วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 17
จ้าวซันรินน้ำชาใส่แก้วแล้วยกให้ไทไท
“แม่หนูคนนั้นอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ”
“คงอยู่ที่ตึกซิวเทียนมั้งครับ”
“แน่ใจ”
“หรือไม่ก็ห้องผิงอัน”
“แน่ใจ” จ้าวซันเริ่มสงสัยว่าไทไทกำลังจะบอกอะไรหรือเปล่า “ดูแลเขาไว้ให้ดีๆ อย่าปล่อยเจ้าหญิงคนนี้ให้ห่างตัว เขาเป็นดาวคุ้มครองเจ้า”
“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“อาซัน เรื่องอื่นลูกจะไม่เชื่อแม่ไม่เป็นไร แต่เรื่องนี้ไม่ได้”
สายตาไทไทจ้องมองมาที่จ้าวซันอย่างดุดันและจริงจัง
จ้าวซันเดินออกมาจากห้องไทไทแล้วเดินไปออกตามทาง จ้าวซันเดินผ่านสวนออกจากตึกหนึ่งไปยังอีกตึกหนึ่งพร้อมกับนึกถึงคำพูดของไทไท
“ลูกหลานตระกูลจ้าวทุกคนต่างโดนคำสาปให้มีอันเป็นไป ใครจะรุ่งเรืองได้ก็ต้องไปอยู่ที่อื่น มาจากที่อื่น ไม่ใช่บนเกาะนี้”
จ้าวซันเดินไปเคาะประตูห้องรับรองดู ไม่มีเสียงตอบ
“ม่านฟ้า ม่านฟ้า อยู่หรือเปล่า” จ้าวซันเปิดประตูออกดูเห็นกระเป๋ายังอยู่ “อยู่ไม่ติดที่จริงๆ เลย ไปหลบอยู่ห้องไหนล่ะทีนี้”
จ้าวซันเดินเข้าออกตามห้องต่างๆ ห้องนั่งเล่น ห้องครัว
“บราลีเขาเกิดวันเดียวกับเต้ ดวงเขาจะมาค้ำจุนบ้านเรา เปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดี”
จ้าวซันนึกถึงคำพูดไทไทขณะเดินผ่านสวนกลับไปที่ตึกของผิงอัน จ้าวซันเคาะประตูห้องผิงอัน ผิงอันเปิดประตูออกมาหน้าตางัวเงีย
“พี่ใหญ่”
“บราลีมาที่นี่ใช่ไหม”
“อืมม”
“ไปนอนเถอะ แค่มาถามดูให้แน่ใจเท่านั้น”
จ้าวซันลูบหัวผิงอันด้วยความเอ็นดู แล้วหันหลังเดินจากไป ผิงอันปิดประตู แค่นึกขึ้นได้ เปิดประตูออกมาอีกทีแล้วตะโกนบอกจ้าวซัน
“แต่พี่บรีเขากลับไปได้สักพักแล้วนะ”
จ้าวซันหันกลับมา
“อะไรนะ” จ้าวซันออกเดินจ้ำตามหาบราลีทั่วบ้านด้วยความร้อนรน “งอนไปอยู่ที่ไหนของเขาอีกนะ”
“หน้าที่ของเจ้าคือพาเขากลับมา อย่าให้ช้าเกินไป ตระกูลจ้าวจะไม่เหลือใคร เต้จะนอนตายตาไม่หลับ”
เสียงของไทไทดังอยู่ในความคิดของจ้าวซัน
เหม่ยอิงนั่งจิบชาอยู่คนเดียวแถวลายไควฟงในฮ่องกงยามค่ำคืน สักพักเกาเฟยเดินเข้ามา
“ได้ข่าวว่าไงบ้าง มีใครเจอไอ้เต๋อเป่าบ้างไหม” เกาเฟยส่ายหน้ากลุ้มใจ “เป็นไปได้ยังไง”
“ผมส่งคนไปค้นทุกที่แล้ว ทั้งบ้านมัน บ้านญาติ ไม่มีใครเห็นร่องรอยมันเลย”
“หาต่อไป ลากตัวมันมาให้ได้ หรือไม่ก็เก็บซะ เราไม่น่าประมาทเลย”
“ผมว่าเรื่องนี้มันเริ่มมีกลิ่นไม่ดีแล้ว” เหม่ยอิงเครียด ยกชาขึ้นซด “คุณหนู หนีไปด้วยกันเถอะ หนีไปตอนนี้ยังทัน”
“จะบ้าเหรอ แกจะหนีไปไหน”
“กลับบ้านผมที่เวียดนาม”
“ถ้าแกกลัวนักล่ะก็ เชิญแกหนีกลับไปคนเดียวแล้วกัน ชั้นไม่หนีใครทั้งนั้น” เหม่ยอิงลุกขึ้นวางเงินไว้บนโต๊ะ “แกขี้ขลาดกว่าที่ฉันคิดอีกนะ”
เหม่ยอิงเดินออกจากร้านไปไม่สนใจ เกาเฟยหน้าเครียด กลุ้มใจ
บ้านสี่ฤดูเปิดไฟไว้สว่างโร่ จ้าวซัน ผิงอัน อาม่า มารวมตัวกันอยู่ที่ห้องรับแขกบ้านใหญ่
“หาดูดีแล้วใช่ไหม” ผิงอัน กับอาม่าพยักหน้า “ก่อนออกจากห้องไป บราลีเขาว่ายังไงบ้างหรือเปล่า”
“ก็ เปล่านี่ค่ะ เห็นบ่นแต่ว่าง่วง จะขอไปนอนก่อน”
อากงเดินเข้ามา
“หาทั่วตึกแล้วครับ ไม่เจอเลย”
อาหลี่เดินเข้ามาสมทบ
“ข้างนอกก็ไม่มีครับ”
“หรือว่าจะออกไปข้างนอก ฉันหมายถึงในเมือง”
“ไม่น่านะอาม่า ดึกแล้วจะออกไปได้ยังไง รถก็ไม่มี”
“แต่มีสภีมะมนตรีทำได้ครับ” อาหลี่บอก
“ทุกคนไปนอนเถอะ ปล่อยเขา โตแล้ว อยากจะทำอะไรก็ทำ”
จ้าวซันพูดจบก็เดินออกไปจากห้องทันที
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่บ้านหลินจื้อเหม่ย หลินจื้อเหม่ยกำลังนับเวลาถอยหลังรอบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสุก
“สิบ เก้า แปด...”
ทันใดนั้นก็มีเสียงออดดังขึ้น
“อี๊ ใครมาไปเปิดประตูซิ ฉันไม่ว่าง”
หลานที่นั่งดูที่วีอยู่บอก หลินจื้อเหม่ยเดินถือถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปออกไปดู
“ใครเป็นน้าใครเป็นหลานกันแน่วะ” หลินจื้อเหม่ยกำลังไขประตูบ้านออกไป
“มาไม่รู้จักเวล่ำเวลาเลย ดึกดื่นป่านนี้แล้ว ไม่เกรงอกเกรง...”
หลินจื้อเหม่ยเงยหน้าขึ้นมาดู เห็นเป็นบราลีก็ตกใจ ชะงัก หลินจื้อเหม่ยเปลี่ยนใจ ปิดประตูแล้วกลับเข้าไป ไม่สนใจ
“เดี๋ยวก่อน จื้อเหม่ย”
“ขอโทษนะ เรารู้จักกันด้วยเหรอ” หลินจื้อเหม่ยพูดโดยไม่หันไปมอง
“จื้อเหม่ย ฉัน...ฉันขอโทษ”
หลินจื้อเหม่ยหันกลับไป
“ขอโทษทำไม ฉันมันก็แค่เพื่อนที่คบเธอเพื่อหวังผลประโยชน์ อยากได้เงินอย่างจากคุณชายจ้าวซันอย่างที่เธอว่านั่นแหละ”
หลินจื้อเหม่ย หันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้าน
“จื้อเหม่ย ฉันผิดไปแล้ว เรากลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมเถอะนะ ฉันไม่มีใครแล้วจริงๆ ฉันคิดถึงเธอนะจื้อเหม่ย คิดถึงจริงๆ”
บราลีซึมลงไป เหมือนจะร้องไห้น้ำตาคลอ หลินจื้อเหม่ยแอบหันไปมองด้วยหางตา เริ่มใจอ่อน
“งั้นก็รออยู่ตรงนี้แหละ” หลินจื้อเหม่ยเดินเปิดประตูเข้าไปในบ้าน ทิ้งให้บราลียืนงงอยู่สักพัก แล้วหลินจื้อเหม่ยเปิดประตูออกมาอีกครั้ง “ขอฉันจัดการบะหมี่ถ้วยนี้ให้หมดก่อนแล้วกันนะ”
หลินจื้อเหม่ยปิดประตูกลับเข้าไปในบ้านอีกที
“นี่ แกล้งกันนี่หน่า จื้อเหม่ยออกมาเดี๋ยวนี้นะ ออกไปหาอะไรกินกัน จื้อเหม่ยๆ”
บราลีหันไปกดออดรัวๆ หลินจื้อเหม่ยรีบออกมา
“ทำอะไรน่ะ จะบ้าเหรอ เดี๋ยวฉันก็โดนดุหรอก”
“นี่ทำอะไรของอี๊น่ะ รีบไปเปิดประตูสิ”
หลานสั่งโดยไม่ละสายตาจากทีวี
บราลีและหลินจื้อเหม่ยเดินเข้าไปในลิฟต์ ประตูลิฟต์เปิดออกกลายเป็นผับหรู มีเสียงเพลงดัง ผู้คนกินดื่มกันอย่างสนุกสนาน มีบางกลุ่มยืนเต้นกันอยู่เบาๆ
“นี่ฉันไม่ได้มาในที่อโคจรแบบนี้นานเท่าไหร่แล้วนะ”
“ฉันก็เหมือนกัน” ทั้งคู่เดินไปหาที่นั่งในมุมเงียบๆ “ดื่มอะไรดี ฉันเลี้ยงเอง”
“แหงล่ะ ก็เธอชวนฉันออกมาเองนี่” บราลีกวักมือเรียกพนักงานมา จิ้มเครื่องดื่มในเมนู “ออกมาแบบนี้ คุณชายไม่รู้ล่ะสิ”
“อย่าเอ่ยถึงคุณชายของเธอให้ฉันได้ยินอีกนะ กำลังสนุกเลย เสียอารมณ์หมด”
“เธอสองคนนี่ยังเหมือนเดิมเลยนะ”
“อะไร เหมือนเดิมยังไง”
“เดี๋ยวชายจ้าวซันก็หาเธอจนเจอ แล้วก็ตามมาที่นี่ แล้วก็กลับไปด้วยกัน ปล่อยให้ฉันกลับบ้านคนเดียวเหมือนทุกที”
“ไม่มีทาง เขาเกลียดขี้หน้าฉันจะตาย ทางที่ดีฉันหนีไปให้พ้นๆ หน้าเขาดีกว่า” บราลีมองหาพนักงานในร้าน
“ช้าจังเลย ยังไม่มาอีก ออกไปเต้นรำกันดีกว่า”
บราลีลุกขึ้นไป หลินจื้อเหม่ยลุกตาม แต่อดไม่ได้ที่จะลอบมองบราลีด้วยความเป็นห่วง
ที่บ้านสี่ฤดู จ้าวซันกำลังจะเดินออกจากห้องไป
“เดี๋ยวก่อนพี่ชายใหญ่” ผิงอันเรียก จ้าวซันหันกลับมา “หนูว่าเอารถออกตามพี่บรีดีกว่า”
“จริงด้วยครับคุณชาย” อาหลี่เห็นด้วยกับผิงอัน
“เดี๋ยวหนูขอไปเปลี่ยนชุดก่อนแล้วจะออกไปด้วย”
“งั้นผมไปสตาร์ทรถรอนะครับ”
“ไม่ต้อง”
ผิงอันและอาหลี่ชะงัก
“ไม่ต้องไปตาม คนฤทธิ์มากและก็อวดดีแบบนี้ ปล่อยให้คนอื่นตามง้อ ตามเอาใจจนเสียนิสัย”
“แต่ไทไทบอกว่า...”
“อากง ไม่ต้องมาเตือนฉันหรอก ฉันรู้ดีว่าไทไทบอกว่าอะไร”
“ไทไทบอกว่าอะไรหรือค่ะ”
“เค้าก็น่าจะรู้ว่าฉันมีปัญหามากแค่ไหน ยังมาทำงอนเป็นเด็กอยู่ได้ ช่างเค้า หายงอนก็กลับมาเองนั่นแหละและห้ามไม่ให้ใครออกไปตามบราลีกลับมาเป็นอันขาด นี่เป็นคำสั่ง”
จ้าวซันเดินออกจากห้องไป ทุกคนมองหน้ากันด้วยความเป็นห่วงบราลี แต่ไม่รู้จะทำยังไงดี
ขณะนั้นบราลีกำลังเต้นรำสนุกสุดเหวี่ยงแบบกลบเกลื่อน แล้วกลับมานั่งที่โต๊ะ คว้าเครื่องดื่มขึ้นดื่มจนหมดแก้ว ที่โต๊ะมีแก้วเปล่าหลายใบวางอยู บราลีมองหาพนักงานในร้านอีก
“น้องงงง”
“นี่ๆ พอก่อนเถอะ ค่อยๆ ดื่มก็ได้ จะรีบไปไหน”
“ฉันอยากสนุกอะจื้อเหม่ย อยากมีความสุขเข้าใจไหม เธอเข้าใจฉันไหม หลิน-จื้อ-เหม่ย...ฉันเคยบอกเธอไหมว่าชื่อเธอย้าวยาวและเรียกโคตรยากเลย” บราลีหัวเราะ
“จ๊ะๆ บราลี ภีมะมนตรี ไม่ยาวเลย”
“ฉันไม่ได้ชื่อบราลี ไม่ใช่ภีมะมนตรีอะไรนั่นด้วย ฉันมันตัวคนเดียว ไม่มีใคร พ่อแม่ที่แท้จริงก็ไม่มี ไม่มีอะไรเลย ไม่รู้จะไปไหน ไม่รู้จะทำอะไร อนาคตมืดมนสิ้นดี” บราลีมองหาพนักงานในร้านอีก “น้องงงง มาหรือยัง”
หลินจื้อเหม่ยเริ่มไม่สนุก มองบราลีด้วยความเป็นห่วง
รูปครอบครัวต่างๆ ของจ้าวฉินเย่ว์ จ้าวซันยืนดูรูปเหม่ยอิง นิ่งเงียบ ทำหน้าตัดสินใจแล้วเดินออกมาจากห้องนั้น จ้าวซันกำลังจะเดินขึ้นชั้นบน แล้วชะงักเมื่อเห็นกระเป๋าเดินทาง กระเป๋าเป้ ถุงของจากเมืองไทยของบราลี วางรวมกันอยู่ข้างบันได จ้าวซันหยุดดูของนั้น สีหน้าเป็นห่วงขึ้นมา
จ้าวซันเดินเข้าไป ก้มลง เหมือนจะยกของนั้นไปเก็บเอง ทันใดนั้นอาหลี่ก็โผล่มา แล้วเข้าไปแย่ง
“คุณชายครับ ผมจัดการเองครับ”
“เด็กบ้า ข้าวของยังไม่ทันเอาขึ้นไปเก็บ แต่ดันแก่นซ่าออกไปหาเพื่อนซะละ”
“คุณชายทราบหรือครับ ว่ามิสภีมะมนตรีไปไหน”
“เขาจะมีที่ไปที่ไหนได้ล่ะ ก็คงจะไปบ้านยัยหลินจื้อเหม่ยเพื่อนสนิทนั่นแหละ”
“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นครับ”
“เด็กคนนี้ดึงดื้อถือดี บอกให้อยู่เองไทยกับพ่อบุญธรรมจะได้ปลอดภัยก็ไม่เชื่อ ที่นั่นมันสนุก มีที่เที่ยวเยอะ น่าจะชอบ กลับไม่เชื่อฟังกันบ้างเลย”
“ก็มิสภีมะมนตรีห่วงคุณชายไม่ใช่เหรอครับ เธอถึงต้องมาให้ได้”
“นี่แกเข้าข้างเค้าเหรอ”
“คุณชาย ถ้าสมมุติว่ามิสภีมะมนตรีต้องไปทำอะไร ที่คุณชายรู้สึกว่ามันอาจเป็นอันตรายได้ คุณชายจะไม่รีบตามไปหรือครับ เชื่อสิครับ ว่าใครห้าม คุณชายก็ต้องไม่ฟัง”
“แหม รู้ดีกันจริงนะ”
ทันใด มือถือจ้าวซันดัง จ้าวซันเอาโทรศัทพ์มามอง แล้วส่ายหน้า
“หลินจื้อเหม่ย” จ้าวซันหันมาพยักกับอาหลี่ “ยัยจื้อเหม่ยคงโทมาบอกว่าบรีไปค้างที่บ้าน”
จ้าวซันกดรับ หลินจื้อเหม่ยยืนคุยโทรศัพท์อยู่มุมนึง บราลีนั่งดูคาราโอเกะเพลงจีนที่มุมนึงของผับ แล้วพยายามร้องตามแบบผิดๆ ถูกๆ แบบเมาๆ ท่าทางสนุกเกินจริง
“จื้อเหม่ย นี่อยู่ที่ไหน ทำไมเสียดังอย่างนั้นล่ะ”
“เราอยู่ในผับแถวๆ บ้านดิฉันเองล่ะค่ะ คุณชาย”
“อะไรกัน นี่ถึงขนาดพากันออกเที่ยวกลางคืนเลยหรือ”
“บรีเมามากด้วยค่ะ”
“อะไรนะ บรีกินเหล้างั้นเหรอ”
“เค้ากินเหล้าไม่ค่อยเป็นด้วยนะคะคุณชาย แล้วดิฉันห้ามก็ไม่เชื่อ ยิ่งห้าเหมือนยิ่งยุเลยค่ะ ทำไงดีล่ะคะ”
จ้าวซันโมโห ห่วงใยและร้อนใจ
“นี่ไปกินกันร้านอะไร...” จ้าวซันนิ่งฟัง แล้วยิ่งโมโห “อะไรนะ แล้วเธอพาเค้าไปที่แบบนั้นได้ยังไง รู้ไหมว่าในตึกแถวนั้น มันเป็นที่ที่มีแต่พวกคน...คนชนิดที่แย่ๆ ชอบไปน่ะ เธอพาเค้ากลับมาเดี๋ยวนี้ จื้อเหม่ย ได้ยินไหม พาบราลีกลับบ้านเดี๋ยวนี้”
“ค่ะ คุณชาย ชั้นจะพาบรีกลับเดี๋ยวนี้ค่ะ” หลินจื้อเหม่ยหันไปมองหา แล้วผงะ สะดุ้ง “ว้าย บรี”
หลินจื้อเหม่ยกวาดตาหาสุดซ้าย สุดขวา แล้วซีดเผือด
“อะไร มีอะไร บรีทำไม”
“บรี บรีหายไปแล้วค่ะ”
จ้าวซันผงะ
“อะไรนะ ไปดูให้ดีๆ ก่อน เร็วๆ เข้า แค่นี้นะ” จ้าวซันรีบวางสาย
หลินจื้อเหม่ยมองรอบๆ แต่ไม่เจอบราลี รีบวิ่งไปหาควั่กดูวุ่นวาย
จ้าวซันแต่งตัวชุดออกข้างนอกที่ง่าย-เร็วสุดเท่าที่ทำได้ วิ่งออกมาหน้าบ้านพลาง ติดกระดุมเสื้อพลาง อาหลี่รออยู่กับรถ
“คุณชาย รถพร้อมแล้ว จะไปไหนครับ”
“ไม่ต้องถามมาก เร็วเข้า”
“คุณชายเหมือน ไม่มีอาวุธอะไรมาด้วย”
“แกมีไหมล่ะ”
“ก็ นิดหน่อยครับ”
“ขับให้มันเร็วๆ ก็แล้วกัน”
จ้าวซันรีบขึ้นรถ อาหลี่วิ่งขึ้นตาม ขับออกไป
หลินจื้อเหม่ยดูแถวเคาน์เตอร์ มีสาวหนุ่มนั่งกินตามเก้าอี้สตูลบ้างแต่ไม่มีบราลี หลินจื้อเหม่ยโผล่มามองมุมเกมส์ ที่มีผู้ชายตีพูล ปาลูกดอก คนไม่มากนักแต่ก็ไม่มีบราลี หลินจื้อเหม่ยหน้าซีด ลนลาน มีเสียงหัวเราะครืนๆ มาจากทางด้านหน้าผับ หลินจื้อเหม่ยประสาทเสีย รีบวิ่งออกไปดู
หลินจื้อเหม่ยวิ่งออกมาหน้าผับบริเวณในตึกที่ต้องขึ้นลิฟท์มากัน หลินจื้อเหม่ยมองหา วิ่งออกมา ดูทางนั้นทางนี้ หน้าลิฟต์ ที่บันไดแต่ก็ไม่เจอบราลี
สาวสวยสองคนกำลังล้างมือและเติมหน้าที่กระจก หน้าห้องน้ำที่มีอยู่สองห้องติดกันอยู่ บราลีเปิดประตูเข้ามา เห็นห้องเต็ม พยายามอดทน ยืนทำท่าไม่สบาย รออยู่หน้าห้องน้ำ ที่ยังมีคนอยู่ บราลีรอนิดนึง มองไปรอบๆ เห็นทุกอย่างดูเอียงไปมา โงนเงน บราลีเอามือกุมปาก พยายามอดทน
ทันใดนั้นประตูห้องน้ำบานนึงเปิด หญิงสาวคนนึงเดินออกมา บราลีรีบวิ่งสวนเข้าไป ปิดประตูลงรวดเร็ว ล็อค
เสียงบราลี โอ้กอ้ากมาจากหลังประตูห้องน้ำนั้น สาวๆ มองหน้ากัน ทำหน้าแบบอี๋ๆ
หลินจื้อเหม่ยวิ่งกลับมาในผับ มองซ้าย ขวา กลุ้มมากๆ จะบ้าอยู่แล้ว หันไป เห็นทางไปห้องน้ำ มีสาวๆ 2-3คน เดินออกมาหลินจื้อเหม่ยตาโต
บราลีเปิดห้องน้ำเซออกมา ตอนนั้นพอดีในห้องน้ำไม่มีใครเหลือเลย ที่หน้าอ่างล้างหน้า บราลีเปิดน้ำ ก้มลง เอามือประคองน้ำเข้าปาก บ้วนๆ แล้ววักน้ำล้างหน้า เอาทิชชู่มาซับปาก แล้วเงยขึ้น มองเงาในกระจกงงๆ บราลีเห็นภาพตัวเองในกระจกดูบิดเบี้ยว โอนเอน บราลีมึน มองไปเห็นมีประตูสองด้านจึงงงๆ บราลีจะเดินไปประตูขวา แล้วชะงัก มึน หันกลับไปที่ประตูซ้ายแล้วเปิดออกไป ประตูขวาเปิดเข้ามาเป็นหลินจื้อเหม่ยที่เดินเข้ามา
“บรี! บรี!”
หลินจื้อเหม่ยมองรอบๆ เข้าไปเปิดดูห้องน้ำ ที่ล้วนว่างๆ หลินจื้อเหม่ยยิ่งร้อนใจ
บราลีออกมาด้านนอกแล้วชะงักเมื่อเห็นหนุ่มสาวในนั้นจำนวน 7-8 คน กำลังเล่นยากัน ก้มทำอะไรเป็นกลุ่มๆ ควันคลุ้ง บราลียืนงงๆ ภาพที่บราลีเห็นดูหลอนๆ บิดเบี้ยว บราลีถอยๆ จะหันกลับ แต่แล้วเข่าอ่อนทรุดลงไป พวกคนเล่นยาหันมาสนใจกัน
พวกสาวๆ มองอย่างสงสัย พวกหนุ่มๆ สนใจ พยักเพยิดแล้วพากันเข้ามาบราลี อีกมุมหนึ่งสมุนพันหงปิงกำลังขายยา รับเงิน แบ่งยาให้ลูกค้า หันมาสนใจบราลี บราลีกำลังพยายามจะลุก มีมือมาจับแขน
“ฮัลโหล เบบี้ มาจากไหนจ๊ะ”
“ไม่มีเพื่อนเหรอ มาเป็นเพื่อนกะพี่ไหมจ๊ะ”
บราลีมอง เอียงคอ เบลอ มึนงง ชายทั้งสองช่วยกันหิ้วปีกบราลีขึ้นมา แล้วพาไปนั่งด้านนึงที่มีโซฟาเก่าๆ ตั้งอยู่ใกล้ระเบียง สมุนพานหงปินเข้ามาทันที
“คุณนายครับ มาหาของดีหรือครับ”
“อะไรนะ”
สมุนอีกคนเข้ามาร่วมต้อน
“ของดีครับ คุณภาพดีมาก ราคาไม่แพง สำหรับนักท่องเที่ยวผมมีราคาพิเศษ รับรองว่าลดแลก แจกแถมเพียบ”
“ลดแลก แจก แถมอะไรเหรอ”
“อยากจะลองไหมล่ะครับ ผมให้ลองก่อนฟรีๆ ก็ได้” สมุนยื่นบางอย่างมาให้บราลี
“อี๋ เหม็นจะตาย นี่มันกลิ่นอะไรเนี่ย”
บราลีรวบรวมกำลัง ลุก ฝ่าแหวกคนพวกนั้นออกมา พวกผู้ชายมองตาม อยากรู้ว่าบราลีจะไปไหนได้ไง รอดูกัน
บราลีเดินเลียบไปตามระเบียง แล้วเดินเซไปเรื่อยๆ เกาะข้างฝา พยุงตัวไป ตามลานทางเดินของตึกที่ร้างๆ ไร้ผู้คน เป็นที่เก็บข้าวของ พวกตู้เก่า โต๊ะเก้าอี้ ตู้เย็น บราลีเดินไปจนเห็นประตูอีกอัน บราลีเปิดออกไป
พวกคนขายยาสมุนพานหงปิน พยักหน้า และพากับชายอีกสองคนแรกรีบตามไป
บราลีเปิดออกมาเจอบันได งงๆ ตกใจ ไม่รู้จะไปทางไหน หันกลับ ชายทั้งสี่คนโผล่ออกมา
“ที่รัก จะไปไหนครับ ทางนั้นมันไม่ใช่ทางออกนะ สุดสวย กลับมาก่อนครับ”
“มาเถอะครับ ไว้ใจพวกเราเถอะ ถ้าคุณผู้หญิงเหงา พวกเราช่วยได้”
“หลินจื้อเหม่ย หลินจื้อเหม่ย” บราลีตะโกนเรีบกเพื่อน
“อ๋อ นึกว่าใคร เป็นเพื่อนหลินจื้อเหม่ยน่ะเอง ทางนี้ครับ ทางนี้หลินจื้อเหม่ยอยู่นี่ มาๆ ผมจะพาไปหาหลินจื้อเหม่ย”
บราลีอึ้ง ชักลังเล
“มาสิครับ พวกเราทุกคนเป็นเพื่อนกับหลินจื้อเหม่ย หลินจื้อเหม่ยเขาบอกว่าให้เอายาคุณภาพดีที่สุดให้คุณเลยนะ ใครเป็นเพื่อนหลินจื้อเหม่ย รับรองว่าพวกเราเทคแคร์เต็มที่”
“ไม่ใช่ละ แบบนี้มันไม่ใช่แล้ว”
บราลีพยายามรวบรวมสติ เรี่ยวแรง วิ่งลงบันไดไปสุดชีวิต
ผู้ชายพวกนั้นสบตากัน แล้วสนุก หัวเราะ รีบพากันวิ่งตาม
“น่ารักชิบ จับให้ได้เว้ย ของขวัญจากพระเจ้าชัดๆ”
ทุกคนฮือตามบราลีไป
หลินจื้อเหม่ยวิ่งออกมาหน้าผับ เห็นหลังหญิงคนนึงยืนคุยกับชายคนนึง
“บรี” หลินจื้อเหม่ยรีบโดดไปจับตัว หญิงชายคู่นั้นหันมา งงๆ “ไอม์ซอรี่ ขอโทษค่ะ” หลินจื้อเหม่ยมองๆ เห็นลิฟต์มีคนยืนรอกดลิฟต์อยู่ “หรือว่าบรีลงลิฟต์ไปแล้ว”
หลินจื้อเหม่ยวิ่งมาที่ลิฟต์ แล้วไปกดๆ ทันใดนั้นลิฟต์สำหรับพาคนมาเที่ยวร้านนี้ขึ้นมาถึง และเปิดออก จ้าวซันและอาหลี่ก้าวออกมา หลินจื้อเหม่ยเห็นหน้าจ้าวซัน ทั้งดีใจ ทั้งกลัว
“คุณชาย ทำยังไงดีคะ”
“ยังหาไม่เจอเหรอ”
“ยังเลยค่ะ”
“หรือจะมีใครจับตัวไป”
อาหลี่สันนิฐาน จ้าวซันอึ้ง
ขณะนั้นบราลีวิ่งลงบันไดมาแบบแทบหายเมา หัวทิ่ม หกล้มบ้าง ยึดราวบันไดไว้ ในที่สุดก็นั่งลงถอดรองเท้าส้นสูงมาถือ เพราะวิ่งไม่ถนัด พวกผู้ชายวิ่งมาถึงตัว บราลีเอารองเท้าเป็นอาวุธ
“เฮ้ย อินี่ มันเอาจริงนี่หว่า”
พวกสมุนพันหงปิงเข้าถึงตัว บราลีรวบรวมสติ แล้วกำหมัด เตะต่อย ด้วยมวยที่เคยเรียนมาจากคีรีรัฐ ทำคนพวกนั้นเจ็บไปคนละดอกสองดอก
“อ๊าก นี่มันมวยแบบไหนกันวะ”
“ร้ายนักหรือเรา”
ชายพุ่งกะรวบ อีกคนตามมาผสมโรง บราลีเล็งจังหวะเกาะ ยึดราวบันไดไว้ แล้วหมุนตัวปีนสวนทางขึ้นไป แล้งหมุนกลับลงมา ถีบ พวกนั้นล้มไปทับกันร่วงตกบันไดไป ร้องกันลั่น บราลีมองๆ แล้วตัดสินใจ เปลี่ยนเป็นวิ่งสวนกลับขึ้นไปทางเดิม
“อีตัวร้าย เก่งนักหรือ อินี่”
พวกนั้นลุกกันขึ้นมาได้ วิ่งตามกลับขึ้นไปใหม่ หอบๆ
จ้าวซันเข้ามาในผับกับอาหลี่ เดินลิ่วๆ ไป แยกย้ายดูมุมต่างๆ หน้าตาดุดัน คนเที่ยวที่กำลังเต้นๆ อยู่ หันมามอง จ้าวซันมองไปในส่วนของสต๊าฟ คือบาร์น้ำ เดินฝ่าเข้าไปดูพนักงานงง จ้าวซันเดินเข้าไปเปิดดูทุกประตู พบว่ามันเป็นส่วนปิดไม่มีทางออก อาหลี่เดินไปทางครัว เปิดเข้าไป โผล่ดูและพบว่าครัวมีประตู อาหลี่เปิดออกไปมันเป็นสต๊อกอาหาร ไม่มีทางออกอื่นคนในครัวหันมา งงๆ บางคนตามมาดู ว่าแกมาหาอะไร อาหลี่บอกขอโทษๆ แล้วเดินกลับออกไป
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 17 (ต่อ)
จ้าวซันเดินมา อาหลี่เดินมา เจอกันในผับ
“ห้องน้ำ”
อาหลี่เข้าไปห้องน้ำชาย มีพวกผู้ชายฉี่กันนิดหน่อย พวกห้องน้ำว่างๆ เปิดอยู่ อาหลี่เดินไปเปิดดูทีละห้องๆจ้าวซันเข้าไปห้องน้ำหญิง พวกสาวๆ ร้องลั่นด้วยความตกใจ จ้าวซันไม่มองหน้าใคร หันมองรอบๆ รวดเร็วแล้วเห็นอีกประตูรีบเปิดออกไป
จ้าวซันโผล่มาในจุดที่พวกเล่นยาหญิงชายที่จับกลุ่มเล่นยากัน ไม่สนโลก จ้าวซันมองหา มีสาวๆ หลายคน จ้าวซันเดินดูหน้าแต่ละคน แต่ไม่มีบราลี แถวๆ บันได บราลีพยายามวิ่งหนีแต่ชายพวกนั้นตามมาทัน สมุนพันหงปินดึงขาบราลีไว้ได้ บราลีสะบัด ร้องกรี๊ดๆๆ จ้าวซันกำลังจะหันกลับ ทันใดมีเสียงบราลีหวีดร้องดังมาก้องๆ ทุกคนไม่สนเลย เมายากัน หัวเราะมั่ง นัวเนียกันมั่ง จ้าวซันผงะ มองหารอบๆ หมุนรอบตัวเจอประตูอีกอัน พอดีอาหลี่โผล่ตามมาจ้าวซันเปิดประตูวิ่งออกไป
พวกชายสี่คนนั้น โดดพุ่งมารวบตัวบราลีไว้ได้ แล้วเข้ายึดได้ มือ เท้า แขน ขา สมุนพันหงปินคนนึง โดดปิดปากไว้ได้ ทั้งหมดยกอุ้มตัวบราลีขึ้น ทั้งสี่คนมองบนล่างซ้ายขวาจะเอาไปไหนดี ชายติดยาคนนึงพยักหน้าให้เอาลงไปข้างล่าง ทั้งสี่แบกบราลีไป บราลีดิ้นๆๆ แต่ปากโดนปิดไว้
มุมนึงมีระเบียงและมีประตูเปิดอ้าออกไปที่จอดรถ พวกสี่คนนั้นหันมามองหน้ากันแล้วรีบพาบราลีออกไป แล้วหันมาปิดประตูกดล็อก จ้าวซันวิ่งมาตามบันได ไม่เห็นบราลีแล้วเสียงก็เงียบไป อาหลี่ตามมาแล้วต่างร้อนใจ จ้าวซันมองหาไปมาแล้วชะงักเมื่อเห็นของส่วนตัวอย่างนึงของบราลีหล่นตกอยู่ จ้าวซันเก็บมา มองหน้ากับอาหลี่ อึ้งๆ ต่างหมุนรอบตัว หา สายตาประเมินผลสุดฤทธิ์
ชายทั้งสี่คนอุ้มบราลีมาในลานจอดรถที่ค่อนข้างร้างๆ เปลี่ยวๆ มีรถจอดไม่กี่คัน ไฟก็สลัวๆ บางดวงติดๆ ดับๆ หลอน ทั้งสี่คนวางบราลีลงในที่มืด หลังเสาต้นใหญ่ มุมบังๆ สายตา สมุนพันหงปิงหัวเราะแล้วกระชากเสื้อบราลีขาด
ช่วงนึงบราลีดิ้นหลุด กัดมือคนที่ปิดปาก คนที่โดนกัดร้องลั่น บราลีจึงร้องออกมา จ้าวซันกับอาหลี่ได้ยิน หันขวับ วิ่งไปที่ประตูนั้น พยายามเปิดแต่เปิดไม่ได้ อาหลี่ชักปืนมา ยิงเปรี้ยงที่ลูกบิด
พวกชายทั้งสี่และบราลีที่กำลังปล้ำกัน ได้ยินเสียงปืน ผวา เงยไปดู บราลีได้จังหวะ ถีบคนที่คร่อมอยู่กระเด็นไป แล้วดิ้นสุดฤทธิ์ พร้อมส่งเสียงร้อง สมุนพันหงปิงมองหน้ากัน จ้าวซัน อาหลี่ วิ่งมา
“เจ้าพี่”
จ้าวซัน อาหลี่ วิ่งมา อาหลี่จ้องปืนมาทำเป็นยิงแฉลบพื้นหนึ่งนัด พวกชายติดยาสองคนตกใจ ต่างมองดูปืน แล้วเผ่นไปคนละทางสองทาง สมุนพันหงปิงที่ยังฉุดดึงบราลีอยู่ มองหน้า เห็นจ้าวซัน แล้วต่างหันมาสบตากัน
“ซวยละมึง จ้าวซันนี่หว่า”
“อินี่ เด็กจ้าวซันเหรอวะ มิน่าล่ะ”
สมุนพยักหน้ากัน ผลักตัวบราลีออกไปขวางหน้าจ้าวซัน แล้วหันหลัง วิ่งสุดชีวิต บราลีถูกผลักล้มลง รีบพยายามเอาเสื้อมาห่อหุ้มตัวให้มิดชิด
“ม่านฟ้า”
“เจ้าพี่”
บราลีร้องไห้โฮ จ้าวซันรีบเข้ามากอดไว้ น้ำตาจะไหลเหมือนกัน ใจหายสุด เกือบไปแล้ว อาหลี่ถอนใจโล่งอก บราลีทรุดไป สลบ เหมือนรู้ตัวว่าปลอดภัยแล้วจึงหมดแรง ทิ้งร่าง จ้าวซันอุ้มไว้
วันต่อมาที่โรงงานทำขนมปังแห่งนึง คนงานกำลังทำขนมปังวุ่นวาย สมุนพันหงปิงสองคนเข้ามา ส่องๆ ขณะนั้นพันหงปิงกำลังทำบางอย่างเกี่ยวกับแป้ง น้ำตาลอยู่ แต่ใส่ที่ปิดปากของคนทำงานเหมือนคนงานอื่นๆ เห็นแต่ดวงตา สองสมุนมองหาแล้วผิวปากทำเสียงเหมือนนก พันหงปิงได้ยิน มองไป สองสมุนทำมือให้สัญญาณ ให้ไปเจอข้างนอก พันหงปิงมอง ดวงตานิ่งๆ
พันหงปิงกินน้ำ สมุนทั้งสองกินขนมปัง หยิบมาจกกินเฉยเลย
“จ้าวซัน มันกลับมาจากคีรีรัฐแล้วเหรอ”
“เพราะไอ้นี่ ที่ทำให้พวกเราต้องมาลำบาก กระจอกงอกง่อยใช้ชีวิตเป็นแมงหวี่แมงวันอยู่นี่ไง”
“มันไม่ใช่ธรรมดานะ อั๊วะรู้ข่าวมาว่าเพื่อนร่วมธุรกิจและร่วมแหกคุกชาวคีรีรัฐของอั๊ว ไอ้พวกนายพลพวกนั้น โดนไอ้จ้าวซันกับพวกฆ่าตายล้างบางหมดเลย ที่กลางเมืองคีรีรัฐ”
“มันกลับมาแล้ว มันจะมาล้างบางเราอีกป่าว ลูกพี่”
“ไอ้ฉินเจียงมันซัดทอดอั๊วะแหลกไปแล้ว ชีวิตพวกเราพังหมด ก็เพราะไอ้พวกคนตระกูลจ้าว”
ทุกคนมองหน้ากัน ทำนองว่า แล้วจะเอาไงดีล่ะ
เช้าวันรุ่ง เกาเฟยนั่งกินกาแฟ โทรศัพท์ดัง เกาเฟยเอาโทรศัพท์มาดู งงๆ เพราะเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จักแต่ก็ตัดสินใจรับ
“เหวย ใครน่ะ”
พันหงปิงเป็นคนโทรหาเกาเฟย
“ทายซิเอ่ย”
“ใคร”
“ได้ดีแล้วลืมเพื่อนเก่าเลยนะ เกาเฟย”
“ใครวะ อย่ามากวนประสาทนะเว้ย ถ้าไม่พูดสาระอะไรมา ชั้นวางเดี๋ยวนี้”
“แหม...ใจร้อนจริง เกาเฟย คนอื่นเค้าลำบากลำบน ติดคุก ต้องแหกคุก หนีตำรวจกันหัวซุกหัวซุนเสี่ยงตาย ต้องสมัครเป็นคนงานต่ำๆ ทำตัวปะปนกะพวกคนแผ่นดินใหญ่ ไม่ให้พวกตำรวจหาเจอ โคตรจะอนาถ ไม่เหมือนแก ยิ่งนาน ยิ่งรวย ยิ่งสบาย อีกไม่เท่าไหร่ก็คงได้เป็นผัวนางพญาหงส์ฟ้าสินะ”
“พันหงปิง”
“เกาเฟย!ในที่สุด นายก็จำเพื่อนได้ สุดซึ้ง แสนจะตื้นตัน น้ำตาเกือบไหลอยู่ละ”
“แกยังอยู่ในฮ่องกงอีกเหรอ แกบ้าหรือเปล่า”
“ไม่มีเงิน โดนตำรวจยึดไปหมดแล้ว อั๊วะจะไปไหนได้ แกมันร่ำรวยมากไม่ใช่เหรอ แบ่งมาให้เพื่อนใช้หน่อยสิ”
เกาเฟยอึ้งๆ มองไป พอดีเห็นเหม่ยอิงออกจากลิฟต์มา
“ชั้นต้องวางสายก่อนนะ เดี๋ยวโทรกลับ แป๊บ” เกาเฟยกดปิดการติดต่อ รีบเดินมารับเหม่ยอิง เหม่ยอิงเดินมา หน้าตาเย็นชา เกาเฟยเข้าไปพินอบพิเทา “คุณหนูเหม่ยอิงครับ จะรับประทานเบรกฟ่าสท์ในโรงแรมนี้เลยไหมครับ หรือว่าอยากจะออกข้างนอก”
“ชั้นจะกินที่นี่ แต่ไม่เกี่ยวกับแก แกอยากจะกินอะไรที่ไหนก็ไป ชั้นอยากจะกินคนเดียวอย่างสงบๆ หน่อย โอเค้... แล้วถ้ามีอะไร ชั้นจะโทรตามเอง ถ้าไม่มีอะไรจำเป็นก็อย่ามาให้เห็นหน้า ชั้นกลุ้ม มีอะไรต้องคิดเยอะ ไม่อยากรับรู้อะไรที่มันจะทำให้ปวดหัวจากแกอีก”
เหม่ยอิงเดินผ่านเข้าไปในห้องอาหารของโรงแรม เกาเฟยอึ้ง ซีด
ที่บ้านสี่ฤดู บราลีนอนหลับอยู่บนเตียงสักพักก็กระพริบตา ตื่นขึ้นมา โดยตัวโดนห่ออยู่ในผ้าห่มหนา บราลีทำหน้างงๆ มึนๆ มองไปรอบๆ เห็นห้องก็อึ้งๆ หันไป แล้วชะงักเมื่อเห็นจ้าวซันนั่งดื่มกาแฟด้านนึง และอากงคอยเสิร์ฟอาหารอยู่ บราลีรีบลุกนั่ง พบว่าตัวเองอยู่ในชุดนอนของจ้าวซัน จ้าวซันหันมาพอดี รีบวางมือ เข้ามาประคับประคอง
“ม่านฟ้า เป็นไงมั่ง ปวดหัวหรือเปล่า”
“เดี๋ยวกงไปเอาชาร้อนมาให้” อากงรีบหลบไป
“เจ้าพี่ น้อง...ผิดไปแล้ว น้องขอโทษ” บราลีพนมมือ
“ไม่เป็นไรๆ พี่ก็ผิดเหมือนกัน”
“ถ้าเจ้าพี่ไม่ไปช่วย น้องก็ไม่รู้ว่าป่านนี้...”
“ไม่เป็นไรๆ ปลอดภัยแล้วก็ดีแล้ว แต่ทีหลัง อย่าทำแบบนี้อีกนะ”
“ไม่ทำอีกแล้ว เข็ดจริงๆ น้องกลัวมาก นึกว่าคงจะต้องตายแน่ๆ”
“ยังดี ที่จื้อเหม่ยตามพี่มาทันเวลา ไม่งั้น พี่คงไม่ให้อภัยตัวเองเด็ดขาด”
บราลีมีอาการผะอืดผะอมรีบกุมคอ
“อื้อ”
“คลื่นไส้หรือ ไป” จ้าวซันอุ้มบราลีขึ้นมา
“น้องเดินเองได้”
“อยู่เฉยๆ เถอะน่า มา พี่พาไปเอง”
จ้าวซันอุ้มไปห้องน้ำ บราลีซบที่ไหล่ จ้าวซันอดยิ้มไม่ได้
ชาร้อนควันฉุยแบบจีน ถูกเทจากกา ลงในถ้วยเล็กๆ จ้าวซันเป็นคนรินเอง แล้วยื่นมาให้ตรงหน้าบราลี บราลีที่หน้าใสซีด ผมยาวถูกรวบหลวมๆ เปิดหน้าผาก ยังใส่ชุดนอนเดิม นั่งพิงเอียงๆ ในเงาร่มผ้าสีขาว รับชาไปจิบอย่างระมัดระวัง
“จิบชาของอากง แล้วน้องจะหายคลื่นไส้เป็นปลิดทิ้ง”
“พี่เคยเป็นบ่อยสินะคะ”
“ตอนเด็กๆ ก็มีบ้าง แต่พอโตแล้ว พี่ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองดื่มมากไป” จ้าวซันหันไป จัดแจง หยิบขนมปังปิ้งกรอบ ทาแยมส้มอย่างประณีต “เอ้า รับประทานซะ จะได้ไม่ท้องว่าง แยมส้มนี่จะทำให้หายผะอืดผะอมได้”
บราลีมองอย่างอ่อนโยน ไหว้แล้วรับมากัดชิม จิบชาต่อช้าๆ
“น้องจะไม่ดื่มอีกแล้ว น้องสัญญาว่าต่อไปนี้ น้องจะกลับตัวเป็นคนดี”
“บรี น้องไม่เคยไม่เป็นคนดี”
“ก็พี่ว่าน้องน่าเบื่อ น่ารำคาญ”
“พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้คิดอย่างนั้น พี่เข้าใจว่าน้องอาจจะเชื่อมั่นในตัวเองเกินไป แล้วเวลามีคนกล้าขัดใจ มันก็จะรู้สึกโกรธรุนแรงไปบ้าง”
“ไม่ใช่นะคะ จากวันที่น้องรู้ว่าตัวเองเป็นใคร พี่เป็นใครน้องก็ไม่เคยคิดถึงตัวเองอีกเลย น้องคิดถึงแต่พี่ ห่วงแต่พี่ ไม่อยากให้พี่ต้องไปเสี่ยงกับอะไรคนเดียวอีก ขอให้พี่ทราบว่าน้องไม่ได้เอาแต่ใจตัวเอง น้องอยากจะปกป้องพี่ตังหากล่ะคะ”
“น้องคิดว่าตัวเองเก่งนักหรือ”
“เวลานี้น้องรู้แล้วว่าน้องไม่ได้เก่งเลย น้องอ่อนด้อย และแย่มากๆ แต่ยังไง น้องก็ห่วงพี่อยู่ดี พี่จะทำยังไงต่อไป เรื่องของคุณเหม่ยอิง”
“พี่ก็ยังยืนยันว่าเขาเป็นน้อง เท่าๆ กับฉินเจียง เท่าๆ กับผิงอัน”
“แล้วเค้าคิดว่าพี่เป็นพี่ หรือเปล่าล่ะคะ”
จ้าวซันอึ้ง ตอบไม่ได้ บราลีมอง หนักใจ
แม่สี่มีหน้าตาไม่สบายใจ
“คุณชายใหญ่ก็มัวแต่วุ่นวายกับผู้หญิงไทยคนนั้น เวลานี้เหม่ยอิงหายตัวไปไหนไม่ทราบค่ะ ที่ทานก็ไม่ไปอีกแล้ว แล้วอิฉันก็ติดต่อไม่ได้แล้วค่ะ”
“เมื่อคืน คุณหนูใหญ่ไม่กลับบ้าน ไม่ยอมโทรมา แล้วพอเราโทรไปก็ไม่รับสายค่ะ”
“สงสัยเค้ารู้ว่าพี่ชายใหญ่รู้เรื่องหมดแล้ว เขาเลยหลบหน้ามังคะ”
“เขาไม่กลับบ้านบ่อยๆ หรือ”
“ปกติก็กลับนะคะ แต่กลับดึกหน่อย บางทีก็...เกือบเช้า”
“คุณชายคะ มีแต่คุณชายคนเดียวที่เขาจะยอมพูดด้วย คุณชายช่วยตามเขามา แล้วบอกให้เขากลับตัวด้วยค่ะ”
“ทำไมต้องให้พี่ชายเป็นฝ่ายไปตามเขาด้วยล่ะแม่ พี่เหม่ยอิงเค้าก็โตแล้ว รู้ผิดชอบชั่วดีทุกอย่าง แต่เค้าฉวยโอกาสตอนพี่ใหญ่ไม่อยู่ ทำอะไรร้ายๆ หลายอย่าง ในเมื่อพี่ใหญ่มาแล้ว เขาก็ควรมาหา มาขอโทษ มาแก้ตัว หรือจะมาเสกสรรค์ปั้นเรื่องอะไรให้พี่ใหญ่เชื่อ เขาก็ควรเป็นฝ่ายมาพบพี่ใหญ่เองสิ” ผิงอันบอก
“ก็เพราะคุณชายไม่รักเขา เขาถึงเป็นแบบนี้”
“แม่! แล้วมันเป็นความผิดของพี่ใหญ่เหรอ”
“จุ๊ ผิงอัน น้องกำลังขึ้นเสียงกับแม่สี่อีกคนแล้วนะ” จ้าวซันปราม
“หนูขอโทษ แต่พี่เหม่ยอิงเขาเป็นแบบนี้ เพราะเขาอยากเป็นใหญ่ที่สุดต่างหาก เขามีความโลภ โกรธ หลง เขาไม่ได้รักใครทั้งนั้น คนอย่างนั้น ไม่มีความรักหรอก มีแต่ความเกลียดชังล้วนๆ”
“พอกันที ผิงอัน หยุดว่าพี่ซะที” แม่สี่ร้องไห้ออกมา
“เอาล่ะครับ แม่สี่ ผมเองก็มีส่วนผิดที่ดูแลน้องไม่ดีพอ ผมจะรับผิดชอบเอง ผมจะพาเขากลับมาเองครับ”
ผิงอันมองแม่ ไม่พอใจ มองจ้าวซันอย่างห่วงๆ จ้าวซันหนักใจ
ซูหลิงเดินมาในร้าน แล้วชะงักเมื่อเห็นจ้าวซันยืนดูของในร้านอยู่
“คุณชายใหญ่”
“เป็นไง กิจการดีไหม”
“ก็พออยู่ได้ค่ะ แต่คุณหนูเหม่ยอิง บีบบังคับจนคุณชายรองต้องขายทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะไม่ยอมให้คุณชายรองได้รับผลประโยชน์อะไรจากหุ้นในบริษัทเลย”
“ชั้นรู้แล้ว แค่ชั้นไม่อยู่ ไม่กี่วัน น้องสาวก็ฉวยโอกาสทำร้ายทุกคน ขอโทษด้วยแต่ไม่ต้องกลัว เหม่ยอิงเชื่อฟังชั้นเสมอ ชั้นจะจัดการกับเค้าเอง”
ฉินเจียงเดินเข้ามา
“ซูหลิง พี่ใหญ่มาเยี่ยมทั้งที แทนที่จะบอกข่าวดี กลับฟ้องเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่นั่นแหละ พี่ใหญ่ทราบรายละเอียดทั้งหมดแล้วอย่าพูดให้เค้าลำบากใจเลย”
“ข่าวดีอะไร”
“บอกเองสิ ที่รัก”
“คุณชายใหญ่ คุณชายใหญ่กำลังจะมีหลานค่ะ”
“เป็นข่าวดีจริงด้วย ยินดีด้วยฉินเจียง เธอดีมาก อย่างน้อย ท่ามกลางเรื่องน่าเสียใจของครอบครัวก็มีเรื่องที่เป็นความหวังของตระกูลจ้าวเรื่องนึง”
“พี่คิดอย่างนั้นจริงๆ”
“จริงสิ” จ้าวซันหันมา อ้าแขน “เต้คงดีใจ” ฉินเจียงอึ้ง แล้วกอดกับจ้าวซัน จ้าวซันหันมากอดซูหลิงด้วย “เธอสองคนโชคดีแล้ว เธอต้องเป็นพ่อที่ดีนะ ฉินเจียง ซูหลิง ฝากหลานผมด้วยล่ะ เขาจะต้องสุขภาพดี และไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็ไม่สำคัญ ขอให้เขาเป็นคนดี”
“ผมอยากให้เขาเป็นผู้ชาย”
“เป็นผู้ชายก็ดี แต่เป็นผู้หญิงก็ได้ เพราะพี่อยากให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงซะทีในรุ่นของพวกเรา อย่าให้ลูกชายเท่านั้นที่ได้เป็นไท้เผ่งเลย ขอให้แล้วแต่ความเหมาะสมของบุคคลเถอะ ถ้าผู้หญิงมีความสามารถ และทุกคนพอใจ ลูกๆ หลานๆ พวกเรา จะไม่จำกัดบทบาทของลูกหลานหญิงอีกแล้ว”
“จริงด้วยค่ะ คนไหน ถนัดที่จะทำอะไร ก็ขอให้ได้ทำเถอะ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม”
“ก็ได้ ก็ได้ เผื่อลูกของเราเป็นผู้หญิง เราก็จะไม่เสียเปรียบ ก็โอเคๆ”
จ้าวซันหัวเราะ ส่ายหน้า ทั้งสามหัวเราะกัน
ตึกฉินเย่ว์กรุ๊ป เทเรซ่าพูดขึ้นมา
“ดูเอาเถอะ ยังไม่ทันที่คุณชายใหญ่จะทำอะไรเขาก็แพ้ภัยตัวเอง จนไม่สามารถจะกลับเข้ามาทำงานได้อีกแล้ว เพราะพวกพนักงานก็รับไม่ได้แล้ว”
“ถ้าไม่อย่างนั้น พวกเราเองก็ย่างเท้าเข้ามาเหยียบที่นี่ไม่ได้เหมือนกัน” ซ่างกวานซิงบอก
“ถ้าฉันยังแก้ปัญหาให้พวกเธอไม่ได้ ฉันก็คงไปจากที่นี่ไม่ได้สินะ” จ้าวซันบอก
“พี่ชายใหญ่คงจากจะไปจากพวกเราเต็มที”
“ตอนนี้เธออยากให้ฉันอยู่งั้นหรือ ฉินเจียง”
“ถ้าให้พูดตรงๆ ก็คือผมหวังที่จะให้พี่ชายใหญ่ช่วยผม”
“คุณทนายบอกว่ามีทางผ่อนหนักเป็นเบาได้อีก ถูกไหม”
“ครับ ถ้าคุณชายรองจะให้ข้อมูลให้ทางตำรวจขยายผลจับตัวไอ้พันหงปิงที่มันแหกคุกไปให้สำเร็จ เราจะสู้ว่าคุณชายรองแค่เป็นเหยื่อของพันหงปิงกับไอ้เกาเฟย คุณชายก็จะกลายมาเป็นแค่พยาน และมาทางรอดจากคดีนี้ครับ”
ฉินเจียงมองจ้าวซันอย่างมีความหวัง
“ผมจะทำทุกอย่าง เพื่อเอาไอ้เกาเฟยให้เละจมดินครับ พี่ชายใหญ่”
จ้าวซันมองหน้า พอใจ
ฉินเจียงก้มหัวลงตรงหน้าจ้าวซัน
“พี่ชายใหญ่ ผมขอร้องล่ะ”
“ฉินเจียง พี่บอกแล้ว ว่าพี่ทำไม่ได้”
“ทำไมจะทำไม่ได้ พี่ให้ตำรวจเขาจัดการกับนางเหม่ยอิงและไอ้เกาเฟยให้ถึงที่สุดเถอะครับ มันเลวทรามต่ำช้ากันมาก”
“แกต้องแยกแยะสิ ฉินเจียง แกก็โดนเองมาแล้ว แกต้องรู้สิ ว่าไอ้เกาเฟยมันคือตัวการ เราต้องดึงเหม่ยอิงออกมาจากไอ้เกาเฟย เพราะเหม่ยอิงจะไม่กล้าทำเรื่องร้ายกาจอย่างนี้ ถ้าไม่มีเกาเฟยยุแยง”
“ไม่ใช่นะ พี่ใหญ่ ถ้าจะเปรียบเกาเฟยมันเป็นแค่ปืน แต่คนยิงคือเหม่ยอิง”
“เหม่ยอิงคือน้องพวกเรา แต่เกาเฟยมันคือคนอื่น ทำไมแกเห็นเกาเฟยดีกว่า”
“เกาเฟย คือคนที่เหม่ยอิงส่งมาทำลายผม แล้วมันก็ทำสำเร็จ อย่างที่พี่ใหญ่เห็น เพราะผมมันโง่เอง ตอนนี้ผมตาสว่างแล้ว ผมรู้ความจริงแล้วว่าศัตรูของตระกูลจ้าว คือผู้หญิงตระกูลจ้าวเอง”
“พี่พูดแล้วใช่ไหม ว่าต่อไปนี้ เราจะไม่กีดกันผู้หญิงอีกแล้ว เหม่ยอิงอยากได้อะไรพี่ก็จะให้เขา เพื่อแลกให้เขากลับตัวกลับใจ”
“นังนี่มันกลับไม่ทันแล้วไป มันถลำไปมากแล้ว เกินเยียวยาแล้ว”
จ้าวซันมองฉินเจียง อึดอัดใจ พอดีเสียงแมสเสจดังขึ้น จ้าวซันดูโทรศัพท์ แล้วหันมามองหน้าฉินเจียง
“เหม่ยอิงหรือ” ฉินเจียงถาม จ้าวซันไม่ตอบ “มันนัดพี่ใหญ่หรือ พี่ใหญ่อย่าไปคนเดียว ให้ผมไปด้วย”
“ไม่ได้หรอก ฉินเจียง”
“พี่ใหญ่ พี่อย่าเป็นผู้ชายที่ตายเพราะผู้หญิงเลยพี่”
“พี่ไม่ตายหรอก”
“พี่มั่นใจใช่ไหม ว่ามันรักพี่ พี่รู้จักนังนี่น้อยไป”
จ้าวซันนิ่ง ไม่ตอบ ฉินเจียงฮึดฮัด
อ่านต่อพรุ่งนี้ เวลา 09.30น.
วิวสูงๆ สวยๆ เห็นเมืองทั้งเมือง รถจ้าวซันจอดอยู่ จ้าวซันยืนรอ เสื้อผ้าพัดในสายลมแรง รถเหม่ยอิงแล่นปรูดปราดเข้ามาจอดเอี๊ยด จ้าวซันหันไปมอง ประตูรถเปิดออก เหม่ยอิงก้าวออกมายืนสง่า จ้าวซันมอง รู้สึกไม่อยากเชื่อ
เหม่ยอิงยิ้มเย็น ก้าวมายืน เผชิญหน้ากัน
ที่ห้องไทไท จู่ๆ ไทไทก็ลืมตาขึ้นมา
“เจ้าหญิง เจ้าหญิง”
ผิงอันที่กำลังยกชาเข้ามา ตกใจ รีบวาง
“แม่ใหญ่ แม่ใหญ่ ฝันร้ายหรือคะ”
ไทไทมองหน้าผิงอัน
“ซายหมุย”
“ค่ะ หนูเอง”
“จ้าวซันล่ะ”
“ออกไปข้างนอกค่ะ”
“ออกไปไหนอีก โทรตามกลับมาเดี๋ยวนี้”
“เขาไปบริษัทน่ะค่ะ แม่ใหญ่”
“งั้นเหรอ”
“มีเรื่องวุ่นๆ นิดหน่อยน่ะค่ะ พี่เหม่ยอิง เขาไม่มาทำงานแล้ว พี่ชายเลยต้องไปดูแลแก้ปัญหา”
“แล้วเจ้าหญิงล่ะ เจ้าหญิงอยู่ไหน”
“อ๋อ พี่บรีเหรอคะ”
“เจ้าหญิง อยู่กับเจ้าชายหรือเปล่า” ผิงอันยิ้มขำๆ
“อยู่ค่ะ อยู่ที่บ้านเจ้าชายนี่แหละ แต่เขาไม่ค่อยสบาย เลยต้องนอนพัก”
“ไม่สบาย เป็นอะไร”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เขาแค่ต้องการการพักผ่อนนิดหน่อย”
“เมื่อไหร่ จ้าวซันจะกลับล่ะ”
“อีกแป๊บนึงมั้งคะ เย็นแล้ว เลิกงานแล้ว เดี๋ยวก็คงกลับเองค่ะ”
“อยากให้เจ้าชายกลับบ้านมาอยู่กับเจ้าหญิง อย่าให้เจ้าหญิงอยู่ห่างตัว เข้าใจไหม” ไทไทนอน หลับตาลง ผิงอันถอนใจ ส่ายหน้า “ช่วยไม่ได้ ช่วยไม่ได้ ทุกคนมีกรรมเป็นของตัวเอง ฟ้าดินจะลงมือ มนุษย์ไม่อาจขัดขืน มนุษย์ไม่อาจขัดขืน”
ไทไทรำพึงทั้งที่ยังหลับตา ผิงอันขมวดคิ้ว ชักไม่สบายใจ
จ้าวซันกับเหม่ยอิงต่างมองดูกันและกัน
“พี่ชายใหญ่ดูซูบไปนะคะ แล้วก็ดูคล้ำขึ้น”
“ส่วนน้อง สวยมากดูท็อปฟอร์มมาก”
“พี่ชายไปทำอะไรมาคะ คงสนุกสนานมากล่ะสิ ไปเที่ยวกับคนรู้ใจ”
“เหม่ยอิง ไม่มีอะไรเป็นแบบที่น้องคิด”
“งั้นหรือคะ”
“ทั้งหมด ที่น้องทำลงไปเป็นเพราะน้องโกรธพี่ เพราะพี่มีบราลีงั้นเหรอ”
“หึ...น้องก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน”
“แต่พี่ว่าไม่ใช่นะ”
“น้องก็ว่างั้น”
“น้องเตรียมการทุกอย่างมานานมากแล้วนี่ เหม่ยอิง ถึงไม่มีบราลี ทุกอย่างก็ได้วางแผนไว้แล้วอย่างรัดกุม ใช่ไหม”
“พูดอีก ก็ถูกอีก”
“น้องแค่บอกพี่ดีๆ ว่าน้องต้องการอะไร น้องก็จะได้”
“น้องพยายามบอกพี่มาเป็นพันครั้งได้แล้ว ถ้าพี่จำได้”
“เอาล่ะ พี่ผิดเอง ที่ไม่เข้าใจ เอาเป็นว่าตอนนี้พี่เข้าใจแล้ว และจะให้ตามที่น้องต้องการ แต่พี่ขอแบ่งอะไรนิดๆหน่อยๆ ให้กับพี่น้องคนอื่นๆ บ้าง”
“พี่ใหญ่ไม่มีสิทธิ์ขอแล้วล่ะค่ะ”
“เหม่ยอิง หาทางลงให้ตัวเองเถอะ ก่อนที่มันจะสายเกินไป”
เหม่ยอิงยิ้ม น้ำตาไหล
“มันสายไปแล้วล่ะค่ะ พี่ใหญ่ สายไป มากๆ เลยล่ะค่ะ” จ้าวซันอึ้ง
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 17 (ต่อ)
บราลีเดินลงมา แต่งตัวใหม่ หน้าตาสดใส อากงกำลังถือถาดยามา
“อ้าว คุณหนู อากงกำลังจะเอายาบำรุงกำลังขึ้นไปให้”
“อะไรคะ”
“โสม แก้อาการเมาค้าง”
“หนูขอโทษจริงๆ ที่ทำให้ทุกคนวุ่นวายกันไปหมดเลย”
“งั้นคุณหนูรับประทานเลยครับ ไม่ขมหรอก”
บราลีหยิบมา ดมๆ
“กลิ่นหอมดีค่ะ ไม่ขมใช่ไหมคะ”
“ไม่ขมหรอกครับ”
“ดื่มแบบรวดเดียวหมด”
“คุณหนูนี่เก่งนะครับ กินยาง่ายดี”
“เจ้าพี่ เอ้อ...จ้าวซัน อยู่ไหนคะ”
“ออกไป ตั้งแต่สายๆ ครับ”
“อ้าว...ออกไปไหนคะ ไปกับใคร หลี่ หรือใครไปด้วยหรือเปล่า”
“ไม่นี่ครับ เห็นไปคนเดียว”
“หรือว่าไปหายัยเหม่ยอิง” อากงมองๆ บราลีโมโห “ยังไงๆ ก็จะไปให้ได้ใช่ไหม คุณชายจ้าวซัน หนอยถือโอกาสตอนเราหลับ หนีไปเฉยเลย”
“คุณหนู คุณชายดูแลตัวเองได้ครับ”
“นั่นสินะ เขาเก่งจะตาย ฉันต่างหากที่ไม่เอาไหน”
บราลีเดินไป กระแทกตัวนั่ง หน้าหงิก อากงมองๆ แล้วส่ายหน้า
“แต่ละคนๆ เฮ้อ”
“อากงคะ หนูไม่ได้หวาดระแวงแบบไร้สาระนะคะ”
“คุณชายมีหลายอย่างต้องทำครับ คุณหนูปล่อยวางบ้างเถอะ คุณชายทราบดีครับว่าท่านควรทำอะไรบ้าง”
“ขอให้จริงเถอะ คอยดูนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะไม่สนใจ จะไม่ไปช่วยเลย อากงเป็นพยานนะ”
อากงชักห่วงๆ บ้าง
“ไม่หรอกครับ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกครับ” อากงหันมา ชักกังวล “ไม่น่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก”
บราลีงอนๆ กอดอก หน้างอ
เช้าวันรุ่งขึ้นที่โรงงานสื้อฉวน ภายในโรงงานพนักงานมีท่าทางร้อนรน วิ่งวุ่นไปมาอยู่ด้านใน บ้างก็รับโทรศัพท์ รับแฟ็กซ์กันวุ่นวาย บรรยากาศตึงเครียด คนงานจับกลุ่มกันคุยเครียด ไม่มีใครยิ้มแย้ม ไม่มีงานอะไรให้ทำ เหมือนนั่งรอคำสั่ง เกาเฟยวิ่งเข้ามาในโรงงานผ่านกลุ่มคนงาน รีบเข้าไปถาม
“คุณเหม่ยอิงอยู่ไหน”
“เอ่อ...”
“ตอบมาสิว่าอยู่ไหน”
“คุณเหม่ยอิงยังไม่มาเลยครับ”
“ไม่มาบ้าอะไร ฉันเห็นรถจอดอยู่ด้านนอก”
เกาเฟยหงุดหงิด อารมณ์เสียแล้วรีบเดินออกไปจากกลุ่มคนงาน เกาเฟยเห็นพนักงานหอบเอกสารมากมายกำลังเดินวุ่นอยู่ รีบเข้าไปดึงตัวมา
“คุณหนูล่ะ”
“ไม่ทราบครับ”
“อะไรกันวะ หัวหน้าอยู่ไหน มาหรือยังก็ไม่มีใครรู้ เป็นคนงานประสาอะไร”
เกาเฟยหัวเสีย ปัดข้าวของในมือพนักงานล่วง แล้ววิ่งตามหาเหม่ยอิงต่อ
เกาเฟยรีบเดินร้อนรน แล้วผลักประตูห้องออฟฟิศที่อยู่ชั้นสองออก เหม่ยอิงนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ไม่ยอมเปิดไฟในห้อง เกาเฟยงง ค่อยๆ เดินเข้ามาเปิดไฟ
“คุณหนู”
เหม่ยอิงเงยหน้าขึ้นมายิ้ม แต่เหมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้มาหยกๆ เหม่ยอิงโยนกระดาษแฟ็กซ์และเอกสารต่างๆ ให้เกาเฟยดู
“สำเร็จแล้ว เสื้อผ้าของสื้อฉวนตอนนี้กำลังถูกตีกลับมาหมด ไม่ใช่เฉพาะที่ออสเตรเลียนะ ทุกประเทศที่เป็นลูกค้าเราด้วย” เหม่ยอิงหัวเราะเสียงดังด้วยความสะใจ “คราวนี้คุณชายจ้าวซันจะต้องพบกับความล่มจม หุ้นของฉินเย่ว์กรุ๊ปก็จะร่วงจนจมดิน ทุกอย่างพังพินาศหมด ไม่มีเหลือ เจ๊งๆๆๆ” เหม่ยอิงหัวเราะทั้งน้ำตาคล้ายคนบ้า ทั้งสะใจและเจ็บปวดใจในเวลาเดียวกัน เกาเฟยอึ้ง งง เหม่ยอิงเดินตรงเข้าไปหาเกาเฟย ประจันหน้ากัน “เงินส่วนตัวของฉันถูกส่งไปฟอกที่ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายเรียบร้อยแล้ว และก็มีอยู่ที่สวิสพอสมควร แกก็ได้ของแกไปแล้ว ชั้นก็ได้ของฉัน จากนี้ไปเราแยกกันคนละทาง ฉันจะไปตามทางของฉัน”
“ไม่นะครับ เราจะเป็นหุ้นส่วนกัน”
“ฝันกลางวันอยู่หรือไง ฉันไม่เป็นหุ้นส่วนกับใครทั้งนั้น”
“ถ้าไม่ใช่จ้าวซัน” เหม่ยอิงหัวเราะ
“นั่นมันเป็นความคิดโง่ๆ ในอดีต ตอนนี้ทุกอย่างระหว่างฉันกับจ้าวซัน ไม่มีอะไรติดค้างกันอีกแล้ว ไม่มีเหลือ แม้แต่เยื่อใย” เหม่ยอิงเหม่อออกไปนอกกระจก ดูเศร้า “เขาคงสั่งให้ตำรวจมารวบตัวชั้นเร็วๆ นี้ แกรีบหนีเอาตัวรอดของแกเถอะ”
เกาเฟยมองเหม่ยอิงแบบไม่อยากจากลา รอลุ้นให้เหม่ยอิงเปลี่ยนใจ เหม่ยอิงสะบัดหน้าไปอีกทาง เชิดหน้าขึ้นเพื่อให้ดูเหมือนว่าตนเข้มแข็ง
จ้าวซันเดินเข้ามาในบริษัทจ้าวฉินเย่ว์ หน้าเครียด หมองหม่น เทเรซ่าและซ่างกวานซิงหอบแฟ้มเข้ามาประกบทันที
“เราจ่ายค่าชดเชยความเสียหายให้สื้อฉวนไม่ไหวแล้วนะคะ”
“ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปบริษัทเราแย่แน่ๆ”
“ยังไงก็ต้องจ่ายให้เขา เพราะเราเป็นฝ่ายผิดสัญญา”
“ตอนนี้เราทำได้แค่หมุนเงินมาจากธุรกิจอื่น แต่คงไม่น่าจะพอ”
“เรากำลังต่อรองไม่ให้ทางออสเตรเลียฟ้องร้องเราอยู่ด้วยนะครับ”
“ตอนนี้มีที่ไหนพอให้เรากู้ยืมเงินก่อนบ้างไหม”
เทเรซ่าตกใจ มองหน้าซ่างกวานซิง ถอนหายใจ ท่าทางหมดหวัง
“ดิฉันจะลองหาดูนะคะ”
จ้าวซันพยักหน้าช้าๆ
“ฉันไม่ยอมให้บริษัทของเต้ต้องมาพังพินาศไปต่อหน้าต่อตาฉันเด็ดขาด”
จ้าวซันเดินลิ่วเข้าไปในห้อง เทเรซ่าและซ่างกวานซิงมองตามด้วยความเป็นห่วง
จ้าวซันผลักประตูเข้ามาในห้อง ฉินเจียงที่ยืนรออยู่แล้วหันมา
“แสบไหมล่ะ น้องสาวสุดที่รักของพี่” จ้าวซันพูดไม่ออก “หาทางจัดการกับเกาเฟยและนังอสรพิษซะทีเถอะพี่ใหญ่”
“เหม่ยอิงไม่ยอมรับโทรศัพท์เลย”
“พี่...พี่จะโทรไปด่ามันงั้นเหรอ จัดการขั้นเด็ดขาดกับมันเลย ไม่ต้องโทรไปแล้ว”
เทเรซ่าเคาะประตูแล้วรีบเข้ามา
“มีคนที่สื้อฉวนโทรมาบอกว่าเมื่อเช้าคุณเหม่ยอิงกับเกาเฟยเข้าไปที่โรงงานค่ะ”
“นั่นไง มันคงเข้าไปเก็บข้าวของ แล้วก็เตรียมตัวหนีออกไปจากฮ่องกงแน่ๆ”
เกาเฟยปลอมตัวมาเป็นพนักงานส่งพัสดุ ใส่หมวกและชุดฟอร์มพร้อมแบกกล่องพัสดุเข้ามาในบริษัท
“เราต้องทำอะไรสักอย่างนะคะ”
เกาเฟยเดินผ่านหน้าพนักงานคนหนึ่งที่กำลังยุ่งๆ กับการรับโทรศัพท์อยู่
“มาส่งของให้คุณเกาเฟยครับ”
พนักงานเงยหน้าขึ้นมามอง สักพัก แล้วทำมือชี้ไปทางห้องเกาเฟยอย่างไม่ใส่ใจ เกาเฟยพยักหน้า ดึงหมวกลงปิดหน้าอีก แล้วเดินไป
“ผมอยากรู้ว่าเสื้อผ้าล็อตเดิมที่โรงงานสื้อฉวนผลิตไปก่อนหน้านั้นล่ะ มันหายไปไหน แล้วเงินของสำนักงานใหญ่เราถูกเหม่ยอิงโอนไปไหนบ้าง เหม่ยอิงเอาเงินออกไปได้ไง โดยที่ทางคณะกรรมการไม่รู้เรื่องเลย ธนาคารของเรากลายเป็นธนาคารที่ว่างเปล่า มีแต่หนี้เสียเต็มไปหมด ผมอยากคุยกับเหม่ยอิงอีกครั้งก่อนที่เรื่องจะถึงตำรวจ”
“พี่บอกช้าไปแล้วล่ะ ผมเพิ่งแจ้งความไปเมื่อกี้นี้เอง”
ที่ห้องทำงานเกาเฟย เกาเฟยเปิดกล่องพัสดุปลอมๆ ที่ถือมาออก รีบเปิดลิ้นชักของตัวเองแล้วโกยข้าวของต่างๆ มีพวกนาฬิกาและของแพงๆ ต่างๆ ใส่ลงกล่อง เกาเฟยเห็นฉินเจียงและเทเรซ่ากำลังจะเดินผ่านห้องไปจึงรีบก้มตัวหลบหลังโต๊ะ ฉินเจียงเหมือนจะหันมามองทางเกาเฟย เกาเฟยรีบก้มลงแล้วค่อยๆ ชะโงกไปแอบดู รอจนฉินเจียงและเทเรซ่าเดินพ้นไป เกาเฟยเก็บของทั้งหมดใส่กล่อง แล้วรีบเดินออกจากห้องไป
เกาเฟยหอบกล่องมากดลิฟต์รอ เทเรซ่าเดินออกมาจากออฟฟิศกับพนักงานอีก 2-3 คน เกาเฟยรีบหลบลงไปทางบันไดหนีไฟ เทเรซ่ามองตาม สงสัย แต่ไม่ติดใจอะไร
เกาเฟยวิ่งลงมาจากบันไดหนีไฟจนถึงชั้นล่าง เกาเฟยเปิดประตูออกมาเห็นผู้กองเหลียง อยู่ที่โถงชั้นล่างกำลังวอสื่อสารกับใครบางคน สีหน้าตึงเครียด อเล็กซ์และตำรวจอีก 3-4 คนเหมือนกำลังดักรออะไรบางอย่างอยู่ข้างล่างด้วยเช่นกัน เกาเฟยรีบหลบไปอีกทาง แล้วค่อยๆ หาทางออกไปทางประตูหลังตึก เกาเฟยหาจังหวะหลบโดยแฝงตัวไปกับผู้คนที่เดินผ่านไปมาแถวนั้นจนสำเร็จเกาเฟยเปิดประตูเล็กออกมาเพื่อไปทางที่จอดรถ
เกาเฟยคิดว่ารอดแล้ว หันกลับไปอีกทีเจอสมุนพันหงปิงเข้ามาเอาถุงผ้าสีดำครอบหัวไว้ เกาเฟยทิ้งกล่องพัสดุที่ถือมาลงกับพื้น พยายามดิ้นรนต่อสู้ขัดขืน เกาเฟยโดนต่อยท้องจนตัวงอ แล้วโดนสมุนพันหงปิงอีกคนล็อกคอลากออกจากตึกไป
เกาเฟยถูกนำตัวมาที่โกดังหลังโรงงานทำขนมปัง เกาเฟยถูกแกะผ้าที่คาดปากไว้เพื่อไม่ให้พูด และโดนกระชากถุงผ้าดำที่ครอบหัวออก ลูกน้องพันหงปิงอีกคนยังล็อกแขนเกาเฟย แล้วกดให้นั่งคุกเข่าลงกับพื้น พันหงปิงเดินเข้ามา ยืนอยู่ข้างหน้า ยิ้มให้หนึ่งที แล้วตบไปที่หน้าเกาเฟยอย่างแรง เกาเฟยถุยเลือดในปากออก
“จำเอาไว้ โทษฐานที่แกตัดสายโทรศัพท์ทิ้ง และไม่ยอมติดต่อกลับมา ฉันก็เลยต้องลากตัวแกมาอย่างนี้ อย่าถือสากันเลยนะ เจ็บมากไหม” พันหงปิงลูบหัวเกาเฟยเล่น แล้วอยู่ดีๆ ก็จิกผมเกาเฟยจนหน้าหงาย “ถ้าคิดจะหนีล่ะก็ แบ่งเงินมาให้ใช้กันก่อน เอาตัวรอดคนเดียวไปคนเดียวแบบนี้มันชั่วเกินไปแล้ว”
“เงินอะไร ไม่มี”
พันหงปิงปล่อยมือที่จิกหัวเกาเฟยออก
“อ๋อ เหรอ” พันหงปิงเตะอัดไปที่ลำตัวเกาเฟย เกาเฟยจุก สมุนพันหงปิงปล่อยให้เกาเฟยลงไปกองกับพื้น “พูดอีกทีซิ”
“ไม่มีจริงๆ”
พันหงปิงเตะซ้ำไปอีกที
“งั้นก็ทำให้มีให้ได้ ไปเอาจากเหม่ยอิงเมียแกมาสิ”
“คุณหนูไม่ใช่เมียชั้น”
“นั่นมันเรื่องของแก แต่ฉันขอส่วนแบ่ง หนึ่งในสามของทั้งหมดแล้วกัน ไม่อย่างงั้น ฉันจะส่งทั้งแกกะอีคุณหนูคนงามของแกให้ไปนอนในคุก เหมือนอย่างที่ฉันเคยนอนมาแล้ว”
พันหงปิงเตะเกาเฟยอีกที พร้อมหัวเราะเสียงดัง สะใจ
ผู้กองเหลียง จ่าหมง และตำรวจอีกคนกำลังค้นหาหลักฐานต่างๆ อยู่ที่ห้องทำงานเกาเฟย ฉินเจียง จ้าวซัน และเทเรซ่า ยืนดูอยู่ห่างๆ
“ผมว่าเกาเฟยมันคงไม่กล้ามาที่นี่หรอก”
“สายตรวจบางส่วนของเราซุ่มอยู่ที่นี่แล้ว ถ้ามันมาล่ะก็โดนแน่”
“แล้วเหม่ยอิงล่ะ”
“เราให้คนสะกดรอยตามอยู่เหมือนกัน ผมคาดว่าอีกไม่นานเราคงได้ตัวทั้งคู่”
อเล็กซ์เดินเข้ามาในห้อง
“แต่ผมว่าคงคว้าน้ำเหลวอีกตามเคยนะผู้กอง เกาเฟยมันเพิ่งมาที่นี่”
“อะไรนะ”
“แกมีหลักฐานอะไร”
หมวดจางยกเอากล่องพัสดุที่ตกไว้ให้จ้าวซันดู โดยวางลงบนโต๊ะ
“เราเจอไอ้นี่ตกอยู่ตรงประตูเล็กด้านข้าง ทางไปที่จอดรถ”
ฉินเจียงรีบเข้าไปค้นดู
“ของไอ้เกาเฟย ทั้งหมดเลย”
“ผมดูจากกล้องวงจรปิด มันปลอมตัวเข้ามาในบริษัท เพื่อมาเอาของพวกนี้กลับไป”
“เอากลับไป แล้วทำไมของมันถึงอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”
ทุกคนมองหน้ากัน
“คือ...”
“ว่าไงล่ะ ตำรวจยอดนักสืบ”
“มันหายตัวไป ผมยังไม่รู้ว่าเพราะอะไร”
“ตรงนั้นก็ไม่มีกล้องวงจรปิดซะด้วย”
อเล็กซ์พยักหน้าให้จ้าวซัน
“ผมว่าสักพักมันต้องย้อนกลับมาเอาแน่”
“มองโลกในแง่ดีจังนะผู้กอง”
“มันจะหนีไปแล้วล่ะ แต่คงมีอะไรเกิดขึ้นสักอย่างที่ทำให้มันเอาของพวกนี้ไปไม่ได้”
ผู้กองเหลียงเซ็ง
“เรื่องนี้ผมจัดการเอง ไม่มีใครรู้จักเกาเฟยดีเท่าผมอีกแล้ว” ฉินเจียงบอก
พันหงปิงกำลังลับมีดอีโต้ แล้วเอามือมาลูบไล้ตรงคมมีดอย่างโรคจิต เกาเฟยถูกมัดมือ ไพล่หลังและนอนอยู่กับพื้น
“ปฏิเสธเข้าไปๆ ไอ้โน่นก็ทำไม่ได้ ไอ้นี่ก็ทำไม่ได้” พันหงปิงเอามีดอีโต้สับลงไปบนเขียงที่อยู่ตรงหน้า เสียงดังสนั่นแล้วพูดกับลูกน้อง “เฮ้ย...พวกแกอยากกินขนมปังไส้เนื้อคนกันบ้างไหมวะ”
ลูกน้องพันหงปิงพยักหน้าอย่างเหี้ยมเกรียม แลบลิ้นเลียริมฝีปาก เกาเฟยมองหน้า ตาเหลือก พันหงปิงเดินเข้าไปใกล้เกาเฟย นั่งลงลูบไปตามใบหน้าเกาเฟยเรื่อยไปตามแขนขา เกาเฟยพยายามดิ้นหนี
“ไม่ต้องกลัวๆ ไม่ใช่เนื้อแกหรอก แต่มันเป็นเนื้อนุ่มๆ หอมๆ ของแม่เหม่ยอิงต่างหาก เนื้อแกมันกินไม่ลงเว้ย”
“อย่าทำอะไรคุณเหม่ยอิง”
“ถุย อย่าทำอะไรเหม่ยอิง แกเป็นพระเอกหรือไง ไปลากตัวนังเหม่ยอิงมาให้ได้” พันหงปิงหันไปสั่งลูกน้อง
“ครับ”
พวกลูกน้องวิ่งออกจากห้องไป สักพักโทรศัพท์มือถือของเกาเฟยในกระเป๋ากางเกงดังขึ้น
“นั่นไงเมียเอ็งโทรมาตามแล้ว”
“บอกว่าคุณหนูไม่ใช่”
พันหงปิงล้วงมือถือในกระเป๋ากางเกงเกาเฟยออกมา แล้วหยิบออกมาดู
“พี่เมียแกนี่เอง”
พันหงปิงหันมือถือให้เกาเฟยดู
“ฉินเจียง”
“จะรับไหม”
ฉินเจียงอยู่ที่บริษัทจ้าวฉินเย่ว์ กำลังแอบคุยโทรศัพท์มือถืออยู่
“เหวยๆๆ เกาเฟยๆ ได้ยินหรือเปล่า”
เกาเฟยนอนอยู่กับพื้น พันหงปิงเปิดสปีกเกอร์โทรศัพท์แล้ววางไว้ตรงหน้าเกาเฟย พันหงปิงนั่งยองๆ ฟังด้วย
“อืมม”
“เฮ้ย ฉันมีเรื่องด่วน อยากให้แกมาร่วมมือด้วย แกยังอยู่ในฮ่องกงหรือเปล่า”
“เรื่องด่วนอะไร เราไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกแล้ว แค่นี้นะ โอ๊ย” พันหังปิงตบหัวเกาเฟยอย่างแรง
“เหวยๆๆ เดี๋ยวฟังก่อนๆ อย่าเพิ่งวาง ฉันมีเวลาไม่มาก”
พันหงปิงทำท่าทางบอกเกาเฟยให้ฟังฉินเจียงก่อน อย่าเพิ่งวาง
“ว่ามา”
“อีกไม่นานบริษัทจ้าวฉินเย่ว์คงจะเจ๊ง แกคงรู้” เกาเฟยงง ว่าฉินเจียงจะมาไม้ไหน “ฉันยักยอกเงินส่วนตัวของจ้าวไทไทมาได้ ที่สำคัญคดีของชั้นขืนสู้ไปชั้นก็แพ้ ต้องคิดคุกหัวโตแน่ ชั้นต้องการหนีคดีไปต่างประเทศ เกาเฟยฉันขอไปเวียดนามกับแกด้วยได้ไหม” เกาเฟยมองหน้าพันหงปิง เหมือนไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน “ถือว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าๆ ของเราแล้วกัน ฉันแบ่งเงินครึ่งนึงให้แกก็ได้ แกว่ายังไง...เกาเฟยอย่าเงียบสิ”
พันหงปิงยิ้ม กดโทรศัพท์มือถือทิ้ง
“เรามีทางหาเงินได้ก้อนใหญ่แล้ว” พันหงปิงหัวเราะ
ฉินเจียงเดินเข้ามาในห้องจ้าวซัน ที่มีจ้าวซันกับเทเรซ่านั่งคุยเรื่องบัญชีอยู่หน้าคอมพิวเตอร์
“ว่าไง สำเร็จไหม?”
“ง่ายกว่าที่คิด เอาเรื่องเงินมาล่อเข้าหน่อย”
“ตกลงคุณชายจะลงมือเองเหรอจริงๆ เหรอคะ ทำไมไม่ให้พวกตำรวจ...”
“เทเรซ่าคิดว่าตำรวจเก่งกว่าพวกเรางั้นเหรอ”
“เปล่านะคะ แต่ก็ปลอดภัยกว่าทั้งกับมาสเตอร์และก็ไท้เผ่ง”
“ตำรวจทำงานได้ช้ามาก ตำรวจต้องรอหลักฐาน พยานมากมาย กว่าจะทำอะไรได้แต่ละอย่าง แต่เราไม่อยากรอแล้ว ไม่งั้นเราจะช้ากว่าเหม่ยอิงหลายก้าว”
“แต่มันจะเสี่ยงไปไหมคะ”
“ถ้าไม่กล้าเสี่ยงก็ไม่ใช่จ้าวฉินเจียงสิ”
“ไม่ใช่จ้าวซันเหมือนกัน ให้มันรู้ไปว่าเหม่ยอิงกะไอ้เกาเฟย จะเก่งกว่าเราสองคน”
จ้าวซันเดินมายื่นมือไปข้างหน้า ฉินเจียงเดินมาจับมือเป็นสัญญาว่าจะร่วมมือกัน เอาจริง
“โอ๊ย ไม่รู้ด้วยแล้ว เกิดอะไรขึ้นอย่าโทรมาหาเทเรซ่าแล้วกันนะคะ”
เทเรซ่างอนเก็บแฟ้มเดินออกจากห้องไป จ้าวซันดึงแฟ้มไว้
“ถ้าเกิดอะไรขึ้น ผมสัญญาว่าจะโทรหาคุณเป็นคนสุดท้ายเลย เชื่อมือผมสิว่าคราวนี้ผมจัดการได้”
เทเรซ่าดึงแฟ้มออกมา เดินออกจากห้องพร้อมกับบ่นไปตลอดทาง
“ก็เห็นพูดแบบนี้ทุกที แล้วเทเรซ่าก็ต้องมาคอยแก้ปัญหาให้ตลอด ชีวิตสั้นลงทุกวันๆ ก็เพราะมีเจ้านายแบบนี้แหละ”
จ้าวซันกับฉินเจียงมองตามเทเรซ่าออกไป มองหน้ากันยิ้ม
“เรามีเวลาอีกสี่ชั่วโมงเพื่อเตรียมการ”
“ดี งานนี้เกาเฟยถึงจะมีปีกก็หนีไม่พ้น”
“เจอกันสองทุ่ม ที่โกดังร้างบนเกาะลันเตา ผมล่วงหน้าไปก่อน”
จ้าวซันพยักหน้าตกลง
“ระวังตัวด้วย”
“พี่ก็เช่นกัน”
ทั้งคู่เอามือตบเข้าหากัน ประสานกันแน่น
ที่บ้านสี่ฤดู บราลียืนชะเง้อคอรอจ้าวซันอยู่ที่ระเบียงชั้นสอง มองนาฬิกาข้อมือ
“ไหนเจ้าพี่บอกว่าวันนี้จะกลับเร็วไง เฮ้อ”
อากงออกมาจากห้องด้านใน
“คุณหนู จวนจะค่ำแล้ว รีบกลับเข้ามารอข้างในก่อนดีกว่าครับ ยืนตาก-ลมนานๆ เดี๋ยวก็ไข้กลับจะไม่สบายอีก”
“อีกสักพักแล้วกันนะอากง”
“ยังไม่หายดีไม่ใช่เหรอครับ”
อากงมองหน้าดุๆ จนบราลียอมจำใจเดินตามเข้ามาด้านใน บราลีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา คิดอยู่สักพักแล้วก็วางลงบนโต๊ะ
“โอ๊ย อากงต้องคอยห้ามฉันนะ ฉันไม่อยากโทรไปกวนคุณชายของอากงอีกแล้ว แต่มันก็อดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ” บราลีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีก “ไม่เอาๆๆ ต้องไม่โทรๆๆ”
บราลีเดินงุ่นง่านไปมา อากงมองเวียนหัว
“ฝากโทรศัพท์เอาไว้กับผมไหมล่ะครับ”
“เอ่อ ไม่เป็นไร ไม่ต้องดีกว่า เดี๋ยวเผื่อมีคนโทรเข้ามาหรือไม่ฉันอาจจะโทรไปหาใคร” อากงมองจ้องหน้าบราลีเขม็ง “ฉันหมายถึงเพื่อนน่ะ เพื่อน หลินจื้อเหม่ย อากงจะไปทำอะไรก็ไปทำเถอะนะ”
อากงก้มหัวเดินออกไป บราลีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง มองจ้อง ต่อสู้กับตัวเอง บราลีหลับตาปี๋ หยิบโทรศัพท์มา แล้วก็กดปุ่มเพื่อโทรออก บราลีเอาโทรศัพท์มาไว้แนบหู ลุ้น
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 17 (ต่อ)
ที่โต๊ะทำงานจ้าวซันมีกองเอกสาร และรางลูกคิดขนาดใหญ่วางอยู่ จ้าวซันกำลังดีดรางลูกคิดคำนวณรายจ่ายของบริษัท หน้าดำคร่ำเครียด สักพักโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะมีเสียงสายเรียกเข้า จ้าวซันชำเลืองมองดู
“ครั้งที่สาม”
จ้าวซันถอนหายใจ ส่ายหน้า หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาปรับเป็นระบบสั่น แล้วหันกลับไปทำงานต่อ สักพักโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะก็สั่นขึ้น และมีแสงไฟวาบขึ้นมา หน้าจอมีคำว่าบราลี
“สี่” ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็หยุดสั่น “หยุดสักที ตื้อได้แค่นี้เองเหรอ หึหึ”
เทเรซ่าเคาะประตู โผล่หน้าเข้ามาในห้อง
“คุณบราลีโทรเข้ามาที่บริษัทเกือบสิบครั้งแล้วนะคะ”
“หา”
“แต่ดิฉันไม่ได้โอนให้ ก็เห็นมาสเตอร์สั่งไว้”
“อืมม ดีแล้ว”
“จะไม่รับสักหน่อยเหรอค่ะ”
“ไม่ล่ะ เดี๋ยวถ้าเขารู้ว่าผมจะไปทำอะไรคืนนี้จะประสาทกันไปใหญ่”
“ก็ไม่ต้องบอกความจริงก็ได้นี่คะ”
“ผมไม่อยากโกหกบราลี”
“รับทราบค่ะ ดิฉันจะยอมเป็นโรคประสาทเพราะเสียงโทรศัพท์นั่นแทน”
เทเรซ่าปิดประตูออกไป โทรศัพท์มือถือจ้าวซันสั่นขึ้นอีกครั้ง
“ครั้งที่ห้า”
บราลีเดินรี่เข้ามาในห้องจ้าวซัน เข้าไปนั่งที่โต๊ะทำงาน วางโทรศัพท์มือถือของตัวเองลงบนโต๊ะ หยิบโทรศัพท์บ้านที่อยู่บนโต๊ะจ้าวซันขึ้นมาโทร รอสักพัก กระวนกระวาย
“อะไรอะ ขนาดเปลี่ยนไปใช้เบอร์บ้านโทรแล้วก็ยังไม่รับอีกเหรอ” บราลีวางแล้วกดใหม่ “ชักจะไม่ชอบมาพากลซะแล้ว”
ทันใดนั้นอาหลี่ก็เปิดประตูพรวดเข้ามาในห้อง เห็นบราลีนั่งอยู่ที่โต๊ะก็ชะงัก
“อ้าวหลี่ กลับมากันแล้วเหรอ”
“เอ่อ...คือ อ่า...ยังครับ”
“คุณชายไม่ได้กลับมาด้วยเหรอ”
“ครับ ยังครับ”
อาหลี่พยายามเดินเลียบๆ ไปที่โต๊ะทำงานที่บราลีนั่งอยู่
“มีอะไรหรือเปล่า”
“เอ่อ...ผม ขอหยิบอะไรหน่อยนะครับ”
“ได้สิ อะไรเหรอ”
“มันอยู่ในลิ้นชักตรง...”
“ลิ้นชักไหน อันนี้หรือเปล่า”
บราลีกำลังจะดึงลิ้นชักเปิดออกมา อาหลี่รีบไปห้าม
“ไม่เป็นไรครับๆๆ เดี๋ยวผมหยิบเองได้”
อาหลี่เปิดแง้มลิ้นชักไว้เพียงเล็กน้อย แล้วล้วงมือเข้าไปควานหา
“ดึงออกมาอีกหน่อยก็ได้”
“ได้แล้วครับๆๆ”
อาหลี่เอาปืนออกมาจากลิ้นชักอย่างรวดเร็ว แล้วรีบกำซ่อนไว้ข้างหลัง บราลีมองเห็นไม่ชัด
“ปืนเหรอ ใช่หรือเปล่า”
“ผม ขอตัวก่อนนะครับ”
อาหลี่รีบเผ่นออกจากห้องอย่างรวดเร็ว บราลีลุกตาม
“เดี๋ยวหลี่ กลับมาคุยให้รู้เรื่องกันก่อนสิ นี่เดี๋ยว จะเอาปืนไปทำไม หลี่” อาหลี่วิ่งออกนอกประตูและลงบันไดไปแล้ว บราลีวิ่งตามมาหยุดอยู่ที่ประตูห้อง เริ่มสงสัย ตัดสินใจวิ่งตามไป “หลี่”
บราลีวิ่งลงบันไดมา
“หลี่” อากงกำลังจะเดินขึ้นบันไดไป อากงหลบให้ บราลีก็หลบไปทางเดียวกับที่อากงหลบ บราลีเขยิบมาอีกทาง อากงก็เขยิบตาม เป็นอย่างนี้โดยบังเอิญสามสี่เที่ยว “อากง หลบสิ”
“หลบแล้วนี่ไงครับ”
บราลีจับตัวให้อากงอยู่เฉยๆ แล้ววิ่งลงมาถึงประตูชั้นล่างก็เห็นรถจ้าวซันถอยออกไปแล้ว บราลีเดินกลับมาที่ห้องรับแขก
“อากงๆ เดี๋ยวก่อน” บราลีเรียกอากงที่กำลังเดินขึ้นบันไดไป “หลี่มาที่นี่ทำไม เขาบอกอากงหรือเปล่า”
“เปล่าครับ”
“ฉันเห็นเขามาเอาปืนในลิ้นชักของคุณชายไป”
“อ่อ เหรอครับ”
อากงพูดจบก็หันหลัง จะเดินขึ้นบันไดไปหน้าตาเฉย บราลีรีบวิ่งมาดักข้างหน้า
“เดี๋ยวสิอากง อากงไม่สงสัยเลยเหรอว่าหลี่มาเอาปืนไปทำไม คุณชายอาจจะกำลังจะไปมีเรื่องอะไรกับใครก็ได้นะ”
“ไม่ทราบสิครับ”
บราลีถอนใจ หงุดหงิด อากงเดินกลับขึ้นบันไดไป บราลีนึกอะไรขึ้นมาได้
“อากงเดี๋ยว เพิ่งนึกขึ้นได้ พอดีมือถือฉันแบตหมด ขอยืมมือถืออากงหน่อยสิ”
“คุณหนูไม่ได้ชาร์จไว้เหรอครับ”
“ก็ เผอิญที่ชาร์จมันเป็นอะไรไม่รู้ ชาร์จไม่เข้าเลย คงจะเสียแหละ”
“ใช้โทรศัพท์ที่บ้านโทรก็ได้นี่ครับ”
“เอ่อ...ก็ โทรศัพท์บ้านมันไม่ค่อยดี โทรไปแล้วก็ไม่ค่อยได้ยิน”
อากงมองจ้องจับผิด บราลีหลบตา
“จะมาขอยืมใช้โทรศัพท์ผมโทรไปหาคุณชายใหญ่ใช่ไหมครับ”
บราลีเซ็ง ที่อากงรู้ทัน ต้องจำใจยอมรับ
“ก็ใช่น่ะสิ เขาต้องเห็นเป็นเบอร์ฉันแน่ๆ เลย โทรไปกี่ทีๆ ก็ไม่รับ”
“ผมโทรให้ก็ได้ แต่แค่ครั้งเดียวนะครับ”
บราลีพยักหน้าดีใจ อากงเอาโทรศัพท์รุ่นใหม่ทันสมัยมากออกมาจากกางเกง มากด
“โอ้โห”
“คุณชายเหรอครับ คือ...”
บราลีรีบคว้าโทรศัพท์จากอากงมาแย่งมาพูด
“เจ้าพี่! ทำไมถึงไม่ยอมรับโทรศัพท์น้องเลย”
จ้าวซันกำลังเดินอยู่ตามทาง เพื่อเตรียมตัวจะไปที่โกดัง สีหน้าเคร่งขรึม
“ม่านฟ้า ก็พี่เพิ่งประชุมกับพวกตำรวจเสร็จ ไม่มีอะไรเลย ไม่ได้ออกไปไหน อยู่แต่ในห้องประชุมกับพวกตำรวจเท่านั้นเอง”
“แล้วคืนนี้จะกลับมากี่โมงคะ”
“ก็...คงอีกไม่นาน ขอเคลียร์บัญชีกับเทเรซ่าอีกสักพักแล้วคงกลับ”
“เมื่อกี้หลี่มาเอาปืนที่บ้าน เจ้าพี่คงไม่ได้กำลังจะออกไป”
“อ๋อ ปืนของฉินเจียง พี่ให้หลี่เอาไปคืนน่ะ” อาหลี่วิ่งเข้ามาหาจ้าวซันแล้วส่งปืนที่ไปเอามาให้ จ้าวซันรับมา เอาเหน็บใส่กางเกงไว้ “เทเรซ่ามาแล้ว พี่ไปทำงานต่อนะ” อาหลี่มองหน้าจ้าวซันงงๆ “เออ ไม่ต้องโทรมาแล้วก็ได้ พี่จะรีบกลับไป” จ้าวซันปิดโทรศัพท์มือถือ เอาใส่กระเป๋ากางเกง พยักหน้าให้อาหลี่ “ไป”
บราลีส่งมือถือคืนให้อากง
“สบายใจแล้วสินะครับ”
“มันก็...บอกไม่ถูกนะอากง ลางสังหรณ์ฉันบอกว่า...” อากงหัวเราะ
“พูดเหมือนไทไทตอนสาวๆ เลย ลางสังหรณ์ฉันบอกว่าอย่างนั้น ลางสังหรณ์ฉันบอกว่าอย่างนี้”
“อากง จริงๆ ฉันก็ไม่อยากทำตัวเป็นผู้หญิงงี่เง่าแบบนี้หรอกนะ แต่ฉันก็ไม่ชอบให้คุณชายของอากงทำตัวเหมือน...เหมือนกำลังมีความลับ หรือกำลังปิดบังอะไรฉันอยู่อย่างนั้นแหละ”
“ผมเข้าใจครับ แต่ลางสังหรณ์ผมบอกว่า ตอนนี้คุณชายคงกำลังตั้งใจทำงานน่าดู เพื่อจะได้กลับมาหาคุณเร็วๆ”
“ฉันก็หวังว่าลางสังหรณ์ของอากงจะถูกนะ”
ที่บริษัทจ้าวฉินเย่ว์ จ้าวซันกำลังก้าวขึ้นรถ อาหลี่ขับรถออกตัวไปอย่างรวดเร็ว
โกดังร้าง เกาะลันเตา ฉินเจียงมายืนรออยู่บนตู้คอนเทนเนอร์จนกระทั่งเห็นรถมอเตอร์ไซค์แล่นตรงเข้ามาจากที่ไกลๆ รถมอเตอร์ไซค์สไลด์มาจอดตรงหน้าตู้คอนเทนเนอร์ แต่ยังคงเปิดไฟหน้ารถไว้ฉายไปที่ฉินเจียง ฉินเจียงกระโดดลงมาจากตู้คอนเทนเนอร์ เกาเฟยถอดหมวกกันน็อคออก แล้วเดินเข้าไปหาช้าๆ ทั้งคู่ประจันหน้ากัน
“มาคนเดียวใช่ไหม”
“เห็นมีใครซ้อนมอเตอร์ไซค์ผมมาไหมล่ะ”
“นึกไม่ถึงว่าจะมีวันนี้”
“วันที่คนอย่างจ้าวฉินเจียงโทรศัพท์มาขอความช่วยเหลือจากคนที่ทรยศ และทำร้ายคุณอย่างแสนสาหัส”
“ฉันหมดทางแล้ว เกาเฟย ถ้าชั้นมีทางเลือก ชั้นคงไม่พึ่งไอ้หมาขี้เรือนอย่างแกหรอก” เกาเฟยชะงัก ชักสีหน้าโกรธ “แกก็มาเพราะสนใจเงินชั้นไม่ใช่เหรอ แกก็โลภนี่ ชั้นรู้นะว่านังเหม่ยอิงก็ให้แกไปตั้งเยอะแล้ว แต่แกก็ยังได้อีก จริงไหมล่ะ”
เกาเฟยยิ้มที่มุมปาก
“เข้าไปคุยข้างในดีกว่า ตรงนี้มันโจ่งแจ้งเกินไป”
“ได้ เราต่างก็ไม่ชินในที่โล่งๆ แบบนี้ด้วยกันทั้งคู่”
ฉินเจียงเดินนำเข้าไปในโกดัง เกาเฟยมองไปรอบๆ เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจในความปลอดภัยของตัวเอง
ฉินเจียงและเกาเฟยเดินเข้ามาในโกดัง ฉินเจียงเดินจะไปนั่งที่ลังไม้เก่าๆ ที่กองอยู่ตรงกลางโกดัง
“เชิญ”
เกาเฟยไม่ยอมนั่ง
“เปลี่ยนใจแล้ว ออกไปคุยตรงด้านหลัง ออกประตูฉุกเฉินตรงนั้นไปดีกว่า”
“เปลี่ยนใจหรือไม่ไว้ใจกันแน่”
“ถ้าบริสุทธิ์ใจจะคุยที่ไหนก็เหมือนกัน”
“ได้เสมอ” ฉินเจียงลุก เดินตามเกาเฟยออกไป “มีคนเคยบอกแกไหมว่า บางทีแกก็ขี้ระแวงมากเกินไป”
เกาเฟยหยุดเดิน แล้วหันกลับมา
“แล้วคนที่ไม่เคยระแวงอะไรเลยเป็นยังไงล่ะ”
“ก็โดนทรยศอย่างชั้นไง”
“อยู่ในวงการนี้เชื่อใจใครไม่ได้ทั้งนั้น”
“ไม่เชื่อใจใครก็ไม่มีวันมีเพื่อน ไม่มีเพื่อนก็ยิ่งใหญ่ไม่ได้หรอก”
“เลิกนอกเรื่องได้แล้ว”
ทั้งสองมาหยุดอยู่ที่กึ่งกลางระหว่างประตูหลังโกดัง
“จะคุยตรงนี้เหรอ”
“ตกลงจะจ่ายให้ผมเท่าไหร่ สำหรับการพาออกนอกประเทศ”
“แกได้เงินมาจากเหม่ยอิงเท่าไหร่ ฉันจ่ายให้ครึ่งนึง”
“ตอบไม่ตรงคำถาม”
“แล้วจะพาฉันออกไปนอกเกาะฮ่องกงไปได้ยังไง”
“เรื่องนั้นไม่จำเป็นต้องรู้”
“แล้วแน่ใจได้ยังไงว่าแกจะไม่หักหลังฉันอีก” เกาเฟยนิ่ง ไม่ตอบ มองฉินเจียงอย่างพิจารณา “แกเป็นคนสอนให้ฉันระแวงคนอื่นไม่ใช่เหรอ”
“อะไรอยู่ในกระเป๋าเสื้อ”
ฉินเจียงซีด เอามือคลำที่กระเป๋าเสื้อตัวเอง
“ปากกา”
“อะไรอยู่ในกระเป๋าเสื้อ”
“ปากกาธรรมดา”
ฉินเจียงเอาออกมา ยื่นให้เกาเฟยดู มือสั่นนิดๆ
“สิบปีที่ทำงานด้วยกันมา ไม่เคยเห็นจ้าวฉินเจียงพกปากกาในกระเป๋าเสื้อเลยสักวันเดียว” เกาเฟยรีบคว้าปากกามาจากมือฉินเจียงแล้วหักทิ้ง ปากกาหักออก มีสายไฟระโยงระยางอยู่ภายใน “เทปบันทึกเสียงงั้นเหรอ” เกาเฟยเขวี้ยงทิ้งลงกับพื้น แล้วเอาเท้าเหยียบ ขยี้ “น่าผิดหวัง”
เกาเฟยหันหลังจะเดินกลับไป ฉินเจียงคว้าไหล่เกาเฟยไว้ เกาเฟยหันกลับมา ทั้งคู่ปะทะกันด้วยมือเปล่า ฉินเจียงรัวหมัดเป็นชุดใส่เกาเฟย จนเกาเฟยต้องค่อยๆ ถอยเข้าไปตั้งรับข้างในโกดัง เกาเฟยถอยไปเรื่อยๆ จนหลังไปพิงกับลังไม้เก่าๆ ฉินเจียงจะชกไปที่หน้าเกาเฟย แต่เกาเฟยเบี่ยงหัวหลบทัน ฉินเจียงชกพลาดไปโดนลังไม้ข้างหลังแตกกระจาย เกาเฟยก้มไปหยิบไม้ขึ้นมาจากพื้น เงื้อขึ้นมาหมายจะเข้าไปตีหัวฉินเจียง ฉินเจียงถีบเกาเฟยเซล้มลง แล้วคว้าไม้ที่ตกอยู่อีกอันตั้งใจจะตามเข้าไปซ้ำ เกาเฟยหันกลับมาพร้อมกับควักปืนในกระเป๋ากางเกงแล้วเล็งไปที่ฉินเจียง
“เลิกเล่นได้แล้ว ยกมือขึ้น แล้วเดินไป...เร็ว”
ฉินเจียงค่อยๆ หันหลัง แล้วค่อยๆ เดินออกนอกโกดังไปช้าๆ
อ่านต่อพรุ่งนี้เวลา 09.30น.
เกาเฟยพาฉินเจียงมาที่รถ ล้วงหากุญแจในกระเป๋ากางเกงฉินเจียง ในขณะที่อีกมือก็ยังคงถือปืนเล็งไปที่ฉินเจียงไว้ตลอด เกาเฟยได้กุญแจมา กดรีโมท ไขกระโปรงหลังแล้วเปิดออก
“เข้าไปเร็ว” ฉินเจียงมองหน้า อิดออด “เร็วสิ”
ฉินเจียงกำลังจะก้าวเข้าไปอยู่ในกระโปรงหลัง แต่ไม่ทันใจ เกาเฟยใช้เท้าถีบให้รีบลงไป เกาเฟยปิดฝากระโปรง และกำลังจะเดินไปที่นั่งคนขับ ทันใดนั้นก็เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด เกาเฟยกลิ้งตัวหลบอยู่หลังรถ ลูกกระสุนเฉียดไปไม่ไกลนัก
จ้าวซันนั่งอยู่ในรถ ถือปืนเล็งไปที่เกาเฟย อาหลี่ขับรถมาปาดใกล้ๆ จ้าวซันยิงซ้ำไปอีกที อาหลี่ตีโค้งรถเข้ามาโฉบใกล้ๆ จ้าวซันได้จังหวะเปิดประตูรถ แล้วกระโจนลงไป เกาเฟยยืดตัวขึ้นมายิงสวน จ้าวซันกลิ้งตัวไปหลบหลังตู้คอนเทนเนอร์ที่ใกล้ที่สุด
“รีบไปตามคนอื่นมา เร็ว”
จ้าวซันตะโกนบอกอาหลี่ อาหลี่รีบขับรถออกไป เกาเฟยและจ้าวซันต่างยิงปืนสู้กันไปมา เสียงปืนดังไปทั่วบริเวณ
ฉินเจียงที่ถูกขังอยู่ในกระโปรงหลังรถกำลังพยายามดิ้นรนและถีบฝากระโปรงเพื่อที่จะออกมาให้ได้
“โธ่เว้ย”
จ้าวซันกลิ้งตัวออกมาจากคอนเทนเนอร์ แล้วยิงไปทางเกาเฟย เกาเฟยยืดตัวขึ้นมายิงสวน แล้วพบว่ากระสุนหมดจึงรีบก้มลงไปหลบหลังรถ
“ซวยแล้ว”
จ้าวซันค่อยๆ คืบคลานมาตามทาง เกาเฟยระแวง รีบก้มมองหาจ้าวซันทุกทิศทุกทาง เกาเฟยชะโงกหน้าไปดูทางด้านหน้าของรถ ขณะนั้นจ้าวซันกำลังอยู่บนหลังคารถ แล้วเล็งปืนไปที่ขาของเกาเฟย แต่ปืนจ้าวซันกระสุนหมดเหมือนกัน เสียงปืนลั่นดัง “แชะ”
เกาเฟยได้ยินเสียงหันขึ้นไปมอง ตกใจ จ้าวซันรีบกระโจนลงมาสู้กับเกาเฟย เกาเฟยถีบตัวจ้าวซันออกไป และพยายามจะหนี จ้าวซันจับขาเกาเฟยลากกลับมา แล้วชกไปที่หน้าเกาเฟย เกาเฟยหลบได้ ใช้ขาถีบสวนจ้าวซันหงายหลังไป เกาเฟยได้จังหวะ รีบลุกขึ้นเพื่อจะวิ่งไปที่มอเตอร์ไซค์ของตัวเอง จ้าวซันเห็นท่อเหล็กยาวแถวนั้นรีบไปคว้ามา แล้วขว้างไปทางเกาเฟย ท่อเหล็กหมุนเป็นวงฝ่าอากาศแล้วเข้าไปขัดขาเกาเฟยที่กำลังวิ่งอยู่ เกาเฟยเสียหลัก โดนท่อเหล็กขัดขา เซถลาล้มลง จ้าวซันวิ่งเข้าไปซ้ำ จวนจะถึงตัวเกาเฟยอยู่แล้วก็มีเสียงปืนดังขึ้นฟ้าหนึ่งนัด ทั้งเกาเฟยและจ้าวซันรีบหันไปมามองตามที่มาของเสียง
พันหงปิงกับสมุน 2-3 คน ขี่มอเตอร์ไซค์ดาหน้ากันเข้ามา เกาเฟยยิ้ม รีบวิ่งไปหา จ้าวซันเห็นท่าไม่ดีรีบกลับไปหลบหลังรถ
ภายในกระโปรงหลัง ฉินเจียงใช้โทรศัพท์มือถือเป็นแหล่งกำเนิดแสงและพยายามใช้ไขควงที่อยู่หลังรถเพื่อไขออกมา แต่ยังทำไม่สำเร็จและเริ่มหัวเสีย พันหงปิงและสมุนลงมาจากมอเตอร์ไซค์เดินดาหน้าเข้าไปหาจ้าวซัน
“เพื่อนเก่ามาหาทั้งทีจะไม่ยอมโผล่หน้ามาให้เห็นหน่อยเหรอ”
พันหงปิงยิงปืนขึ้นขู่อีกหนึ่งนัด จ้าวซันหันซ้ายหันขวา ไม่รู้ว่าจะทำยังไง จ้าวซันได้ยินเสียงจากกระโปรงหลัง รู้ว่าฉินเจียงยังออกมาไม่ได้ จ้าวซันคิดออก ค่อยๆ เปิดประตูฝั่งคนขับ แล้วใช้มือยกที่เปิดกระโปรงหลังรถออก ฉินเจียงโผล่พรวดขึ้นมาจากกระโปรงหลัง ใช้ปืนยิงไปที่พันหงปิงและพวก พันหงปิง เกาเฟย และสมุนต่างหลบกันจ้าล่ะหวั่น
ฉินเจียงกระโดดลงจากกระโปรงหลัง ถือปืนคู่ทั้งสองมือยิงสกัด
“ไปหลบทางโน้นดีกว่า”
ฉินเจียงบอกจ้าวซันแล้วบุ้ยใบ้ไปทางตู้คอนเทนเนอร์ใหญ่ที่ดูแข็งแรงมากกว่า จ้าวซันพยักหน้าแล้วจะคลานไป พวกพันหงปิงยิงสวนมาเป็นระยะ
“รับไป”
ฉินเจียงโยนปืนกระบอกหนึ่งให้จ้าวซัน จ้าวซันรับมา แล้วทั้งคู่ก็ยิงสวนเพื่อเบิกทางให้ตัวเองไปหลบอยู่หลังคอนเทนเนอร์
“พวกเราตาม”
พันหงปิงพาสมุนวิ่งยิ่งตามไล่ฉินเจียงกับจ้าวซัน สักพักด้านหลังกลุ่มพันหงปิงงก็มีแสงไฟจากรถสาดเข้ามา
ทุกคนหันไปมอง อาหลี่ขับรถเข้ามา พาเต๋อเป่าและซ่างกวานซิงมาด้วย ทั้งคู่เปิดกระจกออกและยิงปืนเข้าใส่เป็นชุด
“ไอ้เต๋อเป่า ไอ้เดนตาย พันหงปิง เรารีบหนีกันก่อนเถอะ”
พันหงปิง เกาเฟย และสมุนรีบวิ่งไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง จ้าวซันกับฉินเจียงได้ที วิ่งกลับมาบุกซ้ำ พวกพันหงปิงพยายามยิงสกัดทั้งสองด้าน กระสุนจากฉินเจียงเฉียดแขนเกาเฟยไปเป็นทางยาว สมุนพันหงปิงคนหนึ่งก็โดนจ้าวซันยิงล้มลง พันหงปิงเข้าไปพยุงเกาเฟยที่ได้รับบาดเจ็บพาขึ้นมอเตอร์ไซค์
“ไอ้เกาเฟย ขอเช็คบิลทีเถอะวะ” เต๋อเป่ายิงใส่เกาเฟย แต่พลาด
สมุนพันหงปิงที่เหลือเมื่อขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ได้ก็แยกย้ายกันไปคนละทาง อาหลี่รีบหักรถแล้วขับตามไล่ยิงต่อ
“ปล่อยพวกมันไป ไม่ต้องตาม” จ้าวซันตะโกนบอก อาหลี่หยุดรถ แล้วรีบถอยหลังกลับมาหาจ้าวซันกับฉินเจียงที่มีสภาพสะบักสะบอม
“แผนเราล้มเหลวไม่เป็นท่า”
“หรือเราจะต้องพึ่งพาตำรวจจริงๆ ซะแล้ว”
“ผมหนีการอารักขาของตำรวจมา ป่านนี้คงสงสัยแล้วล่ะครับ” เต๋อเป่าบอก
“ผมว่ามาสเตอร์ลองพา “ลักกี้สตาร์” ของมาสเตอร์มาดูไหมล่ะครับ” อาหลี่บอก จ้าวซันมองหน้าตาหลี่ ทำตาดุ “ขอโทษครับ”
“ใครเหรอ “ลักกี้สตาร์”
ฉินเจียงแอบกระซิบกับอาหลี่ หลี่ยิ้มแห้งๆ ไม่กล้าตอบเพราะจ้าวซันมองอยู่
ฉินเจียงกับจ้าวซันนั่งถอดเสื้ออยู่ มีซูหลิงและเทเรซ่านั่งทำแผลให้ อาหลี่และซ่างกวานซิงคอยเป็นลูกมือและยืนดูอยู่ห่างๆ เต๋อเป่ายืนโทรศัพท์อยู่มุมหนึ่ง
“เจ็บไหมคะ”
ซูหลิงถามฉินเจียง ฉินเจียงกัดฟัน สีหน้าเจ็บแสบที่แผลสุดๆ แต่ส่ายหน้าว่าไม่เป็นไร
“ในที่สุดเทเรซ่าคนนี้ก็ได้รับโทรศัพท์ ต้องออกมาดูแลเจ้านายดึกๆ ดื่นๆ ไม่ได้หลับได้นอน”
เทเรซ่ากดสำลีชุบทิงเจอร์ย้ำๆ ไปที่แผลจ้าวซัน
“โอ๊ย เบาๆ หน่อยเทเรซ่า”
“ตกลงเราจะเอายังไงกันต่อไปดีครับ” อาหลี่ถามขึ้นมา
“พวกมันรู้แล้วว่าเราจะเล่นมัน เราจะมีโอกาสแบบนี้อีกไหมก็ไม่รู้ อยากให้มันแค้นแล้วกลับมาเอาคืนจริงๆ ชั้นจะไม่ยอมพลาดอีก”
“กลัวว่ามันจะรีบหนีออกจากฮ่องกงไปเลยน่ะสิ”
“ตอนนี้ก็ไม่รู้จะไปตามตัวพวกมันได้ที่ไหนด้วย”
“อยู่เฉยๆ บ้างก็ได้ค่ะ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจเขา”
เต๋อเป่าวางโทรศัพท์ หันมา
“ผู้กองเหลียงเขาโกรธพวกเรามากครับ ที่ทำอะไรกันโดยพลการแบบนี้”
“จะโกรธทำไม ถ้าไม่ได้เรา เขาจะรู้ไหม ว่าพันหงปิงมันยังกบดานอยู่ที่นี่”
“ที่สำคัญคือมันกับเกาเฟยเป็นพันธมิตรกัน มันกำลังต้องการเงินจนต้องยอมเสี่ยงปรากฏตัวออกมาลงมือกับเราแบบนี้ แสดงว่ามันยังไม่มีทุนพอจะหนีไปได้อย่างสบายๆ หรอก”
ผู้กองเหลียงเดินเข้ามา
“ไงครับ สองพี่น้อง นึกว่าตัวเองเป็นซูเปอร์ฮีโร่หรือไง”
“ฮะ นี่ผู้กองหายตัวมาเหรอเนี่ย” เต๋อเป่าถามอย่างตกใจ
“ก็เหมือนนายแหละ หายตัวเก่งนัก” ผู้กองเหลียงหันมาทางจ้าวซัน “คุณชาย ผมคิดว่าคืนนี้คุณชายคงต้องไปคุยกะพวกผมยาวแล้วล่ะ”
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นที่บ้านสี่ฤดู แม่สี่กับอาม่าค่อยๆ เดินย่องมาที่ห้องผิงอัน ท่าทางหวาดกลัว แม่สี่มาถึงที่หน้าประตู ตัดสินใจเคาะประตูเบาๆ
“ซาหมุยๆ”
แม่สี่เรียกเบาๆ รอสักพัก หันไปมองด้านหลัง หวาดระแวง ผิงอันลุกงัวเงีย ดูนาฬิกาข้างเตียง แล้วค่อยๆ เปิดประตูออกมา
“มีอะไรกันเหรอคะ นี่มันแค่ตี 5 : 40เอง”
“ชู่... เบาๆ สิ”
“ขโมยขึ้นบ้านค่ะ”
“หา! จะสว่างอยู่แล้ว มาขโมยของบ้านคนเนี่ยนะ”
“ชู่...มันยังอยู่ในนี้”
“แล้วทำไมเราไม่ได้ยินสัญญาณกันขโมยดังเลยล่ะคะ”
“นั่นน่ะสิ”
“ตอนนี้อยู่ที่ห้องคุณหนูใหญ่ ตอนที่อิฉันเดินผ่านได้ยินเสียงดังกุกกักๆ”
“ห้องพี่เหม่ยอิง ก็พี่เหม่ยอิงน่ะสิ โธ่เอ๊ยขโมยที่ไหนกัน”
“ไม่ใช่แน่ค่ะ คุณหนูใหญ่ไม่ได้กลับบ้านเมื่อคืน ในโรงรถก็ไม่มีรถจอดอยู่”
ผิงอันทำหน้าสงสัย ครุ่นคิด
ผิงอันถือปืนผลักประตูห้องเหม่ยอิงเข้าไป
“หยุดนะ ไอ้ขโมย”
ผิงอันจ้องปืนนำเข้าไป แล้วทุกคนก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเหม่ยกำลังกวาดเครื่องเพชรลงใส่กระเป๋า และรื้อข้าวของในเซฟออกมากระจัดกระจาย
“เหม่ยอิง”
เหม่ยอิงลุกพรวด
“ทำบ้าอะไรกัน ตกอกตกใจหมด”
เหม่ยอิงรีบรูดกระเป๋าปิด และปิดตู้เซฟ
“คุณหนูใหญ่”
“ทำอะไรน่ะ”
“มองไม่เห็นหรือไง หลีกไป”
เหม่ยอิงผลักผิงอันไปเพื่อจะเดินออกจากห้อง ผิงอันลดปืนลง อีกมือดึงแขนเหม่ยอิงไว้
“เดี๋ยว พี่จะเอาของพวกนี้ไปไหน ทำไม อะไร ยังไง”
“ทำไม มันก็ของของฉันทั้งนั้น แกไม่เกี่ยวอย่ามายุ่ง”
มีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ แบบสำหรับไปต่างประเทศวางแอบด้านนึง เหม่ยอิงหันไปคว้า ลากจะไป แม่สี่
เข้าไปขวาง
“นี่มันอะไร เหม่ยอิง เกิดอะไรขึ้น ลูกกำลังจะหนีไปไหน” เหม่ยอิงผงะ
บราลีสะดุ้ง ตื่นขึ้นมาบนเตียง บราลีมองรอบๆ ที่นอนข้างตัวว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยการนอน
“อะไรกัน ป่านนี้เจ้าพี่ก็ยังไม่กลับมาอีกเหรอ”
บราลีรีบลุก คว้าเสื้อคลุมมาสวมทับ แล้วออกไป
จบตอนที่ 17
อ่านต่อตอนที่ 18 เวลา 17.00น.