราง และวิรงรองเดินเข้ามา
วิรงรองมองไปโดยรอบๆ ห้องแว่บหนึ่ง “คุณอดิศวร์ละค่ะ”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ!”
“เอ๊ะ!” วิรงรองแปลกใจที่เขาทานเช้าผิดปกติ
อุษารีบอธิบาย “เห็นบอกว่าไม่ค่อยหิว...ขอแค่กาแฟถ้วยเดียว”
วิรงรองตัดสินใจ “คุณทานกับพี่อุษาไปก่อนนะคะ เดียวหนูมา”
วิรงรองรีบเดินออกไป ก่อนที่ใครจะทันพูดอะไร
สองคนอยู่ในห้องทำงาน ครู่หนึ่งอดิศวร์บอกออกมาอย่างเย็นชา
“ฉันไม่หิว”
“ไม่หิวหรือว่าโกรธวิ...ไม่อยากเห็นวิกันแน่คะ!”
อดิศวร์นิ่งไปครู่หนึ่ง “ยังไม่ไปอีกหรือ”
“เลื่อนเป็นพรุ่งนี้ค่ะ”
อดิศวร์พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ แล้วยกกาแฟขึ้นจิบ พลางเปิดคอมพ์ วิรงรองยืนมองอย่างน้อยใจครู่หนึ่ง แล้วเดินออกไป
ที่ระเบียงบ้านภูไท บัวคำเดินถลายกถาดเข้ามาวางถาดน้ำเปล่าลงบนโต๊ะพอดิบพอดี โดยวิรงรองและลานทำสีหน้าหวาดเสียว
บัวคำทำเสียงเบรกเอง “เอี๊ยด! ไม่ต้องตกใจค่ะ แค่ลื่น แต่ไม่ล้ม ณ วันนี้ บัวพัฒนาไปมากแล้ว”
สองสาวถอนใจโล่งอีก
“ต่อไปจะไม่มีการล้มเด็ดขาด” สาวใช้จอมเฟอะเว้นนิด “คุณวิสบายดีหรือคะ! บัวไม่เห็นเสียหลายวัน”
ลานนาขัดขึ้นก่อนที่บัวจะพรรณนาต่อไป “อย่าเยอะ...บัว ไปทำงานได้แล้ว”
“งานของบัวเสร็จหมดแล้วค่ะ! ทั้งซักผ้า รีดผ้า กวาดบ้าน ถูบ้าน ขัดกะไดไชรูท่อ”
“งั้นก็ไปกวาดใบไม้ซิจ๊ะ” วิรงรองบอก
“กวาดใบไม้” บัวคำงง
“ใช่! แบบกวาดลานวัดไง! แล้วก่อนกวาดไปเชิญคุณพันธ์สูรย์มาด้วย!”
บัวคำอ้าปากจะพูด
“ไปเดี๋ยวนี้เลย” ลานนาบอกก่อน
“ค่ะ! ไปก็ได้ค่ะ!”
บัวคำหันหลังกลับก้าวเดิน แต่ขาเกิดขัดกันเซถลาล้มอีกตามเคย
“อู๊ย...ย! ว่าจะไปล้มอีกแล้วเชียว!”
บัวคำบ่นพลางเดินออกไป
ลานนาหันมามองวิรงรอง “ถ้ายังไม่อยากกลับกรุงเทพฯ ก็อย่าเพิ่งกลับ! มาพักที่นี่ก่อน...ลานนาจะพูดกับคุณให้
วิรงรองมีสีหน้าลังเล
ส่วนที่โดมทองอุไรกำลังยอบตัวพูดกับลบ
“ไปบ้านเจ้าภูไท!” อดิศวร์ทวนคำ
“ค่ะ!”
“แล้วทำไมฉันไม่รู้”
“ก็เพราะไม่มีใครบอกคุณลบไงล่ะคะ”
อดิศวร์มองหน้าอุไรเขม็ง
อุไรจ๋อยสนิท “ขอประทานโทษค่ะ!”
อดิศวร์ เดินเลยไปห้องท่านผู้หญิง
“คนบ้านนี้เข้าใจยาก! โลกส่วนตัวสูง...โลกส่วนรวมต่ำกันทั้งนั้น!” อุไรบ่นบ้าตามประสา
พันธุ์สูรย์เดินเข้ามา ขณะที่ 2 สาวคุยกันอยู่ เหมือนปรึกษาท่าทีเคร่งเครียด
“คุณพันธุ์สูรย์มาแล้ว”
ลานนาหันไปมอง “ทำไมมาช้าจัง! พี่พันธุ์สูรย์”
พันธุ์สูรย์ทรุดลงนั่ง “ไม่กี่นาทีเอง ผมคุยกับลูกค้าอยู่...มีเรื่องอะไรกัน” ตอนท้ายหันมาถามวิรงรอง
“วิอยากให้พี่พันธุ์สูรย์ไปรับพี่อุษาออกมาจากโดมทองค่ะ”
พันธุ์สูรย์สะดุ้ง “คุณวิ”
ลานนายกมือ “ลานนาขอสนับสนุนด้วยอีกคน! พี่อุษาแกอายุเลยเบญจเพสแล้ว...ยังไงพี่พันธุ์สูรย์ก็พ้นข้อหาพรากผู้เยาว์”
“การที่คุณอุษาจะยอมมาหรือไม่ยอมมาไม่ได้อยู่ที่ผม...แต่อยู่ที่ตัวเธอเอง...ผมเคยชวนเธอแล้วด้วยซ้ำ”
“งั้นวิจะไปปูเอาไว้ก่อน”
“ไปปูหรือว่าไปยุ” ลานนาสัพยอก
วิรงรองยิ้มๆ “ก็นั่นแหละ”
พันธุ์สูรย์ส่ายหน้า “ไม่มีทาง! คุณอุษาไม่มีวันทำอย่างนั้นแน่นอน”
“ตอนนี้อะไรๆ มันก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว พี่อุษาถูกกดดันจากหลายๆ อย่างจน...ขอโทษนะคะ...สติแตกไปเลย”
ลานนาพยักเพยิดหนักแน่นเสริมเพื่อน
พันธุ์สูรย์ขบกรามแน่น “คงจะเริ่มมาจากวันนั้น...”
ภาพเหตุการณ์วันที่ท่านผู้หญิงปะทะกับพันธุ์สูรย์หน้าโดมทองผุดเข้ามาในห้วงความคิด
พอภาพเหล่านั้นหายไป พันธุ์สูรย์ถอนใจหนัก
“ผมเป็นต้นเหตุทำให้เธอเดือดร้อน”
“วิพูดจริงๆ นะคะ...ถ้าพี่อุษาอยู่ที่โดมทองต่อไป...เธออาจจะเอ้อ...เป็นโรคประสาท”
พันธุ์สูรย์สีหน้ากังวลจัดด้วยความห่วงใยอุษา
ส่วนที่โดมทอง ท่านผู้หญิงนอนหลับสนิทอยู่ อดิศวร์นั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างเตียง มองดูย่าเงียบๆ
ภาพจำต่างๆ ผุดขึ้นมาราวสายน้ำไหล ตั้งแต่อดิศวร์ยังเด็กวัยประมาณ 10 ขวบ ส่วนท่านผู้หญิงอยู่ในวัย 50 กว่าๆ คอยดูแลป้อนข้าวป้อนน้ำ เล่านิทานให้ฟัง ทั้งยังจูงพาเดินเล่นรอบๆ โดมทอง
ตกกลางคืนท่านผู้หญิงก็พาเด็กชายอดิศวร์เข้านอน แล้วร้องเพลงเห่กล่อม จนกระทั่งหลับ
ภาพเหล่านั้นเลือนหายไป อดิศวร์ถอนใจยาว สีหน้าอ่อนลง
เปลือกตาท่านผู้หญิงขยับไปมา แล้วค่อยๆ ลืมตาตื่น ปรือๆ ตาถาม
“ลบหรือลูก...”
“ครับ...คุณย่าต้องการอะไรหรือเปล่าครับ...”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์เริ่มมารยาประสาคนแก่
“ย่าไม่ต้องการอะไรในโลกนี้ นอกจากหลานรักของย่าคนเดียว!...” แล้วเริ่มจะบีบน้ำตา “ทุกวันนี้ ย่านอนไม่หลับเลยทั้งคุณปู่ของลบกับนังพลับพลึงมันกลั่นแกล้งย่า...เดี๋ยวดึงมือ...เดี๋ยวดึงตีน...วันดีคืนดี ยังมีลากย่าให้ตกเตียง พวกมันทำได้แม้กระทั่งกับคนแก่ เพราะมันถือว่าตัวเองเป็นผี แล้วอย่างนี้ลบคิดดูซิว่า ใครมันจะร้ายกาจผูกพยาบาทอาฆาตมากกว่ากัน”
อดิศวร์นิ่งไป ท่านผู้หญิงเหลือบมอง
“ย่าอยากให้ลบมานอนเป็นเพื่อนย่า ลบจะแต่งงานกับนังพลับพลึง ย่าก็ไม่ว่า แต่ลบต้องมานอนเป็นเพื่อนย่า”
“ผมคงมานอนเป็นเพื่อนคุณย่าไม่ได้หรอกครับ เพราะผมต้องทำงานดึก”
ท่านผู้หญิงแสร้งทำเศร้ายอมรับชะตากรรม “สุดแล้วแต่ลบเถอะลูก เวลาของย่ามันเหลือน้อยเต็มที”
โดยท่านผู้หญิงลอบยิ้มเมื่อเห็นแววตาหลานรักอ่อนลง
เวลายามเย็นดวงอาทิตย์ลอยคล้อยต่ำ ฝูงนกบินกลับรัง อุษานั่งเหม่อมองไปข้างหน้า แววตาดูโดดเดี่ยวอ้างว้าง
สักครู่ วิรงรองจึงเดินเข้ามา
“พี่อุษามาอยู่ที่นี่เอง”
อุษายังคงนั่งเฉย วิเดินมานั่งข้างๆ แล้วเอียงคอมอง
“วิอยากแนะนำอะไรสักอย่าง...พี่อุษาจะเชื่อวิไหมคะ”
อุษายังคงนิ่ง ไม่ไหวติง
“วิว่า พี่อุษากำลังจะเป็นโรคซึมเศร้า”
“พี่อยากตาย” อุษาน้ำตาไหล
“ชีวิตเราทุกคนยังมีค่าค่ะ”
“แต่ชีวิตพี่ไม่มีค่า พี่ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม”
“อยู่เพื่อจะได้มีความสุขสักครั้งไงคะ”
อุษาหันมามองวิรงรองอย่างแปลกใจ
“ถ้าคนที่นี่เขาไม่เห็นค่าของพี่อุษา เราก็ไปอยู่กับคนที่เขาเห็นค่าเราซิคะ”
อุษาเบิกตากว้าง มองวิรงรองเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน
อุษาเปิดประตูเดินเข้าห้องนอนมา แล้วรีบปิดล็อคราวกับกลัวใครจะเห็น เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น อุษามือไม้สั่นยกมือที่ถือโทรศัพท์ขึ้นมาดูเหมือนไม่เคยเห็น ที่หน้าจอ ขึ้นชื่อ พันธ์สูรย์
อุษามองอย่างทำอะไรไม่ถูก
“ประเดี๋ยวจะมีคนโทร.มาหาพี่อุษา พี่อุษาต้องรับนะค่ะ” เสียงวิรงรองที่คุยกันเมื่อครู่ดังก้องขึ้น
อุษาปากคอสั่นพยายามคืน “ไม่ค่ะ พี่ไม่…”
“เอาไปเถอะค่ะ เชื่อวิ”
ภาพวิรงรองเลือนหาย อุษาตัดสินใจรับ
“พะ...พันธุ์สูรย์”
เสียงตอบกลับมาจากพันธุ์สูรย์ “คุณอุษา...ผมต้องพบคุณ”
สีหน้าอุษาดูสับสนไปหมด
บรรยากาศยามค่ำ ละแวกป่าละเมาะ เงียบสงัดทั่วบริเวณ พันธุ์สูรย์รออยู่ด้วยความกระวนกระวาย
สักพัก มีเสียงวิรงรองดังขึ้น “กลับไม่ได้แล้วค่ะ มาถึงแล้ว”
พันธุ์สูรย์มองไปตามเสียง เห็นวิรงรองจูงแกมลากอุษาตรงมา
“พี่เปลี่ยนใจแล้ว” อุษาบอก
“เชื่อวินะคะ”
พันธ์สูรย์รีบเดินตรงไปหา พลางเรียก
“คุณอุษา”
วิรงรองถอนใจเฮือก ขณะที่อุษา ละล้าละลัง
“ขอบคุณที่ไม่ปล่อยให้ผมรอเก้อ ...”
วิรงรองรีบจัดแจง “คุยกันไปก่อนนะคะ! วิจะไปดูต้นทางให้”
“เดี๋ยวค่ะ คุณวิ”
วิรงรองวิ่งปรู๊ดปร๊าดออกไป โดยไม่ฟัง
พันธุ์สูรย์จับมือไว้ แววตาอ่อนโยนรักใคร่ “คุณอุษา”
อุษาหันมามอง ด้วยสีหน้าอัดอั้นตันใจ
ส่วนที่บ้านเจ้าภูไทเวลานั้น ภูไทตกใจจนแทบตกเก้าอี้ หลังจากฟังลานนาพูดจบ
“เฮ้ย ยัยน้อง”
ลานนาหน้างอ “โอ๊ย! พี่ช้าย....ทำเป็นตกอกตกใจไปได้”
“ไม่ตกใจได้ยังไง ทำอะไรไม่ทำ...ดันไปสมคบกันวางแผนพาน้องสาวคุณอดิศวร์หนี โธ่เอ๊ย น้องวิก็น้องวิเถอะ ยิ่งไอ้เจ้าพันธุ์สูรย์ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่...ทำตัวยังกับเป็นวัยรุ่นวุ่นรัก”
“แหม...ม...ก็พวกเราสงสารพี่อุษาที่ถูกกดขี่ข่มเหงนี่ นี่มัน 2013 หรือ 2556 แล้วนะคะ...ทำยังกับพี่อุษาเป็นทาส... ไม่ใช่ญาติ” ลานนาเถียง
“ก็ช่างเขาเป็นไร เขาเป็นพี่น้องลูกหลานกัน...เอ้อ แล้วนี่ถ้าคุณอดิศวร์รู้เข้าจะว่ายังไง”
“อาจจะเอะอะโวยวายไปพักหนึ่งมั้งคะ”
ภูไทลงนั่งกุมขมับ “กลุ้ม”
ลานนาลงนั่งปลอบพี่ “อย่าเพิ่งกลุ้มเลยค่ะ เพราะเรายังไม่รู้ว่าพี่อุษาจะยอมมากับพี่พันธุ์สูรย์หรือเปล่า...พี่อุษาแกเป็นผู้หญิงโบราณ ไม่มีปากไม่มีเสียง...ยอมรับชาตากรรม”
“พี่ก็ภาวนาให้เป็นอย่างนั้น จะได้ไม่มีเรื่อง”
สีหน้าภูไทวิตกกังวลมากๆ
ฟากวิรงรองซึ่งคอยเฝ้าต้นทางอยู่ ค่อยๆ เหลียวหน้าขยับมาแอบมอง เห็นอุษาและพันธุ์สูรย์คุยกันท่าทีเคร่งเครียด
วิรงรองหันกลับมาเฝ้าต้นทางตามเดิม แล้วทรุดตัวลงนั่ง ในที่สุดทั้ง 2 คน เดินมาที่วิรงรองอยู่
วิรงรองมอง 2 คนอย่างกระตือรือร้น “ว่าไงคะ” รีบลุกขึ้น
พันธุ์สูรย์และอุษาหันมามองหน้ากัน พันธุ์สูรย์ยิ้มอ่อนโยน ขณะที่อุษายิ้มทั้งที่น้ำตาคลอๆ
วิรงรองสูดลมหายใจยาว โล่งอก รู้สึกมีความสุขแทนสองคน
ฝนเทสายลงมา “โดมทอง” ทั้งหลังตกอยู่ท่ามกลางเมฆฝน และพายุ วิรงรองและอุษา จูงมือกันวิ่งหนีฝนเข้ามา พลางหัวเราะอย่างแจ่มใส
“หวุดหวิดโดนฝนเลย”
อุษาหันไปมองที่หน้าต่าง ฝนยังตกหนักเห็นผ่านกระจกหน้าต่าง
เสียงอดิศวร์ดังขึ้น “หายไปไหนกันมา”
สองสาวหันขวับไปมองพร้อมกัน เห็นอดิศวร์ยืนมองมา ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
อุษาตกใจจนหน้าซีด ขณะที่วิรงรองสบตาลบใสซื่อ
“ไปเดินเล่นมาค่ะ”
อดิศวร์เลิกคิ้ว “กลางพายุฝนอย่างนี้น่ะหรือ”
“ก็ตอนที่อออกไปยังไม่มีอะไรนี่คะ ท้องฟ้าแจ่มใสดี เอ้อ...วิต้องไปจัดเสื้อผ้าข้าวของละค่ะ”
อดิศวร์มีแววตาตัดพ้อนิดๆ อยู่ในน้ำเสียงและนัยน์ตา “ดูเธอดีใจมากนะ ที่จะได้ไปจากโดมทองเสียที”
อุษาสบโอกาส ค่อยๆ เลี่ยงเดินขึ้นห้องไป
วิรรองสีหน้าขรึมลง “คุณก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
อดิศวร์ก้าวเข้ามาใกล้ “ฉันจะพยายามทำทุกอย่างในโดมทองให้ดีที่สุด...เพื่อรอรับเธอกลับมา”
วิรงรองสบตาอดิศวร์อย่างแน่วแน่ “วิจะรอวันนั้นค่ะ”
สองคนไม่รู้ว่าแสงแขหลบแอบดูจากมุมหนึ่ง เห็นและได้ยินทุกอย่าง
อดิศวร์ดึงร่างวิรงรองมากอดแน่น “วิรงรอง”
วิรงรองซบอกอดิศวร์ ท่าทางของทั้ง 2 มีความรักต่อกันลึกซึ้ง
“ยังมีอีกวิธี...”
“อะไรหรือคะ”
“ฉันจะซื้อบ้านใหม่ในเมือง...เราแต่งงานกันแล้วไปอยู่ที่นั่น”
แสงแขขบกรามแน่น
วิรงรองเงยหน้ามอง “คุณอดิศวร์ก็ต้องไป ๆ มาๆ”
“ไม่เป็นไร”
วิรงรองทอดถอนใจ “วิรู้ว่าคุณอดิศวร์รักโดมทองมาก”
“ใช่...แต่ก็ไม่ได้รักมากไปกว่าเธอ “โดมทอง” เป็นเพียงสิ่งก่อสร้าง ส่วนเธอมีชีวิตจิตใจ ถ้าหากจะต้องเลือก...ฉันขอเลือกใช้ชีวิตอยู่กับเธอ...ไม่ใช่สิ่งก่อสร้าง ที่เต็มไปด้วยความรักความหลัง ความอาฆาตแค้นพยาบาท”
แสงแขนิ่งฟัง นัยน์ตาเป็นประกายวาวโรจน์
แทบจะทันทีที่ได้ฟังความที่แสงแขมาฟ้อง ท่านผู้หญิงแผดเสียงเหมือนตะโกนดังแข่งพายุฝนฟ้าคะนองภายนอก ออกมาด้วยความแค้นสุดๆ
“เจ้าลบมันกล้าพูดอย่างนั้นเชียวเรอะ”
แสงแขน้ำตาไหลด้วยความเจ็บแค้นแล้วผิดหวัง
“ค่ะ...แขฟังแล้วเสียใจแทนคุณย่า...เสียใจให้กับตัวเองและเสียใจแทน “โดมทอง”
“ไม่ ฉันไม่มีวันยอมให้นังนั่นพรากตาลบไปจาก “โดมทอง” เด็ดขาด นอกเสียจากว่า ฉันไม่มีชีวิตอยู่นั่นแหละ”
“อุ๊ย ถึงตายไปแล้วก็อย่ายอมนะคะ” แสงแขบอก
“แกจะให้ฉันให้ผีเฝ้า “โดมทอง” เรอะ”
“แล้วคุณย่าจะยอมแพ้หรือคะ”
ท่านผู้หญิงนิ่งไป นัยน์ตาเป็นประกายวาว
แสงแขรีบยุต่อ “แขจะช่วยคุณย่าค่ะ เราจะร่วมมือกันอีกครั้งเพื่อไม่ให้คุณลบต้องไปจากโดมทอง”
ฝนฟ้าตกหนัก มองผ่านหน้าต่างห้องอุษาออกไป เงากิ่งไม้ใหญ่วูบวาบน่ากลัว อุษากำลังจัดเสื้อผ้าลงกระเป๋าโดยเปิดเพียงโคมไฟข้างเตียง มือที่จัดของค่อยๆช้าลงจนหยุด
อุษาน้ำตาไหลด้วยความรู้สึกหลายอย่างปนเปกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาลัยอาวรณ์ บ้านที่เคยอยู่มาแต่เล็กแต่น้อย ความกังวลที่ต้องเปลี่ยนสถานที่ใหม่โดยที่ไม่รู้ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป
ปรางรู้เรื่องจากลูกก็ตกใจมาก
“ตายจริง แม่หนูรู้ตัวหรือเปล่าว่าทำอะไรลงไป”
“ทราบค่ะ แล้วหนูก็ไตร่ตรองรอบคอบแล้ว หนูจะปล่อยให้ชีวิตนี่อุษาต้องเหี่ยวแห้งอับเฉาตายไปอย่างไร้คุณค่าไม่ได้”
“ก็คนเขาเคยชินอย่างนั้นมาตั้งแต่เกิด”
“นั่นเพราะเขาเลือกไม่ได้ ถ้าเลือกได้ เป็นใคร...ใครก็คงไม่เลือก หนูคนหนึ่งแหละค่ะ”
“แล้วหนูไม่กลัวคุณอดิศวร์จะโกรธหรือ”
“เขาต้องมีเหตุผล ...หนูเชื่อว่าเขาต้องมีเหตุผล”
ปรางมองลูกพลางส่ายหน้า
ดวงจันทร์บนท้องฟ้าเหนือโมทอง ลอยคล้อยผ่านเข้าไปในก้อนเมฆฝนสีเทาเหนือโดมทอง ฝนฟ้ายังไม่หายคะนองดี อุไรเดินถือไฟฉายจะมานอนกับท่านผู้หญิง
ผีนางพิศนั่งอยู่หน้าห้อง หันหลังให้ อุไรชะงักมอง
พิศค่อยๆ ผินหน้ากลับมาช้าๆ ใบหน้าซ่อนอยู่ในความมืดครึ่งหนึ่ง
อุไรยกมือไหว้ “คุณป้ามาหาท่านผู้หญิงหรือคะ”
พิศพยักหน้าช้าๆ อุไรฉายไฟไปที่พิศพลางพึมพำตามประสา แต่ประโยคต่อไปเสียงดัง
“เดี๋ยวหนูจะเข้าไปกราบเรียนท่านให้นะคะ”
พิศเบือนหน้ากลับไป
อุไรเดินไปที่ประตู พลางบ่น “เข้ามาได้ยังไง” แล้วพอหันไปมองอีกต้องสะดุ้ง
เมื่อตรงนั้นว่างเปล่า ผีนางพิศหายไปแล้ว
“นึกแล้วเชียวว่า เคยเห็นที่ไหน”
อุไรมือไม้สั่นเปิดประตูไม่ได้ครู่หนึ่ง แล้วจึงรีบเข้าไปเมื่อเปิดได้
อุไรรีบเปิดประตูอย่างรวดเร็วแล้วกระโจนขึ้นที่นอนคลุมโปง เสียงท่านผู้หญิงดังขึ้น
“ถูกผีหลอกมาเรอะ”
“เจ้าค่ะ”
อุไรชะงัก เปิดผ้าคลุมโปงออก
“ท่านผู้หญิงทราบได้ยังไงคะ”
ท่านผู้หญิงหัวเราะเสียงต่ำๆ “นังพิศมันเป็นห่วงข้า มันยังทิ้งข้าไปไม่ได้”
อุไรค่อยๆ ดึงผ้าคลุมโปงลงตามเดิม
“ไอ้อีพวกนั้นมันยังไม่ยอมไปผุดไปเกิด! มันจะรอข้า”
สีหน้าอุไรใต้ผ้าห่ม จะร้องไห้เสียให้ได้
“ให้มันรอไปเถอะ! ข้าไม่ไปเสียอย่าง”
สีหน้าหญิงชราขณะพูดทั้งเย้ยทั้งหยัน
ภายนอก ฝนฟ้าคะนองอยู่อยบ่างนั้น ส่วนภายในห้อง เงาไม้แกว่งไกวที่หน้าต่าง ด้วยพายุลมฝน
ฝ่ายท่านผู้หญิงนอนตะแคงมองออกไปนอกหน้าต่าง ยังเห็นเงาไม้แกว่งไกวท่ามกลางสายฝน
ใบหน้าท่านผู้หญิง นัยน์ตาเป็นประกายวาววับ
สักพักหนึ่ง มีเสียงดนตรีโหยหวนค่อยๆ ดังขึ้น ท่านผู้หญิงนิ่วหน้า ค่อยๆ เบือนหน้ากลับมา เห็นวงมโหรีกำลังบรรเลงเพลงนางครวญ อยู่ในห้องนั่นเอง
ท่านผู้หญิงผุดลุกขึ้นนั่ง มองอย่างโกรธแค้นเกลียดชัง
“อ้อ..ยังไม่ไปผุดไปเกิดอีกเรอะ...ไอ้พวกหน้าโง่”
ใบหน้านักดนตรีเขียวคล้ำไร้ชีวิตจิตใจ ทอดสายตามาที่ท่านเป็นจุดเดียว
“ไสหัวไป๊”
อุไรตกใจตื่นค่อยๆ แง้มผ้าห่มดู เห็นกลุ่มนักดนตรีกำลังเล่นเพลงโหยหวน ด้วยใบหน้าไร้ชีวิตจิตใจ อย่างยากที่จะบรรยาย
“มะ...มะ...มะ...มาจากไหนอีกล่ะ” อุไรตาเหลือก
“ไป๊! ไอ้พวกวงป่าช้าแตก” ท่านผู้หญิงตะโกนไล่เสียงดังลั่น
แต่ละคนยังคงเล่นเพลงในอิริยาบถเดิม อุไรค่อยๆแง้มผ้าห่มมองทางท่าน
“ฉันยังไม่ตายง่ายๆ หรอก ไปบอกไอ้อีนายพวกเอ็งว่า ข้ายังไม่ตายง่ายๆ ไสหัวไปจากบ้านข้าไป๊”
ผีทุกตนค่อยๆ กลายเป็นโครงกระดูกเล่นดนตรี
“ออกไป๊! ไอ้พวกสัมภเวสี ออกไป๊! นังพิศ! มาไล่พวกมันออกไปที! นังพิศ”
โครงกระดูกแต่ละโครงอ้าปากราวกับจะหัวเราะ แต่ไม่มีเสียง ท่านผู้หญิงยกมือกุมหัวกรีดเสียงร้องลั่น อุไรพลอยกรี๊ดไปด้วย เสียงกรีดร้องดังปนกับเสียงพายุฝนฟ้าคะนอง กลืนกันไป
กลางดึกคืนนั้นภูไท และ ลานนา เดินกระสับกระส่ายไปมารอพันธุ์สูรย์ที่ไปรับอุษา
“เมื่อไหร่จะมาสักที! หรือว่า พี่อุษาเปลี่ยนใจ”
“ไม่น่าวอนหาเรื่องกันเล้ย” ภูไทบ่น
บัวคำเดินออกมาดู สีหน้าตื่นเต้น
“ยังไม่มากันอีกหรือคะ”
ภูไทดุ “บัว ไม่ใช่เรื่องของเรา”
“งั้นเปลี่ยนเรื่องใหม่ก็ได้ค่ะ...ข้าวต้มปลาเก๋าสุกหอมน่ารับประทานเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ใครสั่งให้ทำ”
“บัวทำเสนอเองค่ะ”
ลานนามองไปด้านนอก สีหน้าโล่งใจ “มากันแล้ว”
พันธุ์สูรย์ขับรถเข้ามาจอด แล้ว 2 คน ลงมา โดยพันธุ์สูรย์หิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าอุษา ทั้งคู่วิ่งลงจากรถด้วยฝนตกหนัก
“เข้าไปข้างในก่อน” ภูไทบอก
ทั้งหมดเข้าข้างใน
ทุกคนเข้ามาภายในบ้าน
“พี่อุษาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไหมคะ เดี๋ยวจะเป็นหวัด” ลานนาบอก
“ไม่เป็นไรค่ะ...เปียกนิดหน่อยเอง”
“รับประทานข้าวต้มหน่อยนะคะ” บัวคำสอดขึ้น
ภูไทหันมามองดุบัวคำหน้าเจื่อนไป
“ขอประทานโทษค่ะ...บัวเป็นโรคห่วงเรื่องปากเรื่องท้อง”
“ผมจะพาคุณอุษาไปที่บ้านพักก่อนนะครับ...พรุ่งนี้ถึงขยับขยายไปคอนโดที่ซื้อเอาไว้” พันธุ์สูรย์บอก
“นายไปได้...แต่ให้คุณอุษาอยู่ที่นี่...ลานนา...พาคุณอุษาขึ้นไปก่อน”
“ค่ะ! เชิญค่ะ...พี่อุษา”
อุษาเหลือบมองพันธุ์สูรย์แว่บหนึ่ง แล้วตามลานนาไป...บัวคำรับกระเป๋าอุษามาจากพันธุ์สูรย์แล้วยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แทนที่จะตามไป ภูไทดุเอา
“บัว! ยืนยิ้มอยู่นั่นแหละ! เอากระเป๋าคุณอุษาตามไป”
“ค่ะ...มัวแต่ปลาบปลื้ม แล้วคุณพันธุ์สูรย์จะรับประทานข้าวต้มปลาเก๋า”
“บัว”
“ไปเดี๋ยวนี้ละค่ะ” บัวคำออกไป
“นั่งซิ! พันธุ์สูรย์”
พันธุ์สูรย์นั่งลง
“คุณอุษาจะอยู่กับนายไม่ได้ จนกว่าจะแต่งงานกันให้ถูกต้องตามประเพณี”
พันธุ์สูรย์ก้มหน้าลงอย่างเข้าใจ
“ฉันรู้ว่านายเป็นสุภาพบุรุษพอ!..แต่ฉันจะไม่ยอมให้คุณอดิศวร์มาว่าได้! เพราะแค่นี้มันก็หนักพออยู่แล้ว”
“ผมเข้าใจครับ...แล้วก็ต้องขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องมาลำบากใจไปด้วย”
ภูไทถอนใจ “มันเลยเรื่องนั้นไปแล้ว! ที่ต้องมาคิดกันคือเราจะรับมือคุณอดิศวร์อย่างไรดี”
สีหน้าภูไทยามนี้ออกจะหนักใจลึกๆ
เวลาเดียวกัน ที่โดมทอง ฟ้าฝนซาลงมากแล้ว เหลือแต่ฝนปรอยๆ ฟ้าแลบแปลบปลาบไกลๆ ปรางเบือนหน้าไปมองวิรงรอง ซึ่งยังคงยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง
“ป่านนี้ขาไปถึงบ้านเจ้าภูไท แล้วละลูก”
วิรงรองถอนใจแล้วหันกลับมา เสียงสัญญาณส่งข้อความดังขึ้น วิรงรองรีบเดินมาเปิดโทรศัพท์ดู
ที่หน้าจอปรากฏข้อความ “ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ลานนา”
วิรงรองถอนใจโล่ง วางโทรศัพท์ลง
“ลานนาส่งข่าวมาบอกว่า สองคนนั้นไปถึงเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“นั่นมันเป็นแค่เริ่มต้น! ยังมีเรื่องยุ่งยากรออยู่ข้างหน้าอีกเยอะ”
วิรงรองเดินมากอดแม่ ซึ่งสีหน้ากังวล กราบที่ตัก
“หนูกราบขอโทษค่ะ ที่พาคุณเข้ามาพัวพันกับเรื่องยุ่งๆนี่ด้วย”
ปรางลูบผมลูก “จะทำยังได้ล่ะ! เรามันแม่ลูกกันนี่”
วิรงรองกอดแม่ด้วยความตื้นตันใจ
ยามเช้าในอาณาเขตโดมทอง บรรยากาศขมุกขมัว อุไรรีบเดินที่หน้าห้องอุษา แล้วเคาะประตูเรียก
“คุณอุษาค่ะ คุณอุษา”
เงียบสนิท ราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตในนั้น
อุไรเสียงดังขึ้น “คุณอุษาตื่นหรือยังคะ”
เงียบอีก
อุไรสีหน้าเอะใจ เอื้อมมือไปเปิดประตู ลูกบิดประตูเปิดออกอย่างง่ายดาย อุไรค่อยๆ ก้าวเข้าไปแล้วกวาดตามองด้วยความตกใจ
ภายในห้องข้าวของอุษาที่เคยวางอยู่หายไปหมด เตียงมีผ้าคลุมเรียบร้อย
อุไรพึมพำ “คุณอุษา”
อุไรเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าแล้วเปิดออกดู พบว่าภายในตู้ว่างเปล่า อุไรน้ำตาไหลออกมา
อุไรรีบมาหาวิรงรองทันที หญิงสาวได้แต่ปลอบใจ
“ไม่ต้องห่วงพี่อุษาหรอก”
อุไรสะดุ้ง “คุณ คุณวิทราบหรือค่ะ ว่า คุณอุษาอยู่ที่ไหน”
“ป้าอุไรรู้แค่ว่าไม่ต้องเป็นห่วงเท่านั้นพอ”
“ลงไปกันเถอะ แม่หนู” ปรางแทรกขึ้น
“ค่ะ”
อุไรร้องไห้โฮเมื่อเห็นทั้งสองหอบกระเป๋าเดินทาง
วิรงรองกะปรางถามพร้อมกัน “เป็นอะไรน่ะ”
“ก็คุณวิจะไปแล้วนะซิคะ! คุณอุษาก็หายไปไหนไม่รู้! เหลือแต่อุไรคนเดียวกระเทียมลีบอยู่ท่ามกลางคนเจ้าอารมณ์กับผี! เมื่อคืนก็มาเป็นชุดเลย”
“ใครมา” วิรงรองถาม
“ผีค่ะ! มานั่งหน้าเขียวบรรเลงดนตรีไทยปี่พาทย์เป็นแถว”
“เหลวไหล” ปรางไม่เชื่อ
“เรื่องจริงค่ะ ท่านผู้หญิงท่านยังเรียกว่า “วงป่าช้าแตก” เลย”
วิรงรองนิ่ง นึกถึงวงดนตรีที่ตนเคยเห็น
“มีอะไร หรือแม่หนู” ปรางฉงน
“ลงไปข้างล่างกันเถอะค่ะ”
สองคนลากกระเป๋าออกไป อุไรร้องไห้เดินตาม
อดิศวร์ยืนหันหลังอยู่ในห้องทำงาน แล้วจึงหันหน้ากลับมา เมื่อวิรงรองเดินเข้ามาแล้วยกมือไหว้
“วิมาลาค่ะ”
“ฉันไม่ไปส่งนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ทั้งสองคนนิ่งอึ้งกันไป แล้วอดิศวร์หันหน้ากลับไปมองหน้าต่างตามเดิม วิรงรองลังเลครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจพูด
“เอ้อ...คุณอดิศวร์คะ”
อดิศวร์ยังไม่หันมา “หือ...”
“วิ...วิ...ขอสารภาพบางอย่างกับคุณอดิศวร์ แล้วคุณอดิศวร์อย่าโกรธวินะคะ”
อดิศวร์หันมามองรอฟังอย่างแปลกใจ
“วิคือ...เอ้อ”
มีเสียงเคาะประตูดังขัดขึ้นก่อน
ตามด้วยเสียงอุไร “คุณวิค่ะ รถมารอแล้วค่ะ”
วิรงรองถอนใจ “วิไปก่อนนะคะ...แล้วจะรีบติดต่อมา” พลางหันหลังเดินไปที่ประตู
“เดี๋ยว วิรงรอง”
วิรงรองหันกลับมา อดิศวร์เดินมา หญิงสาวผวาเข้าหาอ้อมแขนเขาทันที
สีหน้าของอดิศวร์ ศิโรดม เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ ส่วนสีหน้าวิรงรองเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
รถแล่นมาตามทาง มุ่งหน้าสู่คุ้มภูไท
ภายในรถที่เบาะด้านหลัง วิรงรองนั่งจับมือกับปรางตลอดเวลา ด้วยสีหน้ากังวลหนัก ปรางบีบมือลูกเบาๆเหมือนจะปลอบใจ และเอียงหน้ามาพูดเบาๆ
“ในเมื่อตัดสินใจทำไปแล้ว...ก็อย่าไปกังวล...ค่อยๆแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไป”
วิรงรองบีบมือแม่เบาๆ ตอบ “ค่ะ...หนูจะจำไว้” ประโยคต่อไปบอกเสียงเบา “ไปบ้านเจ้าภูไทนะจ๊ะ”
“ครับ”
วิรงรองเอนตัวพิงพนักแล้วถอนใจยาว
ฝ่ายท่านผู้หญิงกำลังตักโจ๊กกินด้วยสีหน้าท่าทางดูออกว่าไม่อร่อยนัก อุไรคอยรับใช้ โดยอดเหลือบเหลียวมองซ้ายมองขวา หน้า หลัง ไม่ได้
ท่านผู้หญิงสังเกตเงียบๆ “แกเป็นอะไรของแกฮึ! นังอุไร”
อุไรยิ้มแห้งๆ “อุไร กะ...กะ...กลัว...กลัวแบบ...แบบว่า เมื่อคืนน่ะค่ะ”
“ไอ้วงดนตรีป่าช้าแตกนั่นน่ะเรอะ”
“นั่น...นั่นแหละค่ะ”
“ไม่ต้องไปกลัวมัน ไอ้อีผีพวกนั้น มันทำอะไรใครไม่ได้หรอกนอกจากทำหน้าเขียวหน้าเน่าให้คนกลัวเท่านั้น”
“แต่...แต่เมื่อคืนท่านก็ร้อง...ร้องลั่นบ้าน”
“นังอุไร”
อุไรหุบปากเงียบ
ท่านผู้หญิงผลักชามข้าวต้มไป “เก็บไปได้แล้ว ไปตามคุณลบมาพบฉันด้วย”
“ท่านผู้หญิงไม่รับประทานให้หมดหรือคะ”
“ไม่ต้องมาสาระแน”
“ค่ะ”
อุไรเก็บถาดนั้นเดินออกไป ยินเสียงท่านผู้หญิงบ่น
“นังอุษาก็อวดดี! ดุนิดด่าหน่อยก็หายหัวไปเลย”
ด้านลบนั่งทำงานอยู่อย่างไม่มีสมาธินัก เสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้น
“ใคร”
เสียงอุไรดังเข้ามา “อุไรค่ะ ท่านผู้หญิงให้มาตามคุณลบค่ะ”
“เดี๋ยวไป”
อดิศวร์ตะโกนบอก พลางถอนใจ แล้วปิดคอมพ์ เดินออกไป
ไม่นานต่อมาอดิศวร์เดินเข้ามาภายในห้องย่า มาหยุดลงนั่งที่ข้างเตียง
“ลบ...ลบรู้ไหมว่าเมื่อคืนไอ้พวกวงป่าช้าแตกมันมาหลอกย่า…ย่าบอกแล้วว่าให้ลบมานอนเป็นเพื่อนย่า...แต่ลบก็ไม่มา”
“อุไรก็นอนเป็นเพื่อนคุณย่าแล้วไงครับ! หรือจะให้อุษามาอีกคน”
“ไม่! ย่าเกลียดนังอุษา! มันใจง่าย ส่วนนังอุไรมันกลัวผียิ่งกว่าย่าอีก”
“ผมเรียนคุณย่าแล้วว่าผมมีงานต้องทำดึกๆ”
“เอามาทำในนี้ก็ได้”
อดิศวร์เปลี่ยนเรื่อง “เช้านี้...คุณย่าทานข้าวได้หรือเปล่าครับ”
มีเสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้น แล้วแสงแขก็เข้ามาหน้าตาตื่นเต้นดีใจ แต่พอเห็นอดิศวร์ก็รีบหุบยิ้มทันที
“เข้ามาทำไม ย่าหลานเขาจะคุยกัน”
“แขเข้ามาคอยปรนนิบัติคุณย่าคะ”
อดิศวร์ขยับตัว “แสงแขมาแล้ว...ผมไปทำงานต่อนะครับ”
ท่านผู้หญิงหันมาด่าแสงแขอีก “เห็นมั้ย...นังแสงแข...แกมันสาระแนเสียจนหลานฉันจะไปแล้ว”
“ผมจะรีบทำงานให้เสร็จ แล้วเย็นนี้จะได้เข็นรถพาคุณย่าเดินเล่นไงครับ”
“สัญญากับย่าแล้ว อย่าลืมนะ”
“ครับ...” อดิศวร์สวมกอดย่าแล้วลุกเดินออกไป
ท่านผู้หญิงเหลียวขวับมาเล่นงานแสงแขทันที “นังแสงแข”
“อย่าเพิ่งด่าค่ะ! แขจะมาบอกว่า นังวิรงรองมันไปแล้ว”
หญิงชราเบิกตากว้าง คาดไม่ถึง แล้วหัวเราะออกมาอย่างชอบอกชอบใจ แสงแขผสมเสียงหัวเราะด้วย
กลางดึกคืนนั้นท่านผู้หญิงนอนหลับอยู่บนเตียง ขณะที่ด้านนอกฝนยังคงโปรยสายอยู่ อุไรนอนห่างออกไป
จู่ๆ เหมือนมีใครเข้ามาในห้อง บรรยากาศดูวังเวง และน่ากลัว
“ใคร...ใครน่ะ” ท่านผู้หญิงสรรักษ์ถามทั้งที่ยังหลับตา
เสียงท่านเจ้าคุณดังแผ่วๆ แหบโหย ขึ้นมา “แม่มณฑา... แม่มณฑา”
ท่านผู้หญิงพึมพำ “คุณพี่”
“แม่มณฑา”
ท่านผู้หญิงค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงเหมือนถูกสะกด
“แม่มณฑา”
ท่านผู้หญิงเดินเหมือนคนเลื่อนลอยไปที่ประตู พร้อมๆ กับประตูเปิดออกช้าๆ ท่านผู้หญิงเดินออกไป
ประตูปิดลง โดยที่อุไรยังคงนอนไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ฟ้าแลบแปลบปลาบแล้วตามด้วยฟ้าผ่าเปรี้ยง กลางสายฝน แสงสว่างวาบกระทบกระจกหน้าต่าง
ในแสงแปลบปลาบนั้น ทำให้เห็นท่านผู้หญิงเดินมาอย่างเลื่อนลอย ที่หน้าบันไดเวียน
เสียงท่านเจ้าคุณเรียก “แม่มณฑา”
ท่านผู้หญิงเดินผ่านประตูเหล็ก ซึ่งเปิดออกช้าๆ ขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ
ฝนฟ้าด้านนอกคะนองน่ากลัว ท่านผู้หญิงเดินขึ้นไปเรื่อยๆ จนสูงพอสมควร ร่างท่านเจ้าคุณ และ พลับพลึงปรากฏขึ้นตรงหน้าทันทีทันใด ด้วยใบหน้าบึ้งตึงซีดเซียว ไร้ชีวิตชีวา แลดูน่ากลัวมาก
ท่านผู้หญิงกรีดร้องลั่นด้วยความตกใจ ผงะหงายหลังกลิ้งตกบันได ลงมานอนบนพื้นข้างล่าง เลือดค่อยๆ ไหลนองออกมา ดวงตาเบิกโพลงเหมือนกำลัง เห็นอะไรที่น่ากลัวที่สุดๆ
ท่านเจ้าคุณ พลับพลึง และบรรดานักดนตรีวงมโหรีกำลังก้มลงจ้องมองมา
ท่านผู้หญิงสรรักษ์หมดลมหายใจทั้งๆ ที่นัยน์ตายังเบิกโพลง
อ่านต่อตอนที่ 18 (อวสาน)